ความคิดเห็นที่ 1
วิตก วิจาร นี่เกิดขึ้นแล้ว ความมืดในใจก็หมดไป ใจก็สว่างถีนมิทธะคือความง่วงงุนก็หายไป ความท้อถอยก็หายไป จิตใจมีพลังขึ้นมาเชียว มีพลังสดชื่นขึ้น ใจสว่างก็หายง่วง และอีกประการหนึ่งวิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในการปฏิบัติธรรมในเบื้องต้นก็หมดไป นี่ แหละเมื่อจิตมีสมาธิถึงขั้นฌานจิต ประกอบด้วยองค์คุณ คือ วิตก วิจาร เกิดขึ้น วิจิกิจฉา และถีนมิทธะ ก็หายไปเลย ทีนี้ถ้าใจเป็นสมาธิสืบต่อไปอีกนิดเดียวคือหยุดในหยุดกลางของหยุดนิ่งลงไปอีกถึงเกิดองค์แห่งฌานที่ ๓ คือปีติ ความยินดีที่ทรงความใสสว่างอยู่นั้น เมื่ออารมณ์ปีติเกิดขึ้น ความโกรธพยาบาทหรือารมณ์หงุดหงิดก็หายไป แต่ถ้าว่าตื่นเต้นมากเกิดไปนิมิตก็จะหายไป หรือว่าบางท่านว่าแหมอยากจะให้สว่างยิ่งกว่าเก่า บังคับใจ กดใจลงไป ก็จะหายไปเลย เพราะฉะนั้นให้ทำใจกลาง ๆ สบาย ๆ หยุดในหยุดกลางของหยุด จิตก็จะตกศูนย์ หยุดนิ่งแล้วจะยิ่งใสสว่างละเอียด พอพ้นจากอารมณ์ปีติ ก็เข้าสู่องค์ฌานที่ ๔ สุขด้วยความที่จิตใจใสละเอียดอยู่ ตรงนี้
อุทธัจจกุกกุจจะ คือ ความฟุ้งซ่านหมดไป ไม่มีแล้ว เพราะอะไร ? เพราะใจจะรวมหยุดในหยุดนิ่ง เสวยอารมณ์สุขอยู่ ในขณะที่เสวยอารมณ์สุขนี้เอง ใจก็ยิ่งหยุดในหยุดนิ่ง ในขณะที่เสวยอารมณ์สุขนี้เอง ใจก็ยิ่งหยุดในหยุด กลางของหยุดนิ่งเป็นองค์ฌานที่ ๕ คือ เอกัคคตา (เป็นหนึ่ง) ความที่ใจเป็นหนึ่งนี่ ความยินดีพอใจยึดติดอยู่ในกามคุณทั้ง ๕ คือ ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ทางกายเป็นอันระงับไป นี่แหละองค์คุณหรือองค์แห่งฌาน ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ เมื่ออบรมจิตให้เป็นสมาธิแนบแน่นมั่นคงถึงอัปปนาสมาธิ เป็นฌานจิตที่ประกอบด้วยองค์คุณ หรือองค์แห่งฌาน ๕ นี้แล้ว กิเลสนิวรณ์เครื่องกั้นปัญญาก็ดับไป ใจที่ขุ่นมัวปัญญาที่ไม่แจ้งชัดเพราะเห็นไม่ชัด ไม่ได้รู้ได้เห็นเข้าไปถึงของจริง ก็จะกลับได้เห็นแจ้งรู้แจ้งขึ้น เพราะกิเลสนิวรณ์เป็นอันหมด ใจก็ใส ได้รู้-เห็น ชัดเจนขึ้น
ทีนี้ทำอย่างไรถึงจะอบรมจิตยกอารมณ์วิตก วิจาร ขึ้นมาได้? พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ๔๐ วิธี คือ กสิน ๑๐ , อสุภะ ๑๐, อนุสติ ๑๐, ไปจนถึงอาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑, จตุธาตุววัตถาน ๑, อรูปฌาน ๔ และ พรหมวิหาร ๔ ทั้งหมดนั้นคุณภาพของแต่ละข้อไม่เหมือนกัน แต่มีอยู่วิธีหนึ่งซึ่งดีมาก เหมาะกับจริตอัธยาศัยของทุกคน ทุกจริตอัธยาศัย วิธีนั้นคือกสิน กสิณนี่คือการเพ่ง ไม่ใช่เพ่งแบบจ้องตาถลนนะ อย่าเข้าใจอย่างนั้น เพ่งคือ ตาเรามองดูเห็นแล้วก็จำติดตา แล้วก็ติดใจ คือให้เห็นได้ด้วยใจเป็นอุคคหนิมิต กับปฏิภาคนิมิต โดยเริ่มที่บริกรรมนิมิต คือนึกให้เห็นในใจนี่เรียกว่ากำหนดบริกรรมนิมิต บริกรรมนิมิต ตามตำรา แปลว่า นิมิตในบริกรรม ทางปฏิบัติบริกรรมนิมิตก็คือนึกให้เห็นด้วยใจนี่ในทางปฏิบัติ ถ้านึกแล้วนี่ แค่นึกเห็นสลัว ๆ จินตนาการนะก็เห็นได้หน่อยหนึ่งเท่านั้น พอนึกเห็นแล้ว นี่เมื่อใจรวมหยุดเข้ามาอยู่ในอารมณ์เดียว จะเห็นภาพนิมิตนี้ใสขึ้นมาชัดเจน แม้เพียงวาบหนึ่งหรือชั่วขณะหนึ่ง เขาเรียกว่า อุคคหนิมิต
สมาธิขณะที่เรานึกเห็น ที่เรียกว่าบริกรรมนิมิตนั้น ได้สมาธิระดับ ขณิกสมาธิ ถ้าเริ่มเห็นชัดเจนหรือถึงใสสว่างสักชั่วขณะหนึ่ง เรียกว่าอุคคหนิมิต ให้ได้สมาธิระดับอุปจารสมาธิ แต่พอเห็นติดตาใสสว่างอยู่นั้น ตำราเขาเรียกนิมิตเทียบเคียงคือเหมือนของจริงและใสสว่างอยู่นั้นชื่อว่าปฏิภาคนิมิต นี้ให้ได้สมาธิระดับ อัปปนาสมาธิเป็นสมาธิแนบแน่น ทีนี้กสิณนี้แหละตามตำรามีของให้เพ่ง ให้ดู ให้จำหลายอย่าง เพ่งลมก็ได้ อากาศที่ทำให้ใบไม้ไหว ๆ ก็ได้ เพ่งแสงสว่างโดยเจาะรูดูแสงสว่างเล็ก ๆ แล้วจำได้ก็มี เพ่งดินก็มี สรุปแล้วคือ การเพ่งกสิณดิน, กสิณไฟ, กสิน ลม , กสิณอากาศ (ว่าง), แล้วก็เพ่ง กสิณแสงสว่าง ชื่อว่า อาโลกกสิณ กสิณทั้งหมดยังมีอีกเยอะนะเพ่งกสิณที่เป็นสีก็ได้ สีเหลือง สีเขียว เป็นต้น เพ่งติดตาได้ทั้งนั้น แต่ว่ากสิณทั้ง ๑๐ อย่างนี้ เมื่อเพ่งดูแล้วย่อมผ่าน คือเห็นอุคคหนิมิต ถึงปฏิภาคนิมิตเป็นดวงใสเหมือนกันหมด ซึ่งไปตรงกับกสิณแสงสว่างที่ชื่อว่า อาโลกกสิณ นั่นเอง เริ่มเห็นตั้งแต่นิมิตขาวใส แล้วก็สว่างไปจนถึงปฏิภาคนิมิตก็จะเห็นใสสว่างแจ่มไปเลย เพราะฉะนั้นอาโลกกสิณจึงจัดเป็นกสิณกลาง คือไม่ว่าท่านจะไปเพ่งกสิณอะไร เมื่อใจหยุดในหยุดกลางของหยุดนิ่ง จะต้องเห็นเป็นดวงใสสว่าง
เมื่อถึงปฏิภาคนิมิต ที่ประกอบด้วยองค์คุณหรืองค์แห่งฌานวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์เกิด สมาธิจิตระดับนี้ ท่านเรียกว่า ปฐมฌาน ถ้าทุติยฌาน ก็ละอารมณ์วิตก วิจาร ตติยฌาน ก็ละอารมณ์ปีติ เหลือแต่อารมณ์สุข จตุตถฌานก็ละอารมณ์สุข คือใจหยุดในหยุดกลางของหยุด จิตหยุดสนิท ละเอียดจนอารมณ์ที่ว่ามาแต่ต้นหมดไปเหลือเป็นแต่เอกัคคตารมณ์กับอุเบกขา นั้นเป็น จตุตถฌาน
จากคุณ :
สมถะ
- [
12 ธ.ค. 50 13:33:01
]
|
|
|