ความคิดเห็นที่ 1 ผมจำเดือนไม่ได้ เพราะไม่ได้บันทึก ดูเหมือนว่าจะเป็นระยะตอนต้น ๆ ปี  เมื่อปี พ.ศ. 2517 ปีนั้นเราก็เริ่มจะทำพระอุโบสถ   อ้อใช่แล้วครับต้นปี  เพราะว่าอากาศยังหนาว ๆ นิด ๆ เห็นจะเป็นเดือนกุมภา หรืออะไร มกรา จำไม่ได้ อาจารย์วรณี สุนทรเวช กับคณะของท่านมาที่วัดนี้บ่อย ๆ ในการมาวัดนี้ของท่านก็ถูกคณาจารย์เดิมโกรธ เช่นเดียวกับสาวกของ เอ้อ อีตาปริพาชก ตาพราหมณ์คนนั้นแหละ เป็นอันว่าเรื่องนี้ผมก็ขอยกไว้ที่อาจารย์โกรธ ผมไม่เห็น เป็นแต่เพียงท่านเล่ากันให้ฟัง ที่นี้เรื่องมาชนกับผมเองบ้าง คือว่าอาจารย์วรณี นี่ถวายที่ไว้แก่พระชุดหนึ่งที่คลองสามรังสิต จะเป็นเนื้อที่กี่ไร่นี่ผมจำไม่ได้   เนื้อที่มาก  และก็กำลังจะสร้างพระอุโบสถ เอาช่างเขียนแปลนเสร็จ  เอาช่างไปแล้ววางผังขุดหลุมจะเทรากฐานกำลังจะตอกเข็มแล้วก็มีความประสงค์จะวางศิลาฤกษ์ จากคุณ : ทวนทอง - [ 30 ส.ค. 51 05:58:36 ]

ความคิดเห็นที่ 2 สำหรับวัดนี้นอกจากอาจารย์วรณีจะให้ที่แล้ว ยังออกเงินให้ในการก่อสร้างทั้งหมด ทะนุบำรุงวัดนั้นทั้งหมด ที่หมดไปแล้วจำไม่ได้เนื้อที่ เพราะว่าคิดว่าจะเกินกว่าร้อยไร่แล้วก็ยังจะให้ เมื่อก่อสร้างแล้วก็ยังไม่พอ ยังจะให้เงินเป็นมูลนิธิสำหรับวัดนั้นอีกซัก ประมาณ สิบล้านหรือสิบล้านเศษผมจำไม่ได้ ก็สิบล้านน่ะสิบล้านแน่ แต่ว่าจะเศษเท่าไรนี่ผมจำไม่ได้ จากคุณ : ทวนทอง - [ 30 ส.ค. 51 05:59:22 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ทีนี้การจะวางศิลาฤกษ์ของท่าน ไม่ทราบว่าท่านมีความรู้สึกยังไง จ ะ นิ ม น ต์ ผ ม ไ ป ใ น ฐ า น ะ เ ป็ น ผู้ ว า ง ศิ ล า ฤ ก ษ์ ทีนี้ความจริงพระที่วัดนั้นก็เคยมาหาผม ท่านทำท่าเหมือนว่าจะเป็นบัณฑิต ตามที่ทราบมาว่าเป็นนิสิตเกษตร สำเร็จปริญญาจากเกษตรฯ เวลาท่านมาหาท่านบอกว่าท่านต้องการอภิญญา แต่ผมเองเรื่องอภิญญาสมาบัตินี่ ใครอย่ามายุ่งกับผม ผมไม่เอาด้วย ผมไม่ได้เห็นชอบด้วย ผมก็คุยให้ท่านฟังว่า ท่านต้องการอภิญญาก็ปฏิบัติตามนั้น ตามแบบฉบับ หรือว่าแบบปกติ ท่านทำท่าเหมือนว่าจะเลื่อมใส แต่คนอย่างผมนี่ใครจะเลื่อมใสหรือไม่เลื่อมใสผมก็ไม่สนใจ ถามมาผมก็บอกไป เป็นอันว่าเมื่อถึงเวลาที่จะวางศิลาฤกษ์ ผมก็ไม่ทราบเหตุมาก่อน แต่ไปได้ทราบทีหลัง เขาบอกว่ามีข่าวไปที่นั่นว่า ผมกับเจ้ากรมสื่อสารทหารอากาศคือเวลานั้นได้แก่ พลอากาศตรีหม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์ เวลานี้ท่านเป็นพลอากาศโทเป็นเจ้ากรมสื่อสารทหาร จะยกกำลังไปยึดวัดเอามาเป็นวัดของตน นี่ต้องคิด ข่าวนี้ต้องคิด ทำเหมือนกะว่ามันทำง่าย ๆ เจ้าของเขาก็มี ไอ้ที่ดินเขาก็มีโฉนด พระก็มีปกครอง ผมจะย่องไปยึดวัดของเขานี่ข่าวล่วงหน้าไปก่อน   ก็ไม่ทราบว่าข่าวไปจากไหน   แต่เนื้อแท้จริง ๆ ท่านเจ้าภาพ นิ ม น ต์ ผ ม ไ ป ว า ง ศิ ล า ฤ ก ษ์ ไอ้เรื่องนี้สนุกคุณ พวกคุณฟังกันแล้วก็ ทำกำลังใจให้ดีนะ ลองคิดว่า ถ้าถูกเขาแบบนั้นบ้างคุณจะวางใจแบบไหน   นี่ไม่ใช่พราหมณ์หวงลูกศิษย์เฉย ๆ แ ต่ เ ป็ น พ ร า ห ม ณ์ ห ว ง ส ม บั ติ ด้วย   แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 51 02:03:02 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 51 01:38:51 จากคุณ : ทวนทอง - [ 30 ส.ค. 51 06:00:09 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อเวลาไปถึงตอนเช้า  ผมก็แปลกใจที่มีนิสิตนักศึกษาของเกษตรเป็นกลุ่มใหญ่ยืนอยู่หน้าทาง มีวิทยุติดต่อกัน ผมน่ะอยู่ไกลฟังไม่รู้เรื่อง ผมก็เดินเรื่อยเข้าไปตามเรื่อง มีคนนำ แต่ทีนี้คนที่อยู่ใกล้ ๆ กับพวกนิสิตนักศึกษาเกษตรเขามาเล่าให้ฟังว่า ผมกับเจ้ากรมสื่อสารทหาร กับคณะเดินลงไปเข้าเขต เขาวิทยุถามกันไปว่า เวลานี้พระมหาวีระมาแล้ว จะอนุญาต.. ยอมให้เข้าหรือไม่ยอมให้เข้า   ไอ้ความจริงผมไม่รู้เรื่องกับเขาเลย เขายอมหรือไม่ยอมก็ไม่รู้ มันเรื่องอะไร  ผมก็ไม่รู้ แต่ว่า(เขา)คงได้รับคำตอบมาจากทางโน้นบอกว่า ยอมให้เข้า เมื่อยอมให้เข้าไปแล้ว ยอมหรือไม่ยอมก็ไม่มีใครเข้ามาห้ามผม ผมก็เดินไปตามคนเขานำ เมื่อเข้าไปถึงข้างในแล้วก็มีอาการแปลก แต่ผมก็มองดูเฉย ๆ เหมือนกับว่าไม่มีใครเขาสนใจ   เจ้าภาพเองเนี่ยให้เงินตั้งสิบล้านเป็นมูลนิธิแล้วบริจาคที่อีกนับราคาหลายล้าน และให้เงินอีกหลายล้านในการก่อสร้าง กำลังจะตอกเข็ม   ทั้งพระ ทั้งเจ้าหน้าที่ในนั้นก็ไม่ได้สนใจ นี่ผมก็แปลก ไปเกือบจะหาที่นั่งจะไม่ได้ จากคุณ : ทวนทอง - [ 30 ส.ค. 51 06:01:01 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เวลานั้นเจ้าคุณวัดปากน้ำภาษีเจริญปัจจุบัน  เจ้าคุณเจ้าอาวาส และพระที่นั่นก็มาจากวัดปากน้ำภาษีเจริญ แล้วท่านเป็นเจ้าอาวาสด้วย กำลังเป็นเจ้าคณะตรวจการภาควัดภาษีเจริญด้วย เป็นเจ้าคณะตรวจการภาคสาม แล้วก็ตอนที่ผมไป  ย้ายไปอยู่ภาคสิบห้าแล้ว   ท่านมานั่งสวดมนต์อันดับแรก ที่พวกเราเข้าไปกันเกือบจะหาที่นั่งไม่ได้เป็นอันดับแรก ในระยะต่อมา ท่านเจ้าคุณ ท่านก็บอก “นิมนต์ ท่านมหานิมนต์นั่งที่นี่สิขอรับ มาสวดมนต์ด้วยกัน” ท่านก็ขยับที่ให้ในฐานะที่ผมอาวุโสมากกว่าท่าน   ผมก็เรียนกะท่านว่า  “ เขาไม่ได้นิมนต์ผมมาสวดมนต์ ก็ไม่จำเป็นหรอกครับ ” ผมก็นั่งตามที่ที่เขาจัดให้ แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 51 01:43:17 จากคุณ : ทวนทอง - [ 30 ส.ค. 51 06:02:43 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ต่อจากนั้นไปเรื่องมันก็เกิด โอละพ่อกันขึ้น เป็นอันว่าพระที่ ที่เจ้าภาพยกที่ให้ ตั้งท่า ตั้งท่าพิเศษ บอกว่าขอให้มาทำเงื่อนไขกันก่อน อันดับแรก เขาเชิญพวกเดียวกันมาประชุมต่อหน้าเจ้าคุณ แล้วก็เธอเชิญท่านเจ้าภาพ ท่านเจ้าของที่ผู้ให้เงินในการก่อสร้างนับล้าน และก็จะให้เงินเป็นมูลนิธิอีกสิบล้าน คืออาจารย์วรณี สุนทรเวช เข้าไปร่วมประชุมกันต่อหน้าแขกทั้งหมด แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 51 01:47:23 จากคุณ : ทวนทอง - [ 30 ส.ค. 51 06:03:51 ]

ความคิดเห็นที่ 7 อันดับแรกเขาก็ยื่นเงื่อนไขว่า “ ขอให้พระองค์นี้ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดนี้ ”  พูดกับท่านเจ้าคุณใหญ่ หรือว่าอาจารย์วรณี สุนทรเวช ผมก็แปลกใจว่า   เอ๊ะ สำนักนี้เขาสอนพระกรรมฐานกันนี่ ทำไมอยากเป็นเจ้าอาวาส เป็นหรือไม่เป็นมันก็เป็นอยู่แล้ว อาจารย์วรณี สุนทรเวช ก็บอกไม่เป็นไร  “ ถ้าท่านต้องการเป็นเจ้าอาวาสก็สุดแล้วแต่ท่านเจ้าคุณใหญ่ ”   อีกองค์หนึ่งบอกว่า  “ ถ้าอย่างนั้นเมื่อตกลงแล้วก็ต้องให้อาตมาเป็นรองเจ้าอาวาส ” นี่ยื่นเงือนไขกันแปลก ๆ ความจริงอาการอย่างนี้   พระในพระพุทธศาสนาเขาไม่ทำกัน ผมก็นั่งดู อาจารย์วรณี สุนทรเวช ท่านก็ไม่คัดค้าน บอกว่า  “ ตามใจ วัดนี้ฉันถวายพระพุทธศาสนา ก็สุดแล้วแต่ท่านเจ้าคุณใหญ่”   ถ้าหากว่าผมฟังไม่ผิดนะ นั่งไกล จากคุณ : ทวนทอง - [ 30 ส.ค. 51 06:04:38 ]

ความคิดเห็นที่ 8 แล้วต่อไปก็มีการวางเงื่อนไขอีกว่า  การวางศิลาฤกษ์วันนี้ ต้ อ ง ไ ม่ ใ ช่ ม ห า วี ร ะ ว า ง   ขอให้ท่านเจ้าคุณใหญ่เป็นคนวางศิลาฤกษ์   ตอนนี้รู้สึกว่าคณะของท่านเจ้าภาพ จะหน้าไม่ดี แต่ผมก็บอกไปว่า  ก า ร ว า ง ศิ ล า ฤ ก ษ์ ไ ม่ สำ คั ญ   มาวันนี้ ท่ า น เ จ้ า ภ า พ นิ ม น ต์ ม า แต่ถ้าว่า ถ้าไม่ให้วางก็ไม่เป็นไรหรอก ผมก็ไม่อยากวาง ไอ้วางศิลาฤกษ์ เอาหินไปวาง ๆ ผมไม่เห็นมันมีประโยชน์ ไม่เห็นมันมีอะไร แต่ขณะนั้น คนที่ฟัง ๆ กัน เขารู้สึกว่า เขาสงสารผม แต่ผมไม่เคยสงสารตัวผมเองเลย เพราะว่าไอ้เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ผมโดนมาหนักกว่านั้น แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่า ท่ า น เ จ ริ ญ พ ร ะ ก ร ร ม ฐ า น กั น ยั ง ไ ง ทำ ไ ม ถึ ง แ บ ก กิ เ ล ส    ต้ อ ง ก า ร ล า ภ    ต้ อ ง ก า ร ย ศ กั น นี่ผมนั่งปลงธรรมสังเวชของผมคนเดียว   แต่ว่าคนอื่นนั่นน่ะเขาสงสารผม เขาคงจะสงสารในฐานะที่ผมนี่ถูกนิมนต์ไปให้วางศิลาฤกษ์ แต่ว่าทางวัดนั้น ไ ม่ ต้ อ ง ก า ร ใ ห้ ผ ม ว า ง ศิ ล า ฤ ก ษ์ ไอ้คนอื่นเขาสงสารผม ผมกลับไปสงสารพระที่วัดนั้น และท่านเจ้าคุณวัด.. เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เ พ ร า ะ ว่ า ท่ า น ใ น ฐ า น ะ เ ป็ น ผู้ ใ ห ญ่   ท่ า น ค ง จ ะ อ า ย ม า ก แล้วผมก็ไปสงสารเจ้าภาพว่า  เจ้าภาพทุ่มเทเนื้อที่ไป ผมเข้าใจว่าถึงร้อยไร่น่ะครับ ผมจำไม่ได้ เนื้อที่มากจริง ๆ แล้วก็ทุ่มเทงานก่อสร้างเข้าไปเป็นล้านแล้ว แต่ทว่าพระที่ให้ไปอยู่ที่นั่น กลับเป็นฝ่ายยื่นโนติ๊ส จะเอาอย่างนั้น จะเอาอย่างนี้   พอท่านบอกว่าต้องยอมให้องค์นั้นเป็นเจ้าอาวาส และต้องยอมให้องค์นี้เป็นรองเจ้าอาวาส อันนี้ผมอายชาวบ้านเขาเกือบตาย  เพราะว่าชาวบ้านที่นั่งอยู่ที่นั้นนับร้อย ผมรู้สึกอายจริง ๆ ขอรับ แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 51 02:24:06 จากคุณ : ทวนทอง - [ 30 ส.ค. 51 06:05:28 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่ได้อายชาวบ้านเขาในฐานะที่ผมไม่ได้วางศิลาฤกษ์ อันนี้ไม่เกี่ยว ผมไม่มีความรู้สึก อายเขา ไม่คิดเลยว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาจะเป็นอย่างนั้น และก็อายแทนท่านเจ้าคุณใหญ่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ที่ลูกศิษย์ของท่าน สามารถยื่นโนติ๊สกับท่านแบบนั้น และก็อายแทนท่านเจ้าภาพผู้บริจาคทรัพย์ ว่าท่านบริจาคทรัพย์เนื้อที่มาก ราคานับล้าน และก็บริจาคทรัพย์ในการก่อสร้างไปแล้วนับล้าน กำลังจะสร้างพระอุโบสถอีกราคานับล้าน นายช่างก็วางผังแล้ว กำลังจะตอกเข็ม มาเกิดยุ่งกันตอนนี้ แม้แต่ข้าวพวกเราก็เกือบจะไม่มีกินกัน นี่สมมติว่าเป็นกำลังใจของท่าน ถ้าไปโดนเข้าแบบนี้ ท่านจะนึกโกรธใครสักคนมั๊ย นี่เอาเรื่องจริง ๆ กันมาพูดนะ ท่านทั้งหลายที่กำลังศึกษาอยู่เวลานี้ก็เหมือนกัน ต้องเตรียมตัวเตรียมใจในอาการอย่างนี้ไว้ด้วย ว่าการที่เราถูกเชิญไปในที่ต่าง ๆ นี่ เราต้องระมัดระวังไว้ ว่าดีไม่ดี งานที่เขามอบหมายให้เราน่ะ มันอาจจะกลายเป็นประเภทผม แต่ผมโดนมาซะเยอะ มันช่ำ โดนมาจนหนังชา ชาจนถึงที่สุด จนเวลานี่ไม่ชาแล้ว มันหมดความรู้สึก เมื่ออาการอย่างนี้ปรากฏ ผมก็สงสาร แทนที่ผมจะอาย แต่ผมไม่อายใครเลย ท่านรู้สึกมั๊ยว่า ผมหน้าด้านมาก จากคุณ : ทวนทอง - [ 30 ส.ค. 51 06:06:07 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ใจของผมเวลานั้น มันสบาย ๆ ชอบกล ไม่มีความรู้สึกอะไร แต่กลับไปสงสารคนอื่น คนอื่นเขาสงสารผม คงจะสงสารในฐานะที่เสียหน้าที่เขาไม่ยอมให้วางศิลาฤกษ์ แต่ท่านเจ้าภาพก็พยายาม กระทั่งสุดท้ายก็ให้เอา ไปพรมน้ำมนต์แล้วก็โปรยข้าวตอก ดอกไม้ ผมสงสารท่านเจ้าภาพ แล้วก็ไปสงสารพระชุดนั้น สงสารท่านเจ้าคุณใหญ่วัดปากน้ำภาษีเจริญ มามองดูหน้าท่านแล้ว รู้สึกว่าท่านสลดมาก   เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่  ท่านคาดไม่ถึง ว่าลูกศิษย์ของท่านจะทำอย่างนั้น ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ แต่ว่าท่านจะมีความรู้สึกอย่างผมหรือไม่นี่ผมไม่ทราบ นี่ผมคิดเอาเอง จากคุณ : ทวนทอง - [ 30 ส.ค. 51 06:06:53 ]

ความคิดเห็นที่ 11 แล้วผลงานต่อไป ที่มันจะพึงเกิดขึ้นกับพระประเภทนั้น นั่นก็คือ เจ้าภาพจะทำการสร้างโบสถ์ราคาเป็นล้าน ช่างก็ไปแล้ว เข็มเขิมไปแล้วเสร็จ งานสร้างโบสถ์หลังนั้นถูกงด คือไม่มีการสร้างต่อไป เจ้าภาพท่านตัดสินใจว่า ส่วนใดที่เสีย เสียแล้วเสียไป แต่ของใหม่ไม่ให้ ก็คือบอกเลิกการก่อสร้างพระอุโบสถกับช่าง แล้วในการต่อมาทราบว่าเงินมูลนิธิสิบล้าน ที่ท่านจะให้ ท่านก็ถอดใจไม่ยอมให้เสียเลย เอาเงินจำนวนนี้ไปก่อสร้างถาวรวัตถุใหม่ที่อื่น คือ เป็นศาลาการเปรียญที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ กับวัดอะไรอีกวัดหนึ่ง ที่เจ้าคุณวิเชียรไปเป็นเจ้าอาวาส เป็นอันว่าพระคณะนั้นที่มีความมุ่งมาด อยากจะได้ทรัพย์สินประมาณสักสิบล้านบาทมูลนิธิ ก็ไม่ได้ จากคุณ : ทวนทอง - [ 30 ส.ค. 51 06:07:36 ]

ความคิดเห็นที่ 12 แต่ก่อนที่ไม่ได้นั่นน่ะ มันมีอย่างนี้อีก คือท่านเจ้าภาพมาบอกให้ผมฟัง บอกว่า  พระวัดนั้นนั่นแหละ ที่เป็นวัดของท่านสร้างให้ เมื่อท่านถอน อ้า เมื่อท่าน เรียกว่า ในระยะแรกที่เป็นการตกลงว่าใครต้องเป็นเจ้าอาวาสกันมาแล้ว   หลังจากนั้นงานเสร็จผ่านไป ก็มาขออนุญาต เงินที่เขาฝากไว้ที่ธนาคารใด ธนาคารหนึ่ง จะขอย้ายจากธนาคารนี้ไปธนาคารโน้น   อันนี้ผมก็ไม่เข้าใจ ว่า  ทำไมจะต้องการแบบนั้น มาทราบจากเจ้าหน้าที่ธนาคารคนหนึ่งบอกว่า ถ้าย้ายเงินจากธนาคารนี้ไปธนาคารโน้น มันได้อะไรค่าคอมมิชชั่น ค่ารางวัลอะไรก็ไม่ทราบ ได้เงินเป็นกรณีพิเศษ ก็อย่างนั้น ผมก็ไม่รู้ แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 51 02:28:13 จากคุณ : ทวนทอง - [ 30 ส.ค. 51 06:08:34 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เป็นอันว่าเงินสิบล้าน ท่านเจ้าภาพก็ไม่ให้ ในการก่อสร้างต่อไปท่านเจ้าภาพท่านก็ไม่สร้าง แล้วเจ้าภาพก็ตัดญาติขาดมิตร กับพระคณะนั้นทั้งหมด ส่วนที่เสียไปแล้วกี่ล้าน บอกให้ผ่านไป แต่เรื่องใหม่ไม่มี นี่ไอ้เรื่องอย่างนี้นี่เราพูดกันถึงเรื่องของโทสะ ผมคิดว่าถ้าท่านทั้งหลายไปโดนเข้าแบบผม ดีไม่ดีท่านจะมานึกคิดว่า ที่เขานิมนต์เรามานี่งานวางศิลาฤกษ์  ถ้าเรามาเราก็จะอาย และก็จะเสียกำลังใจ   ดีไม่ดี จะไปโกรธเขา   จากคุณ : ทวนทอง - [ 30 ส.ค. 51 06:09:21 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ถ้าหากอาการอย่างนั้นปรากฏล่ะก็ ทำใจให้สบาย แล้วก็จงเตรียมตัวเตรียมใจไว้ตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป ว่า อาการอย่างที่ผมพูดมานี่ แล้วก็อาการอีกตั้งหลายอย่าง ท่านทั้งหลายที่ยังมีชีวิตจะต้องผ่านไปอีกมาก จะต้องประสพพบเห็น และอาจจะได้กะตัวเองของท่าน ถ้าอาการอย่างนั้นปรากฏ ถ้ามีใครเขามานิมนต์ไปก็ดี เชิญไปในกิจการงานอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี ขอให้ไปตามหน้าที่ของพระ ทำใจให้สบาย ๆ คิดว่างานนี้เขาให้เราทำ เราก็ทำ ถ้าไปแล้วเขาไม่ให้เราทำ  เราก็ไม่ทำ   อย่าทำกำลังใจให้มันเสีย  อย่าไปโกรธคนนั้น  อย่าไปคิดว่าคนนี้ ถ้าไปโดนอาการอย่างนั้นขึ้น ก็อย่าไปคิดว่าเขาหักหน้าเรา ความจริงหน้าเราใครหักไม่ได้ หักไม่ลงหรอก มันแข็ง มีกระดูก เราก็ควรจะปรารภพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า โลกนี้มันไม่เที่ยง คนก็ไม่เที่ยง วัตถุก็ไม่เที่ยง อารมณ์ก็ไม่เที่ยง ถ้าอาการอย่างนั้นเกิดขึ้นกับเรา เราก็ควรจะเกิดสังเวชใจ สงสารเขา ว่า เขาผู้นั้นไม่น่าจะเสียสัจจะ เขาผู้นั้นไม่น่าจะทิ้งจริยาของพระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา   ก็การอยากเป็นเจ้าอาวาส การอยากเป็นรองเจ้าอาวาส นี่มันเป็นเรื่องของความโลภในยศ มันไม่ใช่ของดี   จากคุณ : ทวนทอง - [ 30 ส.ค. 51 06:10:08 ]

ความคิดเห็นที่ 15 แล้วอีกประการหนึ่ง การไปยืนหยัด บังคับให้การสร้างพระอุโบสถเป็นไปไม่ได้ นี่เป็นการทำลายทรัพย์สินของพระพุทธเจ้า ทำลายศรัทธา เราควรจะสงสารเขา ว่าเขาทำตัวผิด ไม่ใช่สงสารเรา และก็ควรจะสงสาร ท่านเจ้าของทรัพย์ว่า พระถมเถไป กรรมอะไรของท่านหนอ ที่ไปเจอะเอาพระ  แบบนี้เข้า นี่เป็นอันว่าทำให้ใจท่านเศร้าหมอง แต่ต่อมาผมก็พยายาม ประโลมให้ใจท่านสบาย และก็ควรจะสงสารท่านผู้ใหญ่ ท่านที่เป็นผู้ปกครอง ที่ลูกศิษย์ของท่าน หักหน้าท่าน ไม่ใช่หักหน้าเรา ทำเอาท่านเสียกำลังใจจนเห็นชัด   แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 51 06:12:42 แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 51 06:11:19 จากคุณ : ทวนทอง - [ 30 ส.ค. 51 06:10:54 ]

ความคิดเห็นที่ 16 นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท และพระโยคาวจรทั้งหลาย ตอนนี้องค์สมเด็จพระจอมไตร เล่าเรื่องความโกรธ ผมเลยเอาเรื่องของความโกรธมาพูดว่า  พระพุทธเจ้าถูกความว่า พระพุทธเจ้าก็ไม่โกรธ ไอ้ความจริงผมไม่ใช่พระพุทธเจ้า วันนั้นไม่ทราบว่ากำลังใจมายังไง มันเฉย ๆ ปกติ ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเลย เมื่อเขาค้าน ผมก็ดีใจ บอกไม่ต้องทำงาน แต่อีตอนที่เขาไปยื้อแย่งตำแหน่งเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส กันนี่สิ ผมอายแทนเหลือเกิน ในฐานะที่เป็นพระเหมือนกัน และก็สงสารท่านเจ้าภาพ ว่า  ท่านลงทุนขนาดนั้น ยังไม่มีคนรักท่าน  มีคนทำลายท่าน สงสารท่านเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ในฐานะที่เป็นเจ้าอาวาสด้วย เป็นพระราชาคณะด้วย เป็นเจ้าคณะตรวจการภาคด้วย  แต่ลูกศิษย์ของท่านไปทำอย่างนั้น น่าสงสารมาก..... เอาล่ะต่อจากนี้ไป ขอบรรดาท่านทั้งหลาย จงพยายามรักษากำลังใจ เตรียมตัวเตรียมใจไว้อย่างนี้ ว่า ถูกใครเขาขัดคอขัดใจ ที่ไม่ประกอบด้วยเหตุผล ก็อย่าทำกำลังใจของตนให้มันขึ้น ๆ ลง ๆ  วางใจเป็นอุเบกขา ที่เรียกว่า  สังขารุเปกขาญาณ   จิตใจของท่านจะมีความสุข เพราะถ้าเราโกรธ ใจเราทุกข์ ใจเราเร่าร้อน ถ้าเราไม่โกรธ ใจสบาย.........(จบ) แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 51 06:14:58 จากคุณ : ทวนทอง - [ 30 ส.ค. 51 06:13:44 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เริ่มต้นสร้างวัด จากความละโมบซะขนาดนี้ ประกอบกับความมักใหญ่ใฝ่สูง ทำให้พระบัณฑิตจากเกษตรรูปนี้ ไม่สนใจในเงินบริจาคอีกประมาณนับสิบล้านบาทจากอาจารย์วรณี จะว่าท่านไม่สนใจเลยซะก็ไม่ได้   เพราะในกาลต่อมาท่านรู้ว่า อาจารย์วรณีคิดจะนำเงินไปถวายวัดท่าซุง (ด้วยความเข้าใจผิดของท่านเอง-ท่านจึงขัดขวางไม่ให้พระมหาวีระเป็นผู้วางศิลาฤกษ์ด้วยความโกรธและโมหะ   เพราะในที่สุดแล้ว อาจารย์วรณี  ท่านก็ไปบริจาคเงินให้กับวัดปากน้ำภาษีเจริญแทน) ทุกวันนี้เวลาสนทนาธรรมผ่านดาวธรรมสั่งสอนสานุศิษย์ด้วยสายตาและแววตาที่สอดส่ายไปมา  เป็นสายตาที่ล็อกแล็ก หาความสำรวมไม่ได้แม้นัยน์ตาตนเอง เมื่อเทียบกับแววตา สายตา ของพระวิปัสสนาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในสายอื่น ๆ ที่เปี่ยมด้วยความสุขุมนุ่มนวลดูแล้ว มันบ่งบอกความนัยได้หลายสิ่งหลายประการ จากคุณ : ทวนทอง - [ 30 ส.ค. 51 06:39:39 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ให้เพลงพี่ติ๊ก ชิโร่ครับ ชัดเจน จากคุณ : jiewee - [ 30 ส.ค. 51 06:48:01 ]

ความคิดเห็นที่ 20 นับถือกำลังใจในเหตุการณ์ ของหลวงพ่อ พึ่งเคยได้อ่านครับ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอัศจรรย์ตะวันแก้วอีกหรือเปล่าอยากอ่านครับ จากคุณ : ลมทะเลไม่เคยหลับ - [ 30 ส.ค. 51 06:52:26 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คุณโทมัส อย่าพูดเปรียบเทียบอะไรแบบนี้อีกเลยนะครับ ถ้าไม่รู้จริง ผู้รู้ท่านจะปรามาสเอาได้ แล้วก็อย่าเอาการปฏิบัติแนวทางอื่นที่เค้าดีๆไปเทียบกับวัดแถวคลองปทุมครับ เพราะผมไม่ได้มีกำลังใจในสังขารุเปกขาญาณดีแบบพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ทำให้คนอื่นอารมณ์ขุ่นมัวบาปนะครับ จากคุณ : นีละปอย~* - [ 30 ส.ค. 51 13:49:09 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เข้ามาดู เฉย ๆ ฮับ  พี่น้อง ........ จากคุณ : cattym - [ 30 ส.ค. 51 15:55:10 ]

ความคิดเห็นที่ 24 A i i i เข้ามาดูแต่ให้คะแนน ถูกใจ ซะด้วย มายทามมะดา จริงๆๆนะ จากคุณ : muk_22 - [ 30 ส.ค. 51 16:18:16 ]

ความคิดเห็นที่ 25 แม้ส่วนตัวไม่ได้ถูกจริตกับแนวทางปฏิบัติตามแนวหลวงพ่อฤๅษีฯ แต่เชื่อว่าเรื่องพื้นฐานเช่นนี้ พระท่านย่อมกล่าวตามเหตุการณ์จริงครับ เพิ่งได้เคยอ่านบทความนี้ ขอบคุณที่ยกข้อความมาให้ทราบโดยทั่วกันครับ จากคุณ : He-Who-Must-Not-Be-Named - [ 30 ส.ค. 51 16:18:30 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ได้ข้อคิดดี. จากคุณ : ผมแอบชอบคุณ!! - [ 30 ส.ค. 51 23:39:21 ]

ความคิดเห็นที่ 27 return จากคุณ : in_my_metal - [ 31 ส.ค. 51 03:20:54 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ดูก่อนราหุล เธอจงเจริญเมตตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญเมตตาภาวนาอยู่ จักละพยาบาท (ความคิดจองล้าง) ได้ เธอจงเจริญกรุณาภาวนา เถิดเพราะเธอเมื่อเจริญกรุณาภาวนาอยู่ จักละวิหิงสา (ความคิดเบียดเบียน) ได้เธอจงเจริญมุทิตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญมุทิตาภาวนาอยู่ จักละอรติ (ความอิจฉาตาร้อน) ได้ เธอจงเจริญอุเบกขาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอุเบกขาภาวนาอยู่ จักละปฏิฆะ (ความขุ่นเคือง) ได้ เธอจงเจริญอสุภภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอสุภภาวนาอยู่ จักละราคะ (ความกำหนัดยินดี) ได้เธอจงเจริญอนิจจสัญญาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอนิจจสัญญาภาวนาอยู่จักละอัสมิมานะ (ความถือตัวว่าเป็นเรา) ได้ จากมหาราหุโลวาทสูตรครับ แก้ไขเมื่อ 11 ก.ย. 51 05:36:44 จากคุณ : เป็นประธานกฐินปีละวัด - [ 31 ส.ค. 51 05:33:22 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เรื่องนี้จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยอ่านอยู่เหมือนกัน ผมก็ลองมานึกว่าถ้าเราเป็นท่านบ้างในฐานะที่เรายังเป็นปุถุชนจะรู้สึกอย่างไร ต้องนับถือกำลังใจของหลวงพ่อจริงๆครับ และอีกส่วนก็ทำให้คิดได้ว่าสำนักคลอง3นี้แท้จริงแล้วเขาเป็นอย่างไร จากคุณ : Topกุ๊กกู๋ - [ 31 ส.ค. 51 06:22:05 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ข้อมูลดีมากคุณทวนทอง.. เจ้าพราหมณ์(ถั่วเขียว) นี่ไม่ใช่พราหมณ์หวงลูกศิษย์เฉย ๆ แ ต่ เ ป็ น พ ร า ห ม ณ์ ห ว ง ส ม บั ติ ด้วย ............อืมม..กิเลสจ้าวช่างหนาาาาาจริงๆ จากคุณ : zakai - [ 31 ส.ค. 51 12:04:39 ]

ความคิดเห็นที่ 31 จากคุณ : misery - [ 31 ส.ค. 51 14:35:29 ]

ความคิดเห็นที่ 32 สามารถฟังเสียงจริงของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่ท่านได้เทศน์ตามข้อความที่คุณทวนทองโพสต์ไว้ด้านบน ที่เว็บ http://www.luangpor.com/ ดูในหมวด Audio Files (MP3) เลือก "ปกิณกะคำสอน ม้วนที่ ๒" ครับ จากคุณ : สะเทื้อน - [ 31 ส.ค. 51 16:48:24 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ขอขอบคุณ  คุณสะเทื้อน ที่มะแปะ Link ให้ครับ มีสานุศิษย์ธัมมชโยไม่กล้ายอมรับความจริง  จึงโหวตลบ คห. #17  ออกไป หลักฐานเสียงจริงของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมีอยู่จริง  ไม่ใช่ว่า ผมหยิบอะไรมากล่าวหามั่วซั่ว หากถูกลบอีกครั้ง  ผมคงต้องแจ้ง WM ตรวจสอบและพิจารณาพฤติกรรมการป่วนกระทู้ พอดีใน คห. #17  ผมได้อ้างอิงผู้ที่เคยถอดคำเทศน์นี้  และอ้างอิงผู้ที่นำ Link เสียงเทศน์บทนี้ไว้ด้วย   เป็นการให้เครดิตท่านที่ท่านเป็นผู้นำมาถ่ายทอดให้ผมรับรู้ในเวบบอร์ด Pantip แห่งนี้ ผมจึงขอหยิบยก คห. #17  มาลงอีกครั้ง \/ \/ \/ \/ ****************************************************************************** ความคิดเห็นที่ 17   ไปฟังเสียงหลวงพ่อฤๅษีลิงดำเทศน์เล่าเรื่องอาจารย์วรณี สุนทรเวชดูสิครับ เป็นไฟล์เสียงของท่านเองเลยครับ เริ่มประมาณนาทีที่ 4 ฟังและอ่านเทียบเคียงกับการถอดเทปที่มีคนถ่ายทอดเป็นตัวอักษรไว้แล้วข้างต้นไปด้วย http://luangpor.com/audio/SaveTheWorld/18_1B_Pakinaka.mp3 แล้วท่านจะรู้ว่า พระบัณฑิตจากเกษตร ปรารถนาอภิญญามาตั้งแต่ปี 2517 พอปี 2541-2 ก็สร้างปรากฏการณ์ “อัศจรรย์ตะวันแก้ว” ขึ้นที่คลอง 3 รังสิต เครดิตให้  คุณ mr.poj จากกระทู้ Y6366486 ข้อเท็จจริงกรณี ล็อกอิน จันทร์กลางใจ และ AYXC แอบอ้างสถาบันฯ ...... !!!!!! http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/02/Y6366486/Y6366486.html#205 และคุณ กะหล่ำปลีลวกกินกับขนมจีนน้ำยา   จากกระทู้  Y6632829 แท้จริงแล้ว “มหาลดาปสาธน์” ก็คือชุดเจ้าสาวของมหาอุบาสิกาวิสาขา http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y6632829/Y6632829.html#580 จากคุณ : ทวนทอง    - [ 30 ส.ค. 51 06:23:27 ] ****************************************************************************** \/ \/ \/ \/ จากคุณ : ทวนทอง - [ 31 ส.ค. 51 19:03:27 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ****************************************************** ความคิดเห็นที่ 28 ดูก่อนราหุล เธอจงเจริญเมตตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญเมตตาภาวนาอยู่ จักละพยาบาท (ความคิดจองล้าง) ได้ เธอจงเจริญกรุณาภาวนา เถิดเพราะเธอเมื่อเจริญกรุณาภาวนาอยู่ จักละวิหิงสา (ความคิดเบียดเบียน) ได้ เธอจงเจริญมุทิตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญมุทิตาภาวนาอยู่ จักละอรติ (ความอิจฉาตาร้อน) ได้ เธอจงเจริญอุเบกขาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอุเบกขาภาวนาอยู่ จักละปฏิฆะ (ความขุ่นเคือง) ได้ เธอจงเจริญอสุภภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอสุภภาวนาอยู่ จักละราคะ (ความกำหนัดยินดี) ได้ เธอจงเจริญอนิจจสัญญาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอนิจจสัญญาภาวนาอยู่จักละอัสมิมานะ (ความถือตัวว่าเป็นเรา) ได้ จากมหาราหุโลวาทสูตรครับ จากคุณ : เป็นประธานกฐินปีละวัด  - [ 31 ส.ค. 51 05:33:22 ] ****************************************************** \/ \/ \/ คุณประธานฯ พิจารณาเอาเถอะว่า   ตามประวัติแล้วธัมมชโยได้ปฏิบัติการเจริญเมตตาภาวนามาตั้งแตครั้งยังเป็นนิสิตเกษตร จนออกบวชในปี 2512  จนกระทั่งถึงปี 2517 นั้นนั่นน่ะเป็นระยะเวลากี่ปีแล้ว  นับระยะคร่าว ๆ ก็มากกว่า 5 ปีแล้ว  คุณประธานฯ ลองย้อนขึ้นไปอ่านถ้อยคำของหลวงพ่อฤาษีลิงดำดูสิครับพฤติกรรม/การกระทำของธัมมชโยนั้นเต็มไปด้วยความคิดที่จะเบียดเบียน, ความขุ่นเคือง, อิจฉาตาร้อน, กำหนัดยินดีในลาภยศสรรเสริญเยินยอ, พยาบาท-จองล้าง ด้วยความถือตัวว่าเป็นเรา  ตลอดระยะเวลา 39 ปีที่ผ่านมา แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 51 06:09:30 จากคุณ : ทวนทอง - [ 1 ก.ย. 51 05:56:21 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ไม่เพียงแต่ในระยะเวลา 5 ปีนับแต่ปี 2512-2517 เท่านั้น   เพราะตลอดระยะเวลาที่ธัมมชโยบวชมาตลอด 39 ปีนั้น  ข่าวคราวที่ออกมาเต็มไปด้วยการเบียดเบียน เพื่อเกียติยศ เพื่อเกียรติศักดิ์ และเพื่อความเป็นหนึ่งทั้งนั้น มันช่างสมกับคำที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านว่าไว้จริง ๆ \/ \/ \/ ********************************************************** แล้วต่อไปก็มีการวางเงื่อนไขอีกว่า  การวางศิลาฤกษ์วันนี้ ต้ อ ง ไ ม่ ใ ช่ ม ห า วี ร ะ ว า ง   ขอให้ท่านเจ้าคุณใหญ่เป็นคนวางศิลาฤกษ์   ตอนนี้รู้สึกว่าคณะของท่านเจ้าภาพ จะหน้าไม่ดี แต่ผมก็บอกไปว่า  ก า ร ว า ง ศิ ล า ฤ ก ษ์ ไ ม่ สำ คั ญ   มาวันนี้ ท่ า น เ จ้ า ภ า พ นิ ม น ต์ ม า แต่ถ้าว่า ถ้าไม่ให้วางก็ไม่เป็นไรหรอก ผมก็ไม่อยากวาง ไอ้วางศิลาฤกษ์ เอาหินไปวาง ๆ ผมไม่เห็นมันมีประโยชน์ ไม่เห็นมันมีอะไร แต่ขณะนั้น คนที่ฟัง ๆ กัน เขารู้สึกว่า เขาสงสารผม แต่ผมไม่เคยสงสารตัวผมเองเลย เพราะว่าไอ้เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ผมโดนมาหนักกว่านั้น แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่า ท่ า น เ จ ริ ญ พ ร ะ ก ร ร ม ฐ า น กั น ยั ง ไ ง ทำ ไ ม ถึ ง แ บ ก กิ เ ล ส    ต้ อ ง ก า ร ล า ภ    ต้ อ ง ก า ร ย ศ กั น นี่ผมนั่งปลงธรรมสังเวชของผมคนเดียว   แต่ว่าคนอื่นนั่นน่ะเขาสงสารผม เขาคงจะสงสารในฐานะที่ผมนี่ถูกนิมนต์ไปให้วางศิลาฤกษ์ แต่ว่าทางวัดนั้น ไ ม่ ต้ อ ง ก า ร ใ ห้ ผ ม ว า ง ศิ ล า ฤ ก ษ์ ไอ้คนอื่นเขาสงสารผม ผมกลับไปสงสารพระที่วัดนั้น และท่านเจ้าคุณวัด.. เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เ พ ร า ะ ว่ า ท่ า น ใ น ฐ า น ะ เ ป็ น ผู้ ใ ห ญ่   ท่ า น ค ง จ ะ อ า ย ม า ก แล้วผมก็ไปสงสารเจ้าภาพว่า  เจ้าภาพทุ่มเทเนื้อที่ไป ผมเข้าใจว่าถึงร้อยไร่น่ะครับ ผมจำไม่ได้ เนื้อที่มากจริง ๆ แล้วก็ทุ่มเทงานก่อสร้างเข้าไปเป็นล้านแล้ว แต่ทว่าพระที่ให้ไปอยู่ที่นั่น กลับเป็นฝ่ายยื่นโนติ๊ส จะเอาอย่างนั้น จะเอาอย่างนี้   พอท่านบอกว่าต้องยอมให้องค์นั้นเป็นเจ้าอาวาส และต้องยอมให้องค์นี้เป็นรองเจ้าอาวาส อันนี้ผมอายชาวบ้านเขาเกือบตาย  เพราะว่าชาวบ้านที่นั่งอยู่ที่นั้นนับร้อย ผมรู้สึกอายจริง ๆ ขอรับ ********************************************************** จากคุณ : ทวนทอง - [ 1 ก.ย. 51 05:58:44 ]

ความคิดเห็นที่ 36 อย่าได้เข้ามาป่วนกระทู้เลยครับ คุณผู้ประสงค์เป็นประธานกฐินปีละวัด หากคุณได้เป็นประธานกฐินปีละวัดได้สมปรารถนาทุก ๆ ปี  ผมก็ขออนุโมทนาที่ได้สมมารถปรารถนาทุก ๆ ปี  และขออวยพรให้ได้เป็นประธานกฐินทุก ๆ ปี  ปีละหลาย ๆ วัดด้วย   จะได้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ยิ่ง ๆ ขึ้น คุณประธานฯ เองก็เอาคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาลงตั้งกระทู้อยู่บ่อย ๆ จากข้อความที่คุณประธานฯ ยกมาใน คห.#28   นั้น   ผมอยากให้คุณประธานฯ พินิจพิจารณาไตร่ตรองด้วยหลักกาลามสูตรประกอบด้วย   ลองตรวจสอบและรับฟังไฟล์เสียงหลวงพ่อฤาษีลิงดำดูก่อนสิครับ อย่าสักแต่ว่า เข้ามาลงชื่อประท้วงแล้วละเลยการพินิจพิจารณาข้อมูล/เหตุการณ์ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น พิจารณาแล้วใช้กำลังสติปัญญาวินิฉัยด้วยสัมปชัญญะ  ด้วยการละวางความยึดมั่นถือมั่นว่า บุคคลที่ถูกกล่าวถึงในกระทู้นั่นเป็นครูบาอาจารย์ตน ผมเตือนด้วยความหวังดี  มิได้หวังร้าย จากคุณ : ทวนทอง - [ 1 ก.ย. 51 06:04:30 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณครับ ที่นำเอามาให้อ่านกันครับ จากคุณ : เด็กน้อย (หลงสิง) - [ 3 ก.ย. 51 09:19:17 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ************************************************ ความคิดเห็นที่ 39   พิจารณาแล้วใช้กำลังสติปัญญาวินิฉัยด้วยสัมปชัญญะ  ด้วยการละวางความยึดมั่นถือมั่นว่า กำลังทำสังฆเภทโดยเจตนาหรือเปล่า ผมเตือนด้วยความหวังดี  มิได้หวังร้าย เหตุแห่งสังฆเภท ปัญหา ได้ทราบว่า การทำลายสงฆ์ให้แตกกันเป็นอนันตริยกรรมอย่างหนึ่ง อยากทราบว่ามีสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้สงฆ์แตกแยกกัน ? พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนอุบาลี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมแสดงสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมว่าเป็นธรรม ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นธรรมว่าไม่ใช่ธรรม ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่ไม่ใช่วินัยว่าเป็นวินัย ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นวินัยว่าไม่ใช่วินัย ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตไม่ได้กล่าวไว้ ไม่ได้บอกไว้ว่าตถาคตกล่าวไว้บอกไว้ ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตกล่าวไว้ บอกไว้ว่าตถาคตไม่ได้กล่าวไว้บอกไว้ ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตไม่เคยประพฤติมาว่า ตถาคตเคยประพฤติมา ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตประพฤติมา ว่าตถาคตไม่เคยประพฤติมา ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้ ว่าตถาคตเคยบัญญัติไว้ ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้ ว่าตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้ ๑ ภิกษุเหล่านั้นย่อมทอดทิ้งกัน  แยกจากกัน ทำสังฆกรรมแยกกัน สวดปาติโมกข์แยกจากกันด้วยสัตถุ ๑๐ ประการนี้ ดูก่อนอุบาลี   สงฆ์จะเป็นผู้แตกกันด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล ฯ ” อุปาลิสังฆเภทสูตร ท. อํ. (๓๕) ตบ. ๒๔ : ๗๗-๗๘ ตท. ๒๔ : ๗๗ ตอ. G.S. V : ๕๓ จากคุณ : เป็นประธานกฐินปีละวัด   - [ 3 ก.ย. 51 18:18:20 ] ************************************************ คุณประธานฯ กำลังกล่าวหาใครเจตนาทำสังฆเภทหรือครับ ? กรุณาบอกให้ชัด ว่า ใคร ? เพราะในกระทู้นี้  ผมได้นำถ้อยคำเทศทนาของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาถ่ายทอด  พร้อมลงเวบลิงค์เสียงจริงของหลวงพ่อฤาษีลิงดำอีกด้วย ในถ้อยคำเทศนาของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมีพระสงฆ์ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำกล่าวถึงไม่กี่รูป   แต่รูปที่ท่านเจาะจงเป็นการเฉพาะก็คือ พระสงฆ์ที่เป็นบัณฑิตจากเกษตรที่สร้างวัด ณ บริเวณคลองสามเมื่อประมาณปี 2517-2522 คุณประธานฯ กำลังหมายถึงพระรูปใดกันหรือครับ ? เพราะในพุทธพจน์ก็บอกกล่าวไว้ชัดแจ้งว่า  “.....ดูก่อนอุบาลี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ .......” แต่จากการติดตามศึกษาข้อมูลมาอย่างยาวนาน  น่าจะเป็นพระบัณฑิตจากเกษตรตามที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านกล่าวถึงนะครับ เพราะ พระบัณฑิตจากเกษตรรูปนั้น ก็คือธัมมชโยที่ได้ปาราชิกขาดจากการเป็นพระไปนานนับ 10 ปีแล้ว  ได้ประพฤติปฏิบัติตามเหตุที่ก่อให้เกิดสังฆเภทครบถ้วนทุกประการตามพระพุทธพจน์ที่คุณประธานหยิบยกมากล่าวอ้าง ทีนี้ก็อยู่ที่คุณประธานฯ ล่ะครับ  ว่า  จะเลือกนับถืออลัชชีที่ก่อเหตุสังฆเภท  หรือจะเลือกนับถือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่คุณประธานฯ มักหยิบยกคำเทศนาของท่านมาตั้งกระทู้อยู่เป็นประจำ แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 51 19:58:05 จากคุณ : ทวนทอง - [ 3 ก.ย. 51 19:54:49 ]

ความคิดเห็นที่ 41 หากไม่มั่นใจว่า ธัมมชโยได้ก่อเหตุสังฆเภทครบถ้วนจริงหรือไม่  ก็ติดตามอ่านได้จากกระทู้แนะนำทั้ง 5 กระทู้   และ search หาอ่านจากคลังกระทู้เก่าก็มีให้อ่านอีกมากมายเลยครับ จากคุณ : ทวนทอง - [ 3 ก.ย. 51 20:00:41 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ผมหมายถึงผู้ที่พยายามสร้างความแตกแยกให้แก่สงฆ์  ครับ แก้ไขเมื่อ 11 ก.ย. 51 05:37:35 จากคุณ : เป็นประธานกฐินปีละวัด - [ 3 ก.ย. 51 21:15:24 ]

ความคิดเห็นที่ 43 คุณประธานฯ ก็ระบุมาให้ชัดแจ้งสิครับว่า ใครที่พยายามทำให้เกิดความแตกแยกแก่สงฆ์ ก็ในเมื่อพุทธพจน์ที่คุณประธานฯ ยกมาน่ะสิครับ  ระบุไว้ชัดแจ้ง \/ \/ \/ \/ ************************************************ ........................................................ ........................................................ เหตุแห่งสังฆเภท ปัญหา ได้ทราบว่า การทำลายสงฆ์ให้แตกกันเป็นอนันตริยกรรมอย่างหนึ่ง อยากทราบว่า  มี ส า เ ห ตุ อ ะ ไ ร บ้ า ง ที่ ทำ ใ ห้ ส ง ฆ์ แ ต ก แ ย ก กั น   ? พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนอุบาลี ภิ ก ษุ ใ น ธ ร รม วิ นั ยนี้ ย่อมแสดงสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมว่าเป็นธรรม ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นธรรมว่าไม่ใช่ธรรม ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่ไม่ใช่วินัยว่าเป็นวินัย ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นวินัยว่าไม่ใช่วินัย ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตไม่ได้กล่าวไว้ ไม่ได้บอกไว้ว่าตถาคตกล่าวไว้บอกไว้ ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตกล่าวไว้ บอกไว้ว่าตถาคตไม่ได้กล่าวไว้บอกไว้ ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตไม่เคยประพฤติมาว่า ตถาคตเคยประพฤติมา ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตประพฤติมา ว่าตถาคตไม่เคยประพฤติมา ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้ ว่าตถาคตเคยบัญญัติไว้ ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้ ว่าตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้ ๑ ภิกษุเหล่านั้นย่อมทอดทิ้งกัน  แยกจากกัน ทำสังฆกรรมแยกกัน สวดปาติโมกข์แยกจากกันด้วยสัตถุ ๑๐ ประการนี้ ดูก่อนอุบาลี   ส ง ฆ์ จ ะ เ ป็ น ผู้ แ ต ก กั น ด้ ว ย เ ห ตุ มี ป ร ะ ม า ณ เ ท่ า นี้ แ ล ฯ ” อุปาลิสังฆเภทสูตร ท. อํ. (๓๕) ตบ. ๒๔ : ๗๗-๗๘ ตท. ๒๔ : ๗๗ ตอ. G.S. V : ๕๓ ************************************************ /\ /\ /\ /\ พิจารณาดูสิครับ  พระพุทธองค์ระบุไว้ชัดแจ้งว่า สั ง ฆ เ ภ ท เ กิ ด จ า ก ส ง ฆ์ ด้ ว ย กั น เ อ ง ก ร ะ ทำ ตั ว น อ ก ลู่ น อ ก ท า ง จ า ก แ น ว ท า ง แ ห่ ง พ ร ะ ธ ร ร ม ข อ ง พ ร ะ พุ ท ธ อ ง ค์ ทั้ง ๆ ที่ในครั้งพุทธกาลนั้น มีปุถุชน/ฆราวาส มากมายพยายามสร้างรอยด่างแก่พระภิกษุสังฆสาวกของพระพุทธองค์มิได้หยุดมิได้หย่อน แต่ครั้นพระอุบาลีทูลถามถึงสาเหตุที่จะทำให้สงฆ์แตกแยกกัน พระพุทธองค์ ไม่ทรงตรัสถึงพุทธบริษัทอื่นเลย นอกเสียจากพระสงฆ์ด้วยกันเองที่กระทำตน หรือประพฤติตนนอกลู่นอกทางจากแนวทางพระธรรมของพระพุทธองค์รวม 10 ประการด้วยกันดังที่คุณประธานฯ ยกมานั่นแหละครับ และในกระทู้นี้ก็มีพระสงฆ์ที่เกี่ยวเนื่องกับเนื้อเรื่องหลัก ๆ ที่สำคัญ ๆ ก็คือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กับธัมมชโยเท่านั้น แล้วจะมีใครอีกล่ะครับที่พยายามทำให้สงฆ์แตกแยก ? ถ้าไม่ใช่ธัมมชโย  !!!!! คงไม่ต้องให้ผมจาระนัยเป็นข้อ ๆ หรอกนะครับว่า ธัมมชโย ก่อเหตุสังฆเภท สร้างความแตกแยกแก่คณะสงฆ์ไว้อย่างไร ย้อนกลับขึ้นไปอ่านเรื่องราวดูสิครับ หรือหากเกรงว่า การถอดบทเทศนาคลาดเคลื่อน คุณประธานฯ สามารถเปิดฟังเสียงเทศน์โดยตรงเลยก็ได้ คุณประธานฯ คุ้นเสียงหลวงพ่อฤาษีลิงดำอยู่แล้วนี่ครับ แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 51 22:44:43 จากคุณ : ทวนทอง - [ 3 ก.ย. 51 22:43:15 ]

ความคิดเห็นที่ 44 เพราะในเนื้อเรื่องบ่งบอกว่า ธัมมชโยมากด้วยกิเลสตัณหามักใหญ่ใฝ่สูงมักมากในลาภยศสรรเสริญทั้งหลายทั้งปวง และตลอดระยะเวลา 39 ปีที่ธัมมชโยอาศัยผ้ากาสาวพัตร์ของพระพุทธองค์นั้น มีแต่ข่าวคราวการเบียดเบียนชาวนาย่านคลองสาม เบียดเบียนโรงเรียนที่อยู่ใกล้วัดด้วยการกระทำทุกรูปแบบเพื่อให้เขาเหล่านั้นย้ายออกจากสถานที่ทำมาหากินที่อยู่กันมาอย่างยาวนาน คุณประธานฯ ไม่ได้รับรู้เรื่องราวเหล่านั้นบ้างเลยหรือครับ จึงหลับหูหลับตาปกป้องธัมมชโยมาโดยตลอด จากคุณ : ทวนทอง - [ 3 ก.ย. 51 22:47:37 ]

ความคิดเห็นที่ 45 อีกทั้งยังบิดเบือนพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ต่อเนื่องกันมาอย่างยาวนานอีกด้วย Y5779543 ธรรม(กลาย) เพื่อ(มอมเมา)ประชาชน ฉบับพระรัตนตรัย(เป็นอัตตา) http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y5779543/Y5779543.html การบิดเบือนพระธรรม การบิดเบือนพระไตรปิฎก ดังคำสอนของธัมมชโยในกระทู้ที่ผมยกมานี้  นับเป็นเรื่องสำคัญของเหตุสังฆเภท ซึ่งมีระบุรายละเอียดไว้ในพุทธพจน์ที่คุณประธานยกมาข้างต้นไว้อย่างชัดแจ้งแล้ว หวังว่า คุณประธานคงจะเข้าใจได้มากขึ้น ขออนุโมทนากับพุทธพจน์ที่คุณประธานฯ หยิบยกมาให้ศึกษากัน จากคุณ : ทวนทอง - [ 3 ก.ย. 51 22:53:13 ]

ความคิดเห็นที่ 46 คุณเป็นประธานกฐินปีละวัด ได้ฟังเสียงหลวงพ่อฤาษีท่านรึยังครับ? จากคุณ : Radiant, Archangel - [ 4 ก.ย. 51 09:38:46 ]

ความคิดเห็นที่ 47 อืมมมมมมมมมมม............................. จากคุณ : บุษกรจันทร์ - [ 4 ก.ย. 51 11:53:50 ]

ความคิดเห็นที่ 48 เรื่องพระวัดธรรมกาย ไม่ออกความเห็น เพราะผมไม่ศรัทธาวัดนี้อยู่แล้ว แต่เรื่องที่เอามาลง รู้สึกเหมือนพระเดชพระคุณหลวงพ่อกำลังสอนผมเลย  กำลังเจอเหตุการณ์แบบนี้พอดีเลย..... เวลาเจอเรื่องไม่ีดี ต้องการคนที่ให้คำปรึกษา ผมมักจะเจอคำสอนพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่ตรงใจ ทุกครั้งเลย  (ขึ้นชื่อว่า ลูกไปไหน พ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ...) สาธุครับ จากคุณ : ลิงสยาม - [ 7 ก.ย. 51 11:54:43 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ^ ^ ^ คิดเหมือนผมเลยครับ เวลาที่เจอปัญหาใดๆที่แก้ไม่ตกอยู่ คำสอนของหลวงพ่อจะมาคอยช่วยเหลือเราเสมอ แม้แต่ในบางครั้งที่เจอคำถามที่ตอบไม่ได้ ก็จะเปิดเจอคำสอนที่ตรงกับคำถามนั้นเสมอๆครับ "ลูกไปไหน พ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ" รักหลวงพ่อจริงๆครับ จากคุณ : นีละปอย~* - [ 7 ก.ย. 51 17:22:08 ]

ความคิดเห็นที่ 50 เป็นหลานศิษย์ครับ(นับถือต่อจากพ่อ ผมเลยเรียกท่านว่าหลวงปู่ตั้งแต่เด็กๆ) ใครจะป่วนกระทู้หรือทำอะไรถ้าไม่เกินกว่าเหตุอย่าเก็บมาเป็นอารมณ์เลยครับ กรรมเกิดแต่เจตนา ใครว่าใครรู้แก่ตัวเขา เกิดแต่ตัวเขาครับ อย่าไปชวนทะเลาะให้เกิดเหตุเลยครับ จากคุณ : นกไฟแห่งป่ามายา - [ 8 ก.ย. 51 15:38:38 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ^ ^ ^ เห็นชอบตามนั้นครับ จากคุณ : นีละปอย~* - [ 9 ก.ย. 51 22:36:28 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ขอให้ผลบุญกรรม ที่ใครทำให้คนในศาสนาแตกแยก สอนลัทธิประหลาด ๆ อวิชชาทั้งหลาย หลอกให้ชาวบ้านงมงาย ขอให้เจอแต่สิ่งที่ไม่ดีเถิด จากคุณ : handghost - [ 10 ก.ย. 51 20:22:23 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ชัดเจนเลย ไม่ใช่วัดแล้ว  เปลี่ยนเป็นลัทธิดีกว่า จงใจทำให้พุทธศาสนาแตกแยก  สาวกที่ช่วยกันโฆษณานะบาปนะ เห็นผิดเป็นชอบ ไม่มีสติ  เพราะตอบแถทุก คห. ต้องโหวตให้รู้กันทั่วๆ จากคุณ : nujup - [ 11 ก.ย. 51 13:41:35 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ข้อมูลนี้ เพิ่งทราบจริง ๆ ไม่นึกว่าจะมีเรื่องราวอะไรกันถึงขนาดนี้ ... จากเรื่องนี้ ได้เห็นเลยว่า  พระสุปฏิปัณโณ ที่ท่านมีกำลังใจสูง ๆ ไม่ว่าท่านจะเจอผัสสะกระทบรุนแรงขนาดไหน ท่านสามารถปลงเป็นธรรมสังเวชได้หมด  น่านับถือจริง ๆ ค่ะ จากคุณ : faisara - [ 14 ก.ย. 51 11:03:50 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ธรรมกายนี่ไม่ไหว จากคุณ : Covent Garden - [ 14 ก.ย. 51 20:11:14 ]

ความคิดเห็นที่ 56 อะภูตะวาที นิระยัง อุเปติ  บางคนทำงานสำเร็จเพราะหลอกลวงเขา พูดสารพัด อ้างสารพันจนเขาคล้อยตาม   คนเราคงไม่โง่ทุกคน และคนโง่ทุกคนก็ไม่ได้โง่ทุกครั้ง สักวันเขาก็รู้ เมื่อเขารู้ความระแวงก็เกิดขึ้น แม้พูดจริงในภายหลัง ก็ยากที่ใคร ๆ จะเชื่อได้  เราศรัทธาในหลวงพ่อฯ ท่านบอกว่าในอนาคตที่วัดธรรมกายจะเป็นศูนย์กลางของศาสนา ตอนนี้ก็เป็นความจริงแล้ว ขอยืมภาพที่พี่ทวนทองโพสที่กระทู้นางวิสาขาหน่อยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ  ขอให้ทุกคนมีสันติสุขภายในค่ะ แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 51 10:23:54 จากคุณ : สงบสุข (สงบสุข) - [ 15 ก.ย. 51 10:21:10 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ************************************************************************* ความคิดเห็นที่ 56   อะภูตะวาที นิระยัง อุเปติ บางคนทำงานสำเร็จเพราะหลอกลวงเขา พูดสารพัด อ้างสารพันจนเขาคล้อยตาม .............................................................................................. .............................................................................................. .............................................................................................. .............................................................................................. จากคุณ : สงบสุข (สงบสุข)  - [ 15 ก.ย. 51 10:21:10 ] ************************************************************************* \/ \/ \/ \/ ธัมมชโยคือผู้ทำงานสำเร็จดั่งที่คุณสงบสุขว่าไว้ในตอนต้นของ คห.#56 นั่นแหละครับ จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 13:37:04 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ************************************************************************* ความคิดเห็นที่ 56   .............................................................................................. .............................................................................................. .............................................................................................. .............................................................................................. คนเราคงไม่โง่ทุกคน และคนโง่ทุกคนก็ไม่ได้โง่ทุกครั้ง สักวันเขาก็รู้ เมื่อเขารู้ความระแวงก็เกิดขึ้น แม้พูดจริงในภายหลัง ก็ยากที่ใคร ๆ จะเชื่อได้ .............................................................................................. .............................................................................................. .............................................................................................. .............................................................................................. จากคุณ : สงบสุข (สงบสุข)  - [ 15 ก.ย. 51 10:21:10 ] ************************************************************************* \/ \/ \/ \/ ไอ้เรื่องความโง่ ความฉลาดนั้น เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล  อีกทั้งมีบุพกุศลเป็นตัวหนุนนำเนื่องอีกด้วย   ดังนั้น  บางคนมีความฉลาดในการร่ำเรียนได้ดีทั้ง 2 ทาง  คือทั้งทางโลกิยะ และโลกุตตระ บางคนมีความฉลาดในการร่ำเรียนวิชาการทางโลกิยะ แต่เขลาในการร่ำเรียน/เรียนรู้ทางโลกุตตระ   บางคนร่ำเรียนวิชาการทางโลกิยะจะอย่างไรก็ไม่สามารถร่ำเรียนให้สำเร็จลุล่วงไปได้ แต่พอร่ำเรียนทางโลกุตระกลับสำเร็จได้โดยง่าย คือเขลาในทางโลกิยะ แต่ฉลาดในทางกุตตระ ในอีกทางนึง  ก็มีบางคนที่ร่ำเรียนไม่รู้เรื่องทั้งสองทาง  ไม่ว่าจะเป็นทางโลกิยะ หรือโลกุตตระ ก็ไม่สามารถร่ำเรียนให้สำเร็จลงได้ อีกประการนึงก็ คือ อาจมีสมาชิกบางท่านแสดงความเห็นปรามาสคู่สนทนา ตลอดแม้กระทั่งปรามาสไปยังบุคคลที่สาม  ซึ่งคุณสงบสุขอาจเคยโดนปรามาสมาบ้างแล้ว ดังข้อความที่คุณสงบสุขแสดงออกมา  แต่ผู้แสดงความปรามาสนั้น ไม่ใช่ผมแน่นอน จะอย่างไรก็ตามในเรื่องการปรามาสต่อกันนั้น ล้วนแต่มักจะเกิดขึ้นเป็นจำสม่ำเสมอ ๆ จนถือเป็นเรื่องปกติของปุถุชนที่ต้องถกเถียงกัน   ขึ้นอยู่กับเนื้อหาและลักษณะของการพูดคุยต่อกัน ตลอดแม้กระทั่งอารมณ์ของคู่สนทนาร่วมด้วย จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 13:39:28 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ************************************************************************* ความคิดเห็นที่ 56   .............................................................................................. .............................................................................................. .............................................................................................. .............................................................................................. เราศรัทธาในหลวงพ่อฯ ท่านบอกว่าในอนาคตที่วัดธรรมกายจะเป็นศูนย์กลางของศาสนา ตอนนี้ก็เป็นความจริงแล้ว ขอยืมภาพที่พี่ทวนทองโพสที่กระทู้นางวิสาขาหน่อยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ ขอให้ทุกคนมีสันติสุขภายในค่ะ จากคุณ : สงบสุข (สงบสุข)  - [ 15 ก.ย. 51 10:21:10 ] ************************************************************************* \/ \/ \/ \/ การที่คุณสงบสุขรู้จักอ่านความเห็นของผู้อื่นโดยละเอียดนั้น  นับเป็นิมิตหมายอันดี แต่การที่คุณสงบสุขหยิบยกเฉพาะข้อความบางส่วนมาอ้างอิง  โดยเฉพาะการหยิบยกข้อความที่เป็นคำทำนายความเป็นไปในอนาคตมาเพียงเรื่องเดียว  แล้วละเลยข้อความที่เป็นเหตุการณ์จริงที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำประสบด้วยตนเองมาจริง ๆ นั้น  เป็นการหยิบยกเรื่องราวมานำเสนอด้วยความลำเอียงเอาความดีเข้าตัว  โดยละเลยหรือหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึง หรือยอมรับในพฤติกรรมของธัมมชโยที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำกล่าวถึง และเมื่อมองเหตุการณ์ต่าง ๆ ย้อนกลับไปเป็นลำดับ ๆ โดยละเอียดถี่ถ้วน นับตั้งแต่หลวงพ่อฤาษีลิงดำประสบเหตุการณ์ตอนสร้างวัดวรณีย์ธรรมกายารามจนกระทั่งบัดนี้ เป็นระยะเวลากว่า 30 ปี แล้วนั้น ย่อมที่จะมองเห็นได้ว่า เหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นสอดคล้อง/สอดรับไปในทิศทางเดียวกันกับพฤติกรรมที่ธัมมชโยแสดงออกต่อพลวงพ่อฤาษีลิงดำในครั้งกระโน้น อันเป็นการบ่งบอกพฤติกรรมถาวรของธัมมชโยได้เป็นอย่างดียิ่ง เมื่อคุณสงบสุขนำคำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่มีต่อความเจริญก้าวหน้าของวัดวรณีธรรมกายาราม ว่าจะกลายเป็นศูนย์กลางศาสนาพุทธในภายภาคหน้ามายึดมั่นถือมั่นว่า เป็นเรื่องจริงจัง   คล้ายกับเป็นการยอมรับว่า หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้บรรลุธรรมมีญาณวิเศษหยั่งรู้อนาคตได้  นับเป็นความนัยในการการันตีได้ว่า คำพูดของผู้บรรลุธรรมนั้นย่อมปราศจากกิเลส  และปราศจากอคติทั้งหลายทั้งปวง  เท่ากับเป็นการตอกย้ำว่า พฤติกรรมของธัมมชโยที่หลุดออกจากปากของผู้ทรงศีลที่บรรลุธรรมอย่างหลวงพ่อฤาษีลิงดำนั้น  เป็นเรื่องจริงที่ปราศจากกิเลส ปราศจากอคติ แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 51 14:29:47 จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 13:47:51 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เราศรัทธาในหลวงพ่อฯ ท่านบอกว่าในอนาคตที่วัดธรรมกายจะเป็นศูนย์กลางของศาสนา ตอนนี้ก็เป็นความจริงแล้ว ขอยืมภาพที่พี่ทวนทองโพสที่กระทู้นางวิสาขาหน่อยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ ขอให้ทุกคนมีสันติสุขภายในค่ะ จากคุณ : สงบสุข (สงบสุข)  - [ 15 ก.ย. 51 10:21:10 ] เอ่อ มันเป็นคำพูดของท่านสมัครนะครับ ไม่มีอะไรยืนยันว่าหลวงพ่อพูดจริงๆสักหน่อย ท่านอาจจะพูดแค่ว่าต่อไปชาวพุทธจะมาที่นี่กันมาก (ซึ่งก็เป็นความจริง) แล้วคนอาจจะไปตีความกันเองก็ได้ครับ ที่จริงหลวงพ่อเคยพูดเรื่องวัดนี้อีกหลายครั้ง เช่นเรื่องสร้างอุโบสถหัวแตกแยกเป็น 2 ฝั่ง จะเกิดความแตกแยก (ซึ่งก็เป็นความจริง) เดี๋ยวถ้าค้นเจอจะเอามาให้ดูครับ จากคุณ : นีละปอย~* - [ 16 ก.ย. 51 00:08:50 ]

ความคิดเห็นที่ 61 จริงๆถ้าจะดันทุุรังเชื่อกันต่อไป หรือจะศรัทธากันต่อไป ก็คงไม่มีใครว่าหรอกนะครับ แต่คำพูดที่ปรากฎอยู่ที่ ความคิดเห็นที่ 56 ยกมาอ้างนั้น ไม่ได้มีมูลว่าหลวงพ่อ ท่านเป็นคนพูดนะครับ คือถ้ามีหลักฐานว่า จากเทปม้วนไหน หรือหนังสือเล่มไหน หรือว่าท่านบอกเมื่อไหร่ ช่วยเอามายืนยันให้ด้วยนะครับ บทความที่ จขกท เอามานั้น ชัดเจนว่ามีการบันทึกเป็นหลักฐานอยู่ แต่ไอ้คำพูดลอยๆนี่ บางทีท่านอาจจะไม่ได้พูด หรืออาจจะไม่ได้มีความหมายว่าอย่างนั้น หรือคนที่เอามาพูดฟังมา แต่เอามาพูดไม่หมดก็ได้นะครับ ก็ฝากให้ช่วยกันคิดด้วย อย่าเอาองค์หลวงพ่อท่านมาอ้าง มั่วๆ ถ้าไม่มีหลักฐานเกิดไม่จริงขึ้นมาจะเป็นกรรมเปล่าๆ เพราะทำให้คนเข้าใจผิด แต่ก็อย่างว่า ก็เห็นเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้วจนคนระอา ถ้าหาหลักฐานมาไม่ได้ก็อย่าอ้างมามั่วๆอีกนะครับ จากคุณ : เด็กน้อย (หลงสิง) - [ 16 ก.ย. 51 11:26:31 ]

ความคิดเห็นที่ 62 เราเกิดมาเพื่อทำความดี สร้างบุญกุศลแต่เพียงอย่างเดียว  เพราะเวลาบน โลกมนุษย์มีจำกัด เราเกิดมาเพื่อทำสิ่งนี้ ไม่ใช่เพื่อการอย่างอื่น อย่าได้เข้า ใจผิดจะหลงทาง เรามีใช่เกิดมาเพื่อสะสมทรัพย์สมบัติ  บ้าน รถยนต์ จน มากมายก่ายกอง จนลืมที่จะสร้างบุญกุศล  ลืมวัตถุประสงค์ที่เกิดมาเป็น มนุษย์ ที่แท้จริง เพราะทรัพย์สมบัติเป็นเครื่องพันธนาการชีวิต ให้เราหลงทางได้ ยิ่งมีมาก ก็ยิ่งแสวงหา เพลินเพลิน ไปไม่จบสิ้น สิ่งต่างๆเหล่านี้ หากเรายังไม่หลุด จากเครื่องพันธนาการ หรือออกจากเครื่องพันธนาการ สุดท้ายความตาย ก็จะมาแยกเราออกจากเครื่องพันธนาการ อย่างหนีไม่พ้น ชีวิตสมณะเป็นเพศบริสุทธิ์ที่หลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการเหล่านี้อย่างสิ้น เชิง สามารถใช้เวลาในการทำความดี สร้างบารมีได้อย่างเต็มที่  เราที่มีเพศ ฆราวาส ก็ควรจัดสรรเวลาให้ดี ไม่ได้ใช้เวลาทั้งชีวิต หมดไปกับสิ่งเหล่านี้ เพียงอย่างเดียว ควรหาเวลาที่จะกอบโกยทำความดี สร้างบารมีอย่างเต็มที่ ให้มากที่สุด บุญกับบาปก็จะชิงช่วง ช่วงชิงกันตลอดเวลา หากเราไม่มีสติก็ต้องพ่ายแพ้ กับกิเลส ทำบาปได้ในที่สุด บุญเป็นฝ่ายขาว บาปเป็นฝ่ายดำ กำลังของฝ่าย ขาวจะมีน้อยกว่า เราจะต้องมีสติ และกำลังใจที่สูงก็สามารถจะมาอยู่ข้าง บุญหรือฝ่ายขาวได้   ถ้าปล่อยตามใจ ตามกิเลสก็จะเป็นผู้แพ้ในที่สุด อย่างแน่นอน ฝ่ายดำหรือบาปก็จะฝังแน่นในจิตเรา มั่นคง เหมือนผ้าขาวที่เปื้อนสีดำ จะซัก ให้ขาวสดใสเหมือนเดิมได้ยากมาก    คนเราปกติจะนึกถึงบาปได้ง่าย ทำให้เรามีใจที่เศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา เมื่อรู้ว่ากำลังฝ่ายดำมันกล้าแกร่ง เราจึงต้องหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด อย่าไปกระทำเป็นอันขาด เพื่อรักษาใจของ เราให้แจ่มใสอยู่ตลอดเวลา ทรัพย์สมบัติเราอยากยึดเอาไว้ ก็ยึดเอาไว้ไม่ได้ เพราะความตายจะมาแยก เราออกจากกัน แต่วิบากกรรมที่เกิดจากกรรมชั่ว ที่เราไม่อยากเอาไว้ มัน กลับฝังแน่นกับเรา เหมือนปลิงจะสลัดอย่างไรก็ไม่ไม่หลุด ติดตามเราไป เหมือนเงาตามตัว พร้อมจะเล่นงานเราตลอดเวลา และติดตามเราไปทุกภพ ทุกชาติ ลำพังกิเลสที่สะสมในตัวก็มีมากแล้ว เรายังไปแสวงหาเพิ่มเติมให้หนัก ไปอีก?  เรายังไปฟังสิ่งที่ไม่ดี ไปดูสิ่งที่ไม่ดี ไปสัมผัสสิ่งที่ไม่ดี เพื่อ ให้กิเลสเรากำเริบ ทำใจให้ขุ่นมัว ให้เราต้องรัก โกรธ เกลียดใคร อยู่อีก หรือ?  อย่างนี้เราจะต้องใช้กำลังต่อสู้กับสิ่งไม่ดี มากขนาดไหน? ก็ลองคิดดู ก็แล้วกัน หากเราแพ้เมื่อใด อกุศลก็จะเข้าครอบครองจิตใจเราจนหมดสิ้น ความดีของเราก็จะไม่เหลือ เพราะไม่มีที่ว่างในใจของเรา เขาได้เลือกแล้ว ว่าอยู่ฝ่ายขาวหรือดำ? แล้วตัวเราเลือกแล้วหรือยัง? บัดนี้เราทำอะไรอยู่? บัดนี้เราทำอะไรอยู่? บัดนี้เราทำอะไรอยู่? เราและเขา "ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม" เราและเขา "ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม" เราและเขา "ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม" จากคุณ : เราเลือกได้ เราเลือกเอง (lovevic) - [ 16 ก.ย. 51 19:04:25 ]

ความคิดเห็นที่ 63 - -" นานๆ เข้ามาอ่านที กระทู้แนะนำ ไม่เคยพ้นเรื่องของกลุ่มนี้เลยแฮะ ส่วนตัว คิดว่าค่อนข้างโชคดี ที่คนใกล้ตัว หรือญาติพี่น้องไม่ได้ลุ่มหลงมัวเมาในเรื่องเหล่านี้ และขอบคุณ จขกท. ที่นำมาให้อ่านครับ จากคุณ : มาม่าไข่มะตูม - [ 16 ก.ย. 51 23:04:08 ]

ความคิดเห็นที่ 64 งานยุ่งเลยไม่มีเวลามาตอบพี่ทวนทองเลย พี่ทวนทองต้องให้ความยุติธรรมหน่อย เพราะที่พี่เขียนหลวงพ่อฯ ท่านไม่ได้เอ่ยชื่อหลวงพ่อธัมมชโยเลย แต่พี่ทวนทองคิดเองว่าท่านว่าหลวงพ่อธัมมชโย แต่ทีสงบสุขรู้มาจากคุณน้าท่านหนึ่ง หลวงพ่อท่านพูดว่ามีผู้มีบุญมาเกิดแล้วที่สวนกุหลาบ พี่ทวนทองมั่นใจว่าข้อความทั้งหมดที่เขียนมานั้น ท่านว่าหลวงพ่อ หรือพระองค์อื่น ก็ได้ เพราะไม่มีชื่อเด่นชัด ขอให้ทุกคนมีสันติสุขภายในค่ะ จากคุณ : สงบสุข (สงบสุข) - [ 17 ก.ย. 51 13:02:48 ]

ความคิดเห็นที่ 65 อ่านเนื้อความจาก คห.#1 – คห.#3 ก็พอจะเดาได้แล้วว่า  หลวงพ่อฤาษีลิงดำหมายถึง วัดใด   เพราะหลวงพ่อท่านกล่วไว้ชัแจ้งว่า อาจาiย์วรณี  มอบที่ดินให้วัดย่านคลองสาม ทั้งยังอุปการะในการออกแบบแปลนโบถส์ และค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างวัดนั้น   ซึ่งจะเป็นวัดอื่นไปไม่ได้  นอกเสียจากวัดวรณีย์ธรรมกายารามที่กลายมาเป็นวัดพระธรรมกายในปัจจุบัน   อีกทั้งพระที่เป็นบัณฑิต  สำเร็จปริญญาจากเกษตรนั้น  จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้เลยนอกเสียจากธัมมชโยและทัตตชีโว   และชัดเจนยิ่งขึ้นใน คห.#7 ที่มีการระบุว่า พระท่านนั้นขอเป็นเจ้าอาวาส และอีกรูปนึงก็ขอเป็นรองเจ้าอาวาส   ซึ่งหลวงพ่อท่านเล่าต่อว่า อาจารย์วรณีไม่คัดค้าน  เพราะท่านได้ถวายให้เป็นสมบัติของพระพุทธศาสนาแล้ว   และใน คห.#13 ก็ย้ำตะปูตอกปิดฝาโลงได้เลยว่า ไม่ผิดฝาผิดตัวแน่ ๆ   เพราะเมื่อไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ตามที่หลวงพ่อฯ ท่านเล่ามาแล้ว  มันตรงกันเป๊ะ ๆ กับเหตุการณ์ระหว่างอาจารย์วรณี กับวัดวรณีธรรมกายารามที่กลายเป็นวัดพระธรรมกายในปัจจุบัน   และที่วัดนี้ก็มีธัมมชโยเป็นเจ้าอาวาส โดยมีทัตตะชีโวเป็นรองเจ้าอาวาสวัดมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน ถ้าเหตุการณ์ในเทศนาของท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำไม่ได้หมายถึงวัดพระธรรมกายกับธัมมชโยและทัตตชีโวแล้ว   คุณสงบสุขจะให้หมายถึงใครกันหรือครับ ?????? ซึ่งผมก็รับรู้ได้ว่า คุณสงบสุขเองก็เข้าใจตามนั้นแล้ว ว่า  หลวงพ่อฤาษีลิงดำหมายถึงวัดพระธรรมกายกับธัมมชโยและทัตตชีโว  ไม่เช่นนั้น คุณสงบสุขจะเข้ามาแสดงความเห็นใน คห.#56 ทำไมเล่าครับ จะมาทำไก๋ใสซื่อว่า หลวงพ่อฤาษีลิงดำไม่ได้เอ่ยชื่อธัมมชโยนั้น  จึงฟังไม่ขึ้น นี่เป็นการบ่องบอกได้อีกครั้งนึงว่า สานุศิษย์ของธัมมชโยเป็นผู้ เก้อ-ยาก ในการละเมิดศีลนิจ  ผิดศีลอยู่เป็นประจำ   การฝึกวิปัสสนากรรมฐานจึงไม่ก้าวหน้า   ได้แต่วนเวียนจมปลักดักดานกลางมหาสมุทรแห่งความละโมบโลภในบิ๊กบุญไม่รู้จักความพอดี   จึงหาความบริสุทธิ์ในศีลานุวัตรไม่ได้ รู้ทั้งรู้ว่า  หลวงพ่อฤาษีลิงดำหมายถึงวัดพระธรรมกายกับธัมมชโยและทัตตชีโว แต่ก็ยังมาทำเป็นอินโนเซนต์ไร้เดียงสาใสซื่อ ว่า หลวงพ่อท่านไม่ได้หมายถึงธัมมชโย     แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 51 15:36:34 จากคุณ : ทวนทอง - [ 17 ก.ย. 51 15:31:37 ]

ความคิดเห็นที่ 66 มันเป็นเยี่ยงนี้ ... นี่เอง ... จากคุณ : apple_meppo - [ 17 ก.ย. 51 19:29:12 ]

ความคิดเห็นที่ 67 จริงก็ว่าจริง เท็จก็ว่าเท็จ ถ้าท่านเอ่ยชื่อก็จริง ถ้าท่านไม่เอ่ยชื่อก็ไม่จริง เพราะเราจะทึกทักเอง คิดเอง เทียบเคียงเองไม่ได้ เพราะเราก็ไม่ทราบจริง สงบสุขก็ไม่กล้าวิจารย์ค่ะ ขอให้ทุกคนมีสันติสุขภายในค่ะ จากคุณ : สงบสุข (สงบสุข) - [ 19 ก.ย. 51 16:37:33 ]

ความคิดเห็นที่ 68 **************************************************** ความคิดเห็นที่ 67   จริงก็ว่าจริง เท็จก็ว่าเท็จ ........................................................ ........................................................ ........................................................ จากคุณ : สงบสุข (สงบสุข)  - [ 19 ก.ย. 51 16:37:33 ] **************************************************** \/ \/ \/ \/ \/ สิ่งที่หลวงพ่อฤาษีฯ ท่านเทศนาเล่ามาอย่างนั้น  เป็นการเล่าจากประสบการณ์จริง  แม้ว่า จะไม่ระบุชื่อเสียงเรียงนามของวัดและพระที่เกี่ยวข้อง  คนอื่นที่รับฟังก็ไม่สมควรปรามาสว่าเป็นเรื่องเท็จได้ จากคุณ : ทวนทอง - [ 20 ก.ย. 51 06:18:14 ]

ความคิดเห็นที่ 69 **************************************************** ความคิดเห็นที่ 67   ........................................................ ถ้าท่านเอ่ยชื่อก็จริง ถ้าท่านไม่เอ่ยชื่อก็ไม่จริง เพราะเราจะทึกทักเอง คิดเอง เทียบเคียงเองไม่ได้ เพราะเราก็ไม่ทราบจริง สงบสุขก็ไม่กล้าวิจารย์ค่ะ ขอให้ทุกคนมีสันติสุขภายในค่ะ จากคุณ : สงบสุข (สงบสุข)  - [ 19 ก.ย. 51 16:37:33 ] **************************************************** \/ \/ \/ \/ เรื่องที่หลวงพ่อฤาษีฯ เล่ามานี้  ไม่ใช่ว่าท่านเพิ่งเล่านะครับ   เพราะท่านละสังขารไปนานแล้ว  แต่ท่านเล่าไว้เป็นสิบ ๆ ปี  เป็นการเล่าจากประสบการณ์ตรงจริง ๆ   ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับคุณครูไม่ใหญ่ของคุณสงบสุขที่รับฟังปัญหาจากสานุศิษย์แล้วก็หลับตา  พอลืมตาก็หาวทีนึง   แล้วก็ทำนายฝันเป็นตุเป็นตะเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา   สานุศิษย์อย่างคุณสงบสุขก็เชื่อโดยไม่ใช้สติปัญญาในการพินิจพิจารณา  และไม่มีวิจารณญาณใด ๆ ทั้ง ๆ ที่การฝันเป็นตุเป็นตะของครูไม่ใหญ่ธัมมชโยนั้น ไม่มีอะไรมาพิสูจน์ยืนยัน คุณสงบสุขและสานุศิษย์กลับเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตา โดยที่คุณสงบสุขและบรรดาสานุศิษย์ต่างก็ไม่มีทางรู้จริง ๆ ว่า คำทำนายฝันนั้นมันจริงหรือเท็จหรือไม่อย่างไร ? เพราะไม่มีใครทราบความจริง แต่คุณสงบสุขและสานุศิษย์กลับหลงเชื่ออย่างไม่มีสติสัมปชัญญะ ตรงกันข้ามกับกรณีคำบอกเล่าในเทศนาของหลวงพ่อฤาษีฯ คุณสงบสุขกลับบอกไปในทางตรงกันข้ามว่า   “ ถ้าท่านเอ่ยชื่อก็จริง ถ้าท่านไม่เอ่ยชื่อก็ไม่จริง เพราะเราจะทึกทักเอง คิดเอง เทียบเคียงเองไม่ได้  เพราะเราก็ไม่ทราบจริง ”     ทำไมมันจึงเป็น 2 มาตรฐานเล่าครับ เพราะข้อมูลจากคำเทศนาของหลวงพ่อฤาษีฯ นั้น  มีหลักฐานปรากฏตรงตามคำเทศนาของท่านครบถ้วน เช่น  สถานที่วัด บุคคล และเหตุการณ์ประกอบเรื่องราว มันสอดรับกันครบเครื่องทุกเรื่องราว คงไม่ต้องจาระนัยในรายละเอียดเพิ่มเติมมั้งครับ เพราะทุกอย่างมันชัดแจ้งแดงแจ๋ซะขนาดนั้น   คุณสงบสุขจะเรียกว่า “ ทึกทักเอง เทียบเคียงเองไม่ได้ ”  คงไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ลองถามคุณเป็นประธานกฐินปีละวัดที่มักนำคำเทศนาของหลวงพ่อฤาษีมาลงเป็นประจำดูสิครับว่า หลวงพ่อฤาษีฯ ท่านเป็นเช่นไร   จากคุณ : ทวนทอง - [ 20 ก.ย. 51 06:19:17 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ไม่ทราบว่าวัดนี้สอนให้ห้ามคิดหรือว่าอย่างไร มันชัดๆอยู่ยังจะมาแถ เจ็บมั้ยสีข้างนะ จากคุณ : anchan (anchan42) - [ 20 ก.ย. 51 11:03:57 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ไม่เจ็บค่ะ ตั้งแต่นั่งสมาธิ รู้สึกใจมันเฉยๆ ค่ะ ดีกว่าเดิมมากค่ะ ขอบคุณลูกคู่ ของพี่ทวนทอง นายว่า................ ขอให้ทุกคนมีสันติสุขภายในค่ะ จากคุณ : สงบสุข (สงบสุข) - [ 22 ก.ย. 51 16:42:11 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ขอบคุณคุณทวนทองค่ะ ดีใจที่ญาติพี่น้องเราไม่มีใครโดนสำนักพุทธพาณิชย์นี้หลอก เจตนามันเต็มไปด้วยอกุศลและกิเลสจัด ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งแล้วนี่ฝ่าาาาา ใครอยากหลับหูหลับตาเป็นสาวกต่อไปเพราะมาำำไกลแล้วกลับตัวได้ยาก ก็แ้ล้วแต่เวรกรรมเต๊อะ เอิ๊กกกกกๆๆๆๆๆๆๆ กรรมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ อันที่จริง ถ้ามีปัญญาซักเล็กน้อย ไม่ต้องมาก แค่เปลี่ยนช่องไปดู ได้เห็นนายแว่นนั่งตอบปัญหาจริยาดัดดีดดิ้น ทำตาล่อกแล่กๆๆๆ แค่นี้ก็รู้แล้วฟ่ะ 555555555555555555555555555555 ไม่ต้องเสียเวลาทำสมาธิแล้วค่อยเพ่ง ก็เห็น ไปหละ ขอบคุณจขกท.อีกทีนะจ๊ะ จากคุณ : เจ๊บวบ - [ 22 ก.ย. 51 20:07:07 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ฮ่าๆๆ พี่ทวนก้อ  นอนดึกนอนดื่น ตื่นมาโพสต์กระทู้ตั้งแต่ตีสามตีสี่  โบราณว่าตื่นก่อนไก่  เอ้ก อี๊ เอ้ก เอ้ก egg egg egg ตื่นเช้ายังกับพระเชียวนะคร้าบ  แต่อาจจะไม่ใช่พระหรอกมั้ง?  เพราะว่าตื่นจำวัดมาโพ้สต์กระทู้   ถ้าพี่ทวนเป็นพระนะ  พี่ทวนจะต้องไปสวดมนต์ภาวนา  ทำวัตรเช้า  พิจารณาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  โดยเฉพาะไตรลักษณ์  และโลกธรรม 8  และโดยเฉพาะอายุก็ไล่ๆ กับคู่กรณีสมัยโน้น  มาลำบากตรากตรำ กรำกาทู้ ทามมายเนี่ยยย คู่กรณีสมัยโน้นนน  เขาไม่มาอ่านหรอกพี่ทวน  เสียเวลาม้ากมาก egg egg egg ฮ่าๆๆ จากคุณ : พ่อตัวดี - [ 24 ก.ย. 51 03:51:58 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ฮ่าๆๆ ก็ขนาดในความฝัน  "คัยก้อมะรุ"  เดินลงบันไดพร้อมเหล่าบริวาร  แล้วคู่กรณีเขาเดินสวนบันไดขึ้นไปพร้อมกับบริวารของเขา  แล้วบริวารของ "คัยก้อมะรุ"  กลับเปลี่ยนใจ  เดินย้อนกลับขึ้นบันไดไป  กลับไปเป็นบริวารของคู่กรณีดังเดิม  ทำให้ "คัยก้อมะรุ" เปลี่ยวเหงา  อยู่จนทุกวันนี้   egg egg egg  เช้าแล้วคร้าบพี่ทวน  คืนนี้นอนดึกม้ากมาก มีนิทานอีกม้ากมาก  ถ้าพี่ทวนอยากอ่านนะคร้าบบบ  ภาษาเกาหลีเขาเรียกว่า "วอน" ฮ่าๆๆ จากคุณ : พ่อตัวดี - [ 24 ก.ย. 51 03:57:10 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ธรรมโกยลิ้นจุกปากแก้ตัวไม่ออก  ถึงขนาดต้องปล่อยให้จิ๊กโก๋ปากซอยมาป่วนกระทู้แทนแล้วฤา ************************************************************ สิ่งหนึ่งที่คนพาลมักจะอ้างเสมอ เวลาที่มีคนอื่นมาขุดคุ้ย หรือแฉให้สาธารณชนเห็นการกระทำอันชั่วร้ายของตนเอง ก็คือ อ้างว่าคนคนนั้นเกลียดชังตนเป็นการส่วนตัว โดยที่ตนไม่เคยทำอะไรให้คนคนนั้นเจ็บช้ำน้ำใจ ตนไม่รู้เลยว่าทำไมคนคนนั้นต้องมาคอยจับผิด และตนเป็นผู้ถูกรังแก ถูกเค้าใส่ร้าย อ้างแบบนี้ เพื่อจะได้เบี่ยงเบนความสนใจของผู้อื่น ให้พ้นจากความชั่วที่ตนก่อเอาไว้ ซึ่งตนก็ไม่สามารถอธิบายหรือแก้ต่างได้ไงล่ะคะ วิธีเบี่ยงเบนความสนใจให้ผิดกลายเป็นถูก ให้ดำกลายเป็นขาว ให้คนชั่วกลายเป็นคนที่ควรได้รับความเห็นใจ แบบนี้ใช้ได้ผลเสมอค่ะในสังคมไทย เพราะสังคมไทยพร้อมที่จะเข้าข้างคนที่ถูกรังแก (หรืออ้างว่าถูกรังแก) เสมอโดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าต้นสายปลายเหตุมันเกิดมาจากอะไรอยู่แล้ว เป็นกำลังใจให้คุณทวนทองเช่นกันค่ะ จากคุณ : หนอนดาวเรือง แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 51 14:55:11 จากคุณ : เจ๊บวบ - [ 25 ก.ย. 51 13:08:40 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ขอบคุณ คุณทวนทองที่นำเรื่องนี้มาเล่า เราไม่ศรัทธาอยู่แล้ว  เพราะขัดกับความรู้สึก มีเพื่อนมาชวน เป็นป้าของนงงามคนหนึ่ง  ที่พ่อเป็นทหารอากาศ  มีร้านตัดผม  "ดนัยเกศา"   ทำตัวเป็นคนสนิท  ของหัวหน้าสำนักคลองสาม แต่เราก็ไม่ไป   เคยได้ยินชาวบ้านแถวใกล้สำนักเล่า  เรื่องที่ถูกไล่ถูกกลั่นแกล้ง  เพราะเขาต้องการที่ดินของชาวบ้านแถวนั้น  เรายิ่งรังเกียจแม้ว่า ในอดีตเราเคยเป็นข้าราชการอยู่จังหวัดปทุมธานี   เรายังไม่เคยไปเหยียบสำนักนั้นเลย... จากคุณ : ยายเก๋า (ชมพร) - [ 1 ต.ค. 51 13:13:27 ]

ความคิดเห็นที่ 77 มีอาจารย์ของดิฉันคนนึงก็เล่าเรื่อง พระไล่ตีชาวบ้านเรื่องที่ดิน เหมือนกันค่ะ พอดีว่า บ้านของคุณพ่อคุณแม่อาจารย์อยู่ที่นั่นค่ะ จากคุณ : ธีรารัศมี - [ 4 ต.ค. 51 12:10:17 ]

ความคิดเห็นที่ 78 สงสัยที่หลวงพ่อฤาษีท่านพูดถึง -สงสารท่านเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ในฐานะที่เป็นเจ้าอาวาสด้วย เป็นพระราชาคณะด้วย  เป็นเจ้าคณะตรวจการภาคด้วย- นี่ใช่หลวงพ่อสดหรือป่าวครับ? เพราะเกิดไม่ทัน จากคุณ : ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ - [ วันเกิด PANTIP.COM 07:54:12 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ไม่ใช่หลวงพ่อสดครับ ท่านมรณภาพ 2502 ครับ จากคุณ : tv3579 - [ 8 ต.ค. 51 02:30:34 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ดิฉันเป็นชาวพุทธคนหนึ่ง แต่ไม่เคยมีความสนใจที่จะเข้าไปฟังธรรม หรือนั่งสมาธิที่วัดนี้เลย เพราะไม่ชอบวิธีการชักชวนเข้าวัดของบรรดาลูกศิษย์ มีเพื่อนดิฉันเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของวัดนี้ เขามาชักชวนให้ไปวัด โดยพูดว่า คนนั้น คนนี้ ที่ประมาณเป็นใหญ่เป็นโต ทำงานการบินไทยบ้าง เป็นหมอบ้าง ไฮโซบ้าง ก็มาวัดเป็นประจำ เลยรู้สึกว่าเป็นการชักชวนที่แปลกๆ ไม่เคยเห็นวัดไหนทำแบบนี้มาก่อน คิดเอาเองว่าเขาคงต้องการให้คนเข้ามาวัดเยอะๆ เพื่อแสดงว่ามีคนศรัทธาเยอะแหละมั้ง จากคุณ : Tang_Siri - [ 10 ต.ค. 51 09:48:14 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ขอบคุณที่นำมาเล่าให้ฟังค่ะ  นับถือในน้ำใจอันกล้าหาญของหลวงพ่อฯ ที่ท่านแสดงออกอย่างนั้น  สำหรับ วัดธรรมกาย  รับรู้มาตั้งแต่แรกค่ะ เพราะ อ.วรณี  ท่านเป็น ผ.อ.โรงเรียนเรา  และต่อมา  เข้าใจว่า ท่านกรวดน้ำ คว่ำขัน กับพฤติกรรมของพระวัดนี้จริงๆ  อ.วรณี  ท่านเป็นเศรษฐีที่ติดดินมาก  เป็นครูที่แท้ ท่านใจดี มีเมตตา และ พวกเราใน ร.ร. (ที่บ้านเรา เรียนที่ ร.ร.นี้ ๔ คนค่ะ)ไม่เคยเห็นท่านจะมีท่าที กรวดน้ำ กับใคร  นอกจาก กับพวกธรรมกาย  มันคงมีอะไรอย่างที่ อ.วรณี ท่าน "รับไม่ได้" จริงๆ มาตั้งแต่ตอนนู้นแล้วล่ะ จากคุณ : ต้นจั่น - [ 13 ต.ค. 51 14:38:47 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ขอมองต่างมุมค่ะ แปลกใจเหมือนกันค่ะ ถ้าท่านใจดี มีจิตเมตตา ทำไมต้องโกรธ การให้ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนเพราะจิตมีเมตตาทำไมต้องกรวดน้ำ คว่ำขัน การให้ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนเพราะจิตมีเมตตาทำไมรับไม่ได้จริงๆ ถ้าใจที่ให้มีเมตตา ไม่หวังสิ่งตอบแทน ทำไมต้องโกรธ ทำไมรับไม่ได้ ทำไมต้องกรวดน้ำ คว่ำขัน งงเหมือนกันค่ะ ขอให้ทุกคนมีสันติสุขภายในค่ะ แก้ไขเมื่อ 13 ต.ค. 51 15:58:44 จากคุณ : สงบสุข (สงบสุข) - [ 13 ต.ค. 51 15:51:23 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ทราบได้อย่างไรครับว่าอาจารย์วรณีท่านโกรธ ท่านอาจไม่โกรธก็ได้ แต่ท่านก็คงพิจารณาเห็นแล้วว่า ไม่สมควรสนับสนุนพระกลุ่มนี้ต่อไป ส่วนที่ให้แล้วก็แล้วไป ท่านก็ไม่ได้เรียกร้องเอาคืนนี่ครับ ไม่ได้หวังอะไรตอบแทนเสียหน่อย ในไฟล์เสียงพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ก็พูดชัดว่า อาจารย์วรณีบอกว่าแล้วแต่ท่านเจ้าคุณใหญ่ เพราะถือว่ายกให้เป็นสมบัติพระพุทธศาสนาเสียแล้ว ก็คงเป็นกรรมของท่าน ดังที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ได้กล่าวไว้ในไฟล์เสียงว่า "และก็ควรจะสงสาร ท่านเจ้าของทรัพย์ว่า พระถมเถไป กรรมอะไรของท่านหนอ ที่ไปเจอะเอาพระ ... แบบนี้เข้า" จากคุณ : กะหล่ำปลีลวกกินกับขนมจีนน้ำยา - [ 13 ต.ค. 51 21:38:17 ]

ความคิดเห็นที่ 85 เรื่องอื่นไม่ทราบนะครับ แต่เห็นด้านบนบอกว่า ถ้าใจที่ให้มีเมตตา ไม่หวังสิ่งตอบแทน ทำไมต้องโกรธ ทำไมรับไม่ได้ ทำไมต้องกรวดน้ำ คว่ำขัน ผมไม่เห็นมีประโยคไหนที่บอกว่า อ.วรณีท่านจะโกรธเลยนะครับ ที่บอกว่ากรวดน้ำ คว่ำขัน ก็หมายถึงเลิก หรือ ตัดขาด อย่างที่คุณกะหล่ำปลีลวกกินกับขนมจีนน้ำยา ยกมาอ้าง ท่านก็ถือว่าเป็นสมบัติของพระพุทธศาสนานี่ครับ แล้วการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน จำเป็นต้องให้โดยไม่คิดเหรอครับ ในเมื่อบางทีเราให้คนอื่น แต่คนอื่นยังย้อนกลับมาทำร้ายเรา เราจำเป็นต้องให้เหรอครับ ถ้าคิดว่าการไม่โกรธเราก็ต้องให้ไปเรื่อยๆ อย่างนั้น แสดงว่าไม่ได้ใช้ปัญญาในการให้มั้งครับ อย่างพระพุทธเจ้าตอนเทวทัตเข้ามาบวชก็อบรมสั่งสอนอย่างดีจนได้ฌาณสมาบัติ แต่พอคิดชั่วทำสงฆ์แตกแยก พระพุทธเจ้าก็ทรงหยุดสอนเหมือนกัน ถามว่าพระพุทธเจ้าโกรธถึงหยุดสอนเหรอ ก็ไม่ใช่ แต่ท่านหยุดให้ เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่ให้ต่อไป เพราะจิตเค้าเลวเสียแล้ว ส่วนเรื่องอื่นไม่ขอวิจารณ์ เพราะกรรมที่ใครทำเอาไว้ ก็ต้องรับผลอันนั้น ไม่ว่าจะดีหรือเลว ก็ไว้ไปรอดูตอนตายว่าจะได้รับผลที่เป็นสุข หรือผลที่เป็นทุกข์ เพิ่มเติมนะครับ ทำไมไม่ย้อนถามว่า ทำไมคนที่ให้แล้ว กลับกลายเป็นว่าไม่ให้อีก มันเพราะสาเหตุอะไรที่เป็นเช่นนั้น คนรับทำอะไรหรือเปล่า ทำไมคนที่ให้ถึงเิลิกให้ เจริญในธรรม แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 51 13:01:05 จากคุณ : เด็กน้อย (หลงสิง) - [ วันออกพรรษา 11:29:04 ]

ความคิดเห็นที่ 86 สงบสุขเข้าใจตีความตามสำนวนค่ะ ขอโทษทีถ้าเข้าใจผิด สำนวนกรวดน้ำคว่ำขัน, กรวดน้ำคว่ำกะลา          กรวดน้ำคว่ำขัน และ กรวดน้ำคว่ำกะลา เป็นสำนวนที่มีความหมายว่า ตัดขาดไม่คบหาสมาคมกันต่อไป.   สำนวนทั้ง ๒ นี้มีที่มาจากการกรวดน้ำ แต่เป็นการกรวดน้ำโดยคว่ำภาชนะที่ใช้ กรวดน้ำคว่ำขัน และ กรวดน้ำคว่ำกะลา จึงมีความหมายว่า เลิก หรือ ตัดขาด          ตัวอย่างการใช้สำนวน กรวดน้ำคว่ำขัน, กรวดน้ำคว่ำกะลา เช่น ฉันเคยอุปการะเลี้ยงดูเขาอย่างดี แต่เขากลับมาทรยศหักหลังฉัน ขอกรวดน้ำคว่ำขันอย่าได้พบกันอีกต่อไป. คนเลวอย่างนี้ ขอกรวดน้ำคว่ำกะลาไปเลย อย่าได้พบกันอีกไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน.(ขนาดไม่อยากเห็นตัวเลยค่ะ) ที่มา :  บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย"  ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น. ขอให้ทุกคนมีสันติสุขภายในค่ะ แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 51 12:35:46 จากคุณ : สงบสุข (สงบสุข) - [ 15 ต.ค. 51 12:34:26 ]

ความคิดเห็นที่ 87 อ่านตามที่คุณสงบสุขนำมาโพสต์ให้ทราบ การใช้สำนวนกรวดน้ำคว่ำขัน ก็ไม่น่าผิดครับ เพราะว่าไม่คบค้าสมาคมกันต่อไปแล้ว กรวดน้ำคว่ำขัน ไม่ได้หมายความว่าโกรธครับ จากคุณ : กะหล่ำปลีลวกกินกับขนมจีนน้ำยา - [ 16 ต.ค. 51 01:10:29 ]

ความคิดเห็นที่ 88 อ่านดูแล้ว เหมือนเรื่องเก่า เอามาเล่าใหม่ จริงๆ ผมเองเคยได้ยินเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ว่าแต่ว่า ที่น่าสนใจในเรื่องนี้ จริงๆเรื่องทั้งหมดเกิดจากความเข้าใจผิด การเข้าใจผิดอันนี้ ทั้งหมด ทั้งสิ้นเกิดจาก คนตัวเล็ก + สตรีช่างพูด ผมว่า ถ้าคนเก่าๆ แบบท่านทวนทองน่าจะทราบดี แต่ท่านทวนทองบอกไม่หมด บอกเอาแต่ส่วนที่ให้ร้ายกับวัดนี้ข้างเดียวมา ทุกอย่างมีสองมุม จริงมั้ยครับท่าน ? คนตัวเล็ก ที่ทำให้เกิดปัญหาคือใคร ? ท่านทวนทองตามติดเรื่องนี้ พอทราบหรือรู้จักมั้ยครับ ? เรื่องทั้งหมด น่าจะเกิดจาก ความเข้าใจผิด ตอนหลังมา อาจารย์วรณีเอง ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับ พระอาจารย์ รูปที่ท่านทวนทองขึ้นหัวข้อกระทู้เช่นกัน เพราะอะไร ? ท่านทวนทองทราบมั้ยครับ ? ผมเองถ้าหาข้อมูลเกี่ยวกับ คนตัวเล็ก และ สตรีช่างพูดได้ ถ้ารื้อเจอน่าจะเอาลงมาให้ได้อ่านกัน อีกมุมมองนึง ป.ล. คนตัวเล็กตอนหลังเป็นพระภิกษุ แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 51 00:39:42 แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 51 00:38:58 แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 51 00:37:27 จากคุณ : นายกัณฑ์ - [ 24 ต.ค. 51 00:18:38 ]

ความคิดเห็นที่ 89 ธรรมกายของหลวงปู่สด  เป็นอย่างไร ครับ  ช่วยกัน หา คำตอบ จากคุณ : kraho - [ 24 ต.ค. 51 22:01:30 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ทวนทอง ขยันจริง ๆ เลยนะ ไอ้เรื่องทำให้คนอื่นเขาเสียหายนะ ว่างจริงจริ๊ง กล้าทำ..ก็ต้องกล้ารับ จากคุณ : คิดบวก (paw_tankun) - [ 5 พ.ย. 51 17:22:56 ]

ความคิดเห็นที่ 96 เสียหายน่ะ ไม่ใช่ใครเขามาทำให้เสียหายได้หรอก ถ้าไม่ทำตัวเองน่ะ เฮอะๆๆๆๆ จากคุณ : เข้าใจหน่อยนะจ๋าจ้ะ (JitZungkabuai) - [ 7 พ.ย. 51 13:16:24 ]

ความคิดเห็นที่ 97 มนุษย์มีงานสำคัญที่ต้องทำให้ครบถ้วน ๓ งาน คือ งานอาชีพ ทำเพื่อให้ได้ปัจจัย ๔ เครื่องอุปโภคบริโถคมาเลี้ยงชีพในเส้นทางการสร้างบารมี งานอาชีพจะอยู่ ในรูปของงานรักษาองค์กร เพื่อให้องค์กรพุทธศาสนา(วัดหรือมูลนิธิ) ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง เช่น การจัดหา ทรัพยากร ดูแลรักษาศาสนสมบัติ งานพัฒนานิสัย เป็นการศึกษาธรรมะจากพระไตรปิฎก นำคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประพฤติปฎิบัติ ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องของตนเองเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ งานพัฒนาจิตใจ หรืองานภาวนา เพื่อรักษาใจให้สงบ ละเอียดสุขุม ใสสว่าง ไ้ด้รู้เห้นชีวิตตามความเป็นจริง เมื่อใจได้รับการพัฒนาจะมีศักยภาพในการนำความรู้ความสามารถที่มีอยู่ ออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่                งานทั้งสามนี้จะต้องทำไปพร้อมๆกันในชีวิตประจำวัน หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งความสมบูรณ์ของชีวิตก็ ็    จะขาดหายไป ความมั่นคงในชีวิตก็จะไม่เกิดขึ้น ความหวังที่จะเป็นนักสร้างบารมีที่สมบูรณ์แบบก็คงจะเป็นไปได้    โดยยาก                คนในสังคมส่วนใหญ่มุ่งพัฒนาส่งเสริมงานอาชีพ ส่วนงานพัฒนานิสัยนั้นให้ความสนใจน้อย ยิ่งงานพัฒนา    จิตใจด้วยแล้วจะถูกมองข้ามไปเลย จึงเป็นเหตให้คนส่วนใหญ่ในสังคมมีแต่ความรู้ความสามารถแต่ขาด   คุณธรรม จึงนำความรู้ความสามารถนั้นมาใช้ในทางที่ผิดทำนองคลองธรรมเมื่อเกิดปัญหาขึ้นในชีวิตหรือ    การทำงานก็จะหาทางออก ในทางที่ผิดหลักศีลธรรมขาดความยั้งคิด เพราะใจขาดสมาธิไม่รู้จักความสงบ   ไม่มีหลักแห่งศีลธรรมมาเป็น เครื่องช่วยในการตัดสินใจ                แต่หลักการพัฒนาตนเองของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีทั้ง ๓ งานดังกล่าวข้างต้นอย่างครบถ้วน   โดยมีงานอาชีพหรือกิจวัตรกิจกรรมในชีวิตประจำวันเป็นเครื่องหล่อหลอมจิตใจ อาศัยร่างกายของมนุษย์และปัจจัย ๔   รวมถึงสิ่งแวดล้อมทุกอย่างตั้งแต่ผู้คนรอบข้างและสรรพสิ่งต่างๆ เป็นอุปกรณ์ในการฝึก                ลำดับขั้นในการฝึกพัฒนา คุณธรรมจะเริ่มจากสิ่งใกล้ตัวออกไปสู่สิ่งไกลตัว  หรือจากเรื่องง่ายๆไปสู่เรื่องยาก จากคุณ : อิทธิบาทสี่ - [ 8 พ.ย. 51 21:29:13 ]

ความคิดเห็นที่ 98 เราเกิดมาเพื่อทำความดี สร้างบุญกุศลแต่เพียงอย่างเดียว  เพราะเวลาบน โลกมนุษย์มีจำกัด เราเกิดมาเพื่อทำสิ่งนี้ ไม่ใช่เพื่อการอย่างอื่น อย่าได้เข้า ใจผิดจะหลงทาง เรามีใช่เกิดมาเพื่อสะสมทรัพย์สมบัติ  บ้าน รถยนต์ จน มากมายก่ายกอง จนลืมที่จะสร้างบุญกุศล  ลืมวัตถุประสงค์ที่เกิดมาเป็น มนุษย์ ที่แท้จริง เพราะทรัพย์สมบัติเป็นเครื่องพันธนาการชีวิต ให้เราหลงทางได้ ยิ่งมีมาก ก็ยิ่งแสวงหา เพลินเพลิน ไปไม่จบสิ้น สิ่งต่างๆเหล่านี้ หากเรายังไม่หลุด จากเครื่องพันธนาการ หรือออกจากเครื่องพันธนาการ สุดท้ายความตาย ก็จะมาแยกเราออกจากเครื่องพันธนาการ อย่างหนีไม่พ้น ชีวิตสมณะเป็นเพศบริสุทธิ์ที่หลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการเหล่านี้อย่างสิ้น เชิง สามารถใช้เวลาในการทำความดี สร้างบารมีได้อย่างเต็มที่  เราที่มีเพศ ฆราวาส ก็ควรจัดสรรเวลาให้ดี ไม่ได้ใช้เวลาทั้งชีวิต หมดไปกับสิ่งเหล่านี้ เพียงอย่างเดียว ควรหาเวลาที่จะกอบโกยทำความดี สร้างบารมีอย่างเต็มที่ ให้มากที่สุด บุญกับบาปก็จะชิงช่วง ช่วงชิงกันตลอดเวลา หากเราไม่มีสติก็ต้องพ่ายแพ้ กับกิเลส ทำบาปได้ในที่สุด บุญเป็นฝ่ายขาว บาปเป็นฝ่ายดำ กำลังของฝ่าย ขาวจะมีน้อยกว่า เราจะต้องมีสติ และกำลังใจที่สูงก็สามารถจะมาอยู่ข้าง บุญหรือฝ่ายขาวได้   ถ้าปล่อยตามใจ ตามกิเลสก็จะเป็นผู้แพ้ในที่สุด อย่างแน่นอน ฝ่ายดำหรือบาปก็จะฝังแน่นในจิตเรา มั่นคง เหมือนผ้าขาวที่เปื้อนสีดำ จะซัก ให้ขาวสดใสเหมือนเดิมได้ยากมาก    คนเราปกติจะนึกถึงบาปได้ง่าย ทำให้เรามีใจที่เศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา เมื่อรู้ว่ากำลังฝ่ายดำมันกล้าแกร่ง เราจึงต้องหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด อย่าไปกระทำเป็นอันขาด เพื่อรักษาใจของ เราให้แจ่มใสอยู่ตลอดเวลา ทรัพย์สมบัติเราอยากยึดเอาไว้ ก็ยึดเอาไว้ไม่ได้ เพราะความตายจะมาแยก เราออกจากกัน แต่วิบากกรรมที่เกิดจากกรรมชั่ว ที่เราไม่อยากเอาไว้ มัน กลับฝังแน่นกับเรา เหมือนปลิงจะสลัดอย่างไรก็ไม่ไม่หลุด ติดตามเราไป เหมือนเงาตามตัว พร้อมจะเล่นงานเราตลอดเวลา และติดตามเราไปทุกภพ ทุกชาติ ลำพังกิเลสที่สะสมในตัวก็มีมากแล้ว เรายังไปแสวงหาเพิ่มเติมให้หนัก ไปอีก?  เรายังไปฟังสิ่งที่ไม่ดี ไปดูสิ่งที่ไม่ดี ไปสัมผัสสิ่งที่ไม่ดี เพื่อ ให้กิเลสเรากำเริบ ทำใจให้ขุ่นมัว ให้เราต้องรัก โกรธ เกลียดใคร อยู่อีก หรือ?  อย่างนี้เราจะต้องใช้กำลังต่อสู้กับสิ่งไม่ดี มากขนาดไหน? ก็ลองคิดดู ก็แล้วกัน หากเราแพ้เมื่อใด อกุศลก็จะเข้าครอบครองจิตใจเราจนหมดสิ้น ความดีของเราก็จะไม่เหลือ เพราะไม่มีที่ว่างในใจของเรา เขาได้เลือกแล้ว ว่าอยู่ฝ่ายขาวหรือดำ? แล้วตัวเราเลือกแล้วหรือยัง? บัดนี้เราทำอะไรอยู่? บัดนี้เราทำอะไรอยู่? บัดนี้เราทำอะไรอยู่? เราและเขา "ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม" เราและเขา "ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม" เราและเขา "ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม" จากคุณ : อิทธิบาทสี่ - [ 9 พ.ย. 51 10:18:06 ]

ความคิดเห็นที่ 99 หึหึหึ ด่ากันไปด่ากันมานะค่ะ เห็นแล้วเหนื่อยแทนกันจริงๆ จากที่ดิฉันได้เข้าวัดพระธรรมกายมาเป็นเวลาร่วม 10 ปี เนื่องจากน้าชายได้เข้าไปบวชที่วัดธรรมกาย และ จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่สึก สมัยก่อนนั้นดิฉันขอบอกตามตรงว่าไม่ได้สนใจในวัดเท่าไหร่นักเสมือนคนอื่นทั่วๆไป ที่เป็นเด็กๆ ไม่อยากมาวัดเพราะน่าเบื่อ แม่ให้มาก็มาไม่เคยสนใจ และใส่ใจจำ และสมัยก่อนได้เคยมีปากเสียงเรื่องที่ครอบครัวนำเงินไปทำบุญมากมายว่าทำไปเพื่ออะไร เอาเงินมาเก็บไว้ไม่มีกว่าหรือ ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจหรอก แต่มาตอนนี้ก้เข้าใจแล้วว่านั่นมันเป็นเงินที่เค้าหามาได้ เค้าจะเอาไปทำอะไรมันเป็นสิทธิ์ของเค้า เราไม่มีสิทธิ์ที่จะหวงอยู่แล้ว ถ้าอยากจะมีเงินก็ควรที่จะเก็บด้วยตนเอง จริงๆแล้วมาถึงตอนนี้ขอบอกว่าเข้าวัดเต็มตัวแล้ว ซึ่งดิฉันไม่รู้นะคะว่าที่โพสมานั้นมีความเป็นจริงแค่ไหน แล้วความจริงที่ผ่านมานั้นเป็นอย่างไร ดิฉันไม่อยากจะสืบเสาะหา เพราะว่าดิฉันเชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็น สามารถสัมผัส ได้ จากคุณ : ojjo (dfh) - [ 20 พ.ย. 51 13:22:41 ]

ความคิดเห็นที่ 100 เฮ้ออออ จากคุณ : นีละปอย~* - [ 20 พ.ย. 51 15:48:53 ]