ความคิดเห็นที่ 1 แม้จนล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2551 ก็ยังยืนยันอยู่เช่นเดิมว่า ........... จิตรู้อยู่ เห็นอยู่ ตลอดเวลา เมื่อขันธ์ ๕ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ??? จิตไม่ได้เกิดดับ ตามขันธ์ ๕ ที่เกิดดับ ??? ถ้าจิตเกิดดับ ตามขันธ์ ๕ ที่เกิดดับ จะรู้อยู่ เห็นอยู่ ได้อย่างไรว่า ขันธ์ ๕ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ??? แต่ปัญหาสำคัญที่อลัชชีผู้นี้ไม่เคยตอบ และตอบไม่ได้ก็คือ ..... "จิตรู้" ที่เขาอ้างมานั้น มันเกินจาก ขันธ์5 ที่เกิด-ดับไปได้อย่างไร ????? !!!!!! v v v v จากคุณ : Ritti Janson - [ 14 ม.ค. 51 23:39:59 ]

ความคิดเห็นที่ 2 หลักฐานที่สำคัญที่สุดในเรื่องที่เกี่ยวกับจิต ก็คือ พุทธพจน์จาก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ซึ่งยืนยันเอาใว้อย่างชัดเจนว่า จิต-มโน-วิญญาณ ...... เกิด-ดับ !!!!!! "แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกายอันเป็น ที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน" v v v v จากคุณ : Ritti Janson - [ 14 ม.ค. 51 23:43:51 ]

ความคิดเห็นที่ 3 คำว่า "จิต" และคำว่า "วิญญาณ" นั้นเป็นที่ชัดเจนตรงตัวดีอยู่แล้วว่า เกิด-ดับ แต่คำที่ อลัชชี มักนำมาใช้ หรือนำมาอ้างถึงเสมอเมื่อจะพูดถึง จิตเที่ยง-จิตอมตะ ก็คือ คำว่า "จิตรู้" และ "จิตบริสุทธิ์" !!!!!! ฉนั้น เราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมาดูหลักฐานจากพระบาลีและอรรถกถาว่า "จิตรู้" และ "จิตบริสุทธิ์" คือสิ่งใด และสิ่งนี้ เที่ยง หรือว่ามีการ เกิด-ดับ .................. **************************************************** 1) ตามหลักฐานที่ปรากฏอยู่ใน อังคุตตรนิกาย สรุปความได้ว่า ....... จิตบริสุทธิ์ หมายถึง จิตประภัสสร และ ภวังคจิต !!!!!! 2) คำว่าจิตนั่นเอง ถ้าหมายถึง "รู้" ก็เรียกว่า มโน ถ้าหมายถึง รู้อารมณ์ต่างๆ ก็เรียกว่า วิญญาณ 3) ในอรรถกถา ขุททกนิกาย กล่าวว่า จิตบริสุทธิ์ ยังหมายถึง กุศลจิต ได้ด้วย !!!!! v v v v จากคุณ : Ritti Janson - [ 15 ม.ค. 51 00:01:23 ]

ความคิดเห็นที่ 4 1) ในอรรถกถา วินัยปิฎก กล่าวว่า จิตที่ไกลจากนิวรณ์ คือจิตในอัปปนาสมาธิ เช่น จิตที่ตั้งมั่นด้วยสมาธิในจตุตฌาน ก็เรียกว่า จิตบริสุทธิ์ !!!!!! 2) อรรถกถา ธรรมสังคณีปกรณ์ กล่าวว่า ............ มนะ เป็น อินทรีย์ จึงชื่อว่า มนินทรีย์ เป็นไวพจน์ของ จิต ชื่อว่า มนะ เพราะย่อมรู้ คือย่อมรู้แจ้ง !!!!!! สรุปก็คือ มนะ มโน มนินทรีย์ เป็นไวพจน์ของจิต ในความหมายว่า  รู้ชัด-รู้แจ้ง ................ v v v v จากคุณ : Ritti Janson - [ 15 ม.ค. 51 00:10:21 ]

ความคิดเห็นที่ 5 บทสรุปในประเด็นของจิต ก็คือ ...................... ไม่ว่าจะเป็น จิตบริสุทธิ์-จิตประภัสร-ภวังคจิต-มนะ-มโน-มนินทรีย์-วิญญาณ ทั้งหมดเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ หมายถึง จิต คำเดียวกันนี้นั่นเอง และโดยเฉพาะคำว่า จิตบริสุทธิ์ นั้นก็มิได้มีความหมายที่พิเศษใดๆ ที่จะทำให้เข้าใจไปได้ว่าเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ อมตะ ไม่เกิด-ดับ แต่อย่างใดทั้งสิ้น !!!!!!! แท้ที่จริงแล้ว จิตบริสุทธิ์ ก็เป็นเพียงจิตในขันธ์5ที่เกิด-ดับ อยู่นั่นเอง ฉนั้น จนถึงบัดนี้ ยังไม่เคยมีใครพบว่า มีพุทธพจน์ จิตเที่ยง-จิตอมตะ-จิตไม่เกิดดับ ในคัมภีร์ใดๆของพุทธฝ่ายเถรวาท นะครับ !!!!!!! จากคุณ : Ritti Janson - [ 15 ม.ค. 51 00:21:48 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ทีนี้เราก็มาที่ "ความรู้" กันบ้างว่า มันจะเที่ยง หรือว่า เกิด-ดับ เหมือนกันกับ จิต (???) โดยคำว่า "ความรู้" เท่าที่ใช้กันในพุทธเถรวาท ก็น่าจะได้แก่คำว่า ปัญญินทรีย์-วิชชา-ญาณ ฉนั้นเราจะมาดูกันว่า ทั้งสามสิ่งนี้ เที่ยง หรือว่า เกิด-ดับ ?????? 1) ใน ปฏิลาภสูตร กล่าวว่า ปัญญินทรีย์ หมายถึง ปัญญาเครื่องกำหนดความเกิด-ดับ 2) ใน สังขิตตสูตร กล่าวว่า ปัญญินทรีย์ในพระอริยบุคคล มีความแก่อ่อนแตกต่างกัน โดยพระอรหันต์เป็นผู้ที่มีปัญญินทรีย์เต็มบริบูรณ์ นั่นย่อมหมายความว่า ปัญญินทรีย์ ไม่เที่ยง เพราะถ้าปัญญินทรีย์เที่ยง ก็จะกล่าวว่า มีความแก่อ่อนไม่ได้ !!!! 3) ใน สมณพราหมณสูตร กล่าวเอาใว้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งที่เดียวว่า รู้ชัดถึงความเกิด-ดับของปัญญินทรีย์(พระพุทธองค์ทรง)นับว่าเป็นสมณะในพวกสมณะ จึงเป็นอันสรุปได้ว่า ปัญญินทรีย์ มีการเกิด-ดับ .................... !!!! v v v v จากคุณ : Ritti Janson - [ 15 ม.ค. 51 00:34:53 ]

ความคิดเห็นที่ 7 1) ใน สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค กล่าวว่า ............... รู้ชัด ความ เกิด-ดับ ของขันธ์5 เรียกว่า วิชชา !!!!!! 2) และใน อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต มีพุทธพจน์ระบุว่า ........... ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าววิชชาและวิมุตติว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของวิชชาและวิมุตติ ควรกล่าวว่าโพชฌงค์7 ... ฯ ก็เป็นอันสรุปได้ว่า วิชชา เป็นสิ่งที่มีเหตุปัจจัย ฉนั้น วิชชา จึงไม่เที่ยง !!!!!! 3) ในอรรถกถา อังคุตตรนิกาย กล่าวว่า .................... วิชชาวิมุตติ หมายถึง ผลญาณและสัมปยุตธรรมที่เหลือ ซึ่งเพียงเท่านี้ ก็สามารถสรุปได้ว่า ญาณ ก็เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงด้วย เพราะผลญาณ ก็มี มรรคญาณ เป็นเหตุปัจจัย และเหตุผลที่สำคัญก็คือ ถ้าญาณเป็นสิ่งที่เที่ยงเสียแล้ว 1. ถ้าญาณใน โสดาปัตติมรรค-โสดาปัตติผล เที่ยง ก็จะไม่สามารถเกิด สกทาคามิมรรค-สกทคามิผล ได้ 2. ถ้าญาณใน สกทาคามิมรรค-สกทคามิผล เที่ยง ก็จะไม่สามารถเกิด อนาคามิมรรค-อนาคามิผล ได้ 3. ถ้าญาณใน อนาคามิมรรค-อนาคามิผล เที่ยง ก็จะไม่สามารถเกิด อรหัตตมรรค-อรหัตตผล ได้ 4) สรุปก็คือ ปัญญินทรีย์-วิชชา-ญาณ ไม่เที่ยง ....... มีการเกิด-ดับ v v v v จากคุณ : Ritti Janson - [ 15 ม.ค. 51 00:56:12 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ท่านว่า ดวงอาทิตย์ ที่เรามองเห็นว่าส่องแสงอยู่ตลอดเวลา มีการเกิด ดับของเปลวไฟ หรือไม่......... ......................................................................... โดยธรรมชาติ เกิดดับ ติดต่อกันตลอดเวลา (กลุ่มก๊าชที่ติดไฟ เป็นเปลวออกมา เมื่อหมดเชื้อ เปลวไฟย่อมมอดดับ แต่ที่เราเห็นสว่างอยู่ตลอดเวลานั้น เนื่องจากเปลวไฟอื่น จากเชื้อไฟอื่น ติดสว่างขึ้นมาแทน ในอัตราความถี่สูง เกินที่ตามนุษย์ จะมองเห็นได้) ........................................................................ สังขารของเรา ตอนแรกเกิด กับสังขารของเรา ปัจจุบัน ใช่สังขารอันเดียวกันหรือ จิตของเราตอนแรกเกิด กับจิตของเราปัจจุบัน ใช่ดวงเดียวกันหรือ จิตของเรา เมื่อวาน กับวันนี้ ใช่ดวงเดียวกันหรือ ........................................................................ แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 51 01:11:31 จากคุณ : Stalwart - [ 15 ม.ค. 51 01:01:55 ]

ความคิดเห็นที่ 9 สรุปในสรุป      ก็เป็นอันชัดเจนแล้วนะครับว่า ............... 1) จิตบริสุทธิ์ หมายถึง จิตประภัสสร-ภวังคจิต-กุศลจิต-จิตในอัปปนาสมาธิ ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็มิได้เกินไปจาก ขันธ์5 ซึ่ง อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา เลยนะครับ 2) จิตไม่เที่ยง มีการเกิด-ดับ เสมอไป ไม่ว่าจะกล่าวถึงจิตแบบใดก็ตาม 3) ความรู้ ซึ่งหมายถึง ปัญญินทรีย์-วิชชา-ญาณ ก็เป็นสิ่งที่เกิด-ดับ .... ไม่เที่ยงเช่นกัน ฉนั้น สำหรับพุทธเถรวาท สิ่งที่เที่ยงแท้จึงมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น คือ อสังขตะ(นิพพาน) และจิตก็ไม่ใช่ อสังขตะ จิตไม่ใช่นิพพาน ............... 4) อรรถกถา สติปัฏฐานสูตร ถึงกับกล่าวว่า ...................... แต่สัตว์เหล่านั้น "ดำรงอยู่อย่างวิปริต" สำคัญผิดในเวทนา-จิต-ธรรม เหล่านั้นว่า เป็นสุข เที่ยง และเป็นอัตตา !!!!!!! ฉนั้น คำว่า ..... จิตเที่ยง-จิตอมตะ จึงไม่เคยมีในพุทธฝ่ายเถรวาท !!!!!!! จบเสียทีนะครับ .............. v v v v จากคุณ : Ritti Janson - [ 15 ม.ค. 51 01:15:39 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ปาดท่านฤทธี ไปหนึ่งตอน.... ขออภัยครับ จากคุณ : Stalwart - [ 15 ม.ค. 51 02:06:45 ]

ความคิดเห็นที่ 11 สาธุครับ ..คุณฤทธี (-/|\-) ----------------------------------------- ... ที่แสดงตัวอย่างจากพระสูตรมาตอนหลังๆ ก็แจ่มแจ้งแล้วละครับ ... ส่วนเรื่องการกระทบกระทั่งในการสนทนานั้น ..ผมว่าผู้เป็นบัณฑิตนั้นสามารถแยกแยะได้ครับว่าอันไหนเป็นเรื่องของ เหตุ+ผล และอันไหนเป็นเรื่องของอารมณ์ในการสนทนา ..ผู้มีปัญญาก็จะเลือกเสพเอาแต่สิ่งดีๆ ได้ครับ ..(โดยส่วนตัวแล้ว ..ผมเองก็มิได้สนับสนุนในเรื่องการกระทบกระแทกแดกดันครับ) ... ส่วนผู้ที่ "ตั้งใจ หรือ จงใจ" จะบิดเบือนพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และยังทำการแพร่ระบาด "คำสอนที่บิดเบือน" ต่อไปนั้น ..เขาย่อมมี "ทุคติ" เป็นที่ไปแน่ ..หากไม่ยอมกลับตัวกลับใจ ------------------------------------------ ... ท้ายสุดผมฝากพุทธพจน์เรื่อง "พาลวรรค" ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนเอาไว้ครับ [๒๖๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวก ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่ไม่เห็นโทษโดยความเป็นโทษ ๑ คนที่ไม่รับรองตามธรรม เมื่อผู้อื่นแสดงโทษ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวก  ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่เห็นโทษโดยความเป็นโทษ ๑ คนที่รับรองตามธรรม เมื่อผู้อื่นแสดงโทษ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้แล ฯ [๒๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ย่อมกล่าวตู่ตถาคต ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนเจ้าโทสะซึ่งมีโทษอยู่ภายใน ๑ คนที่เชื่อโดยถือผิด ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ ย่อมกล่าวตู่ตถาคต ฯ [๒๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ ย่อมกล่าวตู่ตถาคต ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคตมิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ว่า ตถาคตได้ภาษิตไว้ ได้ตรัสไว้ ๑ คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคตภาษิตไว้ ตรัสไว้ว่า ตถาคตมิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้แล ย่อมกล่าวตู่ตถาคต ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ ย่อมไม่กล่าวตู่ตถาคต ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคตมิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ว่า ตถาคตมิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ ๑ คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคตภาษิตไว้ ตรัสไว้ว่า ตถาคตภาษิตไว้ ตรัสไว้ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้แล ย่อมไม่กล่าวตู่ตถาคต ฯ ... Link จากต้นฉบับเต็มนะครับ http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=1564&Z=1616&pagebreak=0 --------------------------------------------------- ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้โดยชอบครับ :) ============================ แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 51 02:54:51 จากคุณ : กฏธรรมชาติ (บ่อน้ำ) - [ 15 ม.ค. 51 02:50:47 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ ชัดเจนยิ่งนัก จากคุณ : Together In 80s Dream - [ 15 ม.ค. 51 08:36:32 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ขออนุโมทนาด้วยคนครับ แน่นอน! ชัดเจน คม บาดลึก!! จากคุณ : Buddha Cyber (gomtsn) - [ 15 ม.ค. 51 09:13:18 ]

ความคิดเห็นที่ 14 สมถะ ภาวนา ต้องการความนิ่ง แต่ยังไม่เป็นวิปัสนา   วิปัสนาจะเห็นการเกิด -ดับ การติดในสมภะ สามารถบัง วิปัสนาได้ ขอยืดตามว่าทุกอย่างบนโลกมนุษย์ มีเกิดดับ  เป็นเวทีของการเกิดดับ มิฉะนั้นทุกศาสนา ไม่บัญญัติ กติกา  คือ ศีล หรือ พระบัญญัติ มาเลย พระบัญญัติ  + สติ +สมาธิ (ความมุ่งมั่น) +ความเพียร(การต่อสู้เอาชนะการล่อลวง)+ ปัญญา  และสิ่งที่เหนือปัญญา โลกมนุษย์ เป็นเวที มีการเกิด-ดับ แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 51 09:36:46 จากคุณ : anuwat5 - [ 15 ม.ค. 51 09:36:16 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ----- ขอบพระคุณ คุณฤทธีมากครับ เป็นการรวบรวมหลักฐานหลายด้านให้ชัดเจน  สามารถนำไปจัดทำเป็นเอกสารได้  ได้เก็บเข้าคลังกระทู้เพื่อใช้เป็นหลักฐาน ไว้แล้วครับ จากคุณ : วงกลม - [ 15 ม.ค. 51 09:39:02 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขออนุโมทนาคุณ ฤทธีค่ะ ที่พยายามหยิบยกหลักฐานต่าง ๆ มาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน จากคุณ : faisara - [ 15 ม.ค. 51 10:43:57 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณคุณฤทธีค่ะ จากคุณ : oor_dt - [ 15 ม.ค. 51 17:13:21 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ธรรมขั้นสูง ... อนุโมทนาสาธุคะ จากคุณ : apple_meppo - [ 15 ม.ค. 51 20:23:57 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ชัดเจนครับ จากคุณ : adabun_2029 - [ 15 ม.ค. 51 22:11:41 ]