ความคิดเห็นที่ 1 -1- พระเยซูคริสต์ประสูติวันไหน ทั่วโลกฉลอง “วันคริสต์มาส” พร้อมกันในวันที่ 25 ธันวาคม ( ยกเว้นคริสต์ออร์เทอด็อกซ์ ฉลอง 6 มกราคม  และชาวคริสต์บางกลุ่มไม่เฉลิมฉลองเลย) ความจริงแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าพระกุมารเยซูทรงประสูติในวันไหน ซึ่งเป็นคำถามโลกแตกเช่นกัน คริสตจักรยุคแรกไม่ทราบวันประสูติที่แน่นอนของพระองค์ และก็ไม่ได้จัดให้มีการฉลองด้วย การกำหนดให้วันที่ 25 ธันวาคม ให้เป็นวันประสูติของพระเยซู จึงเป็นเพียงแค่การสมมติขึ้นในภายหลังเท่านั้น   ก่อนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 4 วันประสูติของพระเยซูคริสต์ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ใครจะต้องมาจดจำ ดังนั้นวันเกิดของพระเยซูเป็นเรื่อง Unknown (ไม่มีใครรู้) ในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนังสือชีวประวัติพระเยซูคริสต์ 4 เล่มที่โปรเตสแตนต์เรียก พระกิตติคุณ  ( คาทอลิกเรียกพระวรสาร ) คือ มัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์น ผู้บันทึกก็ไม่ได้ให้ความสนใจในวันประสูติของพระเยซู เพียงแต่เน้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นมากกว่าจนกระทั่ง กลางคริสต์ศตวรรษที่ 3 บิชอป ฮิบโปไลทัส (Hippolytus) สังฆราชชาวโรมได้เลือกเอาวันที่ 2 มกราคม เป็นวันประสูติของพระเยซูเป็นครั้งแรก จากนั้นมาก็มีการกำหนดวันสะเปะสะปะไปหมด จนไม่รู้ว่าวันไหนกันแน่ที่พระเยซูทรงประสูติ ส่วนที่เลือกเอาวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันประสูตินั้น ว่ากันว่าน่าจะมี 2 เหตุผลด้วยกันคือ ประการแรก มีคนพยายามคำนวณและบันทึกว่า โลกถูกเนรมิตสร้างขึ้นในวันที่ 25 ธันวาคม ในเมื่อพระเยซูคริสต์เป็นผลแรกแห่งการทรงสร้างใหม่ของพระเจ้า ก็เลยถือว่าวันที่ 25 มีนาคม เป็นวันแรกแห่งการจุติของพระองค์ในครรภ์ของพระนางมารีย์ด้วย หลังจากนั้นอีก 9 เดือน พระนางมารีย์จึงให้กำเนิดพระเยซูคริสต์ในวันที่ 25 ธันวาคม ประการที่สอง บันทึกในเอกสารราชการของโรมในปี ค.ศ. 336 ระบุว่า กลุ่มชาวโรมันชั้นสูงที่กลับใจมาเป็นคริสต์ได้เปลี่ยนเทศกาลบูชาพระอาทิตย์ที่ถือว่ามีวันเกิดในวันที่ 25 ธันวาคม มาเป็นการ เฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซูแทน   เมื่อพระสันตะปาปาในยุคแรกส่ง นักบุญ ออกัสติน ไปประกาศเรื่องราวของพระเยซูคริสต์แก่ชาวอังกฤษที่ยังป่าเถื่อนอยู่ พระสันตะปาปามีนโยบายให้บรรดามิชชันนารี จัดงานฉลองคริสตมาสให้ใกล้กับเทศกาลของท้องถิ่น เมื่อชาวอังกฤษกลับใจมาเป็นคริสต์ก็เปลี่ยน เทศกาลฉลองกลางฤดูหนาว (ที่ฉลองนาน 12 วัน) ซึ่งเปลี่ยนการฉลองการกำเนิดใหม่ของดวงอาทิตย์ มาเป็น เทศกาลฉลองวันประสูติของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าแทน อย่างไรก็ตาม แม้ว่า วันคริสต์มาสที่แท้จริง ยัง Unknown แต่สมเด็จพระสันตะปาปา จูลีอัส ที่หนึ่งแห่งโรม ทรงประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันคริสต์มาสของคริสตจักร/พระศาสนจักรทางตะวันตก (ยุโรป) ต่อมาเมื่อปี ค.ศ. 549 คริสตจักรแห่งกรุงเยรูซาเล็มก็รับเอา 25 ธันวาคมเป็นวันคริสต์มาสด้วย ดังนั้นคริสตจักร/พระศาสนจักร ส่วนใหญ่ทั่วโลกรับเอาวันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันคริสต์มาสมาจนทุกวันนี้ (คริสตสมภพ) จากคุณ : โปรดปราน ( พีพี ) - [ 24 ธ.ค. 50 11:23:14 ]

ความคิดเห็นที่ 2 -2- มีหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคริสต์มาส จึงขอเสนอเป็นเรื่องๆ ดังนี้ ทูตสวรรค์   "ทูตสวรรค์" ( Angel ) หมายถึง " ผู้สื่อสารของพระเจ้า แห่งฟ้าสวรรค์" หรือผู้ที่ถูกส่งไปคำว่า "angel" มาจากภาษากรีก ว่า " anggelos" ( อางเกะลอส ) เรื่องราวของคริสต์มาส เปิดฉากด้วย "ทูตสวรรค์" เพราะในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ บันทึกเกี่ยวกับคริสต์มาส เริ่มต้นที่พระเจ้าทรงใช้ "ทูตสวรรค์ กาเบรียล" นำข่าวสารไปยัง พระนางมารีย์ และกล่าวถึงทูตสวรรค์นำข่าวคริสตมาสนี้ไปยัง โยเซฟ ( บิดาบุญธรรมของพระเยซู ) นำข่าวไปถึง เอลีซาเบธ ( มารดาของยอห์น บุตรเศคาริยาห์ ) และคนเลี้ยงแกะ ฯลฯ ในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่กล่าวถึง ทูตสวรรค์ 177 ครั้ง และทูตสวรรค์ที่มีบทบาทมาก คือ "กาเบรียล" ( Gabriel ) บันทึกในพระคัมภีร์ " เราคือกาเบรียล ซึ่งคอยรับใช้อยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ พระเจ้า และทรงใช้ให้มาพูด กับท่าน และนำข่าวดีนั้นมาแจ้ง" ( ลูกา 1.19 )" เมื่อถึงเดือนที่หก พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์กาเบรียล นั้นให้มายังเมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลี ชื่อ นาซาเร็ธ มาถึงหญิงพรหมจารีคนหนึ่ง ที่ได้ หมั้นไว้ กับชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ เป็นคนในเชื้อวงศ์ดาวิด หญิงพรหมจารีนั้นชื่อ มารีย์ " ( ลูกา 1.26-27 ) พระคัมภีร์ของคริสตชนทั้งเล่ม ตั้งแต่ปฐมกาล ถึงหนังสือวิวรณ์ มีการกล่าวถึงบทบาทของ"ทูตสวรรค์" ในฐานะ ผู้สื่อสาร หรือผู้แทนของพระเจ้า ในหนังสือเล่มสุดท้าย คือ "วิวรณ์" ( Revelation ) ในบทสุดท้าย ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า " ทูตสวรรค์" เป็นผู้ส่งสารที่ถูกส่งออกไปทำหน้าที่ ให้กับพระเยซูคริสต์ จากคุณ : โปรดปราน ( พีพี ) - [ 24 ธ.ค. 50 11:25:02 ]

ความคิดเห็นที่ 3 -3- สาวพรหมจารีมารดาองค์พระผู้เป็นเจ้า คำว่า “สาวพรหมจารี” หมายถึง “หญิงที่ยังบริสุทธิ์” (นอกจากนี้ ยังหมายถึง “ผู้ตั้งอยู่ในธรรม เว้นจากเมถุน” ) ดังนั้นผู้ใดเป็น “พรหมจารี” ย่อมกล่าวได้ว่าผู้นั้นยังเป็นสตรีบริสุทธิ์  สมัยโบราณ ถือว่า “พรหมจารี” (Virginity) เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ในพระคัมภีร์เดิมถึงกับบัญญัติไว้ว่า “ถ้าชายใดได้ภรรยาและได้สมสู่อยู่กับนาง แล้วเกิดเกลียดชังนาง และหาเหตุว่า หญิงนั้นประพฤติสิ่งน่าอายและกระทำให้ชื่อเสียงของนางเสียหาย โดยกล่าวว่า ‘ข้าสมสู่กับนางก็เห็นว่านางไม่มีเครื่องหมายของหญิงพรหมจารี’  บิดาของหญิงสาวคนนั้นแหละมารดาจะต้องนำของสำคัญอันเป็นพยานว่าหญิงนั้นเป็น พรหมจารีมาให้พวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้นที่ประตูเมือง และบิดาของหญิงสาวนั้นจะบอกกับพวกผู้ใหญ่ว่า “ข้าได้ยกลูกสาวของข้าให้เป็นภรรยาชายคนนี้ และเขากลับเกลียดชัง นี่แหละชายผู้นี้หาเหตุกล่าวติเตียนว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าบุตรสาวของท่านมีเครื่องหมายของหญิง พรหมจารีเลย นี่แหละเป็นของสำคัญว่าลูกสาวของข้าเป็นหญิงพรหมจารี แล้วเขาจะคลี่เครื่องแต่งกายนั้นออกต่อหน้าพวกผู้ใหญ่ให้เป็นพยาน ให้พวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้นจับชายคนนั้นมาเฆี่ยนและปรับเขาหนึ่งร้อยเชเขล และมอบเงินนั้นให้แก่บิดาของหญิงสาวเพราะเขาทำให้หญิงพรหมจารีอิสราเอลคนหนึ่งเสียชื่อ หญิงนั้นจะเป็นภรรยาของเขาต่อไป เขาจะหย่าร้างไม่ได้เลยตลอดชีวิต แต่ถ้าเรื่องนั้นเป็นความจริงและหาเครื่องหมายของหญิงพรหมจารีที่หญิงสาวนั้นไม่ได้ เขาจะพาหญิงสาวนั้นออกมานอกประตูเรือนบิดาเธอ แล้วชาวเมืองจะเอาหินขว้างเธอให้ตาย เพราะเธอได้กระทำความโง่เขลาให้อิสราเอลคือเป็นหญิงโสเภณีในเรือนบิดา ดังนั้นแหละท่านจะกำจัดความชั่วออกจากท่ามกลางท่าน” (ฉธบ. 22:13-21) วันคริสต์มาสแรกก็เกี่ยวข้องกับเรื่องพรหมจารี เมื่อทูตสวรรค์มาหาพระนางมารีย์ (บางคนเรียกว่ามารีอา บ้างหรือมาเรีย บ้าง แล้วแต่พื้นฐานของภาษา) ผู้เป็นหญิงสาวพรหมจารีบริสุทธิ์และบอกว่า พระเจ้าทรงโปรดปรานเธอ และขอใช้ร่างกายของเธอเป็นทางผ่านของ “พระคริสต์แห่งคริสต์มาส” เข้าสู่โลกนี้ โดยขอให้เธอร่วมในขบวนการนี้ด้วยเช่นกัน  ครั้งแรกเมื่อมารีย์สาวพรหมจารีผู้ไร้เดียงสา อุทานขึ้นมาทันทีเลยว่า “เหตุการณ์นั้นจะเป็นได้อย่างไร เพราะฉันยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับชายใดเลย?” (ลก. 1:3) แต่นั้นยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเธอ เพราะว่าปัญหาที่น่าสะพรึงกลัวสำหรับผู้หญิงทุกคนในเวลานั้น ก็คือการตั้งครรภ์ก่อนแต่งงาน หรือไม่มีเครื่องหมายของ พรหมจารี (Virginity) เมื่อแต่งงานนั้นจะมีโทษถึงตายและในขณะที่ทูตสวรรค์มาบอกเธอนั้น เธอก็มีคู่หมั้นแล้ว คือ โยเซฟ ผู้เป็นเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด ถ้าเกิดโยเซฟเอะอะโวยวายขึ้นมาว่า มารีย์ตั้งครรภ์ก่อนแต่งงานจริงล่ะก็ มารีย์ตายแน่ แต่ต้องยกย่องความศรัทธาอย่างแน่วแน่ของมารีย์เมื่อเธอตอบอย่างเด็ดเดี่ยว หลังจากฟังคำอธิบายของทูตสวรรค์แล้วว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเป็นทาสีของพระเป็นเจ้า ข้าพเจ้าพร้อมที่จะเป็นไปตามคำของท่าน” และดีที่ทูตสวรรค์ช่วยปรากฏต่อโยเซฟและพูดให้เขาเข้าใจ โยเซฟจึงยอมเข้าร่วม ในแผนการช่วยโลกให้รอดบาปด้วยความเต็มใจ  เป็นเหตุให้มารีย์ หญิงพรหมจารีตั้งครรภ์และประสูติบุตรชายที่มาจากสวรรค์ นามว่า “เยซูคริสต์” พระผู้ช่วยให้รอด ผู้เป็นหัวใจของวันคริสต์มาส โดยไม่ถูกหินขว้างตาย จากคุณ : โปรดปราน ( พีพี ) - [ 24 ธ.ค. 50 11:27:47 ]

ความคิดเห็นที่ 4 -4- เบธเลเฮ็ม ( Bethlehem ) ชื่อ เบธเลเฮ็ม ( Bethlehem ) มาจากศัพท์ภาษาฮีบรู แปลว่า " บ้านขนมปัง" หรือ "บ้านแห่งอาหาร" ( จากศัพท์ beth= บ้าน, lehem= อาหาร, ขนมปัง )ที่ตั้ง เบธเลเฮ็ม อยู่ในแคว้นยูเดีย ตอนใต้ของประเทศอิสราเอล ห่างจาก กรุงเยรูซาเล็ม ประมาณ 9 กิโลเมตร มีชื่อเดิมว่า " เอฟราธาห์" ซึ่งเป็นสถานที่ ที่ ยาโคบ ( ชื่อก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นอิสราเอล ซึ่งมีความหมายว่า"เขาปล้ำสู้กับพระเจ้า" หรือ"พระเจ้าทรงปล้ำสู้" ) ที่นี่ใช้ฝังศพ ภรรยาสุดที่รักของยาโคบ คือ "ราเชล" ที่ เบธเลเฮ็ม นี้ เป็นสถานที่ "รูธ" ม่ายสาวพบรัก กับ "โบอาส" ชาวเบธเลเฮ็ม ต่อมาได้สมรสกันและมีบุตรคือ "โอเบด" ผู้เป็นปู่ของกษัตริย์ดาวิด ดาวิดเองก็ประสูติที่เบธเลเฮ็ม ซึ่งภายหลังเมืองนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "เมืองของดาวิด" ต่อจากนั้นผู้เผยพระวจนะ ( ประกาศก ) มีคาห์  ได้ทำนายไว้ล่วงหน้าหลายร้อยปีก่อนแล้วว่า จะมี"พระเมสสิยาห์" ( พระผู้ช่วยให้รอด ) มาบังเกิดที่หมู่บ้านเล็กน้อยที่สุดของอิสราเอล " โอ เบธเลเฮ็ม เอฟราธาห์ แต่เจ้าผู้เป็นหน่วยเล็กในบรรดาตระกูลของยูดาห์ จากเจ้าจะมีผู้หนึ่งออกมาเพื่อเรา เป็นผู้ที่จะปกครองในอิสราเอล ดั้งเดิมของท่านจากสมัยเก่าโบราณ ดังนั้นพระองค์ จะทรงมอบเอาไว้จนถึงเวลาที่หญิงผู้เจ็บครรภ์ จะคลอดบุตร แล้วบรรดา พี่ น้อง ที่เหลืออยู่จะกลับมายังคนอิสราเอล" ( มีคาห์5.2-3 ) หลังจากคำทำนายแล้ว อีกประมาณ 700 ปีต่อมา พระเยซู ก็ทรงประสูติที่เมือง เบธเลเฮมนี้ เรื่องราวการทรงบังเกิดของพระเยซูเจ้า ตรงกับรัชสมัยของ จักรพรรดิ ซีซาร์ ออกัสตัส แห่งโรม ทรงบัญชาให้ทุกคนเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อจดสำมะโนครัวที่บ้านเกิดของตน เนื่องจาก โยเซฟ และมารีย์เป็นเชื้อสายของดาวิด จึงต้องกลับมาที่เบธเลเฮ็ม บ้านเกิดของดาวิด และ ณ ที่นี่ พระเยซูคริสต์ทรงประสูติ เรียกว่า วันคริสตมาส ( ดู ลูกา 2.1-7 ปฐมกาล 35.19 ) ต่อมาในปี ค.ศ. 385 พระราชชนนี เฮเลนน่า ( Helena ) พระมารดาของจักรพรรดิ คอนสแตนติน ทรงโปรดให้สร้างคริสตจักร เหนือรางหญ้าที่พระกุมารเยซูทรงประสูติ คริสตจักรนั้นคือ " The Church of the Nativity " จากคุณ : โปรดปราน ( พีพี ) - [ 24 ธ.ค. 50 11:29:48 ]

ความคิดเห็นที่ 5 -5- ในรางหญ้า...(Manger). จะมีกษัตริย์องค์ใดที่เต็มพระทัยที่จะประสูติในร่างหญ้าบ้าง? หรือมีกษัตริย์องค์ใดทรงเต็มพระทัยที่จะให้ราชบุตรของพระองค์ประสูติในรางหญ้าบ้าง? แต่ทั้ง พระเจ้าพระบิดา และพระเยซูคริสต์พระบุตรกลับทรงเต็มพระทัยที่จะกระทำเช่นนั้นในวันคริสตมาสในวันนั้นพระคริสต์เสด็จมาประสูติเพื่อช่วยไถ่บาปของมนุษย์โลก แต่กลับไปไม่มีที่ว่างในพระราชวังหรือแม้แต่ที่ว่างในโรงแรมสำหรับพระองค์เลย นอกจากรางหญ้าในคอกสัตว์! ในพระคัมภีร์บันทึกสั้นๆ ว่า “เมื่อเขาทั้งสอง (โยเซฟและมารีย์) ยังอยู่ที่นั่น ก็ถึงเวลาที่มารีย์จะประสูติบุตร นางจึงประสูติบุตรชายหัวปี เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า (Manger) เพราะไม่มีที่ว่างให้เขาในโรงแรม” (ลก. 2:6-7) ช่างน่าประทับใจที่พระเยซูเจ้าทรงยอมถ่อมพระทัยลงมาประสูติในโลก ในสถานที่เช่นนี้! เพราะในที่ที่พระองค์ประสูติไม่มีบัลลังก์ทองคำมีแต่รางหญ้าต้อยต่ำ (Manger) ไม่มีข้าราชสำนักคอยรับใช้ มีแต่วัวควายอยู่รายรอบ ไม่มีแม้แต่นางผดุงครรภ์คอยถวายการปรนนิบัติ มีแต่โยเซฟและมารีย์พระมารดาแต่ลำพังไม่มีเครื่องทรงเต็มยศประดับให้ มีแต่ผ้าอ้อมธรรมดาพันพระกาย ความถ่อมพระทัยของพระเยซูคริสต์ไม่เพียงแค่ปรากฏแต่ในวันประสูติของพระองค์เท่านั้น แต่ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ด้วย จนกระทั่งวันสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ความถ่อมสุภาพของพระองค์ก็ยังเป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไป! นอกจากนี้ หมายสำคัญของการประสูติในรางหญ้า (Manger) นั้น ก็ยังมีนัยที่น่าใคร่ครวญอีกมากมาย ประการแรก รางหญ้า (Manger) เป็นที่สำหรับใส่อาหารให้สัตว์กิน พระเยซูจึงเปรียบดังทิพย์อาหารฝ่ายวิญญาณแก่มนุษย์ชาติ ซึ่งพระองค์ตรัสในเวลาต่อมาว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต” (ยอห์น 6:35, 48) และยังตรัสว่า “เราเป็นอาหารที่ธำรงชีวิต ซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าผู้ใดกินอาหารนี้ ผู้นั้นจะมีชีวิตนิรันดร์และอาหารที่เราจะให้เพื่อเห็นแก่ชีวิตของโลกนั้นก็คือ เลือดเนื้อของเรา” (ยอห์น 6:51) ตามนัยของพระคัมภีร์ คริสต์มาสคือเวลาที่พระเยซูคริสต์เสด็จลงมาจากสวรรค์เพื่อเป็นดุจอาหารที่ให้ชีวิตนิรันดร์แก่มวลมนุษย์โลก! ประการที่สอง รางหญ้า (Manger) เป็นจุดศูนย์รวมของทุกชีวิตในคอกสัตว์นั้น คอกสัตว์เป็นที่มืดมิดสกปรกและเหม็นอับ ดุจดังจิตใจของมนุษย์ พระเยซูคริสต์เสด็จมาประทับกลางดวงใจของมนุษย์ เพื่อเป็นความสว่างและความปีติ แก่ชีวิตของมนุษย์ผู้นั้นเหมือนดังที่ทูตสวรรค์มาปรากฏแก่คนเลี้ยงแกะในคืนวันคริสตมาสและกล่าวแก่เขาว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเรานำข่าวดีมายังท่านทั้งหลาย คือความปีติยินดีซึ่งจะมาถึงคนทั้งปวง เพราะว่าในวันนี้ พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลายคือ พระคริสต์เจ้ามาบังเกิดที่เมืองดาวิด นี่จะเป็นหมายสำคัญแก่ท่านทั้งหลาย คือท่านจะได้พบพระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า” ( ลูกา 2:8-12,16 ) จากคุณ : โปรดปราน ( พีพี ) - [ 24 ธ.ค. 50 11:32:50 ]

ความคิดเห็นที่ 6 -6- นักปราชญ์จากตะวันออก หรือโหราจารย์ผู้หยั่งรู้ ทั่วโลกในช่วงเทศกาลคริสต์มาส เรามักจะได้เห็นภาพของโหราจารย์หรือนักปราชญ์ (Wise men) 3 คน ขี่อูฐหรือขี่ช้าง เดินทางมาเฝ้าพระกุมาน้อยผู้มาบังเกิดเป็นกษัตริย์ฝ่ายวิญญาณของมนุษยชาติ  ในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ไม่เคยกล่าวว่า มีโหราจารย์ 3 คน เพียงแต่บอกว่า โหราจารย์เหล่านี้เดินทางมาจากทางทิศตะวันออกของปาเลสไตน์ พระคัมภีร์บันทึกว่า ภายหลังจากพระเยซูคริสต์ทรงบังเกิดในรางหญ้าที่เบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย ก็มีพวกโหราจารย์มาเข้าเฝ้ากษัตริย์เฮโรด ถามตรงๆ เลยว่า “กุมารผู้ที่บังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน เราได้เห็นดาวของท่านปรากฏขึ้น เราจึมาหวังจะนมัสการท่าน” (มธ. 2:1-2) ทว่าคำถามของพวกโหราจารย์เหล่านี้ให้กษัตริย์เฮโรดผู้ขี้ระแวงร้อนบัลลังก์ขึ้นมาในบัดดล แต่ทำใจดีสู้เสือ เรียกประชุมผู้รู้ทั้งหลายเกี่ยวกับคำทำนายโบราณ แล้วถามว่า “ผู้เป็นพระคริสต์นั้นจะบังเกิดแห่งใด” คำตอบที่ได้คือ “เบธเลเฮม” จากนั้นเฮโรดก็กำชับให้โหราจารย์ไปค้นหาพระกุมารแล้วกลับไปแจ้งให้พระองค์ทราบด้วย เพื่อจะได้ตามไปร่วมนมัสการ  ฝ่ายพวกโหราจารย์ก็ออกเดินทางตามดาวที่นำหน้าพวกเขาไป จนมาหยุดอยู่เหนือสถานที่ที่พระกุมารประทับอยู่ เหล่าโหราจารย์จึงเข้าไปในเรือนนั้นด้วยความยินดียิ่งนักและได้พบพระกุมารกับพระนางมารีย์ผู้เป็นพระมารดา จากนั้นพวกเขาก็ก้มกราบถวายนมัสการพระกุมานั้น พร้อมเปิดหีบหยิบทรัพย์ของเขาออกถวายแก่พระกุมารเป็นเครื่องบรรณาการคือ ทองคำ กำยาน และ มดยอบ แล้วก็รีบจากไปยังเมืองของตนทางอื่น ไม่ได้กลับไปเฝ้าเฮโรดอีก เพราะได้รับคำเตือนจากทูตสวรรค์ของพระเจ้าในความฝัน (มธ. 2:3-12) ชื่อที่เรียก โหราจารย์ (Wise men) นี้ บางทีเรียกอีกอย่างว่า “Magi” เชื่อกันว่าพวกนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องปรัชญา, ดาราศาสตร์ และศิลป์ลี้ลับอื่นๆ ที่เดินทางมาจากทางทิศตะวันออก ที่ใกล้เคียงที่สุดน่าจะมาจากเปอร์เซีย บาบิโลน หรืออินเดีย ในพระคัมภีร์เดิมได้บันทึกว่าครั้งหนึ่ง ดาเนียล (Daniel) ได้รับการแต่งตั้งจากพระราชาเนบูคัดเนสซาร์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรบาบิโลน (อิรักในปัจจุบัน) ให้เป็นประธานใหญ่ของพวกโหราจารย์ ซึ่งรวมทั้งพวกหมอดูฤกษ์ยาม ด้วยเหตุผลที่ว่าดาเนียลเป็นผู้มีวิญญาณของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์อยู่ในตัว รวมทั้งมีความสว่าง มีความรู้ ความเข้าใจและปัญญาเหมือนปัญญาของพระ, และความสามารถในการแก้ความฝันและแก้ปัญหาต่างๆ (ดาเนียล. 5:11-12) ของขวัญวันคริสต์มาสที่เหล่า โหราจารย์ นำมาถวายมีประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้ 1. ทองคำ (Gold) เป็นธรรมเนียมของชาวเปอร์เซียที่ไม่อาจเข้าเฝ้ากษัตริย์ได้ถ้าปราศจากของขวัญและทองคำเป็นของขวัญอันทรงคุณค่าคู่ควรต่อกษัตริย์เท่ากับการยอมรับโดยดุษฎีว่า พระคริสต์กุมารนี้คือผู้บังเกิดมาเป็นกษัตริย์ 2. กำยาน (Frankincense) เป็นเรื่องปกติที่จะต้องนำกำยานและเครื่องหอมสำหรับการนมัสการพระเจ้ามาที่พระวิหารและผู้ที่จะถวายเครื่องหอมและกำยานนี้คือปุโรหิต (ซึ่งมาจากคำภาษาลาตินว่า pontifex ที่แปลว่า “สะพาน” หรือ “ผู้สร้างสะพาน” เพราะปุโรหิตเป็นผู้สร้างสะพานระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์) เท่ากับเป็นการยอมรับว่าพระกุมารเยซูนี้คือ ผู้ที่มาบังเกิดมาเป็นปุโรหิตระหว่างโลกและสวรรค์ 3. มดยอบ (Myrrh) เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่จะชโลมศพด้วยมดยอบ เพื่อดับกลิ่นศพและรักษาสภาพศพให้คงรูป เท่ากับเป็นการยอมรับว่า พระกุมารผู้มาประสูตินี้ มาเพื่ออยู่และตายไถ่บาปมนุษย์ในฐานะผู้ช่วยให้รอดและเป็นค่าไถ่บาป จากคุณ : โปรดปราน ( พีพี ) - [ 24 ธ.ค. 50 11:35:25 ]

ความคิดเห็นที่ 7 -7- ทำไมจึงเป็น X’mas ผู้อ่านคงจะเคยเห็นคำว่า “X’mas” แม้ไม่รู้ว่าควรอ่านว่าอย่างไร ก็ได้ แต่คนทั่วไป ดูเหมือนจะเข้าใจว่าคำๆ นี้หมายถึง คริสต์มาส (Christmas) แม้จะไม่ค่อยเข้าใจจริงๆ นักว่า ทำไมคริสต์มาส (Christmas) จึงกลับกลายเป็น X’mas ไปได้?  ลองมาแกะรอยหาความจริงดูว่าทำไม Christmas จึงหลายเป็น X’mas และเริ่มต้นใช้กันเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด? จากหลักฐานปรากฏว่า การใช้ “X” เป็นคำย่อแทนคำว่า “Christ” นั้นปรากฏครั้งแรกไม่เกิน ค.ศ. 1100 และคำว่า “X’mas” ปรากฏขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1551 (108 ซองคำถาม เล่ม 2)Christmas นี้ให้เรามารู้จักกับพระเยซูเจ้าของงานกันเถอะ ขอให้เรามีเวลาและมีที่ว่างให้กับพระองค์จะดีกว่า เพื่อว่าเราจะได้ไม่เสียเวลาไปกับการเฉลิมฉลองงาน X’mas อย่างไร้ความหมาย โดยไม่รู้จักเจ้าของงานอีกต่อไป แต่ให้เราเฉลิมฉลองกันอย่างมีคุณค่าน่าอบอุ่นกับพระคริสต์ (Christ) เจ้าของงานฉันคนรู้จักกันจะดีกว่า ดังนั้น วันนี้...ขอให้ X’mas กลับมาเป็น “Christmas”ที่มีความหมายตามพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเถอะ สรุป คริสต์มาสที่แท้คือ: “ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”  ( ยอห์น 3:16 ) หลังจากท่านอ่านกระทู้นี้จบ คงเข้าใจความหมายของคริสต์มาส ว่าเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดของพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งคริสตชนเชื่อว่าเป็นของขวัญที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษยชาติ เพื่อชดใช้ความผิดบาปของมนุษย์ และให้สถานภาพใหม่แก่ผู้ที่เชื่อวางใจในพระองค์คือ ที่ผู้เชื่อ ถูกเรียกว่าผู้ชอบธรรม และมีความหวังใจในชีวิตนิรันดร์ ว่าจะอยู่บนสวรรค์กับพระเจ้าพระบิดา พระบุตร เหล่า บรรดานักบุญ และ บรรพชนแห่งความเชื่อ ที่ล่วงหลับก่อนๆ เรื่องคริสต์มาสยังมี สิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องและเพิ่มสีสันในการเฉลิมฉลอง อีกมากมายซึ่งช่วยเสริมชีวิตชีวา  และขอให้ของขวัญคริสต์มาสปีนี้ สำหรับ คริสตชน คือการเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ที่ทรงสอนเราในชีวิตประจำวัน ส่วนผู้ที่ยังไม่เชื่อ ขอพระเจ้าทรงประทานความเชื่อและความเข้าใจ เรื่องพระเยซูคริสต์เจ้าของคริสต์มาสผู้นี้ด้วยเทอญ Merry Christmas 2007 and Happy New Year 2008 จากคุณ : โปรดปราน ( พีพี ) - [ 24 ธ.ค. 50 11:39:04 ]

ความคิดเห็นที่ 8 แวะมาเยี่ยมครับ จากคุณ : ksk - [ 24 ธ.ค. 50 12:04:55 ]

ความคิดเห็นที่ 9 พระเจ้าอวยพรครับ คุณ โปรดปราน ( พีพี ) จากคุณ : ศรัทธาพลัง - [ 24 ธ.ค. 50 12:41:05 ]

ความคิดเห็นที่ 10 อ่านแล้วเข้าใจเรื่องราวของเทศกาล "คริสต์มาส" มากขึ้น จากที่เคยคิดว่าเข้าใจเบื้องต้นอยู่บ้างแล้ว ขอบคุณ จขกท. ค่ะ จากคุณ : ดอกคูณที่จากไป - [ 24 ธ.ค. 50 15:44:45 ]

ความคิดเห็นที่ 11 มาอ่านเช่นกันคร้าบ " พระทรงบังเกิด โลกจงชื่นชมยินดี" จากคุณ : NJ & อิกคิว - [ 24 ธ.ค. 50 16:13:46 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เปี่ยมรักจนเต็มล้น เปี่ยมรักจนเต็มล้น ผู้คนในใจ ด้วยความห่วงใย จึงได้เสด็จมา บรรทมในรางหญ้า ทรงนามว่าเยซู ผู้คนควรรู้ว่าทรงเป็นผู้ใด * นี่คือข่าวสำคัญ ที่สุดในหัวใจ เพราะผู้ไถ่ได้มาอยู่กับเรา เปลี่ยนความเศร้ามือมน ด้วยแรงแสงสว่าง แห่งความรักพระคุณและเมตตา ที่เมืองเบธเลเฮ็ม ที่เคยเงียบเหงา ผู้คนปวดร้าว ไม่มีที่พึ่งพิง ตะวันเริ่มทอแสง ประกายแห่งความหวัง  ผู้คนสุขสันต์ ผู้นั้นเสด็จมา (*) จากคุณ : NJ & อิกคิว - [ 24 ธ.ค. 50 16:16:46 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ตามมาแล้วเจ้าว์........ Merry Christmas ทุกๆท่านครับ จากคุณ : พฤษภเสารี - [ 24 ธ.ค. 50 18:39:33 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรพี่น้องทุกคนครับ  Merry christmas ครับ จากคุณ : GOD IS LOVE (zengg) - [ 24 ธ.ค. 50 19:27:17 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เธอ(มารีย์)จะประสูติบุตรชาย จงเรียกนามท่านว่า " เยซู " เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติ ให้รอดจากความผิดบาปของเขา <มัทธิว1:21> ในฐานะคริสเตียน .. อยากจะใช้โอกาสเทศกาลแห่งความรัก และ การอวยพรนี้ อวยพรเพื่อน ๆ ในบอร์ดแห่งนี้ทุกท่านให้มีความสุขมาก ๆ น่ะครับ ขอพระกุมารเยซู ทรงอำนวยพระพรเหนือชีวิตของทุก ๆ ท่าน ขอให้สันติสุข ความสุข ความชื่นชมยินดี เป็นของทุก ๆ ท่านน่ะครับ จากคุณ : PLATTINUM - [ 25 ธ.ค. 50 02:32:42 ]

ความคิดเห็นที่ 16 MERRY CHRISTMAS 2007 แด่ พี่น้องชาวพันทิปทุกๆท่าน ขอองค์อิมมานูเอ็ล ประทับในหัวใจของคนไทยเพื่อนำสันติภาพ และความสุขให้เกิดขึ้น อย่างเร็วพลัน จากคุณ : NJ & อิกคิว - [ 25 ธ.ค. 50 09:01:04 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เทศกาลคริสตมาส ช่วงเวลาแห่งพระพร ต้นสนซีดาร์ไฟประดับและกระดาษม้วนชิ้นเล็ก ประดับต้นสน ขอต้อนรับทุกคนสู่ต้นไม้แห่งพระพรของเรา  พระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในโลก ทรงมีชีวิตบริสุทธิ์ มารับโทษทัณฑ์แห่งความผิดบาปของเราไว้ที่พระองค์ พระองค์จึงสามารถอภัยโทษบาป  และทำให้เราเป็นบุตรของพระเจ้า   ขอพระเจ้าอวยพรคุณพีพี และพี่น้องทุกคน Merry Christmas 2007 and Happy New  year 2008 จากคุณ : Stuff_shirt - [ 25 ธ.ค. 50 09:34:30 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ความคิดเห็นที่ 12   เปี่ยมรักจนเต็มล้น เปี่ยมรักจนเต็มล้น ผู้คนในใจ ด้วยความห่วงใย จึงได้เสด็จมา บรรทมในรางหญ้า ทรงนามว่าเยซู ผู้คนควรรู้ว่าทรงเป็นผู้ใด * นี่คือข่าวสำคัญ ที่สุดในหัวใจ เพราะผู้ไถ่ได้มาอยู่กับเรา เปลี่ยนความเศร้ามือมน ด้วยแรงแสงสว่าง แห่งความรักพระคุณและเมตตา ที่เมืองเบธเลเฮ็ม ที่เคยเงียบเหงา ผู้คนปวดร้าว ไม่มีที่พึ่งพิง ตะวันเริ่มทอแสง ประกายแห่งความหวัง  ผู้คนสุขสันต์ ผู้นั้นเสด็จมา (*) ---------------------------------------- เพลงนี้เคยร้องสมัยตอนยังไปโบสถ์โปรบ่อยๆนี่ จำได้ๆ Merry Christmas. แก้ไขเมื่อ 25 ธ.ค. 50 10:40:49 จากคุณ : taiyo - [ 25 ธ.ค. 50 10:40:04 ]

ความคิดเห็นที่ 19 Merry Christmas คร๊าบบบ จากคุณ : เศียรนาคา - [ 25 ธ.ค. 50 11:13:32 ]

ความคิดเห็นที่ 20 สาธุการ จากคุณ : Cho_shang - [ 25 ธ.ค. 50 11:34:35 ]

ความคิดเห็นที่ 21 Gloria in Excelsis Deo.......................... จากคุณ : ~ทิดฉ่ำ~ - [ 25 ธ.ค. 50 13:54:23 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณมากครับพี่พีพี ช่วงนี้ผมทำงานเยอะมาก ไม่ค่อยได้เข้ามาอ่านกระทู้เท่าไหร่เลย พระเจ้าอวยพรครับ จากคุณ : ดอส - [ 25 ธ.ค. 50 21:39:44 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณมากเลยนะคะ คุณพีพี กระทู้มีประโยชน์มากค่ะ ขอพระเจ้าอวยพรนะคะ จากคุณ : PJ-Studio - [ 27 ธ.ค. 50 17:21:50 ]