Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ แนะนำ เทคนิคการฝึกสมาธิเบื้องต้น ตอนที่ 1-3

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ แนะนำ เทคนิคการฝึกสมาธิเบื้องต้น ตอนที่ 1-3
    มหาสติปัฏฐาน 4 โดย พระมหาวีระ ถาวโร
    (ตอนที่ 1 ถึงตอนที่ 3)

    สรุปย่อโดย kongsilp2000

    …………………………………………………………………………

    ตอนที่ 1
    (เรื่องการรู้ลมหายใจเข้าและรู้ลมหายใจออก)

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
    มหาสติปัฏฐาน 4 เป็นทางเอกทำให้สำเร็จซึ่งพระนิพพาน
    ได้แก่
    (1) ให้พิจารณากายในกาย
    (2) พิจารณาเวทนาในเวทนา
    (3) พิจารณาจิตในจิต
    (4) พิจารณาธรรมในธรรม

    ข้อที่ว่า ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายนั้น
    คืออะไร?????

    ท่านตอบว่า คือ
    ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ไปอยู่ในป่า หรือว่าอยู่ที่โคนต้นไม้
    หรือไปอยู่ที่ว่างบ้านเรือน
    แล้วก็นั่งกายให้ตรง ดำรงสติมั่น
    ภิกษุนั้นหายใจออกก็มีสติ หายใจเจ้าก็มีสติ

    การพิจารณากายในกาย
    ในขั้นแรก ท่านถือเอากองลมเป็นสำคัญ
    จุดเริ่มต้นนี้เขาเรียกว่า อานาปานบรรพ
    หรือว่า อานาปานสติกรรมฐาน นั่นเอง

    อานาปานสติกรรมฐานนี้มีกำลังมาก
    มีความสำคัญมาก
    สามารถทรงฌาน 4 ได้แล้ว
    ถ้าหาว่าท่านเจริญตามแบบนี้
    ท่านจะมีความสุขแบบสุขวิปัสสโก

    แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    มหาสติปัฏฐานสูตรนี้
    เราจะสามารถดัดแปลงขึ้นไปสู่
    วิชชาสาม อภิญญาหก ปฏิสัมภิทาญาณ
    ก็ทำได้ ก็ทำกันตอนอานาปานสติกรรมฐานนี้แหละ
    (แต่ส่วนนี้จะยังไม่พูดตอนนี้นะ)

    การพิจารณากายในกาย
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อานาปานสติกรรมฐานนี่นะ
    ท่านสอน ให้เข้าไปทีละนิด ๆ
    ท่านไม่ได้ให้ทำแบบหักโหม

    ตอนนี้
    ท่านสอนอานาปานสติกรรมฐานตอนต้น
    ว่าเราหายใจเข้าก็มีสติ
    หายใจออกก็มีสติ

    วันนี้เอาแค่นี้แหละ …………..

    ถ้าพูดว่าสติ ดูเหมือนว่ามันยุ่ง ๆ ไปสักหน่อย
    เอาคำว่ารู้นี่ดีกว่า

    แล้วรู้น่ะ รู้ตรงไหน
    รู้ตรงจมูก ไม่ต้องรู้มาก

    เวลาลมเข้ามันกระทบจมูก
    เวลาลมหายใจออกมันกระทบจมูก
    เอาแค่รู้อย่างเดียว

    ไอ้รู้สั้นรู้ยาวนี่ตอนนี้ยังไม่ต้อง ก็ได้

    ท่านผู้หญิงจะทำครัว เวลาหั่นผักหั่นหญ้า ซาวข้าว ทำกับข้าว รู้ลมหายใจเข้าออกด้วยก็ดี

    ท่านผู้ชายทำงานนอกบ้าน ทำงานในบ้าน รู้ลมเข้าออกด้วยก็ดี

    ทำอย่างนี้ให้ชิน จนกระทั่งจิตไม่ต้องระวังเรื่องลมเข้าออก
    รู้ได้เป็นปกติเป็นอัตโนมัติของมันเอง

    ขอย้ำอีกนิดหนึ่งว่า

    ขอให้บรรดาพุทธบริษัทจำไว้ว่า
    ท่านจะเจริญมหาสติปัฏฐานสูตร
    ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในบทว่าอานาปานบรรพ
    เราจะรู้ลมหายใจเข้า
    รู้ลมหายใจออกอยู่เสมอ
    จะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน พระจะไปบิณฑบาต จะอาบน้ำ จะทำวัตร จะดูหนังสือ จะเดินไปไหน
    ชาวบ้านก็เหมือนกัน ทำการทำงานอย่างใดก็ตาม
    รุ้ลมเข้า รู้ลมออก

    รู้แค่นี้นะ ไม่ช้าจะดีเอง

    แล้วถ้าหากว่า จะมีนักปราชญ์มาถามว่า
    แล้วมันจะได้ฌานได้ยังไง
    ขอตอบว่า เอาเถอะ ค่อย ๆ ทำไปเถอะ

    ทำตามนี้ก็แล้วกัน
    ค่อย ๆ ทำไปแล้วจะรู้ผลเอง

    (จบตอนที่ 1)

    ……………………………………………

    ตอนที่ 2
    (เรื่องการเห็นนิมิต)

    ทีนี้มาพูดกันถึงว่าเราทำได้ถึงตอนนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

    เรื่องของพระกรรมฐานกับนิมิตเป็นเรื่องธรรมดา

    เรื่องนิมิตที่พึ่งเกิดจากสมาธินี่
    เป็นของธรรมดา

    นิมิตของอานาปานสติกรรมฐานก็มี เช่น
    สีเขียว สีแดง สีสว่างคล้าย ๆ แสงไฟฉาย หรือเหมือนฟ้าแลบ

    นี่เป็นนิมิตของอานาปานสติกรรมฐาน

    ส่วนเรื่องของการได้บุญนะ
    ถ้ากลัวว่าจะไม่ได้บุญ ละก็โปรดเข้าใจด้วยว่า

    เขตของการบุญนะ มันอยู่ตรงที่จิตเป็นสมาธิ
    ตัวบุญนะอยู่ที่จิตเป็นสมาธิที่มีอารมณ์ตั้งมั่น

    ตัวบุญไม่ได้อยู่ที่องค์ภาวนาอย่างเดียว

    คำว่าเอกัคคตารมณ์ แปลว่า เป็นหนึ่ง

    อารมณ์ของเราเป็นหนึ่งไม่มีสอง

    อย่างนี้จัดว่าเป็นสมาธิ คือ ตัวรู้อยู่

    ตัวบุญใหญ่ ก็คือ การทรงสมาธิจิต

    ถ้าสมาธิสูงมากเพียงใด

    นิวรณ์ที่จะมากั้นความดีคืออารมณ์ของความชั่วก็เข้าสิงได้ยากเพียงนั้น

    คำว่านิวรณ์ก็ได้แก่อารมณ์ของความชั่ว

    ถ้าขณะใดจิตทรงสมาธิ ที่เรียกกันว่าได้ฌาน

    คำว่าฌานนี้
    ฌานัง แปลว่าการเพ่ง การทรงอยู่ของจิต
    จิตเพ่งอยู่เฉพาะอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง อันนี้เราเรียกกันว่าฌาน

    ขณะที่จิตอยู่เฉพาะลมหายใจเข้า หายใจออก จิตไม่ส่ายไปสู้อารมณ์อย่างอื่น อย่างนี้ เราเรียกกันว่าฌาน

    แต่ว่าจะเป็นฌานขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลาย อะไรก็ตาม
    นั่นก็เป็นอีกเรืองหนึ่ง  
    เป็นอาการละเอียดของจิต เป็นอาการทรงของจิต

    เรามีสติ สามารถจะรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ที่กระทบจมูกได้ รู้แล้วนะ

    เมื่อรู้ ๆ ไป อย่างนี้จิตก็จะเริ่มเป็นสมาธิ แต่ยังหยาบนัก อย่างนี้เรียกว่า ขณิกสมาธิ  

    คำว่า ขณิกสมาธิ
    แปลว่า สมาธิเล็กน้อย สมาธิยังไม่ใหญ่

    เมื่อเริ่มเข้าถึง ขณิกสมาธิตอนปลาย
    จิตเริ่มละเอียด  
    ลมที่กระทบจมูกจะเบาลง ๆ
    แต่จิตเรียบร้อยดีเพราะส่ายออกไปน้อย  

    ตอนนี้แหละและตอนต่อไป เมื่อ ขณิกสมาธิ ละเอียดขึ้น
    จิตก็จะเข้าสู่ อุปจารสมาธิ
    ซึ่งเป็นสมาธิสูงกว่านั้น
    ใกล้จะถึงฌาน

    ตอนนี้ อารมณ์ของจิตที่เป็นทิพย์จะปรากฏ

    นี่แหละที่เขาเรียกว่าสามารถเห็นผี เห็นเทวดา เห็นพรหมได้
    หรือเรียกว่าจิตเป็นทิพย์

    คือไม่ใช่ลูกตาเป็นทิพย์นะ

    ฟังให้ดี
    จิตเป็นทิพย์ คือ จิตย่อมว่างจากกิเลส

    จิตก็ว่างจากนิวรณ์ทั้ง 5 ประการ
    เมื่อจิตว่างจาก นิวรณ์ 5 ประการแล้ว จิตก็สมารถเป็นทิพย์

    แต่ว่าจะเป็นมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับสมาธิจิต
    บางทีมันเป็นประเดี๋ยวเดียว

    ว่างจากนิวรณ์นิดหนึ่ง
    แว๊บหนึ่งของวินาที
    หรือครึ่งวินาที จิตก็กลับมัวหมองใหม่

    ที่นี้ เวลาจิตเป็นทิพย์ มันเป็นยังไง  
    จิตเป็นทิพย์มันก็จะเห็นแสง เห็นสี เห็นภาพต่าง ๆ ที่เราคิดไม่ถึง ที่เราคาดไม่ถึง

    จำให้ดีนะ
    คือ บางทีก็เห็นเป็นแสง เป็นสีเขียว สีแดง เป็นแสงสว่าง  แปลบปลาบคล้าย ๆกับฟ้าแลบก็มี

    นี่ตอนนี้ จงรู้ว่าจิตของเราเป็นสมาธิ
    และจิตเริ่มเป็นทิพย์
    สามารถเห็นแสงที่เป็นทิพย์ได้

    แต่ถ้าอาการปรากฏอย่างนี้
    มักจะปรากฏแผล๊บเดียว
    แล้วก็หายไป

    ในเมื่อปรากฏแล้วหายไป

    บางคนเสียคนตอนนี้เยอะ

    บางคนมาเอาดีกันตอนเห็น

    ต่อไปถ้าเห็นไม่ได้ จิตใจก็ฟุ้งซ่าน

    ที่มาเสียกันตอนนี้เสียมาก

    เพราะอะไร

    เพราะว่าเข้าใจพลาด คิดว่าอาการอย่างนี้เป็นของดี  แล้วก็ควรยึดถือ เพราะว่าเป็นของใหม่  มีความปลาบปลื้มใจ มีความภูมิใจมาก

    บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ

    ถ้าอาการปรากฏอย่างนี้นะ ขอพระคุณเจ้าโปรดทราบว่า

    ภาพที่ปรากฏก็ดี แสงที่ปรากฏก็ดี

    จงอย่าเอาจิตเข้าไปเกาะ
    เพราะจะทำให้สมาธิของท่านจะคลาย
    สมาธิของท่านจะเคลื่อน ความดีจะสูญไป

    จงทิ้งอารมณ์นั้นเสีย
    ทิ้งภาพนั้นเสีย
    อย่าเอาจิตเข้าไปติด

    หนีมาเริ่มต้นความดีกันใหม่ จับลมหายใจเข้าออกกันใหม่

    ขอให้โปรดทราบว่า การเห็นนิด ๆ หน่อย ๆ อย่างนี้
    มันพึ่งอ่านตัว ก. ไม่จบตัวนี่
    ถ้าจะเทียบกับนักเรียนประชาบาลนะ
    เขาเรียกว่าเขียนตัว ก.ยังไม่ครบตัวเลย

    โปรดทราบว่า จิตของท่านได้ผ่าน ขณิกสมาธิไปแล้ว
    กำลังจะเข้าอุปจารสมาธิ
    และเมื่อเห็นแว๊บเดียวหายไป ก็แสดงว่า
    อุปจารสมาธิของท่านยังดีไม่พอ

    เมื่อเห็นแว๊บหนึ่งจิตก็ฟูไป ดีใจในภาพเห็น หรือว่าตกใจในภาพเห็น
    จิตก็เลยเคลื่อนจากสมาธิ ภาพที่เห็นนั้นก็เลยไม่เห็นต่อไป

    ถ้าอาการเป็นอย่างนี้ ก็โปรดทราบว่า
    จงอย่าสนใจ

    ภาพจะปรากฏหรือไม่ปรากฏก็ช่าง ไม่มีความสำคัญ

    เราต้องการอย่างเดียว คือรู้อยู่ว่าลมหายใจเข้า หรือลมหายใจออก
    จำไว้แค่นี้

    เป็นอันว่าถ้าท่านจะเรียนกรรมฐานในมหาสติปัฏฐานสูตรก็ดี
    หรือที่แบบอื่นก็ดี ก็โปรดทราบว่า

    จงเรียนตามคำสั่งของพระพุทธเจ้า

    ท่านสั่งแค่ไหนทำแค่นั้น

    อย่าเพิ่งพลิกแพงไป แล้วท่านจะได้ดี

    (จบตอนที่ 2)
    ……………………………………………………………………

     
     

    จากคุณ : kongsilp2000 - [ 14 ต.ค. 50 15:55:42 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom