ความคิดเห็นที่ 1 ความจริงประเด็นนี้ มีคนปัญญาอ่อนเล่นไปก่อนแล้ว ซึ่งเล่นอยู่ค่อนข้างคนเดียวเสียด้วย คือ ไม่มีนักวิชาการคนอื่นๆ มาเล่นประเด็นนี้ด้วย ซึ่งผมจะบอกภายหลังว่า ทำไมนักวิชาการคนอื่นๆ ที่ฉลาดๆ ไม่ยอมลงมาเล่นประเด็นนี้ คนปัญญาอ่อนบุคคลแรกก็คือ คนที่บวชเณรจนกระทั่งได้เปรียญเก้า มีโอกาสไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ กลับมาก็สึกจากพระ มาเป็นคฤหัสถ์ที่ไม่ธรรมดา เพราะ ตอนเย็นก็เล่นเหล้า เคล้านารีหรือปล่าวไม่รู้ แต่มีมิจฉาทิฐิโดยเหตุผลใดไม่ทราบกลับไปโจมตีหลวงพ่อสดว่า เลิกสอนวิชชาธรรมกายไปแล้ว หนังสือที่นำไปเป็นหลักฐานก็คือ หนังสือเล่มที่ปัญญาอ่อนสองนำมาเป็นหลักฐานนี่แหละ จะเห็นได้ว่า ปัญญาอ่อนหนึ่งนั้น ไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับกันในวงวิชาการมากนัก หนังสือที่ออกมาก็เป็นหนังสือตั้งชื่อคน ตั้งชื่อเด็กไปตามเรื่อง ปัจจุบันนี้แทบจะหายไปจากวงวิชาการหลักๆ เลยทีเดียว เมื่อปัญญาอ่อนหนึ่ง หยิบเรื่องนี้มาโจมตีหลวงพ่อสดนั้น จะเห็นได้ว่า ไม่มีนักวิชาการท่านอื่นๆ ไปร่วมลงไม้ลงมือด้วยเลย ไม่เหมือนประเด็นที่ว่า “นิพพานเป็นอัตตา” ซึ่งมีนักวิชาการไปร่วมหัวจมท้ายกับเป็นจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันก็จมน้ำตายกันในทางวิชาการจริงๆ เพราะ ผมได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า หลวงพ่อสดท่านสอนว่า “นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อัตตา” ไม่ได้สอนว่า “นิพพานเป็นอัตตา” พวกที่โจมตีหลวงพ่อสดกระทำอนันตริยกรรมในทางวิชาการ ที่ไปตัดเอาคำ “นิจจัง/สุขัง” ออกไป เพราะ ไม่มีใครเถียงกันในประเด็นนี้ นอกจากนั้นแล้ว ยังเอาความหมายของ “อัตตา” ที่ตนแปลงเสียใหม่ ใส่ลงไปอีก ในความเป็นจริงแล้ว หลวงพ่อสดท่านสอนถูกแล้ว คำว่า “นิจจัง/สุขัง/อัตตา” เป็นคำคุณศัพท์ (adjective) ซึ่งบรรยายสภาวะของนิพพาน การกระทำของนักวิชาการที่ตัดเอาคำว่า “นิจจัง/สุขัง” ออกไป แล้วไปแปลคำว่า “อัตตา” ในความหมายอื่นที่หลวงพ่อสดไม่ได้ใช้ นักวิชาการจอมปลอมเหล่านั้น กระทำตัวเหมือนนักการเมืองมากกว่านักวิชาการ คือ ต้องการทำลายหลวงพ่อสดอย่างเดียว ไม่ได้คำนึงถึงคุณธรรมจริยธรรมแต่อย่างใด สมมุติว่า หลวงพ่อสดเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำว่า “อัตตา” เพียงคำเดียว แต่หลวงพ่อสดก็สอนถูกเข้าไป 2 คำแล้ว คือ “นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง” เมื่อพิจารณาการทำงานของหลวงพ่อสดแล้ว หลวงพ่อทำเพื่อศาสนา เพื่อวัดปากน้ำ เพื่อประชาชนจริงๆ หลวงพ่อมรณภาพก็ไม่เคยปรากฏว่า มีเงินฝากธนาคารไว้เป็นร้อยล้านพันล้านเมื่อไหร่ ทำไมจะต้องทำลายหลวงพ่อสดถึงขนาดนั้นด้วย ผมเองก็ยังไม่เข้าใจ หรือจะมีเรื่องของการอิจฉาริษยาอย่างละครโทรทัศน์เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยสรุป ประเด็นนี้ ปัญญาอ่อนหนึ่งเคยนำมาเป็นประเด็นโจมตีมาก่อนแล้ว แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ในแวดวงวิชาการ ปัญญาอ่อนหนึ่งก็เลยต้องเงียบเสียงลงไป ปัญญาอ่อนสองคงไม่รู้เรื่องเหล่านั้น ก็เดินตามความผิดพลาด เพราะ หนังสือเล่มดังกล่าว ขาดหลักฐานในทางวิชาการโดยสิ้นเชิง จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 16 ก.พ. 51 00:58:46 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ประเด็นที่ผมจะชี้ให้เห็นเลยก็คือ หนังสือเล่มนี้ชื่อ “คำถาม-คำตอบ เรื่องวิปัสสนากรรมฐาน” ผู้แต่งเป็นคนอยู่ในสายปฏิบัติแบบยุบพอง ทำไมจะต้องไปมีเนื้อหาเกี่ยวกับหลวงพ่อสดด้วย ทำไมไม่จำกัดขอบเขตของหนังสืออยู่เฉพาะปัญหาของสายยุบพองเท่านั้น นอกจากนั้นแล้ว เนื้อหาของหนังสือก็เป็นการโจมตีหลวงพ่อสดด้วย ควรหรือจะมาพิมพ์แจกกันในการทำบุญคล้ายวันเกิด แล้วทำไมตอนหลวงพ่อสดยังมีชีวิตอยู่ไม่พิมพ์แจกให้เป็นการเอิกเกริก แล้วขอให้หลวงพ่อสดเซ็นชื่อให้ด้วย จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 16 ก.พ. 51 01:00:11 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ ที่เกี่ยวกับหลวงพ่อสดนั้น ยอมรับไม่ได้กันในทางวิชาการครับ ผมจึงพยายามย้ำมาตั้งแต่ต้นว่า ไม่มีนักวิชาการในระดับมาตรฐานกล้าจะลงมาเล่นเรื่องนั้น ปัญญาอ่อนหนึ่งนั้น ตายไปในทางวิชาการไปล่วงหน้าแล้ว ปัญญาอ่อนสองก็จะตามไปในเร็วๆ นี้ ในวงวิชาการนั้น เขาจะวิเคราะห์หนังสือของคนๆ นั้น ถ้าจะศึกษาว่า หลวงพ่อสดเลิกสอนวิชชาธรรมกายหรือไม่ เขาจะศึกษาจากหนังสือของหลวงพ่อสด ไม่ใช่ไปศึกษาจากหนังสือของคนอื่นๆ นอกจากจะศึกษาแล้ว อาจจะต้องไปเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์บุคคลใกล้ชิด จะต้องดูจากเหตุการณ์แวดล้อมหลายๆ อย่าง ไม่ใช่ไปเอาหลักฐานมาจากหนังสือของคนอื่นๆ มันใช่ไม่ได้ในทางวิชาการ จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 16 ก.พ. 51 01:01:16 ]

ความคิดเห็นที่ 4 อ้างอิง แหล่งแห่งหนหน่อยก็ดี แล้วก็ สมัครให้เป็นตัวเป็นตนชัดเจนหน่อยก็ดี ไอดีจากมือถือ เชื่อไม่ค่อยได้ จากคุณ : jiewee - [ 16 ก.พ. 51 01:25:18 ]

ความคิดเห็นที่ 5 มันก็ต้องไม่จิงอยู่แล้ว  พวกที่คิดว่าจิงก็คือโง่  โดนพวกใบลานเปล่ามันหลอกเอา  เพราะวิชาของพวกนั้นแสนจะไร้น้ำยา เทียบไม่ติดฝุ่นกับวิชชาธรรมกาย  เรยหาคนมาสนใจศึกษาไม่ได้ จึงต้องแต่งเรื่องน่าสมเพชแบบนี้มาหลอกคน  ใครเชื่อก็แย่แล้ว แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 51 05:03:52 จากคุณ : พระเจ้าจักรพรรดิ์ - [ 16 ก.พ. 51 05:01:10 ]

ความคิดเห็นที่ 6 หลวงพ่อสด สอนว่า นิพพาน เป็น นิจจัง สุขขัง อัตตา จริงหรือครับ .............ขอหลักฐานด้วย................. แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 51 07:20:45 จากคุณ : Stalwart - [ 16 ก.พ. 51 07:20:01 ]

ความคิดเห็นที่ 7 คห.1 ช่วยแปล ให้ชัดๆ นะครับ ........หลวงพ่อสดท่านสอนว่า “นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อัตตา” ไม่ได้สอนว่า “นิพพานเป็นอัตตา”...... .................ผมไม่เข้าใจ............. จากคุณ : Stalwart - [ 16 ก.พ. 51 07:22:46 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ไอ้พวกกะล่อน จากคุณ : Ritti Janson - [ 16 ก.พ. 51 08:21:13 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ถ้าวิชาธรรมกายเป็นของแท้ ของดีขนาดนั้นถ้าผู้ใดไม่สำเร็จธรรมกายจะไม่มีทางถึงนิพพาน ทำไมพระไตรปิฎกจึงไม่มีธรรมกายสูตรเลยล่ะครับ เพราะปกติถ้าพระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเรื่องอะไรที่สำคัญแก่ใครก็จะมีบันทึกเป็นพระสูตรนั้นๆอธิบายถึงที่มาว่าตรัสสอนแก่ผู้ใด มีอะไรเป็นเหตุ มีเนื้อความโดยพิศดารเป็นอย่างไร แต่นี่เห็นแต่มีคำว่าธรรมกายปรากฎอยู่ไม่กี่แห่งและท่านก็ไม่ได้ตรัสให้รายละเอียดไว้ตรงไหนเลยว่าเป็นสุดยอดวิชาปราบมารสะท้านโลก มีขั้นตอนการฝึกอย่างไร ฝึกเสร็จแล้วต้องไปรบกับพระพุทธเจ้ามารอย่างไร  (ผมเป็นผู้มาใหม่ รู้น้อยครับต้องขออภัยหากความสงสัยของผมไม่เข้าท่า) จากคุณ : งบน้อย - [ 16 ก.พ. 51 09:04:05 ]

ความคิดเห็นที่ 10 แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 51 09:06:03 จากคุณ : constant - [ 16 ก.พ. 51 09:05:49 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ในจำนวนล้านที่คุณจขกทว่า  มีควายที่เชื่อเรื่องนี้อยู่สักกี่ตัวหรือครับ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y5705521/Y5705521.html จากคุณ : constant - [ 16 ก.พ. 51 09:06:18 ]

ความคิดเห็นที่ 12 พระพุทธเจ้าสอนไม่ได้แบบนี้ คนที่เห็นนะเพี้ยน เพราะติดนิมิต จากคุณ : constant - [ 16 ก.พ. 51 09:10:00 ]

ความคิดเห็นที่ 13 http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2007/11/Y6000735/Y6000735.html จากคุณ : constant - [ 16 ก.พ. 51 09:10:17 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ใครเก่งเกินพระพุทธเจ้า ก็ไปตั้งศาสนาใหม่ได้เลยครับ ทั้งอ้ายเสื้อแขนยาว ทั้งอ้ายลุงปราบมาร และบรรดาลิ่วล้อทั้งหลาย แต่งตั้งศาสดาเสร็จแล้ว แล้วไม่ต้องอ้างพระพุทธเจ้า เอาวิชชาศูนย์กลางกาย และความคิดทุเรศๆ มาสวมในพุทธศาสนานะครับ จากคุณ : constant - [ 16 ก.พ. 51 09:13:33 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อกล่าวถึง "นิพพาน" ไม่ใคร่มีใครจะอยากตอบ อยากอธิบาย มากนัก เพราะจะรู้สึกว่า เป็นสิ่งที่สูงส่ง สุดเอื้อม ไกลตัวเหลือเกิน ประกอบกับ ล้วนเป็น ภาวะ หรือ สถานที่ ที่ปัจจุบัน หาคนที่เคยไป เคยเห็น เคยสำผัส ได้น้อยเต็มที ท่านที่บอกว่า ได้สำเร็จ มรรคผลนิพพาน ถึง ขั้นโน้นขั้นนี้ ก็น่าคลางแคลงใจ ว่า สำเร็จจริงหรือเปล่า เพราะท่านที่บอกว่าสำเร็จสมมุติมี 3 ท่าน ก็อธิบายนิพพาน ไปคนละทิศคนละทาง ชนิดที่ไม่อาจจะเป็น "นิพพาน" เดียวกันได้เลย ในแนวทางการปฏิบัติธรรมวิชชาธรรมกาย เมื่อผู้ปฏิบัติเข้าถึงธรรมกาย และฝึกฝนจนเชี่ยวชาญแล้ว ก็สามารถไปดู ไปสำผัส ไปเยี่ยมเยียน นิพพาน ได้เช่นกัน ซึ่งการจะเห็น นิพพาน ได้นั้น ต้องเห็นด้วย ญาณของธรรมกายหรือตาของธรรมกาย ซึ่งเป็น "ธรรมจักษุ" หรือ "พุทธจักษุ" ซึ่งเป็น ตาที่อยู่เหนือภพ 3 (โลกุตระ) จึงจะเห็น นิพพาน ซึ่งเป็น  สิ่งที่อยู่เหนือภพ 3 เช่นกันได้ ผู้ที่เข้าถึง ธรรมกาย จะเห็นนิพพานตรงกันเป็นอย่างเดียวว่า ในนิพพานนั้น มีแต่ธรรมกายอยู่มากมายเต็มไปหมด จนไม่สามารถคำนวณจำนวนได้  เฉพาะในนิพพานที่รู้จักกันทั่วไป คือนิพพานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตสาวก ซึ่งปรินิพพาน ทิ้งซากศพ(กายมนุษย์)ไว้ในโลกนี้ มีแต่ธรรมกายไปปรากฏอยู่ในอายตนนิพพานนั้น ธรรมกายมีลักษณะคล้ายพระปฏิมากร มีเกศเป็นรูปคล้ายดอกบัวตูม หน้าตักกว้าง 20 วา ใสสว่างสวยงามไม่มีที่ติ มีพระอริยบถอยู่ในท่าประทับนั่งเข้านิโรธสมาบัติ  ส่วนพระขีณาสวเจ้าอีกประเภทหนึ่งที่ปรินิพพานโดยไม่ทิ้งกายมนุษย์ไว้ ก็จะมีธรรมกายอีกลักษณะหนึ่ง อยู่ในนิพพานต่างหากอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งผู้มีญาณแก่กล้าก็จะสามารถพบเห็นได้ ในนิพพาน เป็นที่ว่างๆโล่ง ไม่มีสิ่งใดกำบัง ไม่มีโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ไม่มีการไปการมา ไม่มีการเคลื่อนไหว เพราะพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านหมดกิจที่จะทำอย่างอื่นแล้ว นอกจากเสวยสุขเข้านิโรธอย่างเดียว ดังบาลีว่า "นิพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานสุขอย่างยิ่ง" ในนิพพานจึงมีแต่ พระธรรมกาย ปรากฏอยู่นับไม่ถ้วน (ผู้มีญานขนาดใหนก็นับไม่ถ้วน) มีรัศมีและความงดงามแตกต่างกันไปตามแต่บารมีของแต่ละองค์ที่ได้สั่งสมมา หากเป็นธรรมกายพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ก็จะมีพระธรรมกายพระอรหันตสาวกนั่งล้อมรอบ หากเป็นธรรมกายพระปัจเจกพุทธเจ้าก็จะนั่งองค์เดียวโดดๆ  ส่วนลักษณะของธรรมกายจะมีลักษณะเหมือนกันทั้งหมดไม่มีแตกต่างกันเลยดังที่ได้กล่าวแล้ว นิพพานที่กล่าวมานี้เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน  คือ นิพพานที่ไม่มีขันธ์ 5 เหลือแล้ว อาจเรียกว่า "นิพพานตาย" ก็ได้  ส่วนนิพพาน อีกประเภทหนึ่งคือ นิพพานในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน  อาจเรียกว่า "นิพพานเป็น" ก็ได้ นิพพานนี้คือ นิพพานที่พระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์ เข้าถึงในขณะที่ยังมีชีวิตหรือขันธ์ 5 อยู่ และได้สำเร็จอรหัตตผลแล้ว สอุปาทิเสสนิพพาน ที่จริงก็คือ นิพพานส่วนตัว ที่อยู่ในศูนย์กลางกาย ของทุกๆคนนั่นเอง เมื่อดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว จึงถอดกายทิ้งซากมนุษย์ไว้ในโลก และถอดกายเป็นชั้นๆ ไปทั้ง 17 กาย (กายมนุษย์ ถึงกายธรรมอนาคามี) จนเหลือแต่ธรรมกายอรหัตต์  เมื่อธรรมกายอรหัตต์ ซึ่งมีอายตนะตรงกันกับอายตนนิพพาน อายตนนิพพานก็จะดึงดูด ธรรมกายนั้น ไปปรากฏอยู่ในอายตนนิพพาน รวมกับธรรมกายพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ที่เข้านิพพานล่วงหน้าไปก่อนแล้ว แล้วนิพพาน ตั้งอยู่ที่ไหน บางท่านบอกว่า นิพพาน "สูญ" ไปบ้าง เป็นสภาวะอารมณ์ หนึ่งบ้าง แต่ไม่มีใครบอกได้เลยว่านิพพานอยู่ที่ไหน รู้ก็รู้จากการตีความตามตำรา แต่หลวงพ่อวัดปากน้ำ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ได้บอกเอาไว้ดังนี้ "นิพพานอยู่ข้างบน สูงจากภพ 3 เท่าภพ 3 โตเท่าภพ 3 นี่ สว่างเป็นแก้วไปหมดทั้งนั้น งดงามมาก โตเท่าภพ 3 นี่"  จากพระธรรมเทศนาเรื่อง "โอวาทปาฏิโมกข์" 20 ตุลาคม 2497 นอกจากนี้ท่านยังได้วัดระยะห่างระหว่างภพ 3 กับนิพพานให้ทราบอีกด้วยว่า ห่างกันกี่โยชน์ ซึ่งเป็นเรื่องแสดงความอัศจรรย์ของวิชชาธรรมกายอย่างมาก ที่สามารถรู้เห็นได้ลึกซึ้งและชัดเจนขนาดนั้น  ทั้งๆที่ผู้ปฏิบัติวิชชาธรรมกาย ไม่มีผู้ใดสำเร็จแม้ พระโสดาบันเลย ล้วนเป็น "ธรรมกายโคตรภู" ทั้งสิ้น จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 16 ก.พ. 51 09:13:40 ]

ความคิดเห็นที่ 16 #5 วิชชาลูกแก้วขยะ ที่เที่ยวไประเบิดใส้เล่นซ่อนหาไอ้ดำ มันวิชชาทุเรศๆ ที่คนฝึกแล้วเพี้ยนจนกู่ไม่กลับครับ วิชาอะไรที่คุณกล่าวถึงว่าไร้น้ำยาหรือ? ช่วยแสดงความชัดเจนด้วย จากคุณ : constant - [ 16 ก.พ. 51 09:16:22 ]

ความคิดเห็นที่ 17 จริงจริงแล้วกระทู้นี้ต้องการแสดงความเห็นว่าหลวงพ่อสดเลิกสอนวิชชาธรรมกายจริงหรือไม่ ตามที่หลายท่านพยายามอ้าง       ส่วนเรื่องธรรมะลึกซึ้งระดับนิพพานนั้นเชิญกระทู้แนะนำครับ จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 16 ก.พ. 51 09:19:16 ]

ความคิดเห็นที่ 18 พระพุทธดำรัส " เราย่อมทราบชัดซึ่งสิ่งที่โลกสมมุติว่าเลิศ ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น และไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น จึงทราบความดับได้เฉพาะตน ฉะนั้นตถาคตจึงไม่ทุกข์ " การที่คนคนหนึ่งจะเกิดความรู้สึกจางคลายความยึดมั่น สิ่งต่างๆในโลกได้ เขาต้องรู้ เห็น สัจธรรม ด้วยจิตและใจ เขามิได้เฝ้าสังเกตุ ฝ่ายเกิด แต่ เขาเฝ้าดู ฝ่ายดับ ผู้ที่เฝ้าดู ฝ่ายเกิด ย่อมเกิดอุปทาน และความอยาก ผู้ที่เฝ้าดู ฝ่ายดับ ย่อมเห็น ความว่างเปล่า ความแตกสลาย ความไม่มีเหลือ ของรูปธรรมและนามธรรม ผู้ที่เฝ้าดู ฝ่ายเกิด ย่อมเกิดความยินดี พอใจ ยึดติด หลงเป็นเจ้าของ ฯลฯ นี่เป็น เหตุแห่งทุกข์ทั้งมวล ผู้ที่เฝ้าดู ฝ่ายดับ ย่อมถอนความยินดี ถอนความพอใจ ถอนความยึดติด ไม่มีความคิดที่จะเป็นเจ้าของ ฯลฯ นี่เป็นเหตุแห่งความดับทุกข์ทั้งมวล ไม่มีใคร ได้ อะไรเลย ไม่มีใคร มี อะไรเลย ไม่มีใคร เป็น อะไรเลย ความมี ความได้ ความเป็น เสมือนเปลือก ที่ลอกคราบออก ครั้งแล้ว ครั้งเล่า อยู่ในนรก ก็มีเปลือกอย่างหนึ่ง อยู่ในภพมนุษย์ ก็มีเปลือกอีกอย่างหนึ่ง อยู๋ในสวรรค์ ก็มีเปลือกอีกอย่างหนึ่ง อุปทานทั้งหลายนั่นแหละเป็นเปลือก ถอนอุปทานได้ ก็ถอนเปลือกได้ ก็เจอเนื้อแท้จริง คือ นิพพาน ท่านผู้รู้ทั้งหล่ายจึงกล่าวว่า นิพพาน ไม่ได้อยู่นอกตัวเราเลย นิพพาน ถูก เปลือก คือ อุปทาน หุ้มห่อไว้ ความคิดว่าเราได้แล้ว เรามีแล้ว เราเป็นแล้ว นี่คือ อุปทาน ความคิดว่าเรากำลังจะได้ กำลังจะมี กำลังจะเป็น นี่ก็คือ อุปทาน กายนี้ จิตนี้ มีอุปทานเป็นเหตุ ละอุปทานได้ ก็ละกายและจิตนี้ได้ ละกายและัจิตนี้ได้ ที่ตั้งของทุกข์ก็ไม่มี พระพุทธบิดา พระองค์ทรงละอุปทานจาก กายและจิต ทรงเสวยบรมสุขจากนิพพานดิบก่อน แล้วจึงเสวยนิพพานสุกเมื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระอรหันต์เจ้าทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ผู้ที่ยังดับกิเลส ตัณหา และอุปทาน ไม่ได้ ในขณะที่มีชีวิตอยู่ ครั้นตายไปก็ไม่สามารถดับได้ ผู้ที่สามารถดับ กิเลส ตัณหา และอุปทาน ได้ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ครั้นตายไปก็ย่อมสิ้นกิเลส ตัณหา และอุปทาน ถ้าจะไปนิพพาน ก็ต้องละบาปอกุศลทั้งมวล กาย วาจา และจิต ต้องประกอบด้วยบุญกุศล และจิตที่เข้าสู่นิพพานได้ก็ต้องละ บุญกุศลนั้นด้วยจึงเข้านิพพานได้ ประตูแห่งพระนิพพาน บุญและบาป ไม่สามารถเข้าไปได้ ต้องอาศัย จิตที่บริสุทธิ์จากบุญและบาป จิตจะบริสุทธิ์จากบุญและบาปได้ ต้องอาศัย ปัญญา ปัญญา เกิดได้ต้องอาศัย ศรัทธา(ความพอใจที่จะเข้าสู่พระนิพพาน ความพอใจที่จะละทั้งบาปและบุญ) วิริยะ(ความเพียรละบาปและบุญ ) จิตตะ(ความตั้งใจละบาปและบุญ) วิมังสา(ความคิดพิจารณาในการละบาปและบุญ ในที่นี้มิได้หมายความว่า เราจะต้องไม่ทำบาป และไม่ทำบุญ แต่หมายถึงบาปอกุศลธรรมทั้งหลายเราละเด็ดขาด ทั้งกาย วาจา และใจ บุญกุศลทั้งหลายทำเต็มความสามารถ ทั้งกาย วาจา และใจ ทำบุญกุศลด้วย ปัญญาและเมตตา ทำบุญก็ไม่ติดในบุญ ไม่เอาบุญมาเก็บ มานับเป็นบุญ ว่าเราทำไปเท่านั้นเท่านี้ แล้วจะได้ผลเท่านั้นเท่านี้ จิตต้องว่างจากบุญ จึงเป็นจิตที่บริสุทธิ์ เปรียบได้กับน้ำ เรากรองเอาสิ่งสกปรกออก เอาน้ำไปต้มให้เดือด หมดเชื้อโรค เราจึงเรียกว่าน้ำบริสุทธิ์ น้ำ ที่เราเติม กลิ่น และรส ให้หอม หวาน นั่นก็มิใช่น้ำที่บริสุทธิ์ น้ำบริสุทธิ์ จึงปราศจาก สี กลิ่น รส จิตบริสุทธิ์ จึงปราศจาก บาปและบุญ จึงเข้าสู่ประตูนิพพานได้. จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 16 ก.พ. 51 09:26:12 ]

ความคิดเห็นที่ 19 พระพุทธเจ้ายืนยัน ความดับโดยไม่เหลือ นิพพาน       เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓  บรรทัดที่ ๗๙๘๐ - ๗๙๙๘.  หน้าที่  ๓๔๗. http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=7980&Z=7998&pagebreak=0 แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 51 09:26:39 จากคุณ : constant - [ 16 ก.พ. 51 09:26:23 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ผู้ยินยันความจริงท่านยังมีชีวิตอยู่ พระอาจารย์ภัททันตะ(อาจารย์ของหลวงพ่อสดและหลวงพ่อจรัญ) อยู่ที่ วัดภัททันตะอาสภาราม ๑๑๘/๑ หมู่ ๑ บ้านหนองปรือ ตำบลหนองไผ่แก้ว อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ๒๐๒๒๐ โทรศัพท์ ๐-๓๘๒๙-๒๓๖๑ หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน อ. พรหมบุรี จ. สิงห์บุรี 16160 โทร. 036 599381 ทั้งสองท่านก็ยังอยู่ เชิญไปเองเลยดีกว่า ฝ่ายปราบไอ้ดำ หรือฝ่ายอลัชชีมีหลักฐานอะไรบ้าง นอกจากกะล่อนพูดจาลอยๆ ส่วนลายเซ็นหลวงพ่อสดก็ยังมีอยู่ แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 51 09:35:43 จากคุณ : constant - [ 16 ก.พ. 51 09:35:31 ]

ความคิดเห็นที่ 21 หลวงพ่อสดกล่าวไว้เอง ว่าเป็นKheeข้า ของสิ่งที่ท่านเองคิดค้นมาหลายสิบปี และมีลายเซ็นยืนยัน การฝึกของท่านในรูปแบบวัดมหาธาตุ ตอนนี้ท่านก็ไม่ได้สอนแล้ว เพราะมรณะภาพไปแล้ว มีแต่พวกเพี้ยนๆ หลายตัวที่ยังสอนกันอยู่ จากคุณ : constant - [ 16 ก.พ. 51 09:46:28 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เพราะหลวงพ่อสดละอุปปาทานในวิชชาลูกแก้ว ทำให้หลวงพ่อสดมารู้ทีหลัง ว่าความจริงคืออะไร แต่คนเพี้ยนยุคหลังก็ยังยอมรับไม่ได้อยู่ดี จากคุณ : constant - [ 16 ก.พ. 51 09:48:04 ]

ความคิดเห็นที่ 23 # 20 หลวงพ่อภัททันตะ ท่านอยู่ที่วัดมหาธาตุนะ จากคุณ : หมูมันเยิ้ม - [ 16 ก.พ. 51 10:38:03 ]

ความคิดเห็นที่ 24 . จากคุณ : หมูมันเยิ้ม - [ 16 ก.พ. 51 10:38:41 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เครดิต โดย คุณ Ritti Janson จากคุณ : หมูมันเยิ้ม - [ 16 ก.พ. 51 10:39:37 ]

ความคิดเห็นที่ 26 .. จากคุณ : หมูมันเยิ้ม - [ 16 ก.พ. 51 10:39:59 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ... จากคุณ : หมูมันเยิ้ม - [ 16 ก.พ. 51 10:40:38 ]

ความคิดเห็นที่ 28 .... จากคุณ : หมูมันเยิ้ม - [ 16 ก.พ. 51 10:41:00 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ..... จากคุณ : หมูมันเยิ้ม - [ 16 ก.พ. 51 10:41:33 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ...... จากคุณ : หมูมันเยิ้ม - [ 16 ก.พ. 51 10:41:58 ]

ความคิดเห็นที่ 31 หน้าที่ 6 จากคุณ : หมูมันเยิ้ม - [ 16 ก.พ. 51 10:42:23 ]

ความคิดเห็นที่ 32 7 จากคุณ : หมูมันเยิ้ม - [ 16 ก.พ. 51 10:43:02 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ๆ จากคุณ : หมูมันเยิ้ม - [ 16 ก.พ. 51 10:43:45 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ไ จากคุณ : หมูมันเยิ้ม - [ 16 ก.พ. 51 10:44:06 ]

ความคิดเห็นที่ 35 วิชชาธรรมกาย .. ได้เหมือนกัน ไม่เสียหาย ไปเจอที่เดียวกัน คือพระนิพาน.. หลวงพ่อจรัญ ที่ต้องบอกกล่าว คือ เกิดเป็นชาวพุทธ ควรต้องลองฝึก อานาปานสติให้ได้ ดูก่อน ถ้าไม่ถูกจริตจริงๆ จึงลองวิธีอื่น แต่ก็มี ความคิดเห็นของ ครูบาอาจารย์หลายท่าน  ต่อ คำบริกรรม สัมมาอะระหัง และฐานที่เจ็ด หรือวิชชาธรรมกาย จะเห็นว่า ปฏิบัติได้ ไม่ขัดกัน ที่สำคัญ ที่ต้อง บอกกล่าวคือ วิชชาธรรมกาย ไม่มีในพระไตรปิฏก ในพระไตรปิฎก  มีคำว่าธรรมกายหลายแห่ง แต่ไม่มีการบันทึก ในเนื้อหา วิชชาธรรมกาย  หลวงพ่อสดกล่าวว่า วิชชานี้เป็นของพระพุทธเจ้า แต่สาบสูญไปภายหลังพระพุทธศาสนาได้ ๕๐๐ ปี อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อสอนว่า เมื่อได้วิชชานี้แล้ว ให้ใช้ ธรรมกายภายในพิจารณาอริยสัจสี่  พิจารณาไตรลักษณ์ จึงจะพ้นทุกข์ หลวงพ่อกล่าวไว้ว่า “ ทำเอง รู้เอง ”  ผู้ใดมีความศรัทธา เชื่อมั่นคิดว่าถูกจริตก็แนะนำให้ลองปฏิบัติ ผู้ใดไม่เห็นด้วย ก็สามารถเลือกปฏิบัติวิธีอื่นตามที่ท่านเห็นสมควร วิชชาธรรมกาย แม้จะไม่มีในพระไตรปิฏก  แต่ครูบาอาจารย์หลายท่าน ยืนยันว่า กระทำได้ไม่เสียหาย จะทยอยลงมาให้ความรู้นะครับ ถือเป็นความรู้ แล้วแต่จริตนะครับ จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 16 ก.พ. 51 10:44:07 ]

ความคิดเห็นที่ 36 r จากคุณ : หมูมันเยิ้ม - [ 16 ก.พ. 51 10:44:59 ]

ความคิดเห็นที่ 37 t จากคุณ : หมูมันเยิ้ม - [ 16 ก.พ. 51 10:45:31 ]

ความคิดเห็นที่ 38 y จากคุณ : หมูมันเยิ้ม - [ 16 ก.พ. 51 10:45:56 ]

ความคิดเห็นที่ 39 คำสอนของ หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จาก  กรรมฐาน ๔๐ และเคล็ดลับ การเดินจงกรม วิธีการเจริญกรรมฐาน พระธรรมสิงหบุราจารย์ ท่านเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน   ขอเจริญพร ญาติโยมทุกท่าน การภาวนามีหลายรูปแบบ แต่จุดมุ่งหมาย ปลายทางก็เป็นอันเดียวกัน เช่น....     กำหนด “ พุทโธ” หายใจเข้า...พุท ... หายใจออก โธ กำหนด “พองยุบ” พองหนอ... ยุบหนอ มันก็อันเดียวกันทั้งนั้นแหละ หายใจเข้า...รู้ หายใจออก....รู้  แต่ว่ามันเปลี่ยนมาอยู่ที่ท้อง หายใจเข้า...พุท...หายใจออก ...โธ อย่างนี้ แต่ว่าหายใจเข้ามากำหนดที่ท้อง หายใจเข้ายาวๆ ท้องก็พอง หายใจออกยาวๆ ท้องก็ยุบ นี่อานาปานสติ สัมมาอะระหัง ก็เรียกว่าธรรมกาย มันก็มีจุดมุ่งหมายปลายทางเดียวกัน มันก็ไปเจอพบกัน เป็นสิ่งที่ดีทุกอย่าง แต่มันแตกต่างกัน อย่างเช่น..... อารมณ์กรรมฐาน   บางท่านภาวนา “พุทโธ” มีอะไรเป็นอารมณ์ไหม นี่มันเป็นบทบริกรรม ถ้าเอาขันธ์ห้า รูปนามเป็นอารมณ์ก็เป็นวิปัสสนา แต่ก็ต้องผ่านสมถะทั้งนั้น ถ้าเอาบัญญัติเป็นอารมณ์ ถือว่านั้นเป็นสมถะ เช่น พุทโธ เช่น มโนนึกคิด ให้เพ่งดูต้นหญ้าที่นั่งตรงนั้นมีอะไรบ้าง และก็ให้เห็นนึกเครื่องหมายต่างๆ โน่นบ้าง นี่บ้าง อย่างนี้เรียกว่า มโนนึกคิด ก็ภาวนาพุทโธเหมือนกัน ภาวนาพุทโธ...พุทโธ แล้วเพ่ง ไปให้เป็นนิมิตเครื่องหมาย ให้เห็นพระพุทธเจ้า ให้เห็นเมืองนรก เห็นเมืองสวรรค์ ก็สามารถไปสู่จุดหมายปลายทางได้ทั้งนั้นเหมือนกัน ปัญหาอันหนึ่ง คือ เอาอะไรมาเป็นอารมณ์ ถ้าเขาเหล่านั้นเอาสติปัฏฐานสี่ หรือเอามาตั้งคำว่า พุทโธก็ได้เหมือนกัน แต่ต้องมีสติอยู่ทีอิริยาบถ โดยวิธีปฏิบัติแล้วก็ขันธ์ห้า รูปนามเป็นอารมณ์ ให้สติไปกำหนดทุกอิริยาบทในสติปัฏฐาน ๔ มันแยกกันอย่างนั้น “สัมมาอะระหัง” ผู้หญิงซ้าย ผู้ชายขวา อาตมาก็ปฏิบัติมาแล้ว ประสบตั้งแต่นั้นมา ตั้งแต่ปี ๒๔๙๓ เป็นเวลา ๖ เดือน นั้นคือวิชชาธรรมกาย เรียกว่าสมถะ แต่จุดมุ่งหมาย มีสติปัฏฐานสี่ชัดขึ้น ก็กลายเป็นกรรมฐานฝ่าย วิปัสสนาไป ...ก็ใช้ได้ แต่ต่างกัน โดยบริกรรม   ส่วนผู้หญิงซ้าย ผู้ชายขวา บริกรรมสัมมาอะระหัง ๆ โดยให้ผู้หญิงซ้าย ผู้ชายขวา ก็ได้เหมือนกัน ไม่เสียหาย ดีเหมือนกันไปหมด แล้วแต่ใครจะชอบทางไหนอย่างไร แม้จะเดินไปคนละทาง แต่ก็ต้องไปเจอกันที่กรุงเทพ เหมือนกันหมด ไปเจอกันที่ ศูนย์รวมที่เดียวกัน สิ่งนั้นคือ พระนิพพาน  ต้องไปทางนั้นด้วยกันทั้งนั้น แต่จะไปช้า หรือเร็วนั้นก็เป็นเรื่องของคนเดินทาง ... ไม่เหมือนกัน นี่มันเป็นบทบริกรรมเท่านั้นเอง ขอเจริญพรอย่างนี้ จบคำสอน หลวงพ่อ จรัญที่นำมาลง ครับ จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 16 ก.พ. 51 10:46:02 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เครดิต ทั้งหมด โดย คุณ Ritti Janson จากคุณ : หมูมันเยิ้ม - [ 16 ก.พ. 51 10:46:33 ]

ความคิดเห็นที่ 41 แต่อ่านแล้วเกิดสงสัยขึ้นมาว่า หลวงพ่อสดทราบได้อย่างไรว่า วิชาธรรมกายนั้น เป็นสิ่งที่สาบสูญไป... ตอบว่า ผมคิดว่าท่านทราบด้วย ญาณของ วิชชาธรรมกายครับ จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 16 ก.พ. 51 10:47:17 ]

ความคิดเห็นที่ 42 คุณ : constant นี่แปลกจัง ที่พยายามตัดสินวิชชาธรรมกายด้วยคำของพระอาจารย์ท่านอื่น ๆ ซึ่งถ้าทำเช่นนั้นก็หมายความว่าไม่ได้เชื่อถือในหลักปฏิบัติของวิชชาธรรมกายอยู่แล้ว เชื่อถือคำของพระอาจารย์อื่น ๆ มากกว่า ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องพยายามอธิบายให้ใคร ๆ ยอมรับวิชชาธรรมกายเลยครับ ผมเปรียบเทียบให้ฟังดังนี้ ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุนั้น ไม่จำเป็นต้องได้รับการยืนยันจากใครก็ตามในยุคสมัยนั้น ว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นปัญจวัคคีย์ ชฎิล พราหมณ์ กษัตริย์ หรือแม้แต่อาฬารดาบสและอุทกดาบสซึ่งเคยเป็นอาจารย์ของท่านมาก่อน ไม่จำเป็นที่ใครจะต้องไปนำคำของท่านเหล่านี้มายืนยันครับ เพราะโดยที่จริงแล้ว ธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้นั้นเป็นพยานของธรรมนั้นอยู่เอง ไม่มีใครเลยที่จะเป็นพยานได้ ผู้ปฏิบัติตามย่อมเข้าถึงได้จริงและสามารถรู้ได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่ว่าต้องได้รับการยืนยันจากบุคคลใดนะครับ และการที่เรานำคำของพระอาจารย์ท่านหนึ่งมายืนยันคำสอนของพระอาจารย์อีกท่านหนึ่ง เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดพอสมควร ก็จะมีพระอาจารย์ไหนล่ะที่จะบอกว่าคำสอนของท่านอื่นดีกว่า ประเสริฐกว่า ต่างกันแต่ว่าใครมีความเห็นตรงไปตามความเป็นจริงมากที่สุดเท่านั้น และจุดนี้เองที่เราจะใช้คำของพระอาจารย์ท่านใดตัดสินก็เป็นเพราะว่าคำสอนของพระอาจารย์ท่านนั้น ๆ เป็นสิ่งที่เรายอมรับได้เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นความจริงเสมอไป หากคำสอนของพระอาจารย์ท่านใด ๆ ที่แม้จะกล่าวถูก แต่ตัวเรายอมรับไม่ได้เพราะมีความเห็นส่วนตัว อย่างนี้เราจะบอกว่าอาจารย์ท่านนั้นสอนผิดก็ไม่ได้ เพราะการตัดสินแบบนี้ก็คือเอาความเห็นของตัวเองเป็นที่ตั้งนั่นเอง แต่ตัวเองเลือกที่จะเชื่อคำสอนของท่านใดต่างหาก หลวงปู่สดท่านยืนยันหนักแน่นว่า ต้องให้ได้แนวนี้เท่านั้น ผิดจากแนวนี้ไปก็เลอะเหลว ถ้าได้แนวนี้ล่ะก็ ทำจริงล่ะก็ เป็นต้องได้ทุกคน เข้าถึงได้ทุกคน ที่ว่าจริงนั้นจริงแค่ไหน ต้องจริงแค่ชีวิต แค่คำนี้ก็หมายความว่าไม่ใช่ใคร ๆ จะทำได้แล้วล่ะครับ เพราะจะมีสักกี่คนกันที่เอาชีวิตเข้าแลก ส่วนใหญ่ที่ทำก็ยังมีใจห่วงกังวลในทางโลกทั้งนั้น ตัดกันไม่ขาดทั้งนั้น จึงไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่าย ๆ เลย สำหรับคนที่ยังไม่เคยเห็นแม้แต่นิมิต อย่าว่าแต่จะละได้หรือไม่ได้เลย แล้วให้เที่ยวไปตัดสินไปวิจารณ์ เห็นว่าจะยุ่งกันใหญ่ เพราะแม้แต่พระอรหันต์ก็ใช่ว่าจะรู้จักธรรมทั้งหมดทั้งสิ้นทั้งปวงดังเช่นพระสัพพัญญูพุทธเจ้านะครับ แม้บางเรื่องพระสารีบุตรเองก็ยังต้องทูลถามพระพุทธองค์เลยครับ แล้วเราใช้อะไรในการตัดสินล่ะครับ ว่าเราสามารถวิเคราะห์ทุกเรื่องได้อย่างถูกต้องทั้งหมด ถ้าจะวิเคราะห์วิจัยวิจารณ์ก็ไม่ผิดอะไร แต่เห็นว่าไม่จำเป็นต้องยกคำของอาจารย์ท่านใดมายืนยันเลยครับ ถ้าสนใจคำสอนของพระอาจารย์ท่านไหน ก็ศึกษาไปให้เต็มที่น่าจะดีกว่าเอามาโยงกันนะครับ เพราะแต่ละที่ก็มีข้อแตกต่างกันมากมาย ดังเช่น สำนักของพระสารีบุตรก็ศึกษาอภิธรรมกันมาก สำนักของพระโมคคัลลานะก็ศึกษาเรื่องฤทธิ์กันมาก สำนักของพระอานนท์ก็เป็นพหูสูตกันมาก สำนักของพระมหากัสปะก็ถือธุดงค์กันมาก ไม่ควรถึงการเปรียบเทียบหรือโยงใยเลยว่าแนวปฏิบัติของใครดีกว่าใคร ถ้าพระอาจารย์ท่านใดมีปกติกล่าววิจารณ์สำนักอื่น ๆ โดยพร่ำเพรื่อล่ะก็ คงต้องมองดูให้ดีล่ะครับว่าทำไปเพื่ออะไร จะพูดให้สำนักอื่นดีหรือแย่ก็ไม่สมควรทั้งนั้น เพราะทางหนึ่งก็เป็นการยกความสำคัญของตน อีกทางหนึ่งก็กลายเป็นไม่มั่นใจในทางของตนไปอย่างนั้น ซึ่งผมว่าพระอาจารย์ทั้งหลายท่านไม่พูดบ่อยหรอกครับเรื่องเหล่านี้ แต่ลูกศิษย์นี่แหละที่นำมาพูดกันบ่อย ๆ เรามาพิสูจน์สัจธรรมด้วยสัจธรรมกันดีกว่า อย่ามัวแต่ยก อ้าง กาง โยง กันอยู่เลยครับ เอาแค่พอหอมปากหอมคอนะครับ จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 16 ก.พ. 51 10:52:50 ]

ความคิดเห็นที่ 43 หลวงพ่อจรัญ สอนวิธีไหน ไม่ได้สอนวิธีไหน ก็ไปดูได้ที่ วัดอัมพวัน นะครับ ------------- พระไตรปิฎกเล่ม 10 หน้า 325 , เล่ม 12  หน้า 105 " เอกายาโน มัคโค อะยัง ภิกขะเว วิสุทธิยา โศกปริเทวานัง ...... " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทาง ' สายเดียว ' เป็นไปพร้อมเพื่อความบริสุทธิ์ (วิสุทธิยา เป็น synomyn ของ นิพพาน)....... -ใครผู้ใดบอกว่า มีหลายทาง , ทางใดก็ได้ นั้น คัดค้านคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือจะแอบอ้างหลวงพ่อหลวงปู่มาบอกแต่หลวงพ่อหลวงปู่ไม่ได้พูดเอง  ก็เช่นเดียวกัน คิดด้วยตรรกะง่ายๆ ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อสาวไปถึงจุดเริ่มต้น ......ก็ต้องเริ่มจากเหตุเดียวกันฉันใด..........ทางแก้ปัญหาทั้งหมดทั้งมวล ก็ต้องแก้ด้วยวิธีเดียว ฉันนั้น - การบอกว่าสิ่งที่ตนเองค้นพบได้ด้วยตนเอง เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการลบหลู่พุทธานุภาพ อย่างยิ่ง ไม่เป็นการสมควร ----------------- อ่านนิทานธรรมบทเรื่อง 'พระโปฐิละ' แล้วจะรู้ว่า การพิสูจน์ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยปริยัติ การโต้เถียงกันต่อไปก็ไม่มีทางพิสูจน์ คำสอนของพุทธองคได้ และไม่มีประโยชน์อันใด ..แต่หลักฐานที่แสดงมานี้เพียงเพื่อ พิสูจน์เรื่องราวในอดีต และปัจจุบัน....เท่านั้น จากคุณ : ผมแค่แอบชอบโนดาเมะจางงง (หมูมันเยิ้ม) - [ 16 ก.พ. 51 11:01:02 ]

ความคิดเห็นที่ 44 แต่ที่ผ่านมาหลวงพ่อจรัญก็สอนอยู่ตลอดไม่ใช่หรือครับว่าจิตเกิดดับ ลองดูบางตอนนี่ครับ " แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนว่าคนตายไปแล้วไปเกิดได้ก็ดี แต่ความคิดเห็นของศาสดาอีกหลายท่านนั้น ก็ตรงกันในหลักใหญ่ๆของพระพุทธศาสนาที่ว่าเกิดอีกเท่านั้นเช่น ศาสนาพราหมณ์ถือว่าคนตายแล้วจิตหรือวิญญาณก็ล่องลอยจากร่างไปปฏิสนธิใหม่ เหตุนี้จิตหรือวิญญาณก็เป็นอมตะ ไม่มีวันตาย เมื่อจากคนนี้ก็ไปสู่ยังคนนั้น เมื่อจากคนนั้นก็ไปสู่คนอื่นๆต่อไปตามลำดับ เหมือนคนอาศัยอยู่ในบ้านเมื่อบ้านพังลงแล้วจะอาศัยอยู่ไม่ได้ก็ต้องเดินทางไปหาบ้านอยู่อาศัยใหม่ต่อไป แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ตรงกันข้าม พระองค์ทรงสอนว่าจิตหรือวิญญาณนั้นมิได้เป็นอมตะ ไม่มีวันตาย หากแต่เกิดดับสืบต่อไปไม่ขาดสาย และจิตใจก็ล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่ไม่ได้เลย จะเทียบคนย้ายไปจากบ้านที่จะพังหาได้-ไม่ ยิ่งกว่านั้น ความเข้าใจที่ว่าการที่ไปเกิดได้ก็ไปแต่จิตหรือวิญญาณเท่านั้น ก็เป็นความเข้าใจผิด เพราะยังมีรูปอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า กัมมชรูป หรือรูปอันเกิดแต่กรรมก็ร่วมในการปฏิสนธินี้ด้วย สำหรับในข้อนี้ เป็นอีกข้อหนึ่งที่ท่านจะได้เห็น ความพิสดารน่าอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา เพราะไม่ว่าใครหรือศาสดาองค์ไหนที่ว่า คนตายแล้วไปเกิดได้ก็ต้องไปแต่จิตหรือวิญญาณเท่านั้น ก็มิได้แสดงการเกิดการตายอย่างไรให้ชัดแจ้งแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่า นอกจากจิตไม่ใช่ล่องลอยไปแล้ว รูปบางชนิดก็ไปเกิดได้ ส่วนจะไปได้อย่างไร รูปอะไรบ้าง มีเหตุผลหลักฐานข้อเท็จจริงอย่างไรนั้นขอได้โปรดฟังต่อไป การที่เข้าใจว่า คนตายแล้วไปเกิดได้นั้น จะต้องมีความเข้าใจในเรื่องจิต เรื่องรูปกรรม และเรื่องความตายว่าเหตุใดจึงตาย ความตายมีกี่อย่าง ขณะใกล้ตายมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง มีความรู้สึกอย่างไร และจิตใจทำงานกันอย่างไร ฯลฯให้เข้าใจดีเสียก่อน ดังนั้น ท่านจึงจะเห็นได้ว่าเรื่องตายเรื่องเกิดนี้จะกล่าวกันง่ายและให้เข้าใจดีด้วยนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย ก่อนอื่น อาตมาขอย้อนไปถึงเรื่องจิตอีกครั้งหนึ่งตามที่ได้กล่าวมาแล้วเป็นตอนๆว่า จิตนั้นเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ รู้จักนึกคิด จดจำ จิตนั้นมีธรรมชาติที่มีความเกิดดับสืบต่อกันเสมอเป็นนิจ มิได้หยุดนิ่ง และจิตนั้นเป็นนามธรรมที่ไม่สามารถมองเห็นหรือจับต้องได้ แต่ก็มีอำนาจในการสั่งสมสันดาน หรือสามารถเก็บเอาอารมณ์ต่างๆไว้ในจิต แล้วก็แสดงออกซึ่งอารมณ์นั้นๆได้ เมื่อแยกงานของจิตออกก็จะได้เป็นสอง คือ ๑. การงานที่จิตกระทำ ได้แก่การที่จิตขึ้นวิถี รับอารมณ์ต่างๆจากทางทวารหรือประตูทั้ง ๖ คือรับอารมณ์จาก ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เช่น เห็น ได้ยิน คิด เป็นต้น ๒. จิตเป็นภวังค์ ได้แก่จิตมิได้ขึ้นวิถีรับอารมณ์จากทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจเลย แต่จิตก็ทำงานอยู่ตลอดเวลา คือ เกิด ดับ และมีอารมณ์ที่ติดมาตั้งแต่ปฏิสนธิ จากคุณ : งบน้อย - [ 16 ก.พ. 51 11:20:48 ]

ความคิดเห็นที่ 45 "...พระพุทธศาสนามีธรรมคำสั่งสอนที่ลึกซึ้ง และเป็นของปัญญาชน ที่ต้องพินิจพิจารณา จะเห็นถึงความมหัศจรรย์ ในธรรมของ พระผู้มีพระภาคเจ้า บรมศาสดา ที่ไม่ปล่อยให้พุทธบริษัท ต้องมีความสงสัย ในพระธรรมของพระองค์ เมื่อท่านได้แสดงพุทธพจน์ว่า นิพพาน มิใช่สภาวธรรม เป็นสิ่งตรงกันข้าม เพราะสภาวธรรม ย่อมมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ นิพพาน เป็นอายตนะ หนึ่ง ซึ่งอยู่นอกเหนือ จากสภาวธรรมทั้งปวง ด้วยความเป็นอายตนะนิพพาน นั้นเอง จึงอาจทำให้ผู้ปฏิบัติถึง นิพพาน จะเกิดความเพลิดเพลินลุ่มหลง ในนิพพานขึ้นได้ พระพุทธองค์จึงได้ตรัสเตือน พระเถระทั้งหลาย ณ โคนต้นสาละ ในป่าสุภวัน ใกล้เมืองอุกกัฏฐะปรากฏในพระไตรปิฎก (บาลี มูลปริยายสูตร มู.ม. ๑๒/๑๐/๙) ว่า "...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ตถาคต ผู้เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบเอง ก็รู้ชัดซึ่งนิพพาน ตามความเป็นนิพพาน ครั้นรู้นิพพาน ตามความเป็นนิพพานแล้ว ก็ไม่ทำความมั่นหมายซึ่ง นิพพาน ไม่ทำความมั่นหมาย ในนิพพาน ไม่ทำความมั่นหมาย โดยความเป็นนิพพาน ไม่ทำความมั่นหมายว่า นิพพานเป็นของเรา ไม่เพลิดเพลินลุ่มหลง ในนิพพาน ข้อนี้เพราะเหตุไรเล่า? เรากล่าวว่า เพราะรู้ว่าความเพลิด เพลินเป็นมูลแห่งทุกข์ และเพราะมีภพจึงมีชาติ เมื่อเกิดเป็นสัตว์แล้ว จึงต้องมีแก่ และตาย เพราะเหตุดังนี้ ตถาคต จึงตรัสรู้ อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ฯลฯ" ดังพระไตรปิฎกได้กล่าวว่า นิพพานเป็นอายตนะหนึ่ง ดังนั้นในนิพพานมีแต่ความสุข เมื่อมีความสุข จึงทำให้เกิดความเพลิดเพลิน ลุ่มหลงได้ (นี่เป็นที่มาของพุทธภาษิตที่ว่า "นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ" แปลว่า พระนิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง ) เจือสมกับที่ปรากฏในพระไตรปิฎกว่า นิพพานสัมผัสได้ เป็นอายตนะ (ตามพระไตรปิฎก...อ้างแล้ว) อายตนะ ก็คือลักษณะของ อัตตา ฉะนั้นองค์พระทศพล จึงทรงมีพุทธาธิบายไว้ ปรากฏในพระไตรปิฎกบาลีเถรวาท เป็นหลักฐานสืบมา จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 16 ก.พ. 51 11:24:13 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ความคิดเห็นที่ 45 (นี่เป็นที่มาของพุทธภาษิตที่ว่า "นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ" แปลว่า พระนิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง ) เจือสมกับที่ปรากฏในพระไตรปิฎกว่า นิพพานสัมผัสได้ เป็นอายตนะ (ตามพระไตรปิฎก...อ้างแล้ว) อายตนะ ก็คือลักษณะของ อัตตา ฉะนั้นองค์พระทศพล จึงทรงมีพุทธาธิบายไว้ ปรากฏในพระไตรปิฎกบาลีเถรวาท เป็นหลักฐานสืบมา รักเธอเสมอมา *************************************************** 1) นี่หมายถึง จิตที่เกิดดับนั้นเอง มี นิพพาน เป็นอารมณ์ จะเอาหลักฐานไหมล่ะ มีอยู่มากมายเต็มไปหมด !!!!!! 2) อายตนะซ่นตีนน่ะสิ ที่เป็นลักษณะของอัตตา (?) อายตนะนั้นก็ว่างจากตนและของๆตน ...... ขอให้รับทราบเอาใว้ แล้วก็อย่ามาเสือกมั่วนิ่มอย่างนี้อีก มันบาป !!!!!! น่าสมเพชจริงๆ ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 16 ก.พ. 51 11:57:02 ]

ความคิดเห็นที่ 47 คุณ  Ritti Janson  ผมไม่สนทนากับคุณคุณจิตหยาบเหลือเกิน จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 16 ก.พ. 51 11:59:52 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ทำไม ? ไม่รู้จัก ซ่นตีน รึไง ? โง่ หรือว่า ดัดจริตกันแน่ ? ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 16 ก.พ. 51 13:01:44 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ไม่เข้าใจครับ ที่จขกท.ว่า "อายตนะเป็นลักษณะของอัตตา"  ถ้าอย่างนั้น  ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์  ทั้งหมดนี่ที่เป็นอายตนะก็เป็นอัตตาด้วยหรือครับ  ช่วยอธิบายเพิ่มด้วย จากคุณ : งบน้อย - [ 16 ก.พ. 51 13:08:41 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า - เป็นการมา - เป็นการไป - เป็นการตั้งอยู่ - เป็นการจุติ - เป็นการอุปบัติ - อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ - มิได้เป็นไป - หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ ตรงไหนครับ ที่ตรัสว่า เป็นอัตตา ?????? v v v v จากคุณ : Ritti Janson - [ 16 ก.พ. 51 13:32:18 ]

ความคิดเห็นที่ 52 พระนิพพานท่านเรียกว่า อายตนะ เพราะอรรถว่าเป็นเหตุ โดยเป็นอารัมมณปัจจัยแก่มรรคญาณและผลญาณเป็นต้น นี่ก็อธิบายเอาใว้ชัดเจนแล้วนี่ครับว่าอะไรเป็นอะไร และก็จะเป็นอย่างนี้เหมือนกันหมดในทุกๆแห่ง ทั้งในพระไตรปิฎกและอรรถกถา v v v v จากคุณ : Ritti Janson - [ 16 ก.พ. 51 13:36:43 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ที่เรียก นิพพาน ว่าอายตนะนั้นหมายถึง นิพพานเป็นอารมณ์ของจิต อริยะบุคคลมี นิพพานเป็นอารมณ์ พระไตรปิฎกระบุเอาใว้อย่างนี้ ชัดเจน !!!!!! v v v v จากคุณ : Ritti Janson - [ 16 ก.พ. 51 13:43:22 ]

ความคิดเห็นที่ 54 เอ้า ........ !!!!! มีข้อความที่ตรงไหน หรือไม่ ที่ตรัสว่า นิพพานอัตตา ? หรือตรัสว่า อายตนะ คืออัตตา ถ้าไม่มี มันแปลว่าอะไรครับ ? ควรเรียกว่า กล่าวตู่บิดเบือน ใช่หรือไม่ ? อ้างว่าเป็นชาวพุทธ แต่ไม่เชื่อพุทธพจน์ ไม่เชื่อคำตรัสของพระพุทธองค์ ทุเรศจริงๆ ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 16 ก.พ. 51 13:47:10 ]

ความคิดเห็นที่ 55 กรุณาดู ความเห็นที่ 46 , 49 , 54 นะครับ มีแต่คำหยาบคาย    ทำไมปล่อยให้หลุดมาได้ยังไงครับ  คุณ ฤ.ธ.   เวปมาสเตอร์ กรุณาจัดการให้หน่อยนะครับ คนเขาแสดงความเห็น  ก็ควรเคารพความเห็นของเขานะครับ  จะถูกจะผิด ก็ใช้เหตุผลคุยกันนะครับ ไม่ใช่สักแต่ใช้อารมณ์ จากคุณ : หมอมาเอง (drxbeam) - [ 16 ก.พ. 51 14:02:14 ]

ความคิดเห็นที่ 56 คนไม่เคยศึกษา  ไม่เคยเปิดใจจะศึกษา  และไม่ทดลอง ย่อมไม่อาจรับรู้ได้ว่าวิชชานั้นๆมีจริงหรือไม่  และ ดีจริงหรือไม่  เนื้อหาเป็นอย่างไร  มีอานิสงส์จากการศึกษาอย่างไร ถ้าไม่ลองศึกษาให้ถ่องแท้  แล้วมาตำหนิติเตียน  ก็ไม่ต่างจาก สุนัขจิ้งจอกที่คิดว่า องุ่นนั้นเปรี้ยว  เพียงเพราะกระโดดเอื้อมไม่ถึง จากคุณ : หมอมาเอง (drxbeam) - [ 16 ก.พ. 51 14:04:58 ]

ความคิดเห็นที่ 57 อัตตา เป็นของต่ำ ฉนั้น ผมเรียกว่า อัตตาซ่นตีน ก็ถูกต้องแล้ว ถ้าจะค้าน ก็ไปหามาว่า มีพุทธพจน์คำไหน ที่ยกย่องว่า อัตตาเป็นของสูงของดี (????) แล้วก็อย่ามาทำเป็นสู่รู้ ว่าผู้อื่นไม่รู้วิชชาธรรมกาย กรูรู้จักวิชชานี้ ก่อนที่เมิงจะเกิดอีกม้าง !!!!!! ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 16 ก.พ. 51 14:18:03 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เหอ! เหอ! เหอ! ขออ่านหน่อย ชักเข้มข้น จากคุณ : Together In 80s Dream - [ 16 ก.พ. 51 14:49:11 ]

ความคิดเห็นที่ 59 หลวงพ่อสดเลิกสอนวิชชาธรรมกายจริงหรือไม่ กระทู้นี้กำลังถกกันเรื่องนี้ครับคุณ Ritti Janson รู้สึกความเห็น 57  ต้องไปกระทู้แนะนำครับ จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 16 ก.พ. 51 15:23:36 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เหอะ .... เรื่องเดิม เดิม     แต่ อยากจุ้น   เลยเข้ามาอ่าน ... ยืนดู ต่อ ว่า จะจบก๊านย๊างไง ... จากคุณ : cattym - [ 16 ก.พ. 51 15:34:55 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ไอ้ จขกท ยังทำเป็น งง ..................... เฮอะ เฮอะ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ถ้า หลวงพ่อสดยังไม่ทิ้ง วิชชาธรรมกาย ก็แปลว่า ท่านยังไม่บรรลุธรรมใดๆเลยน่ะสิ !!!!!! ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 16 ก.พ. 51 18:02:55 ]

ความคิดเห็นที่ 62 พระพุทธเจ้า ย่อมไม่บัญญัติตนในทิฏฐธรรม - โดยความเป็นของมีจริง - โดยความเป็นของยั่งยืน และย่อมไม่บัญญัติตนในภายหน้า -โดยความเป็นของมีจริง - โดยความเป็นของยั่งยืน ---------------------------------------------------------------- ปัญหาก็คือ ศาสดาท่านไหนกันเล่าครับ ? ที่บัญญัติ อัตตา ว่าเป็นของจริงของแท้ !!!!!! 1) ถ้ากล่าวว่า อัตตาเป็นของจริงของแท้ ก็ค้านพระไตรปิฎก 2) และถ้ากล่าวว่า นิพพานคืออัตตา ก็แปลว่า นิพพานเป็นของไม่จริงไม่แท้ ซึ่งก็จะหมายความว่า ขัดพุทธพจน์ไปเสียอีก !!!!!! 3) สรุปแล้ว มันมาพร่ำอะไรของมัน ...................... ฤทธี v v v v จากคุณ : Ritti Janson - [ 16 ก.พ. 51 18:12:14 ]

ความคิดเห็นที่ 63 จะรู้จักพระอรหันต์ได้ไหม ปัญหา ฆราวาสผู้อยู่ครองเรือน มีทางจะทราบได้หรือไม่ว่าภิกษุองค์ไหนเป็นพระอรหันต์ ได้บรรลุมรรคผล ? พุทธดำรัส ตอบ “.....ดูก่อนคฤหบดี ท่านผู้เป็นคฤหัสถ์ บริโภคกาม อยู่ครองเรือน นอนเบียดเสียดบุตร บริโภคจันทน์จากแคว้นกาสี ทัดทรงดอกไม้ ของหอม และเครื่องลูบไล้ ยินดีทองและเงินอยู่ พึงรู้ขอนี้ได้ยากว่า ภิกษุเหล่านี้เป็นพระอรหันต์ หรือเป็นผู้บรรลุอรหัตตมรรค (เมื่อไม่รู้ว่าใครเป็นพระอรหันต์ และอยากทำบุญให้ทานกับพระอรหันต์ ย่อมมีทางจะให้ได้ถูกต้องฉะนั้น)..... เชิญทานให้สังฆทานเถิด เมื่อท่านให้สังฆทานอยู่ จิตจักเลื่อมใส... เมื่อตายไปจักเข้าพึงสุคติโลกสวรรค์” ทารุกัมมิกสูตร ฉ. อํ. (๓๓๐) ตบ. ๒๒ : ๔๓๘-๔๓๙ ตท. ๒๒ : ๔๐๑-๔๐๒ ตอ. G.S. III : ๒๗๙ ฤทธี รู้หรือ จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 16 ก.พ. 51 18:12:18 ]

ความคิดเห็นที่ 64 พระอรหันต์ กล่าวตู่พุทธพจน์ได้ไหม ? พระอรหันต์ ต้องอาบัติ ได้หรือเปล่า ? คนอื่นเขามิได้ โง่เขลาเบาปัญญาเหมือน จขกท นี่ครับ !!!!!! v v v v จากคุณ : Ritti Janson - [ 16 ก.พ. 51 18:15:14 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ผมแนะนำว่า  ถ้าคุณ ฤ.ธ. ยังไม่ลด ละ เลิก การกล่าววาจาหยาบคาย ในห้องศาสนาอยู่อีก   ผมคงต้องโทรแจ้ง เว็ปมาสเตอร์  แล้วละมังครับ   ลองโดนยึดอมยิ้มซะบ้าง อาจช่วยให้หายหยาบคายได้มังครับ แม้คุณจะพยายามเลี่ยงคำ  แต่มันแสดงถึงเบื้องลึกของจิตใจอันหยาบหนาของคุณนะครับ  คุณ ฤ.ธ. จากคุณ : หมอมาเอง (drxbeam) - [ 16 ก.พ. 51 18:16:47 ]

ความคิดเห็นที่ 66 จขกท มาดูให้เต็มๆตานะครับ จะได้ถากความโง่เขลาออกไปเสียบ้าง !!!!!! v v v v จากคุณ : Ritti Janson - [ 16 ก.พ. 51 18:16:49 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ใครจะฉลาดปราดเปรืองมากด้วยปัญญาเหมือนพี่ Ritti Janson เล่าครับ จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 16 ก.พ. 51 18:17:15 ]

ความคิดเห็นที่ 68 อยากจะทำอะไรก็ทำไปนะครับ และก็ไม่ต้องมาบอกผมหรอก เพราะตามปกติ ก็มีคนทำอย่างนั้นๆเป็นประจำอยู่แล้ว !!!!!! คิดว่าจะทำอะไรก็รีบไปทำเสียสิ .......... ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 16 ก.พ. 51 18:18:57 ]

ความคิดเห็นที่ 69 วิธีละมิจฉาทิฏฐิ ปัญหา ทำอย่างไรจึงจะละมิจฉาทิฏฐิ สักกายทิฏฐิ และอัตตานุทิฏฐิได้ ? พุทธดำรัส ตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เห็นจักษุ... หู... จมูก... ลิ้น... กาย... ใจ... ว่าเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉาทิฏฐิ รู้เห็น รูป... เสียง... กลิ่น... รส... โผฏฐัพพะ... ธรรมารมณ์.... รู้เห็น จักขุวิญญาณ... โสตวิญญาณ... ฆานวิญญาณ.... ชิวหาวิญญาณ... กายวิญญาณ... มโนวิญญาณ... รู้เห็น จักขุสัมผัส... โสตสัมผัส...ฆานสัมผัส... ชิวหาสัมผัส... กายสัมผัส... มโนสัมผัส... รู้เห็นแม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้น เพราะผัสสะเหล่านี้เป็นปัจจัย ว่าเป็นของไม่เที่ยงจึงจะละมิจฉาทิฏฐิได้ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เห็นจักษุ (เป็นต้นนั้น) ว่าเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฏฐิได้ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เห็นจักษุ...เป็นต้นนั้น) ว่าเป็นอนัตตา จึงจะละสักกายทิฏฐิได้....” มิจฉาทิฏฐิสูตร สฬา. สํ. (๒๕๔-๒๕๖) ตบ. ๑๘ : ๑๘๔-๑๘๙ ตท. ๑๘ : ๑๖๖-๑๖๗ ตอ. K.S. ๔ : ๙๓ จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 16 ก.พ. 51 18:19:06 ]

ความคิดเห็นที่ 70 จขกท เอาข้อเท็จจริงมาพูด จะดีกว่ากระมัง .................. อย่าเอาแต่เดาสวด พูดเองเออเอง กล่าวตู่พระธรรมวินัยเอาตามใจชอบ !!!!!!! ทุเรศจริงๆ ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 16 ก.พ. 51 18:20:39 ]

ความคิดเห็นที่ 71 พระอรหันต์ กล่าวตู่พุทธพจน์ได้ไหม ? พระอรหันต์ ต้องอาบัติ ได้หรือเปล่า ? จขกท จะตอบไหมครับ ? ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 16 ก.พ. 51 18:22:02 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ปัญหา คนชนิดไหน ไม่มีความมั่นใจในพระสัทธรรมคอยแต่ละหาอาจารย์องค์นั้นองค์นี้ ? และคนชนิดไหนมีความมั่นใจในพระสัทธรรมอย่างแน่นอนมั่นคง ? พุทธดำรัส ตอบ “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นต้องคอยมองดูหน้าสมณะหรือพราหมณ์อื่น ด้วยหวังว่าท่านผู้นี้น่าจะรู้น่าจะเห็นอย่างแน่นอน เปรียบเหมือนปุยนุ่นหรือปุยฝายที่เบา ลมพัดเอาได้ง่าย ที่เขาวางไว้บนพื้นอันราบเสมอแล้ว ลมทิศตะวันออกพึงพัดเอาปุยนุ่นหรือปุยฝ้ายนั้นไปทางทิศตะวันตกได้ ลมทิศตะวันตกพึงพัดเอา...ไปทางทิศตะวันออกได้ ลมทิศเหนือพึงพัดเอา...ไปทางทิศใต้ได้ ลมทิศใต้พึงพัดเอา...ไปทางทิศเหนือได้ เพราะเหตุไร เพราะปุยนุ่นหรือปุยฝ้ายนั้นเป็นของเบา... “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทางปฏิบัติไปสู่ความดับทุกข์ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่ต้องคอยมองดูหน้าของสมณะหรือพราหมณ์อื่น.... เปรียบเหมือนเสาเหล็กหรือเสาหิน มีรากลึกฝังไว้ดีแล้ว ไม่หวั่นไหว ไม่เอนเอียง ถึงแม้ลมฝนจะอันแรงกล้าจะพัดมาจากทิศตะวันออก....ทิศตะวันตก....ทิศเหนือ...ทิศใต้ก็ไม่สะเทือน สะท้านหวั่นไหวเพราะเหตุไร เพราะรากลึกฝังไว้ดีแล้ว...” อินทขีลสูตร มหา. สํ. (๑๗๒๒-๑๗๒๓ ) ตบ. ๑๙ : ๕๕๔-๕๕๕ ตท. ๑๙ : ๔๙๘-๔๙๙ ตอ. K.S. ๕ : ๓๗๕ จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 16 ก.พ. 51 18:23:58 ]

ความคิดเห็นที่ 73 กรรมที่กระทำด้วย อโลภะ.... อโทสะ.... อโมหะ.... เกิดแต่ อโลภะ.... อโทสะ.... อโมหะ.... มี อโลภะ.... อโทสะ.... อโมหะ.... เป็นแดนเกิดเมื่อโลภะ.... โทสะ.... โมหะ สิ้นไปแล้ว กรรมนั้นก็เป็นอันละแล้ว มีมูลรากที่ถอนขึ้นแล้ว ทำให้เหมือนตาลยอดด้วน ทำให้เป็นสิ่งที่ไม่มี ทำให้เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปไม่ได้อีกแน่นอน... เปรียบเหมือนบุรุษพึงเอาไฟเผาเมล็ดพืชที่ไม่แตกหักเน่าเปื่อย.... ครั้นแล้วก็ทำให้เป็นผล แล้วโปรยไปตามลมพายุ หรือลอยเสียในแม่น้ำที่มีกระแสไหลเชี่ยว พึงเป็นพืชที่ถูกถอนรากขึ้นทำให้เหมือนตาลยอดด้วน ทำให้ไม่มี ไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา...” จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 16 ก.พ. 51 18:27:50 ]

ความคิดเห็นที่ 74 แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 51 18:52:24 จากคุณ : constant - [ 16 ก.พ. 51 18:52:12 ]

ความคิดเห็นที่ 75 แด่ จขกท จากคุณ : constant - [ 16 ก.พ. 51 18:52:52 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ไม่โกรธครับ  และขออโหสิกรรมให้ จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 16 ก.พ. 51 22:18:46 ]

ความคิดเห็นที่ 77 คนที่มีการศึกษาอย่างคุณหมอมาเอง  มาเจอคนที่ใช้วาจาอย่างฤทธี  ถึงกับ อึ้ง ไปเรย  หุหุ จากคุณ : พระเจ้าจักรพรรดิ์ - [ 16 ก.พ. 51 22:45:09 ]

ความคิดเห็นที่ 78 เจอคนอย่าง ลูกพระธัมฯหลายยายปริก ก็อึ้งเหมือนกัน ไหลตายไปสองล็อกอินแล้วนิ ..... ไปทำความดีอะไรมาล่ะ ? เฮอะ เฮอะ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 16 ก.พ. 51 23:14:23 ]

ความคิดเห็นที่ 79 หัวเราะออกเสียที ไม่เครียด ดีครับ จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 16 ก.พ. 51 23:19:20 ]

ความคิดเห็นที่ 80 พระอรหันต์ กล่าวตู่พุทธพจน์ได้ไหม ? พระอรหันต์ ต้องอาบัติ ได้หรือเปล่า ? จขกท ตอบมาสิ ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 17 ก.พ. 51 00:05:25 ]

ความคิดเห็นที่ 81 “ภิกษุเหล่าใดแล ยังเป็นเสขบุคคล ยังไม่ได้ถึงอรหัตตมรรคแล้ว ปรารถนาพระนิพพานเป็นที่สิ้นโยคะ ไม่มีธรรมอื่นจะยิ่งกว่า วาจาพร่ำสอนเช่นนี้ ของเรา มีอยู่ในภิกษุเหล่านั้น “ส่วนภิกษุเหล่าใดเป็นพระอรหันต์สิ้นอาสวะแล้ว เป็นผู้อยู่จบแล้ว มีกิจควรทำให้ทำเสร็จแล้ว มีภาระอันปลงเสียแล้ว ธรรมทั้งหลายเหท่านี้ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่เป็นสุขในอัตตภาพนี้ ทั้งสติแลสัมปชัญญะ แก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น” คณกโมคคัลลาน ปญ สูตร อุ. ม. (๙๔-๑๐๐) ตบ. ๑๔ : ๘๒-๘๕ ตท. ๑๔ : ๖๗-๗๐ ตอ. MLS. III : ๕๒-๕๕ จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 17 ก.พ. 51 01:02:19 ]

ความคิดเห็นที่ 82 พระอรหันต์ กล่าวตู่พุทธพจน์ได้ไหม ? พระอรหันต์ ต้องอาบัติ ได้หรือเปล่า ? ถ้าถามแค่นี้ จขกท ไม่กล้าตอบตรงๆ ทีหลังก็อย่ากระแดะมาตั้งกระทู้เลย แค่ตอบให้ตรงคำถาม ก็ยังไม่มีปัญญา น่าสมเพชจริงๆ ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 17 ก.พ. 51 01:22:12 ]

ความคิดเห็นที่ 83 สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาเพียงองค์เดียวที่ไม่บัญญัติว่า อัตตาเป็นของจริงเป็นของเที่ยง ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า !!!!!!!! ฉนั้น ถ้าใครหรือวิชชาใดๆก็ตาม ระบุว่า อัตตาเป็นของจริงของแท้ ก็ย่อมเท่ากับเป็นการประกาศว่า นั่นมิใช่คนและวิชชาในพระพุทธศาสนา หากแม้นอ้างว่าเป็นอรหันต์ ก็เป็นอรหันต์ในลัทธิอื่นศาสนาอื่น มิใช่อรหันต์ในพระพุทธศาสนา ในพระธรรมวินัยนี้ !!!!!!! สรุปแล้ว จขกท จะตอบคำถามได้หรือยังครับ ? ทุกๆประเด็นที่ผมพูดออกมานั้น มีพระบาลียืนยันอยู่ในทุกๆคำ สรุปในสรุปก็คือ วิชชาธรรมกาย กล่าวตู่พระธรรมวินัย ถ้าอ้างว่า หลวงพ่อสดยังไม่ทิ้งวิชชานี้ นั่นจึงหมายความว่า หลวงพ่อสด กล่าวตู่พระธรรมวินัย ไม่ใช่อรหันต์ในพระธรรมวินัยนี้ ถ้าหากแม้นยังยืนยันว่า หลวงพ่อสดเป็นอรหันต์ในพระศาสนานี้ ด้วยเหตุผลเดียวกัน หลวงพ่อสดก็ย่อมต้องละทิ้งวิชชาธรรมกายไปแล้ว เพราะอรหันต์ในโลกนี้ ย่อมไม่กล่าวตู่พุทธพจน์ !!!!!!! จขกท จะเอาอย่างไร ก็ว่ามา .............. ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 17 ก.พ. 51 08:51:16 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้ถึงธรรมกายแล้ว ตราบใดที่ยังไม่สามารถละสัญโญชน์ (กิเลสเครื่องร้อยรัดให้ติดอยู่กับโลก) เบื้องต่ำอย่างน้อย ๓ ประการ (คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ได้โดยเด็ดขาด  ตราบนั้น ก็ยังมิได้บรรลุมรรคผล นิพพาน  เป็นพระอริยบุคคล   จึงยังมิใช่ผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้ (บรรลุ) ถึงที่สุดแล้ว พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้สอนภาวนาตามแนววิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า ได้กล่าวถึงผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้ถึงธรรมกาย แต่ยังไม่สามารถละสัญโญชน์เบื้องต่ำอย่างน้อย ๓ ประการได้ดังกล่าวแล้วว่า ยังจัดเป็นแต่เพียงโคตรภูบุคคล ซึ่งท่านอุปมาไว้ว่า เสมือนหนึ่งว่า ผู้ปฏิบัติธรรมนั้นได้ก้าวขาข้างหนึ่งขึ้นไปอยู่บนพระนิพพาน ส่วนขาอีกข้างหนึ่งยังยืนอยู่ในภพ ๓ กล่าวคือ หากผู้ปฏิบัติธรรมที่ถึงธรรมกายแล้วนั้นก้าวหน้าต่อไป คือปฏิบัติภาวนาต่อไปอีกจนสามารถละสัญโญชน์เบื้องต่ำอย่างน้อย ๓ ประการนั้นได้โดยเด็ดขาด ก็ได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน เป็นพระอริยบุคคลตามภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้   แต่ถ้าผู้ที่เคยปฏิบัติได้ถึงธรรมกายแล้ว ได้ประพฤติปฏิบัติตนในลักษณะของการก้าวถอยหลังกลับคืนมาสู่โลก (ภพ ๓) ด้วยอำนาจของกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นเหตุนำ เหตุหนุน จนธรรมสัญญาขาดจากใจและธรรมกายดับลงเมื่อใด บุคคลผู้นั้นก็กลับเป็นปุถุชนธรรมดาที่หนาไปด้วยกิเลส และมีสิทธิถึงทุคคติได้เมื่อนั้น ผมไม่มีภูมิธรรมที่จะรู้ได้ว่าท่านเป็นพระอรหันต์หรือยัง    ผมตอบแล้วนะพี่ฤทธี จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 17 ก.พ. 51 09:40:20 ]

ความคิดเห็นที่ 85 พระอรหันต์ กล่าวตู่พุทธพจน์ได้ไหม ? พระอรหันต์ ต้องอาบัติ ได้หรือเปล่า ? ถ้าถามแค่นี้ จขกท ไม่กล้าตอบตรงๆ ทีหลังก็อย่ากระแดะมาตั้งกระทู้เลย  ผมตั้งกระทู้ว่า หลวงพ่อสดเลิกสอนวิชชาธรรมกายจริงหรือไม่ นะพี่ฤทธี ผมตั้งกระทู้ว่า หลวงพ่อสดเลิกสอนวิชชาธรรมกายจริงหรือไม่ นะพี่ฤทธี คำถามของพี่ทั้งสองข้อถ้าอยากรู้นักก็ไปตั้งกระทู้ใหม่ซิพี่ เหมือนพี่สมัครมาเล่นแฟนพันธ์แท้เรื่อง โลกของเรา แล้วโดนคุณอี้ ถามว่า  สิ่งมีชีวิตในดาวพลูโตมีหรือไม่ถ้ามีเป็นอย่างไร ถ้าไม่มีเพราะอะไร     ก็ผมไม่เคยไปดาวพลูโตนี่พี่ฤทธี อันนั้นมันต้องแฟนพันธ์แท้เรื่อง จักรวาล      ไม่รู้ จริงจริง แล้วเลียนด้วยความสัตย์จริงไม่มีเจตนาล่อเป้าใคร จะโจมตี ใครก็ว่ากันไป  แต่เพราะไม่เชื่อ ว่าหลวงพ่อสดเลิกสอนวิชชาธรรมกาย จึงตั้งกระทู้นี้ครับพี่ฤทธี จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 17 ก.พ. 51 09:56:04 ]

ความคิดเห็นที่ 86 อ้าว .......... ไอ้นี่ทำเป็นงง หรือว่าทำเป็นโง่ กันแน่ ????? 1) อรหัตตผล ของวิชชาธรรมกาย คืออัตตา ใช่ไหม ? 2) แต่พระพุทธองค์ ทรงเป็นศาสดาเพียงองค์เดียวที่ ไม่บัญญัติอัตตาว่าเป็นของจริงแท้ ใช่ไหม ? 3) ฉนั้น ถ้าหลวงพ่อสดยังเป็นพระสงฆ์ในพระธรรมวินัยนี้ ท่านจะยังยืนยันอัตตาซึ่งเป็นการกล่าวตู่พุทธพจน์อยู่อีกไหม ? 4) ปัญหาก็คือว่า เอ็งยังคิดว่า หลวงพ่อสดเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาอยู่อีกหรือไม่ ? 5) ถ้าใช่ ท่านก็ย่อมที่จะไม่ยืนยันในอัตตาอีกต่อไปเมื่อรู้ข้อเท็จจริง 6) ถ้าคิดว่าไม่ใช่ ก็แล้วไปสิ นั่นก็เป็นบาปกรรมของเอ็งไป ...... 7) มีหลักฐานชัดเจนว่า หลวงพ่อสดเจริญสติปัฏฐาน สติปัฏฐาน ปฏิเสธอัตตา ในขณะที่วิชชาธรรมกาย ยืนยันอัตตา เอ็งก็คิดเอาเองบ้างสิ ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ถ้ายังจะอ้างว่าเป็นพุทธเถรวาทอยู่ล่ะก็ น่าจะรู้ว่า ควรทำอย่างไร ? ขอยืนยันอีกครั้งว่า จขกท เป็นคนที่น่าสมเพช !!!!!! ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 17 ก.พ. 51 10:33:45 ]

ความคิดเห็นที่ 87 น่าเบื่อ พวกที่ดีแต่ตีฝีปากไร้สาระ ....... มาอีหรอบเดียวกันทั้งนั้น !!!!! เฮอะ เฮอะ ๆๆๆๆๆ จากคุณ : Ritti Janson - [ 17 ก.พ. 51 10:35:59 ]

ความคิดเห็นที่ 88 1) อรหัตตผล ของวิชชาธรรมกาย คืออัตตา ใช่ไหม ? ผมยังไม่ได้ดวงปฐมมรรคเลย  จะไปรู้ได้ไงครับพี่ฤทธี ว่าเป็นอัตตาหรืออนัตตา จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 17 ก.พ. 51 11:11:41 ]

ความคิดเห็นที่ 89 3) ฉนั้น ถ้าหลวงพ่อสดยังเป็นพระสงฆ์ในพระธรรมวินัยนี้ ท่านจะยังยืนยันอัตตาซึ่งเป็นการกล่าวตู่พุทธพจน์อยู่อีกไหม ?  ผม ไม่ยอมรับการโยงของพี่ฤทธี เรื่อง วิชชาธรรมกาย  กับ อัตตา แต่หลวงพ่อสดยังสอนวิชชาธรรมกายแม้หลัง ปี ๒๔๙๗ ศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน กับเจ้าคุณอาจารย์พระอุดมวิชาญาณเถระ วัดมหาธาตุ จังหวัดพระนคร ต่อมาเป็นพระธรรมธีรราชมหามุนี เจ้าคณะภาค๙(พระอาจารย์ใหญ่ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ) และหลวงพ่อสดยังเป็นพระสงฆ์ในพระธรรมวินัยนี้  และไม่ได้กล่าวตู่พุทธพจน์ผม ไม่ยอมรับการโยงของพี่ฤทธี ในเรื่องนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของพี่ฤทธี เรื่อง วิชชาธรรมกาย  กับ อัตตา จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 17 ก.พ. 51 11:19:46 ]

ความคิดเห็นที่ 90 4) ปัญหาก็คือว่า เอ็งยังคิดว่า หลวงพ่อสดเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาอยู่อีกหรือไม่  เป็นพระอริยสงฆ์ที่ครอบครัวผมศรัทธาครับ จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 17 ก.พ. 51 11:21:49 ]

ความคิดเห็นที่ 91 5) ถ้าใช่ ท่านก็ย่อมที่จะไม่ยืนยันในอัตตาอีกต่อไปเมื่อรู้ข้อเท็จจริง  เป็นความเห็นส่วนตัวของพี่ฤทธี เรื่อง วิชชาธรรมกาย  กับ อัตตา อีกแล้ว  พี่ฤทธี ไปยืนยันแทนท่านได้อย่างไร มีหลักฐานอะไร จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 17 ก.พ. 51 11:23:55 ]

ความคิดเห็นที่ 92 7) มีหลักฐานชัดเจนว่า หลวงพ่อสดเจริญสติปัฏฐาน สติปัฏฐาน ปฏิเสธอัตตา ในขณะที่วิชชาธรรมกาย ยืนยันอัตตา   อะไร คือหลักฐานนั้นครับใช่  เอกสารและรูปถ่ายที่ให้ไว้ตามธรรมเนียมหรือเปล่า จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 17 ก.พ. 51 11:26:11 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ถามอะไรๆ เอ็งก็บอกว่าไม่รู้เลยสักเรื่อง ........ ก็ในเมื่อ ทราบอยู่แล้วว่า ตนเอง ไม่รู้ เมื่อไม่รู้ แล้วมาพร่ำอะไรอยู่ที่นี่เล่า ? พูดออกมาตั้งมากมาย ทั้งๆที่ไม่รู้อะไรสักอย่างเลยอย่างนั้นหรือ ? คุณเป็นลูกศิษย์ใครกันครับ ครูบาอาจารย์สอนมาอย่างไรกันครับ ? น่าสมเพชจริงๆ ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 17 ก.พ. 51 11:30:11 ]

ความคิดเห็นที่ 94 จาก วิชชามรรคผลพิสดารเล่ม 1 นิจจัง-สุขขัง-อัตตา  มันเป็น ไตรลักษณ์ของพระธรรมวินัยไหนกันหรือครับ ? จขกท มีปัญญาตอบไหมครับ ? v v v v จากคุณ : Ritti Janson - [ 17 ก.พ. 51 11:33:56 ]

ความคิดเห็นที่ 95 เป็นวิธีสรุปแบบง่ายง่ายตามstyle  พี่ฤทธี   อีกแล้ว จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 17 ก.พ. 51 11:34:07 ]

ความคิดเห็นที่ 96 จาก วิชชามรรคผลพิสดารเล่ม 1 กล่าวว่า นิพพาน ปรุงแต่งด้วย ธาตุธรรมแก้วกายสิทธิ์  (???) เป็นไง ? นิพพาน กลายเป็น สังขารไปเสียแล้ว นี่มันเป็นธรรมของศาสดาท่านไหนกันครับ ? ที่จริงแล้ว ผมไม่อยากจะกล่าวถึงเลยนะครับ เพราะถือว่า หลวงพ่อสด ท่านได้ละทิ้งวิชชานี้ไปแล้ว ก็แล้วกันไป แต่ในเมื่อ จขกท พยายามที่จะรื้อฟื้นขึ้นมาอีก ฉนั้น ก็ตอบผมด้วยนะครับว่า สิ่งที่เห็นอยู่นี่ เป็นธรรมของศาสดาท่านใดกัน ? ผมตอบให้ฟังก่อนเลยว่า ไม่ใช่ธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างแน่นอน !!!!!!! ฤทธี v v v v จากคุณ : Ritti Janson - [ 17 ก.พ. 51 11:39:35 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ผมเรียนพี่พี่ฤทธี   อีกครั้ง   โปรดฟังอีกครั้ง ครับกระทู้นี้ชื่อว่า หลวงพ่อสดเลิกสอนวิชชาธรรมกายจริงหรือไม่  เรื่องเนื้อหาในคำสอน   ผมยังมีปฎิบัติได้ไม้ถึงอ้อที่สำคัญคือ ตราบใดที่เรายังไม่ได้ปฏิบัติกรรมฐานให้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าก็อย่าเพิ่งรีบร้อนไปถกเรื่องพระนิพพานให้ยุ่งเลยครับ....เอาเพียงฟังหูไว้หูก็พอ พูดง่ายๆ ก็คือเราปฏิบัติได้แค่ไหนก็ควรจะพูดเพียงแค่นั้น ไม่ควรไปตอบโต้หรือวิจารณ์ในสิ่งที่ตนไม่รู้ เพราะความไม่รู้นี่แหละอาจจะเป็นการเผลอไปลูบใบมีดโกนเข้าโดยไม่รู้ตัวก็ได้ครับ" แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 51 10:06:15 จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 17 ก.พ. 51 11:39:48 ]

ความคิดเห็นที่ 98 เอ .................... จขกท นี่มันยังกันครับ ? ผมก็เปิดโอกาสให้ จขกท สรุปเอาตามใจชอบแล้วนี่ครับ ผมเพียงแต่ให้ข้อมูลเอาใว้ประดับสติปัญญาว่า .............. ถ้า จขกท คิดว่า หลวงพ่อสด ยังไม่ละทิ้งวิชชาธรรมกาย ก็หมายความว่า จขกท กำลังกล่าวว่า หลวงพ่อสดกล่าวตู่พระธรรมวินัย ผมเพียงแต่บอกกับคุณอย่างนี้ ก็เท่านั้นเอง จขกท มีปัญหาอะไรกับผมครับ ? หึหึ ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 17 ก.พ. 51 11:44:13 ]

ความคิดเห็นที่ 99 ความคิดเห็นที่ 97 พูดง่ายๆ ก็คือเราปฏิบัติได้แค่ไหนก็ควรจะพูดเพียงแค่นั้น ไม่ควรไปตอบโต้หรือวิจารณ์ในสิ่งที่ตนไม่รู้ เพราะความไม่รู้นี่แหละอาจจะเป็นการเผลอไปลูบใบมีดโกนเข้าโดยไม่รู้ตัวก็ได้ครับ รักเธอเสมอมา **************************************************** จขกท ควรจะเก็บข้อความอันนี้ เอาใว้เตือนตนเองให้มากๆนะครับ มันคงจะดีต่อตัวของคุณเป็นอย่างมากทีเดียว .................... หึหึ ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 17 ก.พ. 51 11:47:24 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ผมนับถือปฎิภาณ  สติปัญญาและชื่นชมในความรู้ของพี่พี่ฤทธี   ยกให้เป็นพี่ยกกำลังสอง     ไม่มีปัญหาอะไรกับพี่ครับ แต่สิ่งที่พี่กำลังจะแสดงพี่ได้แสดงไว้ในกระทู้แนะนำแล้วผมเห็นแล้วครับ ผมไม่กล้าแสดงความเห็นในเรื่องนั้น เพราะยังปฎิบัติไม่ถึงไหน เพียงแต่ไม่ยอมรับว่าหลวงพ่อสดเลิกสอนวิชาธรรมกาย  ไม่ได้มีเจตนาอื่นครับ  ขอให้เจริญในธรรมครับ  พี่พี่ฤทธี จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 17 ก.พ. 51 11:52:00 ]

ความคิดเห็นที่ 101 จขกท อย่าบอกนะครับว่า ที่มาพูดฉอดๆอยู่นี่ แต่ จขกท กลับไม่มี และไม่ได้ศึกษาตำราของหลวงพ่อสดเลย !!!!!! ผมไม่ได้อ้างแค่ภาพถ่ายของหลวงพ่อหรอกนะครับ ผมไม่ได้มีสันดานมักง่ายขนาดนั้น   .................. (?) และถ้าจะเอาหลักฐานเพิ่มเติมก็บอกได้นะครับ แล้วผมจะ "อุตส่าห์" เจียดเวลา เอาหลักฐานมาฝาก !!!!!! เฮอะ เฮอะ ๆๆๆๆๆ ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 17 ก.พ. 51 11:55:24 ]

ความคิดเห็นที่ 102 จขกท ควรจะเก็บข้อความอันนี้ เอาใว้เตือนตนเองให้มากๆนะครับ มันคงจะดีต่อตัวของคุณเป็นอย่างมากทีเดียว .................... หึหึ ฤทธี ขอบคุณครับพี่  เวลาไปตัดผม  ผมกลัวมีดโกนที่สุดโดยเฉพาะตอนช่างโกนแถวแถวคอผมไม่ได้แม้แต่จะคิดว่าพี่มีสันดานมักง่ายและถ้าพี่จะกรุณาเอาหลักฐานเพิ่มเติมก็ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ จากคุณ : รักเธอเสมอมา - [ 17 ก.พ. 51 12:06:19 ]

ความคิดเห็นที่ 103 หึหึหึ  ผมเห็นรูปใน คห. 78 แล้ว ผมเลยนึกหน้าของ คุณ ฤ.ธ. ได้เลย  ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์เผยใบหน้าออกมาซะที จากคุณ : หมอมาเอง (drxbeam) - [ 17 ก.พ. 51 12:30:48 ]

ความคิดเห็นที่ 104 drxbeam ควรจะรู้ข้อเท็จจริงบางอย่างเอาใว้ด้วยว่า .... รูปนั้น เป็นรูปที่สาวกธรรมโกยบางตน ชอบใช้ต่างหาก และผมก็เพียงแต่ ทำล้อเลียนเขาเท่านั้น .............. อย่าปรุงแต่งไปให้มากเกินไปนัก เพราะมันจะดูโง่เกินจำเป็น บวชเรียนมาแล้ว ก็อย่า เนรคุณพระศาสดา นะครับ !!!!!! หึหึ ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 17 ก.พ. 51 12:44:26 ]

ความคิดเห็นที่ 105 เรียน จขกท. การที่ถกเถียงกันว่า หลวงพ่อสดเลิกสอนวิชาธรรมกายหรือเปล่านั้น เรื่องนี้ไม่เห็นมีความจำเป็นอะไร และไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องขี้แจงหรือถกเถียงกัน ใครอยากจะนำเสนออะไรก็เสนอไป ใครพอใจคิดและเชื่ออย่างไหน ก็ขอเขิญตามสบาย ความจริง การภาวนาสัมมาอรหังก็ไม่ได้ขัดแย้ง กับการภาวนาแบบยุบหนอพองหนอแต่อย่างใด การภาวนายุบหนอพองหนอนั้น เป็นเรื่องที่พระสงฆ์ไทยนำเอามาจากพม่า เป็นการฝึกสติขั้นต้น เมื่อฝึกสติพร้อมแล้วจึงฝึกวิปัสสนาต่อไป ส่วนการฝึกแบบสัมมาอรหังนั้น เป็นการค้นพบขึ้นมาใหม่ โดยหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ซึ่งท่านบอกว่าวิชาธรรมกายนี้ เดิมก็มีอยู่แล้ว แต่ได้สูญหายไปหลายร้อยปี ท่านจึงเป็นผู้ค้นพบของที่หายไปเท่านั้น หลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี (ท่านละสังขารไปแล้วเช่นเดียวกับหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ) ท่านได้เขียนไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งของท่านว่า ท่านเคยไปหาหลวงพ่อสดในครั้งแรกนั้น ท่านก็ไม่เข้าใจเรื่องที่หลวงพ่อสดเห็นสวรรค์เห็นนรกได้เหมือนกัน แต่ต่อมาหลังจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้วิชาสาม และได้วิชามีฤทธิ์ทางใจที่เรียกว่า มโนมยิทธิ จากฆราวาสท่านหนึ่งจนทำให้สามารถเห็นสวรรค์และนรกได้แล้ว หลวงพ่อฤาษีลิงดำจึงเข้าใจวิชาธรรมกายของหลวงพ่อสด และท่านก็บอกว่าเป็นการฝึกจิตที่เป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด ความจริงการฝึกจิตจนมีฤทธิ์ หรือมีพลังจิตพิเศษแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า เมื่อท่านฝึกสำเร็จแบบนี้แล้ว ท่านเอาไปทำประโยชน์อะไรและอย่างไรต่างหาก ตรงนี้สำคัญที่สุด ถ้าท่านเอาวิชาที่ฝึกได้แล้วเหล่านี้ไปสอนคนอื่น เพื่อหาผลประโยชน์ส่วนตัว หาเงินเข้ากระเป่าละก็ เท่ากับว่าท่านเพิ่มเติมความโลภให้กับตนเอง และเพิ่มเติมความหลงให้กับผู้อื่น แต่ถ้าท่านสอนเพื่อให้คนอื่นว่า เห็นว่าเป็นธรรมชาติปกติของจิต ที่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ และสอนด้วยว่าอย่าไปยึดติดกับมัน แต่สอนให้ทุกคนพัฒนาการฝึกปฏิบัติให้สูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง คือเป็นระดับวิปัสสนา ตามแนวทางที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้ อย่างนี้จึงจะเกิดประโยชน์ตรงตามพระพุทธประสงค์ สรุปว่า การฝึกทั้งแบบยุบหนอพองหนอและสัมมาอรหัง ต่างก็เป็นการฝึกจิตที่ดีด้วยกันทั้งคู่ เพียงแต่แบบหนึ่งฝึกแล้วมีฤทธิ์ทางใจ แต่อีกแบบหนึ่งไม่มี แต่การเห็นสวรรค์เห็นนรกได้ ก็ไม่ได้แปลว่าท่านผู้นั้นบรรลุเป็นพระอริยะบุคคล มันเป็นคนละเรื่องกัน การบรรลุเป็นพระอริยะบุคคล ซึ่งมี 4 ระดัยนั้น ต้องฝึกวิปัสสนาเพิ่มเข้ามาแล้วทำให้กิเลสดับเสียก่อน ถ้ากิเลสดับไปบางส่วน จึงจะเรียกว่าเริ่มเข้ากระแสพระนิพพาน คือเป็นพระโสดาบัน และถ้ากิเลสดับอย่างสมบูรณ์ไม่มีส่วนเหลือ จึงเรียกว่าเป็นพระอรหันต์ เครื่องมือเพื่อฝึกจิตเพื่อการบรรลุธรรมนั้น มีมากมายถึง 40 อย่าง เรียกว่ากรรมฐาน 40 ส่วนท่านใดจะใช้ชิ้นไหนบ้างในการฝึกจิต ก็ต้องขึ้นอยู่กับจริตที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล ถ้าท่านถามว่า การมีฤทธิ์ทางใจนี้จำเป็นเพื่อการบรรลุธรรมไหม คำตอบก็คือ ถ้าท่านต้องการบรรลุเป็นพระอรหันต์แบบพระสาวกภูมิละก็ ไม่จำเป็นต้องฝึกแบบมีฤทธิ์ก็ได้ แต่ถ้าท่านปรารถนาพุทธถูมิ ต้องการจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตละก็ จำเป็นที่ท่านจะต้องฝึกแบบมีฤทธิ์ด้วย โดยเมื่อท่านผ่านการฝึกมีฤทธิ์ครบถ้วนแล้ว จึงจะไปรอคิวตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ในอนาคตกาลได้ต่อไป ถ้าถามว่า หลวงพ่อสดปรารถนาพุทธภูมิหรือเปล่า คำตอบ ก็คือ ไม่ทราบ แต่สำหรับหลวงพ่อฤาษีลิงดำละก็ ท่านเขียนหนังสือบอกเลยว่า ท่านเคยอธิษฐานจิตปรารถนาพุทธถูมิ แต่ภายหลัง ท่านได้อธิษฐานจิตบอกขอถอนความปรารถนานั้นแล้ว เพราะท่านไม่ต้องการที่จะรอต่อไปอีกยาวนาน จนไม่รู้ว่าอีกกี่อสงไขย จึงจะมีโอกาสตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ขอให้ท่านโชคดี และขอให้ทุก ๆ ท่านเจริญในธรรม แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 51 17:29:20 จากคุณ : kongsilp2000 - [ 17 ก.พ. 51 13:12:06 ]

ความคิดเห็นที่ 106 ผมว่า นิพพาน เป็นสุข ก็พอแล้ว ไม่ต้องบรรยายให้เห็นว่ามีลักษณธอย่างไร เพราะ ไม่เป้นประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อคลายกำหนัดในกาม ในความละยึดมั่นในตน จากคุณ : เอก (aunemaek2) - [ 17 ก.พ. 51 13:15:17 ]

ความคิดเห็นที่ 107 พระพุทธเจ้าท่านพูดเรื่อง ความสุข ความว่างเปล่า ความดับไปของกิเลส การดับทุกข์นะครับ จากคุณ : เอก (aunemaek2) - [ 17 ก.พ. 51 13:26:39 ]

ความคิดเห็นที่ 108 สมถะ ไม่ใช่ทางเอก นอกศาสนาก็มี สมถะ !!!!!! ทางเอก มีเพียงอย่างเดียว คือ สติปัฏฐาน จะถึงที่สุดแห่งทุกข์หรือไม่ มันก็อยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ สมถะ ฉนั้น อย่ามาทำให้สับสน   ปัญหาของวิชชาธรรมกาย ผมก็นำหลักฐานบางส่วนมาให้ดูแล้ว พิจารณาตามความเป็นจริง ให้สมกับที่อ้างตนว่า เป็นชาวพุทธเถรวาท นะครับ ถ้าจะบอกว่า ที่สุดแห่งทุกข์เป็นอัตตา ก็จบ พูดอย่างนี้เป็นการกล่าวตู่พระศาสดา อย่างชัดเจน !!!!!! อย่า เนรคุณ พระศาสดา นะครับ !!!!! ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 17 ก.พ. 51 13:32:52 ]

ความคิดเห็นที่ 109 นิพพานอยู่ข้างบน สูงจากภพ 3 เท่าภพ 3 โตเท่าภพ 3 นี่ สว่างเป็นแก้วไปหมดทั้งนั้น งดงามมาก โตเท่าภพ 3 นี่"  จากพระธรรมเทศนาเรื่อง "โอวาทปาฏิโมกข์" 20 ตุลาคม 2497 นอกจากนี้ท่านยังได้วัดระยะห่างระหว่างภพ 3 กับนิพพานให้ทราบอีกด้วยว่า ห่างกันกี่โยชน์ ซึ่งเป็นเรื่องแสดงความอัศจรรย์ของวิชชาธรรมกายอย่างมาก ที่สามารถรู้เห็นได้ลึกซึ้งและชัดเจนขนาดนั้น  ทั้งๆที่ผู้ปฏิบัติวิชชาธรรมกาย ไม่มีผู้ใดสำเร็จแม้ พระโสดาบันเลย ล้วนเป็น "ธรรมกายโคตรภู" ทั้งสิ้น ผมไม่เห้นประโยชน์ ที่กล่าวอ้างเลยครับไม่ควรอย่างยิ่งที่กล้าวอ้างว่าวิชชาธรรมกายทำให้เห้นนิพพานเป้นรูปร่างอย่างนั้น เป้นสิ่งยั่วกำหนัด ยั่วกามโดยเน้นความงดงามมากล่าว จากคุณ : เอก (aunemaek2) - [ 17 ก.พ. 51 13:35:09 ]

ความคิดเห็นที่ 110 พูดถึงเรื่อง สติปัฐฐาน4 กับ สมถ  ต้องอย่าลืมนะครับว่า อยุ่ในมรรค8 จะปฎิเสธไม่ได้ ในสัมมาสติก็คือ สติปัฐฐาน4 สัมมาสมาธิ ก็คือ สมถ ความตั้งใจมั่นโดยถูกทาง โดยการที่กุศลจิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว (ความตั้งมั่นแห่งกุศลจิตในในอารมณ์อันใดอันหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่าน)เข้าถึง ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และ จตุตถฌาน หมายความว่าจิต ปราสจาก นิวร ทั้ง 5 จากคุณ : เอก (aunemaek2) - [ 17 ก.พ. 51 13:41:15 ]

ความคิดเห็นที่ 111 ความคิดเห็นที่ 109 นิพพานอยู่ข้างบน สูงจากภพ 3 เท่าภพ 3 โตเท่าภพ 3 นี่ สว่างเป็นแก้วไปหมดทั้งนั้น งดงามมาก โตเท่าภพ 3 นี่"   จากพระธรรมเทศนาเรื่อง "โอวาทปาฏิโมกข์" 20 ตุลาคม 2497 จาก เอก (aunemaek2) ******************************************************** ถ้าอย่างนั้น ลองฟังพุทธพจน์ ซึ่งเป็นคำตรัสของพระพุทธองค์ดูบ้างไหมครับ ? v v v v ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะ(นิพพาน)นั้นว่า - เป็นการมา - เป็นการไป - เป็นการตั้งอยู่ - เป็นการจุติ - เป็นการอุปบัติ - อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ - มิได้เป็นไป - หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ ------------------------------------------------------------- ยังมีใคร จะพูดอะไรอีกไหมครับ ? ฤทธี v v v v จากคุณ : Ritti Janson - [ 17 ก.พ. 51 17:32:44 ]

ความคิดเห็นที่ 112 มรรค8 มันเป็นทฤษฎี ..... เข้าใจไหม พ่อคุณเอ๋ย ไม่เชื่อใช่ไหม ? ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองปฏิบัติมรรค8 ให้ดูหน่อยสิ !!!!! ส่วนสติปัฏฐาน นั่นเป็นภาคปฏิบัติ ..... เข้าใจไหม ? ถ้าผมถามว่า สติปัฏฐานทำอย่างไร อย่างนี้ตอบได้ ใช่ไหม ? ถ้าเรื่องแค่นี้ ยังไม่รู้จักแยกแยะ ก็อย่ามาฝอยให้มากความไปเลย มันน่าอาย รู้ไหมจ๊ะหนู ................ กรุณาตรองดูให้ดีๆนะครับ !!!!! หึหึ ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 17 ก.พ. 51 17:34:52 ]

ความคิดเห็นที่ 113 คุณ drxbeam ก็ลองถามเจ้าจักรพรรณ์/ลูกธัมมี่ฯ/ต้นปราบฯ ดูสิว่า  รูปอนิเมชั่นใน คห.78 นั่นน่ะรังสรรค์มาอย่างไร ภาพอนิเมชั่นนั้นน่าจะบ่งบอกความเป็นตัวตนของลูกธัมมีมากกว่าความเป็นตัวตนของคุณฤทธี นะ จากคุณ : ทวนทอง - [ 17 ก.พ. 51 20:18:46 ]

ความคิดเห็นที่ 114 สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสว่า  อายตนะ(นิพพาน)นั้นมีอยู่   เป็นที่ที่พระอเสขมุนีคือ  พระอรหันต์ทั้งหลายไปแล้วไม่เศร้าโศก  แต่เห็นได้ยาก   ตรัสรู้ตามได้ยาก   ฯลฯ ก)   ตรัสว่า   อายตนะ(นิพพาน)นั้น  มีอยู่  ดังนี้                                “อตฺถิ   ภิกฺขเว   ตทายตนํ.   ยตฺถ  เนว  ปฐวี   น  อาโป  น  เตโช  น  วาโย   น   อากาสานญฺจายตนํ   น  วิญฺญาณญฺจายตนํ   น  อากิญฺจญฺญายตนํ   น เนวสญฺญา นาสญฺญายตนํ   นายํ   โลโก  น ปรโลโก    น  อุโภ  จนฺทิมสุริยา.  ตมหํ  ภิกฺขเว  เนว  อาคตึ   วทามิ   น คตึ   น ฐิตึ  น จุตึ  น  อุปฺปตฺตึ.   อปฺปติฏฐํ   อปฺปวตฺตํ   อนารมฺมณเมว  ตํ   เอเสวนฺโต  ทุกฺขสฺสาติ.” แปลความว่า      “ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อายตนะนั้นมีอยู่.   ดิน  น้ำ  ไฟ  ลม   อากาสามัญ  จายตนะ  วิญญาณัญจายตนะ   อากิญจัญญายตนะ   เนวสัญญานาสัญญาตนะโลกนี้  โลกหน้า     พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง   ย่อมไม่มี   ในอายตนะนั้น.ดูกรภิกษุทั้งหลาย   เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นหาที่ตั้ง   อาศัยมิได้  มิได้เป็นไป   หาอารมณ์มิได้   นั้นแล  เป็นที่สุดแห่งทุกข์.”                 ข)  ตรัสว่า  เป็นที่ที่พระอเสขมุนีคือ  พระอรหันต์ทั้งหลายไปแล้วไม่เศร้าโศก  ดังนี้                                “สตฺถา  “ภิกขเว   เอวรูปานํ   อเสขมุนีนํ  อภิสมฺปราโย  นาม   นตฺถิ.  เอวรูปา  หิ   อจฺจุตํ   อมตํ   มหานิพฺพานเมว  ปาปุณนฺตีติ   วตฺวา   อิมํ   คาถมาห               “อหึสกา  เย  มุนโย   นิจฺจํ   กาเยน  สํวุตาเต  ยนฺติ  อจฺจุตํ   ฐานํ  ยตฺถ  คนฺตฺวา  นโสจเรติ.....อจฺจุตนฺติ   สสฺสตํ.   ฐานนฺติ   อกุปฺปฏฐานํ  ธุวฏฐานํ.  ยตฺถา ติ   ยสฺมึ  คนฺตฺวา นโสจนฺติ  น  วิหญฺญนฺติ   ตํ  นิพฺพานฏฐานํ  คจฺฉนฺตีติ  อตฺโถ.” แปลความว่า       “พระศาสดาตรัสว่า  “ภิกษุทั้งหลาย  ชื่อว่าอภิสัมปรายภพของพระอเสขมุนีทั้งหลายผู้เห็นปานนั้น   ย่อมไม่มี,    เพราะว่าพระอเสขมุนีผู้เห็นปานนั้น  ย่อมบรรลุมหานิพพานอันไม่จุติ   อันไม่ตาย” ดังนี้แล้ว   จึงตรัสพระคาถานี้ว่า                “มุนีเหล่าใด  เป็นผู้ไม่เบียดเบียน  สำรวมแล้วด้วยกายเป็นนิตย์,  มุนีเหล่านั้น  ย่อมไปสู่ฐานะ  (ที่)  อันไม่จุติ.   ซึ่งเป็นที่ชน (อเสขมุนี)  ทั้งหลายไปแล้วไม่เศร้าโศก.” .....บทว่า  อจฺจุตํ  ได้แก่  เที่ยง   บทว่า  ฐานํ   ได้แก่  ฐานะ  (ที่)  ที่ไม่กำเริบ  คือ  ฐานะ  (ที่)  ที่ยั่งยืน. บทว่า  ยตฺถ  เป็นต้น   ความว่า   มุนีทั้งหลาย  ย่อมไม่สู่ ฐานะ  (ที่)   คือ  พระนิพพาน  ซึ่งเป็นที่ชน  (อเสขมุนี)   ทั้งหลายไปแล้วไม่เศร้าโศก  คือไม่เดือดร้อน” ค) ตรัสว่า  พระนิพพาน  เห็นได้ยาก   ดังนี้                          “ทุทฺทสํ  อนตํ   นาม                            น  หิ   สจฺจํ   สุทสฺสนํ                              ปฏิวิทฺธา   ตณฺหา  ชานโต                  ปสฺสโต   นตฺถิ   กิญฺจนนฺติ. แปลความว่า          “ฐานะที่บุคคลเห็นได้ยากชื่อว่า  นิพพาน   ไม่มีตัณหา.  นิพพาน   นั้นเป็นธรรมจริงแท้  ไม่เห็นได้โดยง่ายเลย.   ตัณหาอันบุคคลแทงตลอดแล้ว กิเลสเครื่องกังวลย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้รู้  ผู้เห็นอยู่.” ง)   ตรัสว่า   พระนิพพาน  ตรัสรู้ตามได้ยาก  ดังนี้                “อธิคโต  โข  มยายํ   คมฺภีโร  ทุทฺทโส  ทุรานุโพโธ   สนฺโต  ปณีโต  อตกฺกาวจโร   นิปุโณ   ปณฺฑิตเวทนีโย.” แปลความว่า          “ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้  เป็นธรรมลึกซึ้ง   ยากที่จะเห็นได้  สัตว์อื่นจะตรัสรู้ตามได้ยาก  เป็นธรรมสงบระงับ  ประณีต  ไม่เป็นวิสัยที่หยั่งลงได้ด้วยความตรึก   เป็นธรรมละเอียด  อันบัณทิตจะพึงรู้แจ้ง.” จากคุณ : สมถะ - [ 17 ก.พ. 51 21:02:58 ]

ความคิดเห็นที่ 115 อธิบายว่า  พระอเสขมุนี  คือ  พระอรหันต์   นั้น  ไม่ใช่เบญจขันธ์  เพราะเบญจขันธ์เป็นมตธรรมที่ต้องตาย  แต่ความบรรลุมหานิพพานอันไม่จุติ  อันไม่ตาย  คือ ความบรรลุพระนิพพานธาตุ  อันเป็นอมตธรรมที่เที่ยง (นิจฺจํ/สสฺสตํ/ธุวํ)  ที่ไม่เกิด   ไม่แก่  ไม่เจ็บ  และไม่ตาย  อีก  จึงเป็นบรมสุข  (ปรมํ  สุขํ)   เมื่อยังครองเบญจขันธ์ อยู่  ชื่อว่า  สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ   ถ้าเบญจขันธ์แตกทำลาย (ตาย)  แล้ว ชื่อว่า  อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ               พระอรหันตบุคคลท่านตายแต่เบญจขันธ์  แต่พระนิพพานธาตุ  คือ  ธรรมกาย  ที่บรรลุพระอรหัตตผลของท่านยังอยู่  และความที่พระนิพพานธาตุ  คือ ธรรมกายที่บรรลุพระอรหันตตผลของท่านเป็นวิสังขารธรรม/  อสังขตธรรม  ที่ไม่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง  เป็นวิราคธาตุ  วิราคธรรมล้วน ๆ   จึงไม่มีเหตุปัจจัยให้เกิดใหม่อีก   สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้ตรัสว่า   “ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าอภิสัมปรายภพของพระอเสขมุนีทั้งหลายผู้เห็นปานนี้  ย่อมไม่มี   เมื่อ  พระอเสขมุนี  (พระอรหันตบุคคล)ท่านดับขันธ์เข้าสู่อายตนะนิพพาน  (ปรินิพพาน)  ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ  คือ  ด้วยธรรมกายที่บรรลุพระอรหัตตผล   อันเป็นอมตธรรม  ที่ไม่กำเริบ ( อกุปฺปฏฐานํ)  ที่เที่ยง  (นิจฺจํ/สสฺสตํ)  คือ ที่ไม่เคลื่อน  (ไม่ต้องตาย-อจฺจุตํ)   จึงชื่อว่า ไม่เศร้าโศก  ไม่เดือดร้อน  สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า   “มุนีเหล่านั้น  ย่อมไปสู่ฐานะ (ที่)  อันไม่จุติ  ซึ่งเป็นที่ชน  (อเสขมุนี)   ทั้งหลาย  ไปแล้วไม่เศร้าโศก.”                พระนิพพานธาตุ  คือ  ธรรมกายที่บรรลุอรหัตตผล   และอายตนะนิพพานนั้น   เห็นได้ยาก  คือ  ไม่อาจเห็นได้ด้วยอายตนะของมนุษย์  ทิพย์ พรหม  และ  ของอรูปพรหม  เพราะเป็นธรรมที่เอียดประณีต   เกินกว่าที่อายตนะใด  ในภพ  ๓   นี้  จะเข้าถึงและสัมผัสได้  แต่ก็ธรรมที่บัณฑิตจะพึงรู้แจ้ง  และตรัสรู้ตามได้  คือ  สามารถจะเข้าถึงได้  โดยทางปฏิบัติใน อธิศีลสิกขา   อธิจิตตสิกขา  และอธิปัญญาสิกขา  อันมีนัยอยู่ในอริยมรรคมีองค์   ๘  สัมผัสได้  เห็นได้  และรู้แจ้งได้  ด้วยอายตนะที่บริสุทธิ์ผ่องใส   และละเอียด ประณีตเสมอกัน   คือ ด้วยญาณของธรรมกาย  นับตั้งแต่โคตรภูญาณที่สุดละเอียดขึ้นไป   ถึงมรรคญาณ  ผลญาณ    ของธรรมกายที่บรรลุมรรค  ผล  นิพพาน จากคุณ : สมถะ - [ 17 ก.พ. 51 21:07:27 ]

ความคิดเห็นที่ 116 พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ  พระมงคลเทพมุนี  (สด  จนฺทสโร)  และ  ศิษยานุศิษย์ผู้ปฏิบัติได้ถึงธรรมกายที่สุดละเอียด  ต่างได้แสดงว่า  ในอายตนะนิพพาน  เห็นมีแต่พระนิพพานธาตุ คือธรรมกายที่บรรลุอรหัตตผลแล้ว ของพระอรหันต์ ซึ่งดับขันธ์เข้าปรินิพพาน  ด้วย  อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ  ต่างประทับเข้านิโรธธาตุ  สงบตลอดกันหมด  พระนิพพานธาตุ   คือ ธรรมกายตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  จะเห็นประทับอยู่บนรัตนบัลลังก์   แวดล้อมด้วยพระนิพพานธาตุพระอรหันต์ขีณาสพ ประทับนั่งอยู่บนองค์ฌาน  เวียนขวาโดยรอบ  มีระยะห่างกันชั่วกึ่งองค์ฌาน  คือ ประมาณ  ๑๐  วา พระนิพพาน  (ธรรมกาย)  มีจำนวนนับไม่ถ้วน   ส่วนพระนิพพานธาตุของพระปัจจเจกพุทธเจ้า จะเห็นประทับอยู่บนรัตนบัลลังก์ลำพังพระองค์เดียว  ทุกพระองค์สว่างไสวด้วยธรรมรังสี  พระรัศมีของแต่ละพระองค์ไม่เท่ากัน  ต่างกันด้วยบุญบารมีมีที่ได้บำเพ็ญมาไม่เท่ากัน   ในอายตนะนิพพานไม่มีพระอาทิตย์และพระจันทร์   ไม่มีน้ำ  ดิน  ไฟ  ลม  ฯลฯ                  ในอายตนะ  นิพพาน  ไม่มีการไปมาหาสู่กัน  ไม่มีความเป็นไปใด ๆ  เช่นการทำงานหรือการประกอบอาชีพใด  ๆ   เลี้ยงชีวิตอย่างชาวโลก    ปราศจากกิเลสตัณหา  ไม่เป็นที่ตั้งแห่งกิเลสอวิชชาตัณหาราคะใด  ๆ  จึงไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด  เหมือนสัตว์โลกในภพ  ๓  เป็นธรรมธาตุที่บริสุทธิ์ไม่มีอารมณ์  เป็นที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ทั้งปวง  และเป็นบรมสุข  พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสว่า “เราย่อมไม่กล่าวเลย  ซึ่งอายตนะนั้น ว่า  เป็นการมา  เป็นการไป   เป็นการตั้งอยู่  เป็นการจุติ  เป็นการอุบัติ.....นั้นแล  เป็นที่สุดแห่งทุกข์.”                                โย  จ  วสฺสสตํ  ชีเว                        อปสฺสํ  อมตํ  ปทํ                                เอกานํ   ชีวิตํ   เสยฺโย                          ปสฺสโต  อมตํ  ปทํ.                                ก็ผู้ใด  ไม่เห็นบทอันไม่ตาย (อมตมหานิพพาน) พึงเป็นอยู่  ๑๐๐ ปี.  ความเป็นอยู่วันเดียว  ของผู้เห็นบทอันไม่ตาย  ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ของผู้นั้น. จากคุณ : สมถะ - [ 17 ก.พ. 51 21:09:10 ]

ความคิดเห็นที่ 117 ผมนำเสนอในส่วนที่พาดพิงกัน  และเพื่อความชัดเจนว่า  ความละเอียดลึกซึ้งของเรื่องพระนิพพานนั้น  จะเอาตำรามาว่ากันก็จักไม่มีทางยุติ  แต่ถ้าได้ลองลงมือปฏิบัติธรรมได้แล้ว  จะพอเข้าใจได้ว่าสิ่งที่ตำราเขียนนั้นมีนัยลึกซึ้งอย่างไร  โปรดจำไว้ว่า  นี่ไม่ใช่วิสัยของความตรึก นึก คิด ไปตามตำรา  ที่จะทำให้ท่านเข้าใจเรื่องพระนิพพานได้ตลอดทั่วถึง  แต่นี่เป็นวิสัยของบัณฑิตที่ลงมือปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรม  เพราะผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต  นั่นเอง เมื่ออ้างถึงตรงนี้  คือเรื่อง พระนิพพาน  จะกล่าวว่าร้ายกันฝ่ายเดียวก็ไม่สมควร  จึงนำเสนอข้อมูลของผู้ฝึกให้เป็นธรรมกายและได้รู้เห็นสัมผัสพระนิพพานมาอธิบายตามสมควร  โปรดจำไว้ว่านี่ไม่ใช่วิสัยของความตรึกจะหยั่งถึงนะครับ... จากคุณ : สมถะ - [ 17 ก.พ. 51 21:14:01 ]

ความคิดเห็นที่ 118 น่าจะนัดคุยกันนะครับ เพราะ.. คุยกันคนละเรื่อง จากคุณ : sirnitfi - [ 17 ก.พ. 51 21:19:08 ]

ความคิดเห็นที่ 119 นิพพานอยู่ข้างบน สูงจากภพ 3 เท่าภพ 3 โตเท่าภพ 3 นี่ สว่างเป็นแก้วไปหมดทั้งนั้น งดงามมาก โตเท่าภพ 3 นี่"  จากพระธรรมเทศนาเรื่อง "โอวาทปาฏิโมกข์" 20 ตุลาคม 2497 นอกจากนี้ท่านยังได้วัดระยะห่างระหว่างภพ 3 กับนิพพานให้ทราบอีกด้วยว่า ห่างกันกี่โยชน์ ซึ่งเป็นเรื่องแสดงความอัศจรรย์ของวิชชาธรรมกายอย่างมาก ที่สามารถรู้เห็นได้ลึกซึ้งและชัดเจนขนาดนั้น  ทั้งๆที่ผู้ปฏิบัติวิชชาธรรมกาย ไม่มีผู้ใดสำเร็จแม้ พระโสดาบันเลย ล้วนเป็น "ธรรมกายโคตรภู" ทั้งสิ้น ผมไม่เห้นประโยชน์ ที่กล่าวอ้างเลยครับไม่ควรอย่างยิ่งที่กล้าวอ้างว่าวิชชาธรรมกายทำให้เห้นนิพพานเป้นรูปร่างอย่างนั้น เป้นสิ่งยั่วกำหนัด ยั่วกามโดยเน้นความงดงามมากล่าว ผมว่านะจะเป็นชั้นพหรม อรูปพรหมมากกว่า จากคุณ : เอก (aunemaek2)  - [ แล้วคุณปฎิเสธมรรค8 เหรอครับ คุณทำให้ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่สมบูรณ์นะ ก๊อบมาไม่หมด อ่านไม่ละเอียด ไม่มีปัญญานะครับ แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 51 01:38:22 จากคุณ : เอก (aunemaek2) - [ 18 ก.พ. 51 01:37:07 ]

ความคิดเห็นที่ 120 มรรค8 มันเป็นทฤษฎี ..... เข้าใจไหม พ่อคุณเอ๋ย ไม่เชื่อใช่ไหม ? ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองปฏิบัติมรรค8 ให้ดูหน่อยสิ !!!!!จากคุณ : Ritti Janson พระพุทธเจ้าอุตส่าสอนให้ปฎิบัติตามมรรค8 ไม่เคยเลยที่จะบอกว่าธรรม ของพระพุทธเจ้าเป็น สิ่งที่ปฎิบัติไม่ได้ คุณไม่น่าปฎิเสธธรรมที่แสดงไว้ชัดเจนและเป็นหลักใหญ่ขนาดนี้เลย จากคุณ : เอก (aunemaek2) - [ 18 ก.พ. 51 01:44:55 ]

ความคิดเห็นที่ 121 พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ  พระมงคลเทพมุนี  (สด  จนฺทสโร)  และ  ศิษยานุศิษย์ผู้ปฏิบัติได้ถึงธรรมกายที่สุดละเอียด  ต่างได้แสดงว่า  ในอายตนะนิพพาน  เห็นมีแต่พระนิพพานธาตุ คือธรรมกายที่บรรลุอรหัตตผลแล้ว ของพระอรหันต์ ซึ่งดับขันธ์เข้าปรินิพพาน  ด้วย  อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ  ต่างประทับเข้านิโรธธาตุ  สงบตลอดกันหมด  พระนิพพานธาตุ   คือ ธรรมกายตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  จะเห็นประทับอยู่บนรัตนบัลลังก์   แวดล้อมด้วยพระนิพพานธาตุพระอรหันต์ขีณาสพ ประทับนั่งอยู่บนองค์ฌาน  เวียนขวาโดยรอบ  มีระยะห่างกันชั่วกึ่งองค์ฌาน  คือ ประมาณ  ๑๐  วา พระนิพพาน  (ธรรมกาย)  มีจำนวนนับไม่ถ้วน   ส่วนพระนิพพานธาตุของพระปัจจเจกพุทธเจ้า จะเห็นประทับอยู่บนรัตนบัลลังก์ลำพังพระองค์เดียว  ทุกพระองค์สว่างไสวด้วยธรรมรังสี  พระรัศมีของแต่ละพระองค์ไม่เท่ากัน  ต่างกันด้วยบุญบารมีมีที่ได้บำเพ็ญมาไม่เท่ากัน   ในอายตนะนิพพานไม่มีพระอาทิตย์และพระจันทร์   ไม่มีน้ำ  ดิน  ไฟ  ลม   คงจะเป็นพรหมและ อรูปพรหมแล้วล่ะครับ อีกอย่างไม่มีประโยชน์ที่จะบรรยายธรรม ในการทำให้กำหนัดใน ความสวยงาม ใน กามในความยึดมั่นถือมั่น ใน รูป ใน อรูปเลย ไม่เป็นธรรม ของพระพุทธเจ้าแน่ครับ แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 51 02:08:25 จากคุณ : เอก (aunemaek2) - [ 18 ก.พ. 51 02:07:35 ]

ความคิดเห็นที่ 122 ทำไมพระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสเล่าให้ฟังเลยว่านิพพานมีรัตนบัลลัง มีวิมานแก้ว มี...ฯลฯ จากคุณ : งบน้อย - [ 18 ก.พ. 51 09:07:26 ]

ความคิดเห็นที่ 123 * ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่อย่างไรเล่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์  ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า............... สัมมาสมาธิ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=10&A=6257&Z=6764&pagebreak=0 ก็อกุศลเป็นไฉน? ได้แก่ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ อยากได้ของผู้อื่น ปองร้ายเขา เห็นผิด http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=12&A=1518&Z=1753&pagebreak=0 ^ การปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็คือ การปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ นั่นเอง (สัมมาสติ อยู่ในมรรค ๘ ) และการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔  บรรพะแรก อานาปานสติ ต้องเริ่มต้นที่การปฏิบัติ “สัมมาสมาธิ” นั่นเอง (สัมมาสมาธิ อยู่ในมรรค ๘ ) (นั่งคู้บัลลังก์  ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า) การที่จิตจะเป็นสมาธิได้ ต้องอาศัยความเพียรประกอบด้วย (สัมมาวายามะ อยู่ในมรรค ๘ ) เมื่อจิตเป็นสมาธิ ก็จะเกิดปัญญาปล่อยวางอารมณ์ออกไปได้ตามลำดับชั้น จากฌาน ๑ ถึงฌาน ๔  ( เกิดสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ อยู่ในมรรค ๘ ) ในการปฏิบัติสัมมาสมาธิ จิตจะเป็นสมาธิบรรลุปฐมฌานได้ ต้องสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม ( อกุศลธรรม คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ อยู่ในมรรค ๘ ) สรุป ครบมรรคมีองค์ ๘ นะครับ มรรคมีองค์ ๘ เป็นการปฏิบัติทางจิต ไม่ใช่แค่ทฤษฎี อ่านแล้วคิดตามแล้วคิดว่าบรรลุธรรมได้ เป็นไปไม่ได้ครับ ถ้าได้พระพุทธองค์คงไม่ต้องออกผนวชหรอกครับ ขอเถอะนะครับ อย่าทำให้ธรรมะพระพุทธองค์เป็นเพียงธรรมะบนกระดาษนะครับ อวดรู้ผิดๆแบบถาวรจริงๆ ที่หาว่ามรรคมีองค์ ๘เป็นแค่ทฤษฎี จากคุณ : หนูเล็กนิดเดียว - [ 18 ก.พ. 51 09:13:25 ]

ความคิดเห็นที่ 124 คน ....................... อันตราย !!!!!! http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y6342845/Y6342845.html ขอเชิญ "นักวิชชาธรรมกายนิยม" มาตอบข้อสงสัยเล็กๆน้อยๆ ด้วยครับ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y6342915/Y6342915.html จากคุณ : Ritti Janson - [ 18 ก.พ. 51 10:57:30 ]

ความคิดเห็นที่ 125  โบราณท่าน สำเนียงส่อนภาษา  กริยาส่อสกุล แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 51 13:03:42 แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 51 13:03:37 จากคุณ : จันทร์กลางใจ - [ 18 ก.พ. 51 13:03:10 ]

ความคิดเห็นที่ 126 จะเอาบัลลังแก้ว จากคุณ : งบน้อย - [ 18 ก.พ. 51 13:09:51 ]

ความคิดเห็นที่ 127 เรียนท่าน จขกท. จากคำบอกเล่าของบุคคลในยุคต้นวิชชาสมัยหลวงพ่อวัดปากนำเกี่ยวกับเรื่อง"ยุบหนอ พองหน" ในสมัยนั้นท่านเจ้าคุณวัดมหาธาตุ ท่านไปเรื่องวิชายุบหนอ พองหนอ มาจากประเทศพม่า ในเมืองไทยสมัยนั้น  ยังไม่มีใครยอมรับ ความนับถือในวิชานี้ว่าเป็นวิชาในพระพุทธศาสนา เนื่องจากหลวงพ่อวัดปากนำ ท่านเป็นวิปัสนาจารย์ที่เป็นที่ยอมรับนับถืออย่างสูงสุดท่านหนึ่งในสมัยนั้น   เป็นผู้ที่ได้รับยกย่องว่ามีลูกศิษย์ ลูกหาอย่างมากมาย มีโรงทานจัดเลี้ยงพระได้มากถึง 500รูป ทุกวัน ท่านเจ้าคุณวัดมหาธาตุจึงเรียนเชิญให้หลวงพ่อวัดปากนำมาทดสอบวิชายุบหนอ พองหนอ ว่าเป็นพุทธศาสนาจริง เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของผู้คนในยุคสมัยนั้น โดยหลวงพ่อท่านได้เมตตาออกใบประกาศรับรองวิชานี้ให้ ก็คือภาพถ่ายพร้อมลายเซ็นต์ของหลวงพ่อวัดปากนำดังที่นำมาแสดงใน คคห.20 แต่ต่อมาภายหลังคนไม่เข้าใจถึงความเป็นมาของเรื่องนี้  จริงพากับคิดไปต่างๆว่าหลวงพ่อเปลี่ยนวิธีการสอน  ซึ่งไม่ตรงตามความเป็นจริง   ภาพที่หลวงพ่อวัดปากนำให้ไว้เพื่อรับรองว่า วิธี ยุบหนอ พองหนอ ใช้ได้ เป็นวิธีในพุทธศาสนา นำมาปฏิบัติได้ไม่ผิด วิธีเข้าถึงธรรมในคัมภีร์วิสุทธิมรรคมีตั้ง 40 วิธี เริ่มต้นจากอะไรก็ได้ บริกรรมภาวนาอะไร  บริกรรมนิมิตอะไร ทั้งหมดก็มารวมกันที่  หยุดเป็นตัวสำเร็จ  เข้ากลางของกลาง สุดท้ายก็เข้าถึงธรรมกาย คือกายตรัสรู้ธรรมได้ทั้งสิ้น อนุโมทนาบุญค่ะ  ตั้งใจในที่ตั้งของใจ ที่ศูนย์กลางกาย ให้กายใสสว่าง  ทำกายให้เบาเท่ากับใจ  เมื่อพบความจริงของชีวิตก็จะเข้าใจในทุกสิ่งค่ะ  สาธุ . จากคุณ : จันทร์กลางใจ - [ 18 ก.พ. 51 13:23:11 ]

ความคิดเห็นที่ 128 ตาบอดอยากชูคบเพลิงส่องทางให้ผู้อื่น “ พหุสฺสุโต  อปฺปสุตํ                         โย  สุเตนาติมญฺญติ อนฺโธ  ปทีปธาโรว                               ตเถว  ปฏิภาติ  มํ.” “ผู้ใดเล่าเรียนมามาก  ดูหมิ่นผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนมาน้อย  ด้วยการสดับ.  แต่เขาไม่ได้ปฏิบัติตาม ที่เล่าเรียนมา  ย่อมปรากฏแก่เราเหมือนคนตาบอดถือดวงไฟไป  ฉะนั้น.” (อานันทเถรคาถา  พระไตรปิฎกบาลีฉบับสยามรัฐ เล่มที่  ๒๖,   ลขุททกนิกาย  เถรคาถา,  ข้อ  ๓๙๗  หน้า  ๔๐๖ จากคุณ : สมถะ - [ 18 ก.พ. 51 14:14:19 ]

ความคิดเห็นที่ 129 อืมม์......ใช่ครับ  ผมเคยได้ยินเรื่องนี้ตามที่คุณจันทร์กลางใจโพสไว้นะครับ หลวงปู่เองไม่เคยคิดที่จะเลิกวิชชาที่ท่านค้นพบได้หรอกครับ  มีแต่คนที่ปรุงแต่งเอาไปคิดเหมาเอาเองเท่านั้นละครับ จากคุณ : หมอมาเอง (drxbeam) - [ 18 ก.พ. 51 23:54:29 ]

ความคิดเห็นที่ 130 วิชชาในพระพุทธศาสนาสามารถทำได้  สามารถพิสูจน์ได้ทุกวิชชาค่ะ   ไม่ว่าจะเป็นวิชชาหูทิพย์ ตาทิพย์ มโนมยิทธิ มีฤทธิทางใจ ระลึกชาติได้ทั้งคนตนเองและของผู้อื่น   จนกระทั่งถึงที่สุดมี ธรรมจักษขุ  คือมีดวงตาเห็นธรรม บรรลุเข้าถึงพระธรรมกายอรหัตร์ผลได้   บรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นพระอรหันต์ในที่สุด หลวงพ่อวัดปากนำ ตั้งแต่วันที่ท่าน สามารถเข้าถึงธรรม ไปค้นคว้าสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้บรรลุ ซึ่งได้สูญหายไปเมื่อ 500 ปีหลังพุทธกาลนั้น ท่านก็ยังคงสอน สัมมา อรหัง  ต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้นานกว่า 100 ปีแล้ว ที่วัดปากนำก็ยังมีเสียงคำสอน เทศนาของท่าน ที่หอขาว หอวิปัสนาทุกๆๆวันค่ะ . จากคุณ : จันทร์กลางใจ - [ 20 ก.พ. 51 14:06:26 ]