ความคิดเห็นที่ 1 ไม่มีหรอกวิญญาณที่ไหน อะไร จะมาสิงกันได้ วิญญาณจะเกิดได้ก็ต้องอาศัยอายตนะภายในต่อกับอายตนะภายนอกจึงเกิดวิญญาณ วิญญาณใครมันก็ต้องเกิดโดยอาศัยรูปนามของคนนั้น ไอ้ประเภทวิญญาณเป็นดวงๆ เที้ยววิ่งออกไปสิงคนโน้นคนนี้นี่เรื่องเหลวไหลทั้งสิ้น แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องการฝึกจิตแล้วใช้อำนาจจิตบังคับกันนี่อีกเรื่อง อาจจะทำได้ จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 25 ก.ค. 51 09:10:35 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ขอตอบว่า จิตวิญญาณของเขา ก็ไม่ได้หายไปไหน ยังคงอยู่ที่เดิม และเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่เกิดสภาวะกำลังจิต่อน คล้าย ๆ กัย เป็นถูกสะกดจิต ทำให้สำคัญผิดไป เรียกว่า โหมะเข้าครอบงำ แล้วก็พ่วงโลภะและโทสะตามมา กลายเป็นกิเลสพวงใหญ่ ส่วนภาษาเรียกก็แล้วแต่ชาวบ้าน จะเรียกกันไป ก็แค่นั้นเอง ขอให้ทุก ๆ ท่านโชคดี และขอให้ทุก ๆ ท่านเจริญในธรรม แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 51 12:25:11 จากคุณ : kongsilp2000 - [ 25 ก.ค. 51 10:14:55 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เป็นไปได้! ถ้าตามที่คุณ สุภวิโมกข์  บอก แสดงว่าผี เปรต อสูรกาย หรือ เทวดา ที่เรียกว่าเข้าทรงนั้น มิใด้เข้าสิง แต่ใช้อำนาจตามวิสัยที่ตนมี บังคับ จิตใจของร่างทรงให้ตกอยู่ใต้อำนาจชั่วคราว มิใช่เป็นการเข้าสิงอย่างที่เข้าใจกัน  อืม.. อืม.. เป็นไปได้ จากคุณ : Cho_shang - [ 25 ก.ค. 51 10:21:35 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขอเป็นกำลังใจให้คุณ hollowpig ครับ  ในฐานะของลูกพระพุทธเจ้าเหมือนกันครับ จากคุณ : SpiritWithin_HolyStream - [ 25 ก.ค. 51 19:07:52 ]

ความคิดเห็นที่ 5 "ลูกพระพุทธเจ้า" หมายถึงพระใช่ไหมครับ? ถ้าสึกออกมาแล้วจะใช่ลูกพระพุทธเจ้าหรือเปล่า? จำได้ตอนบวชเคยได้รับการกล่าวพรเช่นนั้น แต่ตอนสึก จำไม่ได้ครับว่าได้รับคำชี้แจงอะไรหรือไม่... ขอบคุณครับ..... จากคุณ : ดาเรน - [ 26 ก.ค. 51 11:45:21 ]

ความคิดเห็นที่ 6 คุณสุภวิโมกข์คะ การเกิดของวิญญาณ กับการเข้าสิงของวิญญาณ มันคนละเรื่องกันค่ะ อย่าเอามาปนกันค่ะ ศึกษาให้ดีเสียก่อนค่ะ แล้วค่อยสรุปว่า เป็นไปได้หรือไม่ได้ อย่าด่วนสรุป การด่วนสรุปโดยไม่ทันศึกษาให้ถ่องแท้ หรือไม่มีประสบการณ์ที่เพียงพอ  ไม่ใช่วิธีของพุทธศาสนาค่ะ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 26 ก.ค. 51 19:19:10 ]

ความคิดเห็นที่ 7 อ้อ ฝากถึงคุณ Cho_shang ลองพิจารณาด้วยนะคะ ว่า การ "เข้าสิง" กับการบังคับด้วยพลังจิตนั้น เป็นคนละอย่างกัน การเข้าสิง ผู้ถูกเข้าสิงจะมีพฤติกรรมการแสดงออกเป็นไปตามอุปนิสัยของวิญญาณที่มาสิงอยู่ทุกประการ ส่วนการบังคับด้วยจิต หรือสะกดจิต ผู้ถูกสะกดนั้นอาจจะแสดงพฤติกรรมที่แตกต่างไปจากขณะที่สภาวะจิตยังปกติได้ แต่จะไม่เลียนแบบผู้ที่ทำการสะกดจิตอย่างแน่นอนค่ะ เค้าจะทำตามที่ถูกสะกดให้ทำ ไม่ใช่ว่าผู้สะกดเค้ามีพฤติกรรมยังไง แล้วเค้าจะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมไปเป็นแบบนั้น กรณีของร่างทรงนั้น โดยมากมีอยู่ ๓ อย่าง คือ ๑) มีวิญญาณอื่นมาสิง (ซึ่งเป็นวิญญาณระดับเดียวกับคนเรานี่เอง ไม่เกี่ยวกับเทพ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ) ๒) ย้อมจิตตนเองด้วยอุปาทาน ว่าเป็นร่างของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองนับถือ จะมาใช้ร่างตนเองเพื่อสร้างบารมี เมื่อย้อมจิตแล้ว ก็แสดงออกไปตามที่ตนเองคิดว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น จะประพฤติแบบนั้น เช่น ถ้าย้อมจิตตนเองว่าเป็นร่างของเทพฮินดู ก็พยายามแต่งตัวเลียนแบบเทพฮินดูในโปสเตอร์ที่มาจากอินเดีย หรือจากหนังอินเดีย ถ้าย้อมจิตตนเองว่าเป็นร่างของเทพจีน ก็จะพยายามเลียนแบบการแสดงอภินิหารของเจ้าจีน เช่น นั่งตะปู เชือดลิ้น เอาไฟลนร่างตัวเอง ถ้าย้อมจิตตนเองว่าเป็นร่างของอดีตกษัตริย์ ก็พยายามแต่งตัวเลียนแบบอดีตกษัตริย์พระองค์นั้นๆ ตามที่ปรากฏในรูปวาด หรือพระราชานุสาวรีย์ พยายามใช้คำพูดเลียนแบบชนชั้นสูง อ้อ...โดยเฉพาะร่างทรงสมเด็จพระนเรศวร เดี๋ยวนี้บางตำหนัก มีเกราะใส่แบบในหนังท่านมุ้ยแล้วค่ะ ^ ^ ๓) เล่นละครหลอกลวงผู้อื่น ไม่ได้เกี่ยวกับการศรัทธาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ เป็นพิเศษ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 26 ก.ค. 51 19:20:57 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เป็นเพราะรูป(รูป ๒๘)บกพร่อง  อายตนะตามธรรมชาติมี ๖  เมื่อรูปบกพร่องทำให้เกิดจุดทำให้เกิดสัญญาณเพิ่มขึ้นที่เส้นประสาทเส้นใดเส้นหนึ่ง  ทำให้เกิดอาการประหลาดกับกล้ามเนื้อและอารมณ์ ส่วนมากเกิดจากอาหาร  ที่มีสารเคมีมากกว่าธรรมชาติ   ส่วนจะมีผี(เทวดา)เข้าก็เป็นไปได้โดยอาศัยเส้นประสาทของผู้นั้น  ไหลกระแสจิต(ประจุไฟฟ้า)ผ่านเข้าไปก็จะเกิดอาการตามที่ต้องการชั่วคราวแต่จะทำได้ก็ต้องมีพลังงานจิตสูงจึงจะทำได้ ส่วนใหญ่จะเกิดจากอาการป่วย จากคุณ : ธรรมชาติไพศาล - [ 27 ก.ค. 51 17:02:42 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณที่ช่วยกันเข้ามาแสดง คคห. ครับ โต้แย้งกันและให้เกียรติกัน  อันนี้ดี เพราะทำให้ความคิดแล่น ทำงาน เกิดปัญญา  แต่ต้องให้เกียรติกันและยอมรับในความจริง ขอบคุณครับ จากคุณ : hollowpig - [ 28 ก.ค. 51 06:26:05 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เรียนคุณหนอนดาวเรือง จาก คห.6-7 ดูเหมือนว่าคุณหนอนดาวเรืองก็จะด่วนสรุปว่าการเข้าสิงของวิญญาณเป็นไปได้แน่นอนเหมือนกันมิใช่หรือ ที่เราบอกว่าเป็นไปไม่ได้ เราไม่ได้ด่วนสรุป เพราะแต่ก่อนเราก็เข้าใจเช่นนั้น ว่าคนเราเมื่อตายไป วิญญาณก็จะออกจากร่าง วิญญาณเป็นดวงๆ ไปเกิดใหม่เป็นนู่นเป็นนี่ และก็คิดว่าผี เทวดา เทพต่างๆ คือวิญญาณสามารถจะเข้าสิงร่างคนได้ เราเองเคยเห็นลุงแท้ๆ เชิญวิญาณขุนแผนบ้าง หลวงพ่อทวดบ้าง อื่นๆ ที่จำไม่ได้บ้าง สารพัด มาเข้าร่างและแสดงอาการต่างๆ ญาติๆ ก็ไปรุมถามเรื่องราวต่างๆ มาตั้งแต่เด็ก จนโตเราเองก็ยังเชื่อเช่นนี้ เคยไปนั่งเฝ้าเทพเจ้าเข้าทรงเพื่อขอหวย ตอนนั้นได้เลขบนมา 3 ตัว แล้วก็เอาไปแทง แต่มันออกสลับตำแหน่งก็เลยถูกแต่แบบโต๊ด ได้มาประมาณ 2 พันมั้ง เหอๆ แต่นั่นคือสมัยเมื่อเรายังไม่เคยศึกษาพระพุทธศาสนา โดยเพาะอย่างยิ่งไม่เคยอ่านพระไตรปิฎก ได้แต่นับถือพุทธตามบรรพบุรุษ เชื่อตามๆ บรรพบุรุษมา อืมม จะต้องเข้าประชุมง่ะ แล้วค่อยมาคุยต่อ งั้นขอทิ้งคำถามถึงคุณหนอนดาวเรืองไว้ ว่าคุณคิดว่าวิญญาณในพระพุทธศาสนาคืออะไร การเข้าสิงของวิญญาณเป็นอย่างไร เผื่อคุณมาอ่านก่อน แต่ถ้ายัง เดี๋ยวเราเสร็จงานแล้วจะมาตอบต่อ จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 28 ก.ค. 51 10:00:00 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เขาเลื่อนประชุมเป็นบ่ายสอง เลยมาต่อ เอาละทีนี้เราจะยกข้อความจากพระไตรปิฏกมาในส่วนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าวิญญาณคืออะไร และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงสรุปว่าการเข้าสิงของวิญญาณเป็นไปไม่ได้ ที่ยกมานี้เป็นบางส่วน เพื่อไม่ให้ตาลาย ควรอ่านทั้งหมดตามลิ้งค์ที่ให้มา พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มหาตัณหาสังขยสูตร ว่าด้วยสาติภิกษุมีทิฏฐิลามก ข้อ [440] และ [441] โปรดอ่านในลิ้งค์ ขอเริ่มที่ข้อ [442]             [๔๔๒] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งมาแล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอจง มา เธอจงเรียกสาติภิกษุ ผู้เกวัฏฏบุตร ตามคำของเราว่า ดูกรท่านสาติ พระศาสดารับสั่งให้หา ท่าน ภิกษุนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว จึงเข้าไปหาสาติภิกษุ แล้วบอกว่า ดูกรท่านสาติ พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน.             สาติภิกษุรับคำภิกษุนั้นแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับถวายอภิวาทแล้ว จึงนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.             พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ ได้ยินว่า เธอมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ?             สาติภิกษุทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงว่า วิญญาณนี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริง.             พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ วิญญาณนั้นเป็นอย่างไร?             สาติภิกษุทูลว่า สภาวะที่พูดได้ รับรู้ได้ ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลาย ทั้งส่วนดี ทั้งส่วนชั่วในที่นั้นๆ นั่นเป็นวิญญาณ.             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโมฆบุรุษ เธอรู้ธรรมอย่างนี้ที่เราแสดงแก่ใครเล่า ดูกรโมฆ- *บุรุษ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนกมิใช่หรือ ความ เกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี ดูกรโมฆบุรุษ ก็เมื่อเป็นดังนั้น เธอกล่าวตู่เราด้วย ขุดตนเสียด้วย จะประสพบาปมิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว ดูกรโมฆบุรุษ ก็ความเห็นนั้นของเธอ จักเป็นไปเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน. ข้อ [443] ดปรดอ่านในลิ้งค์ ปัจจัยเป็นเหตุเกิดแห่งวิญญาณ             [๔๔๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณอาศัยปัจจัยใดๆ เกิดขึ้นก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ วิญญาณอาศัยจักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า จักษุวิญญาณ วิญญาณอาศัยโสตและเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า โสตวิญญาณ วิญญาณอาศัยฆานะและกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ฆานวิญญาณ วิญญาณอาศัยชิวหาและรสทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่าชิวหาวิญญาณ วิญญาณอาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่ากายวิญญาณ วิญญาณอาศรัยมนะและธรรมารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่ามโนวิญญาณ เปรียบเหมือนไฟอาศัยเชื้อใดๆ ติดขึ้น ก็ถึงความนับด้วยเชื้อนั้นๆ ไฟอาศัยไม้ติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟไม้ ไฟอาศัยป่าติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟป่า ไฟอาศัยหญ้าติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟหญ้า ไฟอาศัยโคมัยติดขึ้น ก็ถึงความนับว่าไฟโคมัย ไฟอาศัยแกลบติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟแกลบ ไฟอาศัยหยากเยื่อติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟหยากเยื่อ ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล วิญญาณอาศัยปัจจัยใดๆ เกิดขึ้น ก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ วิญญาณอาศัยจักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า จักษุวิญญาณ วิญญาณอาศัยโสตและเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า โสตวิญญาณ วิญญาณอาศัยฆานะและกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ฆานวิญญาณ วิญญาณอาศัยชิวหาและรสทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่าชิวหาวิญญาณ วิญญาณอาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น  ก็ถึงความนับว่า กายวิญญาณ วิญญาณอาศัยมนะและธรรมารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า มโนญญาณ.             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒  บรรทัดที่ ๘๐๔๑ - ๘๕๐๖.  หน้าที่  ๓๓๐ - ๓๔๘. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=8041&Z=8506&pagebreak=0             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=440 ลิ้งค์ผิด ขออภัย  แก้หลายรอบ แก้ไขเมื่อ 28 ก.ค. 51 11:20:58 แก้ไขเมื่อ 28 ก.ค. 51 10:54:07 จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 28 ก.ค. 51 10:49:30 ]

ความคิดเห็นที่ 12 และต่อไปนี้เป็นความเห็นของเรา ผิดถูกประการใด ท่านผู้รู้ไดโปรดชี้แนะแก้ไขด้วย คุณหนอนดาวเรืองดปรดดูที่เราเน้นขีดเส้นใต้ใน คห.บน วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนกมิใช่หรือ ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี วิญญาณอาศัยจักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า จักษุวิญญาณ วิญญาณอาศัยโสตและเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า โสตวิญญาณ วิญญาณอาศัยฆานะและกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ฆานวิญญาณ วิญญาณอาศัยชิวหาและรสทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่าชิวหาวิญญาณ วิญญาณอาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่ากายวิญญาณ วิญญาณอาศรัยมนะและธรรมารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่ามโนวิญญาณ ในเมื่อวิญญาณเกิดจากเหตุ-ปัจจัย คืออายตนะภายใน 6 อายตนะภายนอก 6 จึงเรียกว่าวิญญาณ วิญญาณที่ออกไปจากร่างคน จะเกิดจากอะไร ระหว่างที่ออกไปจากร่างเพื่อจะไปสิงคนอื่น ในอากาศมีอายตนะภายใน 6 อายตนะภายนอก 6 หรือ วิญญาณจึงจะออกไปตั้งอยู่ภายนอกได้ (เพื่อลอยอยู่ก่อนที่จะเข้าสิงคนอื่น) นี่คือข้อสรุปของเรา คุณหนอนดาวเรืองเห็นเช่นไรก็โปรดโต้แย้ง หรือจะอธิบายว่ากระบวนการสิงของวิญาณอื่นในร่างของคนนั้นเกิดอย่างไร และโปรดยกหลักฐานด้วยว่าแนวความคิดนั้นคุณนำมาจากไหน ในพระพุทธศาสนาหรือศาสนาอื่น จะได้ไม่คุยกันคนละเรื่อง จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 28 ก.ค. 51 11:05:58 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คุณสุภวิโมกข์คะ ขอบคุณที่อธิบายค่ะ คือค.ห.ของเรา ยึดตามแนวทางที่อ.สุชีพ เขียนไว้ในข้อความที่คุณจขกท.ยกมาให้อ่านในกระทู้นี้ค่ะ นั่นคือ คำว่า "วิญญาณ" ตามความหมายของ อ.สุชีพ นั้น เป็น "วิญญาณ" ในภาษาไทย ตามที่คนไทยเรียกกันโดยทั่วไป และมีความหมายตรงกับ Soul, Spirit และ Ghost ในภาษาอังกฤษค่ะ ไม่ใช่ "วิญญาณ" ตามหลักพุทธศาสนา ซึ่งหมายถึงการรู้ที่เกิดจากผัสสะ ระหว่างสิ่งภายนอกกับอายตนะ ตามที่คุณสุภวิโมกข์กรุณายกมาให้ดูนี้หรอกค่ะ "วิญญาณ" ที่คุณสุภวิโมกข์อธิบายตามหลักพุทธศาสนา เราเองก็รู้จักค่ะ เพียงแต่เห็นว่า สิ่งที่อ.สุชีพกล่าวถึงในหัวข้อกระทู้นี้ ไม่ใช่วิญญาณตามหลักพุทธศาสนา แต่เป็นวิญญาณตามแบบ Soul, Spirit และ Ghost ดังกล่าวแล้วค่ะ ซึ่งถ้าเป็นการพูดในแนวทางดังกล่าวนั้น วิญญาณตามรูปแบบเช่นนั้น ก็สามารถเข้าสิงคนอื่นได้ค่ะ ปัญหาที่เกิดขึ้น ที่ทำให้คุณสุภวิโมกข์กับเรา และอีกหลายๆ คนเข้าใจไม่ตรงกัน คือ การที่ภาษาไทยยืมคำว่า วิญญาณ ในพุทธศาสนา มาใช้ในความหมายที่เปลี่ยนไป คือใช้แทนคำเดิมๆ ที่ในภาษาไทยมีใช้กันอยู่แล้วว่า ผี น่ะค่ะ การยืมคำในพุทธศาสนามาใช้ผิดความหมายเดิมเช่นนี้ ใครจะเป็นคนเริ่ม เราไม่ทราบหรอกค่ะ แต่ก็กลายเป็นคำที่ได้รับความนิยมใช้ต่อๆ กันมา โดยนิยมใช้ในรูปแบบที่ว่า ถ้าพูดถึงคำว่าวิญญาณแล้ว คนทั่วไปจะหมายถึง ผี, Soul. Spirit และ Ghost ดังเช่นที่อ.สุชีพนำมาใช้ในหัวข้อกระทู้นี้ ในขณะที่คุณสุภวิโมกข์ และผู้คงแก่เรียนในทางพุทธศาสนาทั่วไปจะแปลความไปอีกทางนึง ซึ่งผลก็คือ คุยกันคนละเรื่องดังที่เห็นกันอยู่ไงคะ สำหรับเรา เรามีความเห็นแค่ว่า เมื่อ จขกท. เอาข้อความของอ.สุชีพ มาเป็นหัวข้อกระทู้ และอ.สุชีพกล่าวไปในแนวทางใด เราก็ให้ความเห็นไปในแนวทางนั้นน่ะค่ะ ส่วนท่านใดจะมาเพิ่มเติมว่า แท้จริงแล้ววิญญาณในทางพุทธศาสนาจะเข้าสิงใครไม่ได้ ก็เป็นอีกส่วนนึงค่ะ ซึ่งก็ดีค่ะ เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กัน แต่จะด่วนสรุปเลยทีเดียวว่า "วิญญาณ" ตามหัวข้อกระทู้นี้ เข้าสิงใครไม่ได้ นั่นเป็นคนละเรื่องค่ะ เพราะ "วิญญาณ" ตามหัวข้อกระทู้นี้ มิได้หมายถึง "วิญญาณ" ตามหลักพระพุทธศาสนา ดังที่กล่าวแล้วค่ะ แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 51 02:10:35 จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 29 ก.ค. 51 02:09:13 ]

ความคิดเห็นที่ 14 สำหรับวิญญาณตามความเข้าใจของคนไทยทั่วไป ซึ่งหมายถึง ผี, Soul. Spirit และ Ghost นั้น สามารถที่จะเข้าสิงในวัตถุใดๆ ก็ได้ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตค่ะ แต่ในกรณีที่เป็นสิ่งที่มีชีวิต จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกันเท่านั้น ถ้าคนละระดับกัน คือมีธรรมชาติที่ไม่เหมือนกัน เช่น วิญญาณคนจะไปสิงจิ้งจก สิงแมว เป็นไปไม่ได้ค่ะ วิญญาณคน จะต้องสิงในคนด้วยกันเท่านั้น และเงื่อนไขที่จะเข้าสิงได้ คือคนที่ถูกสิงจะต้องมีพลังจิตที่อ่อนแอกว่าวิญญาณที่จะเข้าสิง ซึ่งอาจเกิดจากความบกพร่องทางจิตของคนคนนั้นเอง หรือเกิดจากความเจ็บไข้ได้ป่วยก็ได้ค่ะ ดังนั้น การที่คนคนนึงจะถูกวิญญาณสิง (จริงๆ แล้วต้องเรียกว่าผีสิง) จึงเป็นเรื่องที่ผิดปกติธรรมดา และไม่เป็นที่ยอมรับของมนุษย์ปุถุชนทั่วไป เพราะการที่คนเรามีรูปร่างหน้าตา อุปนิสัย หรือดวงชะตากรรมที่แตกต่างกัน นั่นเป็นเพราะเราสั่งสมกรรมดีและกรรมชั่วมาแตกต่างกัน กรรมดีและกรรมชั่วนั้นติดมากับวิญญาณของเรา และปรุงแต่งสังขารของเราขึ้นจากกรรมดีและกรรมชั่วเหล่านั้น ดังนั้นคนเราทุกคนจึงมีร่างกาย อุปนิสัย และชะตากรรมที่เหมาะสมกับวิญญาณของเราเองเท่านั้น ไม่เหมาะสมกับวิญญาณอื่นด้วยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้น ตามปกติแล้ว การที่คนคนนึงจะถูกผีสิง หมายถึงถูกวิญญาณอื่นเข้าแทรก เข้าครอบงำ จึงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเกิดขึ้น เป็นเรื่องผิดปกติ อันเกิดจากความบกพร่องทางจิตและร่างกายของคนคนนั้นเอง และการสิงนั้น ก็จะเกิดขึ้นได้เพียงชั่วคราว เพราะร่างกายคนคนนั้น ย่อมจะไม่สามารถเป็นที่อาศัยของวิญญาณอื่นที่ไม่ใช่ของตนเองได้ตลอดไป หากต้องถูกสิงอยู่เป็นระยะเวลานาน ร่างกายก็ไม่อาจรับสภาพนั้นได้ ก็คือต้องตาย น่ะค่ะ ที่ยกมานี้ เป็นการอธิบายตามหลักอาตมันของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งเป็นหลักเดียวกับที่ชาวตะวันตกใช้ในการอธิบายเกี่ยวกับเรื่องการถูกผีสิง ในปัจจุบันนี้ค่ะ ไม่ใช่หลักพระพุทธศาสนาค่ะ นี่พูดจากความจำล้วนๆ เพราะอยู่ไกลตำราค่ะ ถ้ากลับบ้านเมื่อไหร่ จะไปหาตำรามาให้ดูก็ได้ค่ะ แต่ขอเวลาค้นหน่อยก็แล้วกัน ห้องสมุดที่บ้านรกมากๆ และไม่แน่ใจว่า จะมีตำราภาษาไทยหรือไม่ เพราะจำมาจากตำราภาษาอังกฤษ อ้อ, ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขอแรงคุณสุภวิโมกข์ช่วยค้นอีกทีได้มั้ยล่ะคะ ว่า -ในพระไตรปิฎกพูดถึงเรื่อง "ผี" เอาไว้ยังไง -และเคยพูดเกี่ยวกับการที่มีใครถูกผีสิงหรือไม่ -ถ้าเคย พระไตรปิฎกอธิบายเกี่ยวกับ "ผี"ที่มาสิงนั้นไว้ยังไง ขอบคุณล่วงหน้านะคะ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 29 ก.ค. 51 02:29:36 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เรียนคุณ หนอนดาวเรือง คห.7 "  อ้อ ฝากถึงคุณ Cho_shang ลองพิจารณาด้วยนะคะ ว่า การ "เข้าสิง" กับการบังคับด้วยพลังจิตนั้น เป็นคนละอย่างกัน .." ขอบคุณครับ  ว่าแต่คุณหนอนดาวเรือง รู้ละเอียดเรื่องผีสิง จังเลยนะครับ กล่าวถึง -ในพระไตรปิฎกพูดถึงเรื่อง "ผี" เอาไว้ยังไง       ในพระไตรปิฏกก็มีกล่าวถึงผีเข้าภิกษุไว้ด้วย แต่ไม่ได้พูดถึงรายละเอียดว่า อาการถูกผีเข้าสิงเกิดขึ้นได้อย่างไร และเป็นอย่างไร ท่านใดทราบรายละเอียดมากกว่านี้ ได้โปรดยกมาแสดงด้วย -และเคยพูดเกี่ยวกับการที่มีใครถูกผีสิงหรือไม่   พูดถึงภิกษุที่ถูกผีเข้า แล้วดื่มเลือดสดๆ จึงมีการบัญญัติพระวินัยสิกขาบทหนึ่งขึ้น แต่รายละเอียดเป็นอย่างไรนั้น ไม่อาจทราบได้ -ถ้าเคย พระไตรปิฎกอธิบายเกี่ยวกับ "ผี"ที่มาสิงนั้นไว้ยังไง  ไม่ได้อธิบายครับ ค้น http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/tipitaka_seek.php รอคุณสุภวิโมกข์ เพิ่มเติม ครับ  อนึ่ง ในพระไตรปิฏกก็มีการใช้คำว่า ผี เช่นกัน ( ไม่ทราบว่า บาลี ใช้คำใหน) อย่างไรก็ดี ตามที่คุณหนอนดาวเรือง ชี้แจงการใช้คำ ก็เป็นเหตผลที่ดี เหตผลหนึ่ง ซึ่งเรามักสับสนกับคำว่า ผี และวิญญาณ โดยเรามักเปรียบวิญาณไปเป็นเช่นเดียวกับคำว่า อาตมัน ในฮินดู ซึ่งแท้จริงแล้ว ไม่ได้เป็นอย่างนั้น วิญญาณไม่ได้ออกจากร่าง (หรือจะออกได้จริงๆก็ตาม) หากแต่ตามที่คนเข้าใจว่า พอเมื่อตายแล้ว วิญญาณก็ออกจากร่างเร่ร่อนไป ซึ่งความเป็นจริงก็เป็น สัตว์ในภพภูมิหนึ่งเช่นเดียวกับเรา หากแต่เป็นกายละเอียด อธิบายอย่างนี้พอเข้าใจได้ใหมว่า ผีก็มีอายตนะเช่นเดียวกับเรา เพียงแต่เป็นกายละเอียด ซึ่งมองด้วยตาไม่เห็น นอกจากจะบรรลุทิพยจักษุ จึงจะมองเห็น หรือ ที่เราบอกว่า มีซิกเซ็นส์หรือมีเซ็นส์ ก็อาจเป็นเพราะเขาอาจบรรลุทิพยจักษุในกาลอดีตชาติ ทำให้สามารถมองเห็นสิ่งที่คนธรรมดามองไม่เห็นได้ อย่างไรก็ดี อาการผีเข้าสิง เป็นอย่างไร ไม่อาจรู้ได้ ผีอาจจะซ้อนทับร่างกายเราคล้ายการประทับทรง หรือใช้อำนาจบังคับจิตใจเราด้วยอำนาจให้อ่อนกำลังแล้วบังคับจิตให้ทำตามอุปนิสัยของผีก็ได้ หรืออาจใช้วิธีอื่น??? ซึ่งเราก็ไม่อาจทราบได้ หรือฟันธงได้ตราบใดที่ยังไม่ได้บรรลุทิพยจักษุ แต่เราอาจพออนุมานได้ว่า อาการของคุนที่ถูกผีเข้าสิงเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่จะมีอุปนิสัยเช่นเดียวกับผีที่มาเข้าสิง แต่บางรายก็เหมือนตกอยู่ใต้อำนาจจิตของผีก็มี แต่ที่เหมือนกัน เจ้าของร่างจะไม่รู้สึกตัวหรือมีสติสัมปปัญญะ แต่กับคนที่ตกอยู่ใต้อำนาจจิต ก็จะมีสติอยู่บ้างรู้ว่ากำลังทำอะไร แต่บังคับตัวเองไม่ได้ มักเป็นลักษณะนี้ ส่วนประเด็น วิญญาณคนต้องเข้าสิงคนนั้นไม่เสมอไป บางครั้งคนก็อาจถูกวิญญาณสัตว์เข้าสิงก็ได้ ส่วนวิญญาณคนไปเข้าสิงสัตว์นั้น โดยมากมักไม่เป็นอย่างนั้น เพราะจะสื่อสารอะไรไม่ได้ ส่วนใหญ่มักจะจำแลงกายให้อยู่ในรูปสัตว์ให้เห็นมากกว่า   ทำไมคนบางคนถุกผีสิงเป็นเพราะว่า อำนาจของกรรมเก่าตามมาทัน ๑ ความเจ็บป่วย๑  อาจเคยเป็นร่างทรงมาในกาลก่อนหรือในอดีตชาติ ๑ หากปัจจัยหลายๆด้านเกื้อหนุนกัน ก็อาจถูกผีเข้าได้ จึงอธิบายได้ว่า ทำไมบางคนถูกผีแค่ตัวเดียวเข้าสิง บางคนถูกผีหลายตัวเข้าสิง เพราะอำนาจจิตของเจ้าของร่างอ่อนแอ จะด้วยเพราะกรรมเก่า เพราะเคยประมาทพลาดพลั้งกล่าวดูหมิ่นร่างทรง เพราะความเจ็บป่วยทางด้านร่างกาย หรือ เคยเป็นร่างทรงในอดีตชาติ เมื่อปัจจัยเหล่านี้ส่งเสริมกันก็อาจตกอยู่ใต้อำนาจหรือถูกผีเข้าสิงได้ ผี เปรต อสูรกาย ฯลฯ ก็มีอายตนะ เพียงแต่มีกายละเอียด มีอำนาจบารมีตามวิสัยตน ดำรงชีพตามวิสัยตน หรือเเม้กระทั่ง เทพ เทวดา สัมภเวสี ต่างก็ดำรงอยูในภพภูมิของตน บางภพก็ซ้อนทับกับมนุษย์ ซึ่งมีกายหยาบ การติดต่อส์อสารกับญาติผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงมักเลือกที่จะมาเข้าสิง เพื่อให้ญาติรับรู้ว่าผู้ตายมาหา เทวดามาบอกกล่าว หรือมาแสดงปาฏิหารย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นฐานะอันพึงจะมีได้ เราไม่ควรไปกล่าวลบหลู่ดูหมิ่นอย่างเด็ดขาด จากคุณ : Cho_shang - [ 29 ก.ค. 51 10:42:59 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ต้องบอกคุณหนอนดาวเรืองก่อนนะว่า เราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกแต่อย่างใด หาอะไรก็ไม่ค่อยเจอ เพียงแต่บางเรื่องเมื่อได้อ่านแล้วอาจจะจำได้แม่นหน่อย อย่างเรื่องสาติภิกษุนี้ เพราะคำสอนนี้หักล้างความเชื่อที่เชื่อถือตามๆ กันมา ว่าเมื่อคนเราตายจะมีวิญญาณออกจากร่างไปเกิดใหม่ ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่าเป็นความเชื่อที่ผิด แต่ทำไมหนอ พวกเราโดยส่วนใหญ่กลับได้รับการถ่ายทอดให้เชื่อถือกันมาเช่นนี้ (รวมทั้งเราด้วย) เห็นคำตอบจากคุณ : Cho_shang แล้วก็เลยลองค้นคำว่า "ผี" ดู ยอมรับว่าไม่เคยหาสักที เพราะถ้าคุณหนอนฯ ถามว่า ผีคืออะไร เราก็คงจะตอบ (โดยไม่ค้นพระไตรฯ)ว่า ก็คือ สัตว์ที่อยู่คนละภพภูมิกับเรา มีกายละเอียด มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เช่น สัตว์นรก เปรต อสุรกาย รวมทั้ง เทวดาและพรหมด้วย และคิดว่าคำว่า "ผีสิง" ไม่น่าจะมีในพระไตรฯ มั้ง แต่จริงๆ คือมี แต่ก็อย่างที่คุณ : Cho_shang กล่าวไว้ คือ มีการเอ่ยถึงเรื่องผีสิง แต่ไม่ได้มีการอธิบายกระบวนการสิงว่ามีขั้นตอนอย่างไร เรื่องพระภิกษุถูกผีสิง (ในพระไตรฯ ฉบับในเวบ 84000 ใช้ว่า "ผีเข้า") แล้วดื่มเลือดลองค้นดูเจอตามลิ้งค์นี้ (ข้อ 36) http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=5&A=824&Z=867&pagebreak=0 ฉะนั้น คำถามทั้งสามข้อของคุณหนอนฯ คำตอบของเราก็คงเหมือนๆ กันกับคุณ : Cho_shang จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 29 ก.ค. 51 14:33:21 ]

ความคิดเห็นที่ 17 แต่มีอีกแบบที่เรานึกออกคือเรื่องมารเข้าสิงพรหม จำเนื้อหาได้คร่าวๆ ว่า พระพุทธเจ้าเสด็จไปแก้ความเห็นผิดของพกพรหมที่เห็นว่าสภาวะความเป็นพรหมนั้นเที่ยง ก็พบใน  พรหมนิมันตนิกสูตร (ว่าด้วยพกพรหมมีทิฏฐิอันลามก) มันยาว อ่านตามลิ้งค์เน้อ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=10134&Z=10286&pagebreak=0 ซึ่งก็เช่นกันไม่มีคำอธิบายว่ากระบวนการสิงเกิดได้อย่างไร อีกพระสูตรหนึ่งที่เจอคือ มารตัชชนียสูตร http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=10287 ซึ่งกล่าวถึงมารที่เข้าไปในท้องในไส้ของพระมหาโมคคัลลานะ แล้วพระมหาโมคคัลลานะเรียกให้ออกมา คือท่านรู้ตัว ไม่ได้อยู่ในอำนาจของมาร ในสูตรเดียวกันนี้ยังกล่าวถึงทูสีมาร (ซึ่งเป็นอดีตชาติของพระมหาโมคคัลลานะ) ซึ่งทูสีมารนี้มีพฤติกรรมทั้งแบบดลใจและเข้าสิง คือ - ดลใจพวกพราหมณ์และคฤหบดีให้ด่า บริภาษ เสียดสี เบียดเบียน พระภิกษุ - เข้าสิงเด็กแล้วเอาก้อนหินขว้างพระวิธุระ (พระสาวกของพระพุทธเจ้ากกุสันธะ) จนศีรษะแตก เท่าที่ค้นเจอก็มีประมาณนี้ ส่วนขั้นตอนการสิง การดลใจ นั้นทำอย่างไรก็ไม่อาจจะทราบได้ จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 29 ก.ค. 51 15:03:24 ]

ความคิดเห็นที่ 18 อย่างไรก็ตามเรายังเห็นแย้งกับความเห็นของคุณหนอนดาวเรืองอยู่ประการหนึ่ง ที่คุณกล่าวว่า คำว่า "วิญญาณ" ตามความหมายของ อ.สุชีพ นั้น เป็น "วิญญาณ" ในภาษาไทย ตามที่คนไทยเรียกกันโดยทั่วไป และมีความหมายตรงกับ Soul, Spirit และ Ghost ในภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ "วิญญาณ" ตามหลักพุทธศาสนา ซึ่งหมายถึงการรู้ที่เกิดจากผัสสะ ระหว่างสิ่งภายนอกกับอายตนะ เพราะ อ.สุชีพ ตอบปัญหาในหนังสือ  “คำถาม – คำตอบ  ปัญหาทางพระพุทธศาสนา  เล่ม ๒” ดังนั้น การไม่ใช้ความหมายตามหลักทางพระพุทธศาสนามันก็กระไรอยู่ แต่ทำไมท่านจึงอธิบายเช่นนี้ ไม่อธิบายตามหลักพระพุทธศาสนา นี่เป็นอีกเรื่อง ถ้าอยากรู้คงต้องเขียนจดหมายไปถามกระมัง อีกอย่างอันนี้เป็นข้อสังเกตของเรานะถ้าผิดถูกอย่างไรก็ขออภัย คือเราคิดว่าคุณหนอนดาวเรืองน่าจะนับถือพระพุทธศาสนา แต่ดูเหมือนคุณจะมีความรู้ทางพราหมณ์-ฮินดู มากกว่าพุทธศาสนาเสียอีก และก็ไม่แน่ใจว่าคุณเชื่อถือหลักการทางพราหมณ์-ฮินดู มากกว่าพระพุทธศาสนาหรือเปล่า ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง หวังว่าจะไม่ใช่เช่นนั้นนะ มีอะไรก็คุยกันต่อได้เรื่อยๆ ค่ะ แต่อาจมาตอบไม่ค่อยทันใจ เพราะอีก 3 วันนี่งานจะค่อนข้างยุ่ง คงตอบช้าหน่อย จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 29 ก.ค. 51 15:16:15 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ดีใจจังคันหลังก็ลาว  เอ๊ย ไม่ใช่ ดีใจจังที่กระทู้เรามีคนเข้ามาแสดง คคห. เป็นการเคลื่อนไหวของสมองและปัญญา   ยังไงก็อย่าตีกันนะจ๊ะ ๆ (ขออภัยติดมากจากเสี่ยไชยบูลย์ หน่ะ) จากคุณ : hollowpig - [ 29 ก.ค. 51 16:04:57 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ตอบคุณสุภวิโมกข์ค่ะ "เพราะ อ.สุชีพ ตอบปัญหาในหนังสือ  “คำถาม – คำตอบ  ปัญหาทางพระพุทธศาสนา  เล่ม ๒” ดังนั้น การไม่ใช้ความหมายตามหลักทางพระพุทธศาสนามันก็กระไรอยู่ แต่ทำไมท่านจึงอธิบายเช่นนี้ ไม่อธิบายตามหลักพระพุทธศาสนา นี่เป็นอีกเรื่อง ถ้าอยากรู้คงต้องเขียนจดหมายไปถามกระมัง" กรณีนี้ ก็คือตามที่เราพูดไปแล้วในค.ห.๑๓ ไงคะ ปัญหาที่เกิดขึ้น ที่ทำให้คุณสุภวิโมกข์กับเรา และอีกหลายๆ คนเข้าใจไม่ตรงกัน คือ การที่ภาษาไทยยืมคำว่า วิญญาณ ในพุทธศาสนา มาใช้ในความหมายที่เปลี่ยนไป คือใช้แทนคำเดิมๆ ที่ในภาษาไทยมีใช้กันอยู่แล้วว่า ผี น่ะค่ะ การยืมคำในพุทธศาสนามาใช้ผิดความหมายเดิมเช่นนี้ ใครจะเป็นคนเริ่ม เราไม่ทราบหรอกค่ะ แต่ก็กลายเป็นคำที่ได้รับความนิยมใช้ต่อๆ กันมา โดยนิยมใช้ในรูปแบบที่ว่า ถ้าพูดถึงคำว่าวิญญาณแล้ว คนทั่วไปจะหมายถึง ผี, Soul. Spirit และ Ghost ดังเช่นที่อ.สุชีพนำมาใช้ในหัวข้อกระทู้นี้ ในขณะที่คุณสุภวิโมกข์ และผู้คงแก่เรียนในทางพุทธศาสนาทั่วไปจะแปลความไปอีกทางนึง หมายความว่า แม้แต่อ.สุชีพซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาเอง ก็ยังเอาคำว่า วิญญาณ มาใช้ในความหมายที่ไม่ใช่ของพุทธศาสนาเลยนะค่ะ แสดงให้เห็นว่า เป็นการยืมคำจากพระไตรปิฎกมาใช้อย่างผิดความหมายเดิมกันจนเคยชินแล้วน่ะค่ะ ถ้าไปถามชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป ไม่มีใครเค้าแปลคำว่า "วิญญาณ" ตามแบบของพุทธศาสนาหรอกค่ะ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 30 ก.ค. 51 00:30:28 ]

ความคิดเห็นที่ 21 "อีกอย่างอันนี้เป็นข้อสังเกตของเรานะถ้าผิดถูกอย่างไรก็ขออภัย คือเราคิดว่าคุณหนอนดาวเรืองน่าจะนับถือพระพุทธศาสนา แต่ดูเหมือนคุณจะมีความรู้ทางพราหมณ์-ฮินดู มากกว่าพุทธศาสนาเสียอีก และก็ไม่แน่ใจว่าคุณเชื่อถือหลักการทางพราหมณ์-ฮินดู มากกว่าพระพุทธศาสนาหรือเปล่า ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง หวังว่าจะไม่ใช่เช่นนั้นนะ" แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นจริง มันน่าเสียดายตรงไหนเหรอคะ คุณสุภวิโมกข์? คุณกำลังจะพูดทำนองว่า คนที่นับถือพุทธนั้นดีอยู่พวกเดียว คนที่ไม่ใช่พุทธนั้นเหลวไหล ไร้สาระกันหมด หรือเปล่าคะ? เราไม่ปฏิเสธหรอกค่ะ ว่าเรารู้เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มากกว่าศาสนาพุทธจริงๆ นั่นก็เป็นเพราะถ้าเราสนใจเรื่องไหนแล้ว เราก็ขวนขวายศึกษาค้นคว้าในเรื่องนั้นให้รู้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่ใช่แค่ไปอ่านมานิดๆ หน่อยๆ แล้วจำมาพูดหรอกค่ะ ความจริง เราว่าดีออกนะคะ ถ้าจะมีคนที่รู้เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดูซักหลายๆ คนหน่อยในห้องนี้ เพราะที่ผ่านมา คนพุทธแสดงความเสร่อในเรื่องพวกนี้กันมากจริงๆ ค่ะ คุณสุภวิโมกข์ลองไปดูกระทู้อื่นๆ หรือถ้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่ ไปค้นกระทู้เก่าๆ ดูได้ค่ะ มีคนพุทธจำนวนมากเลยทีเดียว ที่วิจารณ์เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดูกันเป็นคุ้งเป็นแคว โดยไม่รู้อะไรเลยแม้สักอย่างเดียว เรื่องแบบนี้ คุยเล่นกันในหมู่เพื่อนฝูงก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่ถ้าจะมา debate กันจริงๆ จังๆ อายเค้านะคะ เราคนหนึ่งหละที่ทนเห็นไม่ค่อยได้เลย อายแทนทุกที จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 30 ก.ค. 51 01:11:35 ]

ความคิดเห็นที่ 22 อ้อ, ต้องขอขอบคุณคุณสุภวิโมกข์ และคุณ Cho_shang ที่ได้ไปค้นพระไตรปิฎกมาจนพบว่า มีการกล่าวถึงปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ผีสิง และ มารสิง เอาไว้จริงๆ ด้วยค่ะ ซึ่งถึงแม้พระไตรปิฎกจะไม่อธิบายว่า การเข้าสิงนั้นทำกันยังไง แต่พระไตรปิฎกก็สามารถยืนยันได้แล้วนะคะคุณสุภวิโมกข์ ว่าแม้แต่ในทางพระพุทธศาสนานั้น ก็ยอมรับเรื่องผีเข้าเจ้าสิงเหมือนกันนะคะ ดังนั้น ถ้า อ.สุชีพ เปลี่ยนจากคำว่า "วิญญาณ" เป็น "ผี" ซะตั้งแต่แรก พวกเราก็ไม่ได้มาค้นพระไตรปิฎกกันอย่างงี้สิคะเนี่ย จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 30 ก.ค. 51 01:24:08 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอชี้แจงตรงนี้นะคะ "อีกอย่างอันนี้เป็นข้อสังเกตของเรานะถ้าผิดถูกอย่างไรก็ขออภัย คือเราคิดว่าคุณหนอนดาวเรืองน่าจะนับถือพระพุทธศาสนา แต่ดูเหมือนคุณจะมีความรู้ทางพราหมณ์-ฮินดู มากกว่าพุทธศาสนาเสียอีก และก็ไม่แน่ใจว่าคุณเชื่อถือหลักการทางพราหมณ์-ฮินดู มากกว่าพระพุทธศาสนาหรือเปล่า ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง หวังว่าจะไม่ใช่เช่นนั้นนะ" [ข้อสังเกตของ สุภวิโมกข์] แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นจริง มันน่าเสียดายตรงไหนเหรอคะ คุณสุภวิโมกข์? คุณกำลังจะพูดทำนองว่า คนที่นับถือพุทธนั้นดีอยู่พวกเดียว คนที่ไม่ใช่พุทธนั้นเหลวไหล ไร้สาระกันหมด หรือเปล่าคะ? [ข้อสงสัยของคุณหนอนดาวเรือง] เราขอชี้แจงว่า คำว่าเสียดาย ไม่ได้มีความหมายไกลไปถึงว่า ศาสนาพุทธเท่านั้นที่ดี ศาสนาอื่นเหลวไหลไร้สาระหมด แต่เราหมายเพียงว่า เราเชื่อในปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และกว่าจะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้สักองค์หนึ่งนั้นแสนยาก ยาวนานหนักหนา และขณะนี้เราได้เกิดในดินแดนที่คำสอนของพระพุทธศาสนายังสมบูรณ์ครบถ้วน ศาสนาพุทธสอนให้ละการยึดถือจากขันธ์ 5 คือ ไม่มีตัวตนที่เที่ยงแท้ มีแต่นิพพานที่เที่ยงแท้และเป็นสุขอย่างยิ่ง จุดหมายสูงสุดของชาวพุทธคือละตัวตน ถึงซึ่งนิพพาน แต่พราหมณ์-ฮินดู สอนว่ามีอาตมัน (ตัวตน) ที่เที่ยงแท้ เป็นอมตะ และต้องการเข้าถึงสิ่งนี้ แน่นอนว่าพระพุทธเจ้าทรงหักล้างคำสอนนี้ เราซึ่งเป็นชาวพุทธ เมื่อเชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก็ต้องแย้งต่อหลักการคำสอนของพราหมณ์-ฮินดู เพราะอาตมันย่อมยังไม่พ้นไปจากทุกข์ในทางพุทธศาสนา เราจึงกล่าวว่าเสียดาย (ถ้าคุณหนอนดาวเรืองจะเชื่อหลักการของพราหมณ์-ฮินดู มากกว่าพุทธ) เพราะเราอยากให้คุณพ้นทุกข์ด้วยไงคะ แต่ถ้าคุณจะไม่เห็นด้วยกับจุดหมายสูงสุดของพุทธศาสนา หรือไม่เชื่อว่าพุทธศาสนาจะทำให้พ้นทุกข์สิ้นเชิงได้จริง นั่นย่อมเป็นสิทธิของคุณหนอนดาวเรือง ในส่วนที่เรากล่าวว่า การสิงของวิญญาณเป็นเรื่องเหลวไหล เราก็ตำหนิคำอธิบายของท่าน อ.สุชีพ ซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชนเต็มตัวเท่านั้น เพราะวิญญาณ (หมายถึงหมู่วิญญาณ 6 ที่ไม่ใช่ผี)ในศาสนาพุทธไม่สามารถไปสิงใครได้ แก้ไขเมื่อ 30 ก.ค. 51 18:56:45 จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 30 ก.ค. 51 18:51:11 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณสำหรับความหวังดีนะคะ คุณสุภวิโมกข์ ในแต่ละศาสนาเค้าก็มีทางนำไปสู่การพ้นทุกข์ที่แตกต่างกันไปนะคะ เพราะแม้แต่ความหมายของคำว่า "ทุกข์" และ "การพ้นทุกข์" เค้าก็ไม่ได้เห็นตรงกันหมดเสมอไป พุทธเห็นอย่างหนึ่ง พราหมณ์-ฮินดูเห็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง คุณเชื่อศาสนาพุทธ ก็เป็นเรื่องของคุณ แต่คุณจะเอาความเชื่อแบบพุทธของคุณไปตัดสินศาสนาอื่นโดยที่คุณยังไม่รู้จักเค้าดีพอ อาศัยแค่ฟังจากคนพุทธด้วยกัน หรือจำจากหนังสือมาพูด อย่างงั้นเราก็ว่าไม่สมควรหรอกค่ะ ยิ่งเมื่อคุณก็พูดเองว่า การที่เราจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับจุดหมายสูงสุดของพุทธศาสนา หรือไม่เชื่อว่าศาสนาพุทธจะทำให้พ้นทุกข์ได้จริง มันเป็นสิทธิ์ของเรา คุณก็ไม่จำเป็นจะต้องมาเสียดายแทนเราหรอกค่ะ เพราะเราเองยังไม่เสียดายเลย ข้อสำคัญ คุณรู้จักเราตั้งแต่เมื่อไหร่คะ คุณถึงคิดว่าเมื่อเรารู้เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมากกว่าพุทธ แล้วเราจะเชื่อถือศาสนานั้นมากกว่าพุทธ หรือจะทำให้เราละทิ้งหลักการของพุทธ? ไปกันใหญ่แล้วค่ะคุณสุภวิโมกข์ เราจะบอกให้นะคะ เราไม่จำเป็นจะต้องมาแสดงความรู้ของเราในกระทู้นี้ด้วยซ้ำไปค่ะ ถ้าหากว่าข้อความที่จขกท.นำมาโพสต์ จะมิใช่เป็นการถามตอบปัญหาทางพุทธศาสนา ด้วยหลักคิดที่เป็นแบบของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โอเคค่ะ, อ.สุชีพใช้คำผิด อันนั้นคุณกับเราเข้าใจตรงกันแล้ว แต่หัวข้อกระทู้นี้คือเรื่องของผีสิง เราถามคุณให้คุณและคุณ Cho_shang ไปช่วยกันค้นพระไตรปิฎกมาว่ามีเรื่องพวกนี้อยู่ในศาสนาพุทธหรือไม่ และถ้ามี มีมากแค่ไหน มีอธิบายรายละเอียดไว้หรือเปล่า ซึ่งคุณกับคุณ Cho_shang ก็ได้ประจักษ์ด้วยตนเองแล้วนี่คะ ว่าพุทธศาสนาก็ยอมรับเรื่องผีเข้าเจ้าสิง และเป็นการยอมรับโดยไม่มีการอธิบายไว้ละเอียด เมื่อพุทธศาสนาก็ยอมรับโดยไม่มีคำอธิบาย ก็แสดงว่า ปัญหาที่ถามตอบกันในกระทู้นี้ เป็นเรื่องจริงที่ไม่มีองค์ความรู้ของทางพุทธศาสนารองรับสิคะ ถูกต้องมั้ยคะ? เมื่อไม่ใช่เรื่องทางพุทธศาสนา แต่มีคนมาถามผู้เชี่ยวชาญทางพุทธศาสนาเช่นอ.สุชีพ ท่านก็ต้องตอบด้วยองค์ความรู้ของศาสนาอื่นที่จะว่าไปแล้วก็เป็นรากฐานของศาสนาพุทธนั่นเอง นั่นคือเทียบเคียงกับหลักอาตมันตามแบบของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เพราะว่า ๑) ศาสนานั้นเค้ามีองค์ความรู้ที่รองรับเรื่องนี้อยู่แล้วไงคะ ๒) คำว่า "วิญญาณ"ที่คนไทยเรายืมจากพระไตรปิฎกมาใช้ผิดจากความหมายเดิม เราก็เอามาใช้ตามหลักของอาตมันในศาสนาฮินดูไงคะ ซึ่งเมื่อคุณเข้ามาโพสต์ว่า เป็นไปไม่ได้ ด้วยการที่คุณใช้หลักพุทธ (ซึ่งไม่มีองค์ความรู้ในด้านนี้) นั่นก็เลยทำให้เราต้องเข้ามาเสริมข้อมูลในแนวทางของพราหมณ์-ฮินดูมากขึ้น หมายความว่า ถ้าคุณไม่โพสต์อย่างงั้น เราก็ไม่ต้องเข้ามาคัดค้านคุณด้วยหลักอาตมันของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งมีองค์ความรู้ในเรื่องที่เป็นประเด็นหลักของกระทู้นี้มากกว่าศาสนาพุทธ และการที่เราเข้ามาอธิบายเรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดูกับคุณ ก็ไม่ได้หมายความว่าเรานับถือศาสนานั้นมากกว่าพุทธ เราแค่รู้เรื่องของศาสนานั้นมากกว่าที่นักวิชาการชาวพุทธทั่วไปชอบอวดรู้ และนำไปพูดกันผิดๆ ถูกๆ เท่านั้นเองค่ะ ดังนั้น ไม่ต้องรีบหวังดีและเสียดายแทนเราหรอกค่ะ เรายังไม่รีบร้อนเป็นมิจฉาทิฏฐิที่เห็นของดีเลิศประเสริฐศรีอย่างศาสนาพุทธแล้วเมินหน้าหนีหรอก จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 31 ก.ค. 51 02:30:38 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คุณมักสรุปอะไรไปไกลเกินเสมอ เรายังไม่ได้กล่าวหาคุณสักคำว่าคุณเป็นมิจฉาทิฏฐิ เมื่อคุณไม่ต้องการ เราก็ขอถอนคำว่าเสียดายหรือความหวังดีออกก็แล้วกันค่ะ ตัวใครตัวมันค่ะ แต่หลักการของพราหมณ์-ฮินดู ที่แย้งกับพุทธและพระพุทธเจ้าทรงกล่าวคัดค้านไว้เราก็จะทำตามนั้น เพราะฉะนั้น เราก็อาจจะเป็นคนหนึ่งที่เสร่อเข้าไปคัดค้านหลักการของพราหมณ์-ฮินดูอยู่เรื่อยๆ แหละค่ะ แต่คงไม่ไปหวังดีหรือเสียดายอะไรแทนใครแล้วค่ะ * แก้ไขเพิ่มเติม ถ้าไม่เป็นการลำบากจนเกินไป ถ้าคุณกลับมาเมืองไทยแล้ว ก็ช่วยนำคำอธิบายเรื่องการสิงของวิญญาณ หรือ ผี ตามหลักของพราหมณ์-ฮินดู มาให้เราเปิดหูเปิดตาบ้าง จะขอบคุณยิ่ง แก้ไขเมื่อ 31 ก.ค. 51 08:32:18 จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 31 ก.ค. 51 08:26:17 ]

ความคิดเห็นที่ 26 แถมนิดนึงค่ะ จะไปแล้ว ว่า ข้อความที่ปรากฎในพระไตรปิฎก ไม่ใช่ว่าทุกคำพูดจะเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า หลักการวินิจฉัยว่าสิ่งไหนเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสไว้แล้วในพระไตรปิฎกนั่นเอง ชาวพุทธที่ไม่ด่วนเชื่ออะไรง่ายๆ เขาก็ใช้หลักการที่ทรงให้ไว้ในการวินิจฉัย และเราก็ใช้หลักการเหล่านี้วินิจฉัย เช่นกัน ว่าสิ่งใดสมควรเชื่อหรือไม่ จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 31 ก.ค. 51 09:01:19 ]

ความคิดเห็นที่ 27 Cho_shang ก็ได้ประจักษ์ด้วยตนเองแล้วนี่คะ ว่าพุทธศาสนาก็ยอมรับเรื่องผีเข้าเจ้าสิง และเป็นการยอมรับโดยไม่มีการอธิบายไว้ละเอียด อืม... อันที่จริงเรื่องผีเข้านี้มีมานานในสมัยพุทธกาลแล้ว มีทั้งปลุกผี เรียกผี ไล่ผี ก็มีมานานในพุทธกาลแล้วครับ ชี้แจง ว่า พระพุทธศาสนายอมรับในเรื่องผีเข้า นี่ก็เป็นเรื่องจริงเเละเป็นฐานะที่จะมีได้ เพียงเเต่ว่า มิได้ทรงบัญญัติว่าอะไรเป็นอะไรให้ชัดเจน เพราะเป็นคำถามเช่นเดียวกับปัญหาเรื่องโลก ดังนั้น พระพุทธองค์จึงไม่ได้อธิบายให้พระสาวก รู้ว่าผิสิงนั้น สิงอย่างไร จิตนั้นหายไปใหน เพียงแต่ ทรงบอก ทรงชี้แนะให้พระสาวก ถึงอุบายอันเป็นการหลุดจากอำนาจของสิ่งนั้น   ส่วนประเด็นที่ว่าศาสนาพราหมณ์นั้นอธิบายได้ดีกว่า นั้นจริง เพราะพราหมณ์มีมาก่อนพุทธกาลและเขาก็มีการบัญญัติไว้ในคัมภีร์เกี่ยวกับศาสตร์ลี้ลับ หรือเรียกกันว่า ไสยเวทหรือมนต์ดำ ซึ่งในสมัยนั้นพราหมณ์บางพวกจะเรียนมนต์นี้และนำไปใช้เพื่อลาบสักการะ ซึ่งการกระทำนี้พระพุทธองค์ทรงติเตียนและบัญญัติสิกขาบท เกี่ยวกับการดำรงชีพผิดวิธีซึ่งมิใช่กิจของสมณะ ที่คุณหนอนดาวเรือง เข้าใจเกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และนำมาชี้เเจงก็อิงกับหลักศาสนาพราหมณ์และสามารถอธิบายได้พอควร แต่ไม่ทั้งหมด ซึ่งหากจะอธิบายได้ทั้งหมด ต้องบรรลุทิพยจักษุญาณ หากจะเปรียบเรื่องดังกล่าวกับพุทธศาสนา นั้นตามความเห็นของคุณหนอนกล่าวว่า มีคนพุทธที่ไม่รู้จริงพยายามโยงเข้ากับความรู้ทางพุทธศาสนาที่ตนสดับรับฟังมา นั่นก็อาจมีได้ และบางคนก็ใช้อธิบายเป็นความเห็นของตน ซึ่งต้องใช้การพิจารณา ดังนั้น ผมจึงบอกว่า..เป็นไปได้ เพื่อรับฟังความเห็นของคนหลายๆฝ่าย ว่าคิดเห็นเป็นอย่างไร บางอย่างพุทธกับพราหมณ์ก็เข้ากันได้ บางอย่างก็คนละเรื่อง บางอย่าง พุทธศาสนาสอนได้ลึกกว่าพราหมณ์ ทั้งนี้เพราะเจตนารมณ์ของแต่ละศาสนานั้นต่างกัน จุดหมายสูงสุดต่างกัน ทำให้เรื่องบางอย่างคุยกันไม่รู้เรื่อง   ที่กระผมอธิบายเป็นเพียงทรรศนะของตัวข้าพเจ้าเท่านั้น ซึ่งมิใด้ใช้ญานรู้ แต่อย่างใด บางอย่างอาจถูก อาจผิด ก็พิจารณาเอาตามธรรม เรื่องลี้ลับ เรื่องทรงเจ้าเข้าผี เป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นได้ด้วยตา ด้วยจักษุ ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เพราะถูกบดบังด้วยกิเลสอันหยาบกระด้าง   ดังนั้น จุดมุ่งหมายเบื้องต้น ของพุทธศาสนานั้น จึงสอนให้ละทิฏฐิมานะถือตนลง มุ่งมั่นบำเพ็ญเพียรเผากิเลส เมื่อนั้น อยากรู้อะไร อยากเห็นอะไร ก็เห็นเอง รู้เอง ตามบารมีอันตนสั่งสมมา ปล.ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น เพียงแต่อยากจะบอกว่า การสนทนาอะไรก็ตาม จะพูดคุยอะไรก็ตาม ในฐานะปุถุชนคนธรรมดาแล้ว ควรใช้ โยนิโสมนสิการ พิจารณาในเรื่องนั้นๆ ให้มากด้วย ครับ คุณสุภวิโมกข์ คุณหนอนดาวเรือง ขอบคุณในทรรศนะที่นำมาแสดงอันเป็นประโยชน์ให้เห็นได้บ้างไม่มากก็น้อย                                           เจริญในธรรม.......................... จากคุณ : Cho_shang - [ 31 ก.ค. 51 11:54:19 ]

ความคิดเห็นที่ 28 อันนี้ไปเจอมาในคลังกระทู้เก่าของห้องนี้แหละ เห็นว่าน่าสนใจดี ก็เลยลองเอามาให้อ่านดู ไม่ได้ไปลองนับว่าจริงหรือไม่ แต่รู้สึกว่าผู้โพสต์ข้อมูลนี้ เป็นผู้ที่มีความรู้ทางพุทธและพระไตรปิฎกสูง (จากคำตอบที่ค้นพบในกระทู้อื่นๆ) แต่ขอไม่บอกว่าเอามาจากกระทู้ไหน เพราะผู้ตอบรู้สึกว่าจะไม่ปรากฎตัวในห้องนี้แล้ว เดี๋ยวจะทำให้เขาโดนลูกหลงจากคนที่ไม่เห็นด้วยโดยไม่มีโอกาสแก้ตัวเสียเปล่าๆ จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 31 ก.ค. 51 19:17:24 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ^ ^ คุณสุภวิโมกข์ ... คุณควรยกมาทั้งหมดนะคะว่าคุณเค้าหมายถึงอิทธิพลของอะไร??   และเค้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่??   กรุณาอย่าใช้วิธีลบปิดข้อความเลยค่ะ หึหึหึ จากคุณ : @mantras - [ 31 ก.ค. 51 21:08:35 ]

ความคิดเห็นที่ 30 บี 2 อ่านเงียบๆ มาพักใหญ่ เห็นคุณสุภวิโมกข์เอาสีข้างแถไปทางโน้นที ทางนี้ที ให้เป็นที่ขบขันแก่ผู้ชมเป็นอันมาก มาค่ะ บี 2 ขอยกข้อความของหลวงพี่ริทมาทั้งกระบิ จะได้เห็นกันทั่วๆ ไม่ต้องมาปิดมาบังกัน บี 2 มีคำถามค่ะ - ว่าแต่ข้อความข้างล่างนี้ มีอะไรเกี่ยวกับผีสิงตรงไหนรึคะ - แล้วยกมาทั้งที ควรเคารพเจ้าของข้อความด้วย มารยาทเบื้องต้นเลยค่ะ อย่าหาว่าสอนเลยนะคะ มาปิดๆ บังๆ ทำไมคะ ยังไงก็รบกวนคุณอ่านข้อความที่ล้อมกรอบไว้ด้วยนะคะ - คุณรู้ตัวไหมคะว่าคุณแสดงความเห็นไม่ตรงประเด็นมาตั้งแต่ต้นน่ะค่ะ - แล้วอีกนานไหมคะ กว่าคุณจะหยุดโพสต์โต้ตอบไร้สาระแบบนี้ เรียนตามตรงว่ารำคาญค่ะ จากคุณ : บุษยมาศ - [ 31 ก.ค. 51 23:00:28 ]

ความคิดเห็นที่ 31 จากค.ห.๒๕ คุณมักสรุปอะไรไปไกลเกินเสมอ เรายังไม่ได้กล่าวหาคุณสักคำว่าคุณเป็นมิจฉาทิฏฐิ เมื่อคุณไม่ต้องการ เราก็ขอถอนคำว่าเสียดายหรือความหวังดีออกก็แล้วกันค่ะ ตัวใครตัวมันค่ะ แต่หลักการของพราหมณ์-ฮินดู ที่แย้งกับพุทธและพระพุทธเจ้าทรงกล่าวคัดค้านไว้เราก็จะทำตามนั้น เพราะฉะนั้น เราก็อาจจะเป็นคนหนึ่งที่เสร่อเข้าไปคัดค้านหลักการของพราหมณ์-ฮินดูอยู่เรื่อยๆ แหละค่ะ แต่คงไม่ไปหวังดีหรือเสียดายอะไรแทนใครแล้วค่ะ * แก้ไขเพิ่มเติม ถ้าไม่เป็นการลำบากจนเกินไป ถ้าคุณกลับมาเมืองไทยแล้ว ก็ช่วยนำคำอธิบายเรื่องการสิงของวิญญาณ หรือ ผี ตามหลักของพราหมณ์-ฮินดู มาให้เราเปิดหูเปิดตาบ้าง จะขอบคุณยิ่ง ตอนนี้เราเริ่มเสียดายแทนคุณสุภวิโมกข์แล้วหละค่ะ ที่คุณซึ่งอ้างว่า "เชื่อในปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า" กลายเป็นคนที่พูดอะไรไม่รู้เรื่องแบบนี้ คุณไม่ต้องไปหวังดีหรือเสียดายอะไรแทนใครแล้วหละค่ะ เพียงแค่คุณทำได้ในสองข้อนี้เท่านั้น : ๑) รู้ว่าประเด็นของกระทู้อยู่ตรงไหน และรู้จักตอบให้ตรงประเด็นของกระทู้ ๒) ทำความคิดให้ถูกต้องว่า ไม่ควรเสร่อเข้าไปคัดค้านหลักการของพราหมณ์-ฮินดู โดยยังไม่ทันศึกษาให้ถ่องแท้เสียก่อน คุณก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้เชื่อมั่นในปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธองค์แล้วหละค่ะ เราหวังดีกับคุณนะคะ ที่แนะนำอย่างงี้ ก็เพราะอยากให้คุณพ้นทุกข์จริงๆ ค่ะ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 1 ส.ค. 51 00:38:39 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เอ๊า ไปกันใหญ่แล้ว เดี๋ยวเย็นๆ มาตอบนะ ตอนนี้กำลังอยู่ในห้องเรียน เดี๋ยวสอบตก 5555 ที่ปิดข้อความเพราะมันไม่เกี่ยวกับกระทู้นี้ไงคะ แต่ที่ยกมามันก็เกี่ยวกับสิ่งที่เราสื่อไว้ใน คห.26 เดี๋ยวค่อยว่ากันค่ะ พี่น้อง ไม่หนีไปไหนหรอกค่ะ หรือถ้าอ่านคำตอบตอนเย็นแล้วยังไม่สะใจ ตามไปด่าตัวเป็นๆ ได้ที่วัดยานนาวาพรุ่งนี้ 10 โมงเช้าค่ะ จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 1 ส.ค. 51 09:06:40 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ^ ^ ช่วยอธิบายด้วยนะคะว่า ที่คุณกล่าวว่า ... "ผู้ตอบรู้สึกว่าจะไม่ปรากฎตัวในห้องนี้แล้ว เดี๋ยวจะทำให้เขาโดนลูกหลง   จากคนที่ไม่เห็นด้วยโดยไม่มีโอกาสแก้ตัวเสียเปล่าๆ" [อ้างคคห.28] นั้น...คุณสุภวิโมกข์หมายว่าจะมีใครไม่เห็นด้วยกับคุณฤทธีในเรื่องของอะไรคะ???           - เรื่อง 140 รูป ที่มีพื้นเพมาจากวรรณะพราหมณ์         - เรื่องอิทธิพลของจักรวาลวิทยาแบบพราหมณ์ที่มีต่อพระไตรปิฏก           - เรื่องในคคห.26 [ซึ่งก็ไม่ใช่ความเห็นของคุณเค้าเมื่ออ้างจากที่ยกมา และถ้าจะมีใครไม่เห็นด้วยกับคคห.26 ซึ่งเป็นคคห.ของคุณสุภวิโมกข์   คุณสุภวิโมกข์ก็มีโอกาสแก้ตัวนะคะ เพราะคุณยังปรากฏตัวในห้องนี้อยู่]           - เรื่องผีสิง [ซึ่งก็ไม่ใช่ความเห็นของคุณเค้าเมื่ออ้างจากที่ยกมาอีกนั่นแหละ]           - ฯลฯ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : @mantras - [ 1 ส.ค. 51 09:59:25 ]

ความคิดเห็นที่ 34 อย่าตีกันนะจ๊ะ เด็ก ๆ จากคุณ : hollowpig - [ 1 ส.ค. 51 12:10:59 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ฝากอีกคำถามค่ะ.. ที่คุณสุภวิโมกข์ กล่าวในคคห.32 ว่า "ที่ปิดข้อความเพราะมันไม่เกี่ยวกับกระทู้นี้ไงคะ   แต่ที่ยกมามันก็เกี่ยวกับสิ่งที่เราสื่อไว้ใน คห.26"   แล้วคคห.26 เกี่ยวกับกระทู้มั้ยคะ?? .. จากคุณ : @mantras - [ 1 ส.ค. 51 13:50:13 ]

ความคิดเห็นที่ 36 อะ มาแล้ว ขอตอบคำถามคุณ @mantras ตาม คห.33 ก่อน เพราะดูเป็นคำถามมากที่สุด (นอกนั้นที่เป็นคำเสียดสี ถากถาง ของคนอื่นๆ ก็ตามสบายละกัน) ที่คุณ @mantrasถามว่า ช่วยอธิบายด้วยนะคะว่า ที่คุณ (สุภวิโมกข์) กล่าวว่า ... "ผู้ตอบรู้สึกว่าจะไม่ปรากฎตัวในห้องนี้แล้ว เดี๋ยวจะทำให้เขาโดนลูกหลง   จากคนที่ไม่เห็นด้วยโดยไม่มีโอกาสแก้ตัวเสียเปล่าๆ" [อ้างคคห.28] นั้น...คุณสุภวิโมกข์หมายว่าจะมีใครไม่เห็นด้วยกับคุณฤทธีในเรื่องของอะไรคะ???          - เรื่อง 140 รูป ที่มีพื้นเพมาจากวรรณะพราหมณ์        - เรื่องอิทธิพลของจักรวาลวิทยาแบบพราหมณ์ที่มีต่อพระไตรปิฏก   ขอตอบว่า - เรื่องอิทธิพลของจักรวาลวิทยาแบบพราหมณ์ที่มีต่อพระไตรปิฏก แต่จะตอบใหม่ด้วยคำพูดตัวเองว่า เรื่องที่คุณ : Ritti Janson กล่าวว่า มีคำสอนปลอมปนของพวกพราหมณ์อยู่ในพระไตรปิฎก โดยอ้างอิงมาจากประโยคนี้ "เมื่อเห็นข้อมูลดังนี้แล้ว คุณก็ไม่ต้องฉงนแล้วว่าอิทธิพลของจักรวาลวิทยา แบบพราหมณ์ แทรกซึมเข้ามาในพระไตรปิฎกได้อย่างไร?" คำที่ถูกลบออกคือคำว่า จักรวาลวิทยา  เพราะกระทู้นั้นเขาคุยกันเรื่องนั้น แต่กระทู้นี้คุยกันเรื่องวิญญาณ (ผี) เข้าสิง ลบเพื่อไม่ให้สับสน คำตอบก้แค่ว่ามันมีคำสอนแบบพราหมณ์ปลอมปนอยู่ในพระไตรปิฎก ไม่ใช่เฉพาะเรื่องจักรวาลวิทยา อาจมีเรื่องอื่นๆ ด้วย ในความเห็นเรา เราว่าเรื่องผีเข้าผีสิงนี่ก็ด้วย เหตุผลก็ตามที่คุณ Riiti กล่าวนั่นแหละ ว่าพระพทธเจ้าทรงตรัสสอนแต่เรื่องทุกข์กับความดับทุกข์ แล้วทำไมคำสอนแบบพราหมณ์เข้ามาปลอมปนได้ ก็ดูสถิติที่คุณ Ritti ยกมานั่นแหละ ไม่ใช่แค่นั้น ทำไมเราว่าเรื่องผีเข้าผีสิง เป็นเรื่องปลอมปนของพราหมณ์ เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนอย่างละเอียดมิใช่หรือ ว่าชีวิตมันก็ประกอบไปด้วย ขันธ์ 5 เท่านั้น มีอะไรเกินไปจากนี้มั้ย แล้วขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสสอนว่า ไม่มีอะไรเที่ยงสักอย่าง มีแต่เกิด-ดับ เกิด-ดับ ต่อเนื่องกันไปอยู่ตลอด (ตราบเท่าที่มีอวิชชา) แล้วไอ้สิ่งที่มีแต่เกิด-ดับ เกิด-ดับ อยู่ตลอด ไม่มีความเที่ยงแท้ มันจะไปสิงอะไรใครได้ ก็มีแต่ทางพราหมณ์-ฮินดู ที่สอนว่ามีอาตมัน (ตัวตน) ที่เที่ยงแท้ ถ้ามีสิ่งที่เที่ยงแบบนี้ซิ มันถึงจะไปสิงสู่อย่างอื่นได้ แต่พระพุทธเจ้าก็คัดค้านคำสอนเรื่องอัตตาเที่ยงแท้ของพวกพราหมณ์อยู่แล้วนี่ ก็เลือกเชื่อกันเอาสิ ใครใคร่จะเชื่อพระพุทธเจ้า หรือใครใคร่จะเชื่อพวกพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งเราก็บอกแล้วว่า เราเชื่อปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เราจึงเชื่อว่าไม่ว่าผี วิญญาณ อะไร ก็ไม่สามารถที่จะไปสิงอะไรได้ เพราะตัวมันเองก็ประกอบไปด้วยสิ่งที่เกิด-ดับ เกิด-ดับ (ขันธ์ 5) ถึงแม้ในพระไตรปิฎกจะมีคำพูดว่าผีเข้า มารสิง เราก็เห็นว่าเป็นสิ่งปลอมปน เพราะขัดกับหลักคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงพร่ำสอนเรื่องอนัตตา-ความไม่มีตัวตนที่เที่ยงแท้ จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 1 ส.ค. 51 17:50:11 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ขออีกประเด็น ที่ว่าทำไมเรายกข้อมูลของคุณ : Ritti Janson มาโดยไม่ให้เครดิตและไม่ยอมบอกว่าเป็นของใคร พวกคุณก็ลองอ่านในกระทู้นั้นกันให้ละเอียดสิ ว่าเมื่อคุณ : Ritti Janson กล่าวว่ามีคำสอน (เรื่องจักรวาลวิทยา) ปลอมปนอยู่ในพระไตรปิฎก แล้วปฏิกิริยาของคนอื่นๆ เป็นอย่างไร โดนด่ายับ ใช่มั้ยล่ะ เราจึงปิดตรงส่วนนั้นไว้ เพราะก็ไม่รู้ว่าจะมีใครมาอ่านกระทู้นี้บ้าง ถ้าบอกชื่อ บอกเรื่อง อาจจะมีคนเข้ามาด่าคุณ : Ritti Janson อีกก็ได้ ใครจะรู้ เพราะพระสูตรนั้นมีอยู่ในพระไตรปิฎกจริงๆ แล้วถ้ามีคนเข้ามาด่าคุณ : Ritti Janson มิกลายเป็นว่าเรายกข้อความเขามาแล้วทำให้เขาต้องถูกด่าหรือ เพราะไม่เห็นเขาปรากฏตัวในห้องนี้แล้วนี่ เราจะอธิบายแทนก็ไม่มีความสามารถขนาดนั้น เลยกลายเป็นเราโดนด่าแทนว่าไม่มีมารยาท ก็ตามสบาย เพราะเรายังอยู่ เราอธิบายได้ อย่างที่คุณ @mantras กล่าว แต่อธิบายแล้วใครจะเชื่อหรือไม่ ก็สุดแท้แต่ใจแล้วกัน ไปละ ใครยังไม่สะใจ อย่าลืมตามไปด่าได้ที่วัดยานนาวาพรุงนี้ 10 โมงเช้า เราก็ขอไปร่วมทำบุญกับกลุ่มของคุณบุษกรจันทร์ซึ่ง (คิดว่า) สนิทกับพวกคุณนั่นแหละ จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 1 ส.ค. 51 18:07:02 ]

ความคิดเห็นที่ 38 คำตอบก้แค่ว่ามันมีคำสอนแบบพราหมณ์ปลอมปนอยู่ในพระไตรปิฎก ไม่ใช่เฉพาะเรื่องจักรวาลวิทยา อาจมีเรื่องอื่นๆ ด้วย ในความเห็นเรา เราว่าเรื่องผีเข้าผีสิงนี่ก็ด้วย แค่ประเด็นของกระทู้อยู่ตรงไหน ยังไม่เข้าใจ ตอบไม่ถูก พอมีคนจับได้ ก็แถไปแถมา แต่กลับมีความสามารถวิเคราะห์พระไตรปิฎก รู้ว่าตรงไหนของจริง ตรงไหนปลอมปน โอ้...พระเจ้าจอร์จ...!!! คุณสุภวิโมกข์เป็นชาวพุทธนี่ คุณกล้าอ้างด้วยเหรอคะว่าพระไตรปิฎกมีของปลอมปน เรื่องในพระไตรปิฎกไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด !?! เราไม่ใช่ชาวพุทธแท้ออกหน้าออกตาอย่างคุณ ยังจำฝังหัวมาตลอดเลยว่า พระไตรปิฎกนั้นพูดแต่เรื่องจริงทั้งสิ้น หมายความว่า อะไรที่จะมาอยู่ในพระไตรปิฎกได้ ไม่ว่าจะมาจากปัญญาการตรัสรู้หรือพระพุทธเจ้า หรือแหล่งอื่นใด เรื่องนั้นก็ควรเป็นเรื่องจริง หรืออย่างน้อย เป็นเรื่องที่พระเถราจารย์ผู้เรียบเรียงและสังคายนาพระไตรปิฎกในแต่ละยุคสมัย ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง ถูกมั้ยคะ? พระไตรปิฎกนี่ มีการสังคายนากันมาตลอดนะคะ คุณสุภวิโมกข์ คุณเก่งมาจากไหนถึงกล้าดูถูกพระไตรปิฎกว่ามีเรื่องไม่จริงปลอมปนอยู่เช่นนี้ล่ะคะ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 1 ส.ค. 51 19:47:11 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ความจริง ตามกำหนดการเดิม พรุ่งนี้เราไม่ว่าง พอดีกรุ๊ปทัวร์เลื่อนไปวันที่ ๔ ส.ค. เราก็เลยว่าง และคิดอยู่ว่าจะไปแจมกับกลุ่มคุณบุษกรจันทร์พรุ่งนี้ซะหน่อย แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้วค่ะ กลัวใครบางคนจะสำคัญตนเองผิด คิดว่าคนอื่นเค้าสนใจขนาดต้องตามไปด่าถึงวัดยานนาวา พรุ่งนี้ได้ทำบุญแล้ว ก็อย่าลืมขอขมาพระรัตนตรัยด้วยนะคะคุณสุภวิโมกข์ ที่คุณกล่าวหาพระไตรปิฎกได้ถึงเพียงนั้น (แก้คำผิด) แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 51 23:02:00 แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 51 20:17:49 จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 1 ส.ค. 51 19:50:39 ]

ความคิดเห็นที่ 40 "คำที่ถูกลบออกคือคำว่า จักรวาลวิทยา  เพราะกระทู้นั้นเขาคุยกันเรื่องนั้น   แต่กระทู้นี้คุยกันเรื่องวิญญาณ (ผี) เข้าสิง ลบเพื่อไม่ให้สับสน   คำตอบก้แค่ว่ามันมีคำสอนแบบพราหมณ์ปลอมปนอยู่ในพระไตรปิฎก   ไม่ใช่เฉพาะเรื่องจักรวาลวิทยา อาจมีเรื่องอื่นๆ ด้วย ในความเห็นเรา เราว่าเรื่องผีเข้าผีสิงนี่ก็ด้วย"   [คคห.36] ^ ^ ก็แสดงว่านี่เป็นความเห็นของคุณใช่มั้ยคะ ที่ว่ามีเรื่องผีสิงปลอมปน??   เช่นนั้นแล้วที่คุณตอบว่าการลบข้อความที่คุณอ้างว่าเพื่อป้องกันความสับสนนั้น   จึงดูเหมือนเป็นการแปลงสารตัดคำพูดคุณเค้ามากกว่า ทั้งนี้ก็เพื่อสนับสนุนความเห็นเรื่องผีสิงของคุณนั่นเอง   เพราะเฉพาะเรื่องนี้แล้ว คุณเค้าเจาะจงที่จักรวาลวิทยาทีเดียว โดยไม่ได้กล่าวถึงเรื่องผีสิงเลย เมื่อคุณกล่าวอ้างว่าเจ้าของคำพูดไม่อยู่จึงอาจโดนลูกหลงจากท่านที่ไม่เห็นด้วย เนื่องจากมาแก้ตัวไม่ได้   ดังนั้น การที่คุณตัดคำพูดคุณเค้าเพื่อสนับสนุนความเห็นเรื่องผีสิงคุณนั้น สมควรมั้ยคะ??   .. จากคุณ : @mantras - [ 1 ส.ค. 51 19:52:08 ]

ความคิดเห็นที่ 41 "ขอตอบว่า - เรื่องอิทธิพลของจักรวาลวิทยาแบบพราหมณ์ที่มีต่อพระไตรปิฏก แต่จะตอบใหม่ด้วยคำพูดตัวเองว่า เรื่องที่คุณ : Ritti Janson กล่าวว่า มีคำสอนปลอมปน   ของพวกพราหมณ์อยู่ในพระไตรปิฎก โดยอ้างอิงมาจากประโยคนี้ "เมื่อเห็นข้อมูลดังนี้แล้ว คุณก็ไม่ต้องฉงนแล้วว่าอิทธิพลของจักรวาลวิทยา แบบพราหมณ์ แทรกซึมเข้ามาในพระไตรปิฎกได้อย่างไร?" [คคห.36] ^ ^ นี่ก็แปลงสารอีก เพราะคำกล่าวจากที่คุณยกมานั้นคุณเค้ากล่าวเพียงว่า..   "เมื่อเห็นข้อมูลดังนี้แล้ว คุณก็ไม่ต้องฉงนแล้วว่าอิทธิพลของจักรวาลวิทยา แบบพราหมณ์ แทรกซึมเข้ามาในพระไตรปิฎก" ได้อย่างไร?"   ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องอื่นดังที่คุณพยายามกล่าวเหมารวมเลย!! "มีคำสอนปลอมปนของพวกพราหมณ์อยู่ในพระไตรปิฎก" นั้นเท่ากับ   "อิทธิพลของจักรวาลวิทยาแบบพราหมณ์ แทรกซึมเข้ามาในพระไตรปิฎก" ได้อย่างไร??   กรุงเทพฯ = ประเทศไทย หรือเปล่าคะ???? ตกลงคุณฤทธีกล่าวว่าอย่างไรกันแน่คะ?? .. จากคุณ : @mantras - [ 1 ส.ค. 51 19:59:15 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ส่วนที่คุณตอบคำถามเรื่องไม่เห็นด้วยในความเห็นของคุณฤทธีว่า .... เป็นเรื่องอิทธิพลของจักรวาลวิทยาแบบพราหมณ์ที่มีต่อพระไตรปิฏกนั้น ก็ในเมื่อคุณลบข้อความนั้นออกไปตั้งแต่ต้น ตอนคุณแสดงความเห็นนั้น   แล้วใครที่ไหนจะมาทราบคะว่าคุณหมายถึงอิทธิพลของจักรวาลวิทยา!! [ถ้าไม่มีการทักท้วงและนำข้อความเต็มมาแสดง] คงไม่ตอบว่าดิฉันหรอกนะคะ!!!!! .. แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 51 07:19:21 แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 51 20:10:13 จากคุณ : @mantras - [ 1 ส.ค. 51 20:05:03 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ที่กล่าวมาทั้งหมดนั่น ก็แค่เพียงเพื่อให้คุณสุภวิโมกข์รับทราบว่า .... การที่คุณจะกล่าวอ้างยกคำพูดของท่านใดมานั้น คุณควรยกมาทั้งหมดให้ครบความ   อย่างน้อยก็เป็นการให้เกียรติเจ้าของข้อความค่ะ และยังเป็นการซื่อสัตย์ต่อตัวข้อความนั้นด้วย   จากนั้นคุณอยากแสดงความเห็นส่วนตัวหรือจะตีความแปลงสารอย่างไรก็ว่าไป   ไม่สาระอะไร เพราะมีหลักฐานครบถ้วนประกอบอยู่แล้ว ใครที่ผ่านมาอ่านก็จะสามารถ   รับรู้ได้เองค่ะว่า ที่แปลงแปลมานั้นถูกตรงตามที่ยกมาอ้างหรือเปล่า!!   เท่านี้แหละค่ะ .. จากคุณ : @mantras - [ 1 ส.ค. 51 20:27:01 ]

ความคิดเห็นที่ 44 พระพุทธานุญาตเนื้อดิบและเลือดสด             [๓๖] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธเพราะผีเข้า พระอาจารย์ พระอุปัชฌายะ ช่วยกันรักษาเธอ ก็ไม่สามารถแก้ไขให้หายโรคได้ เธอเดินไปที่เขียงแล่หมู แล้วเคี้ยวกินเนื้อดิบ ดื่มกินเลือดสด อาพาธเพราะผีเข้าของเธอนั้น หายดังปลิดทิ้ง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรา อนุญาตเนื้อดิบ เลือดสด ในเพราะอาพาธเกิดแต่ผีเข้า.             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๕ บรรทัดที่ ๘๒๔ - ๘๖๗. หน้าที่ ๓๔ - ๓๕. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=5&A=824&Z=867&pagebreak=1 จากคุณ : Radiant, Archangel - [ 2 ส.ค. 51 23:02:36 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ๘. กามนีตชาดก ผู้ถูกโรครักครอบงำรักษายาก             [๓๐๕] เราปรารถนาระหว่างเมืองทั้ง ๓ คือ เมืองปัญจาละ ๑ เมืองกุรุยะ ๑ เมือง                          เกกกะ ๑ ดูกรท่านพราหมณ์ เราปรารถนาราชสมบัติทั้ง ๓ เมืองนั้นมาก                          กว่าสมบัติที่เราได้แล้วนี้ ดูกรพราหมณ์ ขอให้ท่านช่วยรักษาเราผู้ถูก                          ความใคร่ครอบงำด้วยเถิด.             [๓๐๖] อันที่จริง เมื่อบุคคลถูกงูเห่ากัด หมอบางคนก็รักษาได้ อนึ่ง บุคคลถูกผี                          เข้าสิง  หมอผู้ฉลาดก็ไล่ออกได้ แต่บุคคลถูกความใคร่ครอบงำแล้ว                          ใครๆ ก็รักษาไม่หาย เพราะว่า เมื่อบุคคลล่วงเลยธรรมขาวเสียแล้ว                          จะรักษาได้อย่างไร? จบ กามนีตชาดกที่ ๘.             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗ บรรทัดที่ ๑๗๔๒ - ๑๗๕๒. หน้าที่๘๗. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=27&A=1742&Z=1752&pagebreak=0 จากคุณ : Radiant, Archangel - [ 2 ส.ค. 51 23:03:54 ]

ความคิดเห็นที่ 46 สรุปนิดๆ ถ้าผิดขออภัย เสริมคุณหนอนดาวเรือง วิญญาณ ในความหมายทั่วๆ ไปคือ Soul, Spirit, Ghost วิญญาณ ในความหมายแบบ พราหมณ์-ฮินดู ถ้าเทียบกับภาษาอังกฤษคือ Soul, Spirit วิญญาณ ในความหมายแบบ พุทธ ถ้าเทียบกับภาษาอังกฤษคือ Sense ในพุทธศาสนา ยังมีคำอีกคำหนึ่งคือคำว่า จิต ถ้าเทียบกับภาษาอังกฤษคือ mind, consciousness ................. ในพุทธศาสนาถือว่า จิตกับวิญญาณ เป็นอย่างเดียวกัน ตัวเดียวกันแต่ทำหน้าที่ทั้งรับและส่ง แทนกันได้หลายคำ คือ มโน มนัส หทัย ฯลฯ ส่วนในความหมายแบบ พราหมณ์-ฮินดู จิตกับวิญญาณ ไม่ใช่ส่วนเดียวกัน จิตเสมือนส่วนที่เป็น อาตมัน(อัตตา) เป็นตัวตัดสินใจ แต่ วิญญาณ เป็นแต่ตัวรับรู้ *จากความจำ ในหนังสือ โยคีและมายาศาสตร์ โดย หลวงวิจิตรวาทการ* แต่ในพุทธศาสนา ถือว่า ไม่มีอัตตา แต่มีสิ่งปรุงแต่งจิตที่ทำให้เข้าใจไปว่ามีอัตตา ซึ่งมีหลายตัว เช่น อัตตสัญญา อัตตวาทุปาทาน สักกายทิฏฐิ อัสมิมานะ ฯลฯ แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 51 11:21:56 จากคุณ : Radiant, Archangel - [ 3 ส.ค. 51 00:09:40 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ส่วนในความหมายแบบ พราหมณ์-ฮินดู จิตกับวิญญาณ ไม่ใช่ส่วนเดียวกัน จิตเสมือนส่วนที่เป็น อาตมัน(อัตตา) เป็นตัวตัดสินใจ แต่ วิญญาณ เป็นแต่ตัวรับรู้ *จากความจำ ในหนังสือ โยคีและมายาศาสตร์ โดย หลวงวิจิตรวาทการ* ขอบคุณค่ะ คุณ Radiant, Archangel เราไม่ทราบว่าคุณหลวงใช้วิธีการเปรียบเทียบแบบใด หรือใช้พื้นฐานจากตำราใด เอาพุทธเข้าไปปนหรือเปล่า เราไม่แน่ใจนะคะ เพราะถ้าเทียบจากคัมภีร์อุปนิษัท อาตมันน่ะคือ Soul หรือ Spirit เลยหละค่ะ เพราะอย่างงี้เค้าถึงเชื่อว่าอาตมันเป็นอัตตา เป็นสิ่งเที่ยงแท้ไงคะ เนื่องจากใน ระดับความรู้ ที่เค้าค้นพบ (ก่อนการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า) เค้าเห็นว่าอาตมันหรือวิญญาณนี่แหละค่ะที่มีความเที่ยงแท้ มั่นคงถาวรที่สุด นั่นก็เพราะเค้ามองว่า อาตมันแยกออกมาจากปรมาตมัน หรือจักรวาล และเค้ามองว่า จักรวาลนั้นเที่ยงแท้ ไม่เสื่อมสูญไปไงคะ แล้วเค้าก็ค้นพบว่า สิ่งต่างๆ ในโลกนี้อาจสูญสลายไปได้ทั้งหมด เว้นแต่วิญญาณ เพราะไม่มีอะไรที่จะทำลายวิญญาณได้ เค้ามีหลักคิดจากตรงนั้นน่ะค่ะ พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ความเข้าใจว่า อาตมันเป็นสิ่งเที่ยงแท้ก็เป็นอันว่าตกไป แต่ภาวะอื่นๆ ของอาตมันนั้น ยังได้รับความเชื่อถือกันอยู่ เช่นเรื่องของผีเข้าเจ้าสิงนี่แหละค่ะ ซึ่ง การที่พระไตรปิฎกอธิบายเรื่องวิญญาณไว้ตามแบบที่คุณสุภวิโมกข์ยืนยันไปแล้ว แต่ก็พูดถึงผีสิงไว้ตามที่คุณช่วยไปค้นมา เราก็ไม่รู้จะสรุปเหมือนกันแหละค่ะคุณ Radiant, Archangel ว่าแล้วผีที่มาสิงพระภิกษุรูปนั้น มาจากไหน จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 4 ส.ค. 51 02:22:34 ]

ความคิดเห็นที่ 48 พุทธองค์ตรัสรู้ว่า ที่วิญญาณนั้นมีอาหารหล่อเลี้ยง วิญญาณเกิดเพราะสังขารเป็นปัจจัย สังขารในที่นี้ คือส่วนประกอบทั้งหลายทุกอย่างในจักรวาลที่มีการเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-เสื่อม-ดับไป ธาตุต่างๆ กิเลส ตัณหา รูปธรรม-นามธรรมทั้งหลาย ฯลฯ วิปัสสนาญาณขั้นหนึ่ง กล่าวถึง สังขารุเปกขาญาณ หมายถึง สภาวพของจิต ที่วางเฉย(อุเบกขา)กับความเป็นไปของสังขารทั้งหลาย เพราะสภาวะของวิญญาณที่ยังมีอวิชชา(ไม่รู้จักไตรลักษณ์ของสังขาร) วิญญาณนี้โดยปกติ จะเก็บสะสมสังขารไว้เป็นอาหารตุนไว้ตลอดเวลา อธิบายง่ายๆ ก็คือ ถ้ายังกินอาหารอยู่ ก็ยังมีชิวิตอยู่ เมื่อไม่กินอาหารเมื่อไหร่ ก็ตายเมื่อนั้น จากคุณ : Radiant, Archangel - [ 4 ส.ค. 51 11:35:12 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ผีโดยทั่วไป มีอยู่แล้วครับ พุทธองค์อธิบายเรื่องภพภูมิ และโอปปาติกะ สารพัดชนิด ซึ่งเป็นชีวิตรูปแบบหนึ่ง ซึ่งสภาวะของขันธ์ ละเอียดกว่ามนุษย์ จากคุณ : Radiant, Archangel - [ 4 ส.ค. 51 11:39:12 ]

ความคิดเห็นที่ 50 เย้  ...   คนที่ 50 จากคุณ : hollowpig - [ 4 ส.ค. 51 12:03:00 ]

ความคิดเห็นที่ 51 คนที่ 51 (มาช่วยยเพิ่มยอดให้ จขกท. 555) จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 4 ส.ค. 51 19:54:22 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ขออีก 1 คห.นะ ลืม (มิได้จงใจฟลัด 555) วิญญาณคืออะไร ? การพูดเรื่องวิญญาณอื่นมาเข้าสิงเป็นเรื่องนอกพระพุทธศาสนาหรือไม่ ? เพราะวิญญาณเป็นอนัตตามิใช่หรือ ? http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y6859397/Y6859397.html จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 4 ส.ค. 51 20:06:46 ]

ความคิดเห็นที่ 53 . จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 5 ส.ค. 51 11:01:28 ]

ความคิดเห็นที่ 54 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 51 11:31:13 จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 5 ส.ค. 51 11:29:43 ]

ความคิดเห็นที่ 55 สีมันกลืนกันเห็นไม่ชัด เอาใหม่ ข้าพเจ้า สุภวิโมกข์ ขอขมาต่อท่าน อ.สุชีพ ไว้ ณ ที่นี้ ที่ด่วนตำหนิว่าท่านไม่อธิบาย ความหมายของคำว่า วิญญาณ ให้ตรงกับความหมายของพุทธศาสนา ซึ่งที่จริงท่านได้ อธิบายไว้ตรงตามหลักพุทธศาสนาแต่อยู่คนละคำถามกับกระทู้นี้ ตามรูปใน คห.53 ซึ่งคุณ hollowpig ได้นำมาตั้งกระทู้เพิ่มเติมและข้าพเจ้าได้นำมาลงไว้ . จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 5 ส.ค. 51 11:33:34 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ต่อไปนี้ก็ถึงคิวของคนที่วินิจฉัยท่าน อ.สุชีพ ไว้ผิดๆ หวังว่าจะรับผิดชอบคำพูดของตนเองใน คห.13 และ คห.20 ด้วยนะ จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 5 ส.ค. 51 11:47:37 ]

ความคิดเห็นที่ 57 อ้าว รับผิดชอบคำพูดตัวเองไม่ครบนี่คะ คุณสุภวิโมกข์ แล้วข้างล่างนี้ล่ะคะ ว่าไง จาก ค.ห.๑ ของคุณเอง ในกระทู้นี้แหละ ไม่มีหรอกวิญญาณที่ไหน อะไร จะมาสิงกันได้ วิญญาณจะเกิดได้ก็ต้องอาศัยอายตนะภายในต่อกับอายตนะภายนอกจึงเกิดวิญญาณ วิญญาณใครมันก็ต้องเกิดโดยอาศัยรูปนามของคนนั้น ไอ้ประเภทวิญญาณเป็นดวงๆ เที้ยววิ่งออกไปสิงคนโน้นคนนี้นี่เรื่องเหลวไหลทั้งสิ้น อย่าลืมขอขมา อ.สุชีพ ที่คุณพูดแบบนี้ด้วยนะคะ อ้อ, ว่าแต่ที่คุณปรามาสพระไตรปิฎก ว่ามีคำสอนของพราหมณ์มาปลอมปนเนี่ย คุณได้ขอขมาพระรัตนตรัยไปแล้วหรือยังล่ะคะ (จาก ค.ห.๓๖) คำตอบก้แค่ว่ามันมีคำสอนแบบพราหมณ์ปลอมปนอยู่ในพระไตรปิฎก ไม่ใช่เฉพาะเรื่องจักรวาลวิทยา อาจมีเรื่องอื่นๆ ด้วย ในความเห็นเรา เราว่าเรื่องผีเข้าผีสิงนี่ก็ด้วย จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 5 ส.ค. 51 17:41:32 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เรายอมรับว่า เราวินิจฉัย อ.สุชีพ ผิด ตามค.ห.๑๓ จริง นั่นคือ คำว่า "วิญญาณ" ตามความหมายของ อ.สุชีพ นั้น เป็น "วิญญาณ" ในภาษาไทย ตามที่คนไทยเรียกกันโดยทั่วไป และมีความหมายตรงกับ Soul, Spirit และ Ghost ในภาษาอังกฤษค่ะ ไม่ใช่ "วิญญาณ" ตามหลักพุทธศาสนา ซึ่งหมายถึงการรู้ที่เกิดจากผัสสะ ระหว่างสิ่งภายนอกกับอายตนะ ตามที่คุณสุภวิโมกข์กรุณายกมาให้ดูนี้หรอกค่ะ และวินิจฉัย อ.สุชีพ ผิด ในอีก ค.ห.หนึ่ง จริง แต่ไม่ใช่ ค.ห.๒๐ เป็นค.ห.๒๔ (จะบลั๊ฟคนอื่นเค้าก็อ้างให้มันถูกค.ห.หน่อยสิคะ คุณสุภวิโมกข์) เมื่อไม่ใช่เรื่องทางพุทธศาสนา แต่มีคนมาถามผู้เชี่ยวชาญทางพุทธศาสนาเช่นอ.สุชีพ ท่านก็ต้องตอบด้วยองค์ความรู้ของศาสนาอื่นที่จะว่าไปแล้วก็เป็นรากฐานของศาสนาพุทธนั่นเอง นั่นคือเทียบเคียงกับหลักอาตมันตามแบบของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เพราะว่า ๑) ศาสนานั้นเค้ามีองค์ความรู้ที่รองรับเรื่องนี้อยู่แล้วไงคะ ๒) คำว่า "วิญญาณ"ที่คนไทยเรายืมจากพระไตรปิฎกมาใช้ผิดจากความหมายเดิม เราก็เอามาใช้ตามหลักของอาตมันในศาสนาฮินดูไงคะ เมื่อวินิจฉัยผิด ก็คือวินิจฉัยผิด เรายอมรับในข้อนั้น และเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้วินิจฉัยผิด ก็มาจากการที่คุณ จขกท. ไปยกข้อความของอ.สุชีพมาบรรจุไว้ในกระทู้นี้ไม่ครบ เพราะ จขกท. ตั้งใจว่าจะแบ่งอีกส่วนหนึ่งไปโพสต์เป็นหัวข้อกระทู้ใหม่ต่อไป (อาจเป็นเพราะเค้ากำลังพยายามสะสมยอดการโพสต์กระทู้เพื่อเอาไปแลกของรางวัลอะไรซักอย่างมั้ง ฮ่าๆๆๆๆ) เราก็ลืมนึกไปว่า ตา hollowpig คนนี้น่ะ เค้าชอบทำแบบนี้บ่อยๆ ก็เลยมาด่วนตีความจากข้อมูลที่เค้านำมาให้อ่านแบบไม่ครบถ้วน อันนี้ก็เป็นความผิดของเราอีกแหละค่ะที่หลวมตัวเข้ามาเป็นเหยื่อของเค้า ตีกับคุณให้เค้านั่งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดูอย่างสบายใจ มีความสุขที่ได้เห็นคนมาเถียงกันในกระทู้ที่เค้าโพสต์ โดยเค้าเองไม่มี comment อะไรทั้งสิ้น (เป็นไงล่ะ hollowpig แฉซะเลย) ข้อสำคัญ พอคุณ hollowpig เอาข้อความที่เหลือของ อ.สุชีพ ไปโพสต์เป็นกระทู้ใหม่ (ตามที่คุณสุภวิโมกข์ยกมาอ้างในค.ห.๕๓) อันนั้นกลายเป็นว่า ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะกลับกลายเป็นว่า อ.สุชีพไม่ได้พูดเรื่องผีสิงแล้ว ท่านพูดเรื่องกิเลสสิงแทน ในขณะที่ข้อความของท่านที่เป็นหัวข้อกระทู้นี้ ท่านอ้างในลักษณะของ "ผีสิง" ค่ะ ไม่ใช่กิเลสสิงค่ะ เมื่อท่านยกเรื่องราวในลักษณะของผีสิงมาพูด แต่ท่านไปอธิบายว่าเป็นเรื่องของกิเลสสิง เราว่าเราก็มีเหตุผลที่จะตำหนิท่านแล้วหละค่ะ แม้ว่า ท่านจะอธิบายตามแบบของศาสนาพุทธก็ตาม ผีสิง กับกิเลสสิง เป็นคนละเรื่องกันแน่นอนค่ะ ท่านเริ่มต้นด้วยเรื่องผีสิง เรื่องการสะกดจิต แล้วท่านไปจบลงที่เรื่องกิเลสสิงได้ไงล่ะคะ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 5 ส.ค. 51 18:10:19 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ข้อสำคัญ อ.สุชีพ เป็นเพียงนักปราชญ์ ผู้คงแก่เรียนในทางศาสนาท่านนึง ซึ่งเมื่อท่านยังคงเป็นมนุษย์ธรรมดา ก็ย่อมต้องมีความผิดพลาดบ้าง เป็นธรรมดาเช่นกัน การตำหนิ หรือปรามาส อ.สุชีพ ไม่เป็นเรื่องร้ายแรงอะไรเลย เมื่อเทียบกับการปรามาสพระไตรปิฎก ที่คุณสุภวิโมกข์ได้กระทำนะคะ แล้วคุณคิดจะขอขมาพระรัตนตรัย ที่คุณกล้าบังอาจปรามาสพระไตรปิฎกบ้างมั้ยล่ะคะ คุณสุภวิโมกข์? จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 5 ส.ค. 51 18:14:10 ]

ความคิดเห็นที่ 60 อ้อ, มีอีกเรื่องนึงค่ะ ที่คุณทำตัวเป็นฤาษีแปลงสาร ยกข้อความของคุณฤทธีมาตัดต่อแบบมั่วนิ่มเพียงเพื่อประกอบการปรามาสพระไตรปิฎกของคุณเนี่ย คุณคิดว่าคุณควรขอขมาคุณฤทธีด้วยมั้ยล่ะคะ ที่คุณเอาข้อมูลของเค้าซึ่งเป็นคนละเรื่องกับหัวข้อกระทู้นี้เลย มาอ้างอิงเพื่อประกอบการปรามาสพระไตรปิฎก อันเป็นบาปมหันต์ที่คุณได้กระทำไปแล้วโดยที่คุณยังไม่สำนึกตัวมาจนกระทั่งถึงตอนนี้น่ะค่ะ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 5 ส.ค. 51 18:19:39 ]

ความคิดเห็นที่ 61 อ้าว เหอ เหอ เจ๊ หนอน  นะมะฉะ  เราเสียแรวว ตบกันอย่าหันมาด่ากรรมการ เด่ะเจ๊ แล้วกัน จากคุณ : hollowpig - [ 6 ส.ค. 51 06:53:59 ]

ความคิดเห็นที่ 62 คุณก็ไปตามคุณฤทธีมาสิ เราเชื่อว่าถ้าเราอธิบายคุณฤทธีจะเข้าใจ ส่วนคนอื่นจะเข้าใจว่ายังไงก็ตามเรื่องเหอะ ขี้เกียจโพสต์ในนี้ ไม่อยากชี้ช่องให้คนนอกศาสนาเอาข้อมูลมาใช้โจมตีศาสนาพุทธ (ไม่ได้หมายถึงคุณหนอนดาวเรือง) ส่วนเรื่องอื่นๆ เราไม่ตอบแล้ว เจตนาคือตัวกรรม (ตามนิพเพธิกสูตร) http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=22&A=9611&w=นิพเพธิกสูตร ซึ่งคุณเองก็ไม่มีเจโตปริยญาณ (ที่จะอ่านใจเราได้) ว่าขณะนั้นเรามีเจตนาแค่ไหนอย่างไร และเจตนา(คือกรรม)ของเรามันก็สำเร็จแล้ว ย่อมไม่สามารถหลอกกฎแห่งกรรมได้ เจริญในธรรม จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 6 ส.ค. 51 11:24:39 ]

ความคิดเห็นที่ 65 หว๋า   ....  65 จากคุณ : hollowpig - [ 6 ส.ค. 51 14:57:06 ]

ความคิดเห็นที่ 66 .. จากคุณ : @mantras - [ 6 ส.ค. 51 17:18:44 ]

ความคิดเห็นที่ 67 เข้าใจค่ะ คุณสุภวิโมกข์ เจตนาของคุณ คือกรรม ในการเอาข้อมูลของคนอื่นมาบิดเบือน เพื่อการปรามาสพระไตรปิฎก สำเร็จแล้ว ไม่ต้องมีเจโตปริยญาณหรอกค่ะ แค่ดูพฤติกรรมในบอร์ดนี้ก็ชัดเจน กล้าขอโทษอ.สุชีพ แต่ไม่กล้าขอขมาพระรัตนตรัย พฤติกรรมของคุณสุภวิโมกข์เองต่างหากมิใช่หรือคะ คือข้อมูลที่คนนอกศาสนาจะเอามาใช้โจมตีศาสนาพุทธได้? คุณเป็นคนเอาข้อมูลคุณฤทธีมาบิดเบือน แล้วคุณยังมีหน้าจะให้เราเป็นคนไปตามเค้ามาคุยกับคุณ คุณรู้จักความละอายบ้างมั้ยคะ คุณสุภวิโมกข์? จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 6 ส.ค. 51 22:26:56 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ในฐานะที่คุณอ้างตัวว่าคุณเป็นพุทธศาสนิกชน คุณจะขอขมาพระรัตนตรัยได้หรือยังคะ คุณสุภวิโมกข์...!!! แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 51 22:29:48 จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 6 ส.ค. 51 22:29:10 ]

ความคิดเห็นที่ 69 เย้  ...  69   ช่วย ๆ กัน จะแซงกระทู้ ดากยาน  อ่ะน๊า จากคุณ : hollowpig - [ 7 ส.ค. 51 06:46:07 ]

ความคิดเห็นที่ 70 เอา เมื่ออยากให้ตอบก็จะตอบ แต่ขอกินข้าวเติมแรงก่อน แล้วก็ขอไปอ่าน-ตอบกระทู้อื่นๆ ก่อนเด้อ ตอนนี้ช่วยเพิ่มยอดให้ จขกท. ก่อน 555 แก้ไขเมื่อ 07 ส.ค. 51 08:38:21 จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 7 ส.ค. 51 08:28:10 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ขอพักไว้ก่อนนะ มีงานด่วนจะต้องทำ คงยังไม่เสร็จง่ายๆ คงเป็นวันจันทร์นั่นแหละ หวังว่าจะไม่มีใครมาหาเรื่องว่าหนีหน้านะ จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 7 ส.ค. 51 09:22:51 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ไม่ถือว่าหนีหน้าหรอกมั๊งครับ เพราะจากที่อ่านผ่านตา คุณสุฯ ก็มีข้อมูล เพียงแต่ไม่ว่างจริง ๆ ก็เป้นได้ หรือถ้าขอเวลาเรียบเรียงข้อมูลก้ไม่ผิดอีกเช่นกัน จากคุณ : hollowpig - [ 7 ส.ค. 51 11:33:42 ]

ความคิดเห็นที่ 73 เอาจุดยืนของตัวเองมาให้ดูก่อน เป็นหลังไมคที่ส่งหาคุณหนอนดาวเรือง แต่เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าเราแอบไปล็อบบี้คุณหนอนดาวเรือง จึงต้องเอามาให้ดู ส่วนข้อความอื่นๆ ที่เราหลังไมค์ถึงคุณหนอนดาวเรือง ถ้าชาวพุทธที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกระทู้นี้อยากรู้ก็ไปขอที่คุณหนอนดาวเรืองได้ ไม่เย็นวันศุกร์ก็เย็นวันจันทร์ เราจะเข้ามาแก้ข้อกล่าวหา . จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 7 ส.ค. 51 12:26:56 ]

ความคิดเห็นที่ 74 เอาข้อความของคุณฤทธีมาเตือนสติคุณสุภวิโมกข์ เผื่อจะคิดได้ถึงความควร ไม่ควร คุณเอาข้อความของเขามาแอบอ้าง ทั้งที่ไม่ได้เรื่องมันไม่ได้เกี่ยวกันเลย ยังจะมีหน้าให้คุณหนอนดาวเรืองไปตามคุณฤทธีมาอีก ปูนนี้แล้วนะคุณ คิดเองไม่เป็นหรือยังไง หลังไมค์ที่ส่งหาคุณหนอนดาวเรืองน่ะ เอามาโชว์ทำไม ใครขอดูงั้นเหรอ แล้วเรื่องว่าต้องทำงาน วันนั้นวันนี้จึงจะเสร็จ เห็นบอกมาหลายรอบแล้ว ไม่ต้องบอกหรอกคุณ ไม่เห็นมีใครอยากรู้นี่ จากคุณ : บุษยมาศ - [ 7 ส.ค. 51 12:48:16 ]

ความคิดเห็นที่ 75 โว๊ย ไม่ต้องทงต้องทำมันแล้วงาน เริ่มหน้ามืดแล้ว 555 เอิ๊ก !!!!!! อ่ะ เอาไปดูเป็นขวัญตา ในเมื่อถากถางกันดีนัก อันนี้จงใจเอามาอวดคุณบุษยมาศโดยเฉพาะเลยแหละ ถึงความเมตตาที่คุณฤทธีมีต่อเรา หรือจะถากถางต่อ ว่าเราประดิษฐ์ขึ้นมาเอง หรือไปซื้อของใครมาก็ตามสบายนะ 5555 . จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 7 ส.ค. 51 14:23:02 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ถือว่าเป็นการแนะนำข้อปฏิบัติของผู้ที่อยากฝึกกสิณสี คงไม่เสียหายอะไรกับท่านริท 2 เดือนกว่าๆ ต่อมา ความเมตตาครั้งต่อไป (อย่าพึ่งแซงเด้อ ดูให้ครบก่อน) . จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 7 ส.ค. 51 14:31:59 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ต่อ . จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 7 ส.ค. 51 14:33:08 ]

ความคิดเห็นที่ 78 เวน ลืมเปลี่ยนสีประจำตัว หน้ามืดไปหน่อย ต่อๆ . จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 7 ส.ค. 51 14:35:42 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ยังไม่หมด ยังมีอีก . จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 7 ส.ค. 51 14:37:18 ]

ความคิดเห็นที่ 80 สุดท้ายละ ความเมตตาจากท่านริท แฟนคลับอย่างคุณบุษยมาศก็น่าจะจดจำไว้เป็นเยี่ยงอย่างบ้างนะ ไม่ใช่เอาแต่ออกมาปกป้องแบบหน้ามืดตามัวอย่างเดียว เหอ! เหอ! เหอ!  ไปละ . จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 7 ส.ค. 51 14:41:00 ]

ความคิดเห็นที่ 81 เย้ ... ในที่สุดเจ๊ B2 ก็ออกจากโรง  มาร่วมวงด้วย มา ๆ มาช่วยกันให้ครบร้อย กระทู้เราจะได้ฮอทฮิท ถล่มกระทู้ ปาราชิก แฮ่มม จากคุณ : hollowpig - [ 7 ส.ค. 51 14:47:44 ]

ความคิดเห็นที่ 82 แล้วยังไงคะ จะบอกว่านี่เธอ ฉันน่ะ นับถือคุณฤทธีเป็นอาจารย์จริงๆ นะย้า สนิทกันด้วยน้า นี่ไงหลักฐาน ไม่ได้เป็นแค่แฟนคลับอย่างเธอ คุณคะ โตๆ กันแล้ว เลิกเอานั่นเอานี่มาอวดเสียที สมัยเรียนเคยทำรายงานบ้างไหมคะ การอ้างอิงข้อความจากหนังสือเล่มอื่น มีข้อกำหนดอย่างไร ไปคิดดูเถอะว่าสิ่งที่คุณทำ สมควรหรือไม่ คนในห้องศาสนาหลายๆ คน รู้จักกันผ่านหน้ากระทู้ ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่สิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ในห้องนี้มีคือ มารยาทและการเคารพผู้อื่น เรื่องง่ายๆ เลยค่ะ ไอ้การจะมาบอกว่าฉันมีเจตนาดีนะยะ ไม่อยากให้คุณฤทธีเดือดร้อน แล้วก็เอาข้อความของเขาที่สนับสนุนความคิดของตัวมาใส่ แล้วลบข้อความบริบทออก มันน่าเกลียดค่ะ ยิ่งเขามีเมตตาต่อคุณมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งต้องเกรงใจเขามากเท่านั้น ถ้ายังเด็กก็จะไม่ว่าหรอก แต่นี่ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว แถมปฏิบัติธรรมจนเอามาคุยฟุ้งในกระทู้ด้วย หรือจะแถอีกว่าไปวัด ไม่ได้ไปเรียนมารยาทสังคมอีกละคะ คนทักท้วงตั้ง 3 คน คุณยังเอาสีข้างแถไปได้เรื่อยๆ ระยะเวลาปีกว่าที่เข้ามาอ่านกระทู้ห้องนี้ เพิ่งเคยเจอคนอย่างคุณเป็นคนแรก ก็ดีค่ะ เป็นการฝึกตัวเองที่ดีทีเดียว จากคุณ : บุษยมาศ - [ 7 ส.ค. 51 15:38:53 ]

ความคิดเห็นที่ 83 โอเค เรายอมรับว่ามันไม่สมควรและไม่มีมารยาทที่นำข้อความของคุณฤทธีมาอ้างอิงแบบปิดๆ บังๆ แถมยังไม่ให้เครดิต แต่นั่นก็มาจากเจตนาที่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเป็นข้อความของคุณฤทธี ไม่ใช่ไม่นับถือ แต่ไม่อยากให้รู้ว่ามาจากกระทู้ไหน เพราะกระทู้นั้นคุณฤทธีวินิจฉัยว่ามีคำสอนบางอย่างปลอมปนเข้ามาในพระไตรปิฎกอย่างชัดเจน พร้อมหลักในการวินิจฉัยว่าสิ่งใดเป็นธรรมแท้ของพระพุทธองค์หรือไม่ แล้วการที่เราซึ่งนับถือคุณฤทธี จะเชื่อตามหลักการนั้นมันผิดตรงไหนมิทราบ ผู้คนอีกมากมายเขาก็เชื่อกันว่าคำสอนใดที่ไม่เป็นไปเพื่อการดับทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่ายคลายกำหนัด (อาจจะ) ไม่ใช่ธรรมแท้ของพระพุทธองค์ แต่ก็ไม่ได้มีใครเขาจะไปปรักปรำแบบเอาเป็นเอาตาย ว่านั่นไม่ใช่ธรรมะจากพระพุทธองค์ เพราะมันก็แค่เป็นขั้นสงสัยหรือสันนิษฐานเท่านั้น เขาก็จะแค่ไม่ไปยึดติดถือมั่นกับเรื่องเหล่านั้นจนเกินงาม เช่น เรื่องพวกนรกสวรรค์ หรือพวกจักวาลวิทยา (ในส่วนที่เป็นรายละเอียด) แล้วถ้าเราจะสงสัยว่าเรื่องผีเข้าเจ้าสิงนี่ก็น่าจะเป็นสิ่งปลอมปนเข้ามาในพระไตรปิฎกเหมือนกัน มันผิดตรงไหนมิทราบ ในเมื่อถ้าเชื่อว่า ผี วิญญาณ หรือจะขันธ์ 5 หรือจะธาตุ 6 อะไรก็ตาม สามารถเข้าไปสิงสู่ผู้คนได้ สิ่งเหล่านี้มันก็จะต้องมีความเที่ยงแท้ ไม่ใช่เกิด-ดับ เกิด-ดับ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันก็ขัดกับหลักอนัตตาที่พระพุทธเจ้าทรงสอนอยู่แล้ว ทั้งก็ยังเป็นไปเพื่อความยึดติดถือมั่น ไม่เป็นการเบื่อหน่ายคลายกำหนัดในอัตตาตัวตน การที่เราสงสัยว่าเรื่องผีเข้าเจ้าสิงนี่น่าจะเป็นสิ่งปลอมปน มันก็มีเหตุให้ควรสงสัยได้ ความสงสัยแค่นี้มันไม่ได้เป็นการปรามาสหรือดูถูกพระไตรปิฎกอย่างเลวร้ายอะไรอย่างที่พวกคุณพยายามยัดเยียดข้อกล่าวหาให้เรา ถ้าเราจะผิดก็ผิดตรงที่ไม่รู้ว่าจะมีแฟนคลับบ้าๆ บอๆ อย่างคุณบุษยมาศมาแอบอ่านกระทู้นี้ เพราะในการถกเถียงนั้นมีแต่เราถกอยู่กับคุณหนอนดาวเรืองเท่านั้น และก็ไม่คิดว่าจะมีแฟนคลับอย่างคุณที่อยากแสดงให้เห็นว่าต้องการปกป้องคุณฤทธีอย่างออกนอกหน้า จนต้องไปขุดคุ้ยเอาข้อความเต็มพร้อมด้วยชื่อคุณฤทธีมาให้ดูอย่างโจ่งแจ้ง เพียงเพื่อจะยำคนอย่างเราเท่านั้น โดยที่ไม่คิดถึงเลยว่าการแสดงทัศนคติที่ว่ามีคำสอนเรื่องจักรวาลวิทยานปลอมปนอยู่ในพระไตรปิฎกของคุณฤทธีนั้นก็จะถูกแสดงออกมาด้วย ซึ่งคนที่ยึดมั่นถือมั่นอย่างบ้าๆ บอๆ อย่างพวกคุณก็จะเฮโลกันออกมาด่าอย่างที่เห็นกันอยู่นี่ไงเล่า พระไตรปิฎกเข้ามีไว้ให้ศึกษาปฏิบัติให้เข้าถึง ฉะนั้นก็จะต้องรู้จักแยกแยะคำสอนที่มีมากมากก่ายกองด้วย ไม่ใช่มีไว้เพื่อจะเอามากอดติดแน่นเหนียวอย่างพวกคุณ ดังนั้น แทนที่คุณจะเอาแต่ปกป้องคุณฤทธีอย่างไม่ลืมหูลืมตาเช่นนี้ คุณควรไปศึกษาธรรมต่างๆ ที่คุณฤทธีได้วิเคราะห์แยกแยะไว้เป็นมรดกมากมายอย่างคนมีสติจะดีกว่า จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 7 ส.ค. 51 16:57:51 ]

ความคิดเห็นที่ 84 คุณสุภวิโมกข์คะ เราเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า คุณจะไปเอาเรื่องส่วนตัวระหว่างคุณฤทธีกับคุณมาโชว์ไปเพื่ออะไรนะคะ และอย่างที่คุณบุษยมาศพูด ยิ่งคุณตระหนักว่า ได้รับความเมตตาจากคุณฤทธีมากขนาดไหน คุณยิ่งต้องระมัดระวังในการอ้างถึงเค้า ในประเด็นที่จะสร้างความเสื่อมเสียให้เค้า (ถ้าหากว่ามี) มากขึ้นเพียงนั้น เอาหละ ทีนี้กลับมาเรื่องเดิม เราไม่รู้จริงๆ นะคะ ว่าคนที่ศึกษาพระไตรปิฎกมากอย่างคุณเนี่ย เค้ามีความคิดที่จะตั้งข้อสงสัยพระไตรปิฎก แบบ "เอาจริตของตนเองเป็นที่ตั้ง" อย่างคุณไปซะทั้งหมดหรือเปล่า แต่ในเมื่อศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งสติปัญญา เป็นศาสนาที่ทนต่อการโต้แย้ง และพิสูจน์ตัวเองมาได้ตลอดเวลาสองพันห้าร้อยกว่าปี คุณจะใช้ความเป็นพุทธศาสนิกชนของคุณมาแสดงความสงสัยพระไตรปิฎก ก็ไม่มีใครว่าหรอกค่ะ แต่ที่คุณพูดแบบข้างล่างนี้ : คำตอบก้แค่ว่ามันมีคำสอนแบบพราหมณ์ปลอมปนอยู่ในพระไตรปิฎก ไม่ใช่เฉพาะเรื่องจักรวาลวิทยา อาจมีเรื่องอื่นๆ ด้วย ในความเห็นเรา เราว่าเรื่องผีเข้าผีสิงนี่ก็ด้วย พูดแบบนี้ไม่ใช่การแสดงความสงสัยนะคะ คุณสุภวิโมกข์ พูดแบบนี้คือการปรามาสพระไตรปิฎกค่ะ ถ้าคุณยังจะแก้ตัว ก็ลองเอาคำพูดนี้ไปถามครูบาอาจารย์ที่สอนกสิณสอนอะไรต่อมิอะไรให้คุณทุกท่านได้อ่าน ให้ท่านวินิจฉัยได้เลยค่ะ ว่าจะตรงกับที่คุณอ้างว่า "แค่สงสัย" หรือไม่ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 7 ส.ค. 51 17:59:32 ]

ความคิดเห็นที่ 85 คุณตอบกระทู้ไม่ตรงประเด็นมาตั้งแต่ต้น เขาพูดกันเรื่องผีสิง แต่คุณดันไปยกเอาอีกความหมายของคำว่าวิญญาณมาอธิบาย (??) นั่นเป็นเรื่องที่คุณเถียงกับคุณหนอนดาวเรืองมาตั้งแต่แรก ซึ่งดิฉันอ่านอยู่เงียบๆ การค้นหาข้อความในพันทิปไม่ได้ยากเย็นอะไร ใครใช้คอมพิวเตอร์เป็นก็หาเจอทั้งนั้น ไม่รู้จะปิดบังไปเพื่ออะไร นอกจากมีเจตนาฤาษีแปลงสารอย่างที่คุณทำ พอมีคนแย้งก็มาอ้างนั่น อ้างนี่ คุณจะเชื่ออะไร ยังไง มันเรื่องของคุณ ไม่จำเป็นต้องมาป่าวประกาศให้คนรับรู้หรอกค่ะ คิดว่ามีใครสนใจหรือคะ หรือว่านั่นคือเหตุผลหลักในการเข้ามาในห้องนี้ เวลาสองพันกว่าปีผ่านไป ไม่มีใครรู้หรอกค่ะว่าพระไตรปิฎกที่ยึดถือกันทุกวันนี้ อะไรปลอม อะไรปนเข้ามาบ้าง การที่คุณจะบอกว่านี่เลย อันนี้ปลอมแน่ ไม่มีใครเชื่อคุณหรอกค่ะ ถ้าคุณไม่มีหลักฐาน คนอ่านเงียบๆ อย่างดิฉันมีสมองพอจะรู้ว่าควรเชื่ออะไร ไม่เชื่ออะไร ไม่ใช่ตะบี้ตะบันเชื่อไปหมด แบบนั้นเขาเรียกโง่ค่ะ ข้อความนี้ของคุณ "แฟนคลับบ้าๆ บอๆ อย่างคุณบุษยมาศมาแอบอ่านกระทู้นี้" ทำให้ดิฉันเพิ่งทราบว่ามีตำแหน่งเป็นแฟนคลับคุณฤทธีกับเขาด้วยเหมือนกัน คุณเอาที่ไหนมาพูดคะ หลักฐานมีไหม อย่าเพ้อเจ้อค่ะ ไปพูดพล่อยๆ ข้างนอก ระวังจะถูกตบปาก ดิฉันไม่ได้แอบอ่านกระทู้หรอกค่ะ เพราะอ่านอย่างเปิดเผย เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัว ไม่ต้องเกรงใจใคร พันทิปเป็นเว็บไซต์สาธารณะ ใครอยากโพสต์กระทู้อะไรก็โพสต์ ใครอยากอ่านก็อ่าน ไม่จำเป็นที่อ่านแล้วจะต้องรายงานตัวทุกกระทู้ค่ะ เข้าใจเสียใหม่นะคะ จะได้ไม่ไปสบประมาทใครเขาแบบนี้อีก การที่ดิฉัน คุณอมันตรา คุณหนอนดาวเรือง สอนมารยาทการใช้เว็บบอร์ดให้คุณ แล้วคุณเกิดอาการทนไม่ได้ บอกว่าพวกเราเป็น "คนที่ยึดมั่นถือมั่นอย่างบ้าๆ บอๆ" ดิฉันแนะนำว่าครั้งต่อไป คุณควรตั้งสติให้ดีก่อนโพสต์ค่ะ จะได้ไม่เสียภาพพจน์ ศีลขาดกระเด็นไปโน่นแล้วนะคะ รีบไปเก็บเถอะ เดี๋ยวหมาคาบไปค่ะ จากคุณ : บุษยมาศ - [ 7 ส.ค. 51 18:54:41 ]

ความคิดเห็นที่ 86 คนที่อ่านอะไรไม่รู้เรื่องก็คือคุณบุษยมาศนั่นแหละ คุณไม่รู้จักศึกษาหลักธรรมที่เป็นแก่นสารของศาสนาพุทธ สักแต่อ่านเพียงเพื่อจะเอาไว้ด่าคนเอามันเท่านั้น แล้วยังจะมาหาว่าคนอื่นเขาตอบไม่ตรงประเด็นอีก แนะนำนะ ไปหาหนังสือ "พุทธธรรมฉบับปรับปรุงและขยายความ" โดย พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต) มาอ่านเสีย จะได้เข้าใจพุทธศาสนาอย่างถูกต้องเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่บทแรกเลยนะ "ชีวิตคืออะไร" "ขันธ์ 5" "อายตนะ 6" เป็นยังไง จะได้เถียงกับคนอื่นเข้าได้แบบเต็มปากเต็มคำ ไม่ต้องอาศัยแต่มิจฉาวาจามาคอยหากินอยู่แบบนี้ เหอะ ๆ ๆ ไปละ บาย จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 7 ส.ค. 51 19:44:59 ]

ความคิดเห็นที่ 87 คุณคะ ดิฉันไม่ใช่คนชอบอวดว่าอ่านหนังสือธรรมะ ปฏิบัติธรรมอะไรบ้างตามกระทู้อย่างที่คุณทำ ก็เป็นธรรมดาที่คุณจะเข้าใจว่าดิฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย คนที่ปฏิเสธการศึกษาเพื่อรู้รอบด้าน แถมมองโลกคับแคบอย่างคุณ ไม่สมควรจะให้แนะนำใคร กระทั่งเรื่องง่ายๆ จะบอกให้นะคะ เด็กอย่างน้องเรเดี๊ยนยังทำได้น่านิยมกว่าคุณ อีกอย่าง ดิฉันไม่ได้ขอคำแนะนำใดๆ จากคุณ แต่คุณแสร้งแนะนำเพื่อข่มดิฉัน คุณนี่ ไม่มีมารยาทซ้ำซากจริงๆ จากคุณ : บุษยมาศ - [ 7 ส.ค. 51 22:16:26 ]

ความคิดเห็นที่ 88 คุณสุภวิโมกข์ คุณปรามาสพระไตรปิฎก จนถึงขณะนี้ยังไม่รู้จักความละอาย ไม่รู้สำนึกตัว แล้วยังมีหน้ามาแนะนำคนอื่นเค้าอีกเหรอคะ คนที่เถียงกับคนอื่นเขาได้ไม่เต็มปากเต็มคำ อาศัยแต่มิจฉาวาจามาคอยหากินอยู่ขณะนี้ ไม่ใช่ตัวคุณเองหรอกเหรอคะ ปรามาสพระไตรปิฎก แล้วยังไม่สำนึก ไม่รู้จักขอขมา ก็วิ่งหนีไปเงียบๆ เถอะค่ะ อย่าหนีไปด่าไปแบบนี้ เห็นแก่เยาวชนของชาติหลายๆ คนที่กำลังอ่านกระทู้นี้เถอะค่ะ อย่าให้เค้าจำตัวอย่างที่ไม่ดีแบบนี้ไปเลียนแบบเลย จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 7 ส.ค. 51 23:12:02 ]

ความคิดเห็นที่ 89 คุณหนอนดาวเรือง แค่ความเชื่อว่าเรื่องผีเข้าเจ้าสิงน่าจะปลอมปนเข้ามาในพระไตรปิฎกมันไม่เป็นการปรามาสหรอกค่ะ ถ้าความเชื่อนี้ผิดมันก็เป็นแค่มิจฉาทิฏฐิเท่านั้น เราขอยืนยันตรงนี้ ส่วนคุณจะเชื่อว่าเป็นการปรามาส นั่นมันก็เป็นแค่มติของคุณ คนที่ยืมคำคนอื่นมาด่าเราว่า "ควาย" ใน คห.74 นี่เป็นมิจฉาวาจามั้ยล่ะ หรือว่าคุณเห็นด้วย คุณบุษยมาศ คุณนี่แปลกนะ เรื่องการปฏิบัติธรรม เขาก็คุยกันเป็นเรื่องปกติได้อยู่แล้ว ไม่เห็นจะเป็นเรื่องว่าคุยฟุ้งอะไร นั่นมันเป็นความคิดของคุณเท่านั้น แม่ค้าน้ำเต้าหู้ที่เราซื้อเกือบทุกเช้า เขาก็ไปวัดอัมพวัน ก้คุยกันทุกเช้า ไม่เห็นว่ามันจะต้องเป็นการอวดอ้างตรงไหน เออ ถ้าเรามาอวดว่าได้ฌานขั้นโน้นขั้นนี้ หรือไปท่องนรก-สวรรค์ได้ อย่างน้อาจจะเข้าข่ายว่าอวด แล้วการที่มีคนปฏิบัติธรรมนี่มันทำให้คุณเดือดร้อนใจจนต้องออกมาว่าเขาคุยโอ้อวด แปลกดีจริงๆ มีแต่คนเขาจะอนุโมทนาสาธุถ้าเห็นคนปฏิบัติธรรม มีแต่คุณนี่แหละที่ร้อนอกร้อนใจเมื่อเห็นคนปฏิบัติธรรม ตอบเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ ต่อไปนี้ใครจะยัดเยียดข้อหาอะไร หรือจะถากถางอะไร เราจะไม่ตอบโต้ด้วยแล้ว แต่ขอเก็บนี่ไว้เป็นที่ระลึก ในโอกาสที่ได้รับเกียรติให้เป็น "ควาย" หน่อย . จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 8 ส.ค. 51 08:47:30 ]

ความคิดเห็นที่ 90 คำตอบก้แค่ว่ามันมีคำสอนแบบพราหมณ์ปลอมปนอยู่ในพระไตรปิฎก ไม่ใช่เฉพาะเรื่องจักรวาลวิทยา อาจมีเรื่องอื่นๆ ด้วย ในความเห็นเรา เราว่าเรื่องผีเข้าผีสิงนี่ก็ด้วย ข้างบนนี้ ที่คุณสุภวิโมกข์พูดเอง นี่ไม่ใช่แค่การแสดงความเชื่อ หรือการสันนิษฐานค่ะ เพราะเมื่อคุณใช้คำว่า "คำตอบก็แค่ว่า..." นั่นคือการสรุปของคุณ และคุณสรุปว่ามีคำสอนแบบพราหมณ์ปลอมปนอยู่ในพระไตรปิฎกค่ะ เมื่อคุณสรุปว่า มีคำสอนของศาสนาอื่น "ปลอมปน" ในพระไตรปิฎก โดยที่คุณไม่มีหลักฐานยืนยันแม้แต่ชิ้นเดียว คุณมีอยู่แค่ "ความเชื่อ" ของคุณเองแต่คุณก็สรุปว่า "ความเชื่อ" ของคุณนั้นแหละ คือ คำตอบ นั่นแหละค่ะคือการปรามาสพระไตรปิฎก รู้ไว้ซะด้วย คุณสุภวิโมกข์คะ การที่คุณเที่ยวไปคุยไปอวดเรื่องการปฏิบัติธรรม เที่ยวแนะนำสั่งสอนคนอื่น แต่กับตัวคุณเอง แค่ทำผิดแล้วยังไม่รู้จักยอมรับผิดเนี่ย คุณก็ลองพิจารณาเอาเองเถอะค่ะ ถ้าคุณยังมีวาสนาในทางธรรมอยู่บ้าง คุณคงรู้จักสำนึกผิดชอบชั่วดีในส่วนนี้ได้ซักวันนะคะ คุณต้องช่วยเหลือตัวคุณเองแล้วหละค่ะ ตอนนี้มันสายเกินไปสำหรับการที่ใครๆ จะเตือนสติคุณแล้ว จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 8 ส.ค. 51 19:21:47 ]

ความคิดเห็นที่ 91 คุณสุภวิโมกข์ เรื่องสักกายะทิฏฐิ หรืออัสมิมานะนั้นเป็นเรื่องปกติของปุถุชน การถกเถียงเอาชนะก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป แต่หากยืนยันตามหลักฐาน จะเป็นอย่างที่เห็นอยู่แล้ว ทุกคนต่างเคยทำบาป เคยพลาดนะครับ ผู้ที่ละสักกายทิฏฐิได้คือพระโสดาบัน ผู้ที่ละอัสมิมานะได้คือพระอรหันต์ (บอกทุกท่านนะครับ ไม่ได้แต่เฉพาะใครคนใดคนหนึ่ง) พระไตรปิฎกคือที่สุดนะครับ พระไตรปิฎกคือพระธรรม ศาสดาแทนพระพุทธองค์ ตราบใดที่ คุณยังไม่มี "ญาณ" แ่จ่มแจ้งในการเห็นและรู้จริงว่าตรงไหนของพระไตรปิฎกเป็นของแท้บ้าง แม้พระไตรปิฎกจะสังคยนามาแล้ว คุณก็ไม่ควรเสี่ยงนะครับ ผมอกุศลกรรมจะตกกับผู้กระทำที่สุด ผลที่ได้รับถ้าไม่รุนแรงนักก็อาจจะไม่ได้พบพระพุทธศาสนาหลายชาติ หรือถ้าอย่างหนักก็ลงอบายภูมิครับ ผมไม่ได้ต้องการจะช่วยเข้าข้างใคร หรือมาช่วยใครเถียงเอาชนะ เพราะกระทู้นี้ดูแล้วมีแต่คนขาดทุนครับ มีคนขาดทุนมากกับขาดทุนน้อยเท่านั้น ในความเป็นจริง ภูมิปัญญาของพราหมณ์ หลายอย่างเป็นสิ่งดี ซึ่งพุทธองค์ยอมรับและนำมาใช้ เพราะพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ยอมรับความจริง ดีก็ว่าดี เหมาะสมก็ว่าเหมาะสม ไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์สิ่งดีๆ ของพราหมณ์แต่ประการใด พระอรหันต์หลายต่อหลายท่านก็เป็นพราหมณ์มาก่อน ขอให้มองยาวๆ ลึกๆ กว้างๆ ส่วนมีสิ่งที่พุทธองค์ไม่เห็นด้วยกับความเชื่อของพราหมณ์ก็เพียงบางเรื่อง เช่นเรื่องปรมัตมัน หรือการแบ่งวรรณะ การฆ่าสัตว์บูชายันต์ หรือจะต้องให้จุดธูปเรียกหลวงพี่ฤทธีหรือยังไงนะ !!! แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 51 10:10:15 จากคุณ : Radiant, Archangel - [ 9 ส.ค. 51 10:00:50 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ขออธิบายเพิ่มอีกนะครับ อธิบายเฉพาะข้อมูลล้วนๆ น่ะ เรื่องผีเข้า ผีสิงนี้ เป็นเรื่องธรรมดา มีอยู่ทั่วโลก ไม่ได้จำกัดอะไรกับพุทธศาสนา ดังนั้น ผีเข้าคน ผีสิงคนเป็นเรื่องธรรมดา และผีก็มีชีวิตรูปแบบของผี เป็นโอปปาติกะ ต้องเกิดดับตามสภาพขันธ์ของผี แต่สภาพขันธ์ของผีไม่เหมือนกับคน อาจจะอายุยาวนานกว่า แต่ก็เป็นสภาพของขันธ์เป็นสังขารเช่นกัน โดยปรมัตถ์แล้วไม่มีสังขารใดเที่ยงแท้ สังขารใดก็ไม่พ้นการเกิดและดับไปได้   ถ้าพูดกันโดยทั่วไปแล้ว การ "สิง" หรือ การ "เข้า" มักเป็นการบังคับ ซึ่งรายละเอียดที่โอปปาติกะ จะทำอย่างไรกับขันธ์ของมนุษย์ ผมไม่ทราบ เพราะไม่มีประสบการณ์ แต่จากพระไตรปิฎก มีการยืนยันว่ามีภิกษุถูกผีเข้า ส่วนอีกรูปแบบหนึ่ง คือการ "ทรง" หรือเรียกกันทั่วไปก็คือ "ทรงเจ้า" อันนี้เป็นแบบจงใจให้สิง จงใจให้เข้า ส่วนจะเจ้าจริงหรือเจ้าปลอมนั้นอีกเรื่องหนึ่ง แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 51 18:19:23 จากคุณ : Radiant, Archangel - [ 9 ส.ค. 51 10:22:47 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ๖. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ให้ฤกษ์อาวาหมงคล ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอน ดูฤกษ์หย่าร้าง ดูฤกษ์เก็บทรัพย์ ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย ให้ยาผดุงครรภ์ ร่ายมนต์ให้ลิ้น กระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็ง ร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียง เป็นหมอทรง กระจก เป็นหมอทรงหญิงสาว เป็นหมอทรงเจ้า บวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญ แม้ข้อนี้ก็เป็นสีลสัมปทาของเธอประการหนึ่ง. เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๙  บรรทัดที่ ๕๖๔๐ - ๖๐๒๘.  หน้าที่  ๒๓๖ - ๒๕๑. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=9&A=5640&Z=6028&pagebreak=0 จากคุณ : Radiant, Archangel - [ 9 ส.ค. 51 10:33:40 ]

ความคิดเห็นที่ 94 กระทู้นี้ยังไม่จบอีกหรือนี่ คุณ Radiant, Archangel  อธิบายได้ดีครับ จากคุณ : Cho_shang - [ 9 ส.ค. 51 11:49:33 ]

ความคิดเห็นที่ 95 เราก็ไม่อยากจะให้กระทู้นี้มันยาวมาถึงขนาดนี้เหมือนกันแหละค่ะ คุณ Cho_shang แต่คนที่ทำผิดเค้ายังแถไม่เลิก ก็เลยต้องมาช่วยเพิ่มยอด ค.ห. ให้เจ้าของกระทู้เค้าดีใจไปเรื่อยๆ แบบนี้แหละค่ะ ก็กำลังดูอยู่นี่แหละค่ะ ว่าที่เค้าบอกว่าจะไม่เข้ามาตอบแล้วเนี่ย ไม่เข้ามาจริงหรือเปล่า ถ้าไม่เข้ามาจริง แปลว่าหนีแล้ว เราจะได้ไปตั้งกระทู้ใหม่ อุทิศให้เค้าเป็นการเฉพาะ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 9 ส.ค. 51 17:18:14 ]

ความคิดเห็นที่ 96 96  แล้วจ้า ... จากคุณ : hollowpig - [ 11 ส.ค. 51 06:59:04 ]