ความคิดเห็นที่ 1 เราคิดว่า  มีบางสิ่งบางอย่าง ที่ผิดพลาดไปมากในสังคม  จนทำให้ความหวัง กับ ความจริง  ไม่สอดคล้องกัน     เมื่อคนสิ้นหวังมากๆ   ก็ต้องการความหวังมาปลอบประโลมใจ  โดยกลายเป็นฝันลมๆแล้งๆ   และ ขาดการรักความจริง  แสวงหาความจริง    แต่ในสังคมก็มีจุดมอมเมา จำนวนมาก จึงทำให้ความฝันอยู่ห่างไกลจากความจริง จุดออ่นในทางสังคม  ที่เป็นปัญหาอุปสรรค  คือการละชั่ว   มีน้อยมาก และมีแนวโน้มยอมรับความชั่ว การล่อลวงด้วยซ้ำไป    จึงทำให้จุดเชื่อมต่อ ของสวรรค์  กับโลกวัตถุนิยมขาดความจริง หรืออีกนัยหนึ่งขาดการ practi c ขาดการปฎิบัติในทางสังคม   อาชีกทุกอาชีพ ต้องมีการปฎิบัติ ทั้งแพทย์  วิศวะ ตำรวจ พยาบาล   แต่ในทางสังคมปฎิบัติในทางตรงกันข้าม เนื่องจากมีการมอมเมา มีการล่อลวง    จึงทำให้สวรรค์เบี่ยง  เป็นความฝันลมๆแล้งๆ   จนทำให้เกิดความแตกแยกและไม่แน่ไม่นอนสูง     ถ้าพูดภาษาพุทธในสังคมเดียวกัน บางคนอยู่ในภูมิเดรัจฉาน  บางคนอยู่ในภูมิอบาย   บางคนอยู่ในภูมิ เปรต  บางคนอยู่ในภูมิสวรรค์   นี่คือ ความหลากหลายแตกต่างจากการไม่ละชั่ว จากคุณ : anuwat5 - [ 1 เม.ย. 51 14:49:59 ]

ความคิดเห็นที่ 2 มาแจกซองและอีกหลายๆ กรณีในการเรี่ยไรบุญ คนมามักบอกว่าอยากได้อะไรให้ขอ ผมก็ขอแหลกราญไปเลย อิอิ จากคุณ : nr (Narin-nar) - [ 1 เม.ย. 51 16:01:47 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เป็นเพราะวัฒนธรรม งงๆมึนๆของประเทศนี้ครับ คือบอก แต่ไม่หมด รู้แต่ไม่ถ้วน เลยขาดๆห้วนๆ จากคุณ : sirnitfi - [ 1 เม.ย. 51 16:02:19 ]

ความคิดเห็นที่ 4 บางคน ทำบุญเพียงเพราะเป็นความเชื่อ ทำตามธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันมาของครอบครัวบ้าง ของสังคมบ้าง โดยหวังแต่เพียงผลพลอยได้จากการทำบุญ ว่าจะทำให้เกิดมาร่ำรวย มีโภคทรัพย์ มีชีวิตที่ดีขึ้น  โดยไม่เข้าใจถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการทำบุญตามพระธรรมคำสอน ดิฉันเคยเห็นบางคนเดินไปแจกซองผ้าป่า โดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคนรับจะรู้สึกยังไง มีความพร้อม หรือมีศรัทธาที่จะร่วมบุญหรือเปล่า  ก็เคยเห็นเหมือนกันที่อาจมีหลายคนต้องจำใจทำบุญเพราะเสียไม่ได้  ทำเพราะความเกรงใจเพื่อน ไม่ใช่ทำเพราะศรัทธา เพราะเห็นประโยชน์ในสิ่งที่ทำจริง ๆ จากคุณ : faisara - [ 1 เม.ย. 51 17:01:08 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ขอบคุณทุกความคิดเห็นที่มาร่วมแสดง   ส่วนใหญ่เป็นฝ่ายพุทธ      เราเชื่อเหลือเกินว่า ในห้องนี้มีประการณ์ การขบคิด จาการอ่านมาจำนวนมาก กว่า  คนทั่วๆไป การละชั่ว   การทำความดี  และ การ ทำให้ใจบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว   ซึ่งเป็นกระบวนการต่อเนื่อง ตลอดชีวิตนี้ ชีวิตหน้า ส่วนฝ่ายคริสต์ ไม่มีใครมาแจม   หลักการของศาสนาจักร   เริ่มที่ ศรัทธาในองค์พระเยซูคริสต์    ซึ่งเป็นกระบวนการจุดประกายทางวิญญาณ    จนมาถึงการละชั่ว  ซึ่งมีความหมายและทิศทาง ในการกลับใจไปคืนดีกับพระเจ้า   และผ่านพันธสัญญาบัพติศมา    การตายต่อตัวเก่า และ เกิดใหม่ในชั่วอึดใจ ในอาณาจักรของพระเจ้า โดยอาศัยกุญแจนำทางของ  ของประทานจากพระวิญญาณบริสุทธิ และยังต้องอาศัย ความอดทนในศรัทธา   จนถึงที่สุด เนื่องจากมนุษย์ยังไม่สมบูรณ์แบบ ยังไม่ดีพร้อม   พบสาวสวยก็ยังเหลียวหลัง ยังแวบไป แวบมา  บางคนแต่งงานแล้วก็ยังลอยๆ       เกรงว่าพันธสัญญาการแต่งงานจะขาด หรือบางคนยังไม่แต่งงานก็ยัง  รอคอย  และลอยๆ   ว่าใครจะแวบมา มันก็ลอยๆอยู่ร่ำไป   ไม่ยอมเอาความโสด ความลอยตัว ไปกดน้ำ เข้าสู่ชีวิตครอบครัว  เป็นชีวิตใหม่ที่สละโสดแล้ว  ว่าเขาอิเหนาเป็นเอง ชีวิตที่โปรแกรมต่างๆยังไม่สมบูรณ์  ก็ต้องปรับปรุงแก้ไขกันไป  ให้อดทนถึงที่สุด จะเห็นว่า  วัฒนธรรม ของ  พุทธ หรือ คริสต์  มีบางอย่างที่สอดคล้องกัน แต่ความกระชับ ความแน่นแฟ้น  ในสัญญา หรือ ความลอยๆ    จะมีความแตกต่างในปัจเจกบุคล แต่ลักษณะทางสังคมต้องการหลักปกครอง   มันจะลอยๆไม่ได้  มันจะต้องกระชับเพื่อความแน่นแฟ้น ของครอบครัว สังคมชุมชน ประเทศ จากคุณ : anuwat5 - [ 1 เม.ย. 51 19:05:06 ]

ความคิดเห็นที่ 6 พูดไม่ออกเหมือนกัน แต่มันเป็นประเพณีที่คนไทยทำกัน ทั้งประกอบด้วยปัญญา และไม่ประกอบด้วยปัญญา จะไม่ทำก็เกรงใจคนเอาซองมาให้ เพราะเขาหวังดีกับเรา ไอเราจะไม่ใส่เพราะจะบอกว่า ไม่มีประโยชน์ก็ไม่ได้เพราะว่าไม่รู้ว่าเงินทำบุญนั้นอาจจะไปสร้างสิ่งดีๆๆ กับชาวบ้านเขา สรุป ยื่นมาก็ใส่ไป เหตุผล เพราะต้องการบุญก็ใช้ เหตุผลทางสังคมก็ใช้อีก จากคุณ : muk_22 - [ 1 เม.ย. 51 19:45:28 ]

ความคิดเห็นที่ 7 การที่คุณ anuwat5 ช่วยแสดงมารยาทแม้เป็นเรี่ยไรทำบุญจากต่างศาสนา ก็นับว่าน่าชื่นชมทีเดียวครับ (เป็นผมอาจทำบุญน้อยกว่าท่านก็ได้:)   ถ้าพูดถึงการเรี่ยไร โดยกฎมหาเถรสมาคมนั้นมีข้อห้ามในการเรี่ยไรอยู่ไม่น้อย แต่ในสังคมก็ย่อมมีการหลุดกฎเล็กๆเป็นธรรมดา เหมือนการบังคับสวมหมวกกันน็อคนั่นแหละนะ ในทางปฏิบัติแล้วอาจมีไม่ถึง 5% ที่เคร่งครัดตามกฎ เป็นความเชื่อของชาวพุทธหลายคนที่เชื่อตามกันว่าจะได้ไปสวรรค์จากการที่ได้ทำบุญดังกล่าว  แต่พิจารณาว่าหลักที่ชัดเจนของพุทธศาสนาคือการพ้นจากทุกข์ด้วยการปฏิบัติเป็นผู้มีศีลสมาธิปัญญา ซึ่งต้องอาศัยการฝึกพัฒนาตน การเป็นผู้ไม่ประมาทโดยง่ายเป็นต้น    หรือการที่ผู้ตั้งกระทู้คิดว่าแค่ทำบุญแล้วพบกัน เป็นความคิดที่รวบยอดและรวบลัดเกินไป ก็น่าจะถูกครับ เป็นลักษณะของมนุษย์โลกทั่วไปที่อาจมีความโลภหลงอยู่บ้างเป็นธรรมดา สรุปว่า การเชื่อว่าการทำบุญแล้วอาจได้เจอกันชาติหน้า ยังไม่ตรงตามหลักพุทธศาสนาชัดเจนนัก แต่เป็นเรื่องธรรมดาของชาวพุทธพื้นๆที่ย่อมมีจิตใจยึดเหนี่ยวกับสิ่งเช่นนั้นครับ จากคุณ : ผู้ศึกษา - [ 1 เม.ย. 51 23:48:34 ]

ความคิดเห็นที่ 8 สรุปว่า การเชื่อว่าการทำบุญแล้วอาจได้เจอกันชาติหน้า ยังไม่ตรงตามหลักพุทธศาสนาชัดเจนนัก แต่เป็นเรื่องธรรมดาของชาวพุทธพื้นๆที่ย่อมมีจิตใจยึดเหนี่ยวกับสิ่งเช่นนั้นครับ เมื่อยังไม่ตรง ต้องมีบางสิ่งบางอย่างบิดเบือน   ดูสังคมวัฒนธรรม ทั่วไป จนมาถึงยุคนี้ แล้วจะเห็นว่า   ความเป็นมนุษย์ถูกครอบงำง่าย    ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หายไป   อำนาจครอบงำอื่นเข้ามาแทนที่   เรายอมรับ วิญญาณตั้งแต่จอมปลอก ต้นไม้  ศาลพระภูมิ  ทรงเจ้า หมอผี  ไสบศาสตร์  มั่วไปหมด  ไม่รู้อันไหนวิญญาณบริสุทธิ์ อันไหนวิญญาณล่อลวง จนถึงออกมาเป็นวัฒนธรรมการยอมรับระบบศักดินา  ระบบชั้นยศต่างๆ  และผู้มีอำนาจทั้งหลาย    คนเหล่านั้นก็มีกิเลสทั้งนั้น  มีตัวตนใหญ่เบ้อเร่อเบ้อเร่อทั้งนั้น  มันทำให้เกิดการครอบงำล่อลวงง่ายเกินไป ซึ่งจาการศึกษา  ต่างจากวัฒนธรรม การมีพระเจ้าองค์เดียว  จะยอมรับแต่พระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น    วิญญาณขมักขมัว ไม่ยอมรับ   ก็เหมือนยอมรับพระมหากษัตริย์  แต่ พวกเจ้าขุนมูลนายก็ดูๆกันไป มีดี มีชั่ว    จะเอามาเป็นสรณะไม่ได้ นั่นคือศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ถูกพัฒนาอย่างหนักแน่น ไม่ถูกครอบงำ โดยวิญญาณกระดำกระด่าง   อย่างเราๆมนุษย์ที่มีอัตตา หรือ เทพ  ที่มีน้ำโห   เอากันแบบขริงๆมนุษย์ยอมให้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือพระคริสต์ มาสถิตในหัวใจ อย่างเด็ดเดี่ยวหนักแน่น   ไม่ยอมให้วิญญานโนเนม สถิตมาใกล้ มาครอบงำ และขับไล่วิญญาณชั่วร้ายออกไป วิญญาณความยากจน  วิญญาณเจ็บไข้  วิญญาณไร้ญาติขาดมิตร จึงมาอยากสถิตอยากมาครอบงำมนุษย์  วิญญาณไสยศาสตร์พาไปในทางชั่ว ขับไล่ออกไปด้วยความเด็ดขาด แต่ตรงกันข้าม  ชาวบ้านมีแต่อัญเชิญวิญญาณโนเนมเหล่านั้นเข้ามาหาตัว ศักดิ์ศรีของมนุษย์ มันถูกครอบงำทางวิญญาณ ที่ไม่มาตราฐาน  ที่มีความรักไม่ชัดเจนเหมือนพระคริสต์ จากคุณ : anuwat5 - [ 2 เม.ย. 51 13:52:37 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ตั้งแต่เกิดมาจนถึงขณะนี้  จขกท.เคยพบใครมามั่งครับ คงจะจำไม่หมด ความหมายจึงอยู่ตรงนี้ จากคุณ : AnalystX - [ 2 เม.ย. 51 21:03:29 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ไม่เข้าใจ ความคิดเห็น คห9 ครับ ใช่ครับ จำไม่หมด ตั้งแต่เกิดมา มีพ่อแ ม่  พี่น้อง ปู่ ย่า ตา ยาย  เพื่อนฝูง มากมายครับ   ท่านเหล่านั้นก็มีชีวิตของท่านครับ  เพียงแต่มามีความสัมพันธ์ กันในลักษณะต่างๆ   ทีนี้ความสัมพันธ์ ถูกต้องตามหลักการของพระเจ้า หรือไม่?   ผู้ชายอาจมีจุดอ่อนในความรู้สึกผูกพันธ์ ที่เรียกว่า กตัญญู อาจจะน้อยกว่าผู้หญิง ที่อยู่กับครอบครัว    ผู้ชายชอบพเนจร ชอบความท้าทายใหม่ๆ บางครั้งจนลืมคิดถึงพ่อแม่ ก็เป็นไปได้ครับ   นั่นคือ ความไม่ดีพร้อม ของมนุษย์ครับ เพราะในกฎของพระเจ้าว่า เจ้าจงให้เกียรติบิดามารดา อย่าเข้าใจผิดว่า   นมัสการพระคริสต์ แล้วขับวิญญาณอื่นออกไป ยิ่งมีพระวิญญาณบริสุทธิ์มากขึ้น ย่อมทำดีกับพ่อแม่มากขึ้น ที่ขับนั่นคือขับวิญญาณไม่ดีที่เคยสิงสถิต ในกายในวิญญาณเรา ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระคุณของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงเรา แต่กรุงโรมไม่ได้สร้างในวันเดียวนะครับ จากคุณ : anuwat5 - [ 2 เม.ย. 51 21:24:42 ]

ความคิดเห็นที่ 11 คุณ Anuwat เป็นคริสต์ นี่ครับ จึงไม่แปลกที่ไม่เชื่อเรื่องอย่างนี้ เป็นความเชื่อความศรัทธาที่ต่างกันนั่นเองครับ จากคุณ : จักรแก้ว - [ 4 เม.ย. 51 10:56:26 ]