Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    นิมิต (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)

    บทความนี้คงเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่กำลังฝึกสมาธิ และพบเจอกับนิมิตต่างๆ อยู่ บางคนก็หลงใหลไปในนิมิตเมื่อพบนิมิตที่ดี บ้างก็กลัวนิมิตที่เกิดขึ้นไม่กล้าปฏิบัติต่อไปเมื่อพบนิมิตที่ไม่ดีหรือนิมิตร้าย หรือบางคนอาจจะกำลังคิดแก้ไขเรื่องนี้อยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านได้แสดงธรรมเรื่องนิมิตนี้พอประเทืองความรู้สำหรับผู้เห็นนิมิตในขณะทำสมาธิ

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา ได้เทศน์แสดงธรรมที่เกี่ยวข้องกับนิมิตในเทปเรื่อง “นิมิตและวิปัสสนา” เมื่อครั้งหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่

    นักปฏิบัติบางท่านที่ติดนิมิตจนถอนตัวไม่ขึ้น หลับตาทำสมาธิก็ตกลงในวังวนแห่งภาพต่างๆที่ปรุงแต่งขึ้นในห้วงสมาธิจริงบ้างปลอมบ้าง แล้วแต่สภาพของสังขารปรุงแต่งหรือญาณกำเนิด ครูบาอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานจึงเตือนผู้ปฏิบัติชั้นหลังมาทุกยุคทุกสมัยในเรื่องนิมิตและความสุขในสมาธิ

    นักปฏิบัติธรรมบางท่านก็หลงใหลได้ปลื้มกับนิมิต หรือให้ความสำคัญกับผู้รู้เห็นนิมิตว่าเป็นผู้วิเศษเลิศเลอ ภาพในนิมิตที่ปรากฏและถูกต้องนั้นมีเพียงเล็กน้อย นอกนั้นเกิดจากสังขารปรุงแต่งเสียเป็นส่วนใหญ่ทั้งนิมิตที่ปรากฏขึ้นเองและนิมิตที่กำหนด

    จิตเมื่อเข้าสู่สมาธิอ่อนๆ ก็มีนิมิตจางๆ แล้วค่อยๆ ชัดขึ้นเมื่อสมาธิสงบจนกระทั่งชัดที่สุด ทุกครั้งที่ปรากฏนิมิตต้องใช้ปัญญาอบรมจิตควบคู่กันไปด้วย (เพราะนิมิตที่ปรากฏอยู่ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์) แล้วปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในนิมิต เพื่อพัฒนาการจิตในระดับต่อไป ก็จะออกมาในอีกหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นปิติในลักษณะต่างๆ รวมทั้งความรู้สึกหลากหลายของความสงบก็จะปรากฏขึ้นมาเป็นลำดับ ทั้งนี้ต้องใช้ไตรลักษณ์เป็นหัวข้อธรรมใหญ่ในการพิจารณาองค์ประกอบของสมาธิทุกรูปแบบก็ว่าได้

    เพราะฉะนั้นนักปฏิบัติทั้งหลายพึงสังวรระวังเกี่ยวกับเรื่องนิมิตต่างๆ ถ้าท่านภาวนาแล้วเกิดนิมิตต่างๆ ขึ้นมา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มักเกิดขึ้นเพราะอุปาทานที่ท่านคิดว่าอยากรู้อยากเห็น ระดับจิตที่สงบลงเป็นสมาธิในขั้นอุปจารสมาธินั้น ถ้าจิตมันปรุงแต่งอะไรขึ้นมาในขณะนั้นมันจะกลายเป็นตัวเป็นตนไปหมด เพราะสิ่งที่มองเห็นนั้นรู้สึกมองเห็นด้วยตาธรรมดา ตาท่านหลับอยู่แต่ท่านก็มองเห็นได้ ทำไมจึงมองเห็นได้ก็เพราะจิตท่านเป็นผู้ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่าง อันนี้พึงสังวร

    ในเมื่อเหตุการณ์ที่กล่าวนี้เกิดมาแล้วควรจะปฏิบัติต่อนิมิตทั้งหลายเหล่านี้อย่างไร

    ๑. ท่านอย่าไปเอะใจ อย่าไปตื่นในการที่ได้พบเห็น ให้ประคองจิตอยู่ในท่าทีที่สงบเป็นปกติ

    ๒. อย่าไปยึดว่าสิ่งนั้นเป็นจริง ถ้าจริงมันจะสงสัย

    สมาธิอ่อนๆ กระแสจิตส่งออกไปข้างนอกให้ประคองจิตให้เป็นสมาธิไว้นานๆ ภาพนิมิตนั้นจะอยู่ให้ท่านชม บางทีท่านอาจจะนึกว่าภาพนิมิตที่มองเห็นนั้นเป็นสิ่งที่สนุกเพลิดเพลิน สนุกยิ่งกว่าไปดูหนัง อันนี้แล้วแต่มันจะเป็นไปตามอำนาจกิเลสของใคร

    แต่ถ้าผู้เห็นนิมิตนั้นเคยมีสมาธิดีมีปัญญาดีอาจจะจับเอานิมิตนั้นเป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติพิจารณาเป็นกรรมฐานในแง่ของวิปัสสนาเลย กำหนดหมายว่านิมิตนี้ก็ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงยักย้ายอยู่เสมอ ถ้าท่านสามารถกำหนดพิจารณาได้อย่างนี้ ท่านก็จะได้ความรู้ในแง่วิปัสสนา

    เรื่องนิมิตต่างๆ นี้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายโดยถ่ายเดียว เป็นสิ่งที่ให้ทั้งคุณเป็นสิ่งที่ให้ทั้งโทษ ถ้าผู้ปฏิบัติกำหนดหมายเอานิมิตเป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ เป็นอารมณ์ที่จะน้อมนึกพิจารณาวิปัสสนากรรมฐานหรือสมถะกรรมฐานก็แล้วแต่ ย่อมได้ประโยชน์สำหรับผู้มีสติปัญญา สามารถรู้เท่าทันนิมิตนั้นๆ

    แต่ถ้าผู้หลงว่าเป็นจริงเป็นจัง จิตอาจจะไปติดนิมิตนั้นๆ ชอบอกชอบใจในนิมิตนั้นๆ บางทีก็จะไปเที่ยวกับนิมิตนั้น ฝากเอาไว้ให้นักปฏิบัติได้โปรดพิจารณาเอาเอง เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะเป็นทางผ่านของผู้บำเพ็ญจิต แต่ถ้าจะเปรียบเทียบกับนิมิตต่างๆ ซึ่งเกิดจากการพิจารณากรรมฐาน โดยยกเอากายของเราเป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ จะน้อมนึกไปในแง่ไม่สวยงามก็ตาม จะน้อมนึกไปว่ากายเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็ตาม

    ในเมื่อจิตสงบลงแล้ว ยิ่งเห็นจริงในอสุภกรรมฐานหรือในธาตุกรรมฐาน จนมองเห็นอสุภกรรมฐานว่าร่างกายนี้เป็นของสกปรก เป็นสิ่งปฏิกูลเน่าเปื่อย น่าเกลียดผุพังสลายตัวไปจนไม่มีอะไรเหลือ ยังเหลือแต่สภาพจิตที่ยังสงบนิ่ง ใส บริสุทธิ์ สะอาด สิ่งที่รู้เห็นทั้งหลายหายหมดไปแล้ว ยังเหลือแต่จิตดวงเดียวล้วนๆ

    แต่เมื่อจิตถอนออกมาจากความเป็นสภาพเช่นนั้นแล้ว มาสู่ปกติธรรมดาร่างกายที่มองเห็นว่าสาบสูญหายไปนั้นก็ยังปรากฏอยู่ จะปรากฏว่าสูญหายไปหรือปฏิกูลเฉพาะในขณะที่อยู่ในสมาธิเท่านั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่รู้เห็นอันนี้เป็นเพียงนิมิต ซึ่งหลักของการปฏิบัติสมถะกรรมฐาน เมื่อจิตเพ่งจดจ่ออยู่ในสิ่งที่รู้แน่วแน่ นิมิตย่อมเกิดขึ้น

    อันดับแรกเรียกว่า “อุคคหนิมิต” ในอันดับต่อไปเรียกว่า “ปฏิภาคนิมิต” อุคคหนิมิตจิตจดจ่อรู้ในสิ่งๆ เดียวอย่างแน่วแน่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง นิมิตนั้นก็อยู่ในสภาพปกติ จิตก็อยู่ในสภาพปกติ แต่รู้เห็นกันอย่างติดหูติดตา หลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น อันนี้เรียกว่า “อุคคหนิมิต”

    ทีนี้ถ้าหากว่าจิตสามารถปฏิวัติความเปลี่ยนแปลงของนิมิต ให้มีอันเป็นไปต่างๆขยายให้ใหญ่โตขึ้นหรือย่อให้เล็กลง หรือถึงขนาดสลายตัวไปไม่มีอะไรเหลือ จิตก็ก้าวขึ้นสู่ภูมิของ “ปฏิภาคนิมิต”

    ถ้าหากว่านิมิตมีการเปลี่ยนแปลงยักย้ายอยู่อย่างนั้น ถ้าจิตสำคัญมั่นหมายในการเปลี่ยนแปลงของนิมิต โดยกำหนดอนิจจสัญญา คือความจำหมายว่าไม่เที่ยง เข้ามาแทรกความรู้เห็นในขณะนั้นโดยอัตโนมัติ จิตของท่านจะกลายเป็นการเดินภูมิวิปัสสนากรรมฐาน และนิมิตที่ปรากฏนั้นก็ปรากฏในขณะที่อยู่ในสมาธิเท่านั้น

    ในขั้นนี้เรื่องราวหรือนิมิตอะไรที่พึงเกิดขึ้นภายในจิตของผู้ปฏิบัติอยู่ก็ตาม ให้สังวรระวังรักษาความรู้สึกนึกคิดเอาไว้ว่า สิ่งนี้คือจิตของเราปรุงแต่งขึ้นในขณะที่จิตของเรามีสมาธิ เอาความรู้สึกอันนี้มาสกัดกั้นเอาไว้ก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้จิตของเราหลงหรือรู้ผิด นี่คือหลักการปฏิบัติที่เราพึงสังวรระวัง

     
     

    จากคุณ : Mr.Terran - [ 26 ก.ค. 51 18:10:22 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom