ความคิดเห็นที่ 1 ตราบในอดีต ที่คนไม่เชื่อวิทยาศาสตร์ น้ำยังคงระเหยกลายเป็นเป็นไอสู่ท้องฟ้า และควบแน่นกลับมาเป็นฝนและหิมะ ฉันใดก็ฉันนั้น _______________________ ศาสนามิใช่เพียงความกลัว แต่คือเครื่องมือแสวงหาความจริง แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 51 15:53:34 แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 51 15:47:24 แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 51 15:46:46 จากคุณ : โยชูวาแห่งอัสซีซี - [ 28 มิ.ย. 51 15:44:09 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เกรงว่าความจริงมันจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นนะสิครับ จากคุณ : wfuiunf - [ 28 มิ.ย. 51 16:12:30 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เรียน จขกท. คุณ : เทพบุตรศาลาแดง ขอตอบดังนี้ ศาสนาพุทธสอนว่า คนทุกคนที่เกิดมา ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะนับถือศาสนาพุทธ หรือศาสนาอื่นใด หรือไม่นับถือศาสนาอะไรเลยก็ตาม ต่างก็ล้วนต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม เหมือนกันหมดทั้งสิ้น และทุกชีวิตต้องเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในวัฏฏะแบบไม่มีที่สิ้นสุด จนกว่าจะบรรลุธรรม เป็นระดับพระอรหันต์ขึ้นไป ส่วนคำว่าวัฏฏะนั้น ประกอบด้วยสามภพ คือ สวรรค์ นรก และโลก ส่วนคำสอนของศาสนาอื่น จะสอนว่าอย่างไร ก็เป็นเรื่องของศาสนานั้น ๆ หรือนักวิชาการทางโลก จะบอกอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องของวิชาการทางโลก ส่วนแต่ละท่านจะคิดและมีความเห็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละบุคคล หากแต่ว่าสิ่งทั้งหลายดังกล่าว ล้วนไม่มีผลให้เปลี่ยนแปลงไปจากกฎแห่งกรรม แต่อย่างใดทั้งสิ้น เพราะอะไร ????? เพราะกฏแห่งกรรมนั้น ไมใช่เป็นของศาสนาพุทธ หรือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นกฏสากลเป็นสัจธรรม ที่เป็นความจริงแท้แน่นอน ที่มีอยู่ในธรรมชาติ ขอให้ท่านโชคดี และขอให้ทุก ๆ ท่านเจริญในธรรม แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 51 21:11:17 แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 51 16:27:29 จากคุณ : kongsilp2000 - [ 28 มิ.ย. 51 16:23:20 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าบังเอิญผมเกิดมาในถ้ำบนภูเขาแถวๆภาคเหนือ ครอบครัวผมไม่เคยสอนผมเรื่องศาสนา ในใจผมไม่มีคำว่า สวรรค์ นรก และโลก ผมทำไร่ ดักสัตว์ ผ่านไป 60ปีผมป่วยและตายลง โดยไม่รู้จักคำว่าสวรรค์ นรก และชาติหน้าไม่มีภาพใดๆในสมองก่อนตายไปกำหนดให้จิตมุ่งไป ในเมื่อคนเราไม่รู้จักคำว่ากลัวในภพหน้าหรือกลัวในบาป จิตใจย่อมสงบ และนำไปสู่ความว่างเปล่าใช่หรือไม่ครับ จากคุณ : เทพบุตรศาลาแดง - [ 28 มิ.ย. 51 16:30:12 ]

ความคิดเห็นที่ 5 สำหรับบางคนชาติหน้ามีจริงหรือไม่ เขาไม่สนใจ แต่การกระทำในปัจจุบันก็ทำให้เราได้รับสุขหรือทุกข์ ในจิตใจทันทีทันใดแล้ว เลือกที่จะปฎิบัติเป็นสิทธิของตน แต่ผลแห่งกรรม(ดี-เลว) คุณต่อรองไม่ได้หรอกนะ จากคุณ : เพชรฆาตสีส้ม - [ 28 มิ.ย. 51 16:32:21 ]

ความคิดเห็นที่ 6 4 คุณสมมุติขึ้นมาไม่ถูกต้องนะครับ โดยไม่รู้จักคำว่าสวรรค์ นรก และชาติหน้าไม่มีภาพใดๆในสมองก่อนตายไปกำหนดให้จิตมุ่งไป ในเมื่อคนเราไม่รู้จักคำว่ากลัวในภพหน้าหรือกลัวในบาป จิตใจย่อมสงบ และนำไปสู่ความว่างเปล่าใช่หรือไม่ครับ คุณเป็นชาวเขา อย่างน้อยก็ต้องรู้จักความตาย ขึ้นชื่อว่าความตายไม่ว่า สมัยใดย่อมสร้างความหวาดหวั่นก่อนตายอยู่เสมอ ๑ แล้วคุณจะแน่ใจอย่างไรว่าเค้าจะไม่มีความทุกข์ก่อนตาย คนเราถ้าทรมาน ก่อนตายก็ทำให้จิตเศร้าหมองได้ ๑ อาลัยต่อชีวิต ๑ (ทำให้เกิดห่วง -ความหวงแหน) อาลัยต่อคนรัก ๑ (เมีย ลูก หลาน) อาลัยต่อทรัพย์สิน ๑ ถ้าเทียบกับคนที่โชคดีที่เกิดมานับถือศาสนา(ไม่เจาะจง) เค้าจะพร้อมรับ มือกับความตายได้ดีกว่าชาวเขา ผมไม่รับรองว่าศาสนาใดจะทำให้ไม่ลงนรก (กรรมของแต่ละบุคคล) แต่โอกาสรอดลงนรกก็น้อยกว่าคนไร้ศาสนา ตายไปอย่างไม่รู้กลัวจะหลงทิศหลงทางนะครับ จากคุณ : เพชรฆาตสีส้ม - [ 28 มิ.ย. 51 16:43:00 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่หรอก ไม่มีศาสนาก็กลัวอยู่ดี มนุษย์โดยพื้นฐานแล้วเกี่ยวกับนรกสวรรค์ นี่น่าจะกลัวว่า ตายแล้วจะเป็นยังไง กลัวสิ่งที่มองไม่เห็น และไม่มีใครบอกได้ จากคุณ : ลูกหินสีชมพูอ่อน - [ 28 มิ.ย. 51 17:10:07 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าผมไม่มีศาสนา ผมจะมีของนรกหรือสวรรค์ได้อย่างไรหละครับ ดังนั้นผมก้ไม่ตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ ตายคือดับสูญ อาลัยต่อชีวิต ๑ (เมื่อผมหลับตายไม่รู้สึกว่าจะตาย หลับไปเฉยๆ ย่อมไม่กลัวตาย) อาลัยต่อคนรัก ๑ (บังเอิญผมเป็นโสดไม่มีเมียและลูก ย่อมไม่อาลัย) อาลัยต่อทรัพย์สิน ๑ (ผมไม่มีทรัพย์สิน นอกจากถ้ำที่อาศัย ) จากคุณ : เทพบุตรศาลาแดง - [ 28 มิ.ย. 51 17:22:02 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ครอบครัวผมไม่เคยสอนผมเรื่องศาสนา คุณมีครอบครัวถึงแม้จะไม่สอนเรื่องศาสนา แต่ครอบครัวก็น่าจะสอนเรื่องความเชื่อเรื่องเจ้าป่าเจ้าเขา ผีสางบ้างล่ะ คุณเชื่อไม๊คนป่าที่ห่างความเจริญในแอฟริกา ยังมีความเชื่อ เรื่องผีสาง เจ้าป่าเจ้าเขา แต่คุณก็คงยกเงื่อนไขอื่นๆขึ้นมาอีก คนเราเมื่ออยู่ความมืดย่อมหวาดกลัวต่อสิ่งที่มองไม่เห็นนะครับ จากคุณ : เพชรฆาตสีส้ม - [ 28 มิ.ย. 51 17:34:18 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เห็นด้วยว่ายังไงก็คงหนีความเชื่อไม่พ้น กลัวความตาย/โลกหลังความตายนี่คงห้ามกันไม่ได้ แตไม่เชือ่เรื่องนรกสวรรค์นี่เป็นไปได้ค่ะ จากคุณ : PADAPA--DOO - [ 28 มิ.ย. 51 17:39:14 ]

ความคิดเห็นที่ 11 คนที่ไม่นับถือศาสนาใดเลยมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วครับ ไม่ใช่เพิ่งมามี ก็อย่างที่หลายความเห็นข้างบนว่าไว้ ไม่ว่าความเชื่อของคุณจะเป็นยังไง ความจริงก็ย่อมเป็นความจริง ความจริงไม่เปลี่ยมตามความเชื่อของคนหรอกครับ แล้วศาสนาก็ไม่ใช่ความกลัวที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อให้คนอยู่ใต้กฏหมาย กฏหมายต่างหากที่ต้องอยู่ภายใต้กรอบของศาสนา เอาง่ายๆ ศีลห้าบอกว่าการดื่มสุรานั้นผิด แต่ไม่ผิดกฏหมายถ้าเราจะดื่ม ถ้าศาสนาเป็นเครื่องมือของกฏหมายจริง ศาสนาก็ต้องบอกว่าการดื่มสุรานี้ไม่ผิดซิครับ กฏหมายช่วยให้คนเราอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเป็นสุข แต่ศาสนาช่วยให้เราอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไม่เป็นทุกข์ แย่ตรงที่คนสมัยมันเอากฏหมายมาเป็นที่ตั้ง ไม่ผิดกฏหมายคือไม่ผิดศีลธรรม น่าเศร้า จากคุณ : มีดแรกไม่พลาดเป้า - [ 28 มิ.ย. 51 17:44:27 ]

ความคิดเห็นที่ 12 รู้ได้ยังไงว่าไฟมันร้อน เห็นมีแต่เปลวแสงสว่างๆ รู้ได้ไงว่าน้ำแข็งมันเย็น เห็นมีแต่ควัน ไอ ลอยอยู่รอบๆ -จนกว่าคุณจะเอามือไปจับ ไปโดนเข้า ถึงจะยอมรับความจริงว่ามันร้อน มันเย็น โลกหลังความตาย นรก สวรรค์ ก็เป็นสิ่งที่ยากสำหรับบางคนหรือหลายคนที่จะเชื่อ จนกว่าจะถึงเวลาที่ได้ไปสัมผัสด้วยตัวเองแล้วถึงจะยอมรับความจริง แต่ถึงเวลานั้นก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับมาแก้ไขได้แล้ว คนที่ฉลาดหน่อยก็จะหาวิธีประกันความเสี่ยงให้กับตัวเอง จากคุณ : monojo - [ 28 มิ.ย. 51 18:04:43 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ผมกำลังหาเหตุผลที่ทุกศาสนา สร้างโลกหลังความตายออกมา ได้ใกล้เคียงกันมาก ที่ผมตั้งกระทู้ขึ้นมาไม่ใช่เพราะไม่เชื่อ แต่เคยมีคนพูดกับผมว่า "ถ้าไม่มีศาสนา เราไม่ต้องกลัวตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ " ผมก็มองเห็นคำถามนั้นขึ้นมาว่า คำสอนนั้นจริงหรือเปล่า จากคุณ : เทพบุตรศาลาแดง - [ 28 มิ.ย. 51 18:47:17 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ตกลงคุณจะเอาแบบไหนกันแน่ครับ เพราะ ไม่กลัวตกนรก กับ ไม่ตกนรก นี่คนละความหมายเลยนะครับ จากคุณ : Panda-baker - [ 28 มิ.ย. 51 19:14:25 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คนเราทุกชาติก็เป็นคนเหมือนกันครับ เพราะงั้นจึงนึกภาพสวรรค์กับนรกออกมาได้คล้ายกัน จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 28 มิ.ย. 51 19:23:34 ]

ความคิดเห็นที่ 16 สำหรับผม คนเราทุกคนต้องเปนไปตามกฎ อาจจะเปนกฎธรรมดาของธรรมชาติ การไม่มีไม่เชื่อ หรือจะเชื่อ อะไรก็ตามแต่ เปนเรื่องเฉพาะบุคคล แต่ก็อยู่เหนือกฎไม่ได้ และผมก็เชื่อการกระทำของตัวเองมาก แน่นอน เพาะหว่านอะไรไว้ ก็ต้องได้รับผลนั้น เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีไม่มีศาสนา เพราะทุกคนก็ตกอยู่ใต้กฎนี้ทุกคน ไม่มีแบ่งแยก ไม่มีใครจะเหนือกว่าไปได้ หากยังเปนปุถุชนอยู่ คุณเลือกเชื่อ หรือเลือกที่จะไม่เชื่อ เปนสิทธิขั้นพื้นฐานของคุณ แต่ความจริงของโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเชื่อไม่เชื่อของมนุษย์ งั้นโลกก็แบนไปตามลมปากคนในยุคกลางไปนานแล้ว เทียบตัวอย่างง่ายๆ ตามนี้ จากคุณ : จันทร์กุมลัคนา - [ 28 มิ.ย. 51 19:29:50 ]

ความคิดเห็นที่ 17 "ไม่กลัวตกนรก กับ ไม่ตกนรก" ไม่ใช่ทั้งสองคำนี้ครับ "ไม่มีนรก" หรือไม่ถ้าคุณไม่มีศาสนา ครับที่ผมอยากทราบ จากคุณ : เทพบุตรศาลาแดง - [ 28 มิ.ย. 51 19:30:55 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขนาดมีศาสนาคนเรายังทำความชั่วได้มากมาย  ลองไม่มีศาสนา คนเราจะเป็นอย่างไรบ้างนึกภาพไม่ออกเลย คนเราย่อมต้องมีที่ยึดเหนี่ยวทางใจไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเช่นคนสมัยโบราณบูชาไฟ บูชาฟ้าดิน พอมาสมัยนี้ คนเรารู้มากขึ้น เลยไม่บูชาสิ่งเหล่านั้น แต่เชื่อเถอะว่า คนไม่นับถือศาสนา ก็มีความทุกข์และหาวิธีแก้ทุกข์ด้วยวิธีต่างๆกันไป เพราะศาสนาเป็นแค่ความกลัวที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อกำหนดให้ทำตามกฎหมายที่มนุษย์อีกทีมสร้างขึ้นมาควบคู่กันใช่หรือไม่ ศาสนา ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพราะความกลัว แต่ศาสนาเกิดขึ้นมาเพราะต้องการให้คนพ้นจากทุกข์ และพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หากไปอ่านประวัติพระพุทธศาสนา จะเห็นว่า พระพุทธเจ้าทรงเมตตาเพื่อนมนุษย์และต้องการให้เพื่อนมนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ จากความเกิด แก่เจ็บตาย ส่วน บาปบุญนี้มีมานานแล้วตามความเชื่อของคนเรา มีมาก่อนพุทธศาสนาจะเกิดมาอีก จากคุณ : รักดี - [ 28 มิ.ย. 51 19:41:36 ]

ความคิดเห็นที่ 19 คุณ จขกท. คนกลุ่มใดที่เกิดในช่วงที่ไม่มีศาสนา(โดยเฉพาะศาสนาพุทธ) โดยมากจะพากันลงนรกมากกว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์แบบเสมอตัว ยิ่งน้อยมากที่จะได้ไปเกิดเป็นเทวดา ปกติเวลาคนขณะใกล้ตายจิตในช่วงนี้จะเป็นตัวชี้ว่าจะไปต่อที่ไหน (เกิดเป็นอะไร) ถ้าตอนใกล้ตายมีความสงบเป็นสุขใจ มักจะไม่ไปเกิดต่ำกว่ามนุษย์ ผมรู้มาจากปากแม่ว่าตอนอาม่าเสียท่านไปอย่างสงบไม่มีแววของ ความทุกข์ ไม่ได้หลับตาย ท่านตื่นมาตอนเช้าแล้วค่อยๆจากไปอย่างสงบ ท่านมาจากเมืองจีน อ่านได้แต่บวดสวดมนต์ที่เป็นภาษาจีน นับถือเจ้าแม่กวนอิม นับปฎิทินเพื่อกำหนดวันกินเจ ใจบุญสุนทาน ไม่ด่าว่าใคร โกรธยาก หายไว เป็นที่รักของคนที่รู้จัก ไม่ได้ศึกษาธรรมลึกซึ้ง(ผมคิดว่าท่านยังไม่รู้จักศีล 5 เลย) แต่การปฎิบัติตัวของท่านเหมือนคนถือศีล 5 เลยทีเดียว ผมจะเปรียบเทียบว่าคนบางคนที่เกิดในช่วงที่ไร้ศาสนา จะมีคนเพียงไม่กี่คนที่จะไปสู่สุคติได้ จากคุณ : เพชรฆาตสีส้ม - [ 28 มิ.ย. 51 19:55:00 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ปัจฉิมเทศนา คำสอนสุดท้ายก่อนเสด็จปรินิพพาน พระองค์ทรงตรัสสอนว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า " สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลาย จงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด" จากคุณ : นัยนะ - [ 28 มิ.ย. 51 21:22:11 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ประเด็นที่ 1 ทำไมต้องกลัวตกนรก คำว่า กลัว เป็น อกุศลกรรม ตัวหนึ่ง เป็นประเภท โมหะอวิชชา่ คือ ไม่รู้ความจริง การไม่รู้ความจริง ทำให้เกิดความกลัว ความกลัวของมนุษย์ทำให้เกิด คน กิน คน ก็คือ ทำให้คนบางพวกที่ใช้ทำมาหากิน กับความไม่รู้จริงของคน เมื่อศึกษาจากบท เขมาเขมะสรณะทิปิกคาถาโย มนุษย์เมื่อกลัวภัย ก็ถือเอาภูเขา อาราม รุกขเจดีย์ เป็นสรณะ พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ใช่ที่พึ่งอันเกษม จากการศึกษาทางมานุษยวิทยาก็บอกไว้ว่า ในยุคของมนุษย์ดึกดำบรรพ์ มนุษย์กลัวภัยจากธรรมชาติ ก็คือไม่รู้ความจริงก็เกิดความกลัว คนที่หัวใสหน่อยก็ำทำตัวเป็นตัวกลางติดต่อ ก็ตั้งทฤษฎีไว้ว่า สิ่งต่าง ๆ นี้มีเบื้องหลังคือ อำนาจ อำนาจนั้นก็คือผี หรือ เทวดา ให้คุณให้โทษ ก็ตั้งกติกาไว้ว่า ต้องเซ่นไหว้ หมายความถึง เอาทรัพยากรต่าง ๆ มาแบ่งให้ตัวกลาง ตัวกลางในที่นี้จึงมีอำนาจมาก ที่จะชี้ความเป็นความตายของสังคม เป็นนักบวช ผู้วิเศษบ้าง ต่อมาสังคมพัฒนาขึ้นมา แนวคิดต่าง ๆ ก็ยกระดับขึ้นมา ก็เริ่มสร้างอธิบายวาเป็น เทพ เป็นสิ่งสัมบูรณ์บ้าง แต่ ตัวกลางก็พัฒนาตนเองมา มีรูปแบบ พิธีกรรม แต่สิ่งที่เป็นหัวใจหลักของตัวกลางนี้คือ ทำอย่างไรจะคงอำนาจขององค์กร ก็ต้องมีการสร้างความกลัวเช่นเดียวกับยุคโบราณ ได้แก่ สร้างความกลัวจากนรก เพลิดเพลินกับสวรรค์ การอธิบายเรื่องบาป แม้จะมีความกลัว ก็มีคนท้าทาย โดยเฉพาะในยุคกลางของยุโรป มีการขายใบไถ่บาป ก็คือทำธุรกิจกับความบาป จนลูเธอร์ต้องออกมาท้าทาย จนกลายเป็นนิกายโปรแตสแต้นท์ จากแนวคิดความกลัวของฝั่งตะวันออกนี่ก็เช่นเดียวกันกับตะวันตก แต่ตะัวันออกใช้สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ควบคุมทางสังคม เช่นใช้ผีควบคุมสังคม ผีก็คืออำนาจให้คุณให้โทษ ถ้าทำผิดระเบียบสังคม ก็จะถูกลงโทษ แต่ฝั่งตะวันออกนี่มีตัวกลางมากมาย โดยเฉพาะนักบวช ผู้วิเศษ คุรุ คนทรงฯลฯ โดยมีหลากรูปแบบกว่ายุโรปมาก และสร้างความกลัวให้กับศาสนิก เพื่อผูกพันพึ่งพาและดำรงอำนาจ ของสถาบันตัวกลางนี้มาก โดยเฉพาะการนำเอาศาสนาไปผูกพันกับรัฐ โดยคำอธิบายต่าง ๆ ทางศาสนานั้นรับใช้อำนาจรัฐ โดยกิจกรรมที่ส่งเสริมการหยุดพฤติกรรมที่ส่อไปในทางวิพากษ์รัฐ กิจกรรมที่เน้นก็ได้แก่นั่งสมาธิ การนั่งสมาธิหลับอยู่ภายใจเป็นอุบายอันแยบคายที่จะควบคุมสั่งการ คนภายจิตใร้สำนึกของคนให้อยู่ในอำนาจ ไม่กระด้างกระเดื่อง ไม่ปรุงแต่งไปในทางเป็นอันตราย ต่อรัฐ  ตลอดจนการกล่อมเกลาให้กลัวภัยต่าง ๆ ข้างต้น แต่วิธีนี้ก็อาจถูกขอดเกล็ดด้วยผู้วิเศษ ที่ใช้วิธีการนี้ต่อต้านอำนาจรัฐด้วยเช่นกัน เช่น วิธีการของผีบุญต่าง ๆ ผีบุญก็จะอ้างตนเป็นผู้วิเศษ หรือเป็นพระศรีอริยเมตไตร หรือประมาณว่า เป็นบุคคลสำคัญกลับชาติมาเกิดเช่นกัน ส่วนใหญ่จะ อยู่ที่เงื่อนไขที่ถูกกดขี่อย่างรุนแรง หรือ พฤติกรรมแห่งการใช้อำนาจรัฐอันไม่ถูกต้อง ก็จะถูกโยง จะสังเกตความรู้ของเหล่าผีบุญที่สร้าง ก็เป็นความเชื่อชนิดเดียวกับ ความเชื่อหลักของสังคม ผมพยายามจะเชื่อมโยงให้เห็นการสร้างและสถาปนาความรู้ขึ้น โดยศึกษาอำนาจของตัวกลาง ผู้วิเศษต่างๆ เชือมโยงกับความไม่รู้ ทำให้คนเกิดความกลัว ผลก็คืออยู่ใต้อำนาจอย่างไม่ลืมหูลืมตา ผลอีกประการหนึ่งคือผลทางธุรกิจ เช่นขายใบไถ่บาป เสดาะเคราะห์ ขายวัตถุมงคล ดูดวง ดูจากวาทกรรมที่่ว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ โดยเฉพาะพวกพยากรณ์กรรม ซึ่งเป็นอจินไตย พระพุทธเจ้า ห้ามคิืดเลยทีเดียว และทำตัวเป็นผู้วิเศษอธิบายกรรมของผู้อื่นอย่างโน้นอย่างนี้ ติดเรทติ้งดีมา นั่นก็เป็นวิธีทำมาหากินกับความไม่รู้และความกลัวของมนุษย์   การสอนศาสนาโดยใช้ความกลัวและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ นับว่าสร้างความเสียหายทางปัญญามาก การสอนศาสนาโดยใช้สติปัญญาใช้ความคิดพิจารณาสิ่งต่าง ๆ อย่างอิสระ มีการเปิดเผยข้อมูล แหล่งความรู้จากหลาย ๆ แหล่ง โดยใช้กาลามสูตรเป็นพื้นฐานในการพิจารณาทั้งตัวเองและเชื่อมโยง กับระบบสังคมที่อยู่รอบตัวว่า ด้วยระบบอริยสัจ 4 ทุกข์ของคน ทุกข์ของสังคม ทางเลือกทางออกของคนหรือสังคม และพิจารณาปรับใช้ในชีวิตและสังคม มากกว่าการท่องจำไว้โก้ ๆ และไม่ได้ประโยชนอะไรเลยจาก สันติธรรม นั้น จากคุณ : โทมัส (khunz) - [ 28 มิ.ย. 51 21:24:49 ]

ความคิดเห็นที่ 22 บางคนเชื่อในพระอโบกาเก บางคนเชื่อในพระกระตุ๊มบรุ๊ก บางคนเชื่อผีปอบ บางคนเชื่อคัมภีร์กรุ๊กๆ บางคนเชื่อท่านเทพมังกร ส่วนผม ก็แค่คนที่ไม่เห็นว่าจะมีอะไรทั้งหมดที่ว่ามา ให้ผมควรจะเชื่อ นรก-สวรรค์ ถ้ามันมีจริง ผมก็คงไม่เถียงอะไร ผมไม่มีสิทธิ์เลือกอยุ่แล้ว ตั้งแต่เกิดมา ตัวเลือกมีเป็นพัน ความจริงจะมีก็ไม่เกิน 1 เพื่อนลงนรกคงอบอุ่นหนาฝาคั่ง ผมเลือก ที่จะอยู่บนความมั่นใจในตัวเอง มีศาสดาคือตัวผมเอง จะเลือกผิด ก็เพราะตัวผมเอง จากคุณ : atheist - [ 28 มิ.ย. 51 22:56:12 ]

ความคิดเห็นที่ 23 และก็อย่างที่เคยบอก atheist มีมาแต่บรมสมกัลป์ และมีความคิดความอ่าน หลายๆคนอาจจะมีสติในการใช้ชีวิตมากกว่านับถือศาสนามากกว่าคนทั่วไปอีก atheist/non-religious ไม่เท่ากับ คนประมาทหรือคนไม่มีความคิดความอ่าน ไม่ได้เท่ากับคนที่อ่อนต่อโลก . . . และย้ำอีกที ศาสนา ไม่เท่ากับ ความเชื่อส่วนบุคคล และผมไม่ได้หนีนรก-สวรรค์ แต่ผมไม่สนใจมัน เท่านั้นเอง เพราะคนที่คิดว่ามันมี ก็คิดว่ามันมีให้ได้ เราก็คิดว่ามันไม่มี ตายไป ใครจะอยู่ไหน ก็รู้เอง แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 51 23:04:33 จากคุณ : atheist - [ 28 มิ.ย. 51 23:02:34 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอถามแบบโง่ ๆ ค่ะ  มีใครกลับจากความตายได้หรือยังคะ แล้วเรื่องนรก สวรรค์  ยืนยันว่ามีจริงได้อย่างไร ไม่เคยสนใจมาก่อนเลย  จนญาติเสียชีวิต จึงรู้ว่าความตายมันใกล้แค่เอื่อม  ง่ายดาย รวดเร็ว และน่ากลัวค่ะ จากคุณ : ผัดกระเพราใส่เส้น - [ 28 มิ.ย. 51 23:27:55 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ศาสนา ได้ถือกำเนิดขึ้นเพราะความ กลัว ไม่ใช่ หรือ ความกลัว มีมาก่อนศาสนาซะอีก แม้ไม่มีศาสนา ก็ไม่ใช่ว่า คนนั้นจะไม่กลัว จากคุณ : นายไวรัส - [ 28 มิ.ย. 51 23:27:55 ]

ความคิดเห็นที่ 26 สิ่งที่เรามองไม่เห็น ก็ไม่ใช่ว่าไม่มี จขกท. ถ้าไม่นับถือศาสนาแล้วไม่มีนรกจริงๆ คุณจะยังนับถือศาสนาอยู่มั้ย ความเชื่อไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงใดๆ จากคุณ : แม่มดจี๊ดจี๊ด - [ 29 มิ.ย. 51 02:07:34 ]

ความคิดเห็นที่ 27 แต่ผมมองว่าศาสนาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากความกลัวนะ ผมมมองว่าศาสนาเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรมของมนุษย์ ที่ "สร้าง" concept ต่าง ๆ เช่น บาป บุญ นรก สวรรค์ พระเจ้า ผี ฯลฯ ต่าง ๆ ออกไป โดยทั่ว concept/idea เหล่านี้ตั้งอยู่บนประสบการณ์ที่มนุษย์ในกลุ่มนั้น ๆ เผชิญอยู่ในชีวิตประจำวัน เท่าที่ผมนึกออกเร็ว ๆ แทบไม่มีมนุษย์กลุ่มใดเลยที่ไม่มีความเชื่อเรื่องชีวิต/สภาวะหลังความตาย (ไม่นับมนุษย์ในสังคมสมัยใหม่ ที่สามารถเลือกที่จะไม่เชื่อในความเชื่อ/ศาสนาใด ๆ ได้) มีงานศึกษาทางด้านมานุษยวิทยาความตายมากมายที่เสนอว่า แม้แต่กลุ่มมนุษย์ในสังคมชนเผ่าที่ primitive ที่สุด ก็มีการจัดการความกลัวตายในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งแน่นอนว่า การจัดการความกลัวตายอย่างหนึ่งคือการสร้าง/จินตนาการถึงชีวิตหลังความตายในรูปแบบต่าง ๆ (รวมไปถึงพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายด้วย) ในแง่นี้ หากเราไม่เชื่อในเรื่องสภาวะหลังความตาย (ไม่ว่านรก, สวรรค์ หรือนิพพาน ฯลฯ) มนุษย์ก็คือ being-toward-death/ดำรงไปเรื่อย ๆ จนถึงความตายแล้วจบ จากคุณ : ฮกหลงผู้หยั่งรู้ฟ้ามหาสมุทร - [ 29 มิ.ย. 51 02:17:43 ]

ความคิดเห็นที่ 28 สิ่งที่คุณ ไม่เชื่อ หรือมองว่า แบบนั้นแบบนี้  มันไม่ได้หมายความว่า สิ่งเหล่านั้น ไม่มีจริง นะครับ คุณเคยสงสัยไหมครับ ว่า ทำไม คนเราเกิดมาถึง ไม่เหมือนกันหมดทุกประการ ทำไมต้องมีสีผิว หน้าตาที่แตกต่าง ทำไมต้องมีฐานะ ที่แตกต่าง ทำไมถึงได้อยู่ในสภาพแวดล้อม ที่แตกต่าง แล้วทำไม โลกนี้ถึงไม่มีเฉพาะมนุษย์ ทำไมถึงมีสิ่งมีชีวิต อื่น ๆ ขึ้นมาด้วย แลว้ทำไม สัตว์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ ถึงมีระดับสติปัญญา ที่ไม่เท่ากัน อย่างเช่นว่า ลิง หรือ ช้าง ทำไมฉลาด โดยที่ไม่ต้องฝึก สัตว์เหล่านี้ก็ฉลาดอยู่แล้ว มันมีวิธีในการหาคำตอบที่คุณสงสัย ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะกล้าพิสูจน์หรือเปล่า ความจริงที่ไม่เคยตายไปจากโลกนี้คือ ไม่ว่าจะยุคไหน สมัยไหน บัวก็มี 4 เหล่า เสมอครับ อย่าเสียชาติเกิด ที่เกิดมาในแผ่นดินไทย ที่มีพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง เพราะไม่รู้เมื่อไรคุณจะได้เกิดมาเป็นคน และได้เจอพระพุทธศาสนาอีกทีครับ ขออวยพรให้คุณโชคดี และได้เจอความจริงของชีวิต เร็ว ๆ ก็แล้วกันครับ จากคุณ : ever rich - [ 29 มิ.ย. 51 05:39:22 ]

ความคิดเห็นที่ 29 "คนกลุ่มใดที่เกิดในช่วงที่ไม่มี**ศาสนา**(โดยเฉพาะศาสนาพุทธ) โดยมากจะพากันลง**นรก**มากกว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์แบบเสมอตัว ยิ่งน้อยมากที่จะได้ไปเกิดเป็น**เทวดา**"(อ้างถึง) นรก  สวรรค์  เทวดา ศาสนา มาคู่กันเสมอ ไม่มีนรก  ไม่มีสวรรค์  ไม่มีเทวดา หากไม่มีศาสนาใช่หรือไม่ครับ นี่คือประเด็นที่เรามาหาคำอธิบายกันนะครับ จากคุณ : เทพบุตรศาลาแดง - [ 29 มิ.ย. 51 08:39:15 ]

ความคิดเห็นที่ 30 คุณเคยสงสัยไหมครับ ว่า ทำไม คนเราเกิดมาถึง ไม่เหมือนกันหมดทุกประการทำไมต้องมีสีผิว หน้าตาที่แตกต่าง ทำไมต้องมีฐานะ ที่แตกต่าง ทำไมถึงได้อยู่ในสภาพแวดล้อม ที่แตกต่าง ตอบ: ยีนส์และโครโมโซม และสภาพภูมิอากาศ แล้วทำไม โลกนี้ถึงไม่มีเฉพาะมนุษย์ ทำไมถึงมีสิ่งมีชีวิต อื่น ๆ ขึ้นมาด้วย แลว้ทำไม สัตว์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ ถึงมีระดับสติปัญญา ที่ไม่เท่ากัน อย่างเช่นว่า ลิง หรือ ช้าง ทำไมฉลาด โดยที่ไม่ต้องฝึก สัตว์เหล่านี้ก็ฉลาดอยู่แล้ว ตอบ: ยีนส์และโครโมโซม และพันธุกรรมที่พัฒนาขึ้นจากระยะเวลา อย่าเสียชาติเกิด ที่เกิดมาในแผ่นดินไทย ที่มีพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง เพราะไม่รู้เมื่อไรคุณจะได้เกิดมาเป็นคน และได้เจอพระพุทธศาสนาอีกทีครับ ตอบ:ถ้าไม่มีศาสนาพุทธ อิสลาม คริตส์ ฮินดู ฯลฯ เราจะเกิดเป็นอะไรครับเมื่อเราตายไปแล้ว ไม่มีบาป ไม่มีบุญ ไม่มีโลกหน้า จากคุณ : เทพบุตรศาลาแดง - [ 29 มิ.ย. 51 08:46:47 ]

ความคิดเห็นที่ 31 คุณ จขกท. ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้เชื่อตั้งแต่แรก แต่ขอให้ปฎิบัติดูก่อน จากนั้นคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ แล้วแต่ตัวคุณเอง ถ้าคุณแน่จริงคุณก็ลองผิดศีลทั้ง 5 ข้อดูสิ แล้วคุณก็ดูจิตใจ ว่าเป็นสุขเย็นหรือทุกข์ร้อน หลังจากนั้นคุณลองรักษาศีลทั้ง 5 ข้อดูสิ แล้วดูว่าจิตใจคุณ เป็นสุขเย็นหรือทุกข์ร้อน ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้คุณมายึดติดกับเรื่องนรก สวรรค์ แต่สอนให้คุณพบสุขที่แท้จริง ส่วนที่ทำไมมีนรก กับสวรรค์ เกี่ยวข้องเยอะก็เพราะความคิด ของคนส่วนใหญ่อยากรู้ว่าโลกหลังความตายมีหรือไม่ ข้อดีของนรก-สวรรค์ คือทำให้คนสมัยก่อน(มีความรู้น้อย) ศรัทธาในความดี-ชั่วได้ง่าย แต่มีความสำคัญคนทุกคนควรมีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป หิริ-โอตัปปะ จากคุณ : เพชรฆาตสีส้ม - [ 29 มิ.ย. 51 09:14:10 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ข้อดีของนรก-สวรรค์ คือทำให้คนสมัยก่อน(มีความรู้น้อย) ศรัทธาในความดี-ชั่วได้ง่าย แต่มีความสำคัญคนทุกคนควรมีความละอาย และเกรงกลัวต่อบาป หิริ-โอตัปปะ ศาสนาสร้างให้เราศรัทธาในความดี-ชั่ว เพื่อง่ายต่อการควบคุมกลุ่มคนหมู่มากหรือเปล่าครับ คนอาจไม่เกรงกลัวต่อบาป หากไม่มีศาสนาใช่หรือไม่ครับ ไม่มีนรก  ไม่มีสวรรค์  ซึ่งยากที่จะควบคุม รบกวนหาเหตุผลมาถกเถียงกันสนุกๆดีมั้ยครับ จากคุณ : เทพบุตรศาลาแดง - [ 29 มิ.ย. 51 09:29:21 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ต้องขอโทษด้วยที่แสดงความเห็นไม่หมด (นั่งทำงานอยู่ด้วย) แต่จะพยายามตอบปัญหาเพื่อประโยชน์แก่ทุกท่าน ข้อดีของนรก-สวรรค์ คือทำให้คนสมัยก่อน(มีความรู้น้อย) ศรัทธาในความดี-ชั่วได้ง่าย ^ ^ อันนี้เป็นประสงค์แรก ความสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ทำให้จิตใจน้อมที่จะรับเอาธรรมไปประพฤติ-ปฎิบัติ การจะเข้าใจธรรมนอกจาก ฟัง+อ่าน -สุตมยปัญญา คิดตามหาเหตุและผล -จินตมยปัญญา คือ ลงมือปฎิบัติ -ภาวนามยปัญญา เมื่อไฟแห่งปัญญา 3 ดวงนี้เจิดจ้าพร้อมกันย่อมเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ คือ อริยสัจ 4 (มีปัญญาที่จะเข้าใจทุกข์ พบเหตุแห่งทุข์ สามารถดับทุกข์ ด้วยปัญญาอันแยบคาย) การพิสูจน์ว่าครูคนนี้จะพาเราพ้นทุกข์จริงหรือไม่เป็นเรื่องดี เมื่อพิสูจน์ได้แล้วก็ควรศรัทธาเสื่อมใส น้อมนำคุณงามความดี ความรู้ที่ท่านสอนไว้มาปฎิบัติ เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ ดังนั้นเรื่อง นรก-สวรรค์ จึงไม่ใช่เพื่อการควบคุมกลุ่มคนหมู่มาก แต่เป็นผลพลอยได้ในศาสนา แต่บางศาสนาก็นำมาเป็นเครื่องมือควบคุมคนหมู่มากจริง จากคุณ : เพชรฆาตสีส้ม - [ 29 มิ.ย. 51 10:46:42 ]

ความคิดเห็นที่ 34 มีคน2คน คนแรกไม่มีศาสนา ตายแล้วไม่มีเกิดไม่มีดับ เพราะไม่มีนรก สวรรค์ในใจ คนสองมีศาสนา ตายแล้วเกิดมาใหม่ใช้บุญใช้กรรม เพราะมีนรกสวรรค์ในใจ หรือเปล่าครับ จากคุณ : เทพบุตรศาลาแดง - [ 29 มิ.ย. 51 11:01:38 ]

ความคิดเห็นที่ 35 คุณ จขกท. ต้องเลือกเอาล่ะครับว่าจะเป็นคนแบบไหนอย่างที่คุณยกมา เพราะคำถามของคุณมาถึงจุดที่คุณต้องเลือกเองในศาสนาพุทธคนทุกคน กรรมของตน แล้วแต่คุณละทีนี้ ผมแนะนำอย่างสุดท้ายขอให้คุณลองปฎิบัติคุณธรรมข้อใดก่อนก็ได้ แล้วดูว่าเป็นจริงหรือไม่ ผมต้องวางอุเบกขา แต่เพียงเท่านี้ จากคุณ : เพชรฆาตสีส้ม - [ 29 มิ.ย. 51 11:13:43 ]

ความคิดเห็นที่ 36 นรก  สวรรค์  เทวดา ศาสนา มาคู่กันเสมอ ไม่มีนรก  ไม่มีสวรรค์  ไม่มีเทวดา หากไม่มีศาสนาใช่หรือไม่ครับ นี่คือประเด็นที่เรามาหาคำอธิบายกันนะครับ เพราะไม่รู้ว่ามี  จึงคิดว่าไม่มี แต่ถ้าผู้รู้มาบอกว่ามี     ก็ยังคลางแคลงใจว่ามีหรือไม่มี ตายไปจะรู้ทันที  ว่ามีหรือไม่ จากคุณ : ringside - [ 29 มิ.ย. 51 11:40:39 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ผมไม่เคยเห็นคุณปู่ของคุณปู่ผมเลย แต่ผมก็เชื่อว่าท่านมีจริงครับ จากคุณ : ขอพระสัทธรรมสถิตย์นิจนิรันดร์ (นีละปอย~*) - [ 29 มิ.ย. 51 15:25:09 ]

ความคิดเห็นที่ 38 นรก หรือ สวรรค์ ไม่ได้มีเพราะการเกิดขึ้นของศาสนาต่างๆ ...  แต่นรกสวรรค์เป็นธรรมชาติที่มีอยู่เดิมแล้ว  ก่อนที่จะมีศาสนาใดๆเกิดขึ้นบนโลกนี้..ดังนั้น การไม่นับถือศาสนาใดๆ  ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะหนีพ้นจากการตกนรกหรือขึ้นสวรรค์หลังจากตายแล้ว จากคุณ : Ck (Clarke) - [ 29 มิ.ย. 51 17:22:14 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ถามว่าเหล็กเผาไฟจนแดงเนี่ยความจริงมันร้อนไหม? คนที่รู้ว่าบาปกรรมเป็นยังไงเปรียบเสมือนคนที่รู้ว่าเหล็กที่เผาจนแดงมันจะต้องร้อนแน่ๆ คนที่ไม่รุ้ว่าบาปกรรมเป็นยังไงหรือไม่เชื่อว่ามีจริงเปรียบเสมือนคนที่ไม่รุ้ว่าเหล็กเวลาเผาไฟจนแดงนั้นมันร้อนมาก คนที่รู้ร้อนเวลาเห็นเหล็กเผาไฟจนแดงจะจับด้วยความระมัดระวัง แต่คนที่ไม่รุ้นั้นจะจับเหล็กนั้นโดยกำเต็มแรง ถามว่าใครจะมีโอกาสบาดเจ็บมากกว่ากันครับสำหรับคนที่ละอายต่อบาปกับคนที่คิดว่าบาปกรรมไม่มี จากคุณ : life-x-zone - [ 29 มิ.ย. 51 19:52:54 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ท่าน จขกท อย่าเสียเวลามาเถียงกันเลย ดิฉันเคยเถียงกับพวกฝรั่งเรื่องคำสอนในศาสนาพุทธ รวมถึงเรื่อง นรก สวรรค์ ด้วย ไม่ว่าจะยกเหตุผล ตัวอย่าง ธรรมมะอะไรข้อไหนมาก็ตาม ก็ไม่สามารถทำให้เค้าเปิดใจให้กว้างขึ้นได้ พวกเค้ายังคิดว่าตนเองฉลาดมาก และดิฉันเป็นคนจิตใจคับแคบที่ยึดถือคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างจริงจัง เพราะเค้าไม่เคยปฏิบัติ ได้แต่อ่านจากตรงน้้น ตรงนี้ แล้วก็มาตีความกันเอาเอง ยกตัวอย่างมาไม่ได้ว่าท่าน จขกท นะคะ แค่จะบอกว่าถ้าสงสัยมาก ก็คงต้องพิสูจน์เองถึงจะหายสงสัยค่ะ ที่ จขกท บอกว่าจะหลับตาตายไปเฉยๆ ไม่อาลัยอะไร ท่านแน่ใจได้อย่างไร ขอโทษ ไม่ได้แช่งนะคะ แต่ความตายมันจะมาเมื่อไหร่ มาแบบไหนก็ไม่รู้ มีโอกาสไหมที่จิตนั้นอาจขุ่นมัว มีความโกรธอยู่ตอนตาย หรือตายแบบขาดสติ จากคุณ : PrincessPam - [ 29 มิ.ย. 51 23:11:44 ]

ความคิดเห็นที่ 41 รอให้ตายก่อนเถอะครับ เดี๋ยวได้รู้ ทุกคนก็จะได้รู้เมื่อตนตาย จากคุณ : Hafis - [ 30 มิ.ย. 51 03:50:07 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ^ ^ ^ ถูก จากคุณ : atheist - [ 30 มิ.ย. 51 03:53:28 ]

ความคิดเห็นที่ 43 # 30 เป็นคำตอบที่ตื้นเขินมาก เพราะคุณยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมยกมา ชีวิตสรรพสิ่งทั้งหลายที่มีวิญญาณ  ไม่ได้เหมือนบั้งไฟพญานาค นะครับ ที่ขึ้นมาแล้ว ก็หายวับไปในอากาศเฉย ๆ ...อย่าประมาท หากว่าคุณยังไม่ได้ลงมือพิสูจน์.. จากคุณ : ever rich - [ 30 มิ.ย. 51 05:32:17 ]

ความคิดเห็นที่ 44 การสนทนาธรรมกับคนที่ยึดมั่น ในความเชื่อของตน เป็นสิ่งที่เหนื่อยเปล่า เพราะแม้แต่ตัวเค้าเองก็เป้น คนไม่ชอบฟัง ไม่ชอบอ่าน ไม่ชอบหาความรู้ ไม่ชอบพิจารณาเหตุผล เพราะคิดว่าตัวเองนั้นคิดถูกแล้ว ยกเว้นว่าตัวเค้าคิดชั่วและจะชักชวนคนอื่นให้คิดชั่วและทำชั่ว ก็ควรห้ามด้วยความหวังดี เมื่อกินเกลือ จะบอกว่าไม่เค็มก็คงไม่ได้  แต่คนที่ยึดมั่นในความคิดก็ยังบอกว่าไม่เค็มอยุ่ดี เหมือนคนบาปตกนรก โดนคุมขังจะออกมาบอกกล่าวใครได้ เหมือนคนมีบุญอยุ่ราชวัง มีสุขในสวรรค์   จะอยากออกมาเปื้อนโคลนหรือ ความเชื่อที่ผิด และมักก่อความเดือดร้อนให้คนอื่นไม่ควรสนับสนุน ความเชื่อที่ถูก จะไม่ก่อความเดือดร้อนให้ใคร ความเกรงกลัวบาปไม่มี ก็ทำบาปได้โดยไม่ละอาย เรียกว่า คิดก็ชั่ว  ย่อมทำชั่วได้ ไม่อายไม่เกรงกลัว ย่อมทำตนเองและคนอื่นให้เดือดร้อน เรียกว่า ไร้ประโยชน์ ทั้งความคิดและการกระทำ แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 51 15:44:59 จากคุณ : เอก (aunemaek2) - [ 30 มิ.ย. 51 15:38:35 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ขอสนทนาแบบธรรมดาที่ไม่ต้องมีดวงตาแห่งธรรม เวลาถกเถียงเรื่องในกระทู้ สิ่งที่ควรนำมาแจกแจงน่าจะเป็นเหตุและผล ไม่ใช่ยกคำสอนหรือคำกล่าวของศาสดาใดๆมาอ้างอิง ซึ่งทุกครั้งที่ผมถาม ว่านรกมีจริงมั้ย ทุกคนก็จะประสานเสียงตอบมาว่า มี แต่.........เพราะเค้าบอกว่ามี บ้างก็ว่า เดี๋ยวตกลงไปก็รู้เองว่ามี ผมถามพวกคุณจริงๆว่า สิ่งที่คุณตอบมานั้น เกิดจากการรู้จริง หรือถุกอบรมสั่งสอนกันมา ตั้งแต่เด็กจนโตแบบ propaganda ลองตอบแบบคนธรรมดาๆก้ได้ครับ อย่างผมทั้งฟัง ทั้งปฏิบัติ มาตั้งแต่เด็กจนวันนี้ เมือมีคำถามว่า จริงหรือเปล่านะ ขึ้นในใจ จึงอยากรู้มุมมองของคนอื่นดูบ้างครับ จากคุณ : เทพบุตรศาลาแดง - [ 30 มิ.ย. 51 18:54:34 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ผมรุ้ว่าเป็น ความไม่ประมาทเท่านั้นแหละครับ(และประสบการณ์ภูตที่เคยมี) เหมือนคนที่คิดว่าคนเราจะบินได้ไหมนะ  ถ้าคิดว่าคนเราบินไม่ได้ ก็ประมาท ความไม่ประมาทนั้นแหละทำให้เกิดความเพียร ไม่ ทำให้ขี้เกียจ หรือเกิดการลบหลู่ หรือ ความชั่วต่างๆขึ้น แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 51 20:39:33 จากคุณ : เอก (aunemaek2) - [ 30 มิ.ย. 51 20:38:08 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เราจะเชื่อได้ยังไงว่า นรก หรือ สวรรค์ มีจริงถ้าไม่ได้เห็นด้วยตา แม้มีคนมาบอกว่าสวรรค์มีจริง เราก็คงต้องให้เค้าหาหลักฐานมายืนยัน แล้วจะมีใครมั้ยที่เคยได้สัมผัส นรก สวรรค์ และมีหลักฐานรับรองว่า นรก สวรรค์ มีจริง (เราว่าก็คงจะไม่มี) ความเชื่อมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงใดๆ ความเชื่อไม่ได้ทำให้เกิดโลกมนุษย์ นรก สวรรค์ ในทางกลับกัน ความไม่เชื่อก็ไม่ได้ทำให้โลกมนุษย์ นรก สวรรค์หายไป แต่ความเชื่อมันเปลี่ยนแปลงความคิดและการกระทำของมนุษย์ ก็แล้วแต่ว่าใครจะเลือกอะไร... จากคุณ : แม่มดจี๊ดจี๊ด - [ 1 ก.ค. 51 01:13:19 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ผ่านมาอ่าน... ... จากคุณ : ชายยอดนักทดลอง - [ 1 ก.ค. 51 18:54:11 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ก็ได้อยู่ - `๏’ - แต่นั่นก็เท่ากับว่าเราต้องเป็นพระอเสขบุคคลเสียก่อนนะท่านนะ- `๏’ - เสขบุคคล คือ ผู้ที่ยังต้องศึกษาได้แก่ พระอริยบุคคลที่ยังไม่บรรลุอรหัตตผล ประกอบด้วย พระโสดาบัน พระสกทาคามี และ พระอนาคามี. อเสขบุคคล คือ ผู้ไม่ต้องศึกษา กล่าวคือบุคคลผู้สิ้นกิเลสแล้ว หมายถึง พระอรหันต์ขึ้นไป รวมถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสนาสนะอันประกอบด้วยองค์ ๕ อย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ เสพอยู่ คบอยู่ ซึ่งเสนาสนะอันประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่นานนัก ก็พึงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะ อาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ฯ จบสูตรที่ ๑ อังคสูตร             [๑๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ละองค์ ๕ ได้แล้ว เป็นผู้ประกอบ ด้วยองค์ ๕ บัณฑิตเรียกว่า ผู้ประกอบด้วยคุณทั้งมวล ผู้อยู่จบพรหมจรรย์ เป็น อุดมบุรุษ ในธรรมวินัยนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้ละองค์ ๕ ได้แล้วอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละกามฉันทะได้แล้ว ๑ ละพยาบาทได้แล้ว ๑ ละ- *ถีนมิทธะได้แล้ว ๑ ละอุทธัจจกุกกุจจะได้แล้ว ๑ ละวิจิกิจฉาได้แล้ว ๑ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุละองค์ ๕ ได้แล้วอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้ ประกอบด้วยองค์ ๕ อย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยศีลขันธ์อัน เป็นของพระอเสขบุคคล ๑ ประกอบด้วยสมาธิขันธ์อันเป็นของพระอเสขบุคคล ๑ ประกอบด้วยปัญญาขันธ์อันเป็นของพระอเสขบุคคล ๑ ประกอบด้วยวิมุตติขันธ์อัน เป็นของพระอเสขบุคคล ๑ ประกอบด้วยวิมุตติญาณทัสสนขันธ์อันเป็นของพระ อเสขบุคคล ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้ประกอบ ด้วยองค์ ๕ อย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ละองค์ ๕ ได้แล้ว ผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ บัณฑิตเรียกว่า ผู้ประกอบด้วยคุณทั้งมวล ผู้อยู่จบพรหมจรรย์ เป็นอุดมบุรุษ ในธรรมวินัยนี้ ฯ                          กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ และ                          วิจิกิจฉา ย่อมไม่มีแก่ภิกษุโดยประการทั้งปวงเทียว ภิกษุผู้                          เช่นนั้นสมบูรณ์ด้วยศีลอันเป็นของพระอเสขะ ด้วยสมาธิ                          อันเป็นของพระอเสขะ ด้วยปัญญาอันเป็นของพระอเสขะ                          ด้วยวิมุตติอันเป็นของพระอเสขะ และด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ                          อันเป็นของพระอเสขะ ภิกษุนั้นแล เป็นผู้ละองค์ ๕ สมบูรณ์                          แล้วด้วยองค์ ๕ ภิกษุนั้นแล บัณฑิตเรียกว่า ผู้ประกอบ                          ด้วยคุณทั้งมวลในธรรมวินัยนี้ ฯ จบสูตรที่ ๒ จากคุณ : ดาญาณ - [ 9 ก.ค. 51 09:28:10 ]