ความคิดเห็นที่ 1 1. อสุจิเคลื่อน หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า " ฝันเปียก "  หรือ  wet dream นั้น  เป็นเรื่องปกติสามัญของชายฉกรรจ์วัยสืบพันธ์  ตามหลักธรรมชาติของร่างกาย  หากเจ้าตัวไม่จงใจทำให้มันเคลื่อน  เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายมีความสมบูรณ์เต็มที่  มันก็เคลื่อน  หรือไหล  ออกมาเอง ทั้งนี้  การเคลื่อนออกมาของอสุจิ  ก็ออกมาทางเดียวกับปัสสาวะนั่นแหละ 2. สำหรับผู้เป็นพระภิกษุ  อสุจุเคลื่อนโดยไม่ตั้งใจถือเป็นเรื่องปกติ ไม่อาบัติแต่อย่างใด  แต่ที่จะต้องอาบัติ  นั้น.....  คือ เมื่อมันเคลื่อนออกมาแล้ว ( ออกมาเองนะ  ขณะหลับ  ไม่รู้ตัว) เราเกิดรู้สึกตัว  สติกับคืนมา  รู้ว่ามันมีอะไรเปียกๆ  แต่เจ้าตัวดันกลับไปคิด  " เสียดาย"  กับความฝันที่ผ่านมาอยากให้มีความฝันอันแสนสุขนั้นต่อ   หรือดันไปมีอารมณสมถวิลกับช่วงที่น้ำอสุจิเคลื่อนด้วยความสุขกำซาบ  อย่างนี้.....อย่างนี้..... ...... อย่างนี้  ต้องอาบัติแน่นอน สรุปว่า  หากน้ำอสุจิเคลื่อนโดยเราไม่ตั้งใจ  ถึงรู้ตัวก็อย่าไปสนใจมัน  ก็ไม่เป็นอาบัติ  มันอยู่ที่ใจจริงๆนะ จากคุณ : Detente - [ 23 ส.ค. 51 16:42:41 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เตรสกัณฑ์ เรื่องทายา [๓๔๙] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีแผลที่องค์กำเนิด เมื่อเธอกำลังทายา อสุจิ เคลื่อน เธอได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร? ภิ. ข้าพระพุทธเจ้าไม่มีความประสงค์จะให้เคลื่อนเลย พระพุทธเจ้าข้า ภ. ภิกษุไม่มีความประสงค์จะให้เคลื่อน ไม่ต้องอาบัติ. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีแผลที่องค์กำเนิด เธอมีความประสงค์จะให้อสุจิเคลื่อน กำลังทายา อสุจิเคลื่อน เธอได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วกระมังหนอ จึง กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร? ภิ. ข้าพระพุทธเจ้ามีความประสงค์จะให้เคลื่อน พระพุทธเจ้าข้า ภ. ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีแผลที่องค์กำเนิด เธอมีความประสงค์จะให้อสุจิเคลื่อน กำลังทายา แต่อสุจิไม่เคลื่อน เธอได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร? ภิ. ข้าพระพุทธเจ้ามีความประสงค์จะให้เคลื่อน พระพุทธเจ้าข้า ภ. เธอไม่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย. http://www.vinaya.mbu.ac.th/sec2book2/page019.htm จากคุณ : kongsilp2000 - [ 23 ส.ค. 51 16:57:29 ]

ความคิดเห็นที่ 3 พระไตรปิฎก เล่มที่ ๕  พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒ พระนอนหลับลืมสติ [๑๕๖] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายฉันโภชนาหารอันประณีตแล้วนอนหลับ ลืมสติไม่รู้สึกตัว เมื่อภิกษุเหล่านั้นนอนหลับ ลืมสติ ไม่รู้สึกตัว น้ำอสุจิเคลื่อนเพราะความฝันเสนาสนะเปรอะเปื้อนน้ำอสุจิ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคมีท่านพระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะ เสด็จพระพุทธดำเนินไปตามเสนาสนะ ได้ทอดพระเนตรเห็นเสนาสนะเปรอะเปื้อนน้ำอสุจิ ครั้นแล้วรับสั่งถามท่านพระอานนท์ว่า อานนท์ เสนาสนะนั่นเปรอะเปื้อนอะไร? อา. พระพุทธเจ้าข้า เดี๋ยวนี้ภิกษุทั้งหลายฉันโภชนาหารอันประณีตแล้วนอนหลับ ลืมสติ ไม่รู้สึกตัว เมื่อภิกษุเหล่านั้นนอนหลับ ลืมสติ ไม่รู้สึกตัว น้ำอสุจิเคลื่อนเพราะความฝัน เสนาสนะนี้นั้นจึงเปรอะเปื้อนน้ำอสุจิ พระพุทธเจ้าข้า. ภ. ข้อที่กล่าวมานั่นย่อมเป็นอย่างนั้น อานนท์ ข้อที่กล่าวมานั่นย่อมเป็นอย่างนั้น อานนท์ ความจริง เมื่อภิกษุเหล่านั้นนอนหลับ ลืมสติ ไม่รู้สึกตัว น้ำอสุจิจึงเคลื่อนเพราะความฝัน ภิกษุเหล่าใดนอนหลับ มีสติตั้งมั่น รู้สึกตัว น้ำอสุจิของภิกษุเหล่านั้นไม่เคลื่อน อนึ่ง น้ำอสุจิของภิกษุปุถุชน ผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม ก็ไม่เคลื่อน ข้อที่น้ำอสุจิของพระอรหันต์จะพึงเคลื่อนนั้นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส.             ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันนี้เรามีอานนท์เป็นปัจฉาสมณะเที่ยวเดินไปตามเสนาสนะ ได้เห็นเสนาสนะเปรอะเปื้อนน้ำอสุจิ จึงได้ถามอานนท์ว่า เสนาสนะนั่นเปรอะเปื้อนอะไร อานนท์ชี้แจงว่า พระพุทธเจ้าข้า เดี๋ยวนี้ภิกษุทั้งหลาย ฉันโภชนาหารอันประณีตแล้ว นอนหลับ ลืมสติ ไม่รู้สึกตัว เมื่อภิกษุเหล่านั้นนอนหลับลืมสติไม่รู้สึกตัว น้ำอสุจิเคลื่อนเพราะความฝัน เสนาสนะนี้นั้นจึงได้เปรอะเปื้อนน้ำอสุจิ เราได้กล่าวรับรองว่า ข้อที่กล่าวมานั่นย่อมเป็นอย่างนั้น อานนท์ ข้อที่กล่าวมานั้นย่อมเป็นอย่างนั้น อานนท์ ความจริง เมื่อภิกษุเหล่านั้นนอนหลับลืมสติ ไม่รู้สึกตัว น้ำอสุจิจึงเคลื่อนเพราะความฝัน ภิกษุเหล่าใดนอนหลับ มีสติตั้งมั่น รู้สึกตัว น้ำอสุจิของภิกษุเหล่านั้นไม่เคลื่อน อนึ่ง น้ำอสุจิของภิกษุปุถุชนผู้ปราศจากความกำหนัดในกามก็ไม่เคลื่อน ข้อที่น้ำอสุจิของพระอรหันต์จะพึงเคลื่อนนั้น ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส. นอนหลับลืมสติ มีโทษ ๕ ประการ             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่นอนหลับ ลืมสติ ไม่รู้สึกตัว มีโทษ ๕ ประการ นี้คือ หลับเป็นทุกข์ ๑ ตื่นเป็นทุกข์ ๑ เห็นความฝันอันลามก ๑ เทพดาไม่รักษา ๑ อสุจิเคลื่อน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่นอนหลับ ลืมสติ ไม่รู้สึกตัว มีโทษ ๕ ประการนี้แล. นอนหลับคุมสติ มีคุณ ๕ ประการ             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่นอนหลับ มีสติตั้งมั่น รู้สึกตัวอยู่ มีคุณ ๕ ประการนี้ คือ หลับเป็นสุข ๑ ตื่นเป็นสุข ๑ ไม่เห็นความฝันอันลามก ๑ เทพดารักษา ๑ อสุจิไม่เคลื่อน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่นอนหลับ มีสติตั้งมั่น รู้สึกตัว มีคุณ ๕ ประการ นี้แล. http://84000.org/tipitaka//pitaka1/v.php?B=05&A=4132&Z=4164 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 51 17:22:19 จากคุณ : kongsilp2000 - [ 23 ส.ค. 51 17:09:52 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เจริญพร แห่ะ ๆ ไม่ค่อยกระจ่างน่ะครับ ส่วนตัวตรง ๆ คือรายละเอียดตรงนี้ มันมีลึกเข้าไปอีกเรื่องของการเคลื่อน ซึ่งแยกเป็น 2 อย่างที่บอกไปแล้ว คือ 1. เคลื่อนในกาย 2. เคลื่อนออกนอกกาย คำว่าเคลื่อนที่ว่ามาตามพระวินัย หมายถึงทั้งสองอย่างหรือไม่ เพราะความเป็นจริง ในกายมันสามารถเกิดได้ทั้ง 2 อย่าง บอกตรง ๆ กลัวในครั้งหน้า ถ้ามันมาอีกถ้าเราไม่ยินยอม มันก็ไม่ต้องอาบัติ แต่กลัวว่าหากครั้งหน้าเกิดจิตมันเกิดแอบสุขสม ซาบซ่าน หากมันออกจากกาย คือต้องสังฆาทิเสสชัวร์ แต่หากมันเคลื่อนในกายล่ะ ไม่ออกมา จักเป็นการต้องถุลลัจจัยหรือเป็นการสังฆาทิเสส ปัญหาคือ มันมีเคลื่อนนอก มีเคลื่อนใน น่ะครับ เจริญพรครับ แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 51 17:17:28 จากคุณ : nickydogz - [ 23 ส.ค. 51 17:16:00 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เท่าที่ทราบมา.. ..ในกรณีที่เจตนาเพื่อบำบัดความใคร่ หากเคลื่อนอยู่ภายใน อั้นไม่ให้ออกมา ก็สังฆาทิเสสครับ (แต่ลองรอผู้รู้ท่านอื่นก่อนนะครับ เพราะน่าจะมีรายละเอียดขยายในอรรถกถาเป็นต้น) ส่วนเรื่องเจตนาหรือไม่คงต้องพิจารณาเป็นกรณีไป ลองพิจารณาเรื่องข้างล่างนี้ดู.. ทำแบบเดียวกัน แต่เจตนาต่างกันก็อาบัติต่างกันครับ http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=1&A=12744&Z=13151&pagebreak=0 จากคุณ : He-Who-Must-Not-Be-Named - [ 23 ส.ค. 51 17:18:06 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อสุจิเป็นธาตุ 4 มันเคลื่อนตามธรรมชาติของผู้ยังใหม่ในธรรมวินัย ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเพราะก็ธาตุน้ำไม่ต่างจากอุจจาระ ปัสวะ เป็นธรรมดาของสรีระแต่....หากขณะเคลื่อนมีจิตยินดีก็ควรไปหาวัดเข้าปริวาส....เวลาสึกจิตจะได้ไม่มีมนทิน หาวัดเข้าปริวาสได้จากพิมพ์คำว่า " ปริวาส " ที่google.com วันออกพรรษามีหลาย 10 วัดที่จัดปริวาสประจำทุกปี จากคุณ : พุทธจิต - [ 23 ส.ค. 51 17:34:39 ]

ความคิดเห็นที่ 7 อ่อ.. ไปค้นเจอในเน็ทครับ.. ถ้าอย่างไรช่วยตรวจสอบด้วยนะครับ เพราะหาไม่เจอ(หาไม่เป็น) ในเว็บ 84000 น่ะครับ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 100 พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 101 http://www.thepalicanon.com/91book/book03/051_100.htm http://www.thepalicanon.com/91book/book03/101_150.htm ".... ก็คำว่า ปล่อยนี้ โดยใจความ     เป็นการทำให้เคลื่อนจากฐาน.     ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า กิริยาที่ทำให้เคลื่อนจากฐานเรียกว่าปล่อย.       ในคำนั้น พระอาจารย์ทั้งหลายกำหนดฐานแห่งสุกกะไว้ ๓ ส่วน   คือ กระเพาะเบา  ๑  สะเอว ๑  กาย ๑.   ได้ยินว่า พระอาจารย์รูปหนึ่งกล่าวว่า         กระเพาะเบาเป็นฐานของสุกกะ.       รูปหนึ่งกล่าวว่าสะเอวเป็นฐานของสุกกะ.   รูปหนึ่งกล่าวว่า  กายทั้งสิ้น. ในวาทะของอาจารย์ที่หนึ่ง       เมื่อภิกษุพยายามที่นิมิตด้วยความยินดีจะให้เคลื่อน       แมลงวันน้อย ๆ  ตัวหนึ่งพึงดื่มน้ำอสุจิมีประมาณเท่าใดได้   เมื่ออสุจิมีประมาณเท่านั้นมาตรว่าเคลื่อนจากกระเพาะเบา   ไหลลงสู่คลองปัสสาวะ   จะออกข้างนอกก็ตาม   ไม่ออกก็ตาม    เป็นสังฆาทิเสส.     ในวาทะของอาจารย์ที่สองก็เหมือนกัน     เมื่ออสุจิมาตรว่าเคลื่อนจากสะเอวไหลสู่คลองปัสสาวะเป็นสังฆาทิเสส.       ในวาทะของอาจารย์ที่สาม ก็เหมือนกัน     เพราะยังกายทั้งสิ้นให้หวั่นไหว เมื่ออสุจิมาตรว่าเคลื่อนออกจากกายนั้นไหลลงสู่คลองปัสสาวะ       จะออกข้างนอกก็ตาม   ไม่ออกก็ตาม   เป็นสังฆาทิเสส.   ก็แลความไหลลงสู่คลองปัสสาวะ.   ท่านกล่าวไว้ในการไปล่อยสุกกะนี้   ก็เพราะ   เป็นของที่ใคร ๆ ไม่พึงอาจจะกลั้นห้ามเสียในระหว่างได้. จริงอยู่   อสุจิะเคลื่อนจากฐานแล้ว ย่อมลงสู่คลองปัสสาวะเป็นแน่; เพราะฉะนั้นในการปล่อยสุกกะนี้     พึงทราบอาบัติ    ด้วยเหตุเพียงให้ เคลื่อนจากฐานเท่านั้น.   และอาบัตินั้นแล  ย่อมมีแก่ภิกษุผู้พยายามที่นิมิตเท่านั้น.   ส่วนในการทำหัตถบริกรรม   ปาทบริกรรม   และคัตตบริกรรม ถ้าแม้นอสุจิเคลื่อนก็ไม่เป็นอาบัติ.       นี้เป็นวินิจฉัยทั่วไปแห่งอาจารย์ทั้งปวง.... " สรุปง่ายๆ ตามที่ระบุไว้ในความเห็นที่ 5 <เมื่อเจตนาให้เคลื่อน> ถ้าสุกกะเคลื่อน(อยู่ภายใน) จะปล่อยหลุดออกมาข้างนอก หรือไม่ออกมาก็ตาม ..ก็ต้องสังฆาทิเสสครับ (แต่ตรวจสอบความถูกต้องอีกทีนะครับ) แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 51 17:55:02 จากคุณ : He-Who-Must-Not-Be-Named - [ 23 ส.ค. 51 17:44:41 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ต้องไปอ่านเพิ่มเติมจากข้อวินัจฉัยเรื่องนี้ในวินัยมุข  และปุพพสิกขาวรรณา และสมันตปาสาทิกา และกังขาวิตรณี(แปล)  เพื่อให้เข้าใจชัดๆ...     แต่ความหมายของการเคลื่อนของน้ำอสุจิ   ในตำราบอกว่า ๒ อย่าง คือ ๑. หมายถึงทั้งการเคลื่อนแบบภายในคือเคลื่อนในลำกล้องขององคชาติภายใน  แต่ไม่ไหลออกมาให้เห็นข้างนอก,  และ ๒. หมายถึงการเคลื่อนที่ไหลออกมาให้เห็นข้างนอก  ..แต่ดูเหมือนในบางตำราไม่วินิจฉัยแบบนั้น  บางตำราวินิจฉัยว่า  หมายเอาเฉพาะแบบ ๒. คือเคลื่อนไหลออกมาจนเห็นข้างนอก      ....ดังนั้น ถ้ายังสงสัย  ให้ไปอ่านตำราทั้ง ๔ เล่มนั้นอย่างละเอียดอีกทีในเรื่องนี้ เพื่อความแน่ใจชัดๆ... จากคุณ : Ck (Clarke) - [ 23 ส.ค. 51 19:02:56 ]

ความคิดเห็นที่ 9 แก้ไขเมื่อ 24 ส.ค. 51 04:16:57 จากคุณ : kongsilp2000 - [ 23 ส.ค. 51 20:58:21 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เจริญพร ทุกท่าน ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความกระจ่าง โดยส่วนตัว เข้าใจว่า ยังไม่ต้องสังฆาทิเสส เพราะครั้งที่เกิดขึ้นนั้น รู้สึกตัวก่อนที่จะตื่น ว่าเกิดฝัน และพยายามยับยั้งก่อนตื่น แต่สิ่งที่ทำให้กลัวว่าจะต้อง คือต่อไปในอนาคต เกรงว่าจะเกิดรอยต่อระหว่างความฝันและตอนกำลังตื่น หากอารมณ์ในฝันไม่อาจยั้งได้ เมื่อตื่นมาแล้ว ในเสี้ยววินาทีซึ่งสติยังไม่กลับเข้าสู่การรับรู้ ก็จะทำให้ต้องอาบัติได้ ที่กังวลมีเพียงเท่านี้ล่ะครับ ตอนนี้กำลังหากุญแจตู้เก็บพระไตรปิฎกอยู่ ไม่รู้พระพี่เลี้ยงไปเก็บไว้ไหน ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้บุญรักษาทุกท่าน เจริญพร จากคุณ : nickydogz - [ 23 ส.ค. 51 21:25:32 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เข้ามาเคลื่อน อิอิ จากคุณ : GermanShapherd - [ 23 ส.ค. 51 21:25:42 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เคยได้ยินหลวงพี่บอกว่า เคลื่อนออกจากร่างกายมีปริมาณเท่าแมลงวันกินอิ่มนี้ต้องสังฆาฯ จากคุณ : นายโหลว โขว่วโว่ว (oiooo) - [ 24 ส.ค. 51 00:14:56 ]

ความคิดเห็นที่ 13 แก้ไขเมื่อ 24 ส.ค. 51 04:11:40 จากคุณ : kongsilp2000 - [ 24 ส.ค. 51 01:58:33 ]

ความคิดเห็นที่ 14 [๑๕๖] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายฉันโภชนาหารอันประณีตแล้วนอนหลับ ลืมสติ ไม่รู้สึกตัว เมื่อภิกษุเหล่านั้นนอนหลับ ลืมสติ ไม่รู้สึกตัว น้ำอสุจิเคลื่อนเพราะความฝัน เสนาสนะเปรอะเปื้อนน้ำอสุจิ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคมีท่านพระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะ เสด็จ พระพุทธดำเนินไปตามเสนาสนะ ได้ทอดพระเนตรเห็นเสนาสนะเปรอะเปื้อนน้ำอสุจิ ครั้นแล้ว รับสั่งถามท่านพระอานนท์ว่า อานนท์ เสนาสนะนั่นเปรอะเปื้อนอะไร?             อา. พระพุทธเจ้าข้า เดี๋ยวนี้ภิกษุทั้งหลายฉันโภชนาหารอันประณีตแล้วนอนหลับ ลืม สติ ไม่รู้สึกตัว เมื่อภิกษุเหล่านั้นนอนหลับ ลืมสติ ไม่รู้สึกตัว น้ำอสุจิเคลื่อนเพราะความฝัน เสนาสนะนี้นั้นจึงเปรอะเปื้อนน้ำอสุจิ พระพุทธเจ้าข้า.             ภ. ข้อที่กล่าวมานั่นย่อมเป็นอย่างนั้น อานนท์ ข้อที่กล่าวมานั่นย่อมเป็นอย่างนั้น อานนท์ ความจริง เมื่อภิกษุเหล่านั้นนอนหลับ ลืมสติ ไม่รู้สึกตัว น้ำอสุจิจึงเคลื่อนเพราะ ความฝัน ภิกษุเหล่าใดนอนหลับ มีสติตั้งมั่น รู้สึกตัว น้ำอสุจิของภิกษุเหล่านั้นไม่เคลื่อน อนึ่ง น้ำอสุจิของภิกษุปุถุชน ผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม ก็ไม่เคลื่อน ข้อที่น้ำอสุจิของพระอรหันต์ จะพึงเคลื่อนนั้นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส.             ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุ แรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันนี้เรามีอานนท์เป็นปัจฉาสมณะ เที่ยวเดินไปตามเสนาสนะ ได้เห็นเสนาสนะเปรอะเปื้อนน้ำอสุจิ จึงได้ถามอานนท์ว่า เสนาสนะ นั่นเปรอะเปื้อนอะไร อานนท์ชี้แจงว่า พระพุทธเจ้าข้า เดี๋ยวนี้ภิกษุทั้งหลายฉันโภชนาหารอัน ประณีตแล้ว นอนหลับ ลืมสติ ไม่รู้สึกตัว เมื่อภิกษุเหล่านั้นนอนหลับลืมสติไม่รู้สึกตัว น้ำอสุจิ เคลื่อนเพราะความฝัน เสนาสนะนี้นั้นจึงได้เปรอะเปื้อนน้ำอสุจิ เราได้กล่าวรับรองว่า ข้อที่ กล่าวมานั่นย่อมเป็นอย่างนั้น อานนท์ ข้อที่กล่าวมานั้นย่อมเป็นอย่างนั้น อานนท์ ความจริง เมื่อภิกษุเหล่านั้นนอนหลับลืมสติ ไม่รู้สึกตัว น้ำอสุจิจึงเคลื่อนเพราะความฝัน ภิกษุเหล่าใด นอนหลับ มีสติตั้งมั่น รู้สึกตัว น้ำอสุจิของภิกษุเหล่านั้นไม่เคลื่อน อนึ่ง น้ำอสุจิของภิกษุปุถุชน ผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม ก็ไม่เคลื่อน ข้อที่น้ำอสุจิของพระอรหันต์จะพึงเคลื่อนนั้น ไม่ใช่ ฐานะ ไม่ใช่โอกาส. นอนหลับลืมสติ มีโทษ ๕ ประการ             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่นอนหลับ ลืมสติ ไม่รู้สึกตัว มีโทษ ๕ ประการ นี้คือ หลับ เป็นทุกข์ ๑ ตื่นเป็นทุกข์ ๑ เห็นความฝันอันลามก ๑ เทพดาไม่รักษา ๑ อสุจิเคลื่อน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่นอนหลับ ลืมสติ ไม่รู้สึกตัว มีโทษ ๕ ประการนี้แล. นอนหลับคุมสติ มีคุณ ๕ ประการ             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่นอนหลับ มีสติตั้งมั่น รู้สึกตัวอยู่ มีคุณ ๕ ประการนี้ คือ หลับเป็นสุข ๑ ตื่นเป็นสุข ๑ ไม่เห็นความฝันอันลามก ๑ เทพดารักษา ๑ อสุจิไม่เคลื่อน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่นอนหลับ มีสติตั้งมั่น รู้สึกตัว มีคุณ ๕ ประการนี้แล http://84000.org/tipitaka//pitaka1/v.php?B=05&A=4132&Z=4164 จากคุณ : อ้ายหนุ่มพลังม้า - [ 24 ส.ค. 51 06:31:30 ]