ความคิดเห็นที่ 1 ขอความสันติจงมีแด่ท่าน เรื่องเปิดหน้าปิดหน้า นั้น มีสองทัศนะค่ะ   เป็นทัศนะจากอุละมาอฺ (บรรดาผู้รู้ ) ที่ยกหลักฐานมาจาก กุรอาน และซุนนะฮฺฺ ทัศนะ1   เปิดได้เฉพาะใบหน้าและฝ่ามือ ทัศนะ2   ปิดทั้งหมด และทัศนะที่มีน้ำหนักมากที่สุดนั้น คือทัศนะที่ 2 ด้วยซ้ำ [กล่าวว่าบิดอะฮฺเลยหรือคะ บิดอะฮฺเป็นการบอกว่าต้องตกนรก นะคะ รบกวนให้ระมัดระวังเรื่องการหุก่ม(กำหนดเอาว่าจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ด้วย) ] - ถ้าจะให้ยกหลักฐานก็จะยาวมาก ให้หาอ่านได้ตาม http://www.banatulhuda.com/sheet/pdf/More_Hijab.pdf - และเพิ่มเติมข้อมูลเรื่องนี้ที่ หนังสือ ข้อเท็จจริงเรื่องฮิญาบ ของสภายุวมุสลิมโลก wamy ที่หน้า 7 เป็นหลักฐาน เรื่องการปิดเหรือเปิด  และสรุปที่หน้ามติเอกฉันท์ที่หน้า 68 - 69 และทัศนะเพิ่มเติม ปิดหน้า และเปิดได้เมื่อมีเหตุจำเป็น ก็อนุโลมให้เปิดได้ใบหน้าและฝ่ามือ  เช่นต้องทำงาน แต่ใครจะยึดถือทัศนะใดนั้นก็ไม่มีปัญหา ปัญหาคือเรื่องฟิตนะฮฺ ความวุ่นวาย ถ้าแต่งกายไม่เหมาะสม วางตัวไม่เหมาะสม  ทะเล่อทะล่าไปในที่ที่สตรีไม่ควรจะไป ทั้งที่แต่งกายปกปิดเป็นอย่างดี หรือแต่งกายปิดหน้า  แล้วดูถูกคนเปิดหน้า หรือแต่งกายเปิดหน้าไปกล่าวหาคนปิดหน้าว่าทำเกินไป หรือแต่งกายปิดหน้าเว้นดวงตา แต่กลับเน้น ขีดเขียนขอบตาให้งามเด่มขึ้นมา อันนี้ก็ไม่เหมาะสมเช่นกัน เพิมเติม ขั้นเทพนั้น สำหรับมุสลิมเป็นคำพูดที่ไม่เหมาะสมเท่าไหร่ค่ะ ไว้ว่างๆจะยกมาให้ดู (อินชาอัลลอฮฺ) ด้วยความเคารพค่ะ จากคุณ : นะ(รก) - [ 22 มิ.ย. 51 16:23:32 ]

ความคิดเห็นที่ 2 คุณนะ(รก) สบายดีน่ะครับ  ที่พูดเรื่องความเหมาะสมมาก็ดีครับ  แต่ด้วยเหตุผลต่างๆที่ยกมาผมก็ไม่เห็นด้วยในเรื่องปิดหน้าครับ  ฟังจากปากคำผู้ใหญ่ ที่ไปฮัจน์หรือผู้ที่ไปร่ำเรียนกันมา(ตอนนี้เป็นแซะด้วย) ก็ไม่บ่งบอกว่าเป็นวายิบ  ฉนั้นในความคิดของผมแล้วนั้น คิดว่าคือธรรมเนียม+สภาพแวดล้อมมากกว่า   เมื่อเอามาใช้บ้านเราจึงไม่เหมาะนัก(สังเกตุจากการใช้พฤษติกรรมนอกบ้าน) ไม่ว่ากิน เดิน ทักทาย แทบไม่รู้จักกันเลย เพราะจำไม่ได้จริงๆ   คำพูดที่ว่าเป็นบิดอะนั้น  ผมมีคำพูดต่อท้ายด้วยคำว่า "หรือป่าว"  นั่นหมายถึงเป็นคำถามครับ มิใช่การกล่าวหาแต่ประการใด   ส่วนเรื่องใช้คำว่าขั้นเทพนั้น  เป็นคำเฉพาะช่วงเวลานั้นๆที่นิยม ไม่ใช่คำนับถือบูชาแต่ประการใด ทุกอย่างอยู่ที่เนียต(เจตนา)ครับ จากคุณ : bawon - [ 22 มิ.ย. 51 17:06:04 ]

ความคิดเห็นที่ 3 สลามนะครับ ส่่วนตัว ถ้าผมจำไม่ผิด การปิดหน้า เคยมีหลายคนที่เคยพูดคุยก็บอกว่าบ้างก็เป็นวาญิบ บ้างก็ว่า สุนัต แต่โดยส่วนตัวผมว่าอยุ่ที่ สถานภาพทางสังคมและ ชุมชนหรือ สภาพแวดล้อมมากกว่าครับ ส่วนตัว ถามว่ารุ้สึกดีไหมกับการปิดหน้าแบบ คลุมหมดเลย บางกรณีก็ดูดีครับ แต่ ต้องมององค์ประกอบอย่างที่กล่าวคือ สภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร บ้าง ด้วยครับบางที่ สภาพองค์กรณ์รับได้กับการคลุมหัวอย่างเดียวแต่ ถ้าถึงขึ้น คลุมหมดผมว่าหลายคนยังอึดอัดใจด้วยสภาพแวดล้อมนะครับ ปล.ตอบตามความคิดเห็นครับ ผิดพลาดประการใดขอโทษด้วยครับ สลามครับ จากคุณ : rockboy - [ 22 มิ.ย. 51 17:16:27 ]

ความคิดเห็นที่ 4 อัลฮัมดุลิ้ลลาค่ะ คุณbawon รับสล่ามคุณ rockboy ค่ะ ฟังจากเขาว่า บางทีเขาไม่ได้บอกหลักฐานแต่ตอบตามความคิดเห็นส่วนตัวนั้น เราจะยึดเอาเป็นหลักไม่ได้ค่ะ  เราต้องยึดหลักฐาน ที่มาที่ไป เหตุอันใด และบางทีผู้ตอบก็ยกมาเฉพาะที่ตัวเองยึดถือ โดยไม่ได้บอกทัศนะอื่นด้วย อาจทำให้ผู้ได้รับฝังคลาดเคลื่อนทางหลักการศาสนาได้ เมื่อเข้าใจคลาดเคลื่อน เราก็ไม่รู้ว่าที่ถูกคืออะไร อาจจะนำไปใช้ด้วยความไม่เข้าใจ จำเป็นต้องอธิบายทั้งหมด ให้ผู้ฝังได้รับรู้ ถึงทัศนะต่างๆ และเลือกที่จะยึดถือได้ อิสลามถึงเน้นย้ำให้ศึกษาศาสนามากๆ ถึงเราไม่มีเวลาเรียน แต่ยังมีหนังสืออ่าน มีรายการวิทยุฟัง มีเว็บให้ความรู้มากมาย เพราะไม่งั้นก็จะเป็นว่า ฮะดีษเขาว่ากันว่ากันเสมอค่ะ ^^ เมื่อมีความรู้ศาสนา เราก็จะสามารถนำมาใ้ช้ในการดำเนินชีวิตได้ โดยไม่หลงไปกับสิ่งใดๆ หรือตัดสินใจเอาเองในเรื่องศาสนาโดยคิดว่า มันได้โดยขาดหลักศาสนาที่แท้จริง กุรอานคือทางนำชีวิตค่ะ >> ส่วนเรื่องใช้คำว่าขั้นเทพนั้น  เป็นคำเฉพาะช่วงเวลานั้นๆที่นิยม ไม่ใช่คำนับถือบูชาแต่ประการใด ทุกอย่างอยู่ที่เนียต(เจตนา)ครับ << การศรัทธาอีหม่าน มิใช่ภายในอย่างเดียวค่ะ ต้องปฏิบัติด้วย และเป็นเรื่องมารยาทและความเหมาะสมค่ะ ไม่เช่นนั้นเราก็จะพูดเล่น กันร่ำไปค่ะ  ^^ ส่วนเรื่องบิดอะฮฺนั้น ขอมะอัฟ (ขอโทษ ขออภัย)หากมองว่าเป็นการกล่าวโทษ แต่หลักฐานศาสนามีพร้อม ในเมื่อถามเรื่องลักษณะนี้ ไม่ใช่เรื่อง ขัดแย้ง ต่อเติมอันใดค่ะ ด้วยความเคารพค่ะ วัสลามมุอะลัยกุม ** แก้ไขคำผิดค่ะ แก้ไขเมื่อ 22 มิ.ย. 51 17:36:31 แก้ไขเมื่อ 22 มิ.ย. 51 17:34:31 จากคุณ : นะ(รก) - [ 22 มิ.ย. 51 17:30:45 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คุณ : นะ(รก) ผมว่า จะไม่เข้ามายุ่งเรื่องนี้แล้ว เพราะเดี๋ยวจะ มี ผุ้รู้เข้ามาร่วมด้วยอย่าง หนาแน่น การปิดหน้า, การคลุมร่างกายจนเหลือ แต่ นัยตา ปริบๆ ของชายและหญิง มุสสลิม นะ เป็นธรรมเนียมและประเพณีอรับ ครับ  มีทั้ง ยิว คริสเตียนและ มุสลิม  อรับที่ทำกัน มาก่อน อิสลาม  ไม่ได้บุญ อะไรหรอกครับ    อัลลลอฮ์ บัญญัติไว้ในอัลกุรอาน THREE RULES FOR WOMEN DRESS CODE IN ISLAM   FIRST RULE :  THE BEST GARMENT [7:26] "O children of Adam, we have provided you with garments to cover your bodies, as well as for luxury. But the best garment is the garment of righteousness. These are some of GOD's signs, that they may take heed." This is the BASIC rule of DRESS CODE in the Quran. This is the first rule in WOMEN DRESS CODE in Islam (Submission). "สิ่งสำคัญที่สุดของมุสลิมทั้งหญิงและชาย ไม่ใช่อยู่ทที่ เครื่องแต่งกาย การคลุมหัว หรือ ปิดหน้าปิดตา ปิด ทั้งหมด  แต่อยู่ที่ การทำตัวและจิตตใจที่ มีศรัทธาต่ออัลลอฮ์อย่างแท้จริง และ มีคุณธรรมจริยาธรรมที่ดีในสังคมมนุษย์" [7:26] SECOND RULE : COVER YOUR BOSOMS The second rule can be found in 24:31. Here God orders the women to cover their bosoms whenever they dress up. But before quoting 24:31 let us review some crucial words that are always mentioned with this topic, namely "Hijab" and "Khimar" ดึงผ้าที่คลุมศรีษะอยู่แล้ว (ธรรมเนียมอรับ ยิว คริสเตียน ก่อนอิสลาม) มาปกปิดทรวงอก ให้มิดชิด...ไม่ได้แปลว่า จงหาผ้ามาคลุมผมหรือปิดทรวงอก หรือดึงผ้าจากทรวงอกมาคลุมศรีษะ,  จุดสำคัญคือ อย่าแต่งตัวโป๊   เปิดอกวอมแวม และ เปิดก้น รัด ปุ่มรัดทรง ให้ ยวนสายตาผู้ คนอื่น ที่ไม่ใช่ สามีและญาติพี่น้องที่ ใกล้ชิด ที่อยู่ในครังเรือนเดียวกัน THIRD RULE  : LENGTHEN YOUR GARMENTS The first regulation of DRESS CODE for Muslim women is in 7:26, the second is in 24:31 and the third is in 33:59 "O prophet, tell your wives, your daughters, and the wives of the believers that they shall LENGTHEN their garments. Thus, they will be recognized and avoid being insulted. God is Forgiver, Most Merciful."  33:59 In 33:59, God sets the other regulation for the dress code for the Muslim women during the prophet's life.    การคลุมหน้าคลุมผม ใส่กระโจม ห่มมุ้ง ออกเดิน นอกบ้าน ไม่ใช่ บัญญํติของพระเจ้า และไม่ได้บุญอะไรหรอก   การแต่งตัวให้สุภาพ ถูกต้องตามประเภณีท้องถิ่น ไม่ต้องหวังได้บุญ หรือ เป็นเทพ อะไรทำนองนั้น   กฏข้อ ที่ 1 พระเจ้าบอกไว้อย่างชัดเจน  ชาวป่า ชาวเขา ผู้ยากจน คนท้องถิ่นที่แก้ผ้า เดิน โตงเตง  ในป่าลึก ถ้ารู้จักพระเจ้า และ ศรัทธาต่อพระองค์ปฏิบัติตัวดีแล้ว พระเจ้ายอมรับ  ถ้าคุณอ่านกุรอานให้เข้าใจคุณจะเห็นว่า ในอายะใกล้ๆ 24:31 นี้ มีข้อห้ามชายให้ลดสายตาจากหญิง  ขั้อนี้ ซิครับที่สำคัญ  ที่ชาย บ้าตัณหา ทำไม่ได้  เลยออกกฏเอาเองให้ผู้หญิง คลุมมุ้งนุ่งกระโจมเดิน ชายชาวอรับสมัยนั้น ตัณหาแรงพระเจ้าจึงจำเป็นต้องออกกฏกระชับไว้  สมันนี้ ในประเทศอรับ ดูบัย แล อื่นๆ มี เครื่องชั้นใน ผู้หญิงขายอย่างเปิดเผยใน ศูนย์การค้าใหญ่ๆ "วิคตอเรียซีเคล็ต"    ผู้ชายมุสลิมที่บ้าตัณหาเหล่านั้น ไม่ใช่แต่เพียง  ทำตัวเป็นพระเจ้าเสียเอง เท่านั้น แถมยังหลอกอีกว่า "ผ้าคลุมหัว" เป็นผ้าจากสวรรค์ที่อัลลอฮ์ประทานมา  เมื่อใช้ คลุมหัว แล้ว จะได้ขึ้นสวรรค์   เอาเท่านี้นะครับ  ถ้าท่านผู้รู้จะมาแก้ตัวผมไม่ตอบโต้ในเรื่องนี้แล้ว เพราะ มุสลิมดีๆ เขียนเรื่องนี้และอธิบายเรื่องนี้ไว้ อย่างดีแล้ว   รัฐบาลอังกฤษ อเมริกา และ ฝรั่งเศส จึงไม่ เชื่อในเรื่อง หิญาบ  มุสลิมที่อยู่ใน ประเทศ ดังกล่าว จึง "หลอกเขาไม่ได้ในเรื่องนี้"  ต้องแยกให้ออกว่า "ประเพณีกับศาสนาต่างกันอย่างไร และใกล้ชิดกันมากเท่าใด ขอให้มุสลิมะทุกๆท่าน เข้าใจว่า ถ้าคุณสวมฮิญาบแล้วใจคอสบายก็ทำไป ไม่มีอะไรเสียหาย ไม่ต้องสระผมบ่อยๆดีเสียอีก .. และถ้าคุณไม่สวมก็ไม่มีบาปกรรมอะไรทั้งนั้น    อ่านกุรอานให้เข้าใจ     เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องครับ จากคุณ : แมทท์ - [ 22 มิ.ย. 51 22:33:24 ]

ความคิดเห็นที่ 6 นึกแล้วว่า คุณลงุแมทท์ต้องมา ถ้าเป็นกระทู้หญิงๆ.... แบบนี้   คุณแมทท์กลับไปอ่านที่ กระทู้เก่าได้เลยค่ะ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/Y2608893/Y2608893.html ถึงผู้อ่านทุกท่านที่ผ่านมาอ่าน คุณลุงแมทท์ท่านนี้ ไม่ได้เชื่อในกุรอาน และซุนนะฮ คือปฏิเสธ ซุนนะฮฺ เท่ากับ ปฏิเสธ ร่อซูล - แต่ทุกอย่างที่อ้างมา ก็จับนั่นมาชนนี่  ข้อมูลที่นำมา คนละอย่างที่มุสลิมทั่วโลกปฏิบัติกัน - ไม่กล่าว ชาฮาดะว่า นบีมูฮำมัดเป็นศาสนทูตคนสุดท้าย - ละหมาดก็ไม่เหมือนแบบที่ทุกท่านละหมาด เพราะละหมาดมาจากฮะดีษ - หลายปีแล้วยังตอบเรื่องละหมาดไม่ได้ กับมุสลิมท่านอื่นๆ ทุกเว็บของมุสลิมในไทย - มีความคิดต่อต้านอิสลามด้วยการเอาความคิด คิดเอง หรือ อ้างจากผู้หลงไหล จากตะวันตก                         ****************************************** รบกวนตอบเรื่องละหมาดค่ะ แก้ไขเมื่อ 22 มิ.ย. 51 23:22:19 จากคุณ : นะ(รก) - [ 22 มิ.ย. 51 23:21:46 ]

ความคิดเห็นที่ 7 แม้นกล่าวว่า  "ขอให้มุสลิมะทุกๆท่าน เข้าใจว่า ถ้าคุณสวมฮิญาบแล้วใจคอสบายก็ทำไป ไม่มีอะไรเสียหาย ไม่ต้องสระผมบ่อยๆดีเสียอีก .. และถ้าคุณไม่สวมก็ไม่มีบาปกรรมอะไรทั้งนั้น    อ่านกุรอานให้เข้าใจ     เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องครับ "    แฮ่ๆ  บิดเบือนอีกแย้ววว จากคุณ : bawon - [ 23 มิ.ย. 51 00:09:38 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คุณ : นะ(รก) ขอบคุณที่ยังเรียกผมอย่างสุภาพนับว่าเป็นมุสลิมะที่ดีมาก และผมก็ไม่ได้ ต้องการจะต่อปากต่อคำอะไรแต่   คุณหนูทราบได้อยางไรจึงกล่าวเช่นนี้.....ที่ว่า "คุณลุงแมทท์ท่านนี้ ไม่ได้เชื่อในกุรอาน และซุนนะฮ คือปฏิเสธ ซุนนะฮฺ เท่ากับ ปฏิเสธ ร่อซูล (ผมเชื่อทั้งสองอย่างแต่ผมใช้สติปัญญาในความเข้าใจที่ถูกต้อง) - แต่ทุกอย่างที่อ้างมา ก็จับนั่นมาชนนี่  ข้อมูลที่นำมา คนละอย่างที่มุสลิมทั่วโลกปฏิบัติกัน (มุสลิมทั่วโลกเขาไม่ได้ใช้อัลกุรอานเล่มเดียวกับผมหรือ?) - ไม่กล่าว ชาฮาดะว่า นบีมูฮำมัดเป็นศาสนทูตคนสุดท้าย (ท่านรอซูลไม่ได้สอนเช่นนั้น ถ้าคุณหนูเชื่อในฮะดีษ ลองอ่านดูตอนที่ ท่านรอซูลสอนลุงท่านก่อนตายว่า ท่านรอซูล และ นบีทุกๆท่านกล่าว ชาฮาดะห์อย่างไร? - ละหมาดก็ไม่เหมือนแบบที่ทุกท่านละหมาด เพราะละหมาดมาจากฮะดีษ" (ไม่มีแบบฉบับการละหมาดจากฮะดีษเขียนบันทึกไว้โดยท่านรอซูลมูฮัมมัด) คุณหนูจะเห็นว่าคุณหนูเข้าใจอิสลามผิดไปนิดหนึ่ง ผมก็มีศรัทธาเช่นมุสลิมทั้งหลายแต่ความเข้าใจความหมายในการเรียนรู้ศาสนามันต่างกัน คุณหนูทราบได้อย่างไรว่า มุสลิมทั่ว โลกเชื่อเฃ่นเดียวกับคุณหนู  ลองมองในสังคมมุสลิมไทยดูซิ ไม่ต้องดูไกลหรอก  ความเชื่อ และ การละหมาด ยังต่างกัน และยัง ถกเถียงกันอยู่  การทำ เมาลิดนะบี การละหมาด เยี่ยมกุโบร์ การทำบุญ คนตาย ฯลฯ "มุสิมะสวมฮิญาบแต่การสวมหิญาบไม่จำเป็นต้องเป็นมุสลิม"  เนื่องจากเป็นประเพณีไม่ใช่หลักศาสนา.. และการสวมฮิญาบ ธรรมดา ก็ดู น่ารักและสวยงามดี   ลองดูแอร์ฮอสเต็สของสายการบินดูบัยซิ"  การสวมฮิญาบอย่างธรรมดาถ้าจะใช้เป็นเครื่องหมายของความเป็นมุสลิม ให้ต่างจากหญิงในสังคมไทยแล้ว  เป็นการเข้าใจผิด  พนักงานเสริฟ อาหารที่ร้าน อาหาร "จันทร์เสี้ยว" ร้านอาหารมุสลิม แต่พนักงานเสริฟ ไม่ใช่ มุสลิมสวม ฮิญาบ กันทุกคน  ดูใกล้ๆ ตัวของคุณหนู...ยังไม่ต้องอ้างมุสลิมทั่วโลก   มุสลิมะในจอร์แดนก็ไม่มีการบังคับให้สวมฮิญาบ  ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะเขาไม่เข้าใจศาสนา หรือ?  โลกเจริญมาก การคมนาคม สดวก มุสลิมไทยเรา เดินทางกันทั่วโลกแทบทุกๆวัน  เขามีประสบการณ์มาก ในเรื่องเหล่านี้  ลองถามเขาดู  เรื่องการปฏิยัติศาสนกิจของมุสลิมทั่วโลกอาจจะไม่เหมือนกัน แต่ความศรัทธา อยู่ที่พระเจ้าเช่นกัน  ตัวผมเองยังไม่กล้ากล่าวว่า   "ชีอะต์" ไม่ใช่มุสลิม  ชีอะต์ก็เป็นมุสลิมเช่นกัน แต่ มุสลิม ซุนนีย์ ไม่ยอมรับ (อ่านเวบมรดก อิสลาม) จะเห็นว่าจิตใจของ นายฟารีด เพนดี้ เต็มไปด้วยการผูก พยาบาทในเรื่อง เมื่อ 1400 กว่าปี มาแล้ว ไม่มีการให้อภัยเลย        มุสลิมไทยเราเป็นสังคมมุสลิมที่ดีที่สุดในโลก  ทั้งนี่เพราะเราได้รับ ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมไทยเรา โดยที่เราไม่รู้ตัว  มุสลิมไทยเราเริ่มจะกลายเป็น สังคม อรับ เมื่อ พวกนักเรียนนอก ที่ไปเรียนวิชาการ จาก ประเทศ มุสลิมต่างๆ ในตะวันออกกลาง และใน อาฟริกา  กลับมา เปิด กำปงสอน กันเป็น กลุ่มๆ  ด่ากันไป ด่ากันมา ว่า คนนี้ผิด คนนี้ถูก  เลย ไม่รู้ว่า อะไรคือหลักการของ อิสลามอย่างแท้ จริง อย่ากล่าวหาว่าผมรุนแรงเช่นนั้นซิ มุสลิมทั่วโลกที่เชื่อย่างผมก็มีมาก ทั้งในเมืองไทย และในอเมริกา (ผมกล่าวเท่าที่ผมทราบ) เท่านั้น  ลองนั่งคิดดูดีๆ ซิ  มองดูเพื่อนๆเราก็ได้  ออกจากบ้าน สวมฮิญาบ พอไปที่ศูนย์การค้า ดันเอาฮิญาบ มาขาดเอวดู เก๋ไปเลย   ผมไม่คัดค้านการสวมฮิญาบ  แต่เพียงบอกว่า "ฮิญาบไม่ใช่ข้อบังคับของอิสลาม" แต่เป็นวัฒนธรรมชาวตะวันออกกลางมานานก่อนอิสลาม แก้ไขเมื่อ 23 มิ.ย. 51 03:05:25 จากคุณ : แมทท์ - [ 23 มิ.ย. 51 02:48:03 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ถามคุณ bawon ศาสนากำหนด ให้ชายปิดเอาเราะห์ ตั้งแต่ สะดือ ถึงหัวเข่า แต่มุสลิมปัจจุบันปิดมากกว่า เป็นบิดอะห์หรือเปล่าครับ ผมว่าถ้าเราเข้าใจว่าศาสนาของเราอัลเลาะห์ประทานมามิให้เกิดความยากลำบากกับมนุษย์เราจะเข้าใจนะ ละหมาดยังมีฟัรดูกับสุนัต ละหมาดฟัรดูแน่นอนเป็นภาคบังคับ แต่ละหมาดสุนัตนั้นแล้วแต่เราจะทำมากน้อยขนาดไหนมิใช่หรือ ขอบเขตเอาเราะห์ของผู้หญิงไม่รวมใบหน้ากับฝ่ามือ ถ้าส่วนนั้นเธอต้องการทำอะไรกับมันถ้าไม่เป็นการทำร้ายตัวเอง หรือเชิญชวนผู้อื่นให้กระทำผิด ก็มิน่ามีปัญหานี่นา ถ้ายิ่งเป็นการส่งเสริมเจตนารมย์ของศาสนาเราก็น่าสนับสนุนนะ ตราบใดที่ยังเข้าใจว่าการกระทำนั้นไม่ใช่สิ่งจำเป็นทางศาสนา(วายิบ) ................................................................................... ส่วนพี่แมทท์ ผมยังไม่อยากเที่ยวทะเล ไปกินเป็ดของนิวตั้น นะพี่^^ แก้ไขเมื่อ 23 มิ.ย. 51 08:15:24 จากคุณ : ghanee.s - [ 23 มิ.ย. 51 08:11:08 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ประเทศเราคือ สยามเมืองยิ้ม  นั้นหมายถึง ประเทศที่มีความโอบอ้อมอารีย์ เป็นมิตร  รอยยิ้มสร้างมิตรภาพมากมาย  คนไม่รู้จักกันพอยิ้มให้กันก็เกิดมิตรภาพที่ดี(ไม่เฉพาะชายกับ ญ เท่านั้น)  ดังนั้นถ้าปิดหน้าไปหมดสีหน้าท่าทาง เป็นอย่างไรใครเลยจะรู้ครับ  เราไม่ได้อยู่ท่ามกลางทะเลทรายเจอแต่ฝุ่นทรายทั้งวัน  แต่เอาละในเมื่อศาสนากำหมดเราต้องปฎิบัติตาม แต่ที่รู้ศาสนาได้กำหมด จะปิดหน้าปิดตาไปทำไมครับ      อย่างที่คุณ ghanee.s กล่าวว่า "ขอบเขตเอาเราะห์ของผู้หญิงไม่รวมใบหน้ากับฝ่ามือ ถ้าส่วนนั้นเธอต้องการทำอะไรกับมันถ้าไม่เป็นการทำร้ายตัวเอง หรือเชิญชวนผู้อื่นให้กระทำผิด ก็มิน่ามีปัญหานี่นา"  แต่ผมมองว่ามันเกิดความยากลำบากให้กับตัวเองครับ เช่น ไปกินข้าวนอกบ้าน กินก้วยเตี๋ยว กินน้ำ  อะไรก็ตามที่ต้องกิน  หรือไปเที่ยวทะเล ลงเล่นน้ำ (สิ่งต่างๆเหล่านี้ที่อัลเลาะห์สร้าง)  มันเกิดความยากลำบากทั้งนั้นแหล่ะครับ      และนบีบอกใว้ว่าผู้ชายมองก้มต่ำ  หรือถ้ามอง ญ ก็ไม่ควรหันไปมองซ้ำ(ด้วยความสนใจ)  ฉนั้นผมจึงมองว่าไม่มีความจำเป็นที่มุสลิมะห์ต้องปิดบังใบหน้าในประเทศเรา แต่ถ้ามีหลักฐานจัดเจนเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกัน  ผมก็พร้อมกับการยอมรับในหลักการครับ จากคุณ : bawon - [ 23 มิ.ย. 51 08:54:02 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอให้ทุกท่านไปอ่านรายละเอียดในเว็บนี้ดูนะครับ http://www.muslimahtoday.com/index.php?option=com_content&task=view&id=44&Itemid=42 จากคุณ : Hafis - [ 23 มิ.ย. 51 09:36:01 ]

ความคิดเห็นที่ 12 วัฒนธรรมและความเป็นอยู่ การจัดระเบียบและทัศนคติของชาวอาหรับ กับชาวเอเชียอาคเนย์อย่างเรามันต่างกัน ตรงไหนเป็นเส้นเขตแบ่งที่ดีที่สุด ก็เอาตรงนั้นแหละครับ และผมคิดว่า มันเป็นการที่ควรมากกว่า ที่เราจะรับเอาความเป็นอาหรับ มาใช้ทั้งหมด เสมือนว่าเหล่านั้นเป็นข้อบังคับทางศาสนาทั้งสิ้น หากจะว่ากันตามจริงนะครับ สังคมอาหรับ เป็นสังคมที่ให้ผู้หญิง อยู่กับบ้าน ผู้ชายต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัว และผู้ชายสามารถ ที่จะแต่งงานได้ไม่เกิน 4 คน หากสามารถเลี้ยงดูได้โดยเท่าเทียมกัน และบัญญัติศาสนาก็ว่าแบบนั้นด้วยเช่นกัน และในสังคมอาหรับ ก็มักจะเป็นแบบนี้ เรียกว่าเป็นค่านิยมมาแต่เดิม มาถึงปัจจุบันนี้ แต่แถบบ้านเรานี้ ค่านิยมเหล่านี้ไม่มากนัก กล่าวคือ ผู้หญิงและผู้ชายสามารถที่จะทำงานช่วยกันจุนเจือครอบครัวด้วยกันได้ และโดยส่วนใหญ่นิยมมีภรรยาเดียวและสามีเดียว สังคมอาหรับ จะไม่มีสังคมที่ผู้หญิงออกนอกบ้านลำพัง และถ้าออก ต้องออกกับผู้ปกครอง และจะเห็นการคลุมหน้า ยกเว้นประเทศรอบอาหรับ เช่น ซีเรีย จอร์แดน เป็นต้น ที่ผู้หญิงสามาถกระทำได้ และเปิดเผยใบหน้าด้วย ซึ่งความจริง มุสลิมเอเชียอาคเนย์ ก็คุ้นวิถีชีวิตแบบมุสลิมแบบจอร์แดน ซีเรีย ซึ่งมันคล้ายคลึงกัน ถึงแม้จะไม่เหมือนเลยซักทีเดียว ดังนั้นย้อนมาดูเรื่องการปิดหน้า ผมจึงคิดว่า การเปิดเผยใบหน้า น่าจะเหมาะกว่าปิดหน้ากับวัฒนธรรมของบ้านเรา แก้ไขเมื่อ 23 มิ.ย. 51 09:48:14 จากคุณ : TheMATABA - [ 23 มิ.ย. 51 09:47:24 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คุณ bawon ครับ เค้าจะปิดแล้วสบายใจก็ให้เค้าปิดไปเถอะ ศาสนาเรานะกว้างขวางไปขีดวงมันมาก จะพากันอึดอัดเปล่าๆ แต่คุณBawon ยังไม่ตอบผมเลย เอาเราะห์ของผู้ชาย อยู่ระหว่างสะดือกับหัวเข่า แต่มุสลิมชายปัจจุบัน ใส่เสื้อมิดชิดกางเกงขายาว หรือกุรงยาวๆ หรือโต้บยาวๆ คลุมมากกว่าศาสนากำหนดสะอีก นี่เป็นบิดอะห์ด้วยหรือเปล่าครับ จากคุณ : ghanee.s - [ 23 มิ.ย. 51 10:16:48 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ฮิญาบ: ระหว่างการเปิดหน้าและปิดหน้า         ฮิญาบ: ระหว่างการเปิดหน้าและปิดหน้า อิบนุ อับดุรรอูฟ  เรียบเรียง   ฮิญาบเป็นขอบเขตการแต่งกายของมุสลิม สำหรับมุสลิมะฮฺนั้น ก็มีบัญญัติเรื่องฮิญาบปรากฏอย่างชัดเจนในอัล-กุรอาน อย่างปฏิเสธมิได้ ด้วยอายะฮฺดังต่อไปนี้ وَقُلْ لِلْمُؤْمِنَاتِ يَغْضُضْنَ مِنْ أَبْصَارِهِنَّ وَيَحْفَظْنَ فُرُوجَهُنَّ وَلَا يُبْدِينَ زِينَتَهُنَّ إِلَّا مَا ظَهَرَ مِنْهَا และจงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)แก่บรรดามุอ์มินะฮฺ(หญิงผู้ศรัทธา)ให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาอวัยวะเพศของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ ... (อัล-กุรอาน 24:31) และอายะฮฺที่ว่า يَا أَيُّهَا النَّبِيُّ قُلْ لِأَزْوَاجِكَ وَبَنَاتِكَ وَنِسَاءِ الْمُؤْمِنِينَ يُدْنِينَ عَلَيْهِنَّ مِنْ جَلَابِيبِهِنَّ ذَلِكَ أَدْنَى أَنْ يُعْرَفْنَ فَلَا يُؤْذَيْنَ وَكَانَ اللَّهُ غَفُورًا โอ้นะบีเอ๋ย ! จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง นั่น  เป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน และอัลลอฮฺทรงเป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ  (อัล-กุรอาน 33:59)             ในการปฏิบัตินั้น นักวิชาการจะมีความเห็นคล้ายคลึงกัน เช่น เห็นพ้องกันโดยเอกฉันท์ว่าเปิดแขนไม่ได้ เปิดผมไม่ได้ เปิดไหล่ไม่ได้ แต่งกายรัดรูปไม่ได้ หรือเสื้อผ้าโปร่งบางไม่ได้  เป็นต้น แต่มีกรณีสำคัญที่ขัดแย้งกันก็คือส่วนของใบหน้า  ต่อไปนี้เป็นการขอดูหลักฐานของทรรศนะทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นเรื่องของการตีความที่เกิดจากตัวบทเดียวกัน ทรรศนะเปิดหน้า ชัยคฺ ดร. ยูซุฟ อัล ก็อรฎอวียฺ  ได้อธิบายอายะฮฺดังกล่าว ดังต่อไปนี้            “...นักตัฟซีร(นักอธิบายอัล-กุรอาน)ต่างก็มีความเห็นแตกต่างกันในเกี่ยวกับถ้อยคำที่ว่า ﴾... إِ لاَّ مَا ظَهَرَ مِنْهَا ... ﴿ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และบรรดาผู้นำทางวิชาการต่าง ๆ ก็เห็นขัดแย้งกันอยู่ในการระบุขอบเขตของเอาเราะฮฺ(สิ่งที่ต้องปกปิด)ของผู้หญิง ดังที่ท่าน    อิหม่ามอัช-เชาเกานียฺได้รายงานเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ นัยลุล เอาฏอรฺ            ส่วนหนึ่งจากพวกเขามีทรรศนะว่า ทั้งหมดของร่างกายเว้นแต่ใบหน้าและฝ่ามือทั้งสอง นี่ยังเป็นทรรศนะของอัล-ฮาดียฺ เป็นทรรศนะหนึ่งของอัล-กอซิม เป็นหนึ่งในสองทรรศนะของท่านอิหม่ามอบู ฮะนีฟะฮฺ และเป็นทรรศนะของอิหม่ามมาลิกด้วย            ส่วนหนึ่งจากพวกเขามีทรรศนะว่า ยกเว้นใบหน้า ฝ่ามือทั้งสอง เท้าทั้งสอง รวมทั้งกำไลเท้า นี้เป็นทรรศนะหนึ่งของอัล-กอซิม เป็นอีกทรรศนะหนึ่งของอิหม่ามอบู ฮะนีฟะฮฺ เป็นทรรศนะของท่านอัษ-เษารียฺ และอบุล อับบาส ยังมีผู้มีทรรศนะอีกว่า ทั้งหมดของร่างกาย เว้นใบหน้า นี่เป็นทรรศนะของอิหม่ามอะหฺมัด อิบนุ ฮันบัล และท่านดาวูด            ไม่มีผู้ใดเคยกล่าวว่า หน้าเป็นเอาเราะฮฺ(สิ่งที่ต้องปกปิด) เว้นแต่ปรากฏอยู่ในรายงานของอิหม่ามอะหฺมัด – ซึ่งเป็นรายงานที่ไม่เป็นรู้จักกัน(ไม่มะอฺรูฟ) – และทรรศนะบางส่วนของผู้ดำเนินตาม   มัซฮับชาฟิอียฺ              ตามที่ปรากฏในตัวบทต่าง ๆ และฮะดีษที่รายงานกันมานั้นแสดงให้เห็นว่าใบหน้าและฝ่ามือทั้งสองไม่ใช่เอาเราะฮฺ นี่เป็นสิ่งที่ได้รายงานกันมาโดยท่านอิบนุ อับบาส ท่านอิบนุ อุมัร และคนอื่น ๆ จากเหล่าเศาะฮาบะฮฺ บรรดาตาบิอีน และผู้นำ(สำนักคิด)ต่าง ๆ            ท่านอิบนุ ฮัซมฺ – ซึ่งอยู่ในแนวของพวกซอฮิรียฺที่ยึดเอาความหมายทางตัวอักษรที่ได้จากตัวบท – ได้สรุปพระดำรัสของอัลลอฮฺ  ในอีกอายะฮฺหนึ่งที่ว่า ... يُدْنِينَ عَلَيْهِنَّ مِنْ جَلاَبِيبِهِنَّ ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง หมายถึงการอนุญาตให้เปิดหน้าได้ อันเนื่องจากว่า การที่พระองค์สั่งให้ดึงเสื้อคลุมมาปิดหน้าอก ไม่ใช่ปิดเหนือใบหน้า....            บรรดามุสลิมมีมติเป็นเอกฉันท์ต่อหลักการชะรีอะฮฺที่ว่า การละหมาดของผู้หญิงในมัสญิดต่าง ๆ นั้น ให้เปิดใบหน้าและฝ่ามือ โดยอยู่แถวหลังผู้ชาย และอนุญาตให้เข้าร่วมรับฟังทางความรู้ได้ และตามที่รับรู้กันในสงครามและสมรภูมิต่าง ๆ นั้น ผู้หญิงเคยร่วมเดินทางไปกับพวกผู้ชายสู่แดนญิฮาดและสนามรบ เพื่อดูแลคนบาดเจ็บให้น้ำพวกเขา และมีรายงานว่าบรรดาภรรยาของเศาะฮาบะฮฺเคยช่วยเหลือพวกผู้ชายในสงครามยัรมูก เช่นเดียวกันได้มีมติเอกฉันท์ในเรื่องของผู้หญิงที่ครอง    อิหฺรอมในพิธีฮัจญ์และอุมเราะฮฺให้เปิดหน้า(อันแสดงว่าหน้าย่อมไม่เป็นเอาเราะฮฺ พอถึงในพิธีฮัจญ์จึงเปิดเผยได้ หากหน้าเป็นเอาเราะฮฺจริงก็ไม่อาจเปิดได้ - ผู้เรียบเรียง) ” (อ้างจากฟะตะวา มุอาศิเราะฮฺ เล่ม 2  ของชัยคฺ ดร. ยูซุฟ อัล-ก็อรฎอวียฺ  ) จากคุณ : ghanee.s - [ 23 มิ.ย. 51 10:59:42 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ทรรศนะปิดหน้า อุละมาอฺกลุ่มนี้ได้แก่ สายมัซฮับฮัมบาลียฺ อุละมาอฺส่วนใหญ่สายมัซฮับชาฟีอียฺ อุละมาอฺรุ่นหลังในสายมัซฮับฮะนะฟียฺและมาลิกียฺ โดยพวกเขาอ้างอิงหลักฐานดังต่อไปนี้            จากการที่สลัฟ(คนยุคแรก)บางท่านเช่น อิบนุ มัสอูด, อัล-ฮะซัน, อิบนุ ซีรีน ได้อธิบายอายะฮฺที่ว่า ﴾... إِ لاَّ مَا ظَهَرَ مِنْهَا ... ﴿ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้  คือ เสื้อผ้าและอวัยวะที่พ้นชายผ้า สิ่งที่บางทีก็ต้องเปิดเผยเช่นแหวน ส่วนใบหน้ากับฝ่ามือนั้นไม่ได้อยู่ในข้อยกเว้นที่ให้เปิดได้  ดังนั้น จึงไม่อนุญาตให้ผู้ที่มิใช่สามีหรือมะหฺร็อม มองเว้นแต่กรณีจำเป็นอย่างยิ่งยวด เช่น การรักษาโรค  การเป็นพยาน เป็นต้น            อิบนุ กะษีร ได้อธิบายอายะฮฺนี้ว่า คือ มิให้พวกนางเปิดเผยเครื่องประดับแก่คนอื่น(ที่แต่งงานกันได้) เว้นแต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะปิด  ซึ่งอิบนิ มัสอูด กล่าวว่า สิ่งนั้นคือเสื้อผ้านั่นเอง            จากการที่เศาะฮาบะฮฺและตาบิอีนบางท่านได้อธิบายอายะฮฺที่ว่า ﴾ يُدْنِينَ عَلَيْهِنَّ مِنْ جَلاَبِيبِهِنَّ...... ﴿ ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง ในประเด็นการดึงญิลบาบลงมานั้น พวกเขาให้ความเห็นว่า คือ การปิดหน้านั่นเอง ผู้รู้ในกลุ่มนี้ ได้แก่ อิบนุ มัสอูด, อิบนุ อับบาส, อุบัยดะฮฺ, เกาะตาดะฮฺ, อัล-ฮะซัน อัล-บะศอรียฺ, สะอีด บิน ญุบัยรฺ, อิบรอฮีม อัน-นะคออียฺ              หลักฐานจากฮะดีษที่รายงานจากอิบนุ อุมัร ว่า ท่านเราะซูล กล่าวว่า ผู้หญิงที่ครองอิหฺรอมไม่ต้องปิดหน้าและไม่ต้องสวมถุงมือ จากฮะดีษนี้ท่านอิบนุ ตัยมียะฮฺ กล่าวว่า นี้เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ผ้าคลุมหน้าและถุงมือเป็นที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหมู่ผู้หญิงที่ไม่ครองอิหฺรอม ซึ่งพวกนางได้ปิดหน้าและสวมถุงมือ            เมาลานา อบุล อะอฺลา เมาดูดียฺ กล่าวว่า  “นี่เป็นหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดที่แสดงว่า ผู้หญิงในสมัยท่านนบีคุ้นเคยกับการปิดหน้าและสวมถุงมือ และพวกนางถูกห้ามจากการปิดหน้าและสวมถุงมือก็ต่อเมื่อครองอิหฺรอมเท่านั้น”             อนึ่ง เอาเราะฮฺต่อมะหฺร็อม เช่น ต่อพ่อ พี่ชาย น้องชาย เป็นต้น(ยกเว้นสามี) ในทรรศนะของฝ่ายปิดหน้านั้นให้เปิดเผยได้เฉพาะใบหน้าและฝ่ามือ(ดู  การคลุมหน้ากับสถานภาพสตรีในอิสลาม โดยซัยยิด อบุล อะอฺลา เมาดูดียฺ  น. 354 -356  )   ส่วนทรรศนะของฝ่ายเปิดหน้าสามารถเปิดเผยผม หู คอ อกส่วนบน แขน และขาต่อหน้ามะหฺร็อมได้ แต่ถ้ามากกว่านั้น เช่น ขาอ่อน ท้อง แผ่นหลัง อวัยวะเพศ นั้นเปิดเผยได้เฉพาะสามีเท่านั้น (ดู หะลาลและหะรอมในอิสลาม  โดย ยูซุฟ อัล-ก็อรฎอวียฺ น. 242) ข้อสังเกตปิดท้าย ความแตกต่างระหว่างสองทรรศนะนี้เกิดมาจาการวินิจฉัยตัวบทเดียวกัน ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ต้องให้เกียรติระหว่างกัน ความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องยืดหยุ่น หากเราพยายามทำความเข้าใจดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำความเข้าใจแนวฟัตวาของอุละมาอ์ที่เปิดกว้างและใช้เจตนารมณ์ของตัวบทเข้าวินิจฉัยด้วย          ท่านเมาลานา อบุล อะอฺลา อัล-เมาดูดียฺ เป็นอุละมาอ์คนสำคัญร่วมสมัยที่สนับสนุนทรรศนะปิดหน้าอย่างแข็งขัน แต่ท่านก็ยอมรับว่าอิสลามยอมให้เปิดหน้าได้ด้วยการตัดสินใจที่เหมาะสมของผู้หญิงเอง ท่านได้กล่าวไว้เกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า               “... กฏหมายอิสลามนั้น ไม่ใช่กฎหมายที่มองอะไรเพียงด้านเดียว หรือไม่มีเหตุมีผล ในแง่หนึ่งนั้น อิสลามก็มุ่งปกป้องคุ้มกันจริยธรรมของมนุษย์ให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง และในอีกแง่หนึ่งก็คำนึงถึงความจำเป็นต่าง ๆ ของมนุษย์ด้วย ดังนั้น จึงก่อให้เกิดความสมดุลทั้งสองด้านของชีวิต .ดังนั้น นางก็อาจเปิดใบหน้าได้ถ้าต้องการเมื่อมีความจำเป็น ขอเพียงว่านางอย่าได้ประสงค์จะอวดความงาม ...                 บทบัญญัติที่มีเหตุผลนั้นยืดหยุ่นได้ มีทั้งความเข้มงวดเคร่งครัดและโอนอ่อนผ่อนตามสถานการณ์ มีข้อยกเว้นในตัวบทตามกาลเทศะ บทบัญญัติเช่นนี้ ไม่ใช้ให้หลับหูหลับตาตาม แต่ต้องมีการพินิจพิเคราะห์ด้วย...” (ดู  การคลุมหน้ากับสถานภาพสตรีในอิสลาม โดย อบุล อะอฺลา เมาดูดียฺ น. 405-407 ) ชัยคฺ ดร.ยูซุฟ อัล-ก็อรฎอวียฺ ซึ่งเป็นอุละมาอ์ร่วมสมัยท่านสำคัญที่ให้น้ำหนักกับทรรศนะเปิดหน้าเป็นอย่างมาก แต่กระนั้นท่านก็ได้กล่าวปกป้องทรรศนะปิดหน้าเอาไว้ว่าเป็นทรรศนะที่อยู่ในกรอบของหลักการอิสลามและได้รับการวินิจฉัยจากอุละมาอ์ร่วมสมัยจำนวนมาก ดังนั้น จึงไม่ใช่ทรรศนะที่เป็นอุตริกรรมแต่ประการใด (อ้างจาก ฟะตะวา มุอาศิเราะฮฺ เล่ม 2  ของชัยคฺ ดร. ยูซุฟ อัล-ก็อรฎอวียฺ  )   ท่านได้กล่าวไว้ว่า “ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความเสื่อมศีลธรรมที่กำลังระบาดและการหย่อนยานในเรื่องการปฏิบัติตามคำสั่งของอิสลามในยุคปัจจุบัน สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้หญิงมุสลิมก็คือ การปกปิดซ่อนเร้นการประดับประดาทั้งหมดของเธอ รวมทั้งใบหน้าด้วยหากว่าเป็นไปได้ โดยเฉพาะผู้หญิงที่สวย ๆ แล้วยิ่งต้องระวังให้มาก.... ” (ดู หะลาลและหะรอมในอิสลาม  โดย ยูซุฟ อัล-ก็อรฎอวียฺ พิมพ์โดย นารามีเดีย. น. 238) ชัยคฺ ยูซุฟ อัล-ก็อรฎอวียฺ ยังได้เรียกร้องให้มองข้ามปัญหาข้อแตกต่างทางนิติศาสตร์เช่นนี้ เพราะมันไม่ได้เป็นปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริง ท่านได้กล่าวว่า "...ข้าพเจ้าไม่ได้ให้ความสำคัญในประเด็นการคลุมหน้า โดยอุละมาอ์ส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่าสตรีให้ปกปิดเรือนร่าง ยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือ  ฉะนั้น คนที่นำเอาเรื่องปิดหน้ามาเป็นฟัรฎู(ข้อกำหนดทางศาสนา) เขาไม่เข้าใจในเรื่องลำดับความสำคัญ...ปัญหาทุกวันนี้ก็คือการที่สตรีเปิดให้เห็นลูกกระเดือก อก และแขนทั้งสองต่างหาก นี่เป็นปัญหาที่ใหญ่และเป็นกันมาก...."  (อ้างคำพูดมาจาก โลกสีเทา(รวมบทความ) โดย อัล-อัค)            ดังนั้น ประเด็นเช่นนี้จึงควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบจากผู้ปฏิบัติ และต้องคำนึงว่าประเด็นนี้เป็นข้อแตกต่างที่อุละมาอ์ชั้นนำยังยืดหยุ่น หากพิจารณาอย่างเป็นธรรมแล้ว ดูเหมือนว่าข้อแตกต่างนี้ทำให้เกิดความสะดวกแก่มุสลิมะฮฺนั่นเอง วัลลอฮุ อะอฺลัม - อัลลอฮฺรู้ดีที่สุด .............................................................................................. จาก ลิ้งของคุณ hafis น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดนะครับ จากคุณ : ghanee.s - [ 23 มิ.ย. 51 11:00:58 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คุณ ghanee.s ถามผมว่า  เอาเราะห์ของผู้ชาย อยู่ระหว่างสะดือกับหัวเข่า แต่มุสลิมชายปัจจุบัน ใส่เสื้อมิดชิดกางเกงขายาว หรือกุรงยาวๆ หรือโต้บยาวๆ คลุมมากกว่าศาสนากำหนดสะอีก นี่เป็นบิดอะห์ด้วยหรือเปล่าครับ  ผมตอบไม่บิดอะห์  แต่ประเด็นก็คือ การปิดหน้าปิดตามันเกิดความยากลำบากในการจดจำ การดำเนินชีวิต(บางคนอาจแย้งว่า ฉันไม่เห็นจะลำบากอะไรเลย)  แต่ถ้าคุณ ghanee.s ใส่เสื้อผ้าแค่ สะดือถึงหัวเข่าออกไปข้างนอก ไปเรียนหนังสือ เดินจ่ายตลาด กินข้าวนอกบ้าน ทำงาน สิ่งต่างๆเหล่านี้ เกิดความยากลำบากแก่คุณหรือป่าวละ  คงเข้าใจประเด็นที่พูดถึงน่ะครับ จากคุณ : bawon - [ 24 มิ.ย. 51 14:14:31 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ตามที่คุณบอกละครับ บางคนลำบาก บางคนก็ไม่ลำบาก แต่ศาสนาได้กำหนดขอบเขตอย่างน้อยไว้แล้ว ส่วนนอกนั้นก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลมิใช่หรือ จากคุณ : ghanee.s - [ 24 มิ.ย. 51 14:27:34 ]

ความคิดเห็นที่ 18 สมัยนบี เคยมีคนปิดหน้ามั๊ย? ถ้ามี ก็ไม่น่าเป็นบิดอะห์ แล้วลำบากมั๊ย ก็แล้วแต่คน ไปตัดสินแทนกัน ได้อย่างไรว่า ใครต้องลำบาก ใครไม่ลำบาก เพราะงั้นเรื่องลำบาก คงไม่เกี่ยวกับประเทศหรือภูมิภาค จากคุณ : Carroth - [ 24 มิ.ย. 51 16:01:10 ]

ความคิดเห็นที่ 19 #5 “ถ้าคุณอ่านกุรอานให้เข้าใจคุณจะเห็นว่า ในอายะใกล้ๆ 24:31 นี้ มีข้อห้ามชายให้ลดสายตาจากหญิง   ขั้อนี้ ซิครับที่สำคัญ  ที่ชาย บ้าตัณหา ทำไม่ได้” #8 “การสวมฮิญาบ ธรรมดา ก็ดู น่ารักและสวยงามดี   ลองดูแอร์ฮอสเต็สของสายการบินดูบัยซิ” คุณแมทท์สรุปไปเองนะ ว่าชายที่ลดสายตาไม่ได้คือคนบ้าตัณหา เราคิดว่าคงไม่มีมุสลิมะฮฺคนไหนที่สรุปว่าผู้ชายที่ลดสายตาไม่ได้คือผู้ชายบ้าตัณหา  แต่เรารู้ว่านั้นคือธรรมชาติของมนุษย์     เราไม่อาจรู้ได้ว่าในจิตใจของผู้ชายที่จ้องมองผู้หญิงคิดอย่างไร   โรคจิตหรือไม่   ดังนั้นทางที่ดี  มุสลิมะฮฺจึงต้องปกป้องตัวเองให้ปลอดภัยจากสายตาชายแปลกหน้าให้มากที่สุดตามบทบัญญัติของอัลลฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา     โอ้นบีเอ๋ย ! จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง นั่น เป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน และอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ [อัลกุรอาน บทที่ 33 (อัลอะหฺซาบ) โองการที่ 59] คำพูดของคุณแมทท์ข้างบนถือว่าเพียงพอที่จะบอกว่า การใส่ผ้าคลุมผ้าแบบแฟชั่นอย่างแอร์สาวดูไบ ไม่ได้ทำให้พวกเธอปลอดภัยจากการถูกรบกวนเลย คนทั่วๆไปที่ไม่ได้ใช้มาตรฐานอิสลาม  อาจจะแย้งว่า  แค่ชมว่า สวย  น่ารัก  ...มันเป็นการถูกรบกวนยังไง ก็อย่างที่บอกไว้... คนที่มองอาจจะเป็นโรคจิตก็ได้   ผู้หญิงโดยทั่วไป ไม่ว่าจะถูกเพศเดียวกัน หรือต่างเพศชมว่า สวย...น่ารัก  อาจจะปลื้ม   แต่ถ้าเค้าเป็นคนโรคจิต   เป็นพวกถ่ำมองล่ะ จะยังปลื้มอยู่หรือไม่ ขอให้สตรีทุกท่านทบทวนเรื่องการแต่งกายของตัวเองดู ว่ามันปกป้องตัวท่านเองดีพอหรือยัง ด้วยความปรารถนาดีค่ะ แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 51 12:09:32 จากคุณ : hayeerun - [ 25 มิ.ย. 51 11:50:44 ]

ความคิดเห็นที่ 20 คุณ hayeerun: โอ้นบีเอ๋ย ! จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง นั่น เป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน และอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ [อัลกุรอาน บทที่ 33 (อัลอะหฺซาบ) โองการที่ 59] คุณไม่เห็นหรือว่า การแต่งตัวของหญิงในบ้านและออกนอกบ้านนั้นต่างกัน จากแต่ละประโยคในอายะนี้ แสดงให้เห็นว่า หญิงอรับเวลาอยู่ในบ้านในที่ส่วนตัว  ปกปิดร่างกายอย่างสบาย แต่พอออกนอกบ้านก็ต้องแต่งให้เรียบร้อย ให้ดึงเสื้อคลุม ที่เปะปะเวลาสวมใส่ในบ้าน ลงปิดให้เรียบร้อย แต่ไม่มีประโยคใดที่บอกให้ "สวมตะละกง" เดินตามถนน หรือเวลาออกจากบ้าน   ชายไทยอยู่ในบ้านนุ่งผ้าขาวม้า หรือนั่งตามร้านกาแฟ ไม่ว่ามุสลิมหรือความเชื่อใดก็ตามในชนบท  แต่คุณไม่เห็นมากใน ศูนย์การค้า ในกทม  หญิงไทยก็เช่นกัน ใส่เสือคอกระเช้า หรือ กระโจมอกอยู่ในบ้าน ก็มีมาก เพราะไม่มีแอร์คอนดิชั่น, ยิ่งในอรับ เวลาอยู่ในบ้าน ร้อนๆ คงจะหละหลวมมากกว่า หญิงไทยเรา        ในเมื่องไทยเราเราจะเห็นว่า "ชายผู้มีจิตใจปกติการศึกษาดี" เมื่อหลง รักในความงามของหญิงไม่ว่า จะอยู่ในครื่องแต่งกายเช่น ไร มักจะ แอบดูเธอ, เดินตามดู, หรือ ดักคอยเธอโดยที่หญิงไม่รู้ตัว   ทำอย่างนี้มีอยู่มากมาย บางครั้งหญิงก็รู้ แต่ไม่มีการแสดงตอบ แต่ถ้าวันไหน หันไปไม่เห็นใครตาม ก็มองหา หากมีใจชอบ  เช่นนี้ไม่เรียกว่าเป็นโรคจิต,    แต่ถ้าฃายในอเมริกาทำเช่นนี้ ตำรวจจับเข้าคุกเลย       การสวมฮิญาบไม่ได้ขึ้นสวรรค์หรือถ้าไม่สวมจะตกนรกหรอกครับ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วจะต้องมีการบัญญัติและกำหนด โทษไว้ในอัลกุรอาน [7:26] "O children of Adam, we have provided you with garments to cover your bodies, as well as for luxury. But the best garment is the garment of righteousness. These are some of GOD's signs, that they may take heed."   คุณจะเห็นว่า เครื่องแต่งกายมีไว้สำหรับ ปกคลุมร่างกาย และเพื่อความสวยงาม แต่ถ้าคุณไม่มีอะไรจะปกคลุมร่างกาย แต่มีจิตศรัทธาที่แท้จริง และประกอบชีวิตในทางที่ดี เป็นที่เพียงพอต่อพระประสงค์ของพระเจ้าแล้ว  เราไปทำให้ยุ่งยากกันเอง พวกพ่อค้าก็นำเอาเครื่องแต่ง กายอรับ บ้าง อินเดียบ้าง และ ปากีสตาน มาขายกันในเมืองไทย โดยเฉพาะบรรดา ท่านครูที่ทำธุระกิจในเรื่องนี้ ก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่า สวมหิญาบจะได้บุญเท่าโน้นเท่านี้  ซึ่งไม่มีที่ใดสอนไว้ในศาสนาอิสลามเลย   ถ้าเครื่องแต่งกายสำคัญต่อพระเจ้าแล้ว เวลาเราอยู่ในห้องน้ำหรือ ไม่นุ่งผ้าอาบน้ำ เราคงอ่านดุอาห์หรือนึกถึงพระเจ้าไม่ได้  การแต่งกายให้เรียบร้อยเป็นการป้องกันอันตรายต่อตัวหญิงเอง ด้วยความเมตตาของพระเจ้า แต่ไม่ใช่เป็นการบังคับในการมองเห็นของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเห็นและรอบรู้ทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง จากคุณ : แมทท์ - [ 26 มิ.ย. 51 21:29:35 ]

ความคิดเห็นที่ 21 มุสลิมะห์หลายท่านนั้นต่อสู้กับกระแสสังคม เพื่อสิทธิของเธอในการปฏิบัติตามหลักการของอิสลามในเรื่องอาภรณ์อันประเสริฐแห่งศรัทธา หรือ ฮิญาบ ในสถานศึกษา และ สถานที่ราชการ เป็นเครื่องยืนยันว่าทุกศาสนามีสิทธิเท่าเทียมกันในประเทศไทย แต่แมทท์ที่อ้างตัวเองว่าเป็นมุสลิม กลับให้มุสลิมะห์ละทิ้งฮิญาบ ถ้าการสวมฮิญาบเป็นความยุ่งยากแก่ภรรยาของแมทท์แล้ว ก้ออย่าเอาบรรทัดฐานนั้นมาตัดสินว่า การสวมฮิญาบนั้นยุ่งยากกับมุสลิมะห์คนอื่นเถิดครับ ประเด็นที่แมทท์เอามาเป็นประเด็นในกระทู้นี้ หรือลอกยิวมา โดนหักล้างไปหมดแล้ว ในลิ้งค์ คห.๖ ครับ พี่น้องมุสลิมถ้าเข้ามาอ่านกระทู้นี้ขอความกรุณา เปิดอ่านลิ้งค์จาก คห.๖ ประกอบด้วยครับแล้วจะเข้าใจอะไรในตัวแมทท์มากขึ้น ปล.ส่วนเรื่องหะดิษตุ๊กตายางที่แมทท์เอามาเผยแพร่เมื่อ ๓-๔เดือนที่แล้ว  ถ้าใครตามประเด็นนี้อยู่ตามอ่านกันได้ครับ ที่เว็บมรดก จากคุณ : Palmyra - [ 27 มิ.ย. 51 01:20:41 ]

ความคิดเห็นที่ 22 มีแต่ทฤษฎี แต่ตัวอย่างที่เขาบันทึกและครูสอนกันมาพร้อมกับช่วยกำกับดูแลนั้นไม่เอาคิดว่าตัวเองแน่ เวลาเอาไปใช้ก็ออกทะเลละพี่น้อง เอาแต่กุรอ่าน(ทฤษฎี) แต่ฮาดิษก็ไม่เอา(ตัวอย่างการใช้งาน) การตัดสินของนักวิชาการก็ไม่เอา (คุณครูสอน และช่วยกำกับดูแล) คิดว่าตัวเองแน่ เวลาเอากุรอ่านไปใช้ก็ออกทะเลละครับพี่น้อง 555 จากคุณ : ghanee.s - [ 28 มิ.ย. 51 11:09:39 ]

ความคิดเห็นที่ 23 น่าแปลกใจมั๊ยครับ ที่เวลา ถามเรื่อละหมาด ก็บอกว่าทำเหมือนคน อื่น เพราะทำตามที่บรรพบุรุษละหมาดมาก่อน เลยได้ 5 เวลา ทั้งที่กุรอ่านไม่ได้บอกว่า กี่เวลา มาตอนนี้ บอกไม่คลุมผมได้ จะเอาให้มันต่างกับมุสลิมให้ได้ โดยอ้างแต่กุรอ่าน สงสัย บรรพบุรุษ ไม่เคยคลุมผม เลย ไม่คลุมผมตามบรรพบุรุษ เหมือนละหมาด มั๊ง มุนาฟิกแท้ๆ จากคุณ : Carroth - [ 28 มิ.ย. 51 12:31:32 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ภรรยาของผม ชอบฮิญาบครับ เพราะแกเป็นคนขี้ริ้ว  พอไปเห็น     สาวดูไบ เข้า อยากจะแต่งตัว อย่างอรับบ้าง ผมพยามอธิบายให้เข้าใจเรื่อง ฮิญาบ อย่างไรก้ไม่ยอมเชื่อฟัง  ผมจึงแนะนำให้แก เลือก เอาว่า  อันไหนจะเพิ่ม ความงามให้ คุณยายสักหน่อย  จะเป้น  Hijab, khimar, chador, niqab, หรือ burqa ?  อย่างใดถึงจะเหมาะสม ที่จะเป็นลูกสาวมุสลิมที่แท้จริง  คุณยายแมทท์  แกเลือก นิกาบ  เพราะ ปกปิดร่างกาย ความอ้วน เตี้ย ของแกเป็นอย่างดี  เวลาไปชอ๊ปปิ้ง  ผมบอกเพื่อนว่า "เพื่อนชาวอรับมาเยี่ยมเลยพาแกมาเที่ยว"  เห็นแต่ลูกตาปริบๆ  เวลาออกจากบ้านไม่ต้องแต่งหน้ามากด้วย แต่งแต่นัยตาเท่านั้น  แต่ผมไม่ได้ สนใจมากหรอกครับเพราะ อายุปูนนี้แล้ว 72 ปี กับ 6 เดือน?^^  แต่ผม  อยากจะแสดงความคิดเห้นให้คุณๆเข้าใจ ว่า ศาสนาอิสลามนะ ง่ายต่อการศรัทธาและการปฏิบัติ  แต่มุสลิมเราทำให้มันยากไปเอง แทนที่จะอ่านอัลกุรอาน ให้เข้าใจ เรื่องเปรียบเทียบและหลักการต่าง แต่กลับ ไป เอานิทาน ยายกะตา มาศึกษากัน  จึงชวนพวกเดินสวนกับสังคม ถอยหลังเข้าคลอง  ทำไมลุงของท่านรอซูลที่เลี้ยงท่านมาแต่อ้อนแต่ออด  ไม่ยอมรับ กาลิมะฮ์ ชะหะดะที่ท่านรอ ซูล พยายามที่จะสอนท่านก่อนสิ้นชีวิต   และลุงของท่านรอซูลนับถือศาสนาอะไร? และท่านรอซูลสอนชะหะดะห์ต่อลุงท่านว่าอย่างไร?  ข้อนี้ซิครับน่าจะนำมาคิดกัน    ผมอายุมากแล้วไม่ต้องห่วงหรอกครับในการ เข้าใจศาสนาอิสลาม  แต่ผมมีความยึดมั่นศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียวอย่างแท้จริง  และไม่เคยคิดหวังจะได้รับรางวัลจากพระองค์เลย  ทั้งนี้เพราะว่า ถ้าเรารักใครและนับถือใครด้วยใจจริงแล้วอย่าหวังประโยชน์จากเขา พระเจ้าก็เช่นกัน  อย่าแกล้งทำเป็นรักและคร่ำครวญต่อ พระองค์และรอซูล ของท่าน เลย  พระเจ้าท่านเข้าใจทั้งนั้น ว่า ใคร :-)และหลอกตัวต่อสังคมอย่างไร? ^^  เรื่องเวบมรดกนั้นลืมได้เลย ไม่ยอมรับแม้แต่มุสลิมด้วยกัน (ชีอะต์)  เขียนด่าทออยู่ทุกๆวัน ไม่รู้จักการให้อภัย  ตัวอาจารย์เองก็ปากจัด เขาเล่าว่า มีอยู่ครั้งหนึ่ง ไปเทศให้แม่ยกฟัง  ถูกไล่ตีตกเวที   มุสลิมที่เดินสวนทางกับ สังคมและเกลียดยิว ไม่ควรใช้ คอมหรือ ใช้เวบ อันเป็นผลงานความคิดของชาวยิว    ผมกับเพื่อนชาวยิวสนิทกันมาก  เพราะ เราเข้าใจว่า  ยิวกับมุสลิมนับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน จากคุณ : แมทท์ - [ 29 มิ.ย. 51 08:54:59 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เป็นยังไงบ้างครับ เหมือนอย่างที่ผมบอกไว้ใช่หรือไม่ อ้างว่าฮะดีษ หรือแบบอย่างนบีเป็นเพียงนิยาย แต่พอพูดถึงนมาซ กลับอ้างว่าทำตามประเพณี ทำเหมือนที่บรรพบุรุษเคยทำ เหมือนพวกป่าเถื่อนสมัยก่อนอิสลาม ไม่เคยอ้างกุรอ่านได้เลยว่าละหมาดมี 5 เวลา อิสลามง่ายต่อการปฏิบัติครับ แต่อิสลามไม่ได้สอนให้เป็นคนมักง่าย คิดจะทำอะไรก็ทำ อิสลามสอนเรื่องการปกปิดร่างกายครับ ไม่ใช่คิดจะเปิดหัวให้ชาวบ้านเขาเห็นก็เดินโชว์ไปทั่ว นั่นมันเป็นพวกมักง่ายครับ ไม่ใช่ง่ายต่อการปฏิบัติ ถ้าคิด มักง่ายแบบนั้น คราวหลัง ก็ละหมาด วันละ เวลา ไปสิครับ ก็กุรอ่านไม่ได้บอกว่า ละหมาด มี กี่เวลานี่ ก็ละหมาดมันวันนึงครั้งเดียวไปเลยสิครับ จะมาอ้างว่าทำตามประเพณีทำไม? คุณอ้างเพียงเพราะคุณไม่สามรถหาที่มาของละหมาด 5 เวลาได้ โดยไม่อาศัยฮะดีษนั่นเอง แต่พอมาถึงเรื่องฮิญาบ กลับไม่อ้างประเพณี หรือที่บรรพบุรุษทำมา อ้างว่า เป็นนิยาย ทั้งที่ การอ้างว่าละหมาดมี 5 เวลา โดยอาศัยการกระทำของบรรพบุรุษของตัวเองมายืนยันนั้นต่างหาก ที่น่าอดสู ขาดความน่าเชื่อถือ และเป็นคำอ้างที่ไร้ยางอายมากที่สุด ยังอุตส่าห์หน้าทนอ้างได้อีก คำอ้าง คำอวดตัว แบบไร้ยางอาย ประเภท รักพระเจ้าด้วยใจจริง ศรัทธาพระเจ้าองค์เดียวอย่างแท้จริง ใครก็อ้างได้ครับ มุนาฟิกสมัยนบี ยังละหมาดได้เลย คำพูดพล่อยๆ ที่ออกมาจากคน กลับกลอกตลบตะแลง ย่อมอ้างได้สารพัด แต่การกระทำล่ะครับ เราจะพบว่า การไล่ถามเรื่องละหมาดมาตั้งแต่ต้นจนจบ คุณแมทท์ไม่เคยตอบได้ หามาไม่ได้ เลยว่า ละหมาด 5 เวลา หรือ จำนวน รอกาอัตในละหมาด มีเท่าไหร่ จากกุรอ่าน จนต้องอ้างประเพณี หรือบรรพบุรุษทำตามกันมาแทน แต่พอจะเถียงเรื่อง ฮิญาบ กลับไม่อ้างบรรพบุรุษเหมือนทำละหมาด อย่างที่เคยทำ คนเรามีทั้งดีไม่ดี นักวิชาการ อาจจะมีทั้งขอดี และข้อบกพร่อง นั่นไม่ได้หมายความว่า ข้อมูล และ หลักการของพวกเขาต้องผิดพลาด แต่คนที่หลักการไม่มี มีแต่คำอ้างและ ตลบแตลงเอาตัวรอดไปวันๆ เช่นคุณ ก็ได้เอา เรื่องเขาเล่าว่าที่เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ได้เกี่ยวกับวิชาการ มาโจมตี บุคคลเสียด้วย หลักการแย่ การกระทำยังจะแย่อีก ผมไม่แปลกใจที่มุสลิมจะสนิทกับยิวได้ เพราะไม่มีข้อห้ามนะครับ และผมจะไม่แปลกใจถ้าคนตลบแตลงแบบคุณสนิทกับยิวด้วย เพราะคนตลบแตลง มุนาฟิก ก็พยายามที่ซี้กับเขาไปทั่วนั่นแหละครับ จากคุณ : Carroth - [ 29 มิ.ย. 51 11:05:51 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ฮิญาบ กับ กอฎออฺและกอดัร http://www.baanmuslimah.com/searchpre.php?idarticle=06q24&idroom=06 จากคุณ : hayeerun - [ 29 มิ.ย. 51 12:20:52 ]

ความคิดเห็นที่ 27 จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า พวกเขาหากพวกท่านรักอัลลอฮ์ ก็จงปฏิบัติตามฉัน อัลลอฮ์ก็จะทรงรักพวกท่าน และจะทรงอภัยให้แก่พวกท่านซึ่งโทษทั้งหลายของพวกท่าน และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ Al-quran [3:31] หากพวกท่านรักอัลลอฮ์ ก็จงปฏิบัติตามฉัน หากพวกท่านรักอัลลอฮ์ ก็จงปฏิบัติตามฉัน หากพวกท่านรักอัลลอฮ์ ก็จงปฏิบัติตามฉัน แล้วไม่เอาหะดีษ??? แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 51 03:14:09 จากคุณ : Hafis - [ 30 มิ.ย. 51 03:13:46 ]

ความคิดเห็นที่ 28 แท้จริงแล้วมุนาฟิกนั้นหรือ แท้จริงบรรดามุนาฟิกนั้นกำลัง หลอกลวงอัลลอฮ์อยู่ ขณะเดียวกันอัลลอฮ์ก็ทรงหลอกลวงพวกเขา และเมื่อพวกเขาลุกขึ้นไปละหมาด พวกเขาก็ลุกขึ้นในสภาพเกียจคร้านโดยให้ผู้คนเห็นเท่านั้น และพวกเขาจะไม่กล่าวรำลึกถึงอัลลอฮ์ นอกจากเล็กน้อยเท่านั้น   [4:142] บรรดามุนาฟิก ชาย และบรรดามุนาฟิกหญิง นั้นบางส่วนของพวกเขา ต่างมาจากอีกบางส่วน ซึ่งพวกเขาจะใช้ให้ปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ชอบและห้ามปรามในสิ่งที่ชอบ และกำมือ ของพวกเขาไว้ โดยที่พวกเขาลืมอัลลอฮ์ แล้วพระองค์ก็ทรงลืมพวกเขา บ้าง แท้จริงบรรดามุนาฟิกนั้นพวกเขาคือ ผู้ละเมิด  [9:67] จากคุณ : Hafis - [ 30 มิ.ย. 51 03:26:27 ]

ความคิดเห็นที่ 29 และอย่าเชื่อฟังพวกปฏิเสธศรัทธาและพวกมุนาฟิกีน และอย่าสนใจการระรานของพวกเขา และจงมอบความไว้วางใจแด่อัลลอฮ์ และพอเพียงแล้วที่อัลลอฮ์ทรงเป็นผู้รับการมอบหมาย   [33:48] เจ้ามิเห็นดอกหรือบรรดาผู้ที่เป็นมิตรกับชนกลุ่มหนึ่งซึ่งอัลลอฮ์ทรงกริ้วพวกเขา? พวกเขา (มุนาฟิกีน) มิได้เป็นพวกของพวกเจ้า และมิได้เป็นพวกของพวกเขา (ยะฮูด) และพวกเขาสาบานในเรื่องโกหกทั้งนั้น ทั้ง ๆ ที่พวกเรารู้ดีอยู่แล้ว  [58:14] จากคุณ : Hafis - [ 30 มิ.ย. 51 03:31:05 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เชื่อได้หรือ คนที่ตีความกุรอาน จากความเห็นส่วนตัว เชื่อได้หรือ คนที่ยึดบทบัญญัติศาสนาตามความเห็นส่วนตัว คำพูดแต่ละคำพูดเลื่อนลอย ปราศจากบทหลักฐาน แต่มาจากความเห็นส่วนตัว!!! ไม่ได้ว่าใคร แต่ให้ระวังจำพวกนี้เอาไว้ จากคุณ : Hafis - [ 30 มิ.ย. 51 03:33:26 ]

ความคิดเห็นที่ 31 คุณ Hafis "คุณเชื่อหรือว่าเทวทูตลงมาผ่าอกท่านรอซูล แล้วเอาอวัยวะทุกอย่าง ล้างด้วยน้ำ ซญัมๆ จนสะอาดหมดจด แล้วนำเอาความรอบรู้ทั้งโลกใส่ลงไป ในทรวงอก(แทนที่จะใส่ไปในสมอง) แล้ว นำท่านรอซูล เหาะไปพูดคุยกับ นบีท่านต่างๆที่ตายไปแล้ว และไปพบกับ ผุ้ที่มีอำนาจสูงสุด" คุณเชื่อเรื่องเล่านี้ว่า เป็นความจริงหรือครับ ถ้าคุณเชื่อ คุณลองอธิบายตามตรรกวิทยาซิว่า เป็นจริงตามคำสอนของ "อิสลาม" ได้อย่างไร? ผมไม่เชื่อ ถ้าผมไม่เชื่อในเรื่องนี้ จะผิดหลักการของอิสลามใน ข้อใด? ผมถามนี้เพื่อให้คุณคิดนะครับ เพราะเป็นเพียงตัวอย่างเดียวที่นำมาว่า ถ้าเชื่อในเรื่องเช่นนี้ อาจจะ เป็น ชิริก ก็ได้,   มูนาฟิกนะ โอกาสในการตกนรก นั้น มีน้อยกว่า "การกระทำชิริก" นะครับ^^^ จากคุณ : แมทท์ - [ 2 ก.ค. 51 02:00:19 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ซีฟัต(คุณลักษณะ) ของพระเจ้า มีมากมาย แต่ที่เรายึดให้มั่นและทำความเข้าใจไม่ให้อากิดะห์เราเสียหาย คือ 1. มุคอละฟะห์ พระองค์ทรงแตกต่างจากทุกสิ่งในสากลจักรวาล 2. กุดรัด พระองค์ทรงเดชาณุภาพ ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์ทำไม่ได้ 3. ฮาโรส พระองค์มีอิสระที่จะทำอะไร ก็ได้ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ ดังนั้น การที่บอกว่า "เทวทูตลงมาผ่าอกท่านรอซูล แล้วเอาอวัยวะทุกอย่าง ล้างด้วยน้ำ ซญัมๆ จนสะอาดหมดจด แล้วนำเอาความรอบรู้ทั้งโลกใส่ลงไป ในทรวงอก(แทนที่จะใส่ไปในสมอง) แล้ว นำท่านรอซูล เหาะไปพูดคุยกับ นบีท่านต่างๆที่ตายไปแล้ว และไปพบกับ ผุ้ที่มีอำนาจสูงสุด" ถ้ามีฮาดิษที่แข็งแรงสนับสนุน ไม่มีเหตุผลอะไร ที่ไม่เชื่อ เพราะจากคุณลักษณะของพระเจ้า 3 ข้อข้างบนอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น คนที่บอกว่าไม่เชื่อต่างหาก ที่ทำชีริก เพราะเท่ากับมอง ว่าพระเจ้าไม่แตกต่างจากสิ่งทั้งหมดในจักรวาลเพราะมีข้อจำกัด มีบางอย่างที่พระองค์ทำไมได้ไม่มีความสามารถ และพระองค์ไม่มีอิสระที่จะทำอะไรตามที่พระองค์ประสงค์ แก้ไขเมื่อ 02 ก.ค. 51 17:38:32 แก้ไขเมื่อ 02 ก.ค. 51 09:11:01 จากคุณ : ghanee.s - [ 2 ก.ค. 51 09:09:42 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เป็นไงครับ ถ้าคนแบบนี้ไม่เรียก กาเฟรฺ หรือมุนาฟิก แล้วจะให้เรียกว่าอะไร จากคุณ : Carroth - [ 3 ก.ค. 51 21:36:09 ]

ความคิดเห็นที่ 34 คุณ : Carroth คุณเชื่อเรื่องเล่านี้ว่า เป็นความจริงหรือครับ ถ้าคุณเชื่อ คุณลองอธิบายโดยไม่ให้ขัดต่อบัญญัติในอัลกุรอาน..ซิว่า เป็นจริงตามคำสอนของ "อิสลาม" ได้อย่างไร? จากคุณ : แมทท์ - [ 7 ก.ค. 51 00:19:03 ]

ความคิดเห็นที่ 35 โองการเดียวพอครับ 16: 40 “แท้จริง เพียงแต่ดำรัสหนึ่งของเราสำหรับสิ่งใดๆ เมื่อเราปรารถนามัน (ให้มีขึ้นมา) คือเรากล่าวแก่มันว่าจงเป็น แล้วมันก็เป็นขึ้นมา” ไม่มีอะไรที่พระองค์ประสงค์แล้วมันจะไม่เกิด จำไว้ครับ เรื่องที่เกิดกับท่านนบี ก็ไม่ได้ประหลาดไปกว่า การสร้างท่านนบีอาดัม การเกิดของท่านนบีอีซา หรือการแยกน้ำทะเลของท่านนบีมูซา เพราะฉะนั้นที่เกิดขึ้นไม่ขัดกับหลักการอิสลามครับ จากคุณ : Carroth - [ 7 ก.ค. 51 10:21:08 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ^ ^ ^ ^ แค่โองการเดียว ก็แสดงถึง ซีฟัต มุคอละฟะห์ กุดรัต และ ฮาโรส แล้วละครับ^^ จากคุณ : ghanee.s - [ 7 ก.ค. 51 18:02:40 ]

ความคิดเห็นที่ 37 สนใจมากหรอกครับเพราะ อายุปูนนี้แล้ว 72 ปี กับ 6 เดือน Matt You are too old na krub จากคุณ : supanut01 - [ วันเข้าพรรษา 18:07:29 ]