ความคิดเห็นที่ 1 เตรียมรอโดนด่า จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ วันแม่แห่งชาติ 20:13:31 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เอาแล้วววว จากคุณ : Angleevil - [ วันแม่แห่งชาติ 20:22:44 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ^ ^ ใครด่าใครหรอ จากคุณ : @TipzaakunG@ - [ วันแม่แห่งชาติ 20:24:23 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่เห็นน่าโดนด่าเลย เขาถามเพราะความไม่รู้ ก็เท่านั้น รอพี่ๆน้องๆชาวมุสลิม มาตอบให้ข้อมูล จากคุณ : jiewee - [ วันแม่แห่งชาติ 20:38:05 ]

ความคิดเห็นที่ 5 โห ถึงกับโดนด่าเลยเหรอคับ  ช่วยเตือนด้วยนะคับ  ถ้าไม่เหมาะ ลบได้เลยครับ จากคุณ : foxaon1 - [ วันแม่แห่งชาติ 21:07:29 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อิสลามศรัทธาในเรื่องสิ่งที่มองไม่เห็น  ซึ่งอัลลอฮฺก็คือสิ่งที่เราไม่สามารถมองเห็น   และสิ่งที่มองไม่เห็น ก็ใช่ว่าจะไม่มีตัวตน  เช่น คลื่นวิทยุ ไม่มีใครมองเห็น แต่ทุกคนก็เชื่อกันว่ามีอยู่จริง อิสลามปฏิเสธการบูชาสิ่งถูกสร้างทุกอย่าง แม้แต่ศาสดามูฮัมหมัดเอง มุสลิมก็ไม่สามารถบูชาท่านได้ เพราะท่านไม่ได้พิเศษอะไรไปจากเราหรอก ท่านนบีมูฮัมหมัดเป็นแค่เพียงแบบอย่างที่ดีของเราเท่านั้น และท่านเป็นตัวแทนของอัลลอฮฺที่นำสารของพระองค์มาสู่พวกเรา ดังนั้น เรื่องหินดำ แน่นอนไม่ใช่สิ่งบูชาแต่อย่างใด มันเป็นเพราะหลักการ ที่จะกำหนดทิศทางของมุสลิมทั่วทุกมุมโลกมาสู่ทิศทางเดียวกัน ซึ่งบ่อยครั้ง หินดำนี้ ถูกมนุษย์เหยียบเพื่อขึ้นไป เชิญผู้คนมาละหมาด  ซึ่งถ้าเป็นสิ่งบูชาจริงๆ แน่นอนคงไม่มีใครกล้าขึ้นไปเหยียบสิ่งที่ตัวเองบูชาหรอก จากคุณ : henger - [ วันแม่แห่งชาติ 21:21:39 ]

ความคิดเห็นที่ 7 1. ไม่มีศาสนามุสลิมค่ะ มีแต่ศาสนาอิสลาม ซึ่งเราเรียกผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามว่า มุสลิม 2. มุสลิมจะไม่เรียกพระอัลเลอะนะคะ เราเรียกพระองค์ว่า อัลลอฮฺ ซึ่งคุณสามารถศึกษาเรื่องสภาวะแห่งพระผู้เป็นเจ้าได้จาก 2 กระทู้นี้ค่ะ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/Y3982776/Y3982776.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/Y3984692/Y3984692.html 3. ส่วนการไปปฏิบัติศาสนกิจที่เมืองเมกกะห์นั้น (พิธีฮัจย์) เราไม่ได้ไปบูชาหินดำนะคะ หินดำนั้นเป็นเพียงตำแหน่งที่พระองค์ทรงกำหนดไว้เท่านั้น ซึ่งคุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากนี้ค่ะ http://www.annisaa.com/index.php?option=com_content&task=view&id=32&Itemid=25 แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 51 21:46:29 จากคุณ : churryduck - [ วันแม่แห่งชาติ 21:38:54 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คลื่นวิทยุ ไม่มีใครมองเห็น แต่ทุกคนก็เชื่อกันว่ามีอยู่จริง ===> คลื่นวิทยุ ถึงไม่มีใครมองเห็น แต่ก็มีเครื่องมือและหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่จะพิสูจน์การมีอยู่จริงของมันได้ ซึ่งแตกต่างจากพระเจ้า เพราะหลายๆคำกล่าวในคัมภีร์ซึ่งอ้างว่าเป็นวจนะของพระเจ้า  มีการกล่าวขัดกับหลักความเป็นจริง ยกตัวอย่างเช่น เรื่องการสร้างมนุษย์และสัตว์ที่เป็นชนิดๆมาเลย ในขณะที่หลักฐานทางธรณีวิทยาสรุปว่า สัตว์มีพัฒนาการมาเป็นขั้นๆ จากชั้นต่ำมาสู่ชั้นสูง ใช้เวลาหลายล้านปี เป็นยุคๆมา  ไม่ได้มี หมา ม้า ลา แกะ และมนุษย์เป็นตัวๆมาแต่ต้น และยังมีอีกหลายๆ ตัวอย่าง ซึ่งจะไม่ขอกล่าว ----------------------------------- แม้แต่ศาสดามูฮัมหมัดเอง มุสลิมก็ไม่สามารถบูชาท่านได้ เพราะท่านไม่ได้พิเศษอะไรไปจากเราหรอก ===> ในหลักการของพระพุทธศาสนา ได้รับการพิสูจน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากว่าสองพันหกร้อยปีแล้วว่า การบูชามีผล ไม่ใช่ไม่มีผล  พระองค์ตรัสชัดเจนว่า การน้อมใจบูชา สามารถยกจิตน้อมใจเข้าสู่ความดีได้ ที่ชัดเจนที่สุดคือ พุทธานุสติ ธรรมานุสติ และสังฆานุสติ สิ่งเหล่านี้ ทำให้ผู้น้อมจิตสามารถดำรงตนเพื่อคิดดี พูดดี ทำดีได้ ไม่นับรวมเรื่องรองๆเช่น นึกถึงคุณความดีของพระมหากษัตริย์ พระคุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์ สิ่งเหล่านี้ ก็น้อมนำให้คนคิดดี พูดดี ทำดีได้  พระพุทธรูปจึงไม่ใช่เพียงก้อนอิฐ ก้อนหิน ก้อนเหล็ก ที่เอามาปั้นให้กราบไหว้เฉยๆ แล้วบอกว่าไร้สาระงมงายตามแนวคิดของอิสลาม ที่ว่ามันตอบโต้กับคนกราบไหว้ไม่ได้ไม่   พระพุทธรูปเป็นกุสโลบายหรือเป็นตัวเชื่อมให้น้อมจิตเข้าสู่พุทธานุสติ ซึ่งได้รับการพิสูจน์มานานแล้วว่า คนที่กราบไหว้ มีจิตใจที่ยกสูงขึ้น คือคิดดีเป็นปฐม  ซึ่งแน่นอนการพูดดี ทำดีย่อมตามมา --------------------------------------------------   เรื่องหินดำ แน่นอนไม่ใช่สิ่งบูชาแต่อย่างใด มันเป็นเพราะหลักการ ที่จะกำหนดทิศทางของมุสลิมทั่วทุกมุมโลกมาสู่ทิศทางเดียวกัน ====> ถ้าโลกแบน ถูกต้อง หินดำจะเป็นตัวกำหนดทิศให้มุสลิสหันหน้าไปในแนวเดียวกันไม่ว่าจะอยู่ที่มุมใดของโลก   แต่ในความเป็นจริง โลกไม่มีมุม เพราะโลกไม่ได้แบน   ทุกๆระยะ 100 กิโลเมตรจากหินดำ โลกจะบิดมุมไปหนึ่งองศา ดังนั้น ประเทศไทยซึ่งห่างจากหินดำเป็นหมื่นๆกิโลเมตร โลกถูกบิดมุมไปแล้วหลายร้อยองศา ดังนั้น ถ้าคุณหันหน้าไปทางทิศเมกกะ จริงๆ คุณไม่ได้มองหินดำ คุณมองออกไปในอวกาศ  เมื่อ plot จุดจากประเทศต่างๆ ให้หันไปทางทิศหินดำ  แท้จริง แต่ละคนจะมองไปคนละทิศคนละทางมุ่งสู่อวกาศ จะมีเพียงคนในระยะ 100 กิโลเมตรรอบหินดำเท่านั้น ที่หันไปแล้วสายตาจะตรงกับหินดำ  หลักการนี้จึงผิดแน่นอน  คุณลองเอาลูกโลกมากาง แล้วเอาเข็มหมุดมาปักตามประเทศต่างๆ แล้ววางแนวไม้บรรทัดไปทางจุดที่ตั้งของเมกกะ คุณจะพบว่า แต่ละแนวของไม้บรรทัด จากแต่ละจุดจะไม่ซ้อนทับกันเลย จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ วันแม่แห่งชาติ 21:46:45 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ถ้าโลกแบน คนไทยมองไปเมกกะ ตรงกับหินดำแน่นอน จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ วันแม่แห่งชาติ 21:56:29 ]

ความคิดเห็นที่ 10 แต่เพราะโลกกลม ถ้าคนไทยจะมองไปเมกกะ ตามหลังการคือหันไปทางตะวันตกเฉียงเหนือตามเส้นล่าง  แต่เพราะการมองเป็นเส้นตรง และมนุษย์ยืนตั้งฉากกับโลกเสมอ การหันไปทิศนั้นทางทิศเมกกะจึงเป็นการมองออกไปสู่อวกาศ หาใช่ไปที่เมกกะไม่ จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ วันแม่แห่งชาติ 22:04:06 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ถ้ามีคนอยู่บราซิลมองไปเมกกะ ทิศที่หันคือเส้นล่าง ตะวันออกเฉียงเหนือ แต่เพราะโลกโค้งตามแนวเส้นกลาง ตัวคนตั้งฉากกับโลก การมองไปทิศเมกกะ คือการหันไปหาอวกาศตามเส้นบน จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ วันแม่แห่งชาติ 22:09:27 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ดูปาปัวนิวกีนีอีกตัวอย่างก็ได้ โลกโค้งตามเส้นล่าง หันไปทิศเมกกะ ก็ออกอวกาศ ไม่มีจุดไหนที่เกินร้อยกิโลเมตรหันไปทางเมกกะซักจุดเดียว จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ วันแม่แห่งชาติ 22:13:44 ]

ความคิดเห็นที่ 13 จริงอยู่คับที่สโคบสามารถดูคลื่นสัญญาณวิทยุได้   สำหรับอัลลอฮฺนั้น สังเกตุง่ายกว่าคลื่นวิทยุซะอีก อิสลามไม่ยุ่งยากหรอคับ ถ้ามองอิสลามด้วยอิสลาม แต่จะมองยากทันทีถ้ามองอิสลามจากตาตัวเองที่กำลังนับถือศาสนาอื่น  ซึ่งศาสนาอื่นๆ เป็นศาสนาที่ยากอยู่แล้ว  จึงทำให้การมองสิ่งที่ง่ายก็จะกลายเป็นยากทันที  คลื่นวิทยุสังเกตุได้จากสโคบ อัลลอฮฺก็สามารถสังเกตุได้จากสิ่งที่ถูกสร้างมาทั้งหลาย ชั้นฟ้า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หมู่ดาว ภูเขา ง่ายกว่าไปซื้อสโคบมาดูเป็นหมื่นเป็นแสนบาทเชียว และการติดต่อกับอัลลอฮฺก็ง่ายแสนง่าย ไม่จำเป็นต้องผ่านเลขาหน้าห้อง โดยสามารถติดต่อได้โดยตรงทุกที่ทุกเวลา ส่วนเรื่องวิวัฒนาการนั้น  ขอออกตัวว่า ปู่ผมไม่ใช่ลิง และตะวันตกเองก็กำลังจะลบล้างทฤษฎีนี้ ไว้ติดตามดูล่ะกัน เพราะทฤษฎีวิวัฒนาการ คือการลดค่าของมนุษย์มาลงไปเป็นเพียงเผ่าพันธ์หนึ่งของสัตว์ แต่ที่เชื่อว่าพระเจ้าสร้างมานั้น แน่นอนมันจะดึงจากที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นสัตว์ชั้นต่ำ สู่ฐานะที่สูงส่งกว่า นั้นก็คือสถานะสิ่งถูกสร้างที่ประเสริฐที่สุดของพระเจ้า จากคุณ : henger - [ วันแม่แห่งชาติ 22:15:33 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ถ้าอยู่เท็กซัสของอเมริกาหันไปทางเมกกะ เห็นไหมครับว่าโลกกลมตามแนวโค้ง แต่คนยืนตั้งฉากกับโลก พอมองไปทิศเมกกะ ก็หลุดโลกออกไปนอกอวกาศเลยครับ จากตัวอย่างที่ยกๆมา จะเห็นว่าแต่ละจุดรอบโลก มีแต่ออกอวกาศ แล้วแต่ละเส้นไม่ตัดกันด้วย จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ วันแม่แห่งชาติ 22:18:43 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เวลาละหมาดมุสลิมทั่วโลกจะหันหน้าไปทางทิศ **กิบลัต** ซึ่งในแต่ละประเทศจะมีทิศทางที่แตกต่างกันครับ  สำหรับประเทศไทยก็จะอยู่ทิศตะวันตก คุณธรรมยุทธอย่าเสียเวลาอธิบายโดยเปล่าประโยชน์เลยครับ  เพราะอิสลามนั้นสอนว่าโลกกลม  ไม่ได้สอนว่าโลกแบนอย่างที่คุณเข้าใจครับ เอางี้ดีกว่า...ตามความเชื่อของคุณ  มีเรื่องอะไรบ้างครับที่ตถาคตสอนแล้วถูกต้อง และสามารถพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์?? ผมขอแค่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้นก็พอครับ....ขอเพียงแค่เรื่องเดียว ช่วยบอกให้ฟังหน่อยสิครับ.... จากคุณ : ชญานนท์ - [ วันแม่แห่งชาติ 22:32:56 ]

ความคิดเห็นที่ 16 นักวิชาการที่มีชื่อเสียงชาวมุสลิมเผยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่ามักกะห์เป็นศูนย์กลางของโลกที่มีเส้นลองติจูดที่ 0 ลากผ่าน และแนะให้ใช้เมืองนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการนับเวลาแทนกรีนิช  ประเทศอังกฤษ ทั้งนี้เมืองกรีนิช ได้รับการยอมรับ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1884 โดยเรียกว่า GMT Greenwich mean time or Greenwich meriadian time  เนื่องจากถูกกำหนดมาจากการลากผ่านหอดูดาว แห่งราชสำนักในเมืองกรีนิช ด้านเชคยูซุฟ ก็อรฎอวีย์ กล่าวยืนยันว่า "อิสลามไม่เหมือนศาสนาอื่นๆ เพราะไม่เคยขัดกับหลักวิทยาศาสตร์" ขณะที่คำศัพท์ "mecca" ในภาษาอังกฤษนั้น นอกจากจะเป็นชื่อเฉพาะของเมืองซาอุดิอารเบียแล้ว  ยังได้รับบัญญัติให้เป็นคำที่สื่อความหมายถึง สถานที่ที่เป็นศูนย์กลางของกิจกรรมหรือความสนใจ  ซึ่งคำศัพท์คำนี้เกิดขึ้นจากการรวมตัวของคนต่างชาติต่างภาษาหลายล้านคนมารวมตัวกัน   จึงน่าจะเป็นที่ยืนยันได้อย่างหนึ่งว่า ตะวันตกก็ให้การยอมรับเกี่ยวกับมักกะฮฺ ว่าเป็นศูนย์กลางของโลกได้เช่นกัน จากคุณ : henger - [ วันแม่แห่งชาติ 22:34:57 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ศาสนาที่เป็นสากล หมายความว่า หลักคำสอนต้องจริงในทุกๆครั้ง ไม่ว่าจะเปลี่ยนคน เปลี่ยนเวลาหรือเปลี่ยนสถานที่ ถ้ามีเงื่อนไขว่า พวกนี้ง่าย แต่อีกพวกยาก หรือคนกลุ่มนี้จะเห็น แต่คนอีกกลุ่มไม่เห็น อย่างนี้ไม่เรียกว่า สากล ถ้าพระเจ้าคือสิ่งจริงแท้  คำสอนย่อมต้องจริงแท้ในทุกคำสอน เพราะสร้างเองย่อมต้องรู้สิ่งที่ตัวเองสร้าง แต่มีบทหนึ่งพระเจ้าตรัสว่า แล้วเราก็เอาภูเขามาเป็นหมุดปักกันแผ่นโลกปลิวซึ่งนี่พบได้ในคำแปลตอนละหมาด ถามว่า มีใครยอมรับไหมว่า ภูเขาเกิดจากการเอาอะไรมาปัก ไม่ใช่การยกตัวของแผ่นเปลือกโลกที่ดันกันเพราะแรงดันจากลาวาใต้แผ่นเปลือกโลกนั้น ดังนั้น การมีเหตุการณ์เดียวที่ขัดกับหลักคำสอน ย่อมแปลว่าคำสอนผิด และเมื่อคำสอนผิด จะเชื่อได้อย่างไรว่าผู้สอนคือสิ่งถูก ถ้าพระเจ้าสร้างกฎธรรมชาติจริง ทำไมพระเจ้าจะสอนไม่ได้ว่า แล้วเราก็ให้แผ่นเปลือกโลกมันดันกันเพื่อยกตัวเป็นภูเขา  ทำไม ทำไม ทำไม แล้วไม่มีหรอกนะครับที่ตะวันตกจะยกเลิกทฤษฎีวิวัฒนาการ เพราะวิวัฒนาการไม่ได้มาจากความคิด แต่มาจากหลักฐานทางธรณีวิทยาที่สะสมกันมาเป็นร้อยปี ซึ่งพบว่า โลกมีการตกตะกอนของฝุ่นมาเป็นชั้นๆ ชั้นที่ลึกคือเก่ากว่า และที่ตื้นคือใหม่กว่า ในแต่ละชั้นหิน พบสัตว์ที่มีโครงสร้างต่ำลงเรื่อยๆ แปลว่าอะไร แปลว่า ยิ่งเก่า สิ่งมีชีวิตยิ่งซับซ้อนน้อยลง และสัตว์มีเป็นยุคๆ ดังนั้น  ม้า ลา แกะ ไม่ได้มีมาแต่สร้างโลก แต่เพิ่งมามีหลังยุคไดโนเสาร์สิ้นสุดลง ไวรัสกลายพันธุ์ก็พิสูจน์ว่าวิวัฒนาการมีจริง หลักวิวัฒนาการคือ กลายพันธุ์ เกิดลักษณะใหม่ ธรรมชาติคัดเลือก อยู่รอด สืบพันธุ์ ไวรัสหวัดมีมาแต่พระเจ้าสร้างโลก??? เปล่าเลย  ไวรัสหวัดแตกสายพันธุ์อยู่ตลอดจากการผ่าเหล่าแล้วเกิดลักษณะใหม่ที่เอื้อให้มันติดเชื้อได้ดีขึ้นในคน จึงอยู่รอดแล้วสืบพันธุ์ต่อมา H5N1 ไข้หวัดนก พระเจ้าสร้าง??? เพิ่งมีเมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมาจากการกลายพันธุ์และวิวัฒนาการจนอยู่รอดครับ ดังนั้น ถึงคุณจะเถียงว่า คุณไม่ได้มาจากสัตว์ชั้นต่ำ แต่ประวัติศาสตร์โลกซึ่งได้จากชั้นดินมันได้บันทึกไปแล้วว่า มนุษย์เมื่อหลายหมื่นปีที่แล้ว มีหลายสายพันธุ์ แต่ที่ปรับตัวอยู่รอดมาได้ มีแต่มนุษย์ปัจจุบัน สายอื่นล้มหายตายจากไปหมด แล้วถ้าย้อนเป็นล้านปี ก็พบว่า โครงสร้างสมองเล็กลงเรื่อยๆตามความเก่า แล้วพอเกิน สามล้านปีไป ก็ไม่พบอะไรที่เรียกว่ามนุษย์ นอกจาก ape หรือลิงหางสั้น   ทำไมมนุษย์เพิ่งมามีเมื่อสามล้านปีล่ะ ไหนว่าพระเจ้าสร้างหลังสัตว์ต่างๆแค่เจ็ดวัน แล้วถ้าสัตว์สร้างกันวันแรก หมายความว่า หมากับไดโนเสาร์เขาอยู่ยุคเดียวกัน แต่เอ  ทำไมชั้นหินที่พบกระดูกไดโนเสาร์ ทำไมไม่พบกระดูกหมาด้วยล่ะ??? แล้วโนอาร์เอาไดโนเสาร์ขึ้นเรือด้วยเปล่า เพราะสัตว์บนโลกที่อยู่รอดมาได้เพราะโนอาร์ขนมากับเรือ ไม่จมน้ำตายตอนคราวน้ำท่วมใหญ่ไม่ใช่เหรอ??? จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ วันแม่แห่งชาติ 22:42:10 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอชื่นชม จขกท.คับ  ไม่รู้ไม่ชี้ดีที่สุด ถ้าไม่รู้จงถามผู้รู้  ดีที่สุดคับ จากคุณ : henger - [ วันแม่แห่งชาติ 22:45:31 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้ากิบลัตของไทยคือทิศตะวันตก ถ้าโลกแบนคุณมั่นใจได้เลยว่ามันไปทวีปแอฟริกา แต่เพราะโลกกลม ยังไงก็ออกอวกาศ ดูตัวอย่างนะ คนเชียงใหม่ไปแอฟริกา ถ้าโลกแบน คนกรุงเทพก็ไปแอฟริกา ถ้าโลกแบน คนปัตตานีก็ไปแอฟริกา ถ้าโลกแบน แต่เพราะโลกกลม ยังไงก็ออกอวกาศ จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ วันแม่แห่งชาติ 22:49:39 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ดูดิ โลกกลมอ่ะ หันออกอวกาศกันหมด จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ วันแม่แห่งชาติ 22:50:07 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คุณอ่านอัลกุรอานแล้วมาแย้ง หรืออ่านไบเบิลแล้วมาแย้งล่ะ เพราะที่คุณเอ่ยมาไบเบิลทั้งเพ่น่ะ จากคุณ : henger - [ วันแม่แห่งชาติ 22:52:09 ]

ความคิดเห็นที่ 22 แล้วเราก็คลี่แผ่นโลกออก เอาภูเขามาเป็นหมุดปัก ให้เทวทูตไปเฝ้าทั้งสี่มุม เรานั่งบนบัลลังก์จ้องลงมา ให้พระอาทิตย์ขึ้นเรียกกลางวัน ให้พระจันทร์ขึ้นเรียกกลางคืน แล้วเราก็นั่งควบคุมมัน จากคำสอนเนี่ย โลกเป็นแผ่น??? โลกมีมุม??? จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ วันแม่แห่งชาติ 22:52:51 ]

ความคิดเห็นที่ 23 มีเรื่องอะไรบ้างครับที่ตถาคตสอนแล้วถูกต้อง และสามารถพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์?? ===> เอาหลักๆของตถาคตเลยละกัน " ทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง มีความแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา" มองที่ตัวเราก่อน  อายุขัยเราก็เปลี่ยนแปลง มีการเติบโต แล้วก็เสื่อมถอย สุดท้ายก็เจ็บป่วยและตายไป ไม่มีใครไม่เปลี่ยน หนังเคยเต่งตึงก็เหี่ยวย่น คนรอบข้างที่เคยเห็นก็เริ่มล้มหายตายจาก สิ่งแวดล้อมรอบตัวก็เปลี่ยน ขนาดวันหนึ่งๆ ตอนเช้ายังไม่เหมือนกัน วันนี้สว่าง อีกวันครึ้ม  ช่วงของวันก็เปลี่ยน เวลาก็เปลี่ยน ใจคนยังเปลี่ยน วันนี้ดีๆอยู่ อีกวันก็ร้ายได้สุดๆ อย่างนี้เรียกเปลี่ยนมะ??? มาดูเล็กๆหน่อย ระดับอะตอม  เขาก็ยังไม่นิ่ง พอได้พลังงานก็มีการขยายตัว อิเล็คตรอนก็พากันกระโดดโลดแล่นวิ่งออกไปห่างๆ แต่พอพลังงานหมด มันก็หดตัวพากันลงมาใกล้ๆนิวเครียส พร้อมกับคายพลังงานออกมาในรูปแสงสีสเปคตรัม  เห็นมะ เล็กๆเขาก็ไม่เฉย ยังเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่มีสภาวะเดิมเลย ดูใหญ่ๆอย่างดวงดาวบ้าง ก็ล้วนเคลื่อนไหวเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ ขนาดดวงอาทิตย์ก็ใช้พลังงานปล่อยออกมาเรื่อยๆ จนตัวเองเกิดจุดดับ เปลวสุริยะที่พ่นมาก็ไม่เหมือนเดิม มองธรรมชาติบ้าง แม่น้ำร้อยปีที่แล้วน้ำเต็มไหลแรง มาวันนี้น้ำแห้งเหือดขอดลง  คงที่หรือเปล่า??? อุณหภูมิโลก เปลี่ยนมะ ร้อยปีที่แล้วกับวันนี้? น้ำแข็งขั้วโลก เท่าเดิมมะ?? โห ยกยังไงก็เจอ นี่แค่หลักแรกนะ จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ วันแม่แห่งชาติ 23:07:53 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ^ ^ ^ ๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘ คำสอนพวกนี้มาจากไหนหรอ ถ้าของกุรอานก็อ้างมาหน่อยล่ะกันว่าบทไหนประโยคไหน ผมพลิกหาไม่ไหวหรอก เพราะดูจากการแปลแล้วไม่เคยเจอไทยแปลอย่างนี้น่ะ แล้วอีกอย่างคุณต้องใช้หลักอธิบายของผู้รู้อิสลามน่ะ มิใช่ว่าเอาแต่ฟันธง จากคุณ : henger - [ วันแม่แห่งชาติ 23:10:07 ]

ความคิดเห็นที่ 25 โลกกลมในกุีรอาน ในยุคก่อนผู้คนมีความเชื่อว่าโลกแบน เป็นเวลาหลายศตวรรษที่ผู้คนไม่กล้าที่เดินทางไปไกลๆ เพราะกลัวว่าจะตกขอบโลก ในปี ค.ศ. 1597 Sir Francis Drake เป็นบุคคลแรกที่ได้พิสูจน์ว่าโลกมีลักษณะทรงกลม จากการเดินเรือของเขารอบโลก แต่เราลองมาพิจารณาอายะห์กุรอาน ดูบ้าง จากซูเราะห์ลุกมาน อายะห์ที่ 29 “เจ้ามิเห็นดอกหรือว่า แท้จริงอัลลอฮฺทรงให้กลางคืนคาบเกี่ยวเข้าไปในกลางวัน และทรงให้กลางวันคาบเกี่ยวเข้าไปในเวลากลางคืน....” จากอายะห์นี้เราสามารถรู้ได้อย่างไรว่าโลกมีลักษณะทรงกลม มิใช่แบน...... ใช่ครับ เราสามารถทราบได้จากการพิจารณาว่า เมื่อกลางคืนได้คาบเกี่ยวไปในเวลากลางวัน และกลางวันคาบเกี่ยวไปในเวลากลางคืน ทั้งสองทั้งกลางวันและกลางคืน จะค่อยๆเปลี่ยนสภาพของมัน และเป็นที่น่าสังเกตุว่ามัน(กลางวันและกลางคืน)จะไม่เปลี่ยนทันทีเหมือนพลิกฝ่ามือ (ผู้แปล) ปรากฎการณ์นี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อโลกมีลักษณะกลมครับ แต่ถ้าโลกเป็นทรงแบน เราก็คงจะได้เห็นการเปลี่ยนของกลางวันและกลางคืนอย่างรวดเร็ว เหมือนพลิกฝ่ามือ(ลองทำดูสิ)   และอีกอายะห์นึง ในซูเราะห์ อัซซุมัร อายะห์ที่ 5 “พระองค์ทรงสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดินด้วยความชัดแจ้ง พระองค์ทรงให้กลางคืนคาบเกี่ยวเข้าไปในกลางวัน และทรงให้กลางวันคาบเกี่ยวเข้าไปในกลางคืน....” จากอายะห์นี้เช่นเดียวกัน อัลลอฮฺได้บอกลักษณะของกลางวันและกลางคืนที่มีการคาบเกี่ยวกัน โดยอายะห์นี้ ใช้คำว่า คอวฺวะเราะหฺ ซึ่งหมายถึงการคาบเกี่ยวกันของ สองสิ่ง เช่น ในการพันผ้าสะระบันรอบๆ ศีรษะ  ดังนั้นการคาบเกี่ยวกันของกลางวันและกลางคืน สามารถเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อโลกมีทรงกลม   จริงๆ แล้วโลกเราไม่ได้กลมเหมือนลูกบอล แต่มีลักษณะแบนตรงขั้วทั้งสองด้าน มีหลักฐานจาก ซูเราะห์ อันนาซิอ๊าต อายะห์ที่ 30 “และหลังจากนั้นทรงทำให้แผ่นดินเป็นพื้นราบเรียบ” คำว่า ดะฮาฮา ในภาษาอาหรับนอกจากมีความหมายว่า การขยายอย่างกว้างขวางแล้ว ยังมีความหมายถึงไข่(นกกระจอกเทศ) ดังนั้นลักษณะของโลกนั้นก็มีลักษณะเหมือนไข่ เราจะเห็นได้ว่ากุรอานได้บ่งบอกถึงลักษณะของโลกได้อย่างถูกต้อง แม้ว่าอายะห์ต่างๆเหล่านี้จะถูกประทานลงมาในช่วงที่ผู้คนมีความเชื่อว่าโลกแบนก็ตาม .วัลลอฮฺ อะลัม พระองค์เท่านั้นผู้ทรงรอบรู้ในทุกสรรพสิ่ง ที่มา: Qur’an & modern science ผู้เขียน: Dr. Zakir Abdul-Karim Naik จาก http://princessofdew.spaces.live.com/blog/cns!E5BA3A9CCA97DADB!164.entry จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 06:24:56 ]

ความคิดเห็นที่ 26 พระคัมภีร์กุรอานที่ว่าด้วยเทือกเขา: หนังสือที่ชื่อว่า Earth เป็นตำราที่ใช้อ้างอิงเป็นหลักในมหาวิทยาลัยหลายแห่งทั่วโลก หนังสือเล่มนี้มีผู้แต่งสองท่าน หนึ่งในนั้นได้แก่ ศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ Frank Press เขาเป็นที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ให้กับอดีตประธานาธิบดี Jimmy Carter และเป็นประธานสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Academy of Science) ในกรุงวอชิงตัน ดีซี เป็นเวลา 12 ปี หนังสือของเขากล่าวว่า เทือกเขาจะมีรากฝังอยู่ใต้พื้นดิน.1 รากเหล่านี้ฝังลึกอยู่ใต้พื้นดิน ดังนั้น เทือกเขาจึงมีรูปทรงเหมือนกับสลัก (ดูรูปที่ 7,8 และ 9). จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 06:31:54 ]

ความคิดเห็นที่ 27 รูปที่ 7: เทือกเขาจะมีรากฝังลึกอยู่ใต้พื้นดิน (Earth, Press และ Siever หน้า 413) จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 06:32:39 ]

ความคิดเห็นที่ 28 รูปที่ 8: ส่วนที่เป็นแผนผัง เทือกเขาที่มีรูปร่างเหมือนสลัก จะมีรากลึกฝังแน่นอยู่ใต้พื้นดิน (Anatomy of the Earth ของ Cailleux หน้า 220) จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 06:33:26 ]

ความคิดเห็นที่ 29 รูปที่ 9:อีกภาพหนึ่งที่จะแสดงให้เห็นว่าเทือกเขาเหล่านั้นมีรูปทรงเหมือนสลักได้อย่างไร เนื่องจากเทือกเขาเหล่านี้มีรากฝังลึก (Earth Science ของ Tarbuck และ Lutgens,  หน้า 158) จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 06:34:14 ]

ความคิดเห็นที่ 30 นี่คือการอรรถาธิบายถึงเทือกเขาต่างๆ ว่ามีรูปทรงอย่างไรในพระคัมภีร์กุรอาน พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสไว้ในพระคัมภีร์กุรอานดังนี้: เรามิได้ทำให้แผ่นดินเป็นพื้นราบดอกหรือ ? และมิได้ให้เทือกเขาเป็นหลักตรึงไว้ดอกหรือ  (พระคัมภีร์กุรอาน, 78:6-7) วิทยาศาสตร์ว่าด้วยพื้นโลกในยุคใหม่นี้ ได้ทำการพิสูจน์แล้วว่า เทือกเขาต่างๆ จะมีรากฝังลึกอยู่ใต้พื้นผิวของพื้นดิน (ดูรูปที่ 9) และรากเหล่านั้นสามารถเลื่อนระดับขึ้นมาอยู่เหนือพื้นดินได้หลายครั้ง2 ดังนั้น คำที่เหมาะสมที่สุดที่ใช้อธิบายเทือกเขาเหล่านี้โดยอาศัยพื้นฐานข้อมูลเหล่านี้ก็คือ คำว่า ‘สลัก’ เนื่องจากรากส่วนใหญ่จะถูกซ่อนอยู่ใต้พื้นดิน ประวัติศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์ได้บอกกับเราว่า ทฤษฏีว่าด้วยเทือกเขาที่มีรากฝังลึกนั้น เพิ่งเป็นที่รู้จักเมื่อครึ่งหลังของศตวรรษที่สิบเก้านี่เอง.3 เทือกเขายังมีบทบาทที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งด้วย นั่นคือให้ความมั่นคงแข็งแรงกับเปลือกโลก.4  โดยช่วยยับยั้งการสั่นสะเทือนของโลกได้ พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสไว้ในพระคัมภีร์กุรอานดังนี้: และพระองค์ทรงให้มีเทือกเขามั่นคงในแผ่นดิน เพื่อมิให้มันสั่นสะเทือนแก่พวกเจ้า...  (พระคัมภีร์กุรอาน, 16:15) นอกจากนั้น  ทฤษฏีสมัยใหม่ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนตัวของแผ่นโลกนั้นเชื่อว่า เทือกเขาต่างๆ ทำงานเสมือนกับเครื่องมือสำหรับสร้างความแข็งแกร่งให้กับโลก ความรู้เกี่ยวกับบทบาทของเทือกเขาที่ทำหน้าที่เสมือนเครื่องมือที่ช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับโลกนั้นเพิ่งเป็นที่เข้าใจกันเนื่องจากมีทฤษฎีการเคลื่อนตัวของแผ่นโลกเมื่อทศวรรษ 2503.5 มีใครบ้างไหมในช่วงเวลาของพระศาสดามูหะหมัด ที่ทราบเกี่ยวกับรูปทรงที่แท้จริงของเทือกเขา มีใครบ้างไหมที่สามารถจินตนาการได้ว่า ภูเขาที่ดูแข็งแกร่งมหึมาที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้านั้น แท้จริงแล้วฝังลึกลงไปใต้พื้นโลก และยังมีรากด้วย อย่างที่นักวิทยาศาสตร์ได้กล่าวอ้างไว้ หนังสือเกี่ยวกับธรณีวิทยาจำนวนมาก เมื่อมีการกล่าวถึงเทือกเขา ก็จะอธิบายแต่ส่วนที่อยู่เหนือพื้นผิวโลกเท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหนังสือเหล่านี้ไม่ได้เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านธรณีวิทยา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ธรณีวิทยาสมัยใหม่ได้ช่วยยืนยันความเป็นจริงของโคลงบทต่างๆ ที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์กุรอานแล้ว. เชิงอรรถ: (1)Earth ของ Press และ Siever, หน้า 435 และดูที่  Earth Science  ของ Tarbuck และLutgens, หน้า 157. (2)The Geological Concept of Mountains in the Quran ของ El-Naggar หน้า 5. (3)The Geological Concept of Mountains in the Quran หน้า 5. (4)The Geological Concept of Mountains in the Quran หน้า 44-45. (5)The Geological Concept of Mountains in the Quran หน้า 5. ที่มา http://www.islam-guide.com/th/ch1-1-b.htm จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 06:35:25 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เรื่องกิบลัตนั้น มุสลิมรู้ว่าโลกกลม ก่อน ฝรั่ง เป็นร้อยปี ครับ เรื่องนี้ไม่ใช่ไม่รู้ แต่ การหันหน้าไปทางทิศนั้น ก็เพื่อทำตามคำสั่งในกุรอ่านครับ เป็นเอกภาพของมุสลิมที่จะหันหน้าไปทางเดียวกัน เพื่อไม่สับสน และคนไทยไม่ได้หันหน้าทางทิศตะวันตกตรงๆ นะครับ เพื่อหาทิศกิบลัต แต่มีเข็มทิศครับ ที่ใช้ทิศตะวันตก เพราะคนมุสลิมในไทยสมัยก่อน (ย้ำว่าในไทย) คำนวนไม่ได้ ว่า มันกี่องศากันแน่ จึงหันไปทางตะวันตกไว้ก่อน เท่าที่เขาสามารถทำได้ จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 06:41:59 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ส่วนเรื่องการหากิบลัต สำหรับมุสลิมนั้น ในอาณาจักรอิสลาม เขาหากันได้นานแล้วล่ะครับ อ่านนี่ อัล-ไบรูนี Al-Biruni ค.ศ.973-1050 โดย อัล-ฮิลาล http://www.chinesemuslimthailand.com/index.php อัล-ไบรูนี (Al-Biruni) มีชื่อเต็มว่า มุฮัมมัด อิบนุ อาห์หมัด อบุล-รอยฮาน อัล-ไบรูนี (Muhammad Ibn Ahmad Abul-Rayhan Al-Biruni) ถือกำเนิดที่เมืองควาริสม์ (Khwarazm ปัจจุบันอยู่ในอุซเบกิสถาน) เขาผลิตผลงานมากกว่า 146 เล่ม ในศาสตร์ที่ต่างกัน 20 สาขา ตั้งแต่ดาราศาสตร์ไปจนถึงคณิตศาสตร์ ภูมิศาสตร์การคำนวณ การลำดับเวลาก่อนหลัง (Chronology) กลศาสตร์ เภสัชศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม ศาสนา และ ปรัชญา แต่งานส่วนใหญ่ของเขาจะเป็นด้านคณิตศาสตร์และด้านที่เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์ (96 ชิ้น) มีเพียง 22 ชิ้นเท่านั้นที่เหลือรอดมาจนทุกวันนี้ และเพียง 13 ชิ้นที่ได้รับการตีพิมพ์ อัล-ไบรูนีเป็นนักวิทยาศาสตร์ร่วมสมัยกับอัจฉริยะของโลกมุสลิม อิบนุ ซินา (Ibn Sina หรือ ที่โลกตะวันตกรู้จักกันในนาม Avicenna อวิเซนนา 8.L.980-1037) ในปี 1030 เขาติดตามไปในกองทัพของ มาห์มูดแห่งกอซนี (Mahmud of Ghazni ค.ศ.971-1030, กษัตริย์แห่งอาณาจักรกอซนาวิด, ปัจจุบันกอซนี หรือ กาซนี เป็นจังหวัดหนึ่งในอัฟกานิสถาน) ตอนยกทัพไปตีอินเดีย ทำให้อัล-ไบรูนีได้เรียนรู้ภาษา, ศาสนา, และปรัชญาอินเดีย และเขาก็ได้เขียนหนังสือ Ta’rikh al-Hind หรือ นิราศอินเดีย อัลไบรูนีเขียนหนังสือเป็นภาษาอารบิก และเป็นภาษาเปอร์เซียของเขาเอง ทั้งๆ ที่เขารู้ไม่น้อยกว่า 4 ภาษาซึ่งรวมทั้งภาษากรีก สันสกฤต ซีริแอค และอาจจะภาษาเบอร์เบอร์ (สมัยยุคทองของศิลปวิทยาการอิสลาม นักวิทยาศาสตร์มุสลิมไม่ว่าจะเชื้อสายเปอร์เซียหรือเชื้อสายอื่นๆ ซึ่งมีภาษาท้องถิ่นของตัวเอง ตอนเขียนตำราวิชาการทุกคนจะเขียนเป็นภาษาอารบิกทั้งสิ้น เพื่อให้นักวิชาการมุสลิมทั้งที่แบกแดด เอเชียกลาง อียิปต์ เรื่อยไปจนถึงอัล-อันดาลุส หรือ สเปน ที่ตอนนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิม ได้อ่านกันอย่างทั่วถึง อย่างโอมาร์ คัยยัมก็เช่นกัน ตอนเขียนบทกวี รุไบยาต เขาเขียนเป็นภาษาเปอร์เซีย แต่พอเขียนตำราคณิตศาสตร์กลับใช้ภาษาอารบิก – ผู้แปลและเรียบเรียง) รูปปั้นของอัล-ไบรูนีตั้งอยู่ที่ทางเข้าด้านตะวันตกเฉียงใต้ของสวนสาธารณะ ลาเลห์ (Laleh) กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน   ในตำรา การลำดับเวลาก่อนหลัง หรือ อัล-อัตฮาร์ (Chronology หรือ Al-Athar) เขาได้รวบรวมงานวรรณกรรมและแหล่งข้อมูลประวัติศาสตร์ของเผ่าและชาติต่างๆ ในสมัยกลาง เกี่ยวกับ ปฏิทิน เทศกาลรื่นเริง และปัจจัยทางดาราศาสตร์ที่เกี่ยวข้องในพิธีกรรมของพวกเขา ในหนังสือ Tahdid ของเขา ซึ่งเป็นการแบ่งเขตแดนของเมืองต่างๆ ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อหาทิศกิบลัต (เมืองเมกกะ) ไบรูนียังได้กำหนดเมอริเดียน และระยะพิกัดของแต่ละเมือง ส่วนหนังสือ al-Qanun Al-Mas’udi ของเขาถือเป็นตำราระดับเอนไซโคลปิเดียด้านดาราศาสตร์ทีเดียว มีความหนาเกือบ 1,500 หน้า ในหนังสือเล่มนี้เขาได้กำหนดการเคลื่อนที่ของจุดไกลที่สุดของดาวนพเคราะห์ในระบบจักรวาล แก้ไขข้อผิดพลาดของทฤษฎีของปโตเลมี เขาค้นพบว่าระยะห่างระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์นั้นกว้างกว่าที่ปโตเลมีคำนวณไว้ และเขาเป็นคนแรกที่บอกว่า ดวงดาวทั้งหลายในระบบจักรวาลไม่ได้โคจรเป็นแบบแผนเดียวเหมือนกันไปหมด แต่เคลื่อนที่ใกล้เคียงกัน ในหนังสือเล่มนี้อัล-ไบรูนีใช้เทคนิคทางคณิตศาสตร์ที่ไม่มีใครเคยใช้มาก่อนในการคำนวณเคลื่อนที่แบบทันทีทันใด (instantaneous motion) และการเร่ง เขาอธิบายด้วยศัพท์ที่เข้าใจง่าย อัล-ไบรูนีคิดค้นเทคนิคใหม่ของการดูดาว ซึ่งเขาเรียกว่า “การดูดาวสามจุด” ซึ่ง 500 ปีต่อมานักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งของโลกมุสลิม ตะกียุดดีน (Taqi al-Din ค.ศ.1526-1585 นักวิทยาศาสตร์แห่งจักรวรรดิออตโตมันเติร์ก) ได้อธิบายสามจุดนั้นว่า “สองในนั้นอยู่ตรงข้ามกันในคราส ส่วนจุดที่สามอยู่ตรงไหนก็ได้” ซึ่งก่อนหน้าอัล-ไบรูนีจะคิดค้นเทคนิคนี้ขึ้นมานักดาราศาสตร์มักใช้วิธีที่ไม่ค่อยแม่นยำของนักดาราศาสตร์กรีก Hipparchus (190 ปีก่อนค.ศ.-120 ปีก่อนค.ศ.) ต่อมาเทคนิคการดูดาวสามจุดก็ถูกใช้ต่อมาอีก 600 ปีเต็มโดย ตะกียุดดีน, ทิโค บราห์ (Tycho Brahe ค.ศ.1546–1601 นักดาราศาสตร์ชาวเดนมาร์ก), และโคเปอร์นิคัส ((Nicolaus Copernicus ค.ศ.1473-1543, นักดาราศาสตร์ชาวโปแลนด์) อัล-ไบรูนีบอกว่า โลกหมุนรอบแกนของตัวเอง ก่อนหน้ากาลิเลโอจะค้นพบถึง 600 ปี เขาใช้ astrolabe (เครื่องมือดาราศาสตร์โบราณใช้หาตำแหน่งดวงดาว) และวัดจากภูเขาใกล้ทะเลหรือพื้นที่ราบ แล้วคำนวณเส้นรอบวงของโลกโดยแก้สมการเรขาคณิตทรงผิวหน้าโค้งชั้นสูง (complex geodesic equation) อัล-ไบรูนีคำนวณเส้นรอบวง (จริงๆ เปิดดูเว็บต่างประเทศแล้ว เป็นรัศมีครับ)ของโลกได้ 6,339.9 กม. น้อยกว่าค่าที่เราหาได้ในปัจจุบัน (6,356.7 กม.) เพียง 16.8 กม.เท่านั้น!!! และด้วยการคำนวณทางคณิตศาสตร์ เขาสามารถหาทิศกิบลัตได้ไม่ว่าจะยืนอยู่ตรงส่วนไหนของโลก ที่โคระส่าน เขาทำนายการเกิดสุริยุปราคาเมื่อวันที่ 8 เมษายน 1019 และจันทรุปราคาเมื่อวันที่ 17 กันยายน 1019 และอธิบายเรียบร้อย พร้อมทั้งบอกละติจูดของดวงดาวช่วงเกิดจันทรุปราคาเสร็จสรรพ (1,000 ปีมาแล้วนะจ๊ะ!!!) เมื่อต้นศตวรรษที่ 20 แม็กซ์ เมย์ฮอฟ  (Max Meyerhof) เพิ่งจะสังเกตเห็นว่า งานทางคณิตศาสตร์ของอัล-ไบรูนีส่วนใหญ่ และงานเขียนอื่นๆ ยังไม่มีการตีพิมพ์เลย จอร์จ ซาร์ตัน บิดาแห่งประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ บอกว่า อัล-ไบรูนีเป็น “หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่โลกมุสลิม และถือเป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล” A.I. Sabra บอกว่าไบรูนีเป็น “หนึ่งในผู้ที่มีวิญญาณนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก” อัล-ไบรูนีเสียชีวิตในปี 973 ร่างของเขาถูกฝังอยู่ที่เมืองกอซนี อัฟกานิสถาน แอ่งบนดวงจันทร์ ‘อัล-ไบรูนี’ ถูกตั้งชื่อตามเขา ส่วนมหาวิทยาลัย Tashkent Technical University ในประเทศอุซเบกิสถานก็ถูกตั้งชื่อตาม ‘อบู รอยฮาน อัล-ไบรูนี’. งานเขียนทางคณิตศาสตร์ของอัล-ไบรูนีได้แก่ ·         theoretical and practical arithmetic ·         summation of series ·         combinatorial analysis ·         the rule of three ·         irrational numbers ·         ratio theory ·         algebraic definitions ·         method of solving algebraic equations ·         geometry Archimedes' theorems งานเขียนที่ไม่ใช่คณิตศาสตร์ ได้แก่ ·         Critical study of what India says, whether accepted by reason or refused (Arabic تحقيق ما للهند من مقولة معقولة في العقل أم مرذولة) - a compendium of India's religion and philosophy ·         The Remaining Signs of Past Centuries (Arabic الآثار الباقية عن القرون الخالية) - a comparative study of calendars of different cultures and civilizations, interlaced with mathematical, astronomical, and historical information. ·         The Mas'udi Canon (Persian قانون مسعودي) - a book about Astronomy, Geography and Engineering, named after Mas'ud, son of Mahmud of Ghazni, to whom he dedicated ·         Understanding Astrology (Arabic التفهيم لصناعة التنجيم) - a question and answer style book about mathematics and astronomy, in Arabic and Persian ·         Pharmacy - about drugs and medicines ·         Gems (Arabic الجماهر في معرفة الجواهر) about geology, minerals, and gems, dedicated to Mawdud son of Mas'ud ·         Astrolabe ·         A historical summary book ·         History of Mahmud of Ghazni and his father History of Khawarazm ที่มา http://www.chinesemuslimthailand.com/printable.php?id=162 จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 06:46:41 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เรามาดูกันดีกว่า ว่านี่วิทยาศาสตร์มั๊ย ----------------------------------------------------------------------------- ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์เรียกท้าวสักกะมา กล่าวว่า พราหมณ์ ไฟที่ท่านก่อไว้เย็นยิ่งนัก ไม่อาจทำความร้อน แม้สักเท่าขุมขนในร่างกายของข้าพเจ้า นี่อะไรกัน.              ท้าวสักกะตรัสว่า ท่านบัณฑิต เรามิใช่พราหมณ์ เราเป็นท้าวสักกะ มาเพื่อจะทดลองท่าน.              พระโพธิสัตว์จึงบรรลือสีหนาทว่า ข้าแต่ท้าวสักกะ พระองค์จงหยุดพักไว้ก่อนเถิด หากโลกสันนิวาสทั้งสิ้นจะพึงทดลองข้าพระองค์ด้วยทานไซร้ จะไม่พึงเห็นความที่ข้าพระองค์ไม่เป็นผู้ประสงค์จะให้ทานเลย.             ลำดับนั้น ท้าวสักกะจึงตรัสกะพระโพธิสัตว์นั้นว่า ดูก่อนสสบัณฑิต คุณของท่านจงปรากฎอยู่ตลอดกัปทั้งสิ้นเถิด. แล้วทรงบีบบรรพต ถือเอาอาการเหลวของบรรพต เขียนลักษณะของกระต่ายไว้ในดวงจันทร์ แล้วนำพระโพธิสัตว์มาให้นอนบนหลังหญ้าแพรกอ่อน ในพุ่มไม้ป่านั้นนั่นแหละ ในไพรสณฑ์นั้น แล้วเสด็จไปยังเทวโลกของพระองค์ทีเดียว.              บัณฑิตทั้ง ๔ แม้นั้นพร้อมเพรียงบันเทิงอยู่ พากันบำเพ็ญศีล รักษาอุโบสถกรรม แล้วไปตามยถากรรม.              พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะ ประชุมชาดก.              ในเวลาจบสัจจะ คฤหบดีผู้ถวายบริขารทุกอย่าง ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.              นากในกาลนั้น ได้เป็น พระอานนท์              สุนัขจิ้งจอกได้เป็น พระโมคคัลลานะ              ลิงได้เป็น พระสารีบุตร              ท้าวสักกะได้เป็น พระอนุรุทธะ              ส่วนกระต่ายสสบัณฑิตได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.              จบ อรรถกถาสสบัณฑิตชาดกที่ ๖ .. อรรถกถา สสปัณฑิตชาดก ว่าด้วย ผู้สละชีวิตเป็นทาน จบ. อรรถกถา สสปัณฑิตชาดก ว่าด้วย ผู้สละชีวิตเป็นทาน http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=562 ----------------------------------------------------------------------------- รบกวนอธิบายการเกิด รอยกระต่ายบนดวงจันทร์ตามคำสอนให้เป็นวิทยาศาสตร์หน่อยสิครับ อันนี้ แค่ออเดิฟ สักพักคงมีคนเอามาให้ สนทนากันอีก อันนี้เอาไปให้ดูเล่นๆ นะครับ จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 07:08:18 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เรื่อง พระเจ้านะครับ อย่างที่เปรียบเทียบไป เรามองไม่เห็นคลื่นวิทยุ แต่เรารู้ได้ และเชื่อว่ามาจริง เรารู้ได้อย่างไร เรารู้จากการทำงานของคลื่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร รับส่งต่างๆ พระเจ้าก็เช่นกัน สิ่งที่คุณถามมานั่นแหละครับข้อพิสูจน์ ทำไมมุสลิมถึงไม่บอกว่า โลกแบนเหมือนศาสนาอื่น ก็เพราะกุรอ่าน ไม่ได้บอกว่าโลกแบนไงล่ะครับ กุรอ่านไม่เคยมีข้อผิดพลาดนะครับ ไม่เหมือนคัมภีร์อื่นที่ต้องสังคายนากันเป็นเนืองนิจ ความจริงจากคัมภีร์ของพระองค์นี่แหละครับ สิ่งที่บอกว่าพระเจ้าผู้สร้างทุกอย่าง ถ้าพูดเรื่องวัน กุรอ่าน ก็บอกไว้ไม่ผิดนี่ครับ “และพระองค์คือผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินในระยะ 6 วัน” ซูเราะฮ์ ฮูด โองการที่ 7            ประเด็นเรื่องการสร้างโลกภายใน 6 วัน อัลกุรอานกล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ถึงเจ็ดกรณี เมื่อตระหนักในคำกล่าวของนักวิชาการที่กล่าวว่าโลกต้องใช้เวลาเป็นล้าน ๆ ปี กว่าจะเป็นโลกดังที่เห็นในปัจจุบัน ดังนั้นเป้าหมายของการสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดินภายใน 6 วันนั้นคืออะไร ?            คำตอบ : เป้าหมายของ 6 วันในโองการข้างต้นนั้นบ่งชี้ถึง 6 ช่วงระยะ เพราะในการเริ่มต้นของการสร้างยังไม่มีชั้นฟ้าและแผ่นดินเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะมีกลางวันและกลางคืนได้อย่างไรกัน ?  อัลกุรอานใช้คำว่า “เยาม์” หรือ “อัยยาม” (วันหรือวันทั้งหลาย)ไว้หลายครั้ง ซึ่งในหลาย ๆ กรณีก็ไม่ได้ให้ความหมายของวันตามที่ใช้กันทั่วไป เช่นประโยคที่กล่าวถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพว่า “เยามุลกิยามะฮ์” ซึ่งเป็นการบ่งชี้ให้เห็นว่าวันแห่งการฟื้นคืนชีพนั้นเป็นช่วงระยะเวลาที่ยาวนาน จึงใช้ประโยคที่ว่า “วันแห่งกิยามะฮ์”            ในบางโองการกล่าวถึงการสอบสวนความประพฤติของบางคนในวันกิยามะฮ์ที่ยาวนานถึงห้าหมื่นปี http://www.quranrasul.com/quranmambo/index.php?option=com_content&task=view&id=361&Itemid=56 ---------------------------------------------------- และ มีคำแปลและคำอรรถาธิบาย กุรอานน้อยมากที่หมายเหตุไว้ว่า คำว่าวันนั้น ที่จริงควรหมายถึง "ช่วงเวลา" ยิ่งกว่านั้นควรถือว่า ถ้าข้อความในพระคัมภีร์ของอิสลามที่เกี่ยวกับการสร้างโลกแบ่งขั้นตอนการสร้างโลกออกเป็นวัน ก็เพราะเจตนาว่าจะให้สอดคล้องกับความเชื่อของยิวและชาวคริสเตียน  ในสมัยต้นอิสลาม และเพื่อหลีกเลี่ยงการประจัญหน้ากับความเชื่อที่มีอยู่อย่างกว้างขวางเช่นนั้น                             โดยไม่ปราถนาที่จะปฏิเสธการมองในแบบนี้แต่อย่างใด บางทีเราอาจตรวจตราปัญหานี้ให้ใกล้ชิดอีกสักหน่อยและจะพินิจพิเคราะห์ดู จาก กุรอาน เอาเอง และจากภาษาของสมัยนั้นด้วย ถึงความเป็นไปของคำที่ผู้แปลหลายคนยังแปลต่อไปโดยใช้คำว่า "วัน" จากภาษาอาหรับว่า "เยามะ และพจหูพจน์ว่า อัยยาม (เพราะอัลกุรอานยังคงรักษาภาษาที่เป็นต้นฉบับคงเดิมอยู่จนถึงทุกวันนี้-ฉันเอง)                       ความหมายทั่วไปที่สุดของคำนี้คือ "วัน" แต่ต้องเน้นด้วยว่า มันออกจะหมายถึงแสงสว่างในเวลากลางวัน มากกว่าความยาวของเวลาซึ่งมีอยู่ระหว่างเวลาดวงอาทิตย์ตกของวันหนึ่งไปถึงดวงอาทิตย์ตกอีกวันหนึ่ง  คำที่เป็นพหูพจน์ คือ อัยยาม นั่นอาจหมายถึงไม่เพียงแต่ "วันหลายวัน" เท่านั้น แต่ยังหมายถึง "เวลานาน" ด้วย เป็นเวลาที่ไม่ได้กำหนดไว้(แต่ต้องนานเสมอ) มีความหมายว่า "ช่วงเวลาหนึ่ง" ซึ่งเป็นความหมายของคำนี้ อันพบได้ในที่ต่างๆในอัลกุรอาน                              -" อัลเลาะฮ์ คือ ผู้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสองในเวลาหกวัน แล้วพระองค์ทรงสถิตย์อยู่บนบัลลังก์ สำหรับพวกเจ้านั้นไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลืออื่นจากอัลเลาะฮ์ แล้วพวกเจ้ามิได้ใคร่ครวญบ้างดอกหรือ"-                                -" พระองค์ทรงบริหารกิจการชั้นฟ้าสู่แผ่นดิน แล้วมันก็ขึ้นไปสู่พระองค์ในวันหนึ่ง(เยามะ) ซึ่งกำหนดของมันเท่ากับหนึ่งพันปีในการคิดคำนวณของพวกเจ้า"-                                                    (อัลกุรอาน 32/4-5) http://www.oknation.net/blog/print.php?id=240558 ---------------------------------------------------- ถ้าไม่มีความรู้ให้ถามครับอย่ามาเดาเอง คำว่าวัน นั้น ในภาษาอาหรับ จากแปลว่า วันแบบที่เราๆ ท่านๆ เข้าใจ ก็แปลว่า ระยะเวลา ด้วยดังนั้น โลกนี้มี 6 ช่วงระยะ เวลา และไม่มีใครรู้ว่า ระยะเวลา หนึ่งๆ นานเท่าไหร่อาจจะ พัน หมื่น แสน ล้าน ล้านๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ปี ก็เป็นได้ครับ ระยะเวลาที่สร้าง สัตว์ต่างๆ ก็เป็นระยะเวลา อาจจะเป็นร้อยล้านพันล้านปี ฉะนั้นถ้า แมวกับ เซลล์เริ่มต้นจะอยู่ ระยะเวลาแห่งการสร้างสิ่งมีชีวิต ก็ย่อมได้ แปลกตรงไหนไม่ทราบครับ จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 07:26:23 ]

ความคิดเห็นที่ 35 กุรอ่านเป็นคัมภีร์ที่สมบูรณ์ ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดผิดพลาด ตัวอย่าง ความเห็นของนักวิทยาศาสตร์(คนไทยก็มี)ในเรื่องปาฏิหาริย์ทางวิทยาศาสตร์ในพระคัมภีร์กุรอาน: http://www.islam-guide.com/th/frm-ch1-1-h.htm จากคุณ : fowleres - [ 13 ส.ค. 51 10:54:29 ]

ความคิดเห็นที่ 36 สรุปนะครับ จขกท 1. พระเจ้าของอิสลามแตกต่างจากทุกสิ่งที่เราจินตนาการถึงครับ ดังนั้นเราไม่อาจทราบถึงรูปร่างหน้าตาท่านได้ครับ 2. หินดำเราไม่ได้เอาไว้เคารพบูชาครับ เอาไว้แค่เป็นเครื่องหมายชี้ทิศทางว่าเวลาละหมาดต้องหันหน้าไปทางใด ถ้าเอาหินดำออกไป ก็ยังคงหันหน้าไปทางเดิมอยู่ดีครับ จากคุณ : ghanee.s - [ 13 ส.ค. 51 11:01:07 ]

ความคิดเห็นที่ 37 นักวิชาการที่มีชื่อเสียงชาวมุสลิมเผยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่ามักกะห์เป็นศูนย์กลางของโลกที่มีเส้นลองติจูดที่ 0 ลากผ่าน และแนะให้ใช้เมืองนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการนับเวลาแทนกรีนิช  ประเทศอังกฤษ ===>  ฮ่าๆๆ ถ้าคุณไปศึกษาพื้นฐานของเส้นละติจูดลองติจูดเนี่ย คุณจะรู้ว่ามันเป็นเส้นสมมติ เส้นสมมติก็คือ ไม่มีอยู่จริง แต่กำหนดขึ้นเพื่อให้เข้าใจตรงกันเพื่อพอพูดพิกัดขึ้นมาแล้วเข้าใจตรงกันว่ามันอยู่ตรงจุดไหน เช่น พอพูดพิกัดละติจูดที่ศูนย์ ลองติจูดที่ศูนย์ ก็จะรู้ทันทีว่ามันคือ ตำแหน่งของมหาสมุทรนอกทวีปแอฟริกาไปทางตะวันตก เป็นต้น หรือพอพูดพิกัดนี่ปั๊บ รู้ทันทีว่าเมืองอะไร ประเทศไหน แต่เพราะอังกฤษเขาเป็นเจ้าโลกในอดีต เขาก็เอาบ้านเขาเป็นตัวกำหนด ไกลจากเมืองกรีนิซไปเท่าไหร่ก็กำหนดไป จะได้บอกถูกว่าเมืองจีนไปทางไหน เท่าไหร่ ห่างกันยังไง เพราะโลกกลม ดังนั้นก็มี 360 องศา โลกหมุนหนึ่งรอบคือ 24 ชั่วโมง ดังนั้น ทุกๆ 15 เส้นลองติจูด ก็จะห่างกันหนึ่งชั่วโมง ไทยห่างกรีนิซ 7 ชั่วโมง ก็คืออยู่ที่ลองติจูดที่ 105 เป็นต้น ถ้าตอนนั้นอโยธยาศรีรามเทพนครเป็นจ้าวทางทะเล ก็คงกำหนดให้เมืองอยุธยาเป็นเส้นลองติจูดที่ศูนย์ได้ ก็ไม่ผิด แล้วเมืองกรีนิซก็เป็นลองติจูดที่ -105 ไป ก็ไม่ผิดแต่อย่างใด ดังนั้น โปรดเข้าใจใหม่นะครับว่า เส้นละติจูดลองติจูดเป็นเพียงเส้นสมมติที่เรียกว่า เส้นเมอริเดียน คือเส้นกลางเพื่อกำหนดให้เข้าใจตรงกันเท่านั้น เส้นนี้ไม่ได้มีอยู่จริง และไม่มีสิ่งใดบ่งบอกด้วยว่า เมืองกรีนิซเป็นศูนย์กลางของโลก และนอกจากเพื่อกำหนดพิกัด ลองติจูดยังมีเพื่อกำหนดเวลาด้วย เพื่อให้เข้าใจตรงกันว่า แต่ละจุดบนโลกควรเป็นเวลาเท่าใด เพราะถ้าไม่มีจุดอ้างอิงก่อน เวลาเที่ยงคืนแต่ละทีคงกำหนดไม่ตรงกัน เพราะไม่รู้จะเอาจุดใดเป็นเกณฑ์ ก็แค่นั้น เอาง่ายๆ ประเทศเดียวกันเวลาก็ไม่เท่ากัน ยกตัวอย่างง่ายๆ เส้นลองติจูดที่ 105 ซึ่งห่างจากกรีนิซ 7 ชั่วโมงพอดี จริงๆมันพาดผ่านจังหวัดอุบลราชธานีของไทย ไม่ใช่กรุงเทพ กรุงเทพอยู่ลองติจูดที่ประมาณ 101  ดังนั้นเวลาจริงๆจึงต้องช้ากว่าอุบลราชธานี 15 นาที แต่เพราะไม่ให้สับสน ก็ถือว่า ทั้งประเทศคือเวลาเดียวกัน เพราะถ้าจะเอากันให้ตรงจริงๆ เวลาแต่ละจังหวัดจะไม่เท่ากัน   พิสูจน์ง่ายๆ พระอาทิตย์จะตกที่อุบลก่อนกาญจบุรีซึ่งตกหลังกันเกือบยี่สิบนาที เพราะอะไร ก็เพราะโลกกลม จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 11:20:46 ]

ความคิดเห็นที่ 38 เดี๋ยวนี้ฝรั่งมีการนำคำว่า mecca มาใช้เป็นแสลง เพื่อหมายถึงศูนย์รวม เช่น Kao San Rd. is the mecca of backpackers. ก็คือ ถนนข้าวสารคือศูนย์รวมของนักท่องเที่ยวแบบแบกเป้ จบ ไม่มีอะไรมากกว่านี้ และก็ไม่มีสิ่งบ่งบอกด้วยว่า เมืองเมกกะจะคือศูนย์กลางของโลก  มันก็คือคำแสลงคำหนึ่ง ไม่มีนัยอะไรมากไปกว่านี้ เพราะไม่งั้น ประเทศจีนก็ต้องเป็นศูนย์กลางของจักรวาลแล้ว เพราะเขาเรียกตัวเขาเองว่า จ้งกว๋อ   คำว่า จ้ง แปลว่า ศูนย์กลาง กว๋อ แปลว่า จักรวาล  ยังไง... เมืองจีนคือศูนย์กลางจักรวาล??? อย่าไปยึดติดสมมติกันเลย ทั้งเรื่องเส้นเมอริเดียน หรือคำแสลง จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 11:27:55 ]

ความคิดเห็นที่ 39 คำสอนพวกนี้มาจากไหนหรอ ถ้าของกุรอานก็อ้างมาหน่อยล่ะกันว่าบทไหนประโยคไหน ===> มาจากคำแปลบทอะซานอ่ะครับ คำเชิญชวนละหมาดอ่ะ ลองไปแปลดูซิ ได้แบบนี้ไหม ฮ่าๆๆๆ จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 11:29:06 ]

ความคิดเห็นที่ 40 “เจ้ามิเห็นดอกหรือว่า แท้จริงอัลลอฮฺทรงให้กลางคืนคาบเกี่ยวเข้าไปในกลางวัน และทรงให้กลางวันคาบเกี่ยวเข้าไปในเวลากลางคืน....” จากอายะห์นี้เราสามารถรู้ได้อย่างไรว่าโลกมีลักษณะทรงกลม มิใช่แบน...... ===> มีคำไหนในอายะห์นี้เหรอครับ ที่พูดถึง โลก หรือมีคำไหนหรือที่บอกลักษณะกลมแบน ??? คำสำคัญในอายะห์นี้มีเพียง  กลางคืน คาบเกี่ยว กลางวัน มีสามคำเอง ไม่มีส่วนไหนพูดถึงโลก หรือลักษณะกลมแบนเลย คุณแปลความเข้าข้างตัวเองนี่ เห็นอะไรพอถูไถให้เข้าได้ ก็ดึงเข้ามาเลย ทั้งที่ในประโยคเต็ม ไม่มีส่วนไหนพูดถึงโลกและลักษณะกลมแบนเลย จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 11:34:06 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ในซูเราะห์ อัซซุมัร อายะห์ที่ 5 “พระองค์ทรงสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดินด้วยความชัดแจ้ง พระองค์ทรงให้กลางคืนคาบเกี่ยวเข้าไปในกลางวัน และทรงให้กลางวันคาบเกี่ยวเข้าไปในกลางคืน....” จากอายะห์นี้เช่นเดียวกัน อัลลอฮฺได้บอกลักษณะของกลางวันและกลางคืนที่มีการคาบเกี่ยวกัน โดยอายะห์นี้ ใช้คำว่า คอวฺวะเราะหฺ ซึ่งหมายถึงการคาบเกี่ยวกันของ สองสิ่ง เช่น ในการพันผ้าสะระบันรอบๆ ศีรษะ  ดังนั้นการคาบเกี่ยวกันของกลางวันและกลางคืน สามารถเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อโลกมีทรงกลม   ====> คำว่า สามารถเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อโลกมีทรงกลม เป็นสิ่งที่คุณแปลเองนอกเหนือจากคำสอนคับ เพราะในคำสอน ไม่มีส่วนไหนเลยพูดถึงโลกและลักษณะของมัน มีแต่คำว่า กลางวัน กลางคืน และคาบเกี่ยว จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 11:36:38 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ในซูเราะห์ อัซซุมัร อายะห์ที่ 5 “พระองค์ทรงสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดินด้วยความชัดแจ้ง พระองค์ทรงให้กลางคืนคาบเกี่ยวเข้าไปในกลางวัน และทรงให้กลางวันคาบเกี่ยวเข้าไปในกลางคืน....” จากอายะห์นี้เช่นเดียวกัน อัลลอฮฺได้บอกลักษณะของกลางวันและกลางคืนที่มีการคาบเกี่ยวกัน โดยอายะห์นี้ ใช้คำว่า คอวฺวะเราะหฺ ซึ่งหมายถึงการคาบเกี่ยวกันของ สองสิ่ง เช่น ในการพันผ้าสะระบันรอบๆ ศีรษะ  ดังนั้นการคาบเกี่ยวกันของกลางวันและกลางคืน สามารถเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อโลกมีทรงกลม   ====> คำว่า สามารถเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อโลกมีทรงกลม เป็นสิ่งที่คุณแปลเองนอกเหนือจากคำสอนคับ เพราะในคำสอน ไม่มีส่วนไหนเลยพูดถึงโลกและลักษณะของโลกเลย มีแต่คำว่า กลางวัน กลางคืน และคาบเกี่ยว จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 11:38:25 ]

ความคิดเห็นที่ 43 อันนี้ไข่นกกระจอกเทศ จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 11:42:18 ]

ความคิดเห็นที่ 44 อันนี้รูปทรงของโลก ถ้าตาไม่อักเสบหรือบอด ผมคิดว่า น่าจะเห็นว่ามีความคล้ายคลึงกับทรงของไข่นกกระจอกเทศมากเลย ฮ่าๆๆๆ พระเจ้าทรงมีจักษุที่เป็นเลิศจริงๆ จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 11:43:32 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ทีนี้ มาดูกันว่า ภูเขาเกิดได้อย่างไร สมัยเรียนคงจำภาพนี้กันได้ จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 11:45:02 ]

ความคิดเห็นที่ 46 จากภาพด้านบน จะเห็นว่า มีการมุดตัวของแผ่นเปลือกโลกแผ่นหนึ่งเข้าไปใต้แผ่นเปลือกโลกอีกแผ่นหนึ่ง แรงจากการดันนั้น ส่งผลให้แผ่นที่ถูกมุดเข้า มีการยกตัวขึ้นสูงจนกลายเป็นภูเขา และเพราะแผ่นที่มุดขวางหน้าไว้ ในขณะที่อีกแผ่นก็มีแรงดันส่งจากด้านหลังมา  จึงมีผลให้เนื้อหินมีการโป่งออกทั้งแนวบนแนวล่าง แต่เพราะแนวบนเป็นอากาศ จึงดันขึ้นบนได้มากกว่าดันลงล่าง แต่ด้านล่างก็มีการโป่งนะ แต่เพราะไปทางทิศที่มีของเหลวกับของแข็ง จึงโป่งได้น้อยกว่า ดังภาพด้านล่าง จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 11:47:36 ]

ความคิดเห็นที่ 47 จากภาพทั้งสอง จึงพอสรุปได้ว่า นั่นไม่ใช่ลักษณะของสลักใดๆ   ภูเขาเกิดจากการยกตัว ไม่ใช่การวางกด สลักย่อมหมายถึง อะไรที่เอามากด เพื่อให้นิ่ง แต่ภูเขาไม่ได้มีคุณสมบัติทำให้เปลือกโลกนิ่ง ภูเขาเป็นผลตามของการที่เปลือกโลกไม่นิ่ง และแท้จริง ถึงมีภูเขาแล้ว เปลือกโลกก็ยังไม่นิ่ง ยังมีการเคลื่อนไหว ดังนั้น ที่บอกว่า เอาสลักมาปักเพื่อให้แผ่นดินที่เจ้าอยู่มั่นคงนั้น ฮ่าๆๆ อย่าให้พูดเลย จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 11:50:26 ]

ความคิดเห็นที่ 48 อรรถกถา สสปัณฑิตชาดก ว่าด้วย ผู้สละชีวิตเป็นทาน http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=562 เรามาดูกันดีกว่า ว่านี่วิทยาศาสตร์มั๊ย ===> ประเด็นที่อยากจะบอกก็คือ 1 ชาดกนี้ยาวมาก  แต่ท่านเลือกตัดมาไม่กี่บรรทัด แล้วถามผมว่า วิทยาศาสตร์ตรงไหน ผมอ่านดู ก็นั่นซิ วิทยาศาสตร์ตรงไหน 2 เมื่อลองดูที่แหล่งที่มา  ชาดกนี้มาจาก อรรถกถา   อรรถกถา ก็คือหนึ่งในสามของพระไตรปิฏกที่ใช้อธิบายธรรมที่เป็นนามธรรมโดยไม่มีตัวตนของพระพุทธเจ้าเข้าไปเกี่ยว  ถ้าจำกันได้  พระสูตรคือ การเล่าชีวิตจริงของพระพุทธเจ้าที่เกี่ยวกับบุคคลและสถานที่ แล้วพระองค์ก็เล่าไป วันนั้นวันนี้ ไปไหนมา ไปเจอใครมา พูดคุยอะไรกันบ้าง แต่อรรถกา คือ การพยายามจะอธิบายนามธรรมให้เป็นรูปธรรมเพื่อให้เข้าใจธรรมเหล่านั้น  ในบทนี้ก็คือเรื่องทาน  หรือการให้ ชาดก คือนิทานคำกลอน  หรือนิทานสอนใจ ถ้าทางตะวันตกก็ นิทานอิสป แต่ที่อินเดีย เขาเรียก ชาดก มีการสมมติตัวละคร แล้วมีการดำเนินเรื่อง ท้ายสุด ก็ถึงช่วงสำคัญ คือบทสรุปคำคมสอนใจ หรือหลักคุณธรรมจริยธรรม เช่น กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ.... มี....... เกิดเหตุการณ์ต่างๆ หนึ่ง สอง สาม สี่ ท้ายที่สุด เกิดจุดสำคัญของเรื่อง แล้วปิดท้ายว่า นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า..... อรรถกถา สสปัณฑิตชาดก ก็เหมือนกัน  ท้ายที่สุด ก็นำไปสู่หลักคำสอนที่ต้องการจะสื่อว่า ผู้สละชีวิตเป็นทาน นั่นหล่ะ หัวใจของเรื่องนี้ ส่วนตัวละครหมู หมา กา ไก่ที่พูดได้ สนทนาได้ มีใครยุคนี้เคยเห็นไหมครับว่ามันคุยกับเราได้  สองพันหกร้อยปีที่ผ่านมาก็เป็นเวลาไม่นานนะ  พวกมันคงไม่วิวัฒนาการจนหยุดพูดหรอก ฮ่าๆๆๆ นิทานสอนใจ ถามว่า ต้องเอาวิทยาศาสตร์มาจับมะ เวลาอ่านนิทานอิสป ต้องหยิบวิทยาศาสตร์มาจับมะ นิทานกระต่ายกับเต่า ท้ายที่สุดสรุปว่าไง?? สรุปว่า อย่าประมาทคนอื่น อย่าดูถูกคนอื่น นี่ไง เอารูปธรรมมาจับ เพื่อสอนนามธรรม ต้องสนมะ เอ กระต่ายกับเต่าพูดได้เหรอ เอ มันมีการพนันขันตอกในสัตว์แล้วเหรอ ต้องสนมะ วิทยาศาสตร์ต้องมาจับมะ ฉันใด  อรรถกถาก็ฉันนั้น จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 12:09:06 ]

ความคิดเห็นที่ 49 พยายามจะแปลว่า พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งรวมทั้งสัตว์ในระหว่างหกวัน แล้วบอกว่า หกวันนั้นไม่ใช่วันมนุษย์ แต่คือวันที่เป็นยุคๆเพื่อจะสอดรับว่า แหม ไม่เห็นขัดกับหลักวิวัฒนาการเลย เพราะวิวัฒนาการก็เป็นยุคๆ แต่พูดไปก็เท่านั้น มาดูกุรอ่านดีกว่า กุรอ่าน 7/54,10/3,11/7,25/9 พระเจ้าคือผู้สร้างสวรรค์และโลกในหกวัน กุรอ่าน 41/9 ไม่ใช่เจ้าหรอกหรือที่ปฏิเสธว่าข้าสร้างโลกในสองวัน กุรอ่าน 41/10 ทรงนั่งอยู่เหนือภูเขาสูงขึ้นไป ประทานความอุดมสมบูรณ์ให้แก่โลกในสี่วัน กุรอ่าน 41/12 ทรงทำให้สวรรค์สมบูรณ์เป็นเจ็ดชั้นในสองวัน รวมเวลาการก่อสร้างของพระเจ้า สร้างโลก 2 วัน เติมแต่งความอุมสมบูรณ์ 4  สวรรค์อีก 2 รวมยังไงก็ 8 วัน  ไหนครับ สวรรค์และโลกสร้างเสร็จในหกวัน???? จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 12:24:35 ]

ความคิดเห็นที่ 50 กุรอ่าน 22/47 หนึ่งวันในสายพระเนตรของพระเจ้าคือ  1000 ปีของพวกเจ้า กุรอ่าน 70/4 นางฟ้าและวิญญาณขึ้นไปหาเขาในหนึ่งวัน ซึ่งเท่ากับ 50000 ปี เอ๊ะ ตกลงวันของพระเจ้า จะพันปีดี หรือห้าหมื่นปีดี??? แต่ถึงจะเอาตัวสูงสุดที่หาได้จากกุรอ่านแล้ว ก็พบว่า 50000x6 เท่ากับสามแสน  ว้าว  โลกเกิดขึ้นเมื่อสามแสนปีที่แล้ว แต่แปลกแฮะ ชั้นดินบนโลกนี้มีอายุถอยไปเป็นล้านๆปี ดวงอาทิตย์ล่ะ มีอายุตั้ง 5500 ล้านปี ฮ่าๆๆๆ ไหนมุสลิมช่วยผมคำนวณซิ จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 12:28:35 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ความมหํศจรรย์ของกุรอ่าน http://forward.vodpod.com/?page=3 จากคุณ : fowleres - [ 13 ส.ค. 51 15:14:23 ]

ความคิดเห็นที่ 53 คณิตศาสตร์แนวใหม่..หึหึ 2+4+2 =6 จากคุณ : zakai - [ 13 ส.ค. 51 15:44:32 ]

ความคิดเห็นที่ 54 Q: เวลาสร้างทั้งหมด6หรือ8วัน อันนี้6 7:54 Lo! your Lord is Allah Who created the heavens and the earth in six Days. 54. แท้จริงพระเจ้าของพวกเจ้านั้น คือ อัลลออฮืผู้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดินภายในหกวัน อันนี้8 41:9-12 Say (O Muhammad, unto the idolaters): Disbelieve ye verily in Him Who created the earth in two Days ... He placed therein firm hills rising above it, and blessed it and measured therein its sustenance in four Days ... Then He ordained them seven heavens in two Days.... 9. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด พวกท่านปฏิเสธศรัทธาต่อพระผู้สร้างแผ่นดินเพียงในสองวัน และพวกท่านตั้งภาคีคู่เคียงกับพระองค์กระนั้นหรือ ? นั่นคือพระเจ้าแห่งสากลโลก 10. และใน (แผ่นดิน) นั้นพระองค์ทรงทำให้เทือกเขาตั้งมั่นอยู่บนมัน และทรงให้มีความจำเริญในนั้น และทรงกำหนดปัจจัยยังชีพของมันให้มีขึ้นในนั้น ในระยะเวลา 4 วัน อย่างทัดเทียมกันแก่บรรดาผู้ไต่ถาม 11. แล้วพระองค์ทรงมุ่งสู่ฟากฟ้าขณะที่มันเป็นไอหมอก พระองค์จึงตรัสแก่ชั้นฟ้าและแผ่นดินว่า เจ้าทั้งสองจงมาจะโดยเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม มันทั้งสองกล่าวว่า ข้าพระองค์มาอย่างเต็มใจแล้ว 12. ดังนั้นพระองค์ทรงสร้างมันสำเร็จเป็นชั้นฟ้าทั้งเจ็ดในระยะเวลา 2 วัน ---------------------- คำอธิบาย การสร้างสรรค์ของพระเจ้านั้น กุรอานกล่าวไว้ว่ามี 6 วาระครับ แต่เดิมก่อนสร้างโลกนั้น มีกลุ่มหมอกที่เรียกว่า อัดคุดอน อยู่ พระองค์ได้แยกมันทั้งสองออกจากกัน ส่วนหนึ่งได้นำไปสร้างเป็นพื้นดิน อีกส่วนนำไปสร้างเป็นฟากฟ้า (อัซซะมะห์) ฟากฟ้านั้นกินเวลา 2 วาระ ถูกต้องแล้ว ส่วนพื้นดินนั้นกินเวลา 4 วาระ ...กุรอาน บทที่ 41 โองการที่ 10 กล่าวว่า “และใน (แผ่นดิน) นั้นพระองค์ทรงทำให้เทือกเขาตั้งมั่นอยู่บนมัน และทรงให้มีความจำเริญในนั้น และทรงกำหนดปัจจัยยังชีพของมันให้มีขึ้นในนั้น ในระยะเวลา 4 วาระ อย่างทัดเทียมกันแก่บรรดาผู้ไต่ถาม” ...ดังนั้น คำว่า 4 วาระในโองการที่ยกมา (41:10) นั้นขัดกับ (41:9) ที่กล่าวว่า 2 วาระ หรือไม่นั้น ... ตอบว่า ไม่ได้ขัดกันครับ เพราะ คำว่า 2 วาระ ในโองการแรกกล่าวถึงการสร้างแผ่นดิน แต่ 4 วาระในโองการหลัง คือการกล่าวรวมความถึงการสร้าง แผ่นดิน และปัจจัยทั้งหมดจนครบบริบูรณ์ ...อ่านดูดี ๆ นะครับ โองการแรกบอกว่า สร้างแผ่นดิน จากนั้นจึงบอกว่า “และในแผ่นดิน” ...จะเห็นได้ว่า โองการที่สอง กล่าวอธิบายโองการแรกอีกที...จากนั้นจึงสรุปความว่า “และทรงกำหนดปัจจัยยังชีพของมันให้มีขึ้นในนั้น” ...และสรุปสุดท้ายว่า “ในระยะเวลา 4 วาระ” เป็นการปิดท้าย ...ดังนั้น โองการข้างต้นจึงไม่ได้ขัดกันเอง หากแต่ โองการที่ 2 อธิบายโองการแรกต่างหาก... จาก... http://kheedes.bravehost.com/de%20article/02christ01.html คำว่า...เยามะ...ในภาษาอาหรับ...สามารถแปลได้ 2 ความหมาย...นั่นคือ... วัน...วาระ...หรือ...ยุค...ครับ...ทั้งนี้ต้องดูที่รูปบริบทของประโยค... ก็คล้ายกับภาษาไทยเรานะครับ...เช่น...คำว่า...อาทิตย์...หากหมอบอกว่า...ให้คุณทานยานี้ให้ครบ 6 อาทิตย์...คุณก็จะหายป่วย...ประโยคนี้สามารถเข้าใจได้ 2 นัยยะ...คือ...ให้คุณทานยาทุกวันอาทิตย์ 6 ครั้ง...หรือ...ให้คุณทานยาตลอด 6 สัปดาห์... หากเป็นคนที่เข้าใจในภาษาแล้วจะสามารถเข้าใจได้ไม่ยากครับว่า...หมอ...สั่งยามาให้ทานแบบไหนครับ... แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 51 17:43:07 แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 51 17:31:05 จากคุณ : Crescent ) - [ 13 ส.ค. 51 17:29:12 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ผมชักไม่แปลกใจล่ะว่าทำไมคุณคิดว่า กุรอ่าน บอกว่าโลกแบน เพราะ อ่านไม่รู้เรื่องแล้วยังอยากจะอธิบายอีก “พระองค์ทรงสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดินด้วยความชัดแจ้ง พระองค์ทรงให้กลางคืนคาบเกี่ยวเข้าไปในกลางวัน และทรงให้กลางวันคาบเกี่ยวเข้าไปในกลางคืน....” จากอายะห์นี้เช่นเดียวกัน อัลลอฮฺได้บอกลักษณะของกลางวันและกลางคืนที่มีการคาบเกี่ยวกัน โดยอายะห์นี้ ใช้คำว่า คอวฺวะเราะหฺ ซึ่งหมายถึงการคาบเกี่ยวกันของ สองสิ่ง เช่น ในการพันผ้าสะระบันรอบๆ ศีรษะ  ดังนั้นการคาบเกี่ยวกันของกลางวันและกลางคืน สามารถเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อโลกมีทรงกลม อันนี้มันชัดเจนแล้วนะครับเพราะ ถ้า กุรอ่านบอกว่าโลกแบน จะไม่สามรถ มีความคาบเกี่ยวกัน ระหว่างของสองสิ่งได้แบบพันรอบได้ และอีกอย่าง ไม่รู้ทำไมไม่เอามานะครับ ใช่ครับ เราสามารถทราบได้จากการพิจารณาว่า เมื่อกลางคืนได้คาบเกี่ยวไปในเวลากลางวัน และกลางวันคาบเกี่ยวไปในเวลากลางคืน ทั้งสองทั้งกลางวันและกลางคืน จะค่อยๆเปลี่ยนสภาพของมัน และเป็นที่น่าสังเกตุว่ามัน(กลางวันและกลางคืน)จะไม่เปลี่ยนทันทีเหมือนพลิกฝ่ามือ (ผู้แปล) ปรากฎการณ์นี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อโลกมีลักษณะกลมครับ แต่ถ้าโลกเป็นทรงแบน เราก็คงจะได้เห็นการเปลี่ยนของกลางวันและกลางคืนอย่างรวดเร็ว เหมือนพลิกฝ่ามือ(ลองทำดูสิ) เราจะเห็นว่าถ้า โลกแบน ลักษณะแห่งการคาบเกี่ยว หรือ ค่อยๆ เปลี่ยนสภาพมัน จะไม่มีครับ ถ้าโลกแบน การเปลี่ยนในลักษณะนี้จะไม่เกิด เอาล่ะถ้าไม่ชัดอีกก็มีอีกว่า จริงๆ แล้วโลกเราไม่ได้กลมเหมือนลูกบอล แต่มีลักษณะแบนตรงขั้วทั้งสองด้าน มีหลักฐานจาก ซูเราะห์ อันนาซิอ๊าต อายะห์ที่ 30 “และหลังจากนั้นทรงทำให้แผ่นดินเป็นพื้นราบเรียบ” คำว่า ดะฮาฮา ในภาษาอาหรับนอกจากมีความหมายว่า การขยายอย่างกว้างขวางแล้ว ยังมีความหมายถึงไข่(นกกระจอกเทศ) ดังนั้นลักษณะของโลกนั้นก็มีลักษณะเหมือนไข่ ซึ่งลักษณะนี้ คำอธิบายได้บอกแล้วนะครับ ว่าโลกนั้นไม่ได้ กลมดิก การบอกว่าไข่ จึงเป็นการบอกแล้วนะครับว่า ไม่ได้กลม ดิก หรือกลมโดยสมบูรณ์แบบ และแน่นอนครับ ไข่นกกระจอกเทศ หรือไข่ ไม่ได้มีรูปทรงที่แบน จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 17:32:44 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ดูเองนะครับว่า ไข่นกกระจอกเทศนั้น ไม่ใช่เรียวแหลมด้านนึงเต็มๆ แบบไข่ ไก่ แต่จะเป็นวงค่อนข้างรี ซึ่ง ถ้า กุรอ่านบอกว่ากลม ก็ไม่ได้กลมซะทีเดียว ถ้าบอกว่า ไข่ นี่แหละครับ ใกล้เคียงและ นึกภาพออกได้ นอกจากนั้น รูปร่างของไข่นั้น ไม่จำเป็นต้องรี เสมอไปครับ ไข่ ลักษณะแบบนี้ก็มี จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 17:35:23 ]

ความคิดเห็นที่ 57 นี่ก็ไข่ จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 17:37:19 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เป็นลักษณะการเปรียบเทียบให้คนอาหรับ ที่ สมัยนั้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ น้อยกว่าปัจจุบันมาก นึกออกได้ดีที่สุดแล้วล่ะครับ นี่คือ พระปรีชาของพระเจ้า ที่มนุษย์ ถ้ายังคิดอะไรโง่ๆ ก็จะเอา ไข่ที่พยายามจะไม่กลมที่สุดมาเทียบ แต่หารู้ไม่ว่า กุรอ่านนั้น มีโองการอื่นประกอบครับ มีการคาบเกี่ยวระหว่างกลางคืนกลางวัน ในลักษณะของการพันรอบแล้ว ยังมี การบอกว่า ลักษณะ ของไข่ นั่นคือ สันฐาน ที่ กลม แต่ไม่กลมดิก ไม่ใช่สี่เหลี่ยม ด้วย (พันรอบจะเหลี่ยมก็ได้) ชัดเสียงยิ่งกว่าชัดครับ ว่ากุรอ่านบอกว่าโลกไม่แบน (จะว่ากลมก็ไม่กลมซะทีเดียวครับ) จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 17:42:57 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ผมไม่อยากจะบอกนะครับ ว่า ภาพที่คุณเอามาทั้งหมด ไม่ขัดอะไรกับกุรอ่าน เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะลักษณะของ ภูเขาที่สูงขึ้น ข้างใต้ก็กดลงไป ชัดเจน มันเป็นสลักครับ ไม่ใช่ภูเขาตั้งอยู่ แล้ว ด้านล่างไม่มุดลงไป แต่อย่างใด ถ้าบอกภูเขาตั้งเฉยๆ ก็ผิดล่ครับ ไปดู คคห ที่ 27 28 29 ดูได้เลยครับ ภาพที่คุณเอามา ยืนยัน กุรอ่านชัดเจน ซึ่งนี่เป้นการบอกให้เรา ทราบถึงสันฐานของภูเขา ว่าไม่ได้ ตั้งวางกันบนพื้น แต่มันมีราก อยู่ด้านล่างครับ ส่วนเรื่องทำให้มั่นคงนั้น อ้างจาก เชิงอรรถ: (1)Earth ของ Press และ Siever, หน้า 435 และดูที่  Earth Science  ของ Tarbuck และLutgens, หน้า 157. (2)The Geological Concept of Mountains in the Quran ของ El-Naggar หน้า 5. (3)The Geological Concept of Mountains in the Quran หน้า 5. (4)The Geological Concept of Mountains in the Quran หน้า 44-45. (5)The Geological Concept of Mountains in the Quran หน้า 5. ครับ เพราะงั้น ไม่แปลกใจครับ ถึงคุณจะพยายามแถยังไง รูปร่างสันฐานของภูเขาก็เป็นดังกุรอ่านว่าไว้เต็มๆ จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 17:55:15 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เรื่อง  6 หรือ 8 วัน อันนี้ก็เป็นความไม่รู้เรื่องของคุณเอง อ่านไม่เข้าใจก็มา โวยวาย อ่านซะ การสร้างสรรค์ของพระเจ้านั้น กุรอานกล่าวไว้ว่ามี 6 วาระครับ แต่เดิมก่อนสร้างโลกนั้น มีกลุ่มหมอกที่เรียกว่า อัดคุดอน อยู่ พระองค์ได้แยกมันทั้งสองออกจากกัน ส่วนหนึ่งได้นำไปสร้างเป็นพื้นดิน อีกส่วนนำไปสร้างเป็นฟากฟ้า (อัซซะมะห์) ฟากฟ้านั้นกินเวลา 2 วาระ ถูกต้องแล้ว ส่วนพื้นดินนั้นกินเวลา 4 วาระ ...กุรอาน บทที่ 41 โองการที่ 10 กล่าวว่า “และใน (แผ่นดิน) นั้นพระองค์ทรงทำให้เทือกเขาตั้งมั่นอยู่บนมัน และทรงให้มีความจำเริญในนั้น และทรงกำหนดปัจจัยยังชีพของมันให้มีขึ้นในนั้น ในระยะเวลา 4 วาระ อย่างทัดเทียมกันแก่บรรดาผู้ไต่ถาม” ...ดังนั้น คำว่า 4 วาระในโองการที่ยกมา (41:10) นั้นขัดกับ (41:9) ที่กล่าวว่า 2 วาระ หรือไม่นั้น ... ตอบว่า ไม่ได้ขัดกันครับ เพราะ คำว่า 2 วาระ ในโองการแรกกล่าวถึงการสร้างแผ่นดิน แต่ 4 วาระในโองการหลัง คือการกล่าวรวมความถึงการสร้าง แผ่นดิน และปัจจัยทั้งหมดจนครบบริบูรณ์ ...อ่านดูดี ๆ นะครับ โองการแรกบอกว่า สร้างแผ่นดิน จากนั้นจึงบอกว่า “และในแผ่นดิน” ...จะเห็นได้ว่า โองการที่สอง กล่าวอธิบายโองการแรกอีกที...จากนั้นจึงสรุปความว่า “และทรงกำหนดปัจจัยยังชีพของมันให้มีขึ้นในนั้น” ...และสรุปสุดท้ายว่า “ในระยะเวลา 4 วาระ” เป็นการปิดท้าย ...ดังนั้น โองการข้างต้นจึงไม่ได้ขัดกันเอง หากแต่ โองการที่ 2 อธิบายโองการแรกต่างหาก http://www.pantown.com/board.php?id=19260&area=3&name=board4&topic=2&action=view จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 17:59:08 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ส่วนเรื่อง พัน หรือ 5 หมื่นปีนะครับ บอกแล้วว่า เป็นระยะเวลา ถ้าไม่โง่ และไม่พยายามแถ อ่านแล้วไม่น่า จะงง นะครับ คำตอบ : เป้าหมายของ 6 วันในโองการข้างต้นนั้นบ่งชี้ถึง 6 ช่วงระยะ เพราะในการเริ่มต้นของการสร้างยังไม่มีชั้นฟ้าและแผ่นดินเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะมีกลางวันและกลางคืนได้อย่างไรกัน ?  อัลกุรอานใช้คำว่า “เยาม์” หรือ “อัยยาม” (วันหรือวันทั้งหลาย)ไว้หลายครั้ง ซึ่งในหลาย ๆ กรณีก็ไม่ได้ให้ความหมายของวันตามที่ใช้กันทั่วไป เช่นประโยคที่กล่าวถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพว่า “เยามุลกิยามะฮ์” ซึ่งเป็นการบ่งชี้ให้เห็นว่าวันแห่งการฟื้นคืนชีพนั้นเป็นช่วงระยะเวลาที่ยาวนาน จึงใช้ประโยคที่ว่า “วันแห่งกิยามะฮ์”           ในบางโองการกล่าวถึงการสอบสวนความประพฤติของบางคนในวันกิยามะฮ์ที่ยาวนานถึงห้าหมื่นปี ดังนั้น ต้องมีกำกับครับว่า อัยยามหรือ เยามุลนั้นของอะไร ถ้า เยามุลกิยามะห์ ก็ 5000 ปี หรือ บางส่วน ก็ 1000 ปี กุรอ่านจะแจ้งไว้ ถ้าต้องการเจาะจง แล้วไม่ทราบ โลกมี ระยะเวลา สามแสนปี จาก 6 ระยะ เวลาเนี่ย กุรอ่านบอกตรงไหนครับว่า ระยะเวลานั้น 50000 หรือ 1 พันปี? อ่านให้ดีดีสิครับ ภาษาไทยง่ายๆ แค่นี้ ทำไมไม่รู้จักอ่าน? ผมบอกแล้วนะครับ ถ้าไม่เข้าใจให้ถาม จะได้ไม่ ปล่อยไก่ยกเล้าแบบนี้ จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 18:03:04 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ผมช่วยคุณ คำนวนแล้วนะครับ หวังจะหายโง่ซะที ค่ำๆ กว่านี้ เราจะมาคุยกันเรื่องกระต่ายกัน เพราะ ถ้า ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ผิด ก็คนเขียนพูดไม่จริงล่ะครับ แล้วไหนว่า ตถาคตพูดจริงเสมอไง หรือว่าจริงมั่งโม้มั่งไปตามเรื่องล่ะครับ หุหุ ค่ำๆ เจอกันงานนี้ ไม่กระจ่างไม่เลิก จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 18:04:34 ]

ความคิดเห็นที่ 63 Quran-41:9 :   Is it that :-)eny Him who created the earth in Two Days ? Quran- 41:10:  He set on the (earth) Mountains standing firm high above it, and bestowed blessing on the earth, and measured therein all things to give them nourishment in due proportion, in FOUR DAYS Quran-41:12:  So He completed them (heavens) as seven firmaments in Two days and  แปลกระบวนการที่สองนะครับ  He set on the earth   set อะไร???   set mountain   แปลความก็คือ ทรงจัดวาง หรือทรงตั้งภูเขาไว้บนแผ่นดิน แล้วก็ให้ความอุดมสมบูรณ์   นานแค่ไหน  นาน 4 วัน พูดปิดท้ายเลย ว่าตั้งแต่วางภูเขาไว้พบแผ่นโลกจนให้ความอุดมสมบูรณ์เสร็จ กระบวนการนี้ ใช้เวลา 4 วัน  ประโยคในบทที่สิบนี้ไม่มีตัวบ่งบอกของภาษาอันใดที่บอกความเชื่อมโยงกับประโยคในบทที่เก้าเลย บอกแค่ว่า ได้ทรงวางภูเขาไว้บนโลก และให้ความอุดมสมบูรณ์ใน 4 วัน ชัดเจน ชัดเจนว่า สร้างโลกในสองวัน เริ่มวางภูเขาและให้ความสมบูรณ์อีก 4 สวรรค์เจ็ดชั้นอีกสอง คุณอย่าแถเลยว่ามันเชื่อมกัน ผมจบจากอเมริกา ผมแปลเป็น จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 18:17:15 ]

ความคิดเห็นที่ 64 • Quran-22:47:  A day in the sight of the Lord is like a thousand years of your reckoning. • Quran-32:5:     To Him, on a Day, the space whereof will be a thousands years of your reckoning • Quran-70:4:     The angels and the spirit ascend unto him in a day the measure whereof is Fifty thousands years. กุรอ่าน 22/47 หนึ่งวันในสายพระเนตรของพระเจ้าคือ  1000 ปีของพวกเจ้า กุรอ่าน 70/4 นางฟ้าและวิญญาณขึ้นไปหาเขาในหนึ่งวัน ซึ่งเท่ากับ 50000 ปี โอ๊ะโอ่ โอ๊ะโอ่ day day day วัน วัน วัน เทียบกับ Quran-41:9 :   Is it that :-)eny Him who created the earth in Two Days ? ใช่คำว่า วัน หรือ Day เดียวกันมะ???? หรือจะแถว่าไม่ใช่ มีคำซับคำซ้อน คำซ่อนเงื่อนอีก ต้องเป็นผู้รู้ทางอิสลามเท่านั้นจึงจะเข้าถึงได้ แบบนั้นหรือเปล่า??? เห็นชัดๆ บวกเลขรวมก็ผิดยังจะแถ ยังไม่พอ day ที่ใช้ ก็ day เดียวกัน แต่แปลก เดี๋ยวพันวัน เดี๋ยวห้าหมื่นวัน จะเท่าไหร่กันแน่ พระจ้าวววววววววว อ่ะ แปลว่า หกยุคก็ได้ สร้างโลกสองยุค ยุคละเท่าไหร่นะ พระเจ้าว่าพันวันของเจ้า หรือห้าหมื่นปีของเจ้า  อ่ะ ให้สูงสุดเลยห้าหมื่น 50000ปีของเจ้าx2 ยุคของข้า= 100000 ปีของเจ้า อ้าวพ่อแม่พี่น้อง โลกเราสร้างเสร็จในหนึ่งแสนปี ชั้นหินโลกอายุเป็นล้านปีอ่ะ ฮ่าๆๆๆๆ จะแถไรอีก จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 18:26:09 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ที่นี้มาดูสิ่งที่เรียกว่า หมุด หมุดมีสองส่วน  ส่วนหัวหมุด กับปลายแหลมไว้เสียบ ชัดเจนนะครับ เอาภูเขาเป็นหมดมาปัก ปักภูเขาซึ่งเป็นหมุดในแผ่นดิน ก็ต้องได้แบบภาพ คือภูเขาเป็นหมุดปัก แต่เปลือกโลกสองแผ่นดันเข้าหากัน แผ่นหนึ่งมุดไปใต้แผ่นหนึ่ง แต่อีกแผ่นก็ดันแข่ง จนโก่งตัวขึ้นเพราะแรงดันมหาศาล ส่วนที่บิดเบี้ยวจึงกลายเป็นภูเขาและฐานด้านใต้ อันหนึ่ง ใช้คำว่า ปัก คือ set on อีกดันใช้คำว่า ยกตัว ปัก = ยกตัว??? ยกตัว = ปัก ??? ผมชักสงสัยแล้วว่า สองคำนี้ ความหมายเดียวกันเหรอ?? จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 18:35:45 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ดะฮาฮา ในภาษาอาหรับนอกจากมีความหมายว่า การขยายอย่างกว้างขวางแล้ว ยังมีความหมายถึงไข่(นกกระจอกเทศ) ===> ก็ในเมื่อแปลว่า ไข่นกกระจอกเทศ ผมก็ไปเอาไข่นกกระจอกเทศมาให้ดู ว่ารูปทรงใกล้เคียงกับโลกมากเลยยยย คุณอย่าแถอีกนะ ว่าใครนกกระจอกเทศบนโลกใบนี้ แตกต่างกันไปตามท้องถิ่น มีสายพันธุ์หนึ่งของนกกระจอกเทศที่ไข่กลมมากเลย อันนั้นหล่ะที่พระเจ้าหมายถึง พันธุ์นกกระจอกเทศพันธุ์นี้หล่ะ (หรือสูญพันธุ์ไปแล้ว???) ฮ่าๆๆๆ และในเมื่อคุณบอกว่าแปลว่า ไข่นกกระจอกเทศ แล้วผมก็ไปเอาภาพใข่นกกระจอกเทศมาให้ดู ใยต้องไปเอาไข่เต่า ไข่งู มาแถอีกเล่า ว่าไข่ไม่ได้มีแต่รูปทรงแบบนั้น หืม??? จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 18:40:07 ]

ความคิดเห็นที่ 67 แล้วบอกว่า ดูยังไงก็เป็นหมุดปัก ถ้าพระเจ้าจะกระทำการปัก มันต้องมีแรงแนวปัก คือตั้งฉากกับแผ่นโลก แต่ดูแรงการเคลื่อนตัวดิ มันดันเข้าหากันแล้วยกตัว ตอบซิ ยังจะว่าแรงเดียวกันอีกป่าว จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 18:47:03 ]

ความคิดเห็นที่ 68 จริงๆพระเจ้าน่าจะตรัสว่า " แล้วสูเจ้าไม่รู้หรือ ว่าเราได้ดันแผ่นโลกที่คลี่ออกนั้นเข้าหากัน จนแผ่นหนึ่งโก่งงอเป็นภูเขา และนี่หล่ะ อำนาจแห่งเราพระผู้สร้าง " ฮ่าๆๆๆๆ จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 18:49:19 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ที่นี้มาดูกุรอ่าน2/29 กล่าวว่า It is He who hath created for you all things that are on Earth;  THEN He turned to the Heaven and made them into seven firmaments (Skies) . สรุปคือ สร้างโลก แล้วหลังจากนั้น ก็ชั้นฟ้า แต่พอมาบท 79/27-30 แถวนี้ติดๆกันเลยนะครับบอกว่า     Are you the harder to create, or is the heaven that He built ?  He raised the height thereof and ordered it; and He has made dark the night thereof, and He brought forth the morning thereof. And after that, He spread  the earth แปลเลยนะครัย ยกชั้นฟ้า แล้วสร้างกลางวันกลางคืน  แล้วหลังจากนั้น คลี่แผ่นโลก ตกลง ทรงสร้างโลกก่อนแล้วสร้างฟ้า หรือสร้างฟ้าก่อนแล้วมาสร้างโลก???  พระองค์อาจสับสน เพราะบทห่างกัน ลืมว่าทรงสร้างไรก่อน ฮ่าๆๆๆๆ แล้วดูคำว่า spread กับลูกทรงโลก โลกใช้คำว่า spread เหรอ?? ทำไมไม่ใช้คำว่า sculp ซึ่งแปลว่าปั้น อะไรที่กลมๆ ใช้คำว่า คลี่หรือแผ่ ฤ คำนี้จะบ่งบอกความเชื่อของคนโบราณว่าเชื่อว่าโลกเป็นแผ่นแบน?? อ่ะ อ่ะ อ่ะ รู้น่า กำลังจะต่อว่า นายธรรมยุทธ นายไม่รู้เหรอว่า โลกมีแผ่นเปลือกโลกมากมายลอยอยู่บนลาวา งั้นถาม  กุรอ่านพูดเรื่องสร้างฟ้า สร้างแผ่นดินด้วยการแผ่ แล้วพระเจ้าทรงลืมเรื่องปั้นแกนโลกที่กลมๆเหรอ??? แล้วลืมเรื่อง 'มุม' หรือยัง ไหนล่ะ มุมของโลก โลกทรงกลม มีมุมตรงไหน ถ้าไม่ตกเลขาคณิตคิดว่าไม่น่าจะแถอีก จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 18:57:54 ]

ความคิดเห็นที่ 70 มาดูกุรอ่าน18/86 บ้าง Till, when he reached the setting-place of the Sun, he found it going down into a muddy spring ว้าวววว   พระอาทิตย์มีจุดจะตกด้วยนะครับ ตกที่ไหน?? ตกที่บ่อโคลน ฮ่าๆๆๆ   โลกเรากลม ดังนั้น พระอาทิตย์ไม่ได้ตก พระอาทิตย์ลอยอยู่ที่เดิมครับ เพียงแต่โลกหมุนรอบตัวเอง มุมโลกเลยบังอีกส่วน เส้นขอบโลกนั้นเลยบังดวงอาทิตย์ที่ยังอยู่ที่เดิม  แต่เพราะคนตัวเล็กจิ๋วเมื่อเทียบกับโลก เลยเห็นเส้นขอบฟ้าเป็นเส้นตรง มาดูบท 18/90:   Till, when he reached the rising-place of the Sun, he found it rising on a people for whom We had appointed no shelter from it. อิๆๆๆ มีจุดตก ก็ต้องมีจุดขึ้น  พระอาทิตย์มีจุดขึ้นครับท่านผู้ชม แนวคิดนี้ชี้ชัดๆว่า โลกต้องแบน เพราะถ้าโลกแบน มีทั้งจุดขึ้น จุดตก แต่เพราะโลกกลม จึงไม่มีจุดขึ้นจุดตก ถ้าคุณบอกว่า กุรอ่านบอกว่าโลกกลม แล้วทำไมกุรอ่านถึงบอกว่า ดวงอาทิตย์มีจุดขึ้น จุดตกล่ะครับ ขัดแย้งกันป่าว คุณจะเอาอันไหนถูก โลกกลม หรือพระอาทิตย์มีจุดขึ้นจุดตก หรือจะเอาพระอาทิตย์มีจุดขึ้น จุดลงถูก ก็แสดงว่าโลกกลมผิด เพราะสองประโยคนี้ขัดแย้งกันเอง   อ้าว ว่ามา จะแถไรอีก จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 19:06:08 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ขอบคุณ คห 36 คับ  ผมเข้าใจแล้วคับ   กระทู้นี้ค่อนข้างจะร้อนไปซักนิด ยังไงก็สมานฉันกันนะคับ คนไทยด้วยกัน จากคุณ : foxaon1 - [ 13 ส.ค. 51 19:09:20 ]

ความคิดเห็นที่ 72 มั่วขนาดนี้ยังกล้าบอกว่าตัวเองจบอเมริกาอีกเหรอครับ ...ดังนั้น คำว่า 4 วาระในโองการที่ยกมา (41:10) นั้นขัดกับ (41:9) ที่กล่าวว่า 2 วาระ หรือไม่นั้น ... ตอบว่า ไม่ได้ขัดกันครับ เพราะ คำว่า 2 วาระ ในโองการแรกกล่าวถึงการสร้างแผ่นดิน แต่ 4 วาระในโองการหลัง คือการกล่าวรวมความถึงการสร้าง แผ่นดิน และปัจจัยทั้งหมดจนครบบริบูรณ์ ...อ่านดูดี ๆ นะครับ โองการแรกบอกว่า สร้างแผ่นดิน จากนั้นจึงบอกว่า “และในแผ่นดิน” ...จะเห็นได้ว่า โองการที่สอง กล่าวอธิบายโองการแรกอีกที...จากนั้นจึงสรุปความว่า “และทรงกำหนดปัจจัยยังชีพของมันให้มีขึ้นในนั้น” ...และสรุปสุดท้ายว่า “ในระยะเวลา 4 วาระ” เป็นการปิดท้าย สองโองการนี้ต่อกันครับ นั่นหมายถึง 4 วาระในท้ายที่สุดนั้น รวมการสร้างแผ่นดิน และปัจจัย จนครบบริบูรณ์ครับ Quran-41:9 :   Is it that :-)eny Him who created the earth in Two Days ? Quran- 41:10:  He set on the (earth) Mountains standing firm high above it, and bestowed blessing on the earth, and measured therein all things to give them nourishment in due proportion, in FOUR DAYS 41:9 กับ 41:10 โองการต่อกันครับ ยังจะแถว่ามัน ไม่เกี่ยวกันอีกเหรอครับ? โองการสองอย่างติดกัน กล่าวถึง การสร้างโลก และจัดวางสิ่งต่างๆ ในนั้น ไม่ต้องกันได้อย่างไรและ และทั้งหมด นี้ รวมเวลา 4 วัน ถ้าคนละบท หรือ ไม่ติดกันว่าไปอย่าง นี่เหรอครับคนจบ อเมริกา โองการติดกัน กล่าวถึงโลก เช่นกัน แล้วบอกว่า ไม่เกี่ยวกัน? จบอะไรจากอเมริกามา? ชัดเจนครับว่า สร้างโลก ใน 2 วัน จัดวางสิ่งต่างๆ ในนั้น รวมทั้งกระบวนการ 4 วัน ก็ชัดๆอยู่แบบนี้ นี่ยังไม่รับ ภาษาอาหรับนะครับ คุณเรียนบ้างมั๊ย? เอาง่ายๆ นะครับ มีโครงการสร้างบ้านโครงการหนึ่งบอกว่า สร้างบ้านเสร็จภายใน 5 เดือน และตกแต่งเสร็จพร้อมอยู่ภายใน 1 ปี คนโง่ๆ ที่ไหนครับ จะคิดว่า ทั้งหมด 1 ปี 5 เดือน ภาษาไทยง่ายๆแค่นี้คิดไม่ออก อเมริกาสอนอะไรคุณมาไม่ทราบครับ แถกันหน้าด้านๆ เลยนะครับ จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 21:01:19 ]

ความคิดเห็นที่ 73 อ่ะ มาดูกันชัดๆอีกครั้งเรื่องทิศทาง กับแนวคิดหันไปหาหินดำแล้วจะเป็นจุดเดียวกัน เมื่อบิดให้เมกกะตั้งอยู่บนสุด แล้วให้คนยืนที่จุดต่างๆของโลก คนทางตะวันออกก็ต้องหันไปตะวันตกเพื่อ(หวังจะ)เจอเมกกะ คนทางตะวันตกก็ต้องหันไปทางตะวันออกเพื่อ (หลงผิด)เจอเมกกะ ดูซิ คนยืนตั้งฉากกับโลกตามแกนแรงดึงดูด คนที่อินเดีย ที่ไทย และที่ฟิลิปปินส์ล้วนหันไปตะวันตก ไม่มีใครเลยหันไปเจอเมกกะ มีแต่หันออกอวกาศ แล้วแต่ละคนก็มองกันไปคนละทิศ คนที่แอฟริกาก็เหมือนกัน ไปกันคนละทิศ ถ้าพิจารณาด้วยหลักการและใจที่เป็นกลาง ค่อยๆคิดค่อยๆนึก จะเห็นจริง จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 21:09:37 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ผมว่า ผมพิมพ์ง่ายๆ และขีดเส้นใต้แล้วนะครับ และที่คุณเอามา ก็บอกอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร คำตอบ : เป้าหมายของ 6 วันในโองการข้างต้นนั้นบ่งชี้ถึง 6 ช่วงระยะ เพราะในการเริ่มต้นของการสร้างยังไม่มีชั้นฟ้าและแผ่นดินเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะมีกลางวันและกลางคืนได้อย่างไรกัน ?  อัลกุรอานใช้คำว่า “เยาม์” หรือ “อัยยาม” (วันหรือวันทั้งหลาย)ไว้หลายครั้ง ซึ่งในหลาย ๆ กรณีก็ไม่ได้ให้ความหมายของวันตามที่ใช้กันทั่วไป เช่นประโยคที่กล่าวถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพว่า “เยามุลกิยามะฮ์” ซึ่งเป็นการบ่งชี้ให้เห็นว่าวันแห่งการฟื้นคืนชีพนั้นเป็นช่วงระยะเวลาที่ยาวนาน จึงใช้ประโยคที่ว่า “วันแห่งกิยามะฮ์” ดังนั้น ต้องมีกำกับครับว่า อัยยามหรือ เยามุลนั้นของอะไร ถ้า เยามุลกิยามะห์ ก็ 5000 ปี หรือ บางส่วน ก็ 1000 ปี กุรอ่านจะแจ้งไว้ ถ้าต้องการเจาะจง จำไว้นะครับ แล้วกรุณาดูด้วยนะครับ และใช้สมองคิดด้วยว่า โองการนี้ • Quran-22:47:  A day in the sight of the Lord is like a thousand years of your reckoning. • Quran-32:5:     To Him, on a Day, the space whereof will be a thousands years of your reckoning • Quran-70:4:     The angels and the spirit ascend unto him in a day the measure whereof is Fifty thousands years ดูตัวหนาครับ ดูหน่อยซิว่ามันบทไหน เรื่องเดียวกันมั๊ย เบิกเนตรดูหน่อยซิครับ ว่านี่ บทไหน Quran-41:9 แหม นอกจากจะ ไม่รู้ แล้วยังจะโชว์โง่อีกนะครับ ผมบอกไปแล้ว ทำไมไม่รู้จักอ่านให้ดี ว่า อัลกุรอานใช้คำว่า “เยาม์” หรือ “อัยยาม” (วันหรือวันทั้งหลาย)ไว้หลายครั้ง ซึ่งในหลาย ๆ กรณีก็ไม่ได้ให้ความหมายของวันตามที่ใช้กันทั่วไป หลายครั้งหลาย กรณี และไม่ได้ให้ความหมายวันที่ใช้กันทั่วไป และ คำที่เป็นพหูพจน์ คือ อัยยาม นั่นอาจหมายถึงไม่เพียงแต่ "วันหลายวัน" เท่านั้น แต่ยังหมายถึง "เวลานาน" ด้วย เป็นเวลาที่ไม่ได้กำหนดไว้(แต่ต้องนานเสมอ) มีความหมายว่า "ช่วงเวลาหนึ่ง" ซึ่งเป็นความหมายของคำนี้ อันพบได้ในที่ต่างๆในอัลกุรอาน อ่านซะนะครับ ความหมายนี้แปลว่าระยะเวลา และระยะเวลาในโองการนี้ ไม่ใช้ทั้งเวลาใน ซูเราะห์ 22 ที่หมายถึง พันปี เพราะคนละซูเราะห์ และไม่ได้หมายถึง 5000ปี ในซูเราะห์ที่ 70 เพราะแต่ละซูเราะห์กำหนด เจาะจงไว้แล้วว่าเวลาไหน เหตุการณ์ใด ในโองการนี้ ช่วงนี้ คือ ระยะเวลา ของ โองการที่ 41 ครับ และไม่ได้บอกว่า ระยะเวลาเท่าไหร่(แต่นานเสมอ) และไม่มีการกำหนดคำว่าระยะเวลาไว้ว่าเท่าไหร่ด้วยครับ เพราะงั้นอย่ามามั่วเอาเอง คุณอ่านไม่รู้เรื่อง ไม่ยอมศึกษา และยังจะกล้า มาบอกว่าผิดอีกหรือครับ? โง่แล้วชอบแสดงออกงั้นหรือ? ไม่เป็นไร โชว์ต่อไป ผมพร้อมจะ ชี้แจงเสมอ และกุรอ่านไม่เคยผิดพลาดครับ จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 21:20:17 ]

ความคิดเห็นที่ 75 He set on the (earth) Mountains ===> “และในแผ่นดิน” ก็ทรงสร้างภูเขา แปลแบบนี้เหรอ ฮ่าๆๆๆๆ  ประโยคนี้เป็นสำนวนที่ตรงไปตรงมา แปลได้ความว่า ทรงวางภูเขาลงบนโลกนั้น ดูกริยา set on นะครับ วางลง ตั้งขึ้น คำไหนก็ได้ เหมือนกับคำว่า he gives me a pressure เขาสร้างแรงกดดัน ให้ใคร ก็ให้ฉัน He told Jerry the story เขาเล่าเรื่องราว ให้ใคร ก็ให้ Jerry ดังนั้น เขาสร้างภูเขา ที่ไหน บนโลก ดู keyword คำว่า on และ earth ไม่มีคำไหนระบุว่า ในแผ่นดินเล้ยยยย ถ้าจะบอกว่ากระบวนการทั้งหมดคือสี่วัน ต้องระบุว่า It's Him who created the earth ,set on the mountain standing firm high above it, and bestowed blessing on the earth, and measured therein all things to give them nourishment in due proportion, in FOUR DAYS แบบนี้ดิ ถึงจะถูกต้องว่าทั้งหมดสี่ แต่ถ้าแยกประโยคแรกไปว่าสองวันแล้ว ไม่มีหรอก ที่จะมาระบุบทต่อมาว่า สร้างต่อนะ รวมๆยำๆกันเป็นสี่วัน ลองไปให้คนที่รู้ภาษาอังกฤษดีๆแปลดิ มีใครจะคิดแบบมุสลิมมะ ลองหาเจ้าของภาษาตีความก็ได้ว่าเขาจะเข้าใจอย่างไร แต่ถึงคุณจะแถว่าสี่วัน รวมชั้นฟ้าอีกสองวันเป็นหก วันก็ไม่เคลียร์อยู่ดี  หกวันพระเจ้า x 50000 ปีมนุษย์ เท่ากันสามแสนปีมนุษย์ อายุโลกมัน 4500 ล้านปีอ่ะ ยังห่างกันตั้ง 15000 เท่าแน่ะ เหอๆๆ ความจริงก็คือความจริง ไดโนเสาร์ตัวสุดท้ายอยู่บนโลกใบนี้เมื่อ 75 ล้านปีที่แล้ว คำนวณจากอายุคาร์บอน 14  ยังห่างไกลการสร้างฟ้าสร้างแผ่นดินของพระเจ้าอีกตั้ง 250 เท่า มนุษย์คนแรกเกิดเมื่อ 3 ล้านปีที่แล้ว ก็ยังเก่ากว่าฟ้าดินของพระเจ้า 10 เท่า เอาแล้วซิ จะเชื่อหลักฐานจากชั้นดินดี หรือจะเชื่อคัมภีร์โบราณดี จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 21:30:10 ]

ความคิดเห็นที่ 76 #73 ถ้าใช้แนวคิดของคุณ มันหมายถึงว่า ในขณะที่คุณอยู่กรุงเทพ แล้วคุณจะไปเชียงใหม่เนี่ย แล้วคุณหันหน้ารถไปทางทิศเหนือ มันก็ผิดแล้วล่ะครับ คุณไปไม่ได้แน่นอน อันนี้ผมหมายถึงคุณยังหยุดอยู่กับที่นะ ยังไม่ได้ไป แค่กำหนดทิศก่อน ถ้าไปแบบคุณ ยังไงก็เดินขึ้นฟ้าอยู่ดีถ้าไม่มีแรงโน้มถ่วงโลก จริงมั๊ยครับ แต่ในอิสลาม การกำหนดทิศกิบลัตนี้ หมายถึง การที่เรากำหนดว่า หากเราจะมุ่งหน้าไปกะบะฮฺ เราต้องไปทางนี้ ทิศนี้ แต่ว่าเราไม่ได้ไป เราแค่หันหน้าไปทางทิศนั้นก็พอ แม้กระทั่งในศาสนาพุทธก็มีนะครับ เรื่องการหันหน้าไปทางทิศที่องค์พระที่เค้านับถือตั้งอยู่ เค้าก็จะหันไหว้ไปทางนั้น จริงๆมันไม่ยากหรอกนะครับ ไม่น่าเชื่อว่าเด็กนอกอย่างคุณ จะ non sense ขนาดนี้ ผมรู้ว่าจริงๆแล้วคุณก็เข้าใจแหละ แค่กลัวหน้าแหกแค่นั้นเอง ถึงต้องแถอยู่แบบนี้ แถมากๆระวังหนังมันจะไม่เหลือหุ้มหน้านะครับ จากคุณ : Palmyra - [ 13 ส.ค. 51 21:34:20 ]

ความคิดเห็นที่ 77 เรามิได้ทำให้แผ่นดินเป็นพื้นราบดอกหรือ ? และมิได้ให้เทือกเขาเป็นหลักตรึงไว้ดอกหรือ  (พระคัมภีร์กุรอาน, 78:6-7 และพระองค์ทรงให้มีเทือกเขามั่นคงในแผ่นดิน เพื่อมิให้มันสั่นสะเทือนแก่พวกเจ้า...  (พระคัมภีร์กุรอาน, 16:15) ผมบอกแล้วไงครับว่า คำว่าหมุด หรือ หัวหมุด หรือกสลัก นั้นน่ะ แสดงให้เห้นว่าภูเขานั้นมีราก ไม่ใช่ตั้งไว้เฉยๆ อ่อแล้วโองการด้านบนนั้นน่ะ กุรอ่านบอกว่า ให้เทือกเขาเป็นหลักตรึง (มีลักษณะนั้น) อีกที่ก็ให้ทีเทือกเขา พระเจ้าให้มีภูเขาครับ แต่ไม่ได้บอกว่ามีอย่างไร โยนตูมลงไป หรือให่มีขึ้นมาแบบไหน แต่ที่แน่ๆ ลักษณะที่ส่วนหนึ่งมุด ลงไป และส่วนหนึ่ง นูนขึ้นมานั้น มันแสดงให้เห้นว่าภูเขาไม่ได้ตั้ง กันบนพื้นนะครับ แต่มันมีรากลึกไป เหมือนหมุดปักครับ จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 21:35:36 ]

ความคิดเห็นที่ 78 คุณอย่าแถ หลักการมองไปเมกกะคืออะไร เพื่อทุกคนจะได้หันไปจุดเคารพพระเจ้าจุดเดียวกัน keyword คือคำว่า จุดเดียวกัน ผมก็ชี้ให้เห็นไงว่าจุดเดียวกันมันไม่ใช่ มันคนละจุด แนวการมอง มีแต่เส้นตรง ไม่มีเส้นโค้งครับ แสงเดินทางเป็นเส้นตรงนะจ๊ะ อย่าลืม ดู keyword ว่าจุดเดียวกัน จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 21:40:40 ]

ความคิดเห็นที่ 79 เรามิได้ทำให้แผ่นดินเป็นพื้นราบดอกหรือ ? และมิได้ให้เทือกเขาเป็นหลักตรึงไว้ดอกหรือ  (พระคัมภีร์กุรอาน, 78:6-7 ===> หน้าที่ของภูเขาไม่ใช่หลักตรึง หลักตรึงคือ สิ่งที่ยึดอีกสิ่งให้นิ่ง ภูเขาไม่ได้มีหน้าที่ยึดแผ่นโลกให้นิ่ง แผ่นโลกต่างหากที่เคลื่อนตัวมาชนกัน ดันแล้วยกตัวเป็นภูเขา   ------------------------- และพระองค์ทรงให้มีเทือกเขามั่นคงในแผ่นดิน เพื่อมิให้มันสั่นสะเทือนแก่พวกเจ้า...  (พระคัมภีร์กุรอาน, 16:15) ====> เช่นกัน หน้าที่ภูเขามิใช่เพื่อกันแผ่นดินไม่ให้สั่น เพราะในความเป็นจริง การสั่นของเปลือกโลกเกิดจากแรงดันจากแมกม่าภายใน และความจริงก็คือ เมื่อมีแรงมาดันแผ่นเปลือกโลกจนเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาก็หาได้ช่วยเพื่อมิให้มันสั่นสะเทือนแก่พวกเจ้า ฮ่าๆๆๆ สับสนกันไปใหญ่แล้วว จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 21:44:19 ]

ความคิดเห็นที่ 80 แล้วไอ้รูปข้างบนอ่ะ ที่เป็นตะปุ่มตะป่ำ ขออ้างอิงภาษาฝรั่งหน่อย ไม่ใช่คนไทยทำเอง ฮ่าๆๆๆ ตั้งแต่เรียนมาไม่เคยพบเคยเห็นภาพแผ่นโลกเป็นแบบนั้นอ่ะ ฮ่าๆๆๆ เกิดมาก็เห็นจากที่มุสลิมเอามาแปะให้ดูนี่หล่ะ จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 21:46:08 ]

ความคิดเห็นที่ 81 เอางี้ ไม่ต้อง บอกคนรู้ภาษาอังกฤษครับ เอาคนที่ใช้ภาษาอังกฤษ เป็นหลักเลยดีกว่า In the above Holy Verses (7:54, 10:3, 11:7, 32:4, and 25:59) we see that Allah Almighty clearly states that He created the universe in six days.  Holy Verses (41:9-12) describe the primal creation of our physical earth and the physical heavens around us.  If we count the two days mentioned in (41:9), the four days, mentioned in (41:10), and the two days mentioned in (41:12), we get a total of eight days.  However, the four days in (41:10) include the two days in (41:9), because the processes described in (41:9-10) form one series.  In the one case it is the creation of the formless matter of the earth; and in the other case it is the gradual evolution of the form of the earth, its mountains and seas, and its animal and vegetable life, with the "nourishment in due proportion, (41:10)" proper to each. จาก http://www.answering-christianity.com/quran/my_04.htm เราจะเห้นชัดๆ เลยครับว่า โองการทั้งสองโองการนี้ต่อกันชัดเจน ครับ และที่สำคัญเป้นการบอกด้วยว่า กระบวนทั้งสองอย่าง สร้างโลกและ การมีภูเขาและ มีสิ่งต่างๆ นั้นคาบเกี่ยวกันด้วย ดังนั้น การสร้างโลก นั้น 2 วัน และการใส่สิ่งต่างๆ นั้น รวมเป็น 4 วันครับ เหมือนที่ผมบอก สร้างบ้านเสร็จ ใน 5 เดือน ตกแต่งเสร็จ ใน 1 ปี ไม่มีใครเขาบอกว่า รวมเป้น 1 ปี 5 เดือนหรอกครับ เพราะสองอย่างนี้คาบเกียวกัน เพราะฉะนั้นไม่มีการขัดแย้งกันแน่นอนครับ อย่ามามั่ว ผมไม่ได้ เอาแค่เฉพาะภาษาไทย แต่เอาคนที่ใช้ภาษาอังกฤษ มาอ้างกันให้เห็นชัดๆ เลยครับ เพราะคนพวกนี้ แปลกภาษาอังกฤษจากอาหรับ ชัดเจน ซึ่งเราจะพบว่า คนที่ใช้ภาษาอาหรับ มาเป็นพันปี เขาไม่งง เพราะว่า รู้ความหมายและการใช้ พอแปลเป็นภาษาอังกฤษ คนรู้ภาษาอังกฤษ งูๆ ปลาๆ ก็เริ่มสงสัยโง่ๆ ว่าแปดวันหรือเปล่า แต่คนที่รู้ทั้งสองภาษา ไม่มีใครเขางงครับ เพราะฉะนั้น 6 วันอยู่แล้วครับตามที่บอก ส่วนระยะเวลานั้นน่ะ อัลกุรอานใช้คำว่า “เยาม์” หรือ “อัยยาม” (วันหรือวันทั้งหลาย)ไว้หลายครั้ง ซึ่งในหลาย ๆ กรณีก็ไม่ได้ให้ความหมายของวันตามที่ใช้กันทั่วไป หลายครั้งหลาย กรณี และไม่ได้ให้ความหมายวันที่ใช้กันทั่วไป และ คำที่เป็นพหูพจน์ คือ อัยยาม นั่นอาจหมายถึงไม่เพียงแต่ "วันหลายวัน" เท่านั้น แต่ยังหมายถึง "เวลานาน" ด้วย เป็นเวลาที่ไม่ได้กำหนดไว้(แต่ต้องนานเสมอ) มีความหมายว่า "ช่วงเวลาหนึ่ง" ซึ่งเป็นความหมายของคำนี้ อันพบได้ในที่ต่างๆในอัลกุรอาน อ่านซะนะครับ ความหมายนี้แปลว่าระยะเวลา และระยะเวลาในโองการนี้ ไม่ใช้ทั้งเวลาใน ซูเราะห์ 22 ที่หมายถึง พันปี เพราะคนละซูเราะห์ และไม่ได้หมายถึง 5000ปี ในซูเราะห์ที่ 70 เพราะแต่ละซูเราะห์กำหนด เจาะจงไว้แล้วว่าเวลาไหน เหตุการณ์ใด ในโองการนี้ ช่วงนี้ คือ ระยะเวลา ของ โองการที่ 41 ครับ และไม่ได้บอกว่า ระยะเวลาเท่าไหร่(แต่นานเสมอ) และไม่มีการกำหนดคำว่าระยะเวลาไว้ว่าเท่าไหร่ด้วยครับ คุณอ่านไม่รู้เรื่อง ไม่ยอมศึกษา และยังจะกล้า มาบอกว่าผิดอีก ไม่เป็นไร ผมบอกแล้ว อยากโชว์โง่ต่อก็เชิญ ผมยินดี ช่วยประจาน จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 21:48:33 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ดูซะ แผ่นเปลือกโลก จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 21:52:02 ]

ความคิดเห็นที่ 83 เรามิได้ทำให้แผ่นดินเป็นพื้นราบดอกหรือ ? และมิได้ให้เทือกเขาเป็นหลักตรึงไว้ดอกหรือ  (พระคัมภีร์กุรอาน, 78:6-7 ===> หน้าที่ของภูเขาไม่ใช่หลักตรึง หลักตรึงคือ สิ่งที่ยึดอีกสิ่งให้นิ่ง ภูเขาไม่ได้มีหน้าที่ยึดแผ่นโลกให้นิ่ง แผ่นโลกต่างหากที่เคลื่อนตัวมาชนกัน ดันแล้วยกตัวเป็นภูเขา   มันเป็นลักษณะของหมุดครับ ที่มีรากอยู่ข้างใต้ครับ จะให้ผมบอกอีกครั้ง ส่วนเรื่องสั่นสะเทือนนั้นน่ะ อ้างอิงจากนี่ครับ เชิงอรรถ: (1)Earth ของ Press และ Siever, หน้า 435 และดูที่  Earth Science  ของ Tarbuck และLutgens, หน้า 157. (2)The Geological Concept of Mountains in the Quran ของ El-Naggar หน้า 5. (3)The Geological Concept of Mountains in the Quran หน้า 5. (4)The Geological Concept of Mountains in the Quran หน้า 44-45. (5)The Geological Concept of Mountains in the Quran หน้า 5. ผมไม่ได้อ้างเอง เปิดโหลด http://www.islamhouse.com/p/51861 อ่านได้เลย จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 21:53:03 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ดูซะ แผ่นเปลือกโลก จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 21:53:04 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ดูซะ แผ่นเปลือกโลกกกกก จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 21:54:05 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ของคุณเองภูเขาไม่ได้ตั้งแบบไม่มีราก ดูซะ จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 21:55:09 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ผิดอัน จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 21:55:57 ]

ความคิดเห็นที่ 88 คุณนี่โง่ของแท้เลยแหะ เอางี้นะ ให้คุณกำหนดจุดขึ้นมาหนึ่งจุด แล้วให้คนนั่งล้อมรอบจุดนั้น ในหนึ่งรอบนับเป็นหนึ่งแถว แล้วถ้าผมมานั่งรอบจุดนั้นเป็นแถวที่ 780,000 มันหมายความว่า ผมนั่งอยู่บนอากาศหรืองัยครับ อ๊ะๆๆ นั่นมันแนวคิดควายๆของเด็กนอกอย่างคุณนะครับ เพราะผมน่ะ นั่งบนฟ้าไม่ได้หรอก เพราะโลกมันมีแรงโน้มถ่วง นะครับ แหม ไม่ทราบว่าคุณพอจะเข้าใจหรือยังครับ หรือต้องให้ผมไปหัดเรียนภาษาควายมาก่อน ถึงจะอธิบายให้คุณเข้าใจได้ อันนี้ผมอธิบายให้เด็ก 5 ขวบฟังมานะครับ แล้วเค้าเข้าใจแบบนี้ ถ้าคุณต้องการละเอียดกว่านี้ เชิญทัศนาได้ที่กระทู้นี้เลยครับhttp://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2007/09/Y5819867/Y5819867.html จากคุณ : Palmyra - [ 13 ส.ค. 51 22:04:19 ]

ความคิดเห็นที่ 89 เอาเป็นว่า สร้างหกช่วงว่างั้นเถอะ แล้วถามใหม่ ช่วงนี่เท่ากันมะ อย่างช่วงสร้างโลกจนมีสัตว์มีต้นไม้ นี่สี่ช่วงใช่ป่ะ ยาวนานเป็นสอนเท่าของสร้างฟ้าสองช่วงหลังมะ แล้วตกลง ฟ้านี่มาหลังโลกเหรอ???? ฮ่าๆๆๆ   แล้วขัดกับบทหลังๆนี้มะ บทเหล่านี้ ฟ้ามาก่อน ดินมาหลังแฮะ 79/27-30     Are you the harder to create, or is the heaven that He built ?  He raised the height thereof and ordered it; and He has made dark the night thereof, and He brought forth the morning thereof. And after that, He spread  the earth จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 22:05:20 ]

ความคิดเห็นที่ 90 เอาล่ะเรื่อง ทรงไข่อ่านนี่ครับ Transliteration: [079:030]  Waal-arda baAAda thalika dahaha [079:031]  Akhraja minha maaha wamarAAaha [079:032]  Waaljibala arsaha [079:033]  MataAAan lakum wali-anAAamikum Khalifa: (why is he here?) [079:030]  He made the earth egg-shaped. [079:031]  From it, He produced its own water and pasture. [079:032]  He established the mountains. [079:033]  All this to provide life support for you and your animals. ไม่ได้แปลว่า ไข่นกกระจอกเทศอย่างเดียว Linguistic evidence to the "dahu" (egg-shapping) of the Earth The "dahu" in the Arabic Language means to extend and even out.  It is said: "daha" the thing; "yad'hu dahwan".  These terms can mean he either evened out and extended it or he threw it and rolled it.  It is also said: "the rain daha the stones from the face of the earth," which means it rolled it and washed it away.  It is also said: "The horse passed by yad'hu dahwan," which means he is beating his foot on the ground and yad'hu its sand.  Also, the ostrich's mad'hi means its laying of its eggs, and "ad'hiha" is the nest where its chicks are born. End of translation. So as we clearly see, all of the above Arabic words that are derived from "daha" mean: 1-  To extend. 2-  To roll. 3-  To even out. 4-  Causing to become egg-shaped or creating, making or producing eggs (see the ostrich's mad'hi example above). All of these meanings perfectly apply to our planet Earth and the stages that it went through! จากนี่ ครับ http://www.answering-christianity.com/earth_in_islam.htm จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 22:08:51 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ถ้าคุณนั่งแถวที่เจ็ดแสนแปด แน่นอน คุณก็ยังนั่งอยู่บนโลกตามแนวดึงดูด แต่คุณจะมองไม่เห็นหินดำเหมือนคนแถวที่สิบหรือแถวที่ร้อยเห็น เพราะมุมโค้งของโลกได้บังสายตาคุณไปแล้ว ถึงคุณจะนั่งหันหน้าไปหินดำ แต่ตาคุณมองไปนอกอวกาศ ไม่ใช่จุดเดียวกับคนแถวที่หนึ่งถึงร้อย พอเข้าใจมะ แล้วยิ่งถ้าวงแถวที่ล้าน แนวสายตาจะบานออกเป็นกรวยไปเรื่อยๆ จนถึงขั้วโลกใต้ คุณมองไปดาวพลูโตว่ะ ไม่ใช่หินดำ กลับมาที่หลักการ หลักการมองคือ เพื่อมองเคารพกันที่จุดๆเดียว ถามว่า คนแถวที่หนึ่ง กับแถวที่เจ็ดแสนแปด จุดเดียวกันมะ ในเมืองแนวสายตาเขาพ้นหินดำไปแล้ว ไปจุดไหนไปแล้ว จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 22:09:25 ]

ความคิดเห็นที่ 92 นี่ไข่ จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 22:10:40 ]

ความคิดเห็นที่ 93 จะมีการเปรียบเทียบอะไรรัดกุม และชัดเจนเท่ากุรอ่าน เรื่องโลกกลมในคัมภีร์อื่น หาไปเถอะไม่มีหรอกครับ จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 22:11:22 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ตามหลักการอิสลาม มีตรงไหนครับ ที่บอกว่า จะต้องมองเห็นหินดำ ??? ผมสามารถทำให้คุณหน้าแหก ได้อีกนะครับ แต่คุณต้องตอบตรงนี้มาก่อน จากคุณ : Palmyra - [ 13 ส.ค. 51 22:15:34 ]

ความคิดเห็นที่ 95 แนวกว้างแนวยาวต่างกัน 42 กิโล คิดเป็นอัตราส่วน 0.00329 หรือ 0.3 เปอร์เซ็นต์ คือถ้าด้านหนึ่งยาว 1 เซ็น อีกด้านก็ยาว 1 เซ็นกับ 0.3 มิลลิเมตร แปลว่าไร แปลว่าก็เกือบจะกลมนั่นหล่ะ มีไข่อะไรบนโลกนี้สัดส่วนนี้มะ??? จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 22:16:00 ]

ความคิดเห็นที่ 96 นี่ไข่ จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 22:20:05 ]

ความคิดเห็นที่ 97 นี่ก็ไข่ จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 22:20:46 ]

ความคิดเห็นที่ 98 หรือนี่ไม่ไข่ จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 22:21:19 ]

ความคิดเห็นที่ 99 กิบลัต ชุมทิศ จุดหมายในการผินหน้าไป ของมุสลิมยามนมาซ ===> ก็ถ้าโลกกลม กิบลัตจะเป็นจุดหมายได้อย่างไร เพราะจุดหมายแปลว่า จุดที่ทุกคนมุ่งไปที่เดียวกัน แต่ในเมื่อแนวการมองมันไปคนละทิศละทาง จะมาแถว่ามุ่งไปที่เดียวกันได้อย่างไร จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 22:22:47 ]

ความคิดเห็นที่ 100 วันนี้พอแค่นี้ ไปนอนละ ฮ่าๆๆๆๆ ไว้มาต่อพรุ่งนี้ จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 13 ส.ค. 51 22:24:01 ]

ความคิดเห็นที่ 101 เรื่องการแผ่ หรือคลี่แผ่ เราคลี่พรม เราก็ คลี่บนโลกกลมๆ นี่แหละครับ หรือผมจะ แผ่ อะไรบนโลกบอล ผมก็ใช้คำว่าแผ่ ออกได้เช่นกัน แต่ กุรอ่านบอกแล้วว่าโลก ไม่แบน แต่เป็นรูปไข่ดังนั้น ไม่ว่ายังไง ก็ไม่แบนอยู่ดีครับ หุหุ แถยังไง กุรอ่าน ก็ไม่เคยบอกว่าโลกแบน จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 22:28:08 ]

ความคิดเห็นที่ 102 ส่วนเรื่องมุมของโลกเนี่ย ขอกุรอ่านบทนั้นหน่อยครับ อยากรู้ จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 22:30:56 ]

ความคิดเห็นที่ 103 ทำไมคุณไม่ตอบคำถามผม ตรงไหนของหลักการอิสลาม ที่จะต้องมองเห็นหินดำ ???   อารายทนหน้าแหกไม่ได้ ต้องหนีแล้วหรอ จากคุณ : Palmyra - [ 13 ส.ค. 51 22:38:42 ]

ความคิดเห็นที่ 104 การกำหนดทิศกิบลัตเป็นการบอกว่า ถ้าคุณเดินตามทิศกิบลัตนี้มา คุณจะถึงตำแหน่งที่พระองค์กำหนดไว้ (บัยตุลลอฮฺ) เพราะแท้จริงพระองค์ทรงรู้ดีว่า ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเดินทางมายังตำแหน่งนี้ เพื่อละหมาดได้ทุกเวลา หวังว่าคงจะเข้าใจนะครับ ผมเองก็ชักเบื่อแล้วเหมือนกัน เพราะสติปัญญาของคนเรามันไม่เท่ากันซะด้วยสิ เด็กประถมเข้าใจ แต่เด็กจบนอกไม่เข้าใจ ผมก็จนปัญญาที่จะสีซอซะแล้วล่ะ จากคุณ : Palmyra - [ 13 ส.ค. 51 22:59:21 ]

ความคิดเห็นที่ 105 จบอเมริกามาใช้มั๊ยครับ งั้นไปอ่านนี่เลยครับ ที่ถามว่าสร้างสิ่งใดก่อน http://www.answering-christianity.com/quran/frank_earth_heaven.htm นี่เป็นการอธิบายว่า สร้างสิ่งใดก่อน โดยคร่าวๆ นะครับ กระบวนการเหล่านี้ ไม่ได้เรียงลำดับโดดๆ ครับ บางเรื่องกระทำ คาบเกี่ยวกัน จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 23:21:57 ]

ความคิดเห็นที่ 106 ตอนละหมาด ไม่มีใครเค้าใช้มุมมอง มองไปทางกิบลัตหรอก เค้าใช้แค่ทิศทางที่หินดำอยู่ อยู่ทิศไหนล่ะ ก็ทิศตะวันตก ถึงแม้มันจะเฉียง มันจะเอียง มันจะโค้ง มันจะคลาดเคลื่อน หรือมันจะไม่ตรงเป๊ะๆก็ตาม สิ่งที่จะใช้วัดนั่นคือเจตนาที่จะละหมาดไปทางทิศนั้นต่างหาก หาใช่ไม้ บรรทัดหรือเครื่องมือใดๆ การละหมาดนั้นเจตนาที่บริสุทธิ์เป็นสิ่งสำคัญ ส่วนจะหันไปทางทิศกิบลัตแล้วไม่ตรงกับหินดำ ก็ไม่มีความผิดใดๆ ***เด็กนอกจะจับผิดอัลกุรอานเหรอ ไม่มีทางเจอหรอก ผมไม่ได้ท้าน่ะ กุรอานต่างหากที่ท้าทายมนุษยชาติมานานกว่า 1,400 กว่าปี ยังไม่มีใครเจอ*** " และหากกุรอานมาจากผู้ที่มิใช่อัลลอฮฺแล้ว พวกเขาจะพบความขัดแย้งมากมายในนั้นอย่างแน่นอน" (ซูเราะ อัน-นิซาอฺ, 82) จากคุณ : 1001 (พันหนึ่งทิวาราตรี) - [ 13 ส.ค. 51 23:28:44 ]

ความคิดเห็นที่ 107 และนี่เป็น เรื่องที่เกี่ยวกับพระอาทิตย์ขึ้นและตกนะครับ Aayn, VS hufra are clear proofs in Noble Verse 18:86: Noble Verse 18:86: (a)-  Proofs that "aayn" means spring or lake or a body of water: "And remember Moses prayed for water for his people; We said: "Strike the rock with thy staff." Then gushed forth therefrom twelve springs (fainfajarat minhu ithnata AAashrata AAaynan). Each group knew its own place for water. So eat and drink of the sustenance provided by God, and do no evil nor mischief on the (face of the) earth.  (The Noble Quran, 20:60)" "We divided them into twelve tribes or nations. We directed Moses by inspiration, when his (thirsty) people asked him for water: "Strike the rock with thy staff": out of it there gushed forth twelve springs (ithnata AAashrata AAaynan): Each group knew its own place for water. We gave them the shade of clouds, and sent down to them manna and quails, (saying): "Eat of the good things We have provided for you": (but they rebelled); to Us they did no harm, but they harmed their own souls.   (The Noble Quran, 7:160)" "And to Solomon (We made) the Wind (obedient): Its early morning (stride) was a month's (journey), and its evening (stride) was a month's (journey); and We made a Font of molten brass to flow for him (waasalna lahu AAayna alqitri); and there were Jinns that worked in front of him, by the leave of his Lord, and if any of them turned aside from our command, We made him taste of the Penalty of the Blazing Fire.   (The Noble Quran, 34:12)" "In them (each) will be two Springs flowing (free) (AAaynani tajriyani);  (The Noble Quran, 55:50)" "In them (each) will be two Springs (AAaynani) pouring forth water in continuous abundance:  (The Noble Quran, 55:66)" "A fountain (AAaynan) there, called Salsabil.  (The Noble Quran, 76:18)" "A spring (AAaynan), from (the waters) whereof drink those Nearest to God.  (The Noble Quran, 83:28)" "The while they are given, to drink, of a boiling hot spring (AAaynin aniyatin),  (The Noble Quran, 88:5)" "Therein will be a bubbling spring (AAaynun jariyatun):   (The Noble Quran, 88:12)" (b)-  Proofs that "aayn" DOES NOT mean hole or open space: "And hold fast, all together, by the rope which God (stretches out for you), and be not divided among yourselves; and remember with gratitude God's favour on you; for ye were enemies and He joined your hearts in love, so that by His Grace, ye became brethren; and ye were on the brink of the pit (hufratin) of Fire, and He saved you from it. Thus doth God make His Signs clear to you: That ye may be guided.  (The Noble Quran, 3:103)" The Arabic word "hufra" literally means a hole or a pit.  Allah Almighty never used this word in the rising and setting of the sun. (c)-  "taghrubu" means to go away: "Until, when he reached the setting of the sun (ghuroob al-shams), he found it set (taghrubu) in a spring of murky water: Near it he found a People: We said: "O Zul-qarnain! (thou hast authority,) either to punish them, or to treat them with kindness."  (The Noble Quran, 18:86)" "taghrubu" in Arabic is derived from the root word "ghuroob", which has one literal meaning which is "to go away" or "to leave" or "to disappear".  "gharb" means "west". "taghrubu" does literally mean to "going away" or "disappearing", and doesn't necessarily have to be in the direction of the west. Get out of my face! "ughrub aan wajhi" literally means "get out of my face" or "go away from me now!".   So taking this literal meaning of the words in Noble Verse 18:86, the Noble Verse would then read as follows: "Until, when he reached sunset, he found it disappearing in a spring (aayn) of murky (or dark) water: Near it he found a People: We said: "O Zul-qarnain! (thou hast authority,) either to punish them, or to treat them with kindness."  (The Noble Quran, 18:86)" By the way, "spring" (aayn), can also mean a body of water and not necessarily a pond or a fount.  When Allah Almighty refers to the SPRINGS in Heaven, He is probably referring to large bodies of blissful water! Again, as I mentioned above in the fifth point: 5-  If the verses were to be taken literally, then the sun would have to set in the west, and would have to then rise back from the west, and then set in the east and then rise back from the east and so on. Please visit: Ample figurative and poetical Noble Verses in the Noble Quran. Did the sun ever rise from the west? Did the sun ever bounce back and forth between the east and the west in its rising and setting? (d)-  The Black Sea and the dark waters near it: It is no coincidence that the black sea was named as such!  Yet, Allah Almighty CLEARLY referred to the waters near its neighborhood in Noble Verse 18:86! Here is why the "black sea" was named as such: "Another possible explanation comes from the color of the Black Sea's deep waters. Being further north than the Mediterranean Sea and much less saline, the microalgae concentration is much more rich, hence the dark color." (Source) The neighboring waters of the black sea do also contain less saline and high concentration of microalgae: "We now come to the Iron Gate which corresponds exactly to the Quranic description, and has the best claim to be connected with Alexander's story.  It is near another Derbend in Central Asia, Hissar District, about 150 miles southeast of Bukhara.  A very narrow defile, with overhanging rocks, occurs on the main route between Turkestan and India:  latitude 38 degrees N; longitude 67 degrees E.  It is now called in Turkish-Buzghol Khana (Goat- house), but was formerly known as the Iron Gate (Arabic, Bab al Hadid; Persian, Dar-i-ahani; Chinese Tie-men-kuan).  There is no iron gate there now, but there was one in the seventh century, when the Chinese traveler Hiouen Tsiang saw it on his journey to India.   He saw two folding gates cased with iron hung with bells.   Nearby is a lake named Iskandar Kul, connecting the locality with Alexander the Great.   .................. The Mediterranean interpretation may pass if we had not a closer explanation.   Alexander's first exploits were when he was a mere boy, in the reign of his father Phillip.  The region of Illyricum was due west of Macedonia, and Macedonia's first expansion was in that direction.  The town of Lychnis was annexed to Macedonia and thus the western frontier of Macedonia was secured.  The northern frontier towards the Danube had already been secured, and the lesson he subsequently gave no Thebes secured him against attack from the Greek States to the south, and prepared the way for his great march east against the Persian Empire. To the west of the town of Lychnis is a lake170 square miles in area, fed by underground springs that issue through limestone rocks and give out murky water.   Both town and lake are now called Ochrida, about 50 miles west of Monastir.   The water is so dark that the river which forms the outlet of the lake to the north is called the Black Drin.  Looking at the sunset from the town, the observer would see the sun set a pool of murky water (18:86).  It was a question before the boy Alexander -- the dreamy, impulsive, fearless rider -- whether he would put the barbarous Illyricans to the sword or show them mercy.  He showed true discrimination and statesmanship.  He punished the guilty but showed kindness to the innocent, and thus consolidated his power in the west.  This I construe to be the meaning of (Noble Verses) 18:86-87; otherwise these verses do not seem to be perfectly clear."  (Source) So clearly, Allah Almighty's description of the dark waters of the lands near the black sea is accurate, and the claim of the Iron Gates had been historically proven to be True! เอาล่ะ จบอเมริกาก็อ่านซะนะครับ คร่าวๆ คือ โองการนี้ ไม่ได้แปลว่า ตกลงไป จุ๋มไป นะครับ แต่แปลว่าหายไป ซึ่งนั่นเป็นสถานที่ในประวัติศาสตร์ครับ เชิญอ่าน จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 23:36:03 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ส่วนเรื่อง โลกไม่ใช่ทรงแบนราบนั้น มุสลิมรู้ตั้งนานแล้วล่ะครับ กุรอ่านบอก และมุสลิมก็คำนวนหา ทิศ ทางของ เมืองมักกะห์ หรือทิศกิบลัตได้ บนพื้นฐาน หลักการว่าโลกมีสันฐานรูปไข่นี่แหละครับ และนี่เป็นการสรุปจากมุสลิม ท่านนึงใช้ login DJC ที่ พักผ่อนการตอบกระทู้ไปก่อน แต่สาระจาก มุสลิมท่านนี้ยังอยู่นะครับ โลกกลมกับอิสลาม Al-Biruni Abū Rayhān al-Bīrūnī (973-1048) solved a complex geodesic equation in order to accurately compute the Earth's circumference Islamic scholars calculate the distance and direction from any given point on the earth to Mecca. This determined the Qibla, สมการหาระยะทางบนพื้นผิวทรงกลม กับอิสลาม Al-Jayyani (989-1079), an Arabic mathematician in Islamic Spain, wrote what some consider the first treatise on spherical trigonometry http://en.wikipedia.org/wiki/Spherical_trigonometry เพราะการหาทิศกิตลับโดยการวัดระยะทางบนผิวโลก มันทำให้รู้ว่าโลกเรากลม http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2007/09/Y5819867/Y5819867.html ศาสตร์แห่งวิทยาศาสตร์ ถูกนำมารับใช้ศาสนาให้เกิดขึ้นจริงเป็นรูปธรรมต่อยอดได้ นี่คือประโยชน์สูงสุด จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 23:42:47 ]

ความคิดเห็นที่ 109 คุณ ธรรมยุทธ...ครับ... ที่มุสลิมผินหน้ากำหนดทิศไปยังกิบลัต...เมื่อถึงเวลาทำการละหมาด...เราไม่ได้ผินหน้าไปทางกิบลัต...เพื่อมองมักกะห์หรอกนะครับ...แต่...เป็นการกำหนดจิต...ในเชิงของสัญลักษณ์...เพื่อแสดงถึงความเป็นเอกภาพ...มีภราดรภาพเดียวกัน...มีจุดร่วมเดียวกันในการปฏิบัติศาสนกิจ... หรือหากจะมองเรื่องนี้ตามตรรกะของคุณก็ได้ครับ... แต่...แนวคิดของมุสลิมอาจจะล้ำหน้ากว่าแนวคิดของคุณอยู่นะครับ...นั่นก็คือ... มันเหมือนกับการที่เราล็อคเป้าหมายไว้แล้วว่าจุดหมายของเราอยู่ที่ไหน...ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม...จิตเราก็สามารถหาจุดหมายได้โดยอัตโนมัติครับ...เราสามารถละหมาดได้...ขณะที่เราอยู่บนยานพาหนะ...ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม...ม้า...อูฐ...เรือ...รถ...รถไฟ...เครื่องบิน...เราก็สามารถละหมาดได้ทั้งนั้น...เรื่องอย่างนี้อิสลามมีทางออกอยู่แล้วครับ... เพราะ...อิสลามได้สอนเราว่า... การงานทั้งหลาย ขึ้นอยู่กับเจตนา...ครับ... อิสลามไม่ได้เราให้ไปยึดติดกับวัตถุ...อย่างที่คุณ Carroth บอกไว้นั่นแหละครับว่า...ถึงแม้ว่า...อัล กะอฺบะห์จะถูกทำลาย...เราก็ยังคงผินหน้าไปยังสถานที่นั้นเมื่อทำการละหมาดอยู่ดีครับ... ยิ่งถ้าอ่านเรื่องอิสลามกับวิทยาศาสตร์ กิบลัตของคุณดาบฯ  ที่คุณPalmyraนำมานั้นจะเข้าใจได้อย่างชัดเจน ดังนั้น...มันจะอะไรกันนักหนา...ครับ...หากคุณเข้าใจหลักการทางด้านจิตวิทยาสังคม...จิตวิทยามวลชน...และที่สำคัญก็คือ...เข้าใจตัวเอง...ก็จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยากครับ... จากคุณ : Crescent ) - [ 13 ส.ค. 51 23:44:30 ]

ความคิดเห็นที่ 110 มุสลิม ไม่ได้กราบไหว้ หินดำ ครับ มุสลิมไม่ได้กราบไหว้สิ่งใดนอกจากกอัลลอฮ์ ดังนั้นตัววิหาร หรือหินดำนั้น เป็นทิศที่หันไป ย้ำนะครับทิศที่หันไป ดันนั้น จะละหมาดแล้ว เลยไปในอวกาศ หรือ ตัดทะลุ แผ่นเปลือกโลก นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะ ที่ถูกกำหนดคือทิศ ที่ไปยังที่แห่งนั้น ย้ำอีกที ว่าทิศที่ไปยังที่แห่งนั้น ซึ่งพระเจ้ากำหนดไว้ เพราะความเป็นระเบียบและเอกภาพ ไม่ต้องเถียงกันว่า ทิศไหนใครชอบ ทิศไหน เหมาะ ไม่ต้องมาปลุกเสกรูปปั้น อันเป็น สิ่งที่นำมาซึ่ง ความงมงายสารพัด จนสุดท้ายก็เอารูปที่บูชาเพื่อความดี มาเป็นของวิเศษ เป็นร้อยเป็นพันปี ที่มุสลิมรู้ว่าโลกไม่ได้แบนราบ เหมือนศาสนาอื่นบอก มุสลิมก็ไม่ได้ จัดทำมัสยิดเป็น สโลป เพื่อละหมาดทะลุ แผ่นเปลือกโลก ให้ตรงกับ วิหารกะบะ และหินดำ แต่มุสลิมก็ยังหันหน้าไปทางทิศที่ถูกกำหนดไว้นั่นเอง ทิศที่เมื่อเดินทางไปทางนั้นแล้วถึงจุดหมาย นี่แหละครับ โลกกลมก็เป้นตัวอย่างอย่างหนึ่งว่ามุสลิมหันหน้าไปยังมักกะห์ ตามคำสั่งให้หันไปทางทิศนั้นเวลาละหมาด ไม่ใช่หันหน้าไปทางนั้นเพื่อกราบเคารพสักการะตัววิหาร หรือเมืองนั้นแต่อย่างใด ถึงจะเอาวิหารออก เอาหินดำ ออก มุสลิมก็จะหันหน้าไปทางนั้นอยู่ดี พี่น้องมุสลิมถาม ให้คุณได้สำนึกเรื่องทิศ โดยถามว่า มีตรงไหนบอกว่าละหมาดต้องเห็นหินดำ แต่ก็ยัง ไม่สำนึกพยายามแถต่อไปอีก งั้นก็ประจานตัวเองต่อไปแล้วกันนะครับ จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 23:51:57 ]

ความคิดเห็นที่ 111 อีกที ไปอ่านซะ โลกกลมกับอิสลาม Al-Biruni Abu Rayhan al-Biruni (973-1048) solved a complex geodesic equation in order to accurately compute the Earth's circumference Islamic scholars calculate the distance and direction from any given point on the earth to Mecca. This determined the Qibla, สมการหาระยะทางบนพื้นผิวทรงกลม กับอิสลาม Al-Jayyani (989-1079), an Arabic mathematician in Islamic Spain, wrote what some consider the first treatise on spherical trigonometry http://en.wikipedia.org/wiki/Spherical_trigonometry เพราะการหาทิศกิตลับโดยการวัดระยะทางบนผิวโลก มันทำให้รู้ว่าโลกเรากลม http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2007/09/Y5819867/Y5819867.html ศาสตร์แห่งวิทยาศาสตร์ ถูกนำมารับใช้ศาสนาให้เกิดขึ้นจริงเป็นรูปธรรมต่อยอดได้ นี่คือประโยชน์สูงสุด จากคุณ : Carroth - [ 13 ส.ค. 51 23:57:25 ]

ความคิดเห็นที่ 112 จับผิดกุรอ่านต่อไปนะครับ ผมอยากให้คุณจับผิดไปเรื่อยๆ เหมือนหลายๆคนที่ผมเคยอ่านประวัติเขา เพราะสุดท้ายแล้วมันจะเป็นแบบนี้ -ดร.มิลเลอร์คาดหวังว่า อัล-กุรอานจะเป็นหนังสือโบราณอายุกว่า 1,400 ปี เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับทะเลทรายและอื่นๆ แต่เขากลับประหลาดใจว่านอกจากอัล-กุรอานจะไม่มีข้อผิดพลาดแล้ว เขากลับพบความจริงที่มิอาจปฏิเสธได้ http://www.newmuslimthailand.com/main/thirdpage.php?style=preview&spv=&tpv=933 -ยูซุฟ อิสลาม (แคท สตีเว่นส์) นี่คือความงดงามของอัล-กุรอ่าน ซึ่งไม่ให้เรากราบไหว้พระอาทิตย์ พระจันทร์ แต่จงกราบไหว้พระเจ้าเพียงองค์เดียว เมื่อผมอ่านอัล-กุรอ่านต่อไป ก็พบว่ามีการกล่าวถึงการละหมาด ความเมตตา ความเอื้ออาทร ตอนนั้นผมยังไม่เป็นมุสลิมแต่รู้สึกแล้วว่าคำตอบเดียวของผมก็คืออัล-กุรอ่านเท่านั้น และพระผู้เป็นเจ้าได้ส่งลงมาให้ผม http://www.newmuslimthailand.com/main/thirdpage.php?style=preview&spv=&tpv=339 จากคุณ : fowleres - [ 14 ส.ค. 51 08:57:07 ]

ความคิดเห็นที่ 113 -ดร.เจฟฟรีย์ แลงก์: ศาสตราจารย์คณิตศาสตร์ มิได้ต้องการแสวงหาศาสนา แต่เขาก็เริ่มอ่านอัล-กุรอาน อย่างไรก็ตาม เป็นการอ่านอย่างมีอคติ “คุณไม่ใช่แค่อ่านอัล-กุรอานนะ แต่ต้องตั้งใจอ่าน คือเวลาอ่านเนี่ย หากคุณไม่ยอมจำนนต่อพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าละก้อ คุณก็ต้องต่อสู้กับพระองค์ละ ข้อความในอัล-กุรอ่านซัดตรงๆ ที่คุณเลยทีเดียว; ผมเริ่มทำสงครามกับอัล-กุรอานตั้งแต่บรรทัดแรก” แล้วเจฟฟรีย์ก็พบว่าเป็นการต่อสู้ที่น่าทึ่งทีเดียว “ผมเสียเปรียบอย่างมาก เพราะเห็นได้ชัดว่า ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้รู้จักผมดีกว่าที่ผมรู้จักตัวเองเสียอีก” ราวกับว่าผู้เขียนหนังสืออ่านความคิดของเจฟฟรีย์ออกหมด ทุกคืนเมื่ออ่านอัล-กุรอาน เขามักมีคำถามและมักต่อต้านข้อความในคัมภีร์ แต่เขามักเจอคำตอบในการอ่านคราวต่อไปเสมอ “อัล-กุรอานมักรุดหน้าไปก่อนความคิดของผมเสมอ; พระคัมภีร์ได้ลบล้างขวากหนามที่ผมสร้างขึ้นมาเมื่อหลายปีก่อน และได้เฉลยคำตอบให้กับคำถามเหล่านั้น” เจฟฟรีย์ต่อสู้อย่างหนักหน่วงด้วยความรู้สึกต่อต้านและคำถามมากมาย แต่ท้ายที่สุดก็รู้ว่า เขากำลังพ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้ “ผมกำลังถูกต้อนเข้ามุม และเหลือทางเลือกให้ผมเพียงทางเดียวเท่านั้น” http://www.newmuslimthailand.com/main/thirdpage.php?style=preview&spv=&tpv=232 จากคุณ : fowleres - [ 14 ส.ค. 51 09:02:41 ]

ความคิดเห็นที่ 114 กุรอาน บทที่ 2 อัลบะกอเราะฮ์ โองการที่ 144 ความว่า “แน่แท้ เราย่อมมองเห็นเจ้าแหงนหน้าขึ้นไปยังฟากฟ้า ขอยืนยันว่า เราจักผินเจ้ากลับมาสู่กิบลัตเดิมที่เจ้าพึงใจอย่างแน่นอน ดังนั้นเจ้าจงผินหน้าของเจ้าไปทางอัลมัสยิดิลฮารอมเถิดและไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่หนใด พวกเจ้าก็จงหันหน้าไปทางทิศนั้น...” จากคุณ : @TipzaakunG@ - [ 14 ส.ค. 51 10:12:44 ]

ความคิดเห็นที่ 115 เป็นคริสต์แต่ขอแสล๋นแจ๋นเข้ามาหน่อย "อย่าเอาหนังสือสอนจิตวิญญาณไปเทียบกะหนังสือสอนวิทยาศาสตร์" เพราะหนังสือหลักธรรมศาสนาไม่เคยมีการแก้ไขไม่ว่าศาสนาใดๆก็ตาม แต่วิทยาศาสตร์มักจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ถ้าพระเจ้าสอนคนเมื่อ2000 กว่าปีก่อน (จิงๆนานกว่านั้น) เกี่ยวกับชั้นหินต่างๆ หรือ สอนเรื่องไดโนเสา เนี่ย คุณคิดว่ามนุษย์สมัยนั้นจะเข้าใจไหม พระคัมภีร์สอนมนุษย์ด้านจิตวิญญาณครับ ให้รู้จักเคารพยำเกรงพระเจ้า ไม่ใช่มาให้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ครับ จากคุณ : MichaeLPauL - [ 14 ส.ค. 51 10:19:52 ]

ความคิดเห็นที่ 116 ฮ่าๆๆๆ เข้าไปอ่านมาละ แหม นึกว่าพระเจ้าจะชาญฉลาดประเสริฐเลิศเลอ ที่แท้โลกกลม พอโลกกลม สาวกเลยมีปัญหาการกำหนดทิศกิบลัตมาตั้งแต่โบราณกาล จนบางคนถึงกับเสนอให้สร้างหอคอยสูงๆเพื่อให้มองเห็นจุดที่ตั้งของกิบลัต แต่น่าเสียดายที่โลกใหญ่โตมาก พอพ้นระยะ 100 กิโลไปก็ไม่เห็นแล้ว หรือไม่ก็ใช้ดวงอาทิตย์เป็นตัวกำหนด บอกว่า ช่วงนี้ของปี พระอาทิตย์จะตรงเหนือหินดำพอดี มองพระอาทิตย์ตอนนี้ก็ตรงกับเมกกะพอดี แล้วก็ค่อยๆคำนวณช่วงอื่นๆของปี ว่าจะบิดกี่องศา แต่หารู้ไม่ว่า เพราะดวงอาทิตย์มันใหญ่โตมากๆ แต่เพราะไกลมากๆ แสงที่เดินทางมาจึงเสมือนว่าเส้นตรง  พอใครมองพระอาทิตย์จึงเสมือนว่าอยู่ตรงนั้นอ่ะ ไม่ได้ไปไหน เหมือนขับรถ ก็เห็นมันวิ่งตาม ดังนั้น หน้าร้อนที่เมกกะเห็นพระทิตย์อยู่เหนือหัว เชื่อป่าวว่าที่ยอดปิรามิดที่กิเซ เขาก็เห็นพระอาทิตย์อยู่เหนือหัวเหมือนกัน ฮ่าๆๆๆ เหมือนหน้าร้อนของไทย คนที่ กทม เห็นพระอาทิตย์อยู่เหนือหัว คุณเชื่อเถอะ คนในแนวละติจูดเดียวกับ กทม เห็นดวงอาทิตย์เหนือหัวเหนือเมืองตัวเองทุกคน เหอๆๆๆ พอมายุคปัจจุบัน นักวิชาการมุสลิมก็เลยหาวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาตอบสนองทฤษฏีความเชื่อของตัวด้วยการสร้างเครื่องมือมาตัวเพื่อกำหนดทิศ ระบุพิกัด ก็ไม่ผิด หาวิธีการมาตอบสนองทฤษฏีความเชื่อ เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองเชื่อนั่นถูก ลืมไปถึงกฏพื้นฐานว่า แนวการมองของคนและสัตว์บนโลกอาศัยแสงซึ่งเป็นเส้นตรง ดังนั้น อะไรที่พ้นแนวแสงที่เป็นเส้นตรงไปก็มองไม่เห็น การมองไม่มีวิธีโค้ง ตาคนจะมองอะไรยังต้องโฟกัสไปตรงๆ  ถึงจะมองเฉียงๆ กล้ามเนื้อลูกตาก็ต้องมีการบิดให้เรตินาไปโฟกัสที่จุดใหม่เพื่อให้แสงซึ่งวิ่งมาตรงตกกระทบพอดี ส่วนเรื่องพิกัด มันไม่มีอยู่จริงอย่างที่บอก มันคือการสมมติจากเส้นสมมติที่ลากจากสองแนวมาตัดกัน  ก็เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน ถามว่าเส้นเหล่านั้นมีจริงไหม ไม่มีจริง แม้แต่ทิศ   ทิศก็เป็นสิ่งสมมติ เพราะต้องอาศัยสิ่งอ้างอิง จึงจะกำหนดได้ แล้วถามว่า โลกใช้อะไร คนโบราณยังไม่รู้เรื่องขั้วโลก ก็อาศัยดาวบ้าง พระอาทิตย์บ้าง แต่ก็พบปัญหาว่า แต่ละช่วงของปี ดาวพวกนี้มันไม่อยู่กับที่ เพราะอะไร ก็เพราะแกนโลกมีการหมุนไปมา พอต่อมาเครื่องไม้เครื่องมือดีหน่อย ก็พบเรื่องแม่เหล็ก มันชอบหันไปทิศเดียว ก็เลยเออ ใช้เจ้าตัวนี้กำหนดดีกว่า เที่ยงกว่า ตั้งแต่นั้น คนก็เชื่อว่า แม่เหล็กชัดเจนสุด เลยกำหนดเส้นสมมติลองติจูด ให้ทุกเส้นพาดผ่านขั้วตรงนี้ในแนวเหนือใต้ มีทั้งหมด 360 เส้นตามมุมภายในของวงกลม แล้วสมมติว่าเส้นที่ศูนย์หรือเมอริเดียนพาดผ่านเมืองกรีนิซละกัน ห่างไปตะวันออกก็บวกไปเรื่อยๆจนถึง 180 ห่างไปตะวันตกก็ลบไปเรื่อยๆอีก 180 แล้วแนวนอนล่ะเอาไง ก็เอาจุดที่อ้วนที่สุดกว้างที่สุดของโลกนั่นหล่ะ เส้นที่ศูนย์ แล้วขึ้นเหนือมาก็บวกไป ลงใต้ไปก็ลบ จบ... ที่มาของเส้นสมมติ ปราชญ์มุสลิมเห็นตรงนี้ก็มาจับดิ เพราะตอนนี้ต้องบอกว่าโลกกลมละ ตอนเจอเรื่องเปลือกโลกเป็นแผ่นตื่นเต้นจะตาย ตอบไม่ได้มาตั้งนานว่าจะแถเรื่องคลี่แผ่นดินยังไง พอวิทยาศาสตร์บอกเปลือกโลกเป็นแผ่นลอยอยู่บนแมกม่าเลยต้องรีบกระโดดมาจับไปอธิบาย แต่ลืมไปว่า แกนของโลกเป็นกอ้นกลม อิๆๆๆ ซึ่งก็แปลกดี ที่พระเจ้าไม่มีการพูดถึงการสร้างแกนโลกที่กลมๆนั้นเลย ถ้าเรียนวิทยาศาสตร์มา ก็จะรู้ว่า จากหลักฐานทางดาราศาสตร์ที่มนุษย์เพ่งมองการเกิด ดับของดวงดาวในระบบอื่นที่ไกลออกไป เราพบว่า มันเกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มก๊าซก่อน จากนั้นก๊าซเหล่านั้นเย็นตัวลง บริเวณผิวนอกซึ่งไกลจากแกนกลางซึ่งร้อนที่สุด ก็เริ่มเย็นตัวลงก่อน ค่อยๆกลายเป็นแผ่นเปลือกนอก แต่เนื่องจาก ขนาดของแผ่นที่เย็นนั้นบางมากเมื่อเทียบกับแกนกลางซึ่งหนาและร้อนกว่า เปลือกเหล่านั้นจึงไม่ได้เป็นแผ่นเดียวกัน แต่แยกแตกเป็นหลายๆ แผ่น และเนื่องจากลอยอยู่บนแกนซึ่งเหลวและเคลื่อนตัวตลอดเวลา แต่ละแผ่นจึงมีการลอยไปกระทบกันบ้าง มุดไปใต้กันและกันบ้าง เกิดการดันยกตัวจนกลายเป็นภูเขาอย่างที่เราเห็น นี่หรือ คือความจริงที่กุมาให้อ่าน บรรยาย พระเจ้ามีภูมิปัญญาที่จะอธิบายเพียงเท่านี้เหรอ มนุษย์ซึ่งอ้างว่าถูกสร้างมา ยังอธิบายได้ดีกว่าคนสร้างเสียอีก ทำไมมนุษย์จึงอธิบายได้ ก็เพราะอธิบายจากความจริงที่เห็นไง ไม่ต้องมีการประดิษฐ์ประดอยคำมาแต่งบรรยาย การทำอะไรที่มีช่วงเวลาที่ชัดเจน ทำไมพระเจ้าจะเลือกใช้คำไม่ถูก วัน เดือน ปี 10 ปี 100 ปี พันปี หมื่นปี แสนปี ล้านปี สิบล้านปี การระบุช่วงก็เช่นเดียวกัน มนุษย์ยังระบุช่วงได้ละเอียดและถูกกว่า ช่วงสิบปี ทศวรรษ ช่วงร้อยปี ศตวรรษ ช่วงพันปี สหัสวรรษ แล้วทำไมพระเจ้าจะระบุไม่ได้ ในเมื่อผลจากการสร้างมีเวลาที่ชัดเจน ทำไมต้องใช้คำกว้างๆ ลอยๆ เช่น ช่วงนานมากมากกกกกกกกกก นานแค่ไหนเหรอ??? แล้วคุณจะให้ผมเชื่อเหรอว่าพระเจ้ามีตัวตนจริง ในเมื่อการอธิบายใช้คำกำกวมเหมือนไม่มีภูมิปัญญา ไม่ต้องพระเจ้าหรอก ผมก็ตอบได้ว่า โลกเดี๋ยวก็ต้องมีการดับสูญ แต่เมื่อไหร่ อืมมม เป็นระยะเวลาที่นานมากกกกกกกกกกก เมื่อไหร่ล่ะ?? อ้าว ก็ตอบไปแล้วไง นานมากกกกกกกกกกกกก คุณโง่หรือเปล่า ผมบอกว่านานมากกกกกกกก ยังฟังไม่รู้เรื่องอีก ฮ่าๆๆๆ จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 14 ส.ค. 51 10:23:32 ]

ความคิดเห็นที่ 117 กลับมาที่ช่วงการสร้าง สร้างโลกสองช่วง อันนี้แน่ๆ ตามกุรอ่าน แต่งเติมสิงสาราสัตว์แลพืชพรรณอีก รวมๆยำๆกันเรียกสี่ช่วง นานแค่ไหน? ไม่รู้ แต่ยำๆกันสี่ช่วง คุณอย่าเถียงผมซิ แล้วชั้นฟ้าอีกสองช่วง จุดที่เห็นก็คือ ฟ้ามาที่หลังโลกแลสิงสาราสัตว์ แต่กุรอ่านบางบทก็ว่าฟ้ามาก่อนโลกมาทีหลัง ช่วยอธิบายซินี่คืออะไร??  ประเด็นที่หนึ่ง ประเด็นต่อมา สร้างโลกจนเสร็จบวกสัตว์และพรรณพืชสี่ช่วง แต่ชั้นฟ้าซึ่งประกอบไปด้วยดวงดาว แลจักรวาลใช้เวลาแค่สองช่วง นอกจากจะสร้างทีหลังซึ่งเอ๊ะ ความเป็นจริงจักรวาลเก่ากว่า ยังบอกว่า ใช้เวลาสร้างสั้นกว่า สร้างทีหลังหนึ่ง สร้างสองช่วงก็ยังสั้นกว่าอีก แต่หลักความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์ โลกนี้แสนใหม่ จักรวาลซิเก่ากว่า  สาวกจะว่ายังไง??? หรือสี่ช่วงนั้นพระเจ้าระบุอีกว่า เป็นช่วงคลื่นสั้น ส่วนช่วงจักรวาลนั้น เป็นช่วงคลื่นยาว ใช้คำไม่เหมือนกันใช่มะ มีอิลนัม อิลแนม แบบนั้นป่าว ช่วงสั้น ช่วงยาว ฮ่าๆๆๆๆ ถามจริงๆ THE DAY OF YOUR GOD อ่ะ จะกี่วันกี่ปีมนุษย์ ช่วยชี้ชัดๆ แล้วเดี๋ยวมาคุยกันในรายละเอียดอีกว่า ในช่วงการสร้างสัตว์มันมีอะไรแปร่งๆอีก จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 14 ส.ค. 51 10:35:58 ]

ความคิดเห็นที่ 118 แล้วถ้าคุณจะบอกว่า อย่าเอาแนวคิดจิตวิญญาณมาเทียบกับแนวคิดวิทยาศาสตร์ ผมก็คิดว่า แล้วทำไมต้องบอกว่า แนวคิดจิตวิญญาณ แหม ช่างประเสริฐอธิบายด้วยหลักวิทยาศาสตร์ได้ ก็เลิกพูดดิ เพราะแนวคิดวิทยาศาสตร์คือการศึกษาความจริง ถ้าคุณบอกว่าแนวคิดศาสนาคุณเป็นจริง มันก็ต้องอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ได้ซิ นอกเสียจากว่า มันจะไม่จริง มันเลยขัด จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 14 ส.ค. 51 10:39:38 ]

ความคิดเห็นที่ 119 คุณธรรมยุทธ  มาถูกที่หรือป่าวครับ ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกับศาสนาที่ท่านนับถือสักหน่อย  ท่านเดือดร้อนอะไรไม่ทราบ ผมว่าเอาเวลาของท่านไปสอนคนที่นับถือศาสนาของท่านให้มีความกระจ่างและหันกลับมายึดมั่นในหลักธรรมคำสั่งสอนของท่านพระพุทธเจ้าไม่เป็นการดีกว่าหรือครับ ที่จะเข้ามาโต้แย้งในเรื่องมิใช่เรื่องของตนเองให้เกิดความหมองมนในหลักธรรมของศาสนาอื่นๆ จากคุณ : Jimbo (Jimbovy) - [ 14 ส.ค. 51 10:44:09 ]

ความคิดเห็นที่ 120 ทำไมศาสนาที่อ้างว่าเป็นศาสนาที่แท้จริง ถึงไม่ทนต่อคำถามแลการพิสูจน์ล่ะครับ??? จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 14 ส.ค. 51 10:55:18 ]

ความคิดเห็นที่ 121 [2.149] ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด จงหันหน้าของเจ้าไปยังมัสญิด อัล-หะรอม เพราะนี่เป็นคำสั่งจากพระผู้อภิบาลของเจ้า และอัลลอฮ์ไม่ทรงเป็นผู้เฉยเมยในสิ่งที่เจ้ากระทำ ===> ดูคำว่า จง หัน หน้า ของ เจ้า ไป ยัง มัสยิด อัลหะรอม หัน หน้า ไป ยัง หัน หน้า ไป ยัง หุ หุ หุ  ผมเพิ่งตระหนักว่าการมองของผมเป็นเส้นโค้งได้ จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 14 ส.ค. 51 11:04:46 ]

ความคิดเห็นที่ 122 โถอ่าน คคหที่ 116 ซะตั้งนาน นึกว่า มีสาระ ที่แท้ขยะล้วนๆ เอาล่ะ ไม่เป็นไร ผมคงมีหน้าที่เก็บกวาดขยะรกห้องละมังครับ แน่นอนบางคนที่ไม่เข้าใจกุรอ่าน ก็จะคิดว่าตั้งหอคอยสูง ก็เห็นมักกะห์ แต่ไม่เพื่อเคารพกราบไหว้ แต่เพื่อจะได้หันไปถูก และเมื่อ มีการค้นคว้าไปเรื่อยๆ การกำหนดดวงอาทิตย์ก็เช่นกัน คนโง่ๆ ประเภทที่ชอบแถ มันก็จะคิดว่า มองที่ดวงอาทิตย์ เพื่อกำหนดทิศในการละหมาด แต่เขาสังเกตุจากเงาครับ สงสัยอ่านภาษาไทยไม่รู้เรื่อง [b]ทุก ๆ ปีในช่วงวันที่ 27-31 พฤษภาคม และ 14-17 กรกฎาคม ดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือกะบะฮ์พอดี ซึ่งเป็นเวลาประมาณเที่ยงวันของมักกะฮ์ แต่เนื่องจากประเทศซาอุดิอราเบีย อยู่ในโซนเวลาที่ 3 หรือ เวลาช้ากว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง ดังนั้นในขณะที่ซาอุดิอราเบียเที่ยงวัน จะตรงกับประเทศไทยเวลาประมาณ 16 นาฬิกา ณ เวลานี้ทิศของดวงอาทิตย์ที่เราเห็นในประเทศไทย คือทิศของเมืองมักกะฮ์พอดี หรือสังเกตเงาวัตถุ ณ เวลานี้ก็ได้ทิศกิบลัตเช่นกันเวลาที่ละเอียดแสดงไว้ในตาราง แสดงเวลาที่สามารถสังเกตดวงอาทิตย์เป็นทิศกิบลัตสำหรับประเทศไทย เวลาเที่ยงที่มักกะฮ์ (พระอาทิตย์ทำมุมฉากกับกะบะฮ์) ตรงกับเวลาในประเทศไทย วัน เดือน 12:18 มักกะฮ์ 16:18 ประเทศไทย 27 พฤษภาคม 12:18 มักกะฮ์ 16:18 ประเทศไทย 28 พฤษภาคม 12:18 มักกะฮ์ 16:18 ประเทศไทย 29 พฤษภาคม 12:19 มักกะฮ์ 16:19 ประเทศไทย 30 พฤษภาคม 12:19 มักกะฮ์ 16:19 ประเทศไทย 31 พฤษภาคม 12:27 มักกะฮ์ 16:27 ประเทศไทย 14 กรกฎาคม 12:27 มักกะฮ์ 16:27 ประเทศไทย 15 กรกฎาคม 12:27 มักกะฮ์ 16:27 ประเทศไทย 16 กรกฎาคม 12:27 มักกะฮ์ 16:27 ประเทศไทย 17 กรกฎาคม จากคุณ : Carroth - [ 14 ส.ค. 51 11:14:53 ]

ความคิดเห็นที่ 123 ก็ถ้าผมหันขึ้นเหนือผมก็หันไปยัง เชียงใหม่ครับ หรือหันไปยังจีนเพราะทางนั้นไปทางจีน ผมเพิ่งตระหนักตอนนี้เอง ว่าคุณพยายามจะไม่อ่าน ที่ พวกผมเอามา แต่พยายามแถ สงสัยทนอ่านความจริงไม่ได้ จากคุณ : Carroth - [ 14 ส.ค. 51 11:16:49 ]

ความคิดเห็นที่ 124 เลยไม่มีการตอบคำถามนี้ ความคิดเห็นที่ 103   ทำไมคุณไม่ตอบคำถามผม ตรงไหนของหลักการอิสลาม ที่จะต้องมองเห็นหินดำ ???   อารายทนหน้าแหกไม่ได้ ต้องหนีแล้วหรอ   จากคุณ : Palmyra   - [ 13 ส.ค. 51 22:38:42 ] บอกแล้วว่าไม่จำเป็นต้องเห็น แค่หันไปทางนั้น จากคุณ : Carroth - [ 14 ส.ค. 51 11:17:58 ]

ความคิดเห็นที่ 125 คุณธรรมยุทธ เพื่อเป็นการแฟร์ๆแก่ทั้งสองฝ่าย ผมขออนุญาตหยิบ พระไตรปิฎก ของคุณ มาถามคุณบ้าง เพื่อให้คุณพิสูจน์ตามแนวทางวิทยาศาสตร์ เหมือนกับพี่น้องมุสลิมของผมตอบคุณ จะได้แลกเปลี่ยนความรู้ของกันและกัน ไม่ทราบว่าคุณจะโอเคมั้ยครับ เพราะศาสนาที่แท้จริง ย่อมไม่กลัวการพิสูจน์ใช่มั้ยครับ จากคุณ : Palmyra - [ 14 ส.ค. 51 11:37:18 ]

ความคิดเห็นที่ 126 [2.149] ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด จงหันหน้าของเจ้าไปยังมัสญิด อัล-หะรอม เพราะนี่เป็นคำสั่งจากพระผู้อภิบาลของเจ้า และอัลลอฮ์ไม่ทรงเป็นผู้เฉยเมยในสิ่งที่เจ้ากระทำ แบบนี้ยังไม่ชัดอีกเหรอว่า ให้หันหน้าไปยัง ซึ่งผมก็พยายามบอกว่า เนื่องจากโลกกลม การหันหน้าไปยัง... จะไม่พบเจอ แถตรงไหน แล้วใครทีพยายามแถอยู่ว่า การหันไปยัง มันโค้งได้ โค้งได้ไง โลกมันกลม แล้วก็ยังพยายามไปหาหลักการมายืนยัน แล้วก็บิดว่า ไม่ได้ให้มองไปยังซักกะหน่อย แค่กำหนดทิศ ฮ่าๆๆๆ คุณต่างหากที่พยายามแถโดยเอาเรื่องที่พอแถได้มาช่วยอธิบายความเชื่อตัวเอง ก็โองการนี้ไงที่ระบุว่า จงหันหน้าไปยังหินดำ หันไปทำไม ก็รู้อยู่แก่ใจว่า เพื่อบูชาพระเจ้า จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 14 ส.ค. 51 11:46:05 ]

ความคิดเห็นที่ 127 และต้องไม่ลืมว่าการคำนวนหากิบลัตนั้น โลกกลมกับอิสลาม Al-Biruni Abu Rayhan al-Biruni (973-1048) solved a complex geodesic equation in order to accurately compute the Earth's circumference Islamic scholars calculate the distance and direction from any given point on the earth to Mecca. This determined the Qibla, สมการหาระยะทางบนพื้นผิวทรงกลม กับอิสลาม Al-Jayyani (989-1079), an Arabic mathematician in Islamic Spain, wrote what some consider the first treatise on spherical trigonometry http://en.wikipedia.org/wiki/Spherical_trigonometry มุสลิม ใช้ หลักการว่าโลกกลมเนี่ย มาตั้งแต่ ก่อนกาลิเลโอหรือ ฝรั่งจะคิดว่าโลกกลมซะอีก และแค่คิดก็โดนทรมานแล้ว แต่มุสลิมรู้แล้วก็ใช้คำนวนต่อครับ ดังนั้นไม่ใช่ ต้องจับทฤษฎี การคำนวนเพราะเพิ่งรู้ว่าโลกกลมจากคนอื่น แต่เขารู้ตั้งนานแล้วว่าโลกกลม จึงใช้โลกกลมเนี่ยแหละคำนวนหาทิศกิบลัต หุหุ อย่ามามั่ว อ่านอีท่าไหนเนี่ย ว่าแต่ตรงไหนเหรอบอกว่าโลกเป็นแผ่น? และมนุษย์ผู้โง่เง่า ก็คิดไปซะแล้วว่า มนุษย์อธิบายได้ดีกว่า พระเจ้า ทั้งที่ สมัยที่ลมคัมภีร์มานั้น คนส่วนมากแทบไม่รู้หนังสือกันเลย การเปรียบเทียบต่างๆ ก็เพื่อให้เข้าใจ ว่าลักษณะมันเป็นอย่างไรอย่างง่ายที่สุด และที่สำคัญ กุรอ่านบอกไว้นั้น เป็นเรื่องหลักๆ ครับ ไม่ใช่ต้องลงรายละเอียด ถามว่า ลงรายละเอียดได้มั๊ยได้ครับ แต่ไม่จำเป็น เพราะกุรอ่านไม่ได้ สอนเฉพาะวิทยศาสตร์ แต่เป็นการให้แนวทางถึงศาสตร์ทุกเรื่อง และมนุษย์จึงเดินตามแนวทางนี้ ต่อยอดไปเอง ไม่ใช่คัมภีร์มั่วๆ ที่บอกว่า บนดวงจันทร์เป็นรอยกระต่าย พูดเหมือนคนสติไม่สมประกอบ อันนี้ อย่าว่าแต่ลงรายละเอียด เอาง่ายๆ แค่เป็นแนวทางก็พากันลงเหวแล้วครับ เรื่องระยะเวลาก็เช่นกัน พระองค์บอกถึงช่วงเวลาแห่งการสร้าง แล้วมีความจำเป็นอะไรต้องลงรายละเอียดครับ ตอนแรก พยายามจำผิดว่ากี่ปี จับผิดไม่ได้ แล้วมาตีโพยตีพายว่า ไม่ลงรายละเอียด น่าสมเพชจริงๆ เหมือนบอกว่ากินข้าว 1 จาน ต้องบอกมั๊ยว่ากินไปกี่คำ คำละ กี่มิลลิกรัม? แล้วจะบอกเพื่ออะไรไม่ทราบครับ ? พระเจ้าบอกได้ครับ บอกได้โดยละเอียดด้วย แต่อย่างที่ผมบอก คัมภีร์กุรอ่านคือแนวทางครับ ไม่ใช่ หนังสือที่ต้องลงรายละเอียด ไปจนสุด เพราะถ้าลงแบบนั้นทุกเรื่อง มนุษย์ย่อมเกิดปัญหาในการเรียนรู้แน่ และหลักๆ คือเรื่องศีลธรรม และทางนำไปสู่ เป้าหมายของชีวิต ก็ไม่ได้รับความสนใจ คุณพูดเหมือนคนไร้ปัญญา เด็กที่ไม่ได้รับการอบรม อยากได้อะไรต้องได้ อยากให้คัมภีร์ ที่เป็นทางนำมนุษย์ให้ใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง เป็นตำรา ที่ลงรายละเอียดด้านวิทยาศาสตร์ ตามใจ ลงเวลา ให้ละเอียด พอไม่ลง ก็มาถามว่าลงไม่ได้หรือ ก็เหมือนบอกว่าไปกินข้าว ข้าวนั้นมีประโยชน์ ต้องบอกด้วยมั๊ยว่า กิน กี่คำ คำละกี่มิลลิกรัมเท่าไหร่ และ อ้าปากกว้างกี่เซ็นต์ ตอนเด็กๆ ที่บ้านคุณเรียกกินข้าว เขาบอกคุณแบบนี้หรือเปล่า? เช่นกัน กุรอ่านบอกว่าโลกกลม มุสลิมก็ไม่หลงทางเหมือน คนยุโรป ที่บอกว่า โลกกลมปุ๊บโดนเผามั่ง ทรมานมั่ง คนพวกนี้ล้วนหลงทาง ดังนั้น กุรอ่านบอกในสิ่งที่จำเป็นแล้ว เรื่องโลกดับสูญเนี่ย แน่นอนครับ บอกว่าโลกดับสูญ ไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียด เพราะไม่จำเป็นต้องบอกว่านานเท่าไหร่ แต่รู้ว่านาน หรืออีกไม่นาน ก็พอเดาได้ ไม่เหมือนบอกว่า รอยอุกาบาต บนดวงจันทร์นั้นเกิดจากการบีบภูเขาจนเหลว แล้วเขียนเป็นรูปกระต่าย แบบนี้สิครับ ต่อให้ลงรายละเอียดยังไง มันก็มั่วอยู่ดี จากคุณ : Carroth - [ 14 ส.ค. 51 11:47:55 ]

ความคิดเห็นที่ 128 นี่แหละครับ เถียงกับคน ชอบแถ แต่ไม่ชอบอ่าน หันหน้าไปยังเชียงใหม่ หันหน้าไปยัง จีน หันหน้าไปยังญี่ปุ่น หน้าจะตรงกับญี่ปุ่นมั๊ยล่ะครับ แต่นั่นหมายความว่า หันไปยังทิศนั้น ทางนั้น มุ่งไปยังทิศนั้น ถ้าเอาคำนี้ พยามยาม ทำให้ตรงตัว ผมก็ละหมาดแบบนี้ได้ใช่มั๊ยครับ จากคุณ : Carroth - [ 14 ส.ค. 51 11:56:39 ]

ความคิดเห็นที่ 129 งั้นก็อย่าพูดว่ากุรอ่านเป็นวิทยาศาสตร์ จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 14 ส.ค. 51 11:57:58 ]

ความคิดเห็นที่ 130 ไงครับ จะเอาคำว่าหันหน้า turn your face ให้เป๊ะๆ มั๊ยล่ะถ้าแบบนั้นก็ดูด้านบน คำพูดแบบนี้ ความหมายเป็นอย่างไร ยังต้องให้อธิบายกันอีก ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไงล่ะครับ อ่อ แล้วรู้ไว้นะครับ เวลามุสลิมละหมาด มองลมพื้นครับ ไม่ได้มองไปข้างหน้ายังทิศกิบลัต เข้าใจหรือยัง turn your face คืออะไร จากคุณ : Carroth - [ 14 ส.ค. 51 11:58:46 ]

ความคิดเห็นที่ 131 กุรอ่านเป็นวิทยาศาสตร์ครับ ไม่ใช่คำ ตำรา วิทยาศาสตร์ เฉพาะทาง จากคุณ : Carroth - [ 14 ส.ค. 51 11:59:14 ]

ความคิดเห็นที่ 132 อะไรกันต้องให้มาตีความ กุรอ่าน เป็นวิทยาศาสตร์ หมายความว่าไงอีกมั๊ยครับ เหมือนหันหน้า ไปยังกิบลัตเนี่ย จากคุณ : Carroth - [ 14 ส.ค. 51 11:59:46 ]

ความคิดเห็นที่ 133 คุณธรรมยุทธ สมมติว่าตอนนี้ คุณอยู่กรุงเทพ มีคนบอกให้คุณหันหน้าไปหาเชียงใหม่ คุณจะหันไปในทิศใดครับ??? และคุณก้อมาเปรียบเทียบกะอายะห์นี้ [2.149] ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด จงหันหน้าของเจ้าไปยังมัสญิด อัล-หะรอม เพราะนี่เป็นคำสั่งจากพระผู้อภิบาลของเจ้า และอัลลอฮ์ไม่ทรงเป็นผู้เฉยเมยในสิ่งที่เจ้ากระทำ ถ้ายังหันหน้าไปหาเชียงใหม่ไม่ถูก ก้อเรียกเด็กอายุ 5 ขวบ มาถามได้นะครับ ว่าเชียงใหม่หันหน้าไปทางไหน อย่าลืมตอบคำถามคห.125 ด้วยนะครับ จากคุณ : Palmyra - [ 14 ส.ค. 51 12:01:14 ]

ความคิดเห็นที่ 134 แล้วตอบได้ยัง กระต่ายบนดวงจันทร์อธิบายยังไง หรือว่าจริงมั่งโม้มั่ง ตามอารมณ์ และความง่วง? จากคุณ : Carroth - [ 14 ส.ค. 51 12:03:29 ]

ความคิดเห็นที่ 135 หันหน้าไปอเมริกาทางไหน??? ตอบได้มะ บางคนบอก ตะวันออกเฉียงเหนือ มันคือคำที่นิยามร่วมกันว่าเชียงใหม่คือทิศนั้น แต่ถามว่าจริงๆ คุณหันไปมองเชียงใหม่หรืออเมริกาไหม ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 14 ส.ค. 51 12:05:34 ]

ความคิดเห็นที่ 136 สร้างสิ่งใดก่อนt he earth could not possibly be the first thing created in the sequence because 79:27-30 states that in no uncertain terms beyond a shadow of a doubt that Allah created the heavens before the earth. Hence, these verses are not a sequential account of the 6 periods of creationp and thus must be viewed both jointly and severally in relation to the whole Quranic account of creation. The word "then" in verses 2:29 and 41:11 is "Tumma"; it can mean "and also or moreover." Many translators of the Quran incorrectly use the word "then." The sentence structure clearly breaks and the facts are separate accounts. คำเหล่านี้ ที่คนอาหรับไม่งงเพราะเขารู้ความหมายโดยรวมครับ ว่า มันไม่ได้แปลว่า then อย่างเดียว มันแปลส่า moreover ได้ อ่านดูก็รู้ว่า ไปเอามาจากเว็บไซต์โจมตีอิสลาม อ่านไม่แตก  อ่านไม่เข้าใจ ก็รีบจับมายัดๆ เพื่อให้ดูเหมือนมีข้อผิดพลาด แต่ไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้เขาตอบกันไปนานแล้ว เอ้าพยายามเข้านะครับ ลองดูว่ามีปัญญาทำอะไรได้อีก ว่าแต่ จบอเมริกาจริงเรอะ ดูท่าทาง เหมือนยังไม่จบอะไรซักอย่างเลยนะเนี่ย จากคุณ : Carroth - [ 14 ส.ค. 51 12:08:49 ]

ความคิดเห็นที่ 137 ตอบซิ อเมริกาอยู่ทิศไหนของไทย เพราะหันยังไงก็เจอ ถ้าเอาแนวคิดการมองมีแนวโค้งได้แบบพวกคุณ เหนือก็เจอ ตะวันออกก็เจอ ตะวันออกเฉียงเหนือก็เจอ ถ้าผมถามเด็ก เด็กจะตอบทิศไหนดีน้า   ฮ่าๆๆๆ จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 14 ส.ค. 51 12:10:22 ]

ความคิดเห็นที่ 138 ครับประเด็นมันอยู่ตรงนี้ ผมหันหน้าไปยังเชียงใหม่ ผมมองไปยังเชียงใหม่จริงไหม หรือหันหน้ายัง อเมริกา ผมมองอเมริกาขริงไหม หันไปทางเชียงใหม่ คนที่หัน นั้นมองหาเชียงใหม่ หรือหันไปยางทิศที่ไปยังเชียงใหม่ เช่นกัน หันหน้าไปยังกิบลัตเนี่ย เขาหันไปมองกิบลัตจริงไหม ท่าน  Palmyra ถามแล้วว่า มีตรงไหนบอกว่า ต้องเห็น กะบะห์หรือหินดำ? ยังไม่สำนึก ผมจะ อธิบายให้ว่า มุสลิมเวลาหันไปยังทางทิศกิบลัตเขาไม่ได้มองกิบลัต เขามองพื้นครับ แต่หันหน้าไปทางทิศนั้นเพื่อสักการะ อ่านเอง 33 วิธี เพื่อสร้างสมาธิในละหมาด ...โดยชัยคฺ มุฮัมมัด ศอลิหฺ อัล มุนัจญิด ...อับดุศ เศาะมัด อัน นัดวีย์ แปลและเรียบเรียง #“การปฎิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่งคุชูฮฺ”# 1.การเตรียมตัวอย่างดีเพื่อการละหมาด 2.การหยุดนิ่งครู่หนึ่งในละหมาด 3.รำลึกถึงความตายในขณะละหมาด 4.ใคร่ครวญความหมายของอายะฮฺที่อ่านตลอดจนอัซการฮฺ ต่างๆในละหมาดและปฏิกิริยาร่วมกับมัน 5.การอ่านอัล-กรุอานหยุดเป็นวรรค 6.อ่านอัล-กรุอานอย่างช้าๆด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ 7.การที่รู้ว่าอัลลอฮฺ ตะอะลา ทรงโต้ตอบกับเขาในละหมาด 8.ละหมาดโดยตั้งสิ่งกั้นไว้ตรงหน้า 9.การวางมือขวาทับมือซ้ายบนหน้าอก 10.การมองไปยังจุดสุญูด ............................................ จาก http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=inyus&month=08-2006&date=05&group=2&gblog=2 อ่านนะครับ ไม่มีใครเขามองไปที่ หินดำครับรู้ไว้ด้วย จากคุณ : Carroth - [ 14 ส.ค. 51 12:12:35 ]

ความคิดเห็นที่ 139 ความคิดเห็นที่ 8 ดังนั้น ถ้าคุณหันหน้าไปทางทิศเมกกะ จริงๆ คุณไม่ได้มองหินดำ คุณมองออกไปในอวกาศ จากคุณ : ธรรมยุทธ ความคิดเห็นที่ 91 ในเมืองแนวสายตาเขาพ้นหินดำไปแล้ว ไปจุดไหนไปแล้ว จากคุณ : ธรรมยุทธ ความคิดเห็นที่ 99 จุดที่ทุกคนมุ่งไปที่เดียวกัน แต่ในเมื่อแนวการมองมันไปคนละทิศละทาง จากคุณ : ธรรมยุทธ ความคิดเห็นที่ 121 หุ หุ  ผมเพิ่งตระหนักว่าการมองของผมเป็นเส้นโค้งได้ จากคุณ : ธรรมยุทธ ความคิดเห็นที่ 126 แบบนี้ยังไม่ชัดอีกเหรอว่า ให้หันหน้าไปยัง ซึ่งผมก็พยายามบอกว่า เนื่องจากโลกกลม การหันหน้าไปยัง... จะไม่พบเจอ จากคุณ : ธรรมยุทธ ดิฉันอ่านมาเยอะแล้วค่ะ คุณยังไม่เข้าใจเรื่องทิศกิบลัตเลยแม้แต่น้อย แต่ยังพยายามจับผิด คุณไปหามาให้เจอก่อนค่ะว่ามีส่วนไหนที่เค้าบอกว่า ต้องมองเห็นจุดๆนั้น ไม่ต้องศึกษาเรื่องทิศกิบลัตหรอกค่ะ ไปศึกษาเรื่อง ทิศปกติๆๆ นี่ก่อนดีกว่า ถ้าคุณจะไปประเทศกัมพูชา คุณต้องไปตามทิศไหน แล้วให้คุณหันไปทางทิศนั้น ที่คุณรู้อยู่แล้วว่าถ้าไปตามทิศนี้ แน่นอน ยังงัยก้อไปถึงกัมพูชาแน่ๆ หรือจะเอาประเทศอังกฤษก้อได้นะ จะไปอังกฤษต้องไปทิศไหนคะ ถ้าคุณบอกทิศตะวันตก แสดงว่าคุณพูดผิดหลักการตัวคุณเองแล้วนะ ถ้าไปทางทิศนั้นเท่ากับคุณเดินออกอวกาศแล้ว เอ๊ะ งี้นักวิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ก้อผิดกันหมดน่ะสิ จะเชื่อคุณ หรือจะเชื่อนักวิทญาศาสตร์ดีหนอ จากคุณ : churryduck - [ 14 ส.ค. 51 12:13:43 ]

ความคิดเห็นที่ 140 แถมเหมือนเด็กปัญญาอ่อนอีกแล้วนะครับ เอ้า ถ้าชอบแบบนั้น ถ้าผมจะหันหน้าไปยังคอมที่ผมพิมพ์เนี่ย ผมหันหลังให้ก็ได้ครับ เพราะ หันหลัง ก็สามารถ วกกลับมายังคอม ได้อีก เวลาคุยกับ ใครสักคนคุณหันหลังคุยแล้วบอกว่า ผมหันหน้าไปยังคุณ เพราะ วกกลับมาเจอคุณอยู่ดีได้มั๊ย? ก็เช่นกัน การหันไปทางไหนก็ย่อมใช้ ทางที่สั้นที่สุด ตรงที่สุดนั่นล่ะครับ เป็นสามัญสำนึกง่ายๆ ไม่ทราบคุณมีหรือเปล่า? หรือได้รับการปลูกฝังมั่งมั๊ยล่ะ จากคุณ : Carroth - [ 14 ส.ค. 51 12:15:09 ]

ความคิดเห็นที่ 141 อ่านในกระทู้นี้ดูได้ครับ มีคำอธิบายไว้หลายอย่าง http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2006/06/Y4425271/Y4425271.html ตัวอย่าง "(กุรอ่าน88:20) "และยังแผ่นดินบ้างหรือว่ามันถูกแผ่ลาดไว้อย่างไร ?" .....โองการนี้เกี่ยวกับ "การใช้สติปัญญาพินิจ พิเคราะ" ครับ ต่อเนื่องมาจาก (กุรอ่าน88:17) "พวกเขาไม่พิจารณาดู...."  จึงเป็นการบอกในลักษณะที่คนทั่วไปในสมัยนั้นสังเกตุเห็นได้ นั่นก็คือ  หากมองแผ่นดิน(โลก) ออกไปแล้ว จะเหมือนกับว่า แผ่นดินได้ถูกลาดออกไป เป็นแผ่นๆ อยากให้ลองดูอีกโองการนึงคือ (กุรอ่าน15:19) "และแผ่นดินนั้นเราได้แผ่มันออกไป และเราได้ทำให้มีเทือกเขาเป็นที่ยึดอย่างมั่นคง และเราได้ให้ทุกสิ่งงอกเงยอย่างสมดุล"   อันนี้เป็นการพูดถึงการสร้างสรรค์ของพระเจ้าครับ ที่น่าทึ่งของโองการนี้คือ เป็นการกล่าวไว้ชัดเจนที่สุดในกุรอ่านว่า "โลกใบนี้ กลม!!" ทำไม? "เราได้แผ่มันออกไป" ในโองการนี้ ใช้คำว่า "มะดัดนา" แปลเป็น"Extended" หากโลกใบนี้"แบน" เราจะใช้คำว่า "มะดัดนา" ไม่ได้ เพราะเดินๆอยู่ เราเองจะตกขอบโลก!! แต่คำนี้ หมายถึงการที่เราเดินอยู่ แล้วก็สามารถเดินต่อไปได้เรื่อยๆ ซึ่งเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจาก เมื่อเราเดินต่อๆไปแล้ว ก็ต่อไปอีก วนๆ จนกลับมาอีกทีครับ   "และเราได้ให้ทุกสิ่งงอกเงยอย่างสมดุล" =="พื้นดินไม่แข็งจนเกินไป จนปลูกอะไรไม่ขึ้น และไม่นุ่มจนเกินไป จนคนไม่สามารถก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างได้"   อันนี้ไม่ได้มีเรื่องวิทยาศาตร์อะไรมาเกี่ยวข้องหรอก แต่มีซักกี่คน ที่เคยคิดกันถึงจุดนี้น่ะครับ จากคุณ : SA Student   - [ 6 มิ.ย. 49 00:42:26 ] นี่แหละครับกุรอ่าน ถูกต้องเสมอ จากคุณ : Carroth - [ 14 ส.ค. 51 12:28:40 ]

ความคิดเห็นที่ 142 เพิ่งรู้นะเนี๊ยว่า เมกา เปิดหลักสูตร แถๆไถๆ ด้วย คุณธรรมยุทธ ได้เกียรตินิยมแน่เลย   แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 51 13:04:13 จากคุณ : Palmyra - [ 14 ส.ค. 51 13:00:51 ]

ความคิดเห็นที่ 143 สำหรับคำถามของ จขกท.ที่มีความอยากรู้เรื่องศาสนาอิสลาม โดยที่ตัวเองไมู่รู้ ไม่เข้าใจนั้น มุสลิมทุกคนยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะอธิบายและให้คำตอบในทุก ๆ สิ่้ง ที่ไม่เข้าใจ และ ที่บอกว่าถ้าถามคำถามอย่างที่ จขกท.ถาม แล้วจะถูกมุสลิม เข้ามาด่าว่านั้น มันก็เกินไป..เท่าที่อ่าน ๆ มาทุกความเห็น ก็ไม่้มีผู้ใดเข้ามาด่าว่า จขกท.เลย ซักคน สำหรับ คุณธรรมยุทธ ที่เข้ามาชำแหละ อัลกุรอ่าน นั้น สำหรับมุสลิมอย่างผม ก็ไม่เคยโกรธเคืองใด ๆ ดีเสียอีกจะได้เข้ามาหาความรู้ต่าง ๆ ของอัลกุรอ่าน เพราะได้อ่านผู้รู้มุสลิม อธิบายแล้ว ก็มีความรู้เพิ่มเติมมากขึ้น สำหรับคุณธรรมยุทธ จะเข้าใจหรือยอมรับคำอธิบายเหล่้านั้นหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ..แต่คุณธรรมยุทธ จะห้ามไม่ให้มุสลิมพูดว่า " งั้นก็อย่าพูดว่ากุรอ่านเป็นวิทยาศาสตร์ " ไม่ได้หรอกครับ เพราะมุสลิมอธิบายสิ่งที่คุณธรรมยุทธ สงสัยได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว และถ้าชำแหละอัลกุรอ่านเสร็จแล้ว คุณธรรมยุทธ กรุณาชำแหละคัมภีร์ ของคุณบ้าง ว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ จริงหรือไม่ หรือเป็นแค่นิยายปรัมปรา.. อธิบายให้ได้เหมือนที่ผู้รู้มุสลิมอธิบายเรื่องอัลกุรอ่าน ..อยากจะรอชม กึ๋นของนักเรียนนอกอย่างคุณ.. แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 51 14:05:11 จากคุณ : Nazed (Nazed) - [ 14 ส.ค. 51 13:58:52 ]

ความคิดเห็นที่ 144 คุณ Nazed  คับ ยอมรับว่า ตั้งกระทุ้แล้ว กลับมาดูอีกที  คห2. เตรียมรอโดนด่า คห.3  เอาแล้ววว เล่นเอาผมใจไม่ดีเท่าไหร่  แต่ก็ไม่เข้าใจคับ ทำไมตั้งกระทู้เกี่ยวศาสนาอื่นๆ โดนต่อว่าหรือตำหนิรึเปล่า  เพราะส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยได้เข้าห้องศาสนาคับ   แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว  ไม่เห็นจะมีใครต่อว่าเลยคับ กลับได้ความรู้มาก(บางคำตอบผมอาจจะงงนะคับ แต่จะพยายามข้าใจ)    อิสลามก็คนไทยเหมือนกัน เพียงแต่เขานับถือศาสนาต่างจากเราเท่านั้น อาจารย์ผมสอนมาแบบนี้คับ จากคุณ : foxaon1 - [ 14 ส.ค. 51 19:56:07 ]

ความคิดเห็นที่ 145 อะไรคือเหตุผลของการหันหน้าไปยังหินดำเวลาละหมาดครับ???? จากคุณ : ธรรมยุทธ - [ 15 ส.ค. 51 07:41:29 ]