ความคิดเห็นที่ 1 คำถาม : ความรู้ในวิชาตะเซาวุฟ มีที่มาอย่างไรครับ คำตอบ อัสสลามุอะลัยกุม วะเราะหฺมะตุ้ลลอฮฺ วะบะร่อกาตุฮฺ วิชาตะเซาวุฟเป็นวิชาที่ถูกอุตริขึ้น เริ่มต้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 หรือ 5 หมายถึงรูปร่างและชื่อวิชา ซึ่งเป็นวิชาที่จะกล่าวถึงสมถะและจริยธรรมเป็นหลัก รวมถึงการปฏิบัติศาสนกิจอย่างมีศิลปะและความสวยงาม เนื้อหาของวิชานี้มีอยู่ในตัวบททั้งในอัลกุรอานและซุนนะฮฺ จนถึงคำปรัชญาของบรรดาศ่อฮาบะฮฺและอัสสะละฟุศศอลิหฺ ซึ่งในศตวรรษแรกๆ โดยเฉพาะในยุคอัสสะละฟุศศอลิหฺจะมีวิชานี้ผนวกอยู่ในวิชาหะดีษ ซึ่งบรรดาอุละมาอฺจะแต่งหนังสือที่รวบรวมตัวบทที่เกี่ยวกับเนื้อหาวิชานี้แต่จะใช้คำว่า "อัซซุหดฺ" คือ "สมถะ" อาทิเช่น "อัซซุหดฺ" ของอิมามวะกีอฺ อิบนุลญัรรอหฺ และหนังสือ "อัซซุหดฺ" ของอิมามอะหมัด อิบนุฮัมบาลียฺ และหนังสือ "อัซซุหดฺ" เช่นเดียวกันของอิมามอิบนุอบีอาศิม ต่อจากนั้นก็เริ่มมีนักปราชญ์ที่วิเคราะห์ปัญหาทางจิตใจอย่างลึกซึ้ง เช่น อัลฮาริษ อัลมุฮาสิบียฺ และอบูฏอลิบ อัลมักกียฺ สองท่านนี้เป็นผู้ริเริ่มขยายความเกี่ยวกับตัวบทที่เกี่ยวกับเรื่องสมถะ โดยจะเน้นความยำเกรงต่ออัลลอฮฺและปฏิบัติตัวให้เคร่งครัด ซึ่งเนื้อหาของตำราของสองท่านนี้ เช่น "อุตุลกุลูบ" ของอบีฏอลิบ อัลมักกียฺ และ "อัรริอายะฮฺ" ของอัลฮาริษ อัลมุฮาสิบียฺ ยังคงอยู่ในกรอบและหลักซุนนะฮฺเป็นส่วนมาก แต่เมื่อถึงศตวรรษที่ 4 ที่ 5 กระแสการแต่งหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องสมถะเริ่มเข้มข้น ซึ่งจะปะปนกับเรื่องปรัชญาและแนวสมถะที่บ่าไหลมาจากวัฒนธรรมและศาสนาอื่น เช่น สมถะ ในศาสนาฮินดู พราหมณ์ และพุทธ อันเป็นบรรดาวัฒนธรรมที่อยู่ในดินแดนที่อิสลามได้พิชิต จึงได้รับอิทธิพลของประชาชาติที่เคยมีแนวสมถะดังกล่าวและเข้ามาเป็นมุสลิม ผู้แรกที่ได้ผนวกสมถะในแนวอิสลามบริสุทธิ์กับสมถะในลัทธิและศาสนาอื่นๆคือ อิมามอบูฮานีฟ อัลฆ่อซาลียฺ  ท่านได้เริ่มเปลี่ยนแปลงชีวิตหลังจากที่ได้รับการศึกษาทางนิติศาสตร์อิสลามอย่างกว้างขวาง จนถึงจุดที่พวกตะเซาวุฟเขาเรียน "ตรัสรู้" หรือ "อัลมะอฺริฟะฮฺ" หมายถึง ความรู้ที่แท้จริง อัลฆ่อซาลียฺจึงเริ่มกระบวนการตั้งหลักสูตรตะเซาวุฟอย่างเป็นวิชาการ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็จะเป็นเนื้อหาที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน โดยท่านได้ตั้งหลักสูตรสำหรับผู้แสวงหา ตรัสรู้ หรืออัลมะอฺริฟะฮฺ เป็น 3 ขั้น ขั้นแรก ก็ได้แต่งหนังสือ ฮิดายะตุ้ลฮิดายะฮฺ ขั้นที่สอง หนังสือมินฮาจ อัลกอสิดีน ขั้นที่สาม อิหฺยาอุลูมุดดีน กลุ่มซูฟีและตะรีกัตได้ถืออิมามฆ่อซาลียฺเป็นบุคคลสำคัญที่ก่อตั้งโครงสร้างวิชาตะเซาวุฟ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าในเนื้อหาของหนังสือของอิมามฆ่อซาลียฺ มีสาระที่เป็นประโยชน์ ดังที่อุละมาอฺหลายท่านได้กล่าว เช่น ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮฺ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังมีเนื้อหาที่ไม่ถูกต้อง อาทิเช่น หะดีษเมาฎูวฺและฎออีฟอย่างมากมาย จึงทำให้นักปราชญ์หะดีษ เช่น อิมามอัลอิรอกียฺ ต้องตรวจสอบและให้คำชี้แนะเกี่ยวกับตำแหน่งหะดีษของอิหฺยาอุลูมุดดีน ในหนังสือ "อัลอัสฟาร ฟีฮัมริลอัสฟาร บิตัครีจญฺมาฟียฺ อิหฺญาอิอุลูมิดดีน มินัลอาษาร" และอุละมาอฺอื่นๆที่รู้ถึงคุณค่าของเนื้อหาบางประการในอิหฺยาอุลูมุดดีน ต้องคัดหนังสือให้มีเพียงเนื้อหาที่ไม่คลาดเคลื่อน เช่น อิมามอิบนุกุดามะฮฺได้ย่อหนังสืออิหฺยาอุลูมุดดีน และอิมามญะมาลุดดีน อัลกอศิมียฺ ศตวรรษที่ 13 (ฮ.ศ.) ก็ได้ย่อหนังสืออิหฺยาอุอุลูมุดดีนเช่นเดียวกัน ไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งเรียกว่า "เอาอิซอตุลมุอฺมินีน ฟิคติซอริ อิหฺยาอิอุลูมิดดีน" และอุละมาอฺอื่นๆเช่นเดียวกันที่พยายามย่อหนังสืออิหฺยาอุลูมุดดีน โดยคัดเนื้อหาที่ไม่มีความคลาดเคลื่อน อุละมาอฺเหล่านี้ล้วนเป็นนักวิชาการที่มีความเคร่งครัดด้านซุนนะฮฺและอะกีดะฮฺของอัสสะละฟุศศอลิหฺ จึงทำให้หนังสือที่พวกท่านได้ย่อมาจากอิหฺยาอุลูมุดดีน ปราศจากความคลาดเคลื่อนด้านอะกีดะฮฺและบิดอะฮฺต่างๆ เพราะอัลฆ่อซาลียฺโดยพื้นฐานการศึกษาอะกีดะฮฺของท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญในอะกีดะฮฺอัชอารียะฮฺ และโดยพื้นฐานด้านตะเซาวุฟถือว่าเป็นกลุ่มซูฟีที่มความคลาดเคลื่อนมากพอสมควร ดังนั้นอุละมาอฺซุนนะฮฺจึงไม่มีใครแนะนำให้อ่านหนังสืออิหฺยาอฺอุลูมุดดีน เว้นแต่ผู้เชี่ยวชาญและหนักแน่นในแนวทางซุนนะฮฺและความรู้ด้านศาสนา หนังสืออิหฺยาอุลูมุดดีนกลายเป็นต้นตำรับของกลุ่มตะรีกัตและซูฟี โดยเฉพาะในเรื่องอุตริกรรม(บิดอะฮฺ)และการปฏิบัติอิบาดะฮฺที่บิดเบือนไปจากแบบฉบับของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อาทิเช่น การใช้ดนตรีเป็นวิธีสร้างความซาบซึ้งให้แก่จิตใจ ซึ่งฆ่อซาลียฺได้วิเคราะห์เรื่องนี้ในหัวข้อ "อัสสะมาอฺ" ในหนังสืออิหฺยาอุลูมุดดีน และเนื้อหานี้ส่วนมากถูกลอกมาจากหนังสือ "อัรริซาละฮฺ" ของอัลกุชัยรียฺ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางวิชาตะเซาวุฟในศตวรรษที่ 5 ก่อนยุคฆ่อซาลียฺไม่นานนัก ในหนังสืออัรริซาละฮฺมีการพูดถึงความสำคัญที่ซูฟียฺต้องฟังบทกลอนเกี่ยวกับความสมถะด้วยทำนองและดนตรี เพื่อสร้างจิตใจอันสงบและความซาบซึ้งในเนื้อหาแห่งสมถะ ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮฺรู้ถึงอันตรายของเนื้อหานี้ จึงได้แต่งหนังสือเล่มหนึ่งตอบโต้เรื่องนี้โดยเฉพาะ และได้กล่าวถึงแนวทางของอัสสะละฟุศศอลิหฺเกี่ยวกับเรื่องสมถะ ผู้ใดอ่านหนังสือเล่มนี้จะสามารถเข้าความคลาดเคลื่อนของกลุ่มซูฟียฺอย่างดี   แนวตะเซาวุฟของฆ่อซาลียฺเป็นแนวทางที่มีความคลาดเคลื่อน แต่ก็ยังมีแนวที่รุนแรงและบิดเบือนมากกว่านี้ นั่นคือ "แนวตะเซาวุฟฟัลสะฟียฺ" ซึ่งเป็นวิชาตะเซาวุฟที่ปะปนกับแนวปรัชญาล้วนๆ จึงทำให้มีความเชื่อที่บิดเบือนหลักอะกีดะฮฺของอิสลามอย่างรุนแรง แนวตะเซาวุฟนี้ได้มีนักปราชญ์หลายคนที่แต่งตำรับตำราสนับสนุนผลักดันให้ความคิดดังกล่าวเป็นกระแสที่มีความรุนแรงตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 เป็นต้นมา โดยผู้ที่มีชื่อเสียงในแนวนี้คือ อิบนุอะรอบียฺ อิบนุสับอีน อัลฮัลลาจญฺ สามคนนี้ล้วนเป็นผู้ที่อุตริเรื่อง "วิหฺดะตุ้ลวุญูด" ให้เป็นจุดมุ่งหมายของบรรดาซูฟียฺทั้งหลาย วิหฺดะตุ้ลวุญูดนี้คือ "ตรัสรู้" แต่ได้ตีความให้มีรูปธรรมในเชิงเชื่อและปฏิบัติ เพราะ "ตรัสรู้" ในความคิดของกลุ่มนี้หมายถึง เชื่อและรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นส่วนหนึ่งจากพระเจ้า เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นร้อนในวงผู้ที่กล่าวถึงวิชาตะเซาวุฟ จนกระทั่งถูกบรรจุเป็นตำแหน่งดีเลิศของซูฟียฺที่ขยันทำอิบาดะฮฺ และความคิดนี้ถูกพัฒนาด้วยการวิคราะห์ของกลุมตะรีกัตหลายกลุ่ม โดยเฉพาะอัลฮัลลาจญฺ ซึ่งเป็นผู้แรกที่ประกาศว่าผู้ถึงจุดตรัสรู้จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นพระเจ้า จึงไม่ควรทำอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺแต่อย่างใด อุละมาอฺในยุคนั้นจึงดำเนินคดีกับอัลฮัลลาจญฺและพิพากษาประหารชีวิต เพราะความคิดของเขาได้แพร่ไปทั่วโลกมุสลิม จึงสร้างความเสื่อมเสียกับจริยธรรมและความมั่นคงในสังคม อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้วิชาตะเซาวุฟกลายเป็นวิชาที่ถูกบรรจุในกระบวนการการศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ และสถาบันการศึกษาที่มีความเลื่อมใสกับแนวตะเซาวุฟ  ซึ่งอุละมาอฺได้มี 3 ทัศนะต่อวิชานี้ สองทัศนะที่รุนแรงคือ ทัศนะหนึ่งเห็นชอบและสนับสนุนให้ศึกษาเรียนรู้วิชานี้ถึงขั้นบรรจุเป็นหลักสูตรฟัรฎูอีน และอีกทัศนะที่ปฏิเสธวิชานี้อย่างสิ้นเชิง แต่มีทัศนะกลางที่กล่าวว่าบางตำราในวิชานี้ย่อมมีประโยชน์ระดับหนึ่ง ก็คัดส่วนที่เป็นประโยชน์และมีตัวบทให้เอามาใช้ และส่วนที่คลาดเคลื่อนก็ปฏิเสธและตักเตือนมิให้ใช้เสีย ส่วนตำราที่มีความคลาดเคลื่อนเป็นส่วนมากก็ไม่อนุญาตให้เอามาใช้เป็นอันขาด และนี่คือทัศนะโดยสรุปของชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮฺเมื่อถูกถามถึงหนังสืออิหฺยาอุลูมุดดีน ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าหากมุสลิมยังไม่มีความหนักแน่นในด้านวิชาการหรือความรู้และแนวทางซุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องกับวิชาตะเซาวุฟโดยเด็ดขาด เพราะความไม่มั่นคงด้านวิชาการอาจเป็นประตูที่จะทำให้หลงผิด สุดท้ายนี้ผมต้องพูดอย่างชัดเจนว่าถ้ามุสลิมไม่เรียนรู้วิชาตะเซาวุฟ ก็ไม่ถือว่าบกพร่องแต่อย่างใด และไม่ขาดทุนแต่อย่างใด ต่อเมื่อยึดมั่นในกิตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺอย่างครบถ้วน ซึ่งแนวทางของอัสสะละฟุศศอลิหฺเกี่ยวกับเรื่องความสมถะมีเพียงพอสำหรับชาวซุนนะฮฺ แต่สำหรับคนที่อยากเสาะหาความรู้ ก็ขอให้คำนึงถึงข้อแนะนำที่นำเสนอข้างต้น และขออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ประทานความหนักแน่นและเข้มแข็งบนแนวทางซุนนะฮฺของท่านนบีโดยทั่วกัน วัสสลามุอะลัยกุม วะเราะหฺมะตุ้ลลอฮฺ วะบะร่อกาตุฮฺ ริฎอ อะหมัด สมะดี 29 ก.ย. 48 http://www.islaminthailand.net/text.php?id=41 จากคุณ : hayeerun - [ 7 ม.ค. 51 19:30:09 ]

ความคิดเห็นที่ 2 คือนิดนึงครับ ผมพื้นฐานเป็นพุทธอะนะ จุดหลักของเราคือการสร้างความเข้มแข็งทั้ง ในและนอก ได้เท่าไหร่ก็แล้วแต่กรรมใครกรรมมันล่ะ ประมาณว่า ชาตินี้หมดปัญญาชาติหน้าว่ากัน แต่ที่มีตอนนี้ฉันต้องแข็งทั้งนอก และมั่นคงภายในจิต เราถึงเรียกว่าพร้อมทั้ง กาย วาจา ใจ เท่าที่ฟังมา ผมว่า จุดหลักของ ตะเซาฟ์วูฟคือการเจียมตัวด้วยเป็นบ่าว จึงจะเคร่งครัดทุกเม็ดทุกดอกมากกว่า แถมมาด้วยไม่ใช่แค่ภายนอกที่ละหมาด ลับหลังโกงชาติ บิดเบือนคำสอนเข้าข้างพรรคพวกและตัวเอง ดังนั้นพวกซูฟีจึงน่าจะเน้นการเกิดจากข้างในออกมาด้วยพร้อมๆกันรึเปล่า เพราะ การเป็นบ่าวที่ดีที่สุด...คือ.... คุณชอบลูกน้องโง่เหรอครับ? คุณชอบลูกน้องไม่ซื่อสัตยหรือครับ? คุณชอบลูกน้องเอาแน่นอนไม่ได้หรือครับ? ... ซึ่งปัญหาของซูฟียุคหลังก็คือการหลงทางศรัทธา ก็เหมือนอย่างมุอมินสมัยนี้นั่นแหละ แล้วมันต่างตรงไหน ถ้ามีแต่ภายนอก รึรัดนอกรัดในแต่ไม่ได้ใช้ปัญญา ฟังๆ ดูตะเซาวูฟคือการสร้างจากข้างใน ผมเข้าใจถูกรึเปล่า ขอคำอธิบายเคลียๆ หน่อยก็ดีครับ ให้ดีตั้งแต่โครงสร้างเบื้องแรกเลยยิ่งดีครับ ยิ่งอ่านยิ่งน่าสนใจ ขอบคุณมากครับ จากคุณ : itoursab (itoursab) - [ 7 ม.ค. 51 21:21:38 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ดูเหมือนตะเซาวุฟก็เป็นเหมือนเรื่องทั่ว ๆ ไปที่มีทั้งสุดโต่งหลุดขั้ว และตะเซาวุฟที่อยู่ในหนทางนั่นล่ะค่ะคุณแสบ ตะเซาวุฟเป็นวิชาว่าด้วยการขัดเกลาตนเอง ไปสู่ความสูงส่งของจิตใจ ตะเซาวุฟนั้นเป็นขั้นระดับที่สูงส่ง ตะเซาวุฟ คือการปรับปรุง แก้ไขจิตใจโดยอาศัยจริยธรรมที่มีมาตามบทบัญญัติทั้งภายนอกและภายใน ตะเซาวุฟนั้นดำเนินไปตามครรลองครองธรรมแห่งอัลกุรอ่านและอัลฮาดิษ  โดยปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งอัลลอฮฺและปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของท่านศาสดามูฮำมัดในด้านจริยธรรม สภาวการณ์ บริโภคของฮาล้าล (สิ่งที่อนุญาต) มีความบริสุทธิ์ใจในทุกๆการงาน ตอบรับคำสั่งใช้แห่งอัลลอฮฺทุกประการโดยไม่ละเลยในเรื่องที่วาญิบ (สิ่งจำเป็นต้องปฏิบัติ) ไม่เข้าใกล้ข้อห้ามต่างๆ ประพฤติตนด้วยลักษณะที่น่าสรรเสริญ และละทิ้งพฤติกรรมที่น่าตำหนิ ตะเซาวุฟเป็นวิชาที่ว่าด้วยการฝึกจิตใจให้พ้นจากขอตำหนิต่างๆ เป็นแนวทางที่ดำรงอยู่ได้ด้วยกับความรู้และนำความรู้นั้นไปปฏิบัติด้วย ขั้นสูงสุดของตะเซาวุฟก็คือการรู้เตาฮีด (รู้การเป็นเอกะของอัลลอฮฺ) และการนำเอาสิ่งที่วาญิบ (สิ่งจำเป็น) มาปฏิบัติก่อนสิ่งที่เป็นสุนัต (สิ่งที่ส่งเสริมให้ปฏิบัติ) หลังจากนั้นก็ประพฤติตนให้อยู่ในกรอบแห่งความดีงามต่างๆ ใช้ชีวิตอย่างสมถะ และสวมอาภรณ์แห่งจริยธรรมที่ดีงาม ตะเซาวุฟ ? ซูฟีย์ http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?topic=4.0 แก้ไขเมื่อ 07 ม.ค. 51 23:22:46 จากคุณ : ลมหนาวกับดาวเดือน - [ 7 ม.ค. 51 23:22:03 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ตะเซาฟ์วูฟคือการเจียมตัวด้วยเป็นบ่าว จึงจะเคร่งครัดทุกเม็ดทุกดอกมากกว่า แถมมาด้วยไม่ใช่แค่ภายนอกที่ละหมาด จากคุณ : itoursab (itoursab) นอกจากจะไม่ใช่ละหมาดแล้วลับหลังโกงชาติ  วิชาตะเซาวุฟยังบอกอีกว่า เราละหมาดเพื่อแสวงหาความพอใจของพระเจ้า ไม่ใช่ละหมาดเพียงเพราะจะเอาการงานไปแลกกับสวรรค์ของพระองค์  เพราะเป้าหมายสูงสุดของอิสลาม คือการทำให้พระเจ้าพอใจภายใต้กรอบของพระองค์ที่เต็มไปด้วยความรอบรู้และยุติธรรม เพราะฉะนั้นถูกแล้วค่ะ การละหมาดไม่ใช่เพียงเพื่อละหมาดไปวัน ๆ ให้ผ่านตามเกณฑ์กำหนด แต่ต้องละหมาด เคารพสักการะด้วยกับหัวใจ จากคุณ : ลมหนาวกับดาวเดือน - [ 7 ม.ค. 51 23:32:57 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ตัวอย่างคำสอนในวิชาตะเซาวุฟ ความจริงแล้วระหว่างมนุษย์คนหนึ่งกับสิ่งต่าง ๆ ที่รายล้อมรอบตัวเขา มิได้มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าความผูกผันระหว่างมนุษย์คนนั้นกับพระเจ้า(ร็อบบฺ) ผู้ทรงสร้าง .... ความผูกพันที่ต้องแสดงออกให้ประจักษ์ซึงสถานะระหว่างผู้สร้างและผู้ที่ถูกสร้าง               ระหว่างมนุษย์และสิ่งอื่น ๆ จึงกลายเป็นเรื่องรองและบางครั้งเป็นเรื่องลวง ระหว่างมนุษย์กับเกียรติยศของเขา ระหว่างมนุษย์กับทรัพย์สินของเขา ระหว่างมนุษย์กับเพศตรงข้ามที่เขาถวิลหา ระหว่างมนุษย์กับชาติพันธุ์ของเขา  .... ระหว่างมนุษย์กับดุนยา(โลกนี้)ที่รายล้อมเขาอยู่   จาก : ระหว่างร็อบบ (พระเจ้า) กับอินซาน (มนุษย์) ความจริงที่จะหลงประเด็นไปไม่ได้ http://www.fityah.com/index.php?option=com_content&task=view&id=73&Itemid=1 จากคุณ : ลมหนาวกับดาวเดือน - [ 7 ม.ค. 51 23:38:02 ]

ความคิดเห็นที่ 6 การเตาบะฮฺ http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?topic=296.0 การขอดุอาคือเป้าหมาย http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?topic=77.0 เมื่อมุอ์มินถูกสรรเสริญเขาจะละอายต่ออัลเลาะฮ http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?topic=720.0 มีอีกเยอะค่ะ ลองตามไปอ่านดู http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?board=7.0 ขอพระเจ้าช่วยเหลือ วัสลาม แก้ไขเมื่อ 07 ม.ค. 51 23:51:35 จากคุณ : ลมหนาวกับดาวเดือน - [ 7 ม.ค. 51 23:45:35 ]

ความคิดเห็นที่ 7 อ่านแล้วแจ่มเลยครับ พอๆ เห็นอะไร แต่ใครมีมากกว่านี้หะหะ กำลังกระหายมากครับ ขอความรู้มาดับความกระหายหน่อยเถอะ จากคุณ : itoursab (itoursab) - [ 8 ม.ค. 51 14:25:42 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณคุณลมหนาวมาก อธิบายได้ดีเยี่ยมทีเดียว ครูบางคนบอกผมว่า วิชาฟิกส์(นิติศาสตร์อิสลาม) คือร่างกาย วิชาอูซูลุดดีน(หลักศรัทธา) คือ สมอง และสติปัญญา วิชาตะเซาวุฟ(ไม่รู้จะเรียกภาษาไทยว่าอะไร) คือหัวใจ จากคุณ : ghanee.s - [ 8 ม.ค. 51 15:47:30 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ฮืม ... เจอพี่ghanee.s งง เลยครับ ลองอธิบายหลักวิชาทั้งหมดของอิสลามได้ป๊ะครับ ส่วนตอนนี้ขอตัวไปอ่านที่คุณลมหนาวแกโพสมาก่อนเยอะมากกก.... กรัก่ๆ ขอบอก มากๆๆ จริงๆ อ้อๆ ลืมไป... เตาฮบัตนะผมเชื่อตามนี้้นะครับ ก่อนขอ้แรก .... ต้องมีจุดประัสงค์ที่เด่นชัดว่าเพื่อใครโดยวิถีของอะไรบ้าง แล้วเลือกกก... มัสยิตที่น่าเชื่อถือ จากนั้น จุดหลักในนั้นที่ไม่ตรงกับบทความก่อนนั้นคือ 1. ต้องบ่งชี้ให้ได้ก่อนว่าบาปคืออะไรกันแน่ (ไม่งั้นก็เหมือนเมกาบุกอิรัคนั่นแหละ) 2. กระบวนการสำนึกจริงต้องเกิดโดยศรัทธา ไม่ได้มีสิ่งใดเคลือบแฝง 3. สำนึก 4. สำนึุก 5..... กลับไปข้อแรกก่อน ค่อยกลับลงมา http://www.islaminthailand.net/text.php?id=228 http://www.islaminthailand.net/text.php?id=233 http://www.islaminthailand.net/text.php?id=236 ก็อย่าง ที่เห็นแหละ ครับ...กรั่กๆ จากคุณ : itoursab (itoursab) - [ 8 ม.ค. 51 21:31:14 ]

ความคิดเห็นที่ 10 งงเลยหรือครับ แหมผมเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้วยสิครับ อธิบายง่ายๆ ก็แล้วกันนะครับ จะเป็นอิสลามต้องมีความเชื่อว่า อัลเลาะห์เป็นพระเจ้าองค์เดียว และปฏิบัติตามศาสดา ทีนี้การปฏิบัติตามศาสดา ก็คือปฏิบัติตามกุรอ่านและแบบฉบับของท่าน ทีนี้มันก็เกิดปัญหาขึ้นมาอีก การเชื่อว่าอัลเลาะห์เป็นเจ้าองค์เดียว มันเป็นยังไงละ อะไรละที่จะทำให้เราเชื่ออย่างนั้น เราจะเชื่อได้อย่างไรพระเจ้าเราก็ไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัส ส่วนการปฏิบัติตามกุรอ่าน และแบบฉบับศาสดา ก็เป็นปัญหาอีก กุรอ่านถูกเรียบเรียงขึ้นมาแตกต่างจากหนังสือทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ไม่สามารถใช้หลักการเขียนโดยทั่วไป มาจับใจความในกุรอ่านได้ ภาษาที่กุรอ่านใช้ก็เป็นวรรณกรรม ขั้นสูง ไม่แน่ใจว่าจะให้ความหมายครอบคลุมได้หมด ข้อห้ามข้อใช้ก็เป็นเพียงคำสั่ง ไม่ระบุรายละอียดที่ชัดเจนในการปฏิบัติ ส่วนแบบ อย่างท่านศาสดา ก็มีการบันทึกมากมาย มีทั้งสามารถสอบกลับไปยังท่านศาสดาได้อย่างชัดเจน และไม่มั่นใจว่าสอบกลับไปถึงศาสดา และมีจำนวนมากมาย หลักหมื่นหัวข้อ ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญศาสนา หรือเรียกว่าอูลามะห์ได้ทำการ สรุปกุรอ่าน และบันทึกแบบฉบับศาสดา (หรือเรียกว่าฮาดิษ) ร้อยเรียงออกมาเป็นวิชาการต่างๆ มากมาย แต่มี 3 วิชาการ ที่เป็นหลักใหญ่ อันได้แก่ 1. วิชาฟิกส์(นิติศาสตร์อิสลาม) ว่าด้วยคำสั่งใช้และห้าม พร้อมทั้งรายละเอียดในการปฏิบัติ ครูผมถึงว่าเป็นร่างกายไงครับ 2. วิชาอูซูลุดดีน (หลักศรัทธา) ว่าถึงเรื่องการใชสติปัญญาใคร่ครวญ เพื่อให้เกิดความ ศรัทธาในพระเจ้า ทั้งยังเพื่อให้เราเข้าใจว่าถ้าได้ขึ้นชื่อว่ามุสลิม จะต้องมีหลักศรัทธาอย่างไร ทำให้เราเข้าใจคุณลักษณะของพระเจ้า ครูผมถึง ว่าเป็นวิชาของสติปัญญาและสมองไงครับ 3. วิชาตะเซาวุฟ พี่ลมหนาวอธิบายได้ค่อนข้างดีมาก เป็นวิชาที่จะรักษาหัวใจของเราให้มีความบริสุทธิ์ในทุกๆ การกระทำ ครูผมถึงเรียกว่า หัวใจไงครับ ส่วนอะไรเป็นตัวชี้บาป ก็การฝ่าฝืนในคำสั่งใช้ และปฏิบัติในคำสั่งห้ามที่อยู่ในวิชาฟิกส์ไง ครับ ส่วนการเตาบัติก็ใช้ในกรณี เผลอไปกระทำ ขัดกับสิ่งใช้และห้าม ก็ต้องสำนึกผิด ด้วยวาจา ใช้สมองพินิจว่ามั่นผิดจริงๆ บริสุทธิ์ใจในการสำนึกผิดและเสียใจในการทำผิด และปฎิบัติโดยการไม่หวนกลับไปทำอีก ครบ 3 วิชาในการทำเตาบัต ไหมครับ เหมือนเก้าอี้ สามขา ขาดหนึ่งขาก็ เก้าอี้ล้มได้แหละครับ ถ้ายังไม่เคลียร์รบกวนพี่ๆ ช่วยหน่อยครับ ผมหมดพุงแล้ว จากคุณ : ghanee.s - [ 8 ม.ค. 51 23:15:15 ]

ความคิดเห็นที่ 11 แจ่มครับ กร้ากก แหม่ๆ เล่นรีบหมดพุงง่ายๆ ฮาฮ่า ถ้าแบบนั้น ในหลักอิสลาม เราควรเสริมสร้างตรงไหนก่อนครับ หากตีความตามนี้ 1. วิชาฟิกส์(นิติศาสตร์อิสลาม) ถือว่าเป็นกาย 2. วิชาอูซูลุดดีน (หลักศรัทธา)ถือว่าเป็นสมอง 2. วิชาอูซูลุดดีน (หลักศรัทธา) ถือว่าเป็นใจ จากคุณ : itoursab (itoursab) - [ 9 ม.ค. 51 12:58:10 ]

ความคิดเห็นที่ 12 1.เริ่มจากอูซูลุดดีน เลยครับ เพื่อให้เรายอมรับ ด้วยสติปัญญาของเราเลยครับ ถึงความยิ่งใหญ่ของและเดชานุภาพของพระองค์ในสากลจักรวาล ว่า อยู่ภายใต้กำหนดและอนุมัติของพระผู้เป็นเจ้าทั้งหมด เมื่อเรายอมรับด้วยสติปัญญาของเราโดยดุษฎีแล้วก็ต่อด้วย 2. ศึกษาวิชาฟิกส์ เลยครับ เพื่อปฏิบัติตนได้ถูกต้อง ตามห้ามและใช้ ที่พระผู้เป็นเจ้าสั่ง เพื่อให้การปฏิบัติของเราห่างไกลจากบาป ในขณะเดียวกัน 3.ศึกษาตะเซาวุฟ เพื่อรักษาจิตใจให้บริสุทธ์อยู่เสมอในทุกการกระทำ ไม่ให้ถูกไชตอน และ กิเลสล่อลวงให้ทำผิด หรือ หาช่องทางในการทำผิด ตาม วิชาฟิกส์ ได้ง่ายครับ ตอนนี้เอาน้ำย่อยในกระเพาะ ออกมาเลยนะครับ จากคุณ : ghanee.s - [ 9 ม.ค. 51 14:03:25 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ท่าน ghanee.s เยี่ยมจริง ๆ ครับ จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 9 ม.ค. 51 14:33:16 ]

ความคิดเห็นที่ 14 กร้ากๆ แหม่ๆ พี่ก็ ฮ่าอ่า คือผมกำลังเรียบเรียงน่ะครับ ที่อธิบายมาพอเข้าใจแล้ว (คงไม่ต้องถึงกับให้่เอาในลำไส้ออกมาด้วยหรอก กรั่กๆ) อ้อๆ นิดส์นึดคือเพิ่งเริ่มศึกษาอย่างจริงๆ จังๆ กำลังมองหาคำว่า ศรัทธา จริงๆที่หนักแน่นพอจะไม่ทำให้เราเขวไป ไม่อยากเป็นแพที่ไม่มีหลักครับ ฟิกซ์นะตัดไปก่อนได้(ไม่ใช่ไม่เรียนนะ แต่คอ่ยๆไป) ผมมองที่ อูซูลุดดีน กับตะเซาวูฟ แน่นอน หากเราเข้าใจในพวก เตาฮีต รึอะไรๆ เราก็จะยอมรับในสถานะภาพที่เหมือนหลักวิทยาศาสตร์ อันนี้ไม่รู้นะ ตามความคิดเห็นนะครับ ถูกผิดว่ากันไป แต่ศาสนามันมากกว่านั้น หลักวิทยาศาสอาจจะถูกล้มล้างได้ เหมือนฝนเนี่ย บอกว่า มะลัยกัตพามาแต่ละเม็ดๆ แต่พอวิทยาศาสตร์บอกว่า เกิดจากไอน้ำ ก็ต้องพยายามไปหาเหตุผลมาประกอบหลักศรัทธากันไม่จบ ดีไม่ดีไปโต้แย้งหาว่าอีกฝ่ายไม่ดีผิดใจไปกันอีก หาเรื่องล้มล้างกันอีก แต่หากคิดด้วยตะเซาวูฟแล้ว ก็จะบอกว่านั่นแหละ สภาวะการณ์ จากเมฆฝนที่เห็นนั่นนะ อัลลอฮประทานให้มะลัยกัตพาลงมา แม้แต่ฝนเทียม นั่นก็เพราะประสงค์หรอก ไม่งั้นถึงจะทำให้ตายก็ไม่มีทางที่ฝนจะลงมาได้หรอก ฟังดูห้วนกว่า แต่ฉันเชื่อฉันแบบนี้ และไม่ขัดด้วยที่เธอว่าเธอไปสร้างฝน เพราะที่เธอทำนั่นก็ด้วยพระประสงค์เช่นกัน ฉันก็ไม่ได้ว่าเธอ แต่ฉันบอกว่า ฝนนั้นก็เป็นความประสงค์ของอัลลอฮเช่นกัน ฟังดูตลกมั๋ย แต่ผมก็เชื่อแบบนี้เช่นกัน ผมเลยสับสนพอควร ผมเลยคิดว่า อะไรกันแน่ที่ควรเรียนก่อน สำหรับคนนอกศาสนาเพื่อจะสร้างศรัทธา ก็ตัดฟิกซ์ไปก่อนไม่ใช่ไม่สนนะครับ แต่ค่อยๆ ทำไป เหลือ อุซูลุดดีนกับ ตะเซาวูฟ เนี่ยแหละ แนะนำที่ศึกษา รึหนังสือควรอ่านหน่อยแล้วกันครับ จากคุณ : itoursab (itoursab) - [ 9 ม.ค. 51 17:38:58 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ลองฟังเรื่องพระเจ้าในบล็อกผมดูไหมครับ? มันเสียไปแล้ว เข้าไปฟังในนี้ได้เลยครับ หลักศรัทธาในพระเจ้า http://www.muslimthai.com/bayaan/asx_web/474e8d2ff7eee03982fe32de9dc8a567.asx แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 51 18:52:00 แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 51 18:33:19 จากคุณ : fowleres - [ 9 ม.ค. 51 18:32:17 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เรื่องฝนตกด้วยพระประสงค์ของพระเจ้า หรือมาลลาอีกัตพามา หรือ ด้วยกระบวนการระเหยกลายเป็นไอ จนรวมตัวกลายเป็นเมฆ แล้วควบแน่น กลายเป็นฝน ล้วนอยู่ในวิชาอูซูลุดดิน ทั้งสิ้นครับ มันจะอยู่ในหลักศรัทธาข้อที่ 6 ครับ ว่าด้วยเรื่อง การกำหนดสภาวะการณ์ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งสภาวะการณ์ที่พระเจ้ากำหนดมีถ้าจำไม่ผิดมี 2 ประการ (ผมจำไม่ได้แล้วว่าภาษาอรับว่าอย่างไร) 1.สภาวการณ์แบบตายตัว(ภาษาไทยอันนี้ผมก้ตั้งขึ้นเองแหละครับ) เช่น เอามีดเฉือนเนื้อ ก็เกิดแผล , น้ำมันเจอประกายไฟพร้อมกับออกซิเจน ก็เกิดไฟลุก มีเหตุปัจจัยก็ต้องมีผล คอนเซ็บของพุทธศาสนาเลยครับ(ขออภัยที่พาดพิง) แบบนี้เป็นต้น และเป็น วิทยาศาสตร์เลยครับ (วิทยาการอิสลามในอดีตเจริญรุ่งเรืองก็ด้วยหลักศรัทธาข้อนี้แหละครับ........อันนี้ความเห็นนี้ของผมเองครับ^^) การเกิดฝนตามหลักวิทยาศาสตร์ ก็ด้วยหลักศรัทธาข้อนี้แหละครับ 2.สภาวการณ์แบบไม่ตายตัว (ภาษาไทยอันนี้ผมก้ตั้งขึ้นเองอีกแหละครับมันจำไม่ได้นี่น่า) อันนี้ขึ้นอยู่กับประสงค์ของพระเจ้าเลยครับ เช่นมีนักเรียนช่างกล 2 โรงเรียนตีกัน นับร้อยคน แล้วเรา โยนก้อนหิน ไปในกลุ่มนั้น ไม่สามารถ บอกได้เลยครับ ว่าก้อนหินจะโดนหัวไคร เป็นประสงค์ของพระเจ้าล้วนๆเลยครับ วิทยาศาสตร์ควอนตัม ก็แค่คาดการณ์ ได้คร่าวๆว่านาย ก นาย ข นาย ค มีโอกาสมากที่สุด แต่ก็คาดเดา เป๊ะๆ ไม่ได้ (ไฮเชนเบิร์ก เทียวรี่ อิลามมองออกตั้งนานแล้ว^^) การที่มุสลิมมีความเข้มแข็ง และความหวัง เมื่อพบ มรสุมชีวิต และสวดมนต์อ้อนวอนกับพระเจ้า ก็ด้วย หลักศรัทธา ข้อนี้แหละครับ(อันนี้ก็ความเห็นนี้ของผมเองอีกแหละครับ^^)  เพราะทุกอย่าง พระเจ้าประสงค์ เหตุการณ์ทุกอย่างสามารถพลิกผันได้ ขึ้นอยูกับ พระประสงค์ของพระเจ้า ส่วนจะให้มลาอีกัตพาฝนลงมาด้วย อันนี้เป็นเรื่องเร้นลับ (เฆบ) ถ้าพระองค์ทรงประสงค์ก็เป็นไปได้ครับ ยังไม่หลุดออกนอกวิชาอูซูลุดดีนครับ ส่วนการมอง ฝนตกในหลักตะเซาวุฟ คือมองว่า ฝนที่ตกนั้นแท้จริงไม่มีหรอก ความเย็น และความชื้นของฝนแท้จริงก็ไม่มี คงมีแต่พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น เรื่องนี้ ใช้สติปัญญาไม่ได้หรอก มันต้องใช้หัวใจ พูดไปตอนนี้ มีแต่จะงงเป็นไก่ตาแตก ถ้าพื้นฐานอูซูลุดดีนไม่แน่น เรียนไปมีแต่จะเวียนหัวความคิดแตกกระเจิงออกทะเล(คำนี้แสลงจริงๆ^^) ครับแม้แต่มุสลิมบางคนยังปฏิเสธเลยครับ ดังนั้น เชื่อผมเถอะ เรียนอูซูลุดีนให้แน่น จนเข้าใจและศรัทธา ในระดับสติปัญญาก่อน จากนั้นจะเรียนฟิกส์ กับ ตะเซาวุฟก็ไม่สายหรอกครับ แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 51 20:28:34 แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 51 20:22:21 แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 51 19:43:04 แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 51 19:41:13 จากคุณ : ghanee.s - [ 9 ม.ค. 51 19:38:24 ]

ความคิดเห็นที่ 17 หะหะ.. ไอ้อันหลังน่าฟังครับ หากมองแบบตะเซาวูฟ หรือมองแบบย้อนกลับไปหาอัลลอฮเป็นไง สนใจถึงสนใจมาก ลองไล่ให้ฟังดูหน่อยครับ เคยได้ยินมาเหมืือนกันแต่ไม่ค่อยเข้าใจนัก แค่เวลาไม่กี่นาทีที่พี่แกบอก เข้าใจแต่เรื่อง หัวใจที่คล้ายๆ หัวหอม(ไม่ใช่หัวหอมที่ใช้ยำนะ) แล้วก็ปากของไซตอน ซึ่ง.. ขอโทษนะไม่ได้เปรียบเทียบ วิธีจะคล้ายๆ กับพวกพุทธํสไตล์วชิระณาญ ซึ่งก็นั่นเป็นวิธีทำสมาธิอีกแบบที่ผมเคยได้ยินมา ซึ่งแบบนั้นไม่เหมือนแบบธรรมดาพวกวิปัสนาแบบในบ้านเรา (และที่พวกคนพุทธทั่วๆไปก็จะแค่สมาธิที่เราฝึกกันทุกคนตั้งแต่เด็กเป็นพื้นฐาน) แต่อีกแบบนั่นจะเริ่มจากความเชื่อที่ว่า ทั้งหมดทั้งปวงเกิดจากวิญญาณใหญ่หนึ่งดวง แตกกระจายย่อยออกมา กระเด้งกระจายกระทบกันไปเรื่อยๆ ไปตามกรรมจนกว่าจะหยุด วิธีคิดแบบตะเซาวูฟฟังๆทีี่มีคนเคยเล่าแต่ไม่ค่อยเข้าใจ (เรื่องยาว แต่นั่นแหละพระประสงค์จริงๆ เรื่องนี้น่ะ) ก็คล้ายๆกัน เริ่มจาก ศาสดา มาไล่ มูฮัมมัด ..(แต่ตอนนั้นยังไม่ใชนบีแบบนี้นะ)..เกิดน้ำ เกิดขยุ้มดิน ไล่มาเรื่อยๆ ... จนถึงใจเราเนี่ยแหละ แล้วผ่านทะลุเปลือกชั้นต่างออกไป แต่โดนไซตอนขย้ำทำร้ายลากจูง จนสุดท้ายออกสุ่ภายนอก ไล่กลับไปกลับมาในห่วงโซ่ แกไม่ต้องเล่าถึงสุดท้ายเลยอ่ะ.. ไล่ไปไล่มา เออนะ ทุกอย่างหายไปหมด ตัวเราตัวเค้า บาปกรรม บุญ... เหลือแต่อัลลอฮ กับพระประสงค์   (ขอบอกฟังแล้วขนลุกซู่เลย แต่นะหึหึ อจิณไตยครับ อจิณไตย) และขอบอกว่า เรื่องพวกนี้ผมฟังแล้วเข้าใจมากกว่า เรื่องหลักอูซูลุดดีน รึว่าฟิกซต่างๆเยอะ สำหรับคนพื้นฐานพุทธต่ำๆ อิสลามด้อยๆ อย่างผม เพียงแต่ก็บ่อยๆเวลามีปัญหาที่จะนั่งสมาธิ คืนไหนนอนไม่หลับ ยิ่งเมื่อก่อนตอนคบกับเธอดว้ย มันจะเครียดๆโดนกวนบ่อย ก็จะ็ไม่ค่อยได้นอน ก็สมาธิเนี่ยแหละ ลดเวลานอนครับ หะหะ จะบอกว่าทำสมาธิแล้วทำไมยังเอาเรื่องในกระทู้อื่นมาเกี่ยวรึเปล่า กรั่กๆ ไม่นะๆ คนละเรื่อง รบกวนลองช่วยไล่ให้ดูหน่อยเถอะครับ เรือ่ง ฝนตกตามหลักตะเซาวูฟเนี่ย ถือว่าเป็นวิทยาทาน จากคุณ : itoursab (itoursab) - [ 9 ม.ค. 51 21:46:46 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เรื่องฝนตกตามหลักตะเซาวุฟ (โอ้โห เอาเรื่องนี้เป็นตัวแปร แทนทุกสิ่งที่เวียนอยู่ในธรรมชาติเลยดีมั้ย เวลาตามหลักเซาวุฟ จักรวาลตามหลักตะเซาวุฟ) คุณ itoursab คุณนี่สุดยอดจริง ๆ ให้ตาย (ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมอธิบายคำถามนี้ไม่ได้) เอาเป็นว่า อัลลอฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริงก็แล้วกันครับ (อธิบายได้แค่นี้ ^^) แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 51 22:22:41 จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 9 ม.ค. 51 22:20:20 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ฝนตกเป็นวัฏจักร -จากน้ำในทะเลระเหยเป็นไปรวมตัวเป็นก้อนเมฆ แล้วตกลงมาเป็นน้ำฝน - มุสลิมเชื่อว่าวัฏจักรนี้พระเจ้ากำหนด  ดังนั้นฝนตก ด้วยอนุมัติของพระองค์  หากวันไหนฝนไม่ตก ก็คือวัฏจักรไม่เกิดเพราะพระเจ้าไม่อนุมัติ   .. แล้วใช้อธิบายได้กับเรื่องแผ่นดินไหว ฟ้าผ่า สึนามิ ฯลฯ วัฏจักรนี้ เรียกอีกอย่างว่า การกำหนดสภาวการณ์ ของพระเจ้า   ซึ่งทั้งมนุษย์ ต้นไม้ น้ำทะเล หรือโลกทั้งโลกอยู่ภายใต้กำหนดสภาวการณ์นี้ทั้งนั้น (ข้อ 1 ที่คุณฆอนียกมา) แก้ไขเมื่อ 10 ม.ค. 51 01:10:40 จากคุณ : ลมหนาวกับดาวเดือน - [ 10 ม.ค. 51 01:09:04 ]

ความคิดเห็นที่ 20 หะหะ ผมว่าผมถามไม่เคลียอีกแระ กรั่กๆ ความหมายคือ ที่คุณ ghanee.s บอกว่า "ส่วนการมอง ฝนตกในหลักตะเซาวุฟ คือมองว่า ฝนที่ตกนั้นแท้จริงไม่มีหรอก ความเย็น และความชื้นของฝนแท้จริงก็ไม่มี คงมีแต่พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น เรื่องนี้ ใช้สติปัญญาไม่ได้หรอก มันต้องใช้หัวใจ พูดไปตอนนี้ มีแต่จะงงเป็นไก่ตาแตก ถ้าพื้นฐานอูซูลุดดีนไม่แน่น เรียนไปมีแต่จะเวียนหัวความคิดแตกกระเจิงออกทะเล(คำนี้แสลงจริงๆ^^) ครับแม้แต่มุสลิมบางคนยังปฏิเสธเลยครับ" ผมก็เลยอยากฟังว่ามันเป็นอย่างไร หากมองในแบบนั้น เพราะการมองตามหลักอูซูลุดดีน หรือจริงๆไมอยากเรียกหลักศรัทธาเลย น่าจะเรียกหลักศาสนา เราก็จะอธิบายได้ในแง่หนึ่ง เหมือนที่  คุณghanee.s ตอบซึ่งนั่นก็ถือว่าพยายามอธิบายตามหลักอูซูลุดดีน และเอาความรู้พื้นฐาน(หลักวิทยาศาสตร์)มาปน เมื่อคุณghanee.s บอกว่าการมองแบบตะเวษวูฟแตกต่าง (ผมไม่รู้นะ แต่คิดว่าไม่ควรต่าง ควรจะต่อ) จากแบบอูซูลุดดีน (ผมคิดว่าตะเซาวูฟควรยึดอยู่บนหลัก ดีน เนี่ยแหละ) ก็เลยสงสัยต่อว่าถ้ามองว่ามันจะไม่เหมือน จะไม่เหมือนได้อย่างไร ต่างกันตรงไหน และหากอธิบายได้ผมยังไม่ใช่มุสลิม ดังนั้นผมไม่ปฏิเสธแน่ครับ ที่คุณลมหนาวพูดนั่นนะตรงนั้นแหละครับ อยากได้ต่อว่าทำไมถึงมองไปแบบนั้นได้ (หะหะ ขี้สงสัยดีม๊ะมิน่า แฟนเก่าผมถึงไม่ค่อยคุยเรื่องศาสนากับผม กรั่กๆ กลายเป็นว่าเราถามเพราะไม่ศรัทธาไปฉิบ) เอาคร่าวๆ ก็ได้ ไปชนแค่ตรง แค่คำง่ายๆ แต่เบ็ดเสร็จจนจบเลยว่า กุนฟิยามูน คำเดียวเอง แง่บๆ แต่ถ้ายากเกินไปไม่เป็นไรนะครับ ขอโทษด้วยแล้วกัน หงิมๆ ที่ช่างคิดช่างสงสัย ก็คนอยากรู้นิหว่า กรั่กๆ จากคุณ : itoursab (itoursab) - [ 10 ม.ค. 51 09:30:32 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เรื่องนี้มันค่อนข้างซับซ้อนและทำให้งงได้ ถ้าไม่แม่นในคอนเซ็บครับ ผมก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้วย แต่ผมว่าที่คุณลมหนาวอธิบายค่อนข้างเคลีย์นะครับ เอาเป็นว่าผมอธิบายตามที่ผมเข้าใจ ถ้าผิดก็ขออภัยด้วย ในสามหลักวิชานั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ของ มัคโลค (สิ่งที่ถูกสร้าง) กับ พระเจ้า (ผู้สร้าง) มุมมองในหลักวิชา อูซูลุดีน คือ ปฏิเสธสิ่งอื่นเป็นพระเจ้าทั้งหมด เว้นไว้แต่อัลเลาะห์ตะอาลาเพียงผู้เดียว คือ มีแค่เพียงพระเจ้าที่เรายึดถือ และควบคุมสิ่งทั้งหมดในสากลโลก(,มีเรา มีเจ้า) มุมองในหลักวิชาฟิกส์ คือ อัลเลาะห์เป็นเจ้าเราเป็นบ่าว บ่าวต้องปฏิบัติตามคำบัญชาของผู้เป็นเจ้า (มีเรา มีเจ้า) มุมมองของตะเซาวุฟ ทุกสิ่งนั้นสูญสลายสิ้น(ไม่มี)(รวมทั้งตัวเราด้วย) เว้นไว้แต่อัลเลาะห์ตะอาลา(ไม่มีเรา มีแต่เจ้า) มุมองตรงนี้ของตะเซาวุฟ ค่อนข้างอันตราย ถ้าพื้นฐานของอูซุลุดดีนไม่เข้มแข็ง ก็จะกลายเป็น สำคัญผิดคิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้า การกระทำของตัวเองทุกอย่าง เป็นการกระทำของพระเจ้า มิใช่ตัวเองกระทำ แม้แต่การกระทำที่ขัดกับหลัก วิชาฟิกส์ก็ตาม ในที่สุดคนนั้นอจจะหลุดโลกไปเลยก็ได้ ถ้าไม่มี อูซูลุดดีน กับฟิกส์คุม ทั้งสามวิชา ต่างเกื้อกูลซึ่งกันและกันครับ เหมือนเก้าอี้สามขาที่เคยบอกแหละครับ ลึกกว่านี้พูดไม่ได้แล้วครับ ลากเอาลำไส้ใหญ่ออกมาแสดงแล้วครับ   แก้ไขเมื่อ 10 ม.ค. 51 11:36:22 แก้ไขเมื่อ 10 ม.ค. 51 10:45:26 จากคุณ : ghanee.s - [ 10 ม.ค. 51 10:10:28 ]

ความคิดเห็นที่ 22 หวังว่าเห็นความแตกต่าง อูซูลุดีน กัย ตะเซาวุฟนะครับ จากคุณ : ghanee.s - [ 10 ม.ค. 51 11:39:11 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ฮืม ถามคำสุดท้ายก่อนปิดกระทู้นี้ได้ป๊ะครับ 1 มุสลิมทั่วไปๆ ได้เรียนรึศึกษาเรื่องนี้มัี๊ยครับ ทั่วไปนะ 2 พื้นฐานของความสัมพันธ์ของมัคโลคกับอัลลอฮ หาอ่าน รึซื้ออ่านได้ที่ไหนครับ ตอบแล้วปิดๆ ไปเหอะเรื่องนี้อ่ะ ตายแน่ผม แง่บๆ คิดต่ออันตรายจริงๆครับ ไม่น่าเลย เป็นอวิชาชัดๆ เฮ่อ.. พูดไปนะ กรั่กๆ กลายเป็นพวกนะ ไม่ดีอ๊ะ เอาเป็นว่า ถ้าอย่างทุกวันนี้ ที่เวลา พุทธกับอิสลามเถียงกันเนี่ยมักจะเอา ปริญัติ กับ อูซูลุดดีนมาชนกัน แต่ถ้าจับพวกพุทธสายวิปัสนา มานั่งคุยกับ พวกซูฟี แบบเปิดใจกันนะ ไม่ได้มาถล่มกันอ่ะ แลกการศึกษานะ น่าฟังมากเลย ขอบอก น่าจัดนะ น่าจัด จะไปฟังด้วย จากคุณ : itoursab (itoursab) - [ 10 ม.ค. 51 15:33:58 ]

ความคิดเห็นที่ 24 1.มีการเรียนครับ อยู่ในหลักสูตรฟัรดูอีน แต่ก็เป็นแบบพื้นฐาน ที่พ่อแม่มุสลิมส่งลูกเรียน ในส่วนตะเซาวุฟ เน้นในส่วนจริยธรรมมากกว่า ถ้าเป็นระดับสูงกว่านั้น จะเป็นระดับฟัรดูกีฟายะห์ ก็มีสอนในโรงเรียน สอนศาสนา ในขั้นนี้ ตะเซาวุฟ ก็ยังคงไม่ลึกมากเหมือนกัน ถ้าอยากรู้มากๆ ต้อง หาเรียนในแวดวงของซูฟีหรือตอรีกัตครับ เพื่อนคุณที่คุยด้วยนะแหละใช่ 2.ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ครับคงต้องรบกวนพี่ๆท่านอื่นช่วยนะครับ 3.ตะเซาวุฟไม่ใช่อวิชาหรอกครับ เหมือนมีดที่คมมากๆ ก็ง่ายที่จะโดนบาดถ้าไม่ระวัง มันอยู่ที่ว่าเราจะรู้จักใช้มันเมื่อไหร่ยังไงเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนมาชี้หน้าด่าเรา ในมุมมองของฟิกส์ เค้ามีความโกรธ เนื่องจากเค้าเข้าใจผิด เราเองต้องมาทบทวนตัวเองว่าทำผิดหรือเปล่า ถ้าทำจริงก็ต้องกลับตัว ขอโทษเค้า ถ้าไม่จริง ก็ต้องให้อภัยเค้า เพราะศาสนาส่งเสริมให้อภัย ในมุมองของอูซูลุดดีน เค้าไม่สามารถชี้หน้าด่าเราได้หรอกถ้าพระเจ้าไม่อนุมัติ นั่นคือบททดสอบเราว่า จะปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์ทรงใช้หรือไม่ ดังนั้น เราเองต้องมาทบทวนตัวเองว่าทำผิดหรือเปล่า ถ้าทำจริงก็ต้องกลับตัว ขอโทษเค้า ถ้าไม่จริง ก็ต้องให้อภัยเค้า เพราะศาสนาส่งเสริมให้อภัย ในมุมมองของตะเซาวุฟ แท้ที่จริงคนที่กำลังชี้หน้าด่าเรา ไม่มีหรอก นั่นเป็นเพียงสิ่งที่พระเจ้าแสดงให้เราเห็นเท่านั้น เราจะโกรธเค้าไปทำไมกับสิ่งที่ไม่มีจริง (ชูฮูดุ้ลกัสเราะห์ฟิ้ลวะห์ดะห์) สิ่งที่เราทำได้ คือการปฏิบัติตามที่ศาสนาใช้ ตามหลักวิชาฟิกส์ คือสำรวจตัวเองและให้อภัย ในที่สุดมุมมองทั้ง 3 อย่าง ก็ให้ผลกลับมาว่า เราให้อภัย คนที่ชี้หน้าด่าเรา ทั้ง การกระทำ สติปัญญา และหัวใจ คงปิดกระทู้ได้นะครับ แหละหวังว่าคุณคงเสริมสร้างมือของคุณให้แข็งแรงด้วยวิชาอูซูลุดดีน ศึกษาวิธีการจับและใช้งานด้วยวิชาฟิกส์ เพื่อให้ใช้มีดตะเซาวุฟที่แหลมคมได้โดยปลอดภัยและถูกวัตถุประสงค์ จากคุณ : ghanee.s - [ 10 ม.ค. 51 17:58:58 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ครับ จบ ขอบคุณครับ อ้อนิดส์นึงผมไม่ได้ว่าถึงตะเซาวูฟเป็นอวิชาหรอกครับ ผมหมายถึงที่ผมคิดอ่ะ... เป็นอวิชา ต้องรีบลบความคิดแบบนี้อย่างเร็ว ฮ่าฮ่า ก็พื้นฐานเดิมผมเชื่อว่า ถ้าพระเจ้า(ขอใช้คำนี้นะ เข้าใจง่าย) ถ้าพระเจ้ามีจริง ดูโลกรอบๆ เรา ท่านสร้างความสมดุลย์มาเสมอ แม้แต่ร่างกายเรา นอกจากสิ่งที่อยู่ตรงกลาง ก็มีเป็นคู่ทั้งสิ้น ผมเชื่อตรงนี้ถึงไม่เคยขัดและเคารพในศรัทธาของทุกคน แม้แต่แฟนเก่าผม เวลามีเค้ามีปัญหาผมก็จะดันเสมอว่า ถ้ายึดถืออัลลอฮ ก็จงศึกษา และเอาอัลลอฮเป็นที่ตั้ง เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นแนวทางที่ดี คนต้องมีศาสนาเป็นริกซกีหลักของชีวิต (ย้ำนะครับเมื่อก่อนผมความเชื่อในแนวพุทธ ผมจะเน้นในทางท่านพุททาษฟังแล้วถูกจริต) ก็เลยนึกๆ มันแปลกๆที่พี่ีแก(ซูฟีที่คุณว่านะแหละ) เคยบอกเรื่องชนิดของผู้ศรัทธาในโลกนี้ หะหะ... ลองหงายมือมานับตามซิครับ ผมนึกถึงมือมันมีห้านิ้วไงแกว่ามา - ทุกสรรพสิ่งล้วนจากพระเจ้า..มายาทั้งสิ้น..(แบบซูฟีคิดอ่ะ..) - สรรพสิ่งล้วนพระเจ้าประสงค์ต่อเรา (คนที่เชื่อในสิ่งเร้นลับ..และมุสลิม..เยอะนะ) - ทุกอย่างล้วนพระเจ้าให้ทางเลือกแก่เรา (คนทั่วๆไป..หากเชื่อในสิ่งเร้นลับบ้าง) - ทุกอย่างล้วนเกิดจากเราเพื่อเรา (คนทั่วไปในปัจจุบัน และกลายเป็นตัวฉันของฉันไง) เลยไปนึกถึงนิ้วที่ห้า ...กรั่กๆ นับต่อมาอีกนิ้วที่เหลืิอ - .... สรรพสิ่งล้วนกรรมมากระทบ ไม่มีตัวเรา... (แบบคนพุทธที่ศึกษาคิด.. นิพพาน) เมื่อหลุดจากห้านิ้ว มันก็ไม่มีอะไร ... อจิณไตย กรั่กๆ คิดได้สุดโต่งม๊ะ  นับเวลาเกือบสามเดือนนับแต่หันมาเอาจริง จากเมื่อก่อนแค่สนใจแต่ว่าเป็นมุสลิมห้ามอะไรไม่ห้ามอะไร ประมาณเนี้ย ไม่ค่อยได้อ่านอะไรมากหรอกครับ ดูๆเค้าทำเอาเฉยๆอ่ะ (ไม่มีใครสอนนี่่หว่า คิดแต่ว่าถ้าต้องแต่งก็ต้องทำ) และผมขัดจากคนพุทธทั่วไปตรงที่ ผมเชือว่าผู้สร้างเริ่มแรกต้องมี วงล้อกรรมจะหมุนได้ต้องมีผู้เขี่ยทีแรก เพียงแต่ตอนนี้ฉันต้องเจอกับทุกข์ ฉันขอดับทุกข์ฉันก่อน ด้วยแนวทางพุทธ เรื่องอิสลามเพิ่งศึกษาจริงๆ ก็ตอนนั้น นับมาก็เกือบสามเืดือน เจอแต่เรื่องแนวคิดคล้ายกัน วิธีใกล้เคียงปรับตามสภาพ แต่ต่างเป้าหมายกันแน่ๆ จุดที่ขัดกันคือ อิสลามมีอัลลอฮ พุทธไม่มี แต่อิสลามก็ ไม่มีนิพพานเช่นกัน? เวลาแค่นี้กลับคิดหลุดออกไปขนาดนี้ สงสัย ต้องหยุดเรื่องศาสนา แล้วกลับไปเที่ยวหนักๆหน่อย ฮ่าฮ่า ..เห็นด้วยมั๋ยครับ.. รึไม่ก็ลองเอาพวกซูฟีมานั่งคุยกับพระสายปฏิบัติแบบผมว่านั่นแหละ กรั่กๆ น่าฟังๆ จากคุณ : itoursab (itoursab) - [ 10 ม.ค. 51 21:53:15 ]

ความคิดเห็นที่ 26 กฎกำหนดสภาวะของอัลลอฮฺ (เกาะฎอและเกาะดัรฺ) นั้น แบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ ประเภทแรกคือ กฎกำหนดสภาวะที่มนุษย์ไม่มีสิทธิเลือก เช่น เกิดมาผิวขาว,ผิวดำ, ตัวเตี้ย, ตัวสูง, หน้าหล่อหน้าสวย, หน้าตาไม่หล่อไม่สวย หรือการสิ้นชีวิต เป็นต้น ซึ่งมนุษย์ไม่มีสิทธิ์เลือกด้วยประการทั้งปวงพระองค์ทรงกำหนดมาให้เราเช่นไร เราก็ต้องน้อมรับเช่นนั้น หรือ การเกิดพายุ ฝนตกหนัก ฟ้าผ่า หรือน้ำท่วม นั่นก็เป็นการกำหนดที่มนุษย์ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ครับ ประเภทที่สองคือ พระองค์ทรงปล่อยอิสระให้มนุษย์เลือกปฏิบัติ นั่นหมายถึงมนุษย์ต้องรับผิดชอบในการกระทำของตนเองโดยวางอยู่บนพื้นฐานแห่งความรู้ อาทิเช่น มนุษย์สามารถเลือกดื่มของมึนเมาหรือเลือกไม่ดื่มก็ได้ ซึ่งพื้นฐานความรู้ของตนเองมีแล้วว่า หากเราฝ่าฝืนอัลลอฮฺด้วยการดื่มสิ่งมึนเมาเราก็มีความผิด หากเราไม่ดื่มนั่นหมายถึงเราเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ ฉะนั้นมนุษย์สามารถเลือกกระทำดีก็ได้ หรือเลือกกระทำชั่วก็ได้ แต่อย่าลืมว่า สิ่งที่มนุษย์กระทำบนโลกดุนยาทั้งหมดจะถูกสอบสวนในวันกิยามะฮฺ(วันพิพากษา) ดังนั้นถ้ามีบางคนทึกทักเอาว่า ตนเองทำความชั่วนั่นหมายถึงมาจากอัลลอฮฺ เพราะอัลลอฮฺทรงกำหนดไว้แล้ว ข้างต้นถือว่ามีความเข้าใจที่ผิดพลาดอย่างยิ่งยวด อีกทั้งยังจะทำให้อะกีดะฮฺของเขาบกพร่อง (หรือเสียอีมาน) ได้ครับ เพราะเขาปฏิบัติสิ่งที่ตนเองสามารถเลือกกระทำทั้งดีและชั่วได้ นั่นคือกฎกำหนดสภาวะที่อยู่ในข้อที่สองซึ่งมนุษย์สามารถเลือกได้ จากคุณ : 1001 (พันหนึ่งทิวาราตรี) - [ 10 ม.ค. 51 21:54:07 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ท่าน ghanee.s ยอดเยี่ยมจริง ๆ นั่นล่ะ ^^ ขอพระเจ้าตอบแทนทุกท่านค่ะ จากคุณ : ลมหนาวกับดาวเดือน - [ 10 ม.ค. 51 23:19:07 ]

ความคิดเห็นที่ 28 แง่บๆ นึกว่าจบแระ พี่  1001 ต่อให้สงสัยอีกแระ ทุกอย่างในชีวิตเรา อัลลอฮล้วนลิขิตไว้แล้ว ถูกมั๋ยครับ? หากเช่นนั้นจริง ทำไมอัลลอฮถึงยังให้ทางเลือกเล่า ก็ในเมื่อลิขิตแล้ว? หากเราเลือกได้ก็จะขัดกับที่ลิขิตซิครับ ให้ผมคิดเองมั่วๆต่อนะ อย่างท่านกำหนดให้ผมหัวแตก ผมก็เดินปรกติบนถนน ดูซ้ายดูขวาตลอด มองข้างบน ก็ไมมีอะไร พอดีพี่ 1001 เดินลื่นล้มมาดันผม ไถลไปตรงจุดที่.. บังเอิญพี่ ghanee.s ทำกระปุกพริกไทหกใส่เจ๊ลมหนาวที่ถือกระถางต้นไม้อยู่ตรงหน้าต่างพอดี พอเจ๊แกจาม กระถางก็หล่นจากหน้าต่าง ลงมาเหมาะเจาะตรงหัวผมพอดี แง่บๆ หนูแสบ ... กระบาลแยก ทั้งที่ดูทั่วๆไปผมก็ป้องกันดีแล้ว แต่เหตุการณ์นั้นก็นะเพราะอัลลอฮประสงค์ แต่เมื่อผมโดนแล้วรู้สึกคิดอะไรอย่างไร.... 1 เจ็บ อัลลอฮใจร้าย เข้าโรงพยาบาลไป เจอหมอหน้าใสๆ จีบเป็นแฟนเลย ออกมาด้วยกัน ฮ่าฮ่า 2 เจ็บ ขอบคุณอัลลอฮ เดินเข้าโรงพยาบาล เจอหมอพูดจา เฮ่อเห็นแก่ตัวนี่หว่า จากไป สิ่งไหนละครับเลือกได้ ทุกอย่างลิขิตไว้แล้วทั้งสิ้น กฎข้อนึงคือ ต้องศรัทธาในสภาวะการของอัลลอฮทั้งดีและร้าย(เพิ่งอ่านเจอ ฮี่ฮี่ หน้าแรกๆ เลย) ดังนั้นทั้งบุญและบาปเกิดแล้ว ทำอย่างไร นั่นสิ่งสมควรทำตามสภาพ คิดอย่างไร นั่นหลักศาสนา ... เพียงแว่บเดียว แว่บแรกที่จะรู้สึกได้ ... ศรัทธาพอรึเปล่า ดังนั้นสภาวะการณ์ทั้งหมดจึงเกิดจากอัลลอฮกำหนดแล้วทั้งสิ้นหากแว่บแรก โทษอัลลอฮในแว่บแรก แล้วหาเหตุผลประกอบการคิดนั้นว่า สุดท้ายแล้วแต่สภาวะการณ์อัลลอฮประทานมา นี่เป็นโอกาสให้ได้เจอของดี ได้แฟนมา สุดท้ายต้องมาก่ายหน้าผาก เฮ่อ ทำไมมันนิสัยแบบนี้ว้า.. จะโทษอัลลอฮต่ออีกเหรอ ยอมรับในสภาวะการณ์ ยอมรับตามสภาวะการณ์นั้น สุดท้ายนั่นแหละ อัลลอฮประสงค์ รอดตัวไป ได้รักอัลลอฮมากขึ้น.. ต้องขอบคุณอัลลอฮใช่หรือเปล่า ทางเลือกที่เราตู่เอาเองว่าเลือก แท้จริงแล้วเราอาจจะไม่ได้เลือกก็ได้ เพราะอัลลอฮจะประทานสิ่งที่เหมาะสมแก่ทุกคน ตามกำลัง....ศรัทธา และทั้งมวลนั้น อินชาอัลลอฮครับ (ชอบคำนี้จริงๆ) PS: งงม๊ะ กรั่กๆ ผมอ่านยังงงเลยอ่ะ ลองไล่ๆ ดูดีๆ แล้วกันครับ แค่จะบอกว่า คนเราเลือกไม่ได้ไม่งั้นขัดต่อกุรอ่านที่ว่า อัลลอฮลิขิตเราไว้ทั้งหมดแล้ว เพียงแต่จุดทดสอบคือ ศรัทธาที่หนักแน่นของเรา ใช่หรือไม่ จากคุณ : itoursab (itoursab) - [ 11 ม.ค. 51 17:26:57 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ไปดู กระทู้พี่ crecent ซะ จะได้เข้าใจนะน๋องเอ้ย http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y6218463/Y6218463.html จากคุณ : ghanee.s - [ 11 ม.ค. 51 19:19:28 ]

ความคิดเห็นที่ 30 กร้ากก.... นั่นแหละครับใช่เลย ว่าแต่ผมหลุดกระทู้นี้ไปได้ไงฟะ แง่บๆ ขอบคุณครับ หะหะ ไปอ่านๆ ต่อกระทู้โน้น ฮ่าฮ่า จากคุณ : itoursab (itoursab) - [ 12 ม.ค. 51 08:13:43 ]

ความคิดเห็นที่ 31 นั่นก็อูซูลุดดีน ล้วนๆ นะครับ ไปๆมาๆ ที่คุณสงกะสัยมันจะกลับไปที่อูซูลุดดีนนั่นแหละครับ จับไว้ให้มั่นเลยนะครับ แก้ไขเมื่อ 12 ม.ค. 51 10:34:20 จากคุณ : ghanee.s - [ 12 ม.ค. 51 08:35:44 ]

ความคิดเห็นที่ 32 แหะๆ .. มันมีสองตัวเลือกนะพี่ ghanee.s สองคน จุดเริ่มเดียวกัน คิด และกระบวนการต่างกันนะครับ หากจุดผิด อะไรก็ผิดหมด... และทั้งเรื่องจุดที่ไม่ควรก็มีจุดเีดียวอ่ะครับ จุดแวบแรกที่คิด แล้วไอ้ที่เขียนนะมันยังผสมความคิดดั้งเดิมผม(แนวพุทธ) กับเรื่องใหม่ๆที่พวกพี่บอกให้ผมคิดตามอ่ะครับ(เหมือนในกระทู้เจ้าปัญหานั่นแหละ กรั่กๆ) เลยรู้สึกว่าตัวเองแนวคิดผิด เลยกำลังจะแยกแนวพุทธเดิมออกไปให้หมด อย่างเรื่องกลัวบาปเนี่ยเมื่อก่อนผมไม่ได้กลัวต้องทำบาป แต่ผมกลัวใจคิดบาปมากกว่าอะไรทำนองเนี๊ย กำลังพยายามกลับตัวครับ แต่ยากอ่ะ กำลังพยายามจะคิดว่าต้องกลัวการทำบาปมากกว่าการที่ ผมมักจะกลัวใจตัวเองคิดว่าทำอะไรแล้วมันไม่สมควร มันไม่ดีไม่เป็นธรรมต่อคนอื่นแบบไงดีอ่ะ.. หะหะ ก็่มันต้องเร่้งสะสมบุญอ่ะครับ แต่ยอมรับขัดใจตัวเองน่าดู เฮ่้อ.. สงสัียทำไม่ได้อ่ะครับ ยากจังอยากได้บุญเนี่ย (ขอเป็นแค่คนที่อัลลอฮเชื่อใจได้ป๊ะครับ) แต่ก็นั่นแหละครับจุดเริ่มสงสัยในเรื่องตะเซาวูฟของผมอ่ะ จากคุณ : itoursab (itoursab) - [ 12 ม.ค. 51 16:18:59 ]

ความคิดเห็นที่ 33 คุณนี่สุดยอดจริง ไม่มีไครที่ผมคุยด้วยแล้วเหนื่อยเท่าคุณมาก่อนนะเนี้ยะ เท่าที่ผมอธิบายไปผมว่าเคลียร์แล้วนะไอ้ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญสะด้วย..........เฮ้อ ขอผมบ่นมั่ง เรื่องวิชาตะเซาวุฟ มันใช้สติปัญญาคิดมากไม่ได้หรอก สติแตก เคยมะ ที่เราชอบไครสักคน ทั้งที่ไม่ได้สวยเท่าไหร่ นิสัยก็งั้นๆ หุ่นก็กระดานติดปุ่ม แต่ไม่รู้ทำไมมันโดนวะ หรือว่ายัยเนี้ยะไม่รู้สึกอะไรเลย แต่พอวันหนึ่งไม่ได้พบ ทำไมคิดถึงจัง เธอเข้ามานั่งในใจเราตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่ ตะเซาวุฟก็เหมือนกัน มันเป็นเรื่องของหัวใจ เรื่องของจิต ไม่ต้องไปคิดกับมันมาก ปล่อยให้เป็นตามธรรมชาติ เรียนไปเรื่อยๆยังไม่ต้องเชื่อก็ด้าย ให้มันค่อยๆซึม วันหนึ่งอัลเลาะห์ให้ก็จะเข้าใจ ทุกๆอย่างมันต้องไปทีละขั้นนะน้องเอ้ย บาปบุญมันจะอยู่ที่การกระทำนะน้องเอ๋ย ถึงแม้ว่าใจชั่วมันมีผล ให้คิดชั่ว แล้วท้ายที่สุด ก็ทำชั่ว แต่ถ้าเรารู้ว่า อะไรดีชั่ว ตามวิชาฟิกส์ เราใช้สติปัญญาไคร่ครวญ ตามอูซูลุดีน เพื่อป้องกันไม่ให้เรากระะทำชั่ว ถึงแม้ใจเราอยากจะตาย อย่างน้อยการกระทำชั่วมันก็ยังไม่เกิดละน้องเอ๋ย ส่วนใจชั่วก็ค่อยๆขัดเกลากันไป ไม่มีไครเกิดมาสมบูรณ์หรอก มีทั้งไชตอนคอยล่อลวง มีทั้งนัฟซู(กิเลส)ของเราเองคอยชักนำ ก็ค่อยๆฝึกฝนไป ยังไม่ทำให้ไครเดือดร้อนหรอก ถ้าเรายังไม่กระทำหรอกครับ ในที่สุดเราก็จะป็นคนที่สมบูรณ์ทั้งการกระทำ ความคิด และจิตใจ ปัญหาของคุณคือแยกไม่ออก ระหว่างการกระทำ ความคิด และจิตใจ (ฟิกส์ อูซูลุดดีน ตะเซาวุฟ) ไม่ต้องหวังผลเลิศเลอหรอกครับ และไม่ต้องกังวลมาก เพราะอัลเลาะห์ทรงเมตตาครับ พ่อแม่เราเมตตาเรายังไง อัลเลาะห์เมตตาเรามากกว่า พระองค์ทรงมองเห็นความตั้งใจของเราครับ จากคุณ : ghanee.s - [ 12 ม.ค. 51 17:34:54 ]

ความคิดเห็นที่ 34 กร้าก ผมว่าคุณคิดมากอ่ะ ผมแหย่เล่นๆ กรั่กๆ อย่าคิดมากคร้าบเพ่ ฮ่าๆ ข้อแรกก่อน ... ถ้าถามว่าเคยรักใครจากแบบจากความรู้สึกปิ๊งอะไรเนี่ย ...ไม่เคยครับ ผมมีกฏง่ายๆ สำหรับการเลือกแฟน ตัวอย่างเช่น หากผมเห็นใครถูกใจในตรงไหนหน้าตาอย่างไร ผมไปเลย ตระเวณตามอ่าง หาไอ้ที่ภายนอกคล้ายๆ เนี่ยแหละ มีแน่ แล้วก็นะ.. จากนั้นผมก็จะหันกลับมาเริ่มดูเธอคนแรกที่คิดว่าชอบอีกที แน่นอนทีนี้ความรู้สึกอยากดีอยากได้จากภายนอกหายไปเกินครึ่ง (ก็นับซูมันหดน่ะ) เราก็จะเริ่มมาดูที่อย่างอื่น... (ซึ่งวิธีนี้สรุปแล้วไม่ดีหรอกครับ มันทำให้เราเลือกแฟนยาก กรั่กๆ) เอาหละ จบเรื่องส่วนตัวผมที่ผมลากมาแหย่เล่นๆ กรั่กๆ เลยซวยเลยผม ฮ่าฮ่า แต่คุณก็เข้าใจตรงกับผมแล้วนี่... จุดแรกของปัญหาทุกๆ เรื่องนั่นเกิดจากจิตใจที่ หากไม่เน้นการขัดเกลา ตรงนี้ซึ่งคนเรามีไม่เท่ากัน ไม่ต้องให้บรรลุถึงขั้นพวกซูฟีย์ที่บรรลุแล้วหรอกครับ ผมมองว่า อิสลามแทบจะเป็นศาสนาเดียวที่ยอมให้มีการตอบโต้ได้ เหมือนการให้มีด ซึ่งต่างจากแทบทุกศาสนา แต่ผู้ถือมีดนั้นจำเป็นจะต้องมีการฝึกจิตใจไปด้วย ดังนั้นหากเรามองดีๆ มุสลิมหลายๆคน จะขาดเรื่องพวกนี้มากรึเปล่า ศาสนาถึงกลายเป็นเรื่องอันตราย และสุดท้ายกลายเป็นความขัดแย้งในสังคม อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ และเชื่อเถอะจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมขออ้างความรู้สึกส่วนตัวของคุณ al-azhary จากกระทู้ http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?PHPSESSID=34eebac007fa54ed4bff06c64723f762&topic=59.0 "การที่คุณสนใจตะเซาวุฟนั้น ก็ถือว่าเป็นความโชคดี เนื่องจากปัจจุบันผู้คนหลีกห่างตะเซาวุฟกันมากเลยทีเดียว และการที่ผมให้ความสนใจตะเซาวุฟนั้น ก็เนื่องจากเมื่อก่อนโน้น ผมจะเน้นศึกษาในเชิงคิลาฟิยะฮ์ ซึ่งมันไม่ทำให้จิตใจของเราดีขึ้นมาเลย เนื่องจากความอคติเข้ามามีบทบาทเป็นส่วนมากต่อจิตใจ ทำให้จิตใจหว้าวุ่น คิดจะเอาชนะ ทำให้จิตใจอยู่ในสภาพของสัตว์ดุร้าย ตกต่ำ หากทางออกไม่ค่อยได้ จิตใจไม่ค่อยนิ่งสงบ มัวแต่พะวงเรื่องคิลาฟิยะฮ์ จนลืมพะวงการรำลึกซิริกต่ออัลเลาะฮ์ แต่พอเข้ามาสนใจตะเซาวุฟแล้ว จึงทำให้จิตใจพัฒนาขึ้นได้บ้างเล็กน้อย แม้จะไม่มากนักก็ขอกล่าวว่า อัลดุลิลลาห์ ดังนั้น ใครที่ตามที่ศึกษาปัญหาคิลาฟิยะฮ์โดยไม่มีตะเซาวุฟ เขาจะมีจิตใจที่แข็งกระด้างและกร้าวร้าวอย่างเห็นได้ชัด เขาจะมีความบ้าคลั่งกับทัศนะของตนเอง ความยะโสโอหังที่มีต่อทัศนะอื่นจะเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งที่ความรู้อันแท้จริงจะไม่อยู่กับผู้ยะโส" นั่นแหละครับและผมเข้าใจ คุณเองก็ไม่ใช่อูลูมะหรอก การที่ผมมาถามๆเหมือนจะไล่ต้อน อาจจะทำให้เหนื่อยใจ แต่การถามและตอบเรื่องศาสนา เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ เพราะผมถามหรือก่อประเด็นเมื่อไหร่ก็จะทำให้คุณต้องไปค้นคว้ามาตอบ ยิ่งทำให้ทั้งคุณและผมต่างมีมุมมองและความรู้ในเรื่องนั้นๆ ข้อสำคัญ ศรัทธาที่มากขึ้น ถามคุณตอนนี้ รู้สึกว่า จริงมั๋ยครับ :) และจากที่คุณตอบมา มันขัดต่อความรู้สึก(ขัดใจผมที่อาจจะไม่ถูกต้อง) ที่มาจากรากฐานพุทธว่า ทุกอย่างต้องเป็นเส้นเดียวกัน เราจะเริ่มมาจากที่ใจ ไปหลักศาสนา แล้วออกมาเป็นศีลปฏิบัติ แต่ลองย้อนกลับไปดูที่คุณตอบ จะพบว่าคุณกำลังแยกหลักสามอย่างออกจากกัน แล้วนำมาเสริมกัน แต่ต่างแนวคิดกัน ซึ่งมันก็ขัดกับความรู้สึกเริ่มแรกที่ผมอ่านกุรอ่าน และขัดกับที่มาเจอถ้อยคำของ อ. บรรจงในเรื่อง "วิธีศึกษาคัมภีย์กุรอ่าน"(ที่เพิ่งซื้อมาอ่าน ฮ่าฮ่า) ในเรื่องติลาวะฮ มันถึงกลายเป็นเรื่อง คิลาฟ หรือ อิคติลาฟ ดังนั้นกระทู้นี้ แม้แต่ที่แซวเล่นๆ ก็เพียงเพื่อความรู้ในอิสลาม และเพื่อสอบทานความเข้าใจ และอาจจะต้องปรับหลักแนวคิดเริ่มต้นของผมใหม่ ดูอย่างที่คุณตอบก็ได้ คุณตอบว่าบาปบุญอยู่ที่การกระทำ นั้นเหมือนการไปดูที่ผลหรือปลายเหตุ แต่ผมกลับเชื่อว่าบาปบุญขึ้นอยู่กับสภาวะการณ์ที่อัลลอฮประสงค์ ดังนั้นต้นเหตุของบาปบุญจึงอยู่ที่ใจก่อน คนอื่นคงเห็นได้จากแค่ผลนั้นๆว่าคิดว่าถูกรึผิดตามเค้า แต่ใจเราเองรู้ดีว่าทำเพราะอะไรกันแน่ และผู้ตัดสินว่าการกระทำสิ่งใดบาปบุญ ไม่ใช่คุญรึผม แต่เป็นอัลลอฮต่างหาก หากเน้นแต่กรรมภายนอก บางทีที่คิดว่าบุญสุดท้ายมันจะกลายเป็นบาปได้ เพราะการเน้นการกระทำ สุดท้ายอาจจะบิดจุดประสงค์เริ่มต้นจนกลับไปหาหลักแรกไม่ได้ อาจจะกลายเป็นทำเพราะกลัวในผู้อื่น แล้วนำอูซูลุดดีนมาประกอบ เพื่อหาความถูกต้องให้กับตนเอง มากกว่ากระทำเพราะยำเกรงในอัลลอฮ ผมคิดเองนะ คนเราต้องมีกระบวนการสร้างความถูกต้องให้กับตนเองเสมอดังนั้น หากสิ่งใดมากระทบแล้วเรามองจากสิ่งนั้น กลับเข้ามาหาเหตุผล แล้วก็มาเนียตว่าทำเพื่ออัลลอฮ หากสิ่งใดมากระทบแล้วเราเนียตถึงอัลลอฮ ค่อยหาเหตุผล แล้วค่อยปล่ออยไปเป็นการกระทำ ดังนั้นผลและวิธีการอาจจะต่างกันสิ้นเชิงก็ได้ (เราก็เห็นได้ทั่วไปในสังคมคนที่ดูแรกๆ ทำไปนึกว่าดี ที่ไหนได้เจตณาผิดไปนี่หว่า เพิ่งรู้ที่แท้มันเลว) นั่นจึงกลายเป็นมุมมองที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะคุณดูจากผล แต่ผมดูจากราก ซึ่งก็จะเริ่มตรงกับท้ายๆ ที่คุณตอบนั่นแหละ ดีชั่วมันเกิดที่ใจก่อน แล้วก็เลยมาเข้าประเด็นกระทู้นี้ว่า ความรู้สึกผม หากเริ่มที่ใจ อะไรใช้ฝึกใจในอิสลาม ก็ตะเซาวูฟ ... ดังนั้นหากไม่อยากชั่ว ผมก็ควรศึกษาที่นั่น และคนอย่างผมหวังผลเลิศเสมอ แต่จะทำได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น พยายาม กับพยายาม และสุดท้ายก็ต้องรับกับความผิดพลาดให้ได้ เพื่อนำมาแก้ไข นั่นคือแนวคิดผม ดังนั้นสิ่งใดที่ผมเชื่ออยู่หรือยึดอยู่ว่า ศาสนาอิสลามก็ต้องมาเป็นเส้นตรงที่ลื่นไหลต่อกัน หากวันนึงผมศึกษาพอ ศรัทธาพอ (และทั้งหมดนั้นก็คงต้องได้ด้วยอินชาอัลลอฮเท่านั้น) เส้นที่ขาดจากกัน ไม่ว่าจะ ฟิกซ์ อูซูลุดดีน และ ตะเซาวูฟ ก็จะต่อกันถึงเอง และที่คุณพยายามบอกผมว่า สามอย่างจากจุดมัคโลคเดียวกัน แต่ต่างมุมมองกัน ต่างจุดยืนกัน แต่ผลต้องไปดูที่การกระทำ มันก็เลยทำให้ งงๆ ว่าเอ ตกลงเราเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า แสดงว่าผมต้องปรับแนวความเชื่อและแยกแยะ สามสิ่งนี้ออกจากกัน วันนึงมันจะประกอบกันเอง แต่มันก็ยากหากมองด้วยมุมที่คุณเสนอให้มอง ผมรู้สึกว่าการเอาฟิกซ์มาต่อกับอูซูลุดดีนนั้นง่าย แต่การจะนำเอาตะเซาวูฟ มาต่อกับที่เหลือ ผมเลยไม่รู้จะต่อมันที่ตรงไหน สรุปประเด็น .. เรื่องตะเซาวูฟขอบคุณ คุณลมหนาวครับ ได้ที่ศึกษาต่อในกระทู้นั้นแล้ว ส่วนเรื่องความสงสัยว่า มุลสลิมทุกๆวันนี่้ ทั่วไปได้มีการศึกษาด้านนี้รึเปล่า รึเน้นตรงนี้บ้างไหม คงเป็นความสงสัยต่อไป ฮ่าฮ่า เรื่องมุมมองต่อศาสนา อันนี้ยังสงสัย กลัวมาผิดทางมาก ตกลงหลักสามอย่าง มันต่อเป็นเส้น หรือมันแยกกันยืน แล้วเราควรเน้นที่ผล รึที่ เนียต เรื่องความเห็นขัดแย้งว่าต้องแยกสามองค์ประกอบหลักออกจากกันแล้วยืนบนนั้น กับความคิดผมที่ต้องเรียงมันออกมา จะได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ก็ยังคงเป็นที่สงสัย กรั่กๆ เอาน่า เท่าไหร่เท่านั้นแหละ อัลลอฮอาจจะประทานไฟมาให้ผมแค่นี้ก็ได้ครับ จากคุณ : itoursab (itoursab) - [ 14 ม.ค. 51 11:42:34 ]

ความคิดเห็นที่ 35 อยากรู้จัง ใครเป็นครูแนะนำอิสลามคุณ itoursab ผมขอชื่นชม "เอาน่า เท่าไหร่เท่านั้นแหละ อัลลอฮอาจจะประทานไฟมาให้ผมแค่นี้ก็ได้ครับ" อยากได้ไฟเพิ่ม ก็ต้องพยายามจุดสิครับ 4:32 ...สำหรับผู้ชายนั้นมีส่วนได้รับจากสิ่งที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้ และสำหรับหญิงนั้นก็มีส่วนได้รับจากสิ่งที่พวกนางได้ขวนขวายไว้... แล้วเราควรเน้นที่ผล รึที่ เนียต??? ... เนียตคือเจตนา ผลคือการอนุมัติของอัลลอฮ์ครับ จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 14 ม.ค. 51 17:53:55 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ผมขอชื่นชมคุณนะ ผมไม่เถียงหรอกครับ ท้ายที่สุดแล้ว อัลเลาะห์ตะอาลา จะวัดเราเองละครับ(ไม่ได้หมายความว่าไครถูกไครผิดนะครับ หมายถึง การกระทำของเรานั้นเป็นไปโดยชอบตามหลักการศาสนา) ซึ่งวิธีการอาจจะแตกต่างกัน แต่ท้ายสุดก็คือแสวงหาความโปรดปรานจากอัลเลาะห์ตะอาลานะแหละครับ แนวคิดที่ผมอธิบายก็มาจาก 2 แหล่งครับ แหล่งแรก ก็มาจากครูสอนศาสนาซึ่งผมมีโอกาสไปนั่งฟังในวงของตะเซาวุฟ ครูก็บอกเองครับว่าต้องแน่น อูซูลุดดีนก่อน ผมก็รับฟังไว้ครับ ขณะเดียวกันผมก็ฟังแกบรรยายไปด้วย บอกตรงๆมึนครับ มึนตึบ ก็เลยคิดครับ เออจริงวุ้ย ถ้าเราไม่เคยเรียนอูซูลลุดดีน มาก่อน ความคิดเราออกทะเลแหงๆ อีกแนวความคิดนึงก็มาจากการทำงานของผมครับ ผมมีประสบการณ์ ทางด้าน Quality Assurance มุมองของ QA ในการหามาตรการแก้ไข ของที่ไม่ได้คุณภาพ มี 2 อย่างใหญ่ๆ คือ 1.มาตรการการควบคุมการหลุดลอด ของที่ไม่ได้คุณภาพ หลุดไปยังลูกค้า 2. มาตรการการป้องกันการเกิดขึ้นของที่ไม่ได้คุณภาพ โดยแก้ไขที่ต้นเหตุครับ ในการแก้ไขปัญหาในขั้นแรก จะเข้าไปหามาตรการ การป้องกันการหลุดลอดก่อน เพื่อหยุด Defect flow หลุด ไปที่ลูกค้า ก่อน เป็นการขีดวงปัญหาไม่ให้กระจายออกภายนอก จากนั้นเข้าไปวิเคราะห์หาต้นตอของปัญหา เพื่อหยุดที่ต้นเหตุ ไม่ให้เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ผมจึงแนะให้ ไปที่อูซูลุดดีน กับฟิกส์เพื่อหยุดการหลุดลอด ผลของการกระทำชั่วก่อนไงครับ ส่วนใจที่ชั่วก็หาวิธีหยุดกันไป สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง เพราะ กิเลสกับไชตอนยุแยง อยู่ ก็ขอดุอากันไปแหละครับ ส่วนความต่อเนื่องของสามวิชาผมว่า มันไม่ต่างกับตาขาวกับตาดำแหละครับ รวมกันก็ไม่ได้ แยกกันก็ไม่ได้ครับ แต่ต้องร่วมกันทำงานครับ แก้ไขเมื่อ 14 ม.ค. 51 22:15:56 แก้ไขเมื่อ 14 ม.ค. 51 22:15:02 จากคุณ : ghanee.s - [ 14 ม.ค. 51 22:11:50 ]

ความคิดเห็นที่ 37 แหะๆ..เห็นใจหน่อยน่าพี่ก็.. พูดกันตรงๆ เวลาหกปีกว่าที่ผ่านมาเนี่ย ความรู้อิสลามผมแทบจะเป็นศูนย์เลย รู้เพิ่มมาแค่เรื่องฮะรอม ฮะราม นิดหน่อย กับวิถีชีวิตคนมุสลิมบางส่วน เพิ่งจับจริงๆ ก็จากวันนั้น ประมาณปลายเดือนพฤษจิกาปีที่แล้วเนี่ย นับเองเอากี่วัน หะหะ ไม่อยากพูดเป็นเดือนมันกระดากปาก แต่ก็ขอไว้แล้วว่า เวลาหนึ่งปีที่ผมต้องทำอะไรบ้าง ดังนั้นสิ่งแรกที่ได้อ่าน คือกุรอ่านแปลไทยในเน็ทเนี่ยแหละ อ่านแล้ว อ่านอีก อย่างเตาฮบัตเนี่ย อ่านเป็นสิบเที่ยว อ่านทำความเข้าใจ แล้วอ่าน เริ่มอ่านด้วยคิดว่านี่คือสิ่งที่ประทานลงมา ดังนั้นมันจะต้องไม่ถูกกำหนดด้วยเงื่อนไขเวลา อ่านเพราะคิดว่า นี่คือสิ่งที่ประทานลงมาเพื่อคนทั้งโลก ไม่ใช่เพื่อใคร ... พออ่านแล้วเข้าใจอย่างไรหรือ เพราะบางจุดก็เข้าใจไม่กระจ่าง ก็จะหาคนถามว่าที่เราเข้าใจนะถูกต้องรึเปล่า ปรากฏว่าไม่ตรงกันกับที่คนมุสลิมทั่วไปเข้าใจ ผมก็คิดว่าผมคงมาผิดทางแน่นอน ผมก็เริ่มถามหาที่ปรึกษา ไม่ว่าจะจากในนี้(ซึ่งพวกพี่ๆนั่นแหละช่วย)หรือข้างนอก ซึ่งด้วยพื้นฐานเดิมที่เป็นพุทธ พออ่านที่พี่ๆตอบกันก็จะรูุ้้สึกขัดๆ เพราะผมถูกสอนมาว่า ทุกอย่างมันต้องเกิดมาจากใจก่อน(แต่ที่่ก่อนจากใจไม่เคยมีใครสอนแฮะ) แล้วค่อยๆ ถ่ายทอดมันออกมา ตามการเรียนรู้และสำนึกของแต่ละคน แต่พออ่านพี่ๆพูดกันก็จะจากหลักศาสนาออกไปหาผล รึไม่ก็จากผลกลับมาหาหลักศาสนา ไม่ก็เอาเรื่องหลักศาสนามาชนกัน เลยรู้สึกว่าเอ... แล้วใจไปอยู่ตรงไหน รึว่าเราเข้าใจผิด มุสลิมต้องทำตามแบบกฏวิทยาศาสตร์อย่างเดียวซิ และทุกสิ่งนั้นจะต้องเป็นบุญซะหมด เน้นที่บุญกันอย่างเดียว แต่เอ มันก็ขัดกับหลักศรัทธาข้อสุดท้ายที่อ่านมาซิ ... แง่บๆ มันเลยรู้สึกเหมือน ที่่เคยรู้สึกกับคนพุทธบางกลุ่มเมื่อก่อนที่คอยแต่จะทำบุญหวังสวรรค์ แล้วเมื่อเราพูดอะไรก็จะกลายเป็นขัดทางไปสวรรค์ แตเค้า่กลับไม่ได้หาทางสู่นิพพาน ดังนั้นยืนยันคำตอบได้แค่ว่า ที่ศึกษาอิสลามนั้น ก็เพียงเพื่อ ได้รับความรักและเมตตาจากอัลลอฮเท่านั้น ซึ่งแท้จริงพระองค์ประสงค์สิ่งใดต่อผมนั้นไม่ทราบได้ ที่ผมจะรับอิสลามหรือไม่ ก็แล้วแต่อัลลอฮกำหนด ทำใจไว้แต่แรกแล้ว .. ดังนั้นทุกครั้งที่ผมโต้ตอบกับพวกพี่ๆในเรื่องศาสนา หรือแสดงความเห็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนาในสเปช หรือที่นี่ แม้แต่กับเค้า เมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นเพื่อตัวผม เพื่อคนอ่าน ผมก็ลุกหนี กลับไปตั้งต้นใหม่ว่า นี่ด้วยอัลลอฮประสงค์ ฉันจึงแสดงความเห็นออกมา เท่าที่ฉันคิดได้ จากจุดตั้งต้นที่อัลลอฮ แล้วออกมาเป็นความบริสุทธิใจในการถกปัญหา เท่าที่ฉันได้ศึกษาหรืออ่านมาเท่านั้น มากกว่านั้นฉันไม่รู้ จึงเป็นเรื่องแน่นอนที่ คนศึกษาอิสลามมาเพียงแค่ไม่กี่วันจะแสดงว่าเห็น ความสงสัย ยิ่งเวลาอ่านบางคำตอบแล้วเหมือนตอบอ้ำอึ้ง ผมก็ยิ่งสับสน ก็ยิ่งงง แล้วพวกพีก็จะ่เหนื่่อยใจ ตอนนี้ผมก็พยายาม ไปซื้อหนังสือคู่มือพื้นฐานมุสลิมสำหรับเด็กเล็กมาอ่าน ฮ่าฮ่า ทุกอย่างต้องเิริ่มจากพื้นฐานที่ดี จริงมั๋ยครับ ขณะเดียวกันเวลาว่างๆก็เปิดหน้าเวปมาอ่าน ดังนั้น หะหะ.. อย่าเพิ่งคิดว่าผมไม่ได้มีหูไว้ฟัง รึว่า กาเฟร์ก็คือ การ์เฟวันยังค่ำ เลยครับ เนียต.. ซะว่านี่เพราะพระประสงค์ฉันจึงต้องมานั่งอธิบายให้ตาบ้านี่ฟัง ตามที่อัลลอฮได้ขีดมาแล้วกัน Ps: ลืมบอก ผมทำงานเป็นช่างครับ ด้วยความเป็นช่างที่ติดมากับสา่ยเลือด (ฮ่าฮ่า ภูมิใจที่ได้เป็น และชอบให้คนเรียกช่างมาก กรั่กๆ) ส่วนใหญ่จะอยู่ในฟิลก่อสร้างมากกว่า มันได้คิดได้วางแผนได้เผชิญปัญหาได้ลุย เจอมันตั้งแต่คนงาน ยัน ประธานบอร์ด สนุกดีครับ เลยมุมมองแปลกๆ เนาะ เพราะผมมักเจอกับความผิดพลาด และการแก้ไขเฉพาะหน้ากับระยะยาว เพราะเป็นช่างต้องขี้เกียจซิครับ จริงมั๋ย ลืมบอกครับเรื่องครูเนี่ย ผมขอศึกษาอะไรอีกหน่อย ก็คงให้พี่คนที่เป็นซูฟีที่รู้กันนั่นแหละ แนะนำต่อครับว่าควรไปทางไหน หรือไปหาครูคนไหนดีเพื่อสอนครับ แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 51 17:03:02 แก้ไขเมื่อ 14 ม.ค. 51 23:31:45 แก้ไขเมื่อ 14 ม.ค. 51 23:07:47 จากคุณ : itoursab (itoursab) - [ 14 ม.ค. 51 22:56:10 ]

ความคิดเห็นที่ 38 การงานของ มนุษย์ คือเลือก และปฏิบัติ ครับ freewill ครับ freewill ทางเลือกมีแน่นอนครับ เราจะเลือกหรือไม่ (ขอยืมสำนวน หนัง fantastic four มาใช้หน่อย แฮ่ม) การงานของพระเจ้า คือให้ทางเลือก และอนุมัติ ตาม ที่มนุษย์เลือก ครับ เดินตามอูซูลุดดีนก่อนเลย ขณะเดียวกันในใจต้องบริสุทธิ์ต่อการงานนั้นและก็มอบหมายต่อพระเจ้า เพราะตามหลักตะเซาวุฟ ทุกอย่างล้วนพระเจ้ากำหนดไว้ทั้งสิ้น ขอให้พระองค์บันดาล ความสำเร็จให้ หลังจากที่ปฏิบัติงานนั้นแล้ว ถ้างานสำเร็จ ก็ขอบคุณพระเจ้า ถ้าไม่สำเร็จ ก็ขอบคุณพระเจ้าเหมือนกัน เพราะทุกอย่างเป็นไปตามกำหนดของพระเจ้า นี่เป็นเทคนิคนำมาใช้งานของผมแหละครับ ส่วนฟิกส์ก็คือการปฏิบัตินั้นไม่ให้ผิดหลักการศาสนาครับ ต่อกันได้เนียนไหมครับ 3 หลักวิชา ดังนั้น จะเป็นหรือไม่เป็นอิสลาม ต้องอยู่ที่ตัวคุณก่อนเลยละครับ การที่คุณไม่เลือกก็คือคุณเลือกแล้วละครับว่ายังไม่เป็น เมื่อไหร่ที่คุณต้องการเป็นคุณก็ตัดสินใจเป็น นั่นก็ก็คือคุณเลือกอีกนั่นและน่า คุณจะรู้ตัวดีที่สุดครับว่าจริงๆเพราะอะไร จะบอกว่าพระเจ้ากำหนด เค้าเรียกว่าใช้งานผิดที่ครับเหมือนเป็นข้ออ้างมากกว่า แต่ถ้ามีคนถามผมเมื่อไหร่ itoursab จะเป็นมุสลิมวะ ผมก็ต้องตอบว่า ไม่รู้วะ ไปถามพระเจ้าสิ พระองค์กำหนดนี่น่า(ก็มันไม่รู้จริงๆผมไม่ได้เข้าไปนั่งในใจคุณด้วย) เอาเถอะค่อยๆเรียนไปขอดุอากันไป ให้พระเจ้าชี้ทางนำให้คุณด้วยเถิด เรื่องเหนื่อยก็มีบ้างก็นักเรียนช่างซักนี่น่า แต่ก็พอเห็นความตั้งใจศึกษาของคุณ นักเรียนช่างซักอย่างน้อยครูก็ดีใจเพราะแสดงว่าสนใจ ดังนั้น เทคนิคที่สำคัญใน คคห นี้ที่ จะแบ่งปันให้คุณคือ ต้องเข้าใจว่าอะไรคือการงานของมนุษย์ อะไรคือการงานของพระเจ้าครับ ส่วนคุณจะใช้ก็แล้วแต่คุณครับ ปล.ถ้าแฟนไม่ทิ้งคุณ คุณจะเข้าใจอิสลามมากมายอย่างนี้เหรอ เป็นประสงค์ของพระเจ้าแท้ๆ (อย่างน้ใช้งานได้ถูกที่หน่อย แฮ่ม) แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 51 21:22:42 แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 51 17:54:26 จากคุณ : ghanee.s - [ 16 ม.ค. 51 17:32:29 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ผมชอบความเห็นที่ 34 ของคุณนะผมกลับไปอ่านอีกที ค่อนข้างโดนใจ ผมว่าคุณเข้าใจตะเซาวุฟได้ดีทีเดียว ที่คุณบอกว่า............. "คุณตอบว่าบาปบุญอยู่ที่การกระทำ นั้นเหมือนการไปดูที่ผลหรือปลายเหตุ แต่ผมกลับเชื่อว่าบาปบุญขึ้นอยู่กับสภาวะการณ์ที่อัลลอฮประสงค์ ดังนั้นต้นเหตุของบาปบุญจึงอยู่ที่ใจก่อน คนอื่นคงเห็นได้จากแค่ผลนั้นๆว่าคิดว่าถูกรึผิดตามเค้า แต่ใจเราเองรู้ดีว่าทำเพราะอะไรกันแน่ และผู้ตัดสินว่าการกระทำสิ่งใดบาปบุญ ไม่ใช่คุญรึผม แต่เป็นอัลลอฮต่างหาก หากเน้นแต่กรรมภายนอก บางทีที่คิดว่าบุญสุดท้ายมันจะกลายเป็นบาปได้ เพราะการเน้นการกระทำ สุดท้ายอาจจะบิดจุดประสงค์เริ่มต้นจนกลับไปหาหลักแรกไม่ได้ อาจจะกลายเป็นทำเพราะกลัวในผู้อื่น แล้วนำอูซูลุดดีนมาประกอบ เพื่อหาความถูกต้องให้กับตนเอง มากกว่ากระทำเพราะยำเกรงในอัลลอฮ ผมคิดเองนะ คนเราต้องมีกระบวนการสร้างความถูกต้องให้กับตนเองเสมอดังนั้น หากสิ่งใดมากระทบแล้วเรามองจากสิ่งนั้น กลับเข้ามาหาเหตุผล แล้วก็มาเนียตว่าทำเพื่ออัลลอฮ หากสิ่งใดมากระทบแล้วเราเนียตถึงอัลลอฮ ค่อยหาเหตุผล แล้วค่อยปล่ออยไปเป็นการกระทำ ดังนั้นผลและวิธีการอาจจะต่างกันสิ้นเชิงก็ได้ (เราก็เห็นได้ทั่วไปในสังคมคนที่ดูแรกๆ ทำไปนึกว่าดี ที่ไหนได้เจตณาผิดไปนี่หว่า เพิ่งรู้ที่แท้มันเลว)" ก็ถูกต้องครับถ้าใจเราไม่ดี การกระทำที่ว่าดี แท้จริงอาจเป็นการตอบสนองใจที่ไม่ดีของเราก็ได้ แต่ทว่า ถ้าใจเราดี แต่เราไม่รู้ว่าสิ่งใดดีสิ่งใดชั่ว ตามวิชาฟิกส์ เราไม่รู้ว่าจะต้องใช้กระบวนการพิจารณาที่ถูกต้องอย่างไร แล้วเรามั่นใจหรือว่าพระเจ้าจะบันดาลความสำเร็จให้เรา แล้วเราจะมั่นใจหรือการกระทำอาจปราศจากความรู้ของเรามันไม่ทำให้ตัวเราหรือคนอื่นเดือดร้อน ดังนั้น มันต้องประกอบไปด้วย ดีสามอย่าง ใจดี คิดดี ทำดี แน่นอนคุณต้องรู้ว่าความคิดที่ดีเป็นอย่างไรก่อน จากนั้นรู้ว่าถ้าจะทำอะไรคือดีอะไรคือชั่ว จากนั้นก่อนทำจริงคุณก็ต้องตั้งใจให้ดีแล้วมอบหมายกับพระเจ้า จากนั้นก็ลุยทำเลย ด้วยพระประสงค์ของพระเจ้างานจะสำเร็จ คุณเป็นช่างก็เป็นตัวอย่างที่ดีทีเดียว ถามว่า คุณมีความตั้งใจในการทำงานที่ดี แต่คุณไม่รู้เลยว่าแบบแปลนเป็นอย่างไร คุณไม่รู้ว่ากระบวนการสร้างบ้านต้องเรียงลำดับอยางไร และที่สำคัญ กระบวนความคิดของคุณในการจัดลำดับ การวิเคราะห์ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น แล้วคุณก็ลุยทำ คุณคิดว่ามันมีความเป็นไปได้หรือที่พระเจ้าจะบันดาลให้คุณสร้างบ้านให้เสร็จ ด้วยคุณถาพที่ดี ปลอดภัย และราคาเหมาะสมแน่นอน เป็นอำนาจของพระเจ้าที่จะกำหนดให้เป็นไปได้ แต่ ด้วย Common sense เป็นไปได้หรือไม่ ถ้าบ้านพังขึ้นมาทับคนตาย แน่นอนศาลตัดสินจำคุกคุณ ถึงแม้ว่าคุณจะตั้งใจทำบ้านให้ดี ในขณะเดียวกัน ถ้าใจคิดฉ้อโกง แต่มีความรู้ในการสร้างบ้านเป็นอย่างดี ก็สามารถสร้างบ้านได้แข็งแรงมาก สร้างเสาที่ใหญ่โต แล้วบอกว่ามันแข็งแรงมาก คนก็เชื่อเพราะมันสมเหตุสมผล แต่ที่จริงสร้างให้ over spec จะได้ใช้วัสดุได้มาก ญาติพี่น้องที่ค้าขายวัตถุดิบจะได้มี ออเดอร์เยอะๆ ถ้ามีการสอบสวน ศาลจำคุกคุณฐานธุจริต คุณก็อ้างไม่ได้อีกเหมือนกัน ว่าสร้างบ้านได้แข็งแรง จะเห็นได้ว่าในการสร้างบ้านคุณต้องมีความรู้ก่อนว่าอะไรดีไม่ดี สร้างแบบไหนให้ถูกต้องคุณ สร้างอย่างไรให้ปลอดภัย เสาคานต้องมีขนาดไหนถึงจะเหมาะสม จากนั้นก่อนทำก็ตั้งใจเลยครับให้บริสุทธิไม่คิดโกงกิน จากนั้นก็มอบหมายกับพระเจ้าให้บันดาลความสำเร็จ แล้วก็ลุยเลยครับ แน่นอนงานนั้นมีโอกาสสำเร็จสูง ถึงแม้ว่าด้วยอำนาจของพระเจ้าสามารถบันดาลให้ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ด้วย Common sense งานนั้นมีโอกาสสูงที่จะสำเร็จแน่นอนด้วยคุณภาพ และราคาที่เหมาะสม อย่างที่บอกขั้นต้น ต้องมีความรู้อูซูลุดดีนก่อน เพื่อให้ สติปัญญาเราแยกแยะดีชั่วออกจากกันได้ เรียนรุ้ฟิกส์ว่าการกระทำอะไรดีไม่ดี บาปบุญเป็นอย่างไร จากนั้นเรียนตะเซาวุฟเพื่อขัดเกลาจิตใจ จากนั้นก็ลุยครับ แน่นอนการกระทำของเราก็จะถูกต้อง ทั้ง หัวใจ ความคิด และการกระทำ ครับ ทุกอย่างถักทอเป็นเส้นเดียวกันทั้งหมดครับ แต่ที่แยกออกมาเพื่อให้เราสามารถ มองเห็นภาพ ศึกษาและฝึกฝนได้ง่ายครับ ดูสายไฟฟ้าสิครับในเส้นเดียวกันมีทั้ง ฉนวน และสายไฟ มีแต่สายนำไฟฟ้า ไม่มีฉนวน ไฟฟ้าก็จะดูดคนสัมผัสได้ก่อนไปถึงปลายทางไฟฟ้าอาจรั่วลงดินหมด ไม่มีสายนำไฟฟ้า มีแต่ฉนวน ก็นำไฟฟ้าไม่ได้เหมือนกันครับ ฟิกส์คือฉนวน(ว่งมีคุณสมบัติเฉพาะของมัน)ครับ อูซูลุดดีนคือทองแดง(ก็มีคุณสมบัติเฉพาะของมัน)ครับ ตะเซาวุฟ(แน่นอนก็มีคุณสมบัติเฉพาะของมันอีก)คือไฟฟ้า คุณจะส่งกระแสไฟฟ้าต้องมีทองแดงอูซูลุดีนเป็นแกนก่อน มีฟิกส์เป็นฉนวนเพื่อเป็นเกราะป้องกันและบังคับไม่ให้ไฟฟ้าไหลผิดทิศทาง กระแสไฟฟ้าตะเซาวุฟก็จะไหลผ่านสายไฟไปยังปลายทางได้อย่างถูกต้อง ถ้าอยากเดินตะเวาวุฟก่อนก็ไม่ต่างกับฟ้าผ่าแหละครับไม่มีเส้นทางให้ไฟฟ้าเดิน ไม่มีฉนวนบังคับทิศทาง โอกาสเสียหายมากกว่าเกิดประโยชน์ แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 51 14:23:08 แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 51 23:24:15 แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 51 23:08:31 แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 51 23:06:18 แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 51 23:00:09 แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 51 22:53:26 จากคุณ : ghanee.s - [ 16 ม.ค. 51 22:50:22 ]

ความคิดเห็นที่ 40 กร้าก ตรงกันแระ แหะๆ จูนตรงเข้าใจกันแจ่มๆ แต่หะหะ อย่าเอาเรองื่แฟนเก่ามาเกี่ยวได้ป๊ะครับ คนไม่อยู่ก็คือไม่อยู กรั่กๆ บอกแล้วไอ้ทิ้งนะไม่ว่า แต่เล่นเอาศาสนามาอ้างเนี่ยมีไม่พอใจอย่างยิ่ง เพราะคนนี้อ้างเรื่องแค่นี้แล้วคนอื่นเห็นควร อีกหน่อยก็เหมือนที่เห็น เรื่องใหญ่ๆ ก็ตามมา ฆ่าคนนอกศานาได้โดนไม่ผิดศาสนา ฮ่าๆ..เข้าการเมืองไปเลย ตอนนี้ก็เหมือนที่บอกแหละครับ ผมอ่านมุสลิมพื้นฐาน เว้นวรรคที่เคยอ่านแต่กุรอ่านไว้ก่อน เต่มันเหมือนกับคนเราขับรถนะแหละ กฏและวิธีการมันมากมาย สุดท้ายถ้าจะให้ถูกกฏหมดมันไม่ได้เพราะเรารู้ก็จำไม่หมด แล้วกว่าจะนึกหยิบยกมาใช้ หะหะ ชนท้ายชาวบ้านพอดี ไม่รู้นะถามผม ก็คงคิดว่า เรียนกฏหลักๆ วิธีขับธรรมดา(ไม่ต้องเรียนหรอกว่า ดริฟทำอย่างไร) แล้วใช้เจตณาในการขับ ก็พาไปสู่จุดหมายได้ ถ้ามัวแต่ศึกษากฏทั้งหมด วิธีขับสุดยอด สุดท้ายก็นะ ไม่ได้ไปไหน กรรมการเป่าหมดเวลา กรั่กๆ ขอบคุณครับ คุณครู วันหลังจะหาคำถามมาปรึกษาอีก นี่ก็เริ่มกรุ่นๆ จะถามแล้ว อิอิ เพราะป้าลมหนาวแกยังไม่ตอบที่ค้างผมไว้เลย ฮ่าฮ่า จากคุณ : itoursab (itoursab) - [ 17 ม.ค. 51 17:59:59 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ขอโทษนะครับ ถ้าทำให้ไม่พอใจนะ เรื่องแฟนเก่าคุณ ผมเห็นมันใช้เป็นตัวอย่างได้ และเป็นเรื่องของคุณพอดี น่าจะทำให้คุณเข้าใจได้ง่าย ขอโทษอีกครั้งนะกร้าบบบ จากคุณ : ghanee.s - [ 17 ม.ค. 51 19:07:22 ]

ความคิดเห็นที่ 42 กร้า่กก... ม่ายเป็นไรฮ่าฮ่า ผมไม่ถือหรอกคร้าบ แต่อย่าจุดไฟเก่า แง่บๆ มันเจ็บ ฮ่าฮ่า ... แง่บๆ นี้ถ้าไม่ถือว่า เป็นครูละก็ ฮื่ม... ชวนดูดชิชาจิบชาจีน แว้ว กรั่กๆ จากคุณ : itoursab (itoursab) - [ 17 ม.ค. 51 20:13:56 ]