ความคิดเห็นที่ 1 ตำนานบาบิโลเนียน อุต-นาฟิสติม (Ut-Napishtim) เป็นเอกสารที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับน้ำท่วมของวีรบุรุษสุเมเรียนที่ชื่อ ซิอุสุดรา แต่เป็นฉบับบาบิโลเนียน ตัวละครอีกคนหนึ่งที่สำคัญคือ กิลกาเมซ (Gilgamesh) ในตำนานเล่าว่า กิลกาเมซตัดสินใจที่จะเสาะหาบรรพบุรุษของตน เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งความอมตะ เขาถูกเตือนถึงภัยอันตรายต่าง ๆ ระหว่างการเดินทาง และอาจได้เดินผ่าน "ภูเขามาซู (Mashu) และสายน้ำแห่งความตาย" การเดินทางครั้งนั้นก็เสร็จลุล่วงไปด้วยดีด้วยความช่วยเหลือของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ชามาซ (Shamash) แต่แล้ว กิลกาเมซก็ได้เผชิญหน้ากับภยันตรายทุกรูปแบบจนได้เจอกับอุต-นาฟิสติม ในบันทึกได้ตัดในส่วนที่เกี่ยวกับสถานที่ที่ได้พบกันของกิลกาเมซกับอุต-นาฟิสติม อุต-นาฟิสติมได้บอกกับกิลกาเมซว่า "เหล่าเทพเจ้านั้นได้สงวนปริศนาแห่งความตายและชีวิตแก่ตัวของเขาเองเท่านั้น (ไม่สามารถแพร่งพรายให้มนุษย์ได้)" กิลกาเมซได้ถามอุต-นาฟิสติมกลับไปว่า เขาจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้ได้มาซึ่งความอมตะ อุต-นาฟิสติมจึงได้เล่าเรื่องน้ำท่วมเป็นคำถามของเขา นอกจากนี้ในนิทานเรื่อง "โต๊ะ 12 ตัว" ของกิลกาเมซ ก็มีการกล่าวถึงน้ำท่วมด้วยเช่นกัน จากคุณ : DJC - [ 12 ก.ค. 51 11:13:36 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อุต-นาฟิสติมเริ่มต้นด้วยการบอกกับกิลกาเมซว่า "ปริศนาบางอย่าง ก็เป็นปริศนาของพระเจ้า" เขากล่าวว่า เขามาจากเมืองชุรุปปักเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาเมืองต่าง ๆ ในดินแดนอัคคาด (Akkad) จากคำบอกเล่าของเขามีอยู่ว่า เทพเจ้าซึ่งนามว่า "เอีย (Ea)" ได้ประกาศแก่เขาว่า พระองค์ได้ตัดสินใจทำลายชีวิตทุกอย่างด้วยภัยน้ำท่วม แต่เหตุที่พระองค์ตัดสินใจเช่นนั้นไม่ปรากฏ เหมือนที่ไม่ปรากฏในฉบับสุเมเรียน เทพเจ้าเอียได้บอกให้เขาสร้างเรือที่สามารถพาคนไปด้วย และให้นำ "เมล็ดพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด" ไปด้วย เขาเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับขนาดและรูปร่างของเรือ ทั้งความกว้าง ความยาว และความสูง พายุได้พัดพาทุกอย่างที่อยู่ข้างบน ลงมาถึง 6 วัน 6 คืน จนถึงวันที่ 7 ทุกอย่างก็สงบ เมื่ออุต-นาฟิสติม มองออกไปข้างนอก เขากล่าวว่า "มันกลายเป็นดินโคลนที่เหนียว" แล้วเรือก็เกยตื้นอยู่ที่ภูเขานิซารฺ (Nizar) จากคุณ : DJC - [ 12 ก.ค. 51 11:23:17 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ตำนานอัสซีเรียน จากตำนานอัสซีเรียน-บาบิโลเนียน กล่าวว่าอุเบรฺ-ตูตู (Ubar-Tutu) หรือ (Khasisatra) พร้อมครอบครัว คนรับใช้ กลุ่มคนจำนวนหนึ่ง และสัตว์ป่ารอดพ้นจากน้ำท่วมโดยได้ขึ้นเรือ ซึ่งมีขนาดความยาว ความกว้างและความสูง ขนาด 600 ศอก น้ำใช้เวลาท่วม 6 วัน 6 คืน เมื่อเรือไปเกยตื้นที่ภูเขานิซารฺ นกเขาที่ถูกปล่อยให้ไปสืบข่าวคราวน้ำท่วมได้กลับมา ส่วนอีกาไม่กลับ สรุปจากตำนานของสุเมเรียน อัสซีเรียน และบาบิโลเนียน อุต-นาฟิสติม พร้อมครอบครัวได้รอดพ้นจากน้ำท่วมใช้เวลา 6 วัน 6 คืน และมีบันทึกอีกว่า "ในวันที่ 7 อุต-นาฟิสติมได้มองออกไปข้างนอก ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวช่างเงียบเชียบวังเวง เขาจะต้องกลับไปยังดินโคลนเหล่านั้น" เมื่อเรือได้มาเกยตื้นอยู่บนภูเขานิซารฺ อุต-นาฟิสติมได้ปล่อยนกไป 3 ตัว คือนกพิราบ 1 ตัว นกกา 1 ตัว และนกกระจอก 1 ตัว ผลปรากฏว่านกพิราบกับนกกระจอกบินกลับมา ส่วนนกกานั้นไม่กลับมาเพราะอยู่กินซากศพของมนุษย์ จากคุณ : DJC - [ 12 ก.ค. 51 11:34:16 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ตำนานอินเดีย พระนารายณ์ได้อวตารลงมาเป็นปลา  ในภาคที่เรียกว่า มัตสยาวตาร เพราะพรหมผู้เป็นเจ้าจะเข้าสู่พรหมราตรี เพราะพรหมนั้นจะสร้างสรรคและดูแลสรรพสิ่งเฉพาะพรหมทิวาเท่านั้น  และเมื่อพระพรหมผู้เป็นเจ้าได้เข้าสู่การบรรทม อสูรหนึ่งที่มีนามว่า "หัยครีพ" ได้เข้ามาขโมยพระเวทอันศักสิทธิ์ ที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระพรหม ให้ขณะที่บรรทม แล้วก็หนีไปยังบาดาลพระนารายณ์เกรงว่าอสูรนั้นจะทำความเสียหายแก่โลกด้วยนำพระเวทไปใช้ในทางที่ผิดมนุย์จะเดือดร้อน จึงใช้วิธีตัดตอนปัญหาแบบเทพเทวา โดยอวตาลมาเป็นปลาตัวเล็ก ชื่อ "ศะผะริ" ให้พระมนู ผู้เป็นเจ้าเมืองมีเหตุต้องช้อนเอาไปเลี้ยง แต่เมื่อเอาไปเลี้ยงในภาชนะเล็กๆปลาก็โตใหญ่คับอย่างรวดเร็ว เอาไปใสในสระ ไม่นานก็คับสระ เอาไปใส่ในคลองก็คับคลองไม่นานนัก เอาไปใส่ในแม่น้ำไม่นานก็โตใหญ่เต็มแม่น้ำ พระมนูไวยวัตรเจ้าเมืองจึงเอะใจว่า นี่คงไม่ใช่ปลาธรรมดาแต่เป็นปลาเทพอวตารมาเป็นแน่จึงถวายนมัสการ  มัสยาอวตารจึงกล่าวให้หาทางแก้ปัญหาเสียแต่ต้นๆ เพราะว่าเมื่อพรหมราตรีมาถึงอสูรอาจทำความเสียหายแก่โลกด้วยพระเวทนั้น น้ำจะท้วมโลกกันใหญ่โต ด้วยว่าพระมนูไวยวัตรนั้นเป็นผู้ปกครองที่ดีจึงได้อวตารมาบอกให้เอาตัวรอดไว้ก่อนปัญหาจะเกิด โดยให้ต่อเรือแล้วนำสัตว์เป็นคู่ๆขึ้นไปเก็บรักษาไว้ แล้วขนข้าราชบริพารและราชวงศ์ขึ้นไปด้วยเพื่อจะได้รอดชีวิต  ต่อมาน้ำก็ท่วมแล้วคนในเรื่อก็รอดชีวิต  แล้วปลาศิผะริ ก็ไปจัดการปราบอสูร หัยครีพ บ้างก็อ้างว่าพระมนูนี้เป็นฤษีที่มีชื่อว่า พระมนูธรรมศาสตร์ อันเป็นผู้วางเรื่องกฏหมายในยุคแรกๆ บ้างก็ว่า จากการรอดของพระมนูนี้เป็นเหตุให้ มีคำเรียกคนนยุคถัดมานั้นว่า มนุษย์ เพราะตามก็มาจากเชื่อสายของพระมนู จากคุณ : DJC - [ 12 ก.ค. 51 11:42:54 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ตำนานยุโรปเหนือ จากตำนานเวลส์ (จากแคว้นเวลส์ในประเทศอังกฤษ เขตเซลติก บนเกาะบริเตน) ดยอนเวน (Dwyfan) และดเยาเฟช (Dwyfach) ได้หนีขึ้นเรือจากมหันตภัยครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นน้ำท่วมที่เกิดขึ้นจากการระเบิดของลิลเลียน (Llyllion) หรือเรียกอีกอย่างว่าทะเลสาบแห่งคลื่น เมื่อน้ำลดลง ทั้งดยอนเวนและดเยาเฟช ก็ได้สร้างชุมชนบริเตนอีกครั้ง จากตำนานของนอร์ดิก เอ็ดดา (Nordic Edda) ในตำนานสแกนดิเนเวีย กล่าวว่าเบอร์กัลป์มีร (Bergalmir) และภรรยาได้หลบหนีน้ำท่วมครั้งใหญ่โดยขึ้นไปบนเรือขนาดใหญ่ ในตำนานของลิทัวเนียกล่าวว่า มีคนและสัตว์จำนวนหนึ่งได้รอดพ้นจากความตาย โดยการหาที่กำบังในชะง่อนผาของภูเขาขนาดใหญ่ ขณะที่ลมกรรโชกและน้ำท่วมอย่างรุนแรง ประมาณ 12 วัน 12 คืน และท่วมสูงจนเกือบจะกลืนภูเขา จนเทพเจ้าได้โยนเปลือกถั่วขนาดยักษ์ลงมา ทำให้ทั้งคนละสัตว์เหล่านั้นรอดชีวิตมาได้โดยการอาศัยอยู่บนเปลือกถั่วขนาดยักษ์ จากคุณ : DJC - [ 12 ก.ค. 51 12:07:35 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เป็นเรื่องจริงครับ มีหลักฐาน ทาง ประวัติศาสตร์ที่ชัดเจน โดยผู้ทำ research ด้านนี้ อ้างอิงจาก Bible และ นักภูมิศาสตร์ก็ยังยีนยันอีกเช่นกัน จากคุณ : pittboy2603 - [ 12 ก.ค. 51 12:09:30 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เทพนิยายกรีก คู่สามีภรรยา ที่ชื่อว่า ดิวคาเลียน (Deucalion) และ เพียร่า (Pyrrha) โดยเรื่องนี้ได้ปรากฎในเทพนิยายกรีก ตั้งแต่เมื่อ 1500 ปีก่อนคริสตกาลโดยกล่าวไว้ว่า ซุสและเหล่าเทพเจ้าได้ทำให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่เพื่อทำการชำระล้างล้างโลกมนุษย์ ซึ่งพ่อของดิวคาเลียนก็ได้บอกกับบุตรชาย และลูกสะใภ้ให้สร้างเรือที่แข็งแรงขึ้นมา และทำการตุนเสบียงอาหารเอาไว้ ดังนั้นเมื่อถึงเวลาน้ำท่วมโลกก็ปรากฎว่าทั้งสองนั้นลอยอยู่ในเรือเป็นเวลาถึง 9 วัน 9 คืน จนกระทั่งมาเกยตี้นที่ภูเขาพาร์นาสซัส (Parnassus) ในที่สุด ทั้งสองปลอดภัยดีแต่ว่าก็เป็นเพียงแค่ 2 คนที่รอดชีวิตอยู่เท่านั้น พวกเขาเดินไปเรื่อยๆ ในขณะที่น้ำค่อยลดลงและเผยให้เห็นถึงภูมิประเทศต่าง ๆ มากขึ้น เมื่อไม่รู้จะทำยังไงดี พวกเขาก็ได้วิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งก็มีเสียงตอบออกมาว่า "จงขว้างกระดูกของแม่ข้ามหัวไหล่ของเจ้าไป" ดิวคาเลียน ทายว่ากระดูกของแม่ หรือ โลก ก็คือก้อนหิน ดังนั้นเขาทั้งสองจึงเดินหาและ เก็บก้อนหินมาแล้ว ก็ขว้างข้ามหัวไหล่ของตน ไปทางด้านหลัง ซึ่งเมื่อทั้งสองหันหลังไปก็พบมนุษย์อยู่ โดยก้อนหินที่ขว้าง โดยหินที่ดิวคาเลียนขว้างออกไปนั้นกลายเป็นมนุษย์ผู้ชาย และก้อนหินที่ขว้างโดยเพียร่านั้นก็กลายเป็นมนุษย์ผู้หญิง บุตรชายของดิวคาเลียนและเพียร่า คือ เฮลเลน (Hellen) ซึ่งก็คือบรรพบุรุษของชาวกรีก โดยชาวกรีกเรียกตัวเองว่า เฮลลัส (Hallas) จากคุณ : DJC - [ 12 ก.ค. 51 12:27:46 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ความคิดเห็นที่ 6   เป็นเรื่องจริงครับ มีหลักฐาน ทาง ประวัติศาสตร์ที่ชัดเจน โดยผู้ทำ research ด้านนี้ อ้างอิงจาก Bible และ นักภูมิศาสตร์ก็ยังยีนยันอีกเช่นกัน จากคุณ : pittboy2603 เอาอีกแล้ว คำว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชัดเจน เดี๋ยวเราลองมาดูกันว่ามันชัดเจนขนาดไหน คำถามฝากให้คิด เหตุการณ์น้ำท่วมโลก เกิดขึ้นบางพื้นที่หรือท่วมทั้งโลก? ขออภัยที่พิมพ์ตก พิมพ์ผิด ปะปนกันไป หัวกระทู้ก็พิมพ์ผิด ต้องเหตุการณ์น้ำท่วมโลกสิ เฮ้ออออ แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 51 12:33:51 จากคุณ : DJC - [ 12 ก.ค. 51 12:32:03 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ตำนานจีน เจ้าแห่งสวรรค์คือเทียนเฉิน (Tien-Shen) ที่ไทยเรียกว่าเง็กเซียนฮ่องเต้ ได้ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในโลกเพื่อลงโทษมนุษย์ที่ชั่วร้าย ผู้คนต้องไปซ่อนตัวตามภูเขา แย่งอาหารและที่อยู่กับสัตว์ร้ายทำให้ต้องทนทุกข์ทรมานมาก มีเทพเจ้าเพียงองค์เดียวในสวรรค์คือกุน (Gun) ซึ่งมีเมตตาต่อมนุษยชาติและรู้สึกว่าการลงโทษนี้รุนแรงเกินไป จึงขอร้องให้เง็กเซียนฮ่องเต้ทำให้น้ำลด แต่ไม่เป็นผล วันหนึ่งกุนไปพบนกฮูกและเต่าโดยบังเอิญและเล่าปัญหาของเขาให้ฟัง สัตว์ทั้งสองแนะนำว่าเง็กเซียนมีวัตถุกายสิทธิ์ซึ่งดูเหมือนก้อนดินธรรมดา หากกุนสามารถเอาวัตถุนี้โยนลงไปในน้ำ มันจะขยายตัวกลายเป็นเขื่อนกั้นน้ำได้ ซึ่งกุนก็ฝ่าฟันอุปสรรคหาดินนี้มาได้ก้อนหนึ่งแล้วจึงลงไปยังโลกมนุษย์ โยนก้อนดินลงไปในน้ำ ทันใดนั้นดินก็เริ่มโก่งตัวขึ้น ไม่ช้าก็กลายเป็นภูเขากั้นน้ำเอาไว้ น้ำจึงแห้งสนิท เหล่ามนุษย์พากันปีติยินดี แต่เง็กเซียนโกรธมากจึงส่งเทพแห่งไฟลงมาฆ่ากุน แล้วนำดินที่เหลือกลับไปสวรรค์ น้ำจึงท่วมโลกอีกครั้งหนึ่ง แม้กุนจะถูกฆ่าแต่วิญญาณของเขายังอยู่เพื่อทำภารกิจให้เสร็จสิ้น มีชีวิตใหม่เกิดขึ้นในร่างของเขา หลังจากเวลาผ่านไป ๓ ปี โดยที่มนุษย์ที่เศร้าโศกคิดถึงกุนเฝ้าระวังร่างของเขาอยู่ เง็กเซียนก็ส่งเทวดาถือดาบลงมาเพื่อทำลายร่างของกุน เมื่อคมดาบต้องร่างของเขา มังกรร้ายก็โผล่ออกมา มังกรนี้คือ กู่ (Gu) ผู้เป็นลูกของกุนนั่นเอง กู่ได้สานต่อภารกิจของบิดาจนสำเร็จและสามารถควบคุมน้ำท่วมได้ตัวกู่เองกลายเป็นมังกรเหลืองและลงไปอยู่ที่ก้นทะเล อีกตำนาน... เหยา (Yao) และคนอีก 7 คนหรือฟ่า ลี (Fa li) พร้อมภรรยาและลูก ๆ ได้รอดพ้นจากมหัตภัยน้ำท่วมและแผ่นดินไหวโดยการล่องเรือ ในตำนานยังกล่าวอีกว่า "ผืนแผ่นดินเต็มไปด้วยความพินาศ" มีน้ำปกคลุมไปทุกแห่งในที่สุดน้ำก็ลดลง แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 51 12:49:47 จากคุณ : DJC - [ 12 ก.ค. 51 12:49:06 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ข้างต้นนั่นเป็นเพียงตำนานหรือเทพนิยาย   เท่าที่ทราบมา  ตามคัมภีร์ของพุทธศาสนานั้น  ตถาคตผู้เป็นสัมพัญญูบอกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า...ต่อให้ฝนตกลงมาจากฟากฟ้ามายมายเท่าใด   น้ำทะเลนั้นมันจะไม่มีวันล้นออกจากฝั่งของมหาสมุทรเป็นอันขาด... จากคุณ : ชญานนท์ - [ 12 ก.ค. 51 13:18:44 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ลองอ่าน...หลักฐานน้ำท่วมครั้งใหญ่ ที่มีผลกระทบไปทั่วโลก ในช่วงอบอุ่นคั่นยุคน้ำแข็ง (Interglacial Period) Younger Dryas คือปรากฏการณ์ความหนาวเย็นที่เกิดขึ้นเมื่อ 13,000 ปีก่อน เมื่อยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุดคือ Wisconsin glacial period สิ้นสุดลง โลกก็อบอุ่นขึ้นตามลำดับ แต่แล้วเหมือนจะในทันทีทันใด โลกก็กลับเย็นลงอย่างรวดเร็ว เย็นมากจนเกือบจะกลับเข้าสู่ยุคน้ำแข็งเต็มตัว จากหลักฐานคือร่องรอยของดอก dryas ซึ่งเป็นพืชในเขต tundra แพร่กระจายทั่วทั้งยุโรปและอเมริกาเหนือเป็นบริเวณกว้าง และภูมิอากาศคงความหนาวเย็นอยู่เช่นนั้นนานหลายร้อยปี ก่อนที่จะกลับอบอุ่นขึ้นอีกครั้ง จนเข้าสู่ยุคอบอุ่นระหว่างยุคน้ำแข็งในปัจจุบันที่เรียกว่า Holocene interglacial http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X6576611/X6576611.html แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 51 13:55:57 จากคุณ : DJC - [ 12 ก.ค. 51 13:55:27 ]

ความคิดเห็นที่ 12 สีน้ำตาลคือบริเวณที่น้ำเพิ่มระดับขึ้นมาในปัจจุบัน สีขาวคือแผ่นน้ำแข็ง (Ice sheet) ปกคลุมบนทวีปในอดีต จากคุณ : DJC - [ 12 ก.ค. 51 14:14:09 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ไม่ใช่โลกเพิ่งเกิดเมื่อ 6 พันปีตามคัมภีร์ของพวกยิว เพราะเมื่อหมื่นปีที่แล้วมีมนุษย์ตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อนแล้ว อากาศหนาวเย็นของยุคน้ำแข็งสิ้นสุดเมื่อประมาณ 8 พันปีที่แล้ว จากคุณ : DJC - [ 12 ก.ค. 51 14:18:35 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ไม่แปลกที่มีเรื่องราวของน้ำท่วมของชาวโลกทั่วทั้งโลก แต่ที่น่าสนใจคือ เรื่องไหนจริงที่สุดในการควรค่าแก่การอ้างว่า "มีหลักฐาน ทาง ประวัติศาสตร์ที่ชัดเจน" เพราะเรื่องราวของ ดิวคาเลี่ยน ในเทพนิยายกรีกก็สามารถอ้างได้ว่าตรงกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์เช่นกัน แต่การบอกว่าขว้างหินข้ามหัวไหล่ไปด้านหลังแล้วเป็นมนุษย์ นี่คือตำนานที่เป็นไปไม่ได้ แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 51 14:48:43 จากคุณ : DJC - [ 12 ก.ค. 51 14:40:01 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ความคิดเห็นที่ 13   ไม่ใช่โลกเพิ่งเกิดเมื่อ 6 พันปีตามคัมภีร์ของพวกยิว เพราะเมื่อหมื่นปีที่แล้วมีมนุษย์ตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อนแล้ว อากาศหนาวเย็นของยุคน้ำแข็งสิ้นสุดเมื่อประมาณ 8 พันปีที่แล้ว จากคุณ : DJC  - [ 12 ก.ค. 51 14:18:35 ] ***** 5555++ ข้อไหน บทไหนเหรอครับที่บอกว่า "โลกเพิ่งเกิดเมื่อ 6 พันปีตามคัมภีร์ของพวกยิว"   ยกบทกับข้อ มาเป็นหลักฐานหน่อยซิครับ   คือ ผมสงสัย  เพราะอ่านพระคัมภีร์ จะ ยี่สิบรอบ ยังไม่เคยเจอเลยที่ว่า โลกเกิดมาเมื่อ 6 พันปีที่แล้ว   ขอหลักฐานหน่อยนะครับ  เผื่อผมอ่านข้าม หรือตกหล่นไป แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 51 15:43:33 จากคุณ : ศรัทธาพลัง - [ 12 ก.ค. 51 15:43:13 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เรื่องอายุของโลกในไบเบิ้ลน่าจะได้มาจากการคำนวณมากกว่าครับคุณศรัทธาพลัง.... http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5 การเปรียบเทียบกับช่วงเวลาในประวัติศาสตร์โลก บนพื้นฐานของพระธรรมปฐมกาล ศาสนายูดาย และศาสนาคริสต์ ต่างยึดเอาพระธรรมปฐมกาล และพระธรรมเล่มต่อๆ มาเป็นเครื่องช่วยในการคำนวณอายุเหตุการณ์ต่างๆ ที่ปรากฏตามหลักฐานของพระคัมภีร์ เชื่อว่าโลกนี้ถูกสร้างเมื่อ 4 พันปีก่อนคริสตกาล (the beginning of the 4th millennium BC.) โดยนับตั้งแต่วันเริ่มแรกสร้างโลกของพระเจ้า การกำเนิดอาดัม และอีฟ และเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่ระบุไว้ในพระคัมภีร์ และวันแรกของการสร้างโลกที่คำนวณด้วยวิธีการนี้ ที่เป็นที่ยอมรับและกล่าวอ้างถึงมากที่สุด คือ.... ....เวลา 9 โมงเช้า ของวันที่ 23 เดือนตุลาคม เมื่อ 4004 ปีก่อนคริสตกาล.... ซึ่ง บิช๊อป เจมส์ ยูเซอร์ (Anglican Bishop James Ussher) เป็นผู้คำนวณขึ้น แต่การคำนวณอายุโลกด้วยวิธีการดังกล่าว ก่อให้เกิดข้อกังขาขึ้นอย่างมาก รวมทั้งนักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดีโดยส่วนใหญ่ต่างก็ไม่ยอมรับการคำนวณอายุโลกด้วยวิธีการดังกล่าว นอกจากนี้ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ทั้งด้านดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และชีววิทยา ล้วนแล้วแต่ไม่สอดคล้องกับผลการคำนวณดังกล่าว เนื่องจากหลักฐานบางอย่างระบุอายุของโลกไว้กว่า 4 พันล้านปีด้วยซ้ำไป ประเด็นอายุของโลกจึงยังคงเป็นที่ถกเถียงกันระหว่างศาสนศาตร์ และนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ในปัจจุบัน.... มันเป็นความรู้(ทางคณิตศาสตร์)รอบตัวง่าย ๆ ครับ  ประมาณนี้ครับ... 4,000 ปี ก่อนคริสตกาล   + 2,000 ปี หลังคริสตกาล  = 6,000 ปี หลังคริสตกาล แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 51 17:45:50 จากคุณ : ชญานนท์ - [ 12 ก.ค. 51 17:42:29 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ^ ^ ขอบคุณครับ คุณ ชญานนท์ สรุปเป็นการคำนวน  ไม่ได้ถุกเขียนไว้ในพระคัมภีร์ ถูกต้องนะครับ เป็นที่เข้าใจตรงกัน   เรื่องคำนวน  เป็นเรื่องของมนุษย์ ปถุชนครับ  ไปตัดสินพระสติปัญญาของพระเจ้าไม่ได้หรอกครับ เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป เราจะเห็นว่า ในอดีต มีการคาดการณ์ต่างๆ ผิดพลาดไปเยอะครับ   แต่เราก็ไม่ไปโทษผู้คนในอดีตนะครับ  เพราะวิวัฒนาการทางด้านความรู้มันแตกต่างกันเยอะมากครับ แต่เราก็ต้องใจกว้างพอที่จะรับฟังเหตุและผล ของคนในยุคสมัยต่างๆ กันไปครับ จากคุณ : ศรัทธาพลัง - [ 12 ก.ค. 51 18:34:46 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ตามอ่านครับ ชอบแนวนี้อยู่ด้วย จากคุณ : narin-nar (Narin-nar) - [ 12 ก.ค. 51 18:54:49 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ในไบเบิลยังมีมีเขียนไว้ว่า 1วันของพระเจ้า เท่ากับ1000ปีของมนุษย์มั้ง แล้วอย่างงี้จะคำนวณอายุของของโลกแบบเป็นวันที่มนุษย์เข้าใจ หรือจะคำนวณอีกแบบฮะ จากคุณ : taiyo - [ 12 ก.ค. 51 22:12:56 ]

ความคิดเห็นที่ 20 -------- โลกผ่านยุคน้ำแข้ง  ยุคน้ำแข้งละลาย มาหลายครั้งแล้ว เว็บบอร์ดของกรมอุตุนิยมวิทยา18 พ.ค. 2008 ... การกลับหนาว-ร้อนของโลกมีลักษณะที่เป็นวัฏจักร ไม่ใช่มีแต่ร้อนขึ้นอย่างเดียว ที่ผ่านมามียุคน้ำท่วมโลก และยุคน้ำแข็งสลับกันมาหลายครั้งแล้ว ... www2.tmd.go.th/.../show.php?Category=meteorology&No=3983&PHPSESSID=431f44017b862dcb03fa632107c8578b - 33k - หน้าที่ถูกเก็บไว้ - หน้าที่คล้ายกัน http://www2.tmd.go.th/webboard/show.php? Category=meteorology&No=3983&PHPSESSID=431f44017b862dcb03fa632107c8578b ยุคน้ำแข้งของโลก  world ice ages http://images.google.co.th/images?sourceid=navclient&ie=UTF-8&rlz=1T4AMSA_enTH249TH277&q=world%20ice%20age&um=1&sa=N&tab=wi แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 51 22:57:19 จากคุณ : วงกลม - [ 12 ก.ค. 51 22:54:09 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เข้าไปใน link ของคุณวงกลมไปเจอภาพมากมายของภาพยนตร์ Animation เรื่อง Ice Age 2 ผมดูแล้ว เรื่องนี้เป็นภาพยนต์ที่เฮฮาและมีสาระ รวมถึงเกี่ยวข้องกับเรื่องน้ำท่วมด้วย โดยอธิบายความเป็นมาของทำนบน้ำแข็งของทะเลสาบน้ำแข็งแห่งนึงเริ่มร้าว ปริ และแตก จนกระทั่งพังทลาย ทำให้ปริมาณน้ำจำนวนมหาศาลไหลบ่าออกมาอย่างรวดเร็ว เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ เรื่องนี้ยังล้อเลียนเรื่องราวในคัมภีร์ของยิวด้วย... เป็นไปซะอย่างงั้น การละลายของทะเลสาบน้ำแข็งขนาดใหญ่ ทำให้น้ำจืดปริมาณมหาศาลไหลทะลักออกมา แล้วไหลลงสู่มหาสมุทรอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาท้าย ๆ ของยุคน้ำแข็งช่วงหนึ่งนั้น  อุณหภูมิและความหนาแน่นของน้ำจืดที่ว่า ได้ปิดกั้นกระแสน้ำอุ่นจากเส้นศูนย์สูตรที่ไหลหมุนเวียนขึ้นไปยังขั้วโลกตามวัฏจักร ทำให้โลกแทนที่จะอุ่นขึ้นด้วยกระแสน้ำอุ่น กลับเย็นเฉียบขึ้นอีกในช่วงเวลาสั้น ๆ ทำให้ดอกไม้ในเขตขั้วโลกขยายพันธุ์และเบ่งบานอีกครั้ง ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Younger Dryas ตามทฤษฏีใน link คคห.11 นอกจากนั้น... การไหลบ่าของน้ำจำนวนมหาศาลยังทำให้ปริมาณน้ำในทะเลต่าง ๆ เอ่อล้นและท่วมขึ้นมาด้วย มันน่าสนใจมั้ยล่ะว่าเรื่องน้ำท่วมโลกนี่ไม่ใช่เพียงตำนานถึงแม้มันจะผสมผสานด้วยตำนาน เราก็ต้องแยกส่วนผสมและวิเคราะห์ความจริงในนั้นด้วย It is theorized that while drainage to the Arctic Ocean basin (e.g. by the Ob and Yenisei Rivers) was prevented, the lake would eventually overflow to the Mediterranean Sea through a circuitous route that would include the Aral Sea, the Caspian Sea, and the Black Sea. Interestingly, this would have resulted in water from the Selenga River and Lake Baikal draining over a course of some 6,000 miles, considerably longer than any river's course today. http://www.esd.ornl.gov/projects/qen/lake.html animation เรื่อง Ice Age 2 เฮฮามาก แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 51 01:04:42 จากคุณ : DJC - [ 13 ก.ค. 51 00:54:51 ]

ความคิดเห็นที่ 22 สรุปเป็นการคำนวน  ไม่ได้ถุกเขียนไว้ในพระคัมภีร์ ถูกต้องนะครับ ไม่ถูกนะครับ เพราะมันถูกเขียนในคัมภีร์น่ะสิครับ แต่ไม่ใช่การใส่ตัวเลข 6,000 เท่านั้นเอง แต่เป็นตัวเลขต่าง ๆ ที่ระบุไว้อย่างมากมาย เมื่อนำมารวม ๆ กันแล้วได้ประมาณ 6,000 จนมีแนวคิดนำไปอ้างอิงเรียกว่า Young earth น่ะสิครับ อย่างเช่นพวกนี้ >> http://en.wikipedia.org/wiki/Young_Earth_creationism ถ้ารวมกันแล้วไม่ใช่ประมาณ 6,000 ก็ต้องแจกแจงล่ะครับว่าตัวเลขมากมายเหล่านั้นใส่มาทำไม บอกอะไรเราได้บ้าง ในเมื่อตัวเลขที่เรียกว่า "อายุ" เหล่านั้น นำไปทำการอ้างอิงเรื่องราวในประวัติศาสตร์และก่อนประวัติศาสตร์ไม่ได้เลย จากคุณ : DJC - [ 13 ก.ค. 51 01:26:32 ]

ความคิดเห็นที่ 23 วิธีการนับเอาอายุของคนแต่ละรุ่นที่อยู่ในคัมภีร์มาบวก ๆ รวมกันนั่นเป็นการคำนวณครับ เอาเป็นว่าผมถาม**คุณ Hollowpig** ดีกว่านะครับว่า....ตถาคตบอกบอกเอาไว้ในพระไตรปิฎกว่า...ต่อให้ฝนตกลงมาจากฟากฟ้ามายมายเท่าใด   น้ำทะเลนั้นมันจะไม่มีวันล้นออกจากฝั่งของมหาสมุทรเป็นอันขาด.... อย่างนั้น??  ใช่ไหมครับ?? แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 51 09:31:57 จากคุณ : ชญานนท์ - [ 13 ก.ค. 51 08:30:17 ]

ความคิดเห็นที่ 24 พระพุทธเจ้า เคยเห็นทะเลหรือครับ ประเทศเนปาล ถิ่นเดิมของพระพุทธเจ้า  เป็นภูเขา จากคุณ : narin-nar (Narin-nar) - [ 13 ก.ค. 51 09:39:37 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ความคิดเห็นที่ 21   เข้าไปใน link ของคุณวงกลมไปเจอภาพมากมายของภาพยนตร์ Animation เรื่อง Ice Age 2 ผมดูแล้ว ******* ดูที่เป็นข้อมูลความรู้  ถ้าจะหาความรุ้อย่าไปฌฉไฉดูแต่ที่ไม่ตรง โดยเฉพาะเรือ่งหนังที่ชื่อตรงกัน    เรื่อง มีน้ำท่วมโลกมาแล้วหลายคร้ง   ถ้าจะหาความจริง ต้องดูความจริง  อย่าไหลไปทางอื่น ไม่มีประโยชน์ต่อการแสวงหาความจริง   ความคิดเห็นที่ 20   -------- โลกผ่านยุคน้ำแข้ง  ยุคน้ำแข้งละลาย มาหลายครั้งแล้ว เว็บบอร์ดของกรมอุตุนิยมวิทยา18 พ.ค. 2008 ... การกลับหนาว-ร้อนของโลกมีลักษณะที่เป็นวัฏจักร ไม่ใช่มีแต่ร้อนขึ้นอย่างเดียว ที่ผ่านมามียุคน้ำท่วมโลก และยุคน้ำแข็งสลับกันมาหลายครั้งแล้ว ... www2.tmd.go.th/.../show.php?Category=meteorology&No=3983&PHPSESSID=431f44017b862dcb03fa632107c8578b - 33k - หน้าที่ถูกเก็บไว้ - หน้าที่คล้ายกัน http://www2.tmd.go.th/webboard/show.php? Category=meteorology&No=3983&PHPSESSID=431f44017b862dcb03fa632107c8578b จากคุณ : วงกลม - [ 13 ก.ค. 51 10:18:16 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ความเห็นที่ 24 เขาว่า...ไม่มีอะไรที่ตถาคตนั้นไม่รู้ครับ  เพราะพระองค์คือ...สัมพัญญูโลกวิฑูร  สิ่งที่พระองค์รู้นั้นมีมากกว่าใบไม้ในป่า  แต่สิ่งที่พระองค์สอนนั้นเปรียบเหมือนใบไม้เพียงในกำมือ ตถาคตเคยเห็นทะเลหรือเปล่านั้น??....ผมไม่ทราบครับ แต่เท่าที่ผมทราบเหล่านี้คือ....ตถาคตทรงเปรียบพระธรรมวินัย(ที่พระองค์บัญญัติขึ้น)เช่นเดียวกับความมหัศจรรย์ของมหาสมุทร ทั้ง 8 ประการ (ที่ท้าวปหาราทะจอมอสูรเป็นผู้บอกกับพระองค์)  ดังนี้ครับ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=23&A=4030&Z=4163 . . ดูกรปหาราทะ **มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง** ฉันใด สาวก ทั้งหลายของเราก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้แม้เพราะเหตุ แห่งชีวิต ดูกรปหาราทะ ข้อที่สาวกทั้งหลายของเราไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติ ไว้แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๒ ใน ธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ . .                         ดูกรปหาราทะ **แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือ เต็มเพราะน้ำนั้นๆ** ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงแม้ภิกษุเป็นอัน มากจะปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่อง หรือเต็มด้วยภิกษุนั้น ดูกรปหาราทะ ข้อที่ถึงแม้ภิกษุเป็นอันมากจะปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มด้วย ภิกษุนั้น นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๕ ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ . . ....................................................................................................... ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่าครั้งหนึ่ง...พื้นที่ตอนกลางของประเทศไทยเรานั้นก็เคยจมอยู่ในทะเลมาก่อนครับ และคาดว่า...อีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้  ถ้าโลกยังร้อนขึ้นภาคกลางของประเทศไทยก็คงจะจมทะเลเหมือนเดิม ^^ คุณวงกลมครับ...สรุปว่าอย่างน้อย....น้ำทะเลนั้นก็เคยท่วมโลกของเราจริง ๆ ใช่ไหมครับ?? แล้ว ด้วยเหตุผลอันใด??  ตถาคตจึงเชื่อว่า...น้ำในมหาสมุทรจะไม่มีวันล้นออกจากฝั่งดังเช่นที่ท้าวปหาราทะจอมอสูรเป็นผู้บอกกับพระองค์ หล่ะครับ?? แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 51 23:14:15 แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 51 18:37:35 จากคุณ : ชญานนท์ - [ 13 ก.ค. 51 12:35:10 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อนำมารวม ๆ กันแล้วได้ประมาณ 6,000 จากคุณ : DJC *****  สรุปแล้ว ไม่มีหลักฐานจากพระคัมภีร์ ตัวเลข 6000 ปี นะครับ ถ้าบอกว่าเอาตัวเลขต่างๆ มาบวกกัน แล้วไปสรุปเลย นั้นถือเป็นแค่ทัศนคติหนึง ในหลายทัศนคติครับ   ไม่มีตรงไหน ในพระคัมภีร์ที่สั่งไว้เลยว่าให้เอาตัวเลขต่างๆ มาบวกกัน แล้วจะได้จำนวนปี ของการกำเนิดโลกครับ พระเจ้าให้โมเสส เขียนพระคัมภีร์  ก็เฉพาะเจาะจงในสิ่งที่พระองค์เปิดเผยเท่านั้นครับ  การสร้างจักรวาลและโลก ในพระคัมภีร์ก็บอกไว้ว่า ปฐมกาล 1 >> 1 ในเริ่มแรกนั้นพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดินโลก 2 แผ่นดินโลกนั้นก็ปราศจากรูปร่างและว่างเปล่าอยู่ ความมืดอยู่เหนือผิวน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือผิวน้ำนั้น 3 พระเจ้าตรัสว่า "จงให้มีความสว่าง" แล้วความสว่างก็เกิดขึ้น 4 พระเจ้าทรงเห็นว่าความสว่างนั้นดี และพระเจ้าทรงแยกความสว่างนั้นออกจากความมืด 5 พระเจ้าทรงเรียกความสว่างนั้นว่าวัน และพระองค์ทรงเรียกความมืดนั้นว่าคืน มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่หนึ่ง ในยุคโบราณ กับสมัยใหม่เป็นคนละเรื่องกันครับ  ในยุคโบราณตีกรอบเวลาของพระเจ้า แค่โลกหมุนรอบตัวเอง แล้วเรียกว่าหนึ่งวัน   ในยุคสมัยที่แตกต่าง    การตีความไม่สามารถเอาวันเวลาของมนุษย์ไปจำกัดขอบเขต  1 วันของพระเจ้าได้ครับ   ฉะนั้น 1 วันของพระเจ้า ในวันแรกที่ทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดินโลก อาจใช้เวลา นับ หมื่น นับแสนปี ก็ได้   เพราะต้องเข้าใจในพระลักษณะของพระเจ้าว่าพระองค์อยู่เหนือกาลเวลาของมนุษย์   1 วันบนสวรรค์ จึงไม่ใช่ 1 วันของมนุษย์ที่ถูกกำหนดโดยโลกหมุนรอบตัวเองครับ เมื่อเป็นอย่างนั้น  การคำนวนไม่ว่าจะเป็นวันเดือนปี ของจุดเริ่มต้นการเดินทางของมนุษย์  อายุ  หรืออาณาจักรต่างๆ ในพระคัมภีร์  ไม่สามารถไปจำกัดการตีความว่าเป็น อายุของโลกได้ครับ ส่วนตัวเลขที่ใส่ไป ก็เป็นลักษณะการเขียน ของชาวฮีบรู การกำหนดพงศ์พันธ์ของเชื่อสายตนเองจนมาถึงการเป็นชนชาติอิสราเอล คุณ DJC  ต้องไม่ลืมนะครับว่าโมเสส  ไม่ได้เกิดยุคเดียวกับอาดัม  แต่ทำไมเขียนเรื่องราว และอายุของอาดัมได้  และช่องว่างระหว่างนั้นที่ไม่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์  เราก็ไม่สามารถเดาได้ว่าใช้เวลาไปกี่หมื่น ก็พันปีอีกเช่นกันครับ พระคัมภีร์ เขียนเฉพาะสิ่งเจาะจงที่พระเจ้าต้องการสื่อสาร หรือดลใจให้เขียนเรื่องราวเหล่านั้นไว้เท่านั้นนะครับ  เพราะถ้าจะให้เขียนแบบรายละเอียดยิบย่อยที่ช่วงกาลเวลา  ผมรับรองได้เลยว่า พระคัมภีร์ คงจะมีกองเท่าภูเขาเลากาหลายลูกอย่างแน่นอน  ไม่รู้ว่าต้องใช้คนก็ชั่วอายุคนกว่าจะอ่านจบครับ แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 51 12:45:23 จากคุณ : ศรัทธาพลัง - [ 13 ก.ค. 51 12:41:52 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เรื่องตำนานหมดแล้วหรอครับ ตำนานที่เขียนในไบเบิ้ลกับกุรอ่านไม่มีหรอครับกำลังมัน จากคุณ : fowleres - [ 13 ก.ค. 51 20:34:43 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ในอัล-กุรอ่านไม่มีตำนานครับ จากคุณ : DJC - [ 13 ก.ค. 51 23:12:05 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ในเมื่อไม่มีตรงไหนบอกว่า 6,000 ปีในคัมภีร์ยิว แล้วมีตรงไหนบอกว่า 1 วันคือ 1 ล้าน 1 แสน หรือ 1 หมื่นปีในคัมภีร์ยิวครับ ลักษณะการเขียนแบบลูกโซ่ของยิวนี่มันเชื่อถือไม่ได้เหรอครับถึงไม่สามารถนับได้ ชาร์ทนี่ก็มาจากพวกนิยมคัมภีร์ยิวน่ะแหละครับ ผมไม่คำนวณเองนะครับ คนที่อ่านคัมภีร์ยิวคำนวณให้เองครับ จากคุณ : DJC - [ 13 ก.ค. 51 23:36:31 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ชญานนท์ พื้นที่ภาคกลางไม่ได้ถูกท่วม แต่มันเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว จนถูกดินตะกอนทับถม จนเป็นแผ่นดินต่างหากครับ ส่วนเรื่องน้ำท่วมโลก ถ้าจะพูด แบบนั้น มันก็ท่วมทุกปีทั้งใหญ่ทั้งเล็ก ไม่แปลกหรอกที่จะมีตำนานในหลายพื้นที่ แม่น้ำฮวงโห ชื่ออีกชื่อยังบอกเลยว่าแม่น้ำวิปโยค แต่มันไม่สามารถบอกหรอกครับว่า นั้นคือน้ำท่วมโลก เพียงแต่ว่า โลกสมัยก่อนมันกว้างเกินไปในขณะทีมนุษย์เรายังอยู่ในที่แคบๆ แล้วไปคิดว่า น้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้น คือท่วมโลกทั้งโลก ทั้งที่พื้นที่อื่นๆยังอยู่สงบสุข โดยเฉพาะคนที่อยู่ริมทะเล ริมแม่น้ำ จากคุณ : Angleevil - [ 13 ก.ค. 51 23:44:14 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ภาพนี้มีเหตุการณ์ Younger Dryas ใส่เป็นตัวขั้นเวลาระหว่างวันที่ 6 และ 7 ของงานสร้างมาด้วย จากคุณ : DJC - [ 13 ก.ค. 51 23:44:34 ]

ความคิดเห็นที่ 33 น้ำท่วมทั้งโลก หรือบางพื้นที่ หรือยังสรุปไม่ได้??????? ไปสู่ตำนานแอตแลนติสซะนี่ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2007/10/Y5891622/Y5891622.html แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 51 23:55:15 จากคุณ : DJC - [ 13 ก.ค. 51 23:51:14 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เรื่องน้ำท่วมใหญ่นั้นจะขาดตำนานแห่งแอตแลนติสไปได้อย่างไร แอตแลนติส (Atlantis) ดินแดนลึกลับ ที่เคยรุ่งเรืองมาก่อนในอดีต ด้วยความอุดมสมบูรณ์ และเทคโนโลยีก้าวหน้า แล้วต่อมาก็ล่มถล่มจมน้ำหายไป จากการลงโทษโดยพระเจ้า เพราะคนแอตแลนติสกลายเป็นคนบาป แอตแลนติสเป็นเรื่องจริง หรือจินตนาการบริสุทธิ์ เป็นเรื่องหนึ่งที่มนุษย์แม้แต่ในยุคปัจจุบัน ก็ยังสนใจ และค้นหาคำตอบกันอยู่ ที่มาของเรื่องแอตแลนติส คือ ข้อเขียนในรูปของบทสนทนาสองเรื่อง โดยพลาโต (Plato : 427 ก่อน ค.ศ. - 347 ก่อน ค.ศ.) เรื่องหนึ่ง ชื่อ Timaeus อีกเรื่องหนึ่ง ชื่อ Critias ซึ่งสำหรับวงการวิทยาศาสตร์โดยทั่วไป เชื่อว่า แอตแลนติส เป็นเรื่องเล่าในรูปของนิยายวิทยาศาสตร์ มิใช่เรื่องจริง แต่คนเป็นจำนวนมากก็เชื่อว่า อาจจะเป็นเรื่องจริง และได้มีความพยายามค้นหาแอตแลนติสกันเรื่อยมา โดยพยายามตีความหมายตำแหน่งของแอตแลนติสว่า อยู่ที่ไหนกันแน่ เพราะพลาโต ระบุว่า แอตแลนติสได้ล่มจมหายไปแล้วในทะเล อยู่ห่างจาก "Pillars of Hercules" (เสาหินเฮอร์คิวลีส) ออกไป สำหรับความเห็นของผม คือ แอตแลนติส เป็นเรื่องจินตนาการบริสุทธิ์ของพลาโต เป็นนิยายวิทยาศาสตร์เรื่องแรกๆ ของโลก ถัดจากนิยายวิทยาศาสตร์เชิงแฟนตาซี คือ เรื่อง The ILIAD และเรื่อง ODYSSEY ของ โฮเมอร์ (Homer) (แต่ซากเมืองทรอยกลับมีจริง ตามเรื่องราวในสงครามกรุงทรอย หรือ ILIAD น่ะสิ :P - จขกท.) มีท่านผู้อ่านหลายท่าน สนใจอยากอ่านเรื่อง แอตแลนติส โดยอยากให้ผมแปลให้อ่าน ซึ่งผมก็สนใจ อย่างแปลให้อ่าน แต่ฉบับจริงที่มีการแปลเป็นภาษาอังกฤษแล้ว ค่อนข้างยาว ดังนั้น ผมจะแปลฉบับย่อเรียบเรียงโดย I.O. Evans ในหนังสือ Science Fiction Through The Ages 1 (Panther, 1966) ให้อ่านกันในคอลัมน์ "เปิดโลกนิยายวิทยาศาสตร์" นี้ บทแปลต่อไปนี้ เป็นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแอตแลนติส ที่พระอียิปต์รูปหนึ่ง เล่าให้รัฐบุรุษกรีก ชื่อ โซลอน (Solon) ฟัง ชัยวัฒน์ คุประตกุล... แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 51 00:32:01 จากคุณ : DJC - [ 14 ก.ค. 51 00:29:34 ]

ความคิดเห็นที่ 35 มีบันทึกเก่าแก่ของเรา เรื่องราวในอดีตแสนไกลว่า เมืองของท่านสกัดการบุกของกองทัพอันเกรียงไกร จากเกาะแสนไกลในมหาสมุทรแอตแลนติกได้อย่างไร กองทัพยิ่งใหญ่ที่มุ่งมั่นโจมตียุโรปทั้งหมด และเอเชียด้วย เอาละ เกาะนี้เป็นเกาะใหญ่มาก ใหญ่กว่าแอฟริกา และเอเชีย รวมกัน - และตั้งอยู่ตรงข้ามกับช่องแคบระหว่างเสาหินของเฮอคิวลีส เกาะแอตแลนติส ปกครองโดยตระกูลกษัตริย์ ที่ทรงอำนาจ ที่ปกครองมิใช่เพียงเกาะนี้ แต่เกาะอื่นๆ และบางส่วนของแผ่นดินใหญ่ด้วยราชวงศ์กษัตริย์ที่ปกครองแอฟริกาเหนือ ไกลออกไปถึงอียิปต์ และยุโรปใต้ไกลออกไปถึงอิตาลี ราชวงศ์ผู้ปกครองแอตแลนติส เป็นเชื้อสายของ เทพโพไซดอน ที่แบ่งดินแดนให้โอรสสิบองค์ปกครอง โอรสองค์โต เป็นกษัตริย์ของเกาะทั้งหมด เกาะที่มีชื่อเรียกว่าแอตแลนติส ส่วนมหาสมุทรยังเรียกเป็นแอตแลนติก เพราะว่ากษัตริย์พระองค์แรก ชื่อ แอตลาส (Atlas) โอรสองค์อื่น ๆ ได้รับการจัดสรรดินแดนให้ปกครองทุกองค์ เชื้อสายของกษัตริย์แอตลาสเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก เป็นราช วงศ์ที่ร่ำรวย และทรงอำนาจอย่างที่ไม่เคยมีราชวงศ์ใดเคยทำได้มาก่อน หรือจะมีขึ้นอีก ชาวแอตแลนติส ไม่เพียงแต่สั่งสินค้าส่วนใหญ่จากภายนอก แต่พวกเขาเองก็ผลิตแทบจะทุกสิ่งได้ที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน โลหะแข็ง โลหะอ่อน และโลหะซึ่งเหลือแต่ชื่อ คือ โอริชาลคัม โลหะที่มีค่ามากที่สุด ยกเว้นทองคำ และแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้สีเขียวทุกหนแห่ง อากาศที่แสนวิเศษ ทำให้ผลไม้สุกปีละสองครั้ง ในแผ่นดินมีช้าง และสัตว์อื่นๆ มากมาย ทั้งสัตว์ป่า และสัตว์เลี้ยง จากคุณ : DJC - [ 14 ก.ค. 51 00:37:12 ]

ความคิดเห็นที่ 36 นครบนเขากลางเกาะ มีเส้นผ่าศูนย์กลางสามพันฟุต และเป็นนครอันชวนพิศวง สะพานถูกสร้างข้ามช่องแคบทะเลโดยโพไซดอน คลองถูกขุดจากนครสู่ทะเล และป้อมปราการเคลือบด้วยตะกั่ว ทองเหลือง และโอริชาลคัมสีแดง ณ ตำแหน่งใจกลางนคร คือ มหาราชวังและวิหารยิ่งใหญ่แห่งเทพโพไซดอน สถานศักดิ์สิทธิ์ ล้อมรอบด้วยกำแพงทอง ปกคลุมด้วยเงิน เด่นเป็นสง่าด้วยหอคอยทองคำเหนือหลังคางาช้าง ภายในวิหารมีอนุสาวรีย์ทองคำขององค์เทพ ขนาดใหญ่โตมโหฬาร จนกระทั่งสัมผัสหลังคาวิหาร ลากด้วยม้ามีปีกหกตัว ล้อมรอบด้วยเทพแห่งทะเล เป็นจำนวนร้อยขี่ปลาโลมา และที่ด้านนอกวิหาร มีอนุสาวรีย์ทองคำเจ้าชายแห่งแอตแลนติสทุกองค์พร้อมด้วยชายา และในเกาะมีน้ำพุร้อนและเย็น สำหรับอาบ เป็นน้ำพุประดับ สวนสาธารณะและสวนผลไม้ มีที่สำหรับออกกำลังกายสำหรับบุรุษและม้า สนามม้าแข่งขนาดใหญ่ โรงทหาร ห้องคนเฝ้ายาม อู่เรือ ท่าเรือ เต็มไปด้วยเรือสิน ค้าและเรือทหาร ที่ราบรอบนครล้อมรอบด้วยภูเขา และคลองหลายคลองลึกหนึ่งร้อยฟุต กว้างหกร้อยฟุต ทั้งหมดรวมกันแล้วยาวมากกว่าสามพันไมล์ แล้วกษัตริย์ทั้งสิบผู้ครองเกาะ ร่วมประชุมกัน ให้สัตย์ปฏิญาณต่อกันว่า จะช่วยเหลือกันเมื่อเผชิญกับสงคราม และพวกเขามีรถศึกหนึ่งหมื่นคัน กองทัพเรือ มีเรือมากกว่าหนึ่งพันลำ เวลาผ่านไปหลายชั่วอายุสมัย ผู้คนแห่งเกาะเป็นพลเมืองผู้เคารพกฎหมาย กษัตริย์ของพวกเขาก็ปกครองอย่างชาญฉลาดและยุติธรรม ไม่ให้คุณค่าแก่ทรัพย์สมบัติ ยกย่องคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ส่วนที่ดีแห่งจิตวิญญาณของพวกเขาก็ลดน้อยถอยลงไป และในหัวใจมีแต่ความทะเยอทะยานอย่างไม่คำนึงถึงกฎหมาย คลั่งไคล้หลงไหลในอำนาจ แล้ว ซุส กษัตริย์แห่งทวยเทพ ตระหนักถึงความเสื่อมทรามที่กำลังเกิดกับชนชาวแอตแลนติส ตั้งพระทัยจะลงโทษพวกเขา เพื่อว่าพวกเขาจะได้มีสติขึ้นมาอีก ซุสจึงเรียกทวยเทพมาชุมนุมกัน ดังนั้น กองทัพแห่งแอตแลนติสจึงรวมกำลังกัน มุ่งหวังจะพิชิตเฮลลาส (ชาวกรีก) และอียิปต์ และฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด และแล้ว มันก็เกิดขึ้น พระอียิปต์ปลอบใจโซลอน บุรุษแห่งเอเธนส์ได้แสดงออกถึงความกล้าหาญและความเก่งกล้าต่อโลก ในตอนแรก และในฐานะผู้นำของเฮลเลนส์ (กรีซ) และแล้วก็ยืนอยู่อย่างเดียวดาย เมื่อถูกคนอื่น ๆ ผละหนีหาย หลังจากที่ได้เผชิญกับสุดยอดแห่งภยันตรายแล้ว เขาก็สามารถเอาชนะฝ่ายรุกรานได้ และสร้างอนุสรณ์สถานเอาไว้ รักษาความเป็นอิสระแก่คนจากความเป็นทาส และปลดปล่อยคนอื่น ๆ จากความเป็นทาส แต่แล้วก็เกิดมหันตภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหวและน้ำท่วมใหญ่ ทั้งวันและคืนที่โหดร้าย แผ่นดินแยกและกลืนกินชีวิตนักรบของเอเธนส์ทั้งหมด ในขณะที่เกาะยิ่งใหญ่แห่งแอตแลนติสก็จมหายไปในทะเล และมาถึงทุกวันนี้ น้ำมหาสมุทรที่ตำแหน่งนั้นก็ตื้นเขิน เรือผ่านไม่ได้ กลายเป็นสันดอนดินโคลน ซึ่งเกิดจากแผ่นดินเมื่อเกาะถล่ม จากคุณ : DJC - [ 14 ก.ค. 51 00:42:58 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ชญานนท์ พื้นที่ภาคกลางไม่ได้ถูกท่วม แต่มันเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว จนถูกดินตะกอนทับถม จนเป็นแผ่นดินต่างหากครับ ความคิดเห็น : คุณ Angleevil ......................................................................................................... คุณ Angleevil มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือครับ?? ถ้าเช่นนั้นก็กรุณาอ่านนี่ดูก่อนนะครับ http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2007/12/X6112288/X6112288.html *** อ้างอิงความคิดเห็นที่ 2 และความคิดเห็นที่ 3 ของคุณ...กาลามะชน *** ประเด็นที่น้ำทะเลเคยท่วมที่ราบลุ่มภาคกลางในสมัยทวารวดี แต่กลับกลายเป็นแผ่นดินในสมัยปัจจุบัน มักจะถูกแย้งว่าเกิดจากการทับถมของตะกอน ไม่ใช่เกิดจากการที่ระดับน้ำทะเลลดลง เราคงต้องดูแผนที่โบราณประกอบ แผนที่ข้างล่างนี้มาจากจดหมายเหตุลาลูแบร์ ราชฑูตที่มาเยือนกรุงศรีอยุธยา ในสมัยพระนารายณ์มหาราช พศ 2230 จะเห็นว่าปากแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อ 320 ปีก่อนอยู่แถวๆ อ.เมืองสมุทรปราการ แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 51 08:58:57 แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 51 08:27:40 จากคุณ : ชญานนท์ - [ 14 ก.ค. 51 08:22:47 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ลองเทียบดูกับแผนที่ปากน้ำเจ้าพระยาในสมัยปัจจุบัน จะเห็นว่า 320 ปีผ่านไป แผ่นดินบริเวณปากแม่น้ำงอกออกมาได้ไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่ทะเลโบราณในสมัยทวารวดีเมื่อพันปีก่อน จะถูกตะกอนทับถมจนเต็มในสมัยสุโขทัย ซึ่งห่างกันประมาณสามร้อยปี ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาพอๆกันกับจากอยุธยาตอนปลายจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ตำแหน่งเมืองโบราณในสมัยทวารวดี จะอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปัจุบันประมาณ 3-3.5 เมตร รวมทั้งบางเมืองยังมีหลักฐานการขุดคูคลองออกสู่ทะเลในช่วงเวลาคาบเกี่ยวที่น้ำทะเลเริ่มลด เป็นหลักฐานที่ควรสันนิษฐานว่าระดับน้ำทะเลลดลง ไม่ใช่เกิดจากทะเลตื้นเขินจนกลายเป็นแผ่นดิน จากคุณ : ชญานนท์ - [ 14 ก.ค. 51 08:24:33 ]

ความคิดเห็นที่ 39 คุณกาลามะชน สุดยอด ชื่นชมแกจริง ๆ กระทู้นี้ใช้หลักฐานอ้างอิงกระทู้แก 2 กระทู้เลย (Younger Dryas และก็ พื้นที่ทะเลในที่ราบภาคกลางสมัยทวารวดี) คุณกาลามะชน ในห้องหว้ากอ เป็นนักวิชาการฝ่ายที่คิดว่าโลกร้อนเพราะวัฏจักร ไม่ใช่โดยฝีมือมนุษย์ทั้งหมด  แกนำเสนอหลักฐานที่น่าอ่านมาก ๆ ตอนแรกผมคิดว่าโลกร้อนเพราะพวกเรานี่แหละ แต่พอเจอหลักฐานที่นำเสนอก็เลยต้องคิดใหม่ สรุปได้ว่ายุคนี้คือปลายยุคน้ำแข็งนี่เอง... ถึงโลกจะร้อนเพราะตัวมัน ดังนั้นพวกเราก็ไม่ควรซ้ำเติมให้ร้อนอีก คือว่า... ยังไงผมก็ใส่ใจสิ่งแวดล้อมนะครับ ^.^ แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 51 10:05:04 จากคุณ : DJC - [ 14 ก.ค. 51 10:02:25 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ยังไงน้ำมันก็ท่วมโลกอยู่แล้ว ก็หลักฐานมันชัดเจน น้ำทะเลมันปกคลุมพื้นโลกมากกว่าส่วนที่เป็นแผ่นดินซะอีกนี่นา ถ้าน้ำไม่ท่วมโลกอยู่ โลกเราคงมีสภาพเหมือนดาวอังคาร (อันนี้เป็นมุกนะ 555) ตอนนี้มีประเด็นซ้อนขึ้นมาว่า คำว่า "น้ำท่วมโลก" ระดับน้ำมันกินพื้นดินมาขนาดไหนตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ตำนาน เทพนิยาย หรือกระทั่งคัมภีร์ทางศาสนา ท่วมทั้งโลก หรือ บางพื้นที่บนโลก จนเรียกได้ว่าท่วมครั้งใหญ่ ถ้าท่วมใหญ่บางพื้นที่ หลักฐานก็มีอยู่ทั่วไป หรือว่าแบบเว่อร์สุด ๆ เกิดหายนะจนน้ำแข็งขั้วโลกทั้งสองละลายทั้งหมด เอาตามบทภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด ไม่ใช่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ มันก็มีโอกาสเป็นไปได้ ถ้าหากน้ำแข็งละลายหมดโลก น้ำจะท่วมพื้นดินสูงกว่าเดิม 50 เมตร ตามแผนที่ที่แสดงพื้นดินเว้าแหว่งเพราะน้ำท่วมโลก คิดว่าหลายคนเคยได้รับ FWD เมล์ แต่มันก็ไม่ได้ท่วมมิดโลกนี่นา....?????? behind meltdown แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 51 10:28:00 จากคุณ : DJC - [ 14 ก.ค. 51 10:23:52 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ลงชื่อไว้ก่อนค่ะ ว่างๆ จะแวะมาอ่าน จากคุณ : กานต์พิชชา (แก๊ซซ่า) - [ 14 ก.ค. 51 10:47:31 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ถ้าเกิดน้ำท่วมมิดโลกแบบภาพยนตร์เรื่อง Waterworld หรือหลักฐานจากเรื่องเล่าบางเรื่อง จะมีคำถามตามมาว่า - ปริมาณน้ำ ที่ทำให้ท่วมขนาดมิดโลก มาจากไหน? - น้ำมีโอกาสลดลงหรือไม่? ลดอย่างไร? - ถ้าน้ำลด น้ำในส่วนที่ลดไปอยู่ที่ไหน? - สิ่งมีชีวิตชนิดไหนจะรอดตายบ้าง? แล้วทำไมถึงรอดตาย? - ปลาน้ำจืดจะสูญพันธุ์หรือไม่? ปลาที่อาศัยได้แต่น้ำตื้น ๆ จะจมน้ำ แล้วสูญพันธุ์หรือไม่? ปลาน้ำลึกก้นมหาสมุทรอย่างปลาแองเกลอร์ จะทนแรงดันน้ำที่เพิ่มขึ้นได้หรือไม่ แล้วจะสูญพันธุ์หรือไม่? - ถ้ารอดตายแล้ว สิ่งมีชีวิตที่รอดตาย ใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงขยายพันธุ์ไปทั่วโลกหลังน้ำลด ร้อยปี? พันปี? หมื่นปี? แสนปี? ล้านปี? ถ้ามีหลักฐานว่าน้ำท่วมมิดโลกจนไม่เหลือพื้นดิน ดังนั้นคำถามเหล่านี้ก็ต้องมีคำตอบ จากคุณ : DJC - [ 14 ก.ค. 51 11:11:59 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ความคิดเห็นที่ 29   ในอัล-กุรอ่านไม่มีตำนานครับ ........................ There might be the answers  in "Al Hadith". แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 51 14:40:08 จากคุณ : แมทท์ - [ 14 ก.ค. 51 14:32:05 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ความคิดเห็นที่ 30   ในเมื่อไม่มีตรงไหนบอกว่า 6,000 ปีในคัมภีร์ยิว แล้วมีตรงไหนบอกว่า 1 วันคือ 1 ล้าน 1 แสน หรือ 1 หมื่นปีในคัมภีร์ยิวครับ ลักษณะการเขียนแบบลูกโซ่ของยิวนี่มันเชื่อถือไม่ได้เหรอครับถึงไม่สามารถนับได้ ชาร์ทนี่ก็มาจากพวกนิยมคัมภีร์ยิวน่ะแหละครับ จากคุณ : DJC *****  ไม่มีบอกเช่นกันครับ การเขียนแบบลูกโซ่ ไม่สามารถไปใช้ในการนับการสร้างโลกจนถึงปัจจุบันได้ครับ   เพราะเป็นเรื่องของการเขียนการดำรงค์เผ่าพันธ์มนุษย์กับพระเจ้าพระผู้สร้าง ซึ่งมีช่วงเวลาที่หายไปเป็นช่องว่างอยู่หลายช่วงครับ   เพราะพระคัมภีร์ไม่ได้ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อบอกระยะจำนวนปีของการสร้างโลกจนถึงปัจจุบันครับ   แต่พระคัมภีร์ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อบอกถึงพระประสงค์ของพระเจ้า ในการสร้างโลกและมนุษย์  และความสัมพันธ์ ระหว่าง พระเจ้ากับมนุษย์ ในท่ามกลางประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่ดำเนินมาถึงปัจจุบันครับ   ส่วนชาร์ท ที่ยกมา  ก็เป็นแค่  ทัศนคติหนึ่ง ในหลาย ทัศนคติครับ   แต่นิกายผมไม่ใช้ชาร์ทนี้นะครับ แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 51 15:08:04 จากคุณ : ศรัทธาพลัง - [ 14 ก.ค. 51 15:06:25 ]

ความคิดเห็นที่ 45 อ่านข้อความของคุณศรัทธาพลัง ทำให้ได้ความสงสัยใหม่ๆ เช่น อดัมกว่าจะถูกเนรเทศมาอยู่บนโลกนี่ อดัมอยู่ในเอเดนกี่ปี แล้วโลกถูกสร้างก่อนอดัมจะทำบาปแล้วถูกเนรเทศมาบนโลกกี่ปีอ่ะ แล้วเวลาในสวนเอเดนนี่ แตกต่างจากโลกอะเปล่า แล้วก่อนอดัมถูกเนรเทศนี่ โลกสร้างมาแล้วนานเท่าไร หรือว่าสร้างปุ๊บอดัมก็ทำบาปเลยอ่ะเปล่า และฯลฯ ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ไปเล่นเกมส์ดีกว่า จากคุณ : taiyo - [ 14 ก.ค. 51 21:43:49 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เมื่อช่วงเย็นของวันศุกร์ที่ผ่านมาผมได้ดูรายการทีวีสารคดีชุดหนึ่งที่คุณนิรุทธ์  เป็นผู้จัดรายการ  ได้มีการเดินทางไปสำรวจยัง**แหล่งกำเนิดของแม่น้ำคงคา** เราพบว่า...แท้จริงแล้วแม่น้ำคงคาเกิดจากการละลายของ**ธารน้ำแข็ง**ที่อยู่แถบแถวเทือกเขาหิมาลัย   เมื่อธารน้ำแข็งละลายก็จะกลายเป็นน้ำเย็นในปริมาณมหาศาล ไหลออกมาจากโพลงของธารน้ำแข็ง  เห็นแล้วก็น่าทึ่งอยู่เหมือนกันครับ ผมเลยลองคิดต่อไปว่า....หากโลกร้อนกว่านี้จะเกิดอะไรขึ้นกับแม่น้ำคงคา ?? จะเหมือนดังที่คัมภีร์ของพุทธศาสนาที่เคยทำนายเกี่ยวกับ**เรื่องโลกร้อน**เอาไว้หรือไม่ ?? http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=23&A=2162&Z=2259 สังเกตได้ว่าในพระสูตรบอกเอาไว้ว่า...แม่น้ำคงคานั้นมีต้นกำเนิดคล้าย ๆ กับแม่น้ำเจ้าพระยาของประเทศไทย ก็ลองเก็บเอาไปพิจารณาดูกันเอาเองนะครับ แต่เท่าที่อ่าน ๆ มาสามารถสรุปได้ว่า...หากโลกร้อนขึ้นปริมาณน้ำในมหาสมุทรจะเพิ่มมากขึ้น  จากการละลายของน้ำแข็งในส่วนต่าง ๆ ของโลกอย่างแน่นอน แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 51 12:48:36 จากคุณ : ชญานนท์ - [ 15 ก.ค. 51 09:38:13 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ดูกรปหาราทะ **แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือ เต็มเพราะน้ำนั้นๆ** .................................................................... อันนี้จริงครับ    เพราะฝนเกิดจากเมฆ   เมฆเกิดจากน้ำทะเลระเหยขึ้นสู่ท้องฟ้า   ควบกันเป็นก้อนเมฆ แล้วตกเป็นฝนลงมา   จะตกลงบนทวีป หรือตกลงในทะเล     ก็ไม่ทำให้น้ำทะเลท่วมชายฝั่ง  ถึงให้ฝนตกทั้งปีติดต่อกัน น้ำทะเลก็ไม่ท่วมชายฝั่ง หรือพร่องลงไป แต่ถ้าเอาน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้ มาเป็นปัจจัยคิดด้วยหล่ะก็   น้ำทะเลมีโอกาสท่วมชายฝั่ง และลดลงจากชายฝั่งได้ครับ จากการที่น้ำแข็งละลาย  หรือ เกิดน้ำแข็งที่ขั้วโลกขึ้นใหม่    แต่ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นภายในวัน สองวัน   หรือ ปี สองปี    ระยะเวลาจะนานกว่านี้แน่ เป็นร้อยเป็นพันปี แล้วยังมีทวีปเลื่อน  แผ่นดินทรุดตัว   ซึ่งก็กินเวลานานมากเหมือนกัน ดังนั้น เหตุการณ์น้ำท่วมโลก ผมว่ามีจริง  แต่ท่วมด้วยเหตุและปัจจัยทางธรรมชาติครับ จากคุณ : narin-nar (Narin-nar) - [ 15 ก.ค. 51 10:55:00 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ความคิดเห็นที่ 46 โห  ดวงอาทิตย์ดวงที่ 7 เลยหรือครับ น้ำทะเลเหลือแค่ข้อเท้า   แค่ดวงอาทิตย์ดวงนี้ ก็พอแล้วครับ จากคุณ : narin-nar (Narin-nar) - [ 15 ก.ค. 51 11:03:33 ]

ความคิดเห็นที่ 49 นี่คือแผนที่ไปต้นกำเนิดแม่น้ำคงคา ซึ่งมีต้นกำเนิดที่แตกต่างไปจากแม่น้ำสายต่าง ๆ เช่น แม่น้ำเจ้าพระยาในประเทศไทย ฯลฯ  ครับ จากคุณ : ชญานนท์ - [ 15 ก.ค. 51 12:53:36 ]

ความคิดเห็นที่ 50 คุณ narin-nar ครับ ตถาคตเคยเห็นทะเลหรือเปล่า??....ผมยืนยันว่าไม่ทราบนะครับ แต่...ผมค่อนข้างมั่นใจว่าตถาคตนั้นน่าจะไม่เคยเห็นและไม่รู้จัก **ต้นกำเนิดของแม่น้ำคงคา**อย่างแน่นอนครับ   ถ้าไม่เช่นนั้นพระองค์คงจะไม่ตรัสว่า... ....ในกาลบางครั้งบางคราว โดยล่วงไปแห่งกาลนานพระอาทิตย์ดวงที่ ๔ ปรากฏ เพราะพระอาทิตย์ดวงที่ ๔ ปรากฏ **แม่น้ำสายใหญ่ๆ ที่ไหลมารวมกันเป็นแม่น้ำใหญ่** คือแม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหิ ทั้งหมดย่อมงวดแห้ง ไม่มีน้ำ.... ในพระสูตรทั้งสอง แสดงให้เห็นว่า...พระองค์ก็มั่นใจว่าน้ำในมหาสมุทรจะไม่มีวันล้นออกจากตลิ่ง ไม่ว่ามันจะเกิดจากสาเหตุอันใดก็ตาม แต่...ระดับน้ำในมหาสมุทรจะลดลง   เมื่อโลกใบนี้ร้อนขึ้น... ตถาคตเข้าใจเช่นนั้นครับ จากคุณ : ชญานนท์ - [ 15 ก.ค. 51 13:07:06 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ความหัศจรรย์ของมหาสมุทร 8 ประการ ตามความหยั่งรู้ของตถาคตสรุปได้ดังนี้ครับ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=23&A=4030&Z=4163 1.มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่ 2.มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง 3.มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบกทันที 4.แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหิ แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมหมด ถึงความนับว่ามหาสมุทร 5.แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทรและสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ 6.มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม 7.มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด ในมหาสมุทรมีรัตนะเหล่านี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต             8.มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของพวกสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆและสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา พวกอสูร นาค คนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกายประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ๒๐๐ โยชน์ ๓๐๐ โยชน์ ๔๐๐ โยชน์ ๕๐๐ โยชน์ คุณnarin-nar  ก็ลองนำไปคิดดูเอาเองนะครับว่า...ตถาคตนั้นเคยเห็นและเคยรู้จักทะเลหรือมหาสมุทรมาก่อนหรือเปล่า?? จากคุณ : ชญานนท์ - [ 15 ก.ค. 51 13:35:50 ]

ความคิดเห็นที่ 52 เห็นทีจะต้องออกค้นหา ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา  ซะแล้ว ว่าเป็นแบบไหน ตัวเป็น ๆ หน้าตาเป็นอย่างไร พวกอสูร นาค คนธรรพ์     อยู่ในทะเลนี่เอง    โล่งอกไปที จากคุณ : narin-nar (Narin-nar) - [ 15 ก.ค. 51 14:20:18 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ฝากค้นหานครแอตแลนติสด้วยนะครับ จากคุณ : DJC - [ 15 ก.ค. 51 22:59:12 ]

ความคิดเห็นที่ 54 บ้านผมอยู่ไกลทะเลร่วม 500 กม. แต่ที่ดังมากๆ คือพญานาค   นาคที่แม่น้ำโขงนี่คงไม่ใช่ของจริงนะครับ   เพราะของจริงอยู่ทะเล   ฮ่าๆๆๆๆ เห็นรูปเรือโนอาแล้วอดไม่ได้  ตั้งใจว่าจะไม่พาดพิงศาสนาอื่น  แต่กระทู้นี้ศาสนิกเขามาตั้งกระทู้เอง เลยขอแสดงความคิดเห็นบ้าง ความรู้ก็แค่หางอึ่งเอง เรือนะครับไม่ว่าจะใหญ่ขนาดไหน  เมื่อลอยลำกลางทะเล มหาสมุทรแล้ว เปรียบเท่าไม้จิ้มฟัน  ยิ่งลำใหญ่ยิ่งเทอะทะ  และเรือที่ต่อเสร็จก็เป็นไม้ทั้งลำด้วย ที่สำคัญ ผมไม่เห็นมีต้นกำลังเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นใบเรือ หรือเครื่องยนต์แบบใดแบบหนึ่ง ที่ใช้ผลักดันให้เรือเคลื่อนที่ เวลาเจอพายุ เจอคลื่นในทะเล  กัปตันต้องหันหัวเรือสู้คลื่น เดินเรือเข้าหาคลื่น โดยใช้ส่วนหัวเรือเข้าหาคลื่น ถึงจะรอด   ถ้าเรือไม่มีต้นกำลัง แล้ว ลอยเท้งเต้ง ตามยถากรรม  โดนคลื่นซัดไม่กี่ทีก็จมครับ โดยเฉพาะโดนคลื่นซัดไป มา แล้วหันข้าง หันกราบเรือเข้าหาคลื่น เป็นเห็นให้คลื่นซัดกราบเรือเอียงและจมในที่สุด  อีกทั้งเรือโนอา บรรทุกหนักด้วย เพราะขนขึ้นเรือไปเยอะ ที่ว่าต่อเรือลำขนาดใหญ่ แล้วคิดว่ามีโอกาสรอด ปลอดภัยสูง นั้น ผมว่าไม่ใช่นะครับ เว้นแต่ว่า พระเจ้าสั่งให้ต่อเรือลำขนาดนั้นเสร็จ  แล้วพระเจ้าดูแลเรือให้ปลอดภัย  จะโดยวิธีไหนก็ตาม   เรือถึงจะไม่จมครับ จากคุณ : narin-nar (Narin-nar) - [ 16 ก.ค. 51 09:57:18 ]

ความคิดเห็นที่ 55 อืม... แนวคิดเรื่องเรือด้านบนน่าสนใจดีครับ จากคุณ : DJC - [ 16 ก.ค. 51 11:21:06 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ถึงแม้เรือจะเล็กหรือจะใหญ่ขนาดไหน ถ้าพระเจ้าต้องการให้จมหรือปลอดภัยก็เป็นความประสงค์ของพระเจ้า ดังนั้นการที่เรือรอดปลอดภัยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ผมว่าจุดประสงค์สร้างเรือใหญ่มิใช่ให้มีไว้เพื่อปลอดภัย แต่เป็นจุดประสงค์ในการบรรทุกสัตว์ต่างๆ ต่างหาก จากคุณ : ghanee.s - [ 17 ก.ค. 51 10:45:21 ]

ความคิดเห็นที่ 57 เวลาจมปุ๊บเรือไปอยู่ในทะเล หรืออยู่ในบริเวณน้ำท่วม มีคลื่นลมเหมือนกลางทะเลหรือไม่ มีคลื่นสูงหรือไม่ มีสิ่งที่จะทำให้เรือจม มีพายุรุนแรงหรือเปล่า แล้วรูปแบบเรือจริงๆ เป็นยังไง สร้างแบบไหน อันนี้น่าสนใจ จากคุณ : Carroth - [ 17 ก.ค. 51 14:44:34 ]