ความคิดเห็นที่ 1 หลักเกณฑ์การขอสินเชื่อ ๑. สมาชิกที่มีอายุการเป็นสมาชิกไม่น้อยกว่า ๓ เดือน ๒. เป็นสมาชิกที่มีการสะสมหุ้นขั้นต่ำ ๑,๕๐๐ บาท ขี้นไป ๓. วงเงินกู้ยืมขั้นต่ำ ๑๐ เท่า ของทุนเรือนหุ้น (เริ่มต้นที่ ๑๕,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท) ๔. ต้องมีสมาชิกสหกรณ์ฯ ค้ำประกัน ๒ ท่าน ๕. การชำระคืนเงินกู้  ยอดกู้ ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาทผ่านชำระภายในระยะเวลา ๑๕ เดือน     ยอดกู้ตั้งแต่ ๕๐,๐๐๐ บาทถึง ๑๕,๐๐๐ บาท ผ่อนชำระ ๓๐ เดือน   อัตราดอกเบี้ย ๑๒% ต่อปี ๖. สมาชิกจะไม่ได้รับเงินสด  แ ต่ จ ะ ไ ด้ รั บ คู ป อ ง ที่ออกให้โดยสหกรณ์ตามวงเงินสินเชื่อเพื่อนำไปทำบุญหล่อทองคำหลวงปู่ จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 03:33:47 ]

ความคิดเห็นที่ 2 การพิจารณาวงเงินสินเชื่อ ๑. สหกรณ์จะพิจารณาถึงความสม่ำเสมอ ในการสะสมหุ้นรายเดือนของสมาชิกใหม่ในช่วงเวลา ๓ เดือน ที่ผ่านมา ๒. ในกรณีที่มีสัญญากู้กับสหกรณ์จากวงเงินกู้ยืมอื่นๆ จะพิจารณาจากความสม่ำเสมอและความสามารถในการชำระคืนเงินกู้ สมาชิกต้องผ่านการอบรมอย่างน้อย ๑ ครั้ง สำหรับสมาชิกเก่าที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ฯ เกินกว่า ๑๒ เดือนขี้นไป และมีความประสงค์จะขอวงเงินสินเชื่อมากกว่า ๑๕๐,๐๐๐ บาท ต้องยื่นคำขอกู้เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณา สนใจติดต่อฝ่ายสินเชื่อ ด่วน โทร.๐-๒๙๐๑-๐๕๐๘-๑๐ ต่อ ๒๐๒-๒๐๓ ๕๐/๑๓๒ หมู่ ๗  ถนนมงคลเศรษฐี ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ๑๒๑๒๐ โทร. ๐-๒๙๐๑-๐๕๐๘-๑๐  แฟกซ์.  ๐-๒๙๐๑-๐๔๒๗ เปิดทำการ วันจันทร์ – วันเสาร์ ๙.๐๐ นาฬิกา – ๑๖.๓๐ นาฬิกา  วันอาทิตย์ ๘.๐๐ – ๑๗.๐๐ นาฬิกา (หยุดวันนักขัตฤกษ์) http://209.85.175.104/search?q=cache:IjeVMlY1tEQJ:mcu.coop/node/16+%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88&hl=th&ct=clnk&cd=1&gl=th แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 51 03:43:25 จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 03:42:32 ]

ความคิดเห็นที่ 3 หุหุ  ดูซิ ดูมันทำ  ดูซิทำไปได้ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มงคลเศรษฐี จำกัด เก็บออมไว้เป็นทุน ทำบุญได้หลากหลาย มีเงินฝากแล้วสบาย ไม่รู้ว่า ใครสบาย !!!!! จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 03:44:17 ]

ความคิดเห็นที่ 4 มารู้จักกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี เพิ่มเติม  ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ประวัติ การจัดตั้งสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี จำกัด คณะผู้จัดตั้งสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี จำกัด รุ่นแรก ปรารถนาต้องการให้หมู่คณะสังคมเหล่า กั ล ย า ณ มิ ต ร เกิดการช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างมีระบบ   ระบบที่ทำให้คนเหลือมากช่วยคนเหลือน้อยได้โดยไม่กลัวหมดหรือไม่ได้คืน คนเหลือน้อยก็สามารถรับความช่วยเหลือได้อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี มีการจัดสรรกันอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน สามารถสร้างบารมีไปได้อย่างพร้อมเพียงกัน จากปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมที่เข้ามาเป็นอุปสรรคในการสร้างบารมีของเหล่ากัลยาณมิตร ทำให้เกิดตัวจักรสำคัญ ที่ผลักดันให้เกิดแนวทาง การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างยั่งยืน สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี จึงถือกำเนิดขึ้น และบุคคลที่เป็นตัวจักรสำคัญในการผลักดันให้เกิดสหกรณ์ฯ คือ พล.อ.อ.วีระวุธ ลวะเปารยะ นายทวีชัย ชัยสุวรรณ นายศุภชัย ศรีศุภอักษร และกลุ่มสมาชิกผู้เข้าร่วมก่อตั้งเริ่มต้น 44 คน ซึ่งมีแนวคิดเดียวกันมีความเข้าใจในหลักการ และอุดมการณ์ของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนป็นอย่างดี ด้วยประสบการณ์ หัวใจของอาสาสมัครที่ไม่หวังค่าตอบแทน ความเสียสละอุทิศแรงกายแรงใจเพื่อส่วนรวม แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 51 04:26:49 จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 03:45:58 ]

ความคิดเห็นที่ 5 กลุ่มจัดตั้งจึงมีการประชุมและนำเรื่องการจัดตั้งไปกราบเรียน พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) ผู้เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาของหมู่คณะ  ท่านได้เมตตา ตั้งชื่อและตราสัญลักษณ์เป็นรูปสองมือโอบจักรวาลตรงกลางเป็นรูปสามเหลี่ยมอันแสดงถึงความมั่นคง เหลี่ยมทั้งสามหมายถึงเข้ากับใครก็ได้ ไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา นอกจากนี้ท่านยังได้เมตตา สถาปนาสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี จำกัด ขึ้นเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2543 พร้อมให้โอวาทความว่า “ การจัดตั้งสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี จำกัด ก็เพื่อให้เกิดการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในหมู่คณะของกัลยาณมิตร นับเป็นสิ่งที่ดีที่ประเสริฐ แต่ไม่ใช่ของง่าย เพราะ จะมีปัญหาและอุปสรรค ซึ่งเกิดจากความรู้ที่ไม่เท่าเทียมกันของหมู่คณะทั้งหยาบทั้งละเอียด อันจะทำให้เกิดความขัดแย้ง เกิดความร้อนใจ ขอให้มีความอดทนอดกลั้นให้มาก หากอดทนไม่ได้ ให้มาพบหลวงพ่อ หลวงพ่อจะได้ทบทวนมโนปณิธานในการจัดตั้งสหกรณ์ และการสร้างบารมีอีกครั้ง หลวงพ่อขออวยพรให้การจัดตั้งสหกรณ์จงเป็นผลสำเร็จ ให้การดำเนินงานมีความเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้า ยั่งยืนมั่นคง หลวงพ่อขอสถาปนาสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐีในโอกาสอันเป็นมงคลนี้ ” แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 51 03:48:04 จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 03:46:55 ]

ความคิดเห็นที่ 6 19 มีนาคม 2543 จึงประกาศตัวเป็นกลุ่มสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี จำกัด เปิดรับสมัครสมาชิกเป็นวันแรก ถึงแม้ตลอดเวลาการก่อตั้งจะเป็นไปด้วยความยากลำบาก นับเป็นความโชคดีของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี จำกัด ที่คณะผู้จัดตั้ง คุณศุภชัย ศรีศุภอักษร เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ทำงานสหกรณ์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 เป็นผู้นำขบวนการสหกรณ์มาตลอด จึงเป็นก้าวแรกของสหกรณ์ที่ก้าวเดินอย่างมั่นใจ แม้จากเริ่มต้นไม่มีทุนแม้แต่บาทเดียว แต่ด้วยความตั้งใจจริงจึงพยายามรวบรวมได้ทุนเรือนหุ้นสะสมครั้งแรก 26,700 บาท มีเงินฝากในขณะนั้น 22,992 บาท มีการเตรียมระบบคอมพิวเตอร์ สมุดประจำตัวสมาชิก สมุดเงินรับฝากออมทรัพย์ ซึ่งจัดพิมพ์โดยคอมพิวเตอร์ในระดับมาตรฐานเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและเริ่มให้สมาชิกใช้บริการด้าน การสะสมเงิน ด้านสินเชื่อ วงเงินกู้ยืม เพื่อนำไปสร้างบุญกุศล จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 03:49:20 ]

ความคิดเห็นที่ 7 โดยขณะนั้นทางสหกรณ์ได้ใช้อาคารเมืองแก้วมณี เป็นสำนักงานชั่วคราวในการให้บริการสมาชิกในช่วงแรก  แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มต่อต้านการทำงานของสหกรณ์ฯ กล่าวหาว่าสหกรณ์ฯ เป็นพวกต่างศาสนามาบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา ประกอบกับเพื่อนกัลยาณมิตรบางคนไม่เข้าใจหลักสหกรณ์จึงไม่ให้การยอมรับเท่าที่ควร แต่กลุ่มจัดตั้งก็ไม่เคยท้อถอย กาลเวลาย่อมเป็นเครื่องพิสูจณ์แก่นแท้แห่งสัจธรรมวิสัย ทุกคนจึงมุ่งสร้างความรู้ความเข้าใจให้เกิดกับเหล่ากัลยาณมิตร และสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างลุล่วงไปด้วยดี หลังจากเปิดดำเนินการมาได้ 6 เดือน คณะผู้ดำเนินการจัดตั้งสหกรณ์ฯ ได้ร่างระเบียบข้อบังคับตามที่กฎหมายกำหนดเรียบร้อยแล้ว ได้มีการประชุมใหญ่สามัญเพื่อรับรองระเบียบข้อบังคับ และเลือกคณะกรรมการดำเนินการและผู้ตรวจสอบกิจการ และได้เปิดโครงการสินเชื่อเพื่อคุณธรรม (MPL) ขึ้น ตามที่สมาชิกร้องขอ ซึ่งได้รับความสนใจจากสมาชิกเป็นจำนวนมากสามารถให้บริการสินเชื่อได้นับสิบล้านบาท ทั้งได้สมัครเป็นสมาชิกของชุมนุมสหกรณ์ เพื่อใช้สินเชื่อและให้ชุมนุมรับรองกิจการ เพื่อขอจดทะเบียนสหกรณ์ โดยได้ปรับปรุงสำนักงานจัดสร้างเคาร์เตอร์ เพิ่มระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถบริการสมาชิกที่เพิ่มขึ้น จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 03:50:37 ]

ความคิดเห็นที่ 8 21 พฤศจิกายน 2543 ได้มีการประชุมคณะผู้จัดตั้งอย่างเป็นทางการเพื่อเตรียมจดทะเบียน มีการกำหนดชื่อ ประเภท และเงื่อนไขต่าง ๆ ตามกฎหมาย ร่างระเบียบข้อบังคับเพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ ให้เป็นสถาบันการเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อสร้างความมั่งคงและความมั่นใจให้กับสมาชิก 23 ธันวาคม 2543 ได้จัดประชุมใหญ่เพื่อดำเนินการจดทะเบียนสหกรณ์ รองรับแผนงาน และข้อบังคับสหกรณ์ นับเป็นความสำเร็จอย่างสูงสุดของประวัติศาสตร์ การจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ในชุมชนที่สามารถจดทะเบียนเรียบร้อย โดยใช้เวลา 9 เดือน มีสินทรัพย์รวม 25 ล้านบาท 12 กุมภาพันธ์ 2544 ได้รับการจดทะเบียนเป็นสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน จำกัด อย่างถูกต้องตามกฎหมายในประเภทสหกรณ์ออมทรัพย์ ทะเบียนเลขที่ อ.002244 นับเป็นสหกรณ์ในชุมชนที่สามารถก่อตั้งและจดทะเบียนเป็นสหกรณ์ได้รวดเร็วมากที่สุดแห่งหนึ่ง จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 03:51:58 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เนื่องจากผู้ก่อตั้งมีประสบการณ์และได้รับการสนับสนุนจากชุมนุมสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนเป็นอย่างดี นับเป็นก้าวแรกที่น่าภาคภูมิใจ เมื่อได้รับการจดทะเบียนเป็นสหกรณ์อย่างถูกต้องตามกฎหมายเรียบร้อยแล้ว  จึงได้จัดให้มีการประชุมใหญ่มีการโอนทรัพย์สินจากกลุ่มเป็นสหกรณ์ และสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่สมาชิกได้ร้อยละ 7 ในช่วงปีแรก จากจุดนี้เองที่ทำให้สมาชิกเกิดความมั่นใจมากขึ้นจนทำให้จำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้น เรื่อย ๆ อุปสรรคเป็นสิ่งที่เกิดควบคู่ไปกับความเจริญเติบโต มรสุมลูกแรกของการจัดตั้งมงคลเศรษฐีในช่วงแรกนั้น ประเทศไทยได้ประสบกับวิกฤตปัญหาทางเศรษฐกิจยุค IMF ผู้คนได้รับความเดือนร้อน จากที่เคยมีทรัพย์สินก็หมดตัว สถาบันการเงินต่าง ๆ ทั่วประเทศล้วนถึงจุดตกต่ำ สังคมไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ทำให้สหกรณ์ได้รับผลกระทบอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทุนรอนไม่เพียงพอแก่จำนวนสมาชิก สหกรณ์จึงต้องไปกู้ยืมเงินจากสหกรณ์ด้วยกันเองมาเป็นทุนให้แก่สมาชิก แต่ทางคณะกรรมการก็ไม่เคยย่อท้อต่อปัญหาที่เกิดขึน พร้อมมุ่งมั่นฟันฝ่าปัญหาด้วยระบบการบริหารงานที่มีความมั่นคงแข็งแกร่ง สมาชิกมีส่วนรับรู้ในการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดประกอบกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี นั้นมีแนวคิดหลักการที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง จึงสามารถเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสสร้างความมั่นใจให้สมาชิกภายหลังจากพ้นวิกฤตทำให้สหกรณ์ฯ เติบโตขึ้นจนถึงปัจจุบัน จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 03:54:02 ]

ความคิดเห็นที่ 10 11 มกราคม 2544 เปิดให้บริการร้านค้าสวัสดิการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี จำกัด สืบเนื่องมาจากสมาชิกส่วนใหญ่เป็นกัลยาณมิตรที่มาทำบุญที่วัดพระธรรมกาย ซึ่งบริเวณดังกล่าวไม่มีร้านค้า สำหรับบริการ สมาชิกส่วนใหญ่จึงมีความเห็นว่า สหกรณ์ควรมีการดำเนินงานด้านร้านค้าสวัสดิการ จำหน่ายสินค้าอุปโภค บริโภค รวมถึงการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มให้แก่สมาชิก นอกจากนั้นยังจำหน่ายเทปธรรมมะ และเครื่องสังฆภัณท์อีกส่วนหนึ่งด้วย โดยนโยบายส่วนหนึ่งให้นำกำไรไปสร้างบุญกุศลในพระพุทธศาสนา จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 03:54:35 ]

ความคิดเห็นที่ 11 11 กันยายน 2547 พระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) ท่านได้เมตตานำความสว่างมาสู่สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มงคลเศรษฐี จำกัด นับจากนี้ชาวมงคลเศรษฐีจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไป สมดังพรที่หลวงพ่อให้กับลูก ๆ ว่า “ ให้บิลล์ เกตท์  เ ป็ น เ ศ ษ ส ต า ง ค์  ของ ม ง ค ล เ ศ ร ษ ฐี ” จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 03:55:17 ]

ความคิดเห็นที่ 12 10 ตุลาคม 2547 ตอกเสาเข็มต้นแรกอาคารสำนักงานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี จำกัด จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 03:55:43 ]

ความคิดเห็นที่ 13 1 มิถุนายน 2548 พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว) ได้เมตตามาเป็นประธานเปิดสถานีบริการน้ำมันสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี จำกัด คณะกรรมการได้ดำเนินโครงการเปิดศูนย์บริการน้ำมันร่วมกับบริษัทบางจากปิโตรเลียม เพื่ออำนวยความสะดวก ให้แก่สมาชิกสหกรณ์ และประชาชน ให้มีแหล่งบริการน้ำมันที่สะดวก ราคาย่อมเยา ได้น้ำมันเต็มตามมิเตอร์ มีระบบที่ทันสมัยเป็นศูนย์บริการน้ำมันแห่งหนึ่งในประเทศไทยที่ดำเนินการโดยสหกรณ์ นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี จำกัด จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 03:56:17 ]

ความคิดเห็นที่ 14 13 ธันวาคม 2549 ได้ย้ายสำนักงานมาที่ทำการปัจจุบันเป็นอาคาร 4 ชั้น เป็นสถาบันการเงินและสวัสดิการชุมชน เพื่อชุมชน เป็นอาคารโดมคู่กัน2 หลัง หลังหนึ่งชั้น1-2เป็นร้านค้าสวัสดิการ ส่วนชั้น 3-4 ใช้เป็นห้องอบรมสมาชิกสหกรณ์ จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 03:56:45 ]

ความคิดเห็นที่ 15 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี จำกัด ได้เปิดสาขาให้บริการกับสมาชิก เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้บริการให้กับสมาชิก ปัจจุบัน มีสาขาบริการ 3 แห่ง 1.สาขาร้อยเอ็ด 2.สาขานครราชสีมา 3.สาขาชัยภูมิ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี จำกัด กำลังก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมีรากฐานที่มั่นคง พัฒนาไปสู่การเป็นสถาบันการเงินที่ยั่งยืนตอบสนองความต้องการพื้นฐาน และมุ่งพัฒนาให้เป็นธนาคารเพื่อประชาชน โดยปลูกฝังคุณธรรม การอยู่ร่วมกัน เสียสละ รับผิดชอบ เห็นใจกันไว้วางใจกัน ทำให้องค์กรมีความมั่นคง ส่งผลให้เหล่ากัลยาณมิตรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สมาชิกเป็นเจ้าของกิจการร่วมกัน จึงสามารถลดช่องว่างในสังคมได้ ทำให้กัลยาณมิตรมีโอกาสสร้างบารมีได้เต็มเปี่ยมเท่าเทียมกัน โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ   “  ที่ สุ ด แ ห่ ง ธ ร ร ม ” สนใจติดต่อฝ่ายสินเชื่อ ด่วน โทร.๐-๒๙๐๑-๐๕๐๘-๑๐ ต่อ ๒๐๒-๒๐๓ ๕๐/๑๓๒ หมู่ ๗  ถนนมงคลเศรษฐี ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ๑๒๑๒๐ โทร. ๐-๒๙๐๑-๐๕๐๘-๑๐  แฟกซ์.  ๐-๒๙๐๑-๐๔๒๗ เปิดทำการ วันจันทร์ – วันเสาร์ ๙.๐๐ นาฬิกา – ๑๖.๓๐ นาฬิกา  วันอาทิตย์ ๘.๐๐ – ๑๗.๐๐ นาฬิกา (หยุดวันนักขัตฤกษ์) จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 03:59:05 ]

ความคิดเห็นที่ 16 มาดูความสำเร็จในการดำเนินการจากการจัดอันดับผลการดำเนินงานของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:00:39 ]

ความคิดเห็นที่ 17 สินทรัพย์รวม จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:01:29 ]

ความคิดเห็นที่ 18 หนี้สินรวม จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:02:11 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ทุนของสหกรณ์รวม จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:02:56 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ยอดธุรกิจรวม จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:03:30 ]

ความคิดเห็นที่ 21 รับเงินฝากมากที่สุด จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:04:09 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ให้เงินกู้ จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:04:43 ]

ความคิดเห็นที่ 23 การจัดหาสินค้ามาจำหน่าย จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:05:23 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เงินกู้ยืม จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:06:03 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ทุนเรือนหุ้น จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:06:32 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ทุนสำรอง จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:07:11 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ทุนดำเนินการ จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:07:43 ]

ความคิดเห็นที่ 28 รายได้ จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:08:16 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ค่าใช้จ่าย จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:08:53 ]

ความคิดเห็นที่ 30 กำไร จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:09:29 ]

ความคิดเห็นที่ 31 การจัดอันดับโดยสรุป  ที่สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มงคลเศรษฐีได้รับอันดับต่าง ๆ ดังนี้ แหล่งที่มาของข้อมูลการจัดอันดับ : เวบไซต์ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนสิบสองราศี จำกัด http://12rasi.is.in.th/?md=news&ma=show&id=13 แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 51 05:12:56 จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:11:06 ]

ความคิดเห็นที่ 32 แต่อนิจจาก  อนิจจัง ปลายปี 2550 เกิดข่าวฉาวกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี \/ \/ \/ ชาวบ้านร้องหวั่นเป็นหนี้หัวโต หลังเซ็นชื่อเปิดวงเงินซื้อปุ๋ย 27 พฤศจิกายน 2550 13:07 น. ชาว บ้านสมาชิกสหกรณ์การเกษตรร้อยเอ็ดผวา หวั่นเป็นหนี้หัวโต หลังมีหนังสือทวงหนี้จากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มงคลเศรษฐี จำกัด หลังทำสัญญาเปิดวงเงินกู้เพื่อซื้อปุ๋ย ร้องให้หน่วยงานราชการที่ดูแล ช่วยตรวจสอบ จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:12:48 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ( 27 พ.ย. ) เรื่องราวความเดือดร้อนของชาวบ้านในพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด ที่วิตกกังวล เพราะเกรงจะเป็นหนี้ค่าปุ๋ยกับบริษัทเอกชนครั้งนี้ ได้รับการเปิดเผยจากนายแสวง นาใจทน อายุ 64 ปี บ้านเลขที่ 1 หมู่ 3 ต.เกาะแก้ว อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นประธานกลุ่มเกษตรกรทำนาเกาะแก้ว อ.เสลภูมิ ว่า กลุ่มฯของตนได้ซื้อปุ๋ยจากบริษัทช้างแก้วการเกษตร จำกัด เลขที่ 106/1 ถ.สุนทรเทพ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด เมื่อปี พ.ศ. 2547 และปี พ.ศ.2548 รวมเป็นเงินกว่าแสนบาท จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:13:17 ]

ความคิดเห็นที่ 34 โดยเบื้องต้นในการติดต่อซื้อปุ๋ยกันนั้น ทางกลุ่มฯ ไม่มีเงิน แต่ทางบริษัทระบุว่า ให้ทำสัญญาเปิดวงเงินกู้ยืมกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มงคลเศรษฐี จำกัด ซึ่งสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 31 หมู่ 7 ต.คลองสาม จ.ปทุมธานี แต่มีสำนักงานย่อยอยู่ที่ 106/2 ถ.สุนทรเทพ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด ได้ เพราะผู้บริหารเป็นกลุ่มเดียวกัน จากนั้นตนได้ทำสัญญาเปิดวงเงินกับทางสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ไป 1 แสนบาท และได้รับปุ๋ยครบในวงเงิน 1 แสนบาท จากนั้นตนและสมาชิกได้ทยอยผ่อนชำระกับบริษัทช้างแก้วฯ มาตลอด โดยจ่ายให้กับพนักงาน บ.ช้างแก้ว และพนักงานบริษัทช้างแก้ว ได้ออกใบเสร็จรับเงินให้ทุกครั้ง จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:14:18 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ต่อมาเมื่อวันที่ 6 มี.ค.2550 พนักงานบริษัทช้างแก้วการเกษตร ได้นำสัญญารับสภาพหนี้ มาให้ลงนาม ซึ่งแจ้งว่ากลุ่มเกษตรกรทำนาเกาะแก้ว มีหนี้คงเหลืออยู่จำนวน 45,830 บาท มาแสดงให้ตนดู แต่ตนไม่เชื่อว่าจะมีหนี้ค้างชำระมากขนาดนั้น เพราะได้ผ่อนชำระมาตลอด จึงได้ขอตรวจสอบใบเสร็จรับเงินแต่พนักงาน บอกว่า ไม่เป็นไร ให้ลงชื่อรับทราบสภาพหนี้ไว้ก่อน แต่เป็นเพียงการลงชื่อเฉย ๆ แต่จะไม่มีการทวงถามให้ใช้หนี้แต่อย่างใด จากนั้นตนจึงได้ลงชื่อไป เพราะเชื่อใจพนักงาน เนื่องจากเห็นหน้าและคลุกคลีสนิทสนมกันมาตลอด “ ต่อมาในเดือนมิถุนายน ปีเดียวกัน ทางกลุ่มฯ ได้รับหนังสือจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มงคลเศรษฐี จำกัด ที่ สม.(สช.)0065/2550 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2550 แจ้งว่า กลุ่มเกษตรกรทำนาเกาะแก้วไม่มียอดหนี้เงินกู้ค้างชำระกับสหกรณ์แต่อย่างใด ซึ่งผมได้แจ้งให้สมาชิกทราบแล้ว แต่ก็ยังสงสัยว่าทำไมถึงได้มีหนังสือแจ้งมาอย่างนั้น แสดงว่าที่ผ่านมากลุ่มของเราเป็นหนี้กับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนหรืออย่างไร ทางกลุ่มฯ อยากจะให้บริษัทช้างแก้วการเกษตร จำกัด ชี้แจงรายละเอียด หรือ นำหลักฐานในการชำระหนี้ของกลุ่มเรามาแสดง เพื่อทราบว่าแท้จริงแล้ว กลุ่มของพวกเราเป็นหนี้เขาอยู่หรือไม่ อย่างไร จำนวนเท่าใด และ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี จำกัด ได้มีหนังสือแจ้งว่า พวกเราไม่มีหนี้ค้างนั้น มันเป็นหนี้อะไร เพราะพวกเราไม่เคยกู้เงินจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี จำกัด และอยากจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยตรวจสอบด้วย ”  นายแสวง กล่าว จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:16:29 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ด้านนายจรัญ แก้วเมืองรักษ์ ประธานสหกรณ์โพธิ์ศรีสวรรค์ อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นลูกค้าของบริษัทช้างแก้ว การเกษตร จำกัด กล่าวว่า สหกรณ์โพธิ์ศรีสวรรค์ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2547 และได้รับปุ๋ยมาจำหน่ายให้กับสมาชิกของสหกรณ์ในราคาถูกเหมือนกับสหกรณ์ทั่ว ไป ต่อมาเมื่อปี 2548 ได้มีเจ้าหน้าที่การตลาดของ บริษัทช้างแก้วการเกษตร จำกัด เข้ามาติดต่อขายปุ๋ยยี่ห้อ  “ ช้างแก้ว ”   โดยปุ๋ยดังกล่าวมี 2 ขนาด คือ น้ำหนักขนาด 22.5 กิโลกรัมจำหน่ายในราคา 250 บาท และขนาด 50 กิโลกรัม ราคา 350 บาท โดยทางสหกรณ์โพธิ์ศรีสวรรค์จะได้กำไรกระสอบละ 20 บาท จึงได้ตกลงรับปุ๋ยมาขาย แต่ทางสหกรณ์ไม่มีเงิน พนักงานจึงระบุว่า ให้ทำสัญญาเปิดวงเงินกู้เอาไว้กับทางสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มงคลเศรษฐีได้ โดยมีเพดานเงินกู้สูงสุดอยู่ที่ 5 แสนบาท จากนั้นตนได้รับปุ๋ยมาขายจำนวน 500 กระสอบ รวมมูค่าประมาณ 1.25 แสนบาท และได้ทยอยส่งเงินค่าปุ๋ยให้บริษัทช้างแก้วมาเรื่อย ๆ แต่ปุ๋ยยี่ห้อช้างแก้วที่รับมาขายไม่ออก เนื่องจากเป็นปุ๋ยที่ชาวบ้านไม่เคยรู้จัก และไม่เคยใช้งานมาก่อน ทำให้สินค้าค้างสต็อกเป็นจำนวนมาก จนต้องเก็บไว้ที่สหกรณ์ฯ แต่พอมีเงินทางสหกรณ์ก็ทยอยจ่ายให้ และตอนนี้เหลือหนี้อยู่ประมาณ 4 หมื่นบาท แต่แล้ววันหนึ่งทางบริษัทช้างแก้วก็บอกว่า ทางสหกรณ์ตนเป็นหนี้อยู่ถึง 6 หมื่นบาท ทำให้สงสัยว่าทำไมถึงได้มีหนี้มากขนาดนั้น จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:18:01 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ต่อมาเมื่อปี 2549 ได้มีนางรำไพ โมพิบาล เจ้าหน้าที่ฝ่ายขายของ บริษัทช้างแก้ว เข้ามาติดต่อจำหน่ายปุ๋ยช้างแก้วให้อีก โดยเสนอวงเงินให้กู้อีกจำนวน 5 แสนบาท แต่บอกว่า  ไม่ได้เป็นเงินกู้ทั้งหมด  แต่เป็นเพียงการทำสัญญาเปิดเอาไว้ว่าจะสามารถกู้ได้สูงสุดถึง 5 แสนบาท พร้อมกับนำเอกสารมาให้เซ็นต์ ซึ่งขณะนั้นตนไม่รู้ว่าเป็นสัญญาอะไร ตนจึงเซ็นต์ชื่อลงไปในเอกสารดังกล่าว จนกระทั่งเมื่อปลายปี 2549 มามีข่าวออกมาว่า สหกรณ์ของตนเป็นหนี้สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มงคลเศรษฐี จำกัด อยู่ถึง 1 ล้านบาท “ หลังจากทราบข่าว พวกเราตกใจมาก เพราะไม่เคยกู้เงินมามากขนาดนั้น เพราะเกรงว่าจะต้องเป็นหนี้ จึงได้ไปร้องเรียนกับสหกรณ์จังหวัดร้อยเอ็ด ผู้ว่าราชการร้อยเอ็ด ให้ช่วยตรวจสอบ ทั้ง 2 บริษัทนี้ด้วย พร้อมกับให้คืนใบคู่สัญญาที่ได้ทำไว้กับสหกรณ์ต่าง ๆ กลับมาให้สหกรณ์ด้วย เนื่องจากที่ผ่านมา การทำสัญญา การเซ็นต์ชื่อนั้นทางบริษัทไม่เคยให้คู่สัญญากลับมาเลย เก็บเอาไว้เองทั้งหมด ทำให้ชาวบ้านไม่มีเอกสารใด ๆ ในมือ  จึงเกรงว่าจะถูกหลอก อยากจะให้หน่วยงานภาครัฐตรวจสอบเรื่องนี้ให้ด้วย ”  นายจรัญ กล่าว จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:19:29 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ในขณะที่ นางเปรมปรีดา สุวรรณไตร ผู้จัดการสหกรณ์ผู้ใช้น้ำห้วยวังนอง อ.เมยวดี จ.ร้อยเอ็ด เปิดเผยว่า เมื่อปลายปี 2547 ทางสหกรณ์ได้ทำสัญญากู้เงินในลักษณะการเปิดวงเงินกับ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มงคลเศรษฐี จำกัด จำนวน 5 แสนบาท และจากนั้นทางบริษัทช้างแก้วก็ได้นำปุ๋ยมาให้ จำนวน 800 ถุง แต่ทางสหกรณ์บอกว่ามันมากเกินไป อีกทั้งสมาชิกไม่ได้มีมากขนาดนั้นจึงได้คืนไป 700 ถุงเหลือ 100 ถุง ซึ่งรวมแล้วทางสหกรณ์เป็นหนี้ค่าปุ๋ยอยู่เพียง 100 ถุง เท่านั้น และขณะนี้ทยอยจ่ายหมดแล้ว แต่ทางประธานสหกรณ์ผู้ใช้น้ำห้วยวังนองบอกว่ามี พนักงานบริษัทช้างแก้วไปพบที่บ้าน และให้เซ็นต์เอกสารรับสภาพหนี้ โดยระบุว่าเป็นหนี้อยู่ 5 แสนบาท ซึ่งทางทางประธานได้เซ็นต์เอกสารไป ตามคำบอกเล่าของพนักงานว่า ไม่มีอะไรให้เซ็นต์รับสภาพหนี้เฉย ๆ แต่พอปี 2548 มีหนังสือทวงเงินจาก สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มงคลเศรษฐีอีกว่าเป็นหนี้อยู่ 5 แสนบาท แต่ทางสหกรณ์ได้ทำหนังสือตอบโดยระบุว่า ไม่ได้เป็นหนี้ เพราะไม่ได้เอาปุ๋ยมาขายมากขนาดนั้น เอาปุ๋ยไว้แค่ 100 กระสอบรวมเป็นเงินเพียง 2 แสนกว่าบาทเท่านั้น และได้ทยอยส่งเงินคืนให้หมดแล้ว จากนั้นเรื่องก็เงียบไป “ แต่เราก็กลัวว่าเราจะเป็นหนี้ เพราะที่ผ่านมาไม่ได้รับการติดต่ออะไรเลย เนื่องจาก อยู่ ๆ พอมีหนังสือทวงหนี้ 5 แสนบาทมาแล้ว และเราทำหนังสือระบุว่าไม่ได้เป็นหนี้ จากนั้นทางสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐีก็เงียบไป ซึ่งเราเลยไม่รู้ว่าเราเป็นหนี้หรือเปล่า จึงได้ไปร้องเรียนสหกรณ์จังหวัด แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย และเคยไปแจ้งความกับตำรวจ แต่ตำรวจก็ไม่รับแจ้งความ เพราะบอกว่า คดียังไม่เกิด เพราะยังไม่มีการทวงเงินหรือฟ้องร้องจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน เพราะฉะนั้นก็ยังรับแจ้งความไม่ได้ ”  นางเปรมปรีดา กล่าว จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:22:05 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ด้านนายณรงค์ชัย ปุริโส เจ้าหน้าที่สหกรณ์จังหวัดร้อยเอ็ด เปิดเผยว่า สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น จากการตรวจสอบพบว่า เวลาที่บริษัท ช้างแก้วการเกษตรจำกัด เข้าไปขายปุ๋ยให้กลุ่มสหกรณ์ แล้วสหกรณ์บอกว่าไม่มีเงิน ทางบริษัทช้างแก้วก็จะให้กลุ่มสหกรณ์ ซึ่งจะต้องมีสมาชิก 5 คน ทั้งประธาน รองประธาน เหรัญญิก ทำสัญญากับบริษัทด้วยการเปิดวงเงินในการซื้อปุ๋ย เป็นลักษณะวงเงินในการจัดซื้อว่าจะสามารถซื้อปุ๋ยได้มากหรือน้อยแค่ไหน แต่ไม่ใช่การทำสัญญาซื้อขายกัน ซึ่งพอเอาปุ๋ยมาส่ง และซื้อขายปุ๋ยกันก็จะเป็นอีกยอดหนึ่ง   แต่อยู่ ๆ กลับมีหนังสือทวงหนี้จากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มงคลเศรษฐี ว่าชาวบ้านเป็นหนี้อยู่ ตามวงเงินที่ได้เปิดเอาไว้ ทำให้กลุ่มสหกรณ์ไม่เข้าใจ และสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเกรงจะเป็นหนี้ ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นหนี้มากขนาดนั้น “ เท่าที่ตรวจสอบขณะนี้ยังไม่พบว่า ทางสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มงคลเศรษฐี ทำหนังสือฟ้องร้อง หรือ เรียกเอาเงินจากสหกรณ์ที่ไปเปิดวงเงินเอาไว้แต่อย่างใด ซึ่งในส่วนของสหกรณ์เอง มีหน้าที่ดูแลเฉพาะกลุ่มชาวบ้านที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ แต่เท่าที่ตรวจสอบขณะนี้ยังไม่มีสหกรณ์ใดถูกเรียกเก็บเงิน  แต่มีเกษตรกรที่ซื้อปุ๋ยและเซ็นต์สัญญาเป็นรายบุคคลอีกหลายคนที่มีการดำเนิน การในลักษณะเดียวกัน ซึ่งอาจจะถูกเรียกเก็บเงินไปก็ได้ และสาเหตุที่ชาวบ้านออกมาร้องเรียนนั้น เพราะเกรงจะเป็นหนี้ตามหนังสือที่ได้ทวงเงินมา ”  นายณรงค์ชัย กล่าว จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:23:23 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ชาว บ้านสมาชิกสหกรณ์การเกษตรร้อยเอ็ดผวา หวั่นเป็นหนี้หัวโต หลังมีหนังสือทวงหนี้จากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มงคลเศรษฐี จำกัด หลังทำสัญญาเปิดวงเงินกู้เพื่อซื้อปุ๋ย ร้องให้หน่วยงานราชการที่ดูแล ช่วยตรวจสอบ ( 27 พ.ย. ) เรื่องราวความเดือดร้อนของชาวบ้านในพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด ที่วิตกกังวล เพราะเกรงจะเป็นหนี้ค่าปุ๋ยกับบริษัทเอกชนครั้งนี้ ได้รับการเปิดเผยจากนายแสวง นาใจทน อายุ 64 ปี บ้านเลขที่ 1 หมู่ 3 ต.เกาะแก้ว อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นประธานกลุ่มเกษตรกรทำนาเกาะแก้ว อ.เสลภูมิ ว่า กลุ่มฯของตนได้ซื้อปุ๋ยจากบริษัทช้างแก้วการเกษตร จำกัด เลขที่ 106/1 ถ.สุนทรเทพ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด เมื่อปี พ.ศ. 2547 และปี พ.ศ.2548 รวมเป็นเงินกว่าแสนบาท โดยเบื้องต้นในการติดต่อซื้อปุ๋ยกันนั้น ทางกลุ่มฯ ไม่มีเงิน แต่ทางบริษัทระบุว่า ให้ทำสัญญาเปิดวงเงินกู้ยืมกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มงคลเศรษฐี จำกัด ซึ่งสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 31 หมู่ 7 ต.คลองสาม จ.ปทุมธานี แต่มีสำนักงานย่อยอยู่ที่ 106/2 ถ.สุนทรเทพ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด ได้ เพราะผู้บริหารเป็นกลุ่มเดียวกัน จากนั้นตนได้ทำสัญญาเปิดวงเงินกับทางสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ไป 1 แสนบาท และได้รับปุ๋ยครบในวงเงิน 1 แสนบาท จากนั้นตนและสมาชิกได้ทยอยผ่อนชำระกับบริษัทช้างแก้วฯ มาตลอด โดยจ่ายให้กับพนักงาน บ.ช้างแก้ว และพนักงานบริษัทช้างแก้ว ได้ออกใบเสร็จรับเงินให้ทุกครั้ง ต่อมาเมื่อวันที่ 6 มี.ค.2550 พนักงานบริษัทช้างแก้วการเกษตร ได้นำสัญญารับสภาพหนี้ มาให้ลงนาม ซึ่งแจ้งว่ากลุ่มเกษตรกรทำนาเกาะแก้ว มีหนี้คงเหลืออยู่จำนวน 45,830 บาท มาแสดงให้ตนดู แต่ตนไม่เชื่อว่าจะมีหนี้ค้างชำระมากขนาดนั้น เพราะได้ผ่อนชำระมาตลอด จึงได้ขอตรวจสอบใบเสร็จรับเงินแต่พนักงาน บอกว่า ไม่เป็นไร ให้ลงชื่อรับทราบสภาพหนี้ไว้ก่อน แต่เป็นเพียงการลงชื่อเฉย ๆ แต่จะไม่มีการทวงถามให้ใช้หนี้แต่อย่างใด จากนั้นตนจึงได้ลงชื่อไป เพราะเชื่อใจพนักงาน เนื่องจากเห็นหน้าและคลุกคลีสนิทสนมกันมาตลอด “ ต่อมาในเดือนมิถุนายน ปีเดียวกัน ทางกลุ่มฯ ได้รับหนังสือจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มงคลเศรษฐี จำกัด ที่ สม.(สช.)0065/2550 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2550 แจ้งว่า กลุ่มเกษตรกรทำนาเกาะแก้วไม่มียอดหนี้เงินกู้ค้างชำระกับสหกรณ์แต่อย่างใด ซึ่งผมได้แจ้งให้สมาชิกทราบแล้ว แต่ก็ยังสงสัยว่าทำไมถึงได้มีหนังสือแจ้งมาอย่างนั้น แสดงว่าที่ผ่านมากลุ่มของเราเป็นหนี้กับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนหรืออย่างไร ทางกลุ่มฯอยากจะให้บริษัทช้างแก้วการเกษตร จำกัด ชี้แจงรายละเอียด หรือ นำหลักฐานในการชำระหนี้ของกลุ่มเรามาแสดง เพื่อทราบว่าแท้จริงแล้ว กลุ่มของพวกเราเป็นหนี้เขาอยู่หรือไม่ อย่างไร จำนวนเท่าใด และ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี จำกัด ได้มีหนังสือแจ้งว่า พวกเราไม่มีหนี้ค้างนั้น มันเป็นหนี้อะไร เพราะพวกเราไม่เคยกู้เงินจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี จำกัด และอยากจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยตรวจสอบด้วย ”  นายแสวง กล่าว ด้านนายจรัญ แก้วเมืองรักษ์ ประธานสหกรณ์โพธิ์ศรีสวรรค์ อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นลูกค้าของบริษัทช้างแก้ว การเกษตร จำกัด กล่าวว่า สหกรณ์โพธิ์ศรีสวรรค์ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2547 และได้รับปุ๋ยมาจำหน่ายให้กับสมาชิกของสหกรณ์ในราคาถูกเหมือนกับสหกรณ์ทั่ว ไป ต่อมาเมื่อปี 2548 ได้มีเจ้าหน้าที่การตลาดของ บริษัทช้างแก้วการเกษตร จำกัด เข้ามาติดต่อขายปุ๋ยยี่ห้อ  “ ช้างแก้ว ”  โดยปุ๋ยดังกล่าวมี 2 ขนาด คือ น้ำหนักขนาด 22.5 กิโลกรัมจำหน่ายในราคา 250 บาท และขนาด 50 กิโลกรัม ราคา 350 บาท โดยทางสหกรณ์โพธิ์ศรีสวรรค์จะได้กำไรกระสอบละ 20 บาท จึงได้ตกลงรับปุ๋ยมาขาย แต่ทางสหกรณ์ไม่มีเงิน พนักงานจึงระบุว่า ให้ทำสัญญาเปิดวงเงินกู้เอาไว้กับทางสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มงคลเศรษฐีได้ โดยมีเพดานเงินกู้สูงสุดอยู่ที่ 5 แสนบาท จากนั้นตนได้รับปุ๋ยมาขายจำนวน 500 กระสอบ รวมมูค่าประมาณ 1.25 แสนบาท และได้ทยอยส่งเงินค่าปุ๋ยให้บริษัทช้างแก้วมาเรื่อย ๆ แต่ปุ๋ยยี่ห้อช้างแก้วที่รับมาขายไม่ออก เนื่องจากเป็นปุ๋ยที่ชาวบ้านไม่เคยรู้จัก และไม่เคยใช้งานมาก่อน ทำให้สินค้าค้างสต็อกเป็นจำนวนมาก จนต้องเก็บไว้ที่สหกรณ์ฯ แต่พอมีเงินทางสหกรณ์ก็ทยอยจ่ายให้ และตอนนี้เหลือหนี้อยู่ประมาณ 4 หมื่นบาท แต่แล้ววันหนึ่งทางบริษัทช้างแก้วก็บอกว่า ทางสหกรณ์ตนเป็นหนี้อยู่ถึง 6 หมื่นบาท ทำให้สงสัยว่าทำไมถึงได้มีหนี้มากขนาดนั้น ต่อมาเมื่อปี 2549 ได้มีนางรำไพ โมพิบาล เจ้าหน้าที่ฝ่ายขายของ บริษัทช้างแก้ว เข้ามาติดต่อจำหน่ายปุ๋ยช้างแก้วให้อีก โดยเสนอวงเงินให้กู้อีกจำนวน 5 แสนบาท แต่บอกว่าไม่ได้เป็นเงินกู้ทั้งหมด แต่เป็นเพียงการทำสัญญาเปิดเอาไว้ว่าจะสามารถกู้ได้สูงสุดถึง 5 แสนบาท พร้อมกับนำเอกสารมาให้เซ็นต์ ซึ่งขณะนั้นตนไม่รู้ว่าเป็นสัญญาอะไร ตนจึงเซ็นต์ชื่อลงไปในเอกสารดังกล่าว จนกระทั่งเมื่อปลายปี 2549 มามีข่าวออกมาว่า สหกรณ์ของตนเป็นหนี้สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มงคลเศรษฐี จำกัด อยู่ถึง 1 ล้านบาท “ หลังจากทราบข่าว พวกเราตกใจมาก เพราะไม่เคยกู้เงินมามากขนาดนั้น เพราะเกรงว่าจะต้องเป็นหนี้ จึงได้ไปร้องเรียนกับสหกรณ์จังหวัดร้อยเอ็ด ผู้ว่าราชการร้อยเอ็ด ให้ช่วยตรวจสอบ ทั้ง 2 บริษัทนี้ด้วย พร้อมกับให้คืนใบคู่สัญญาที่ได้ทำไว้กับสหกรณ์ต่าง ๆ กลับมาให้สหกรณ์ด้วย เนื่องจากที่ผ่านมา การทำสัญญา การเซ็นต์ชื่อนั้นทางบริษัทไม่เคยให้คู่สัญญากลับมาเลย เก็บเอาไว้เองทั้งหมด ทำให้ชาวบ้านไม่มีเอกสารใด ๆ ในมือ  จึงเกรงว่าจะถูกหลอก อยากจะให้หน่วยงานภาครัฐตรวจสอบเรื่องนี้ให้ด้วย ”  นายจรัญ กล่าว ในขณะที่ นางเปรมปรีดา สุวรรณไตร ผู้จัดการสหกรณ์ผู้ใช้น้ำห้วยวังนอง อ.เมยวดี จ.ร้อยเอ็ด เปิดเผยว่า เมื่อปลายปี 2547 ทางสหกรณ์ได้ทำสัญญากู้เงินในลักษณะการเปิดวงเงินกับ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มงคลเศรษฐี จำกัด จำนวน 5 แสนบาท และจากนั้นทางบริษัทช้างแก้วก็ได้นำปุ๋ยมาให้ จำนวน 800 ถุง แต่ทางสหกรณ์บอกว่ามันมากเกินไป อีกทั้งสมาชิกไม่ได้มีมากขนาดนั้นจึงได้คืนไป 700 ถุงเหลือ 100 ถุง ซึ่งรวมแล้วทางสหกรณ์เป็นหนี้ค่าปุ๋ยอยู่เพียง 100 ถุง เท่านั้น และขณะนี้ทยอยจ่ายหมดแล้ว แต่ทางประธานสหกรณ์ผู้ใช้น้ำห้วยวังนองบอกว่ามี พนักงานบริษัทช้างแก้วไปพบที่บ้าน และให้เซ็นต์เอกสารรับสภาพหนี้ โดยระบุว่าเป็นหนี้อยู่ 5 แสนบาท ซึ่งทางทางประธานได้เซ็นต์เอกสารไป ตามคำบอกเล่าของพนักงานว่า ไม่มีอะไรให้เซ็นต์รับสภาพหนี้เฉย ๆ แต่พอปี 2548 มีหนังสือทวงเงินจาก สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มงคลเศรษฐีอีกว่าเป็นหนี้อยู่ 5 แสนบาท แต่ทางสหกรณ์ได้ทำหนังสือระบุว่า ไม่ได้เป็นหนี้ เพราะไม่ได้เอาปุ๋ยมาขายมากขนาดนั้น เอาปุ๋ยไว้แค่ 100 กระสอบรวมเป็นเงินเพียง 2 แสนกว่าบาทเท่านั้น และได้ทยอยส่งเงินคืนให้หมดแล้ว จากนั้นเรื่องก็เงียบไป “ แต่เราก็กลัวว่าเราจะเป็นหนี้ เพราะที่ผ่านมาไม่ได้รับการติดต่ออะไรเลย เนื่องจาก อยู่ ๆ พอมีหนังสือทวงหนี้ 5 แสนบาทมาแล้ว และเราทำหนังสือระบุว่าไม่ได้เป็นหนี้ จากนั้นทางสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐีก็เงียบไป ซึ่งเราเลยไม่รู้ว่าเราเป็นหนี้หรือเปล่า จึงได้ไปร้องเรียนสหกรณ์จังหวัด แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย และเคยไปแจ้งความกับตำรวจ แต่ตำรวจก็ไม่รับแจ้งความ เพราะบอกว่า คดียังไม่เกิด เพราะยังไม่มีการทวงเงินหรือฟ้องร้องจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน เพราะฉะนั้นก็ยังรับแจ้งความไม่ได้ ”  นางเปรมปรีดา กล่าว ด้านนายณรงค์ชัย ปุริโส เจ้าหน้าที่สหกรณ์จังหวัดร้อยเอ็ด เปิดเผยว่า สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น จากการตรวจสอบพบว่า เวลาที่บริษัท ช้างแก้วการเกษตรจำกัด เข้าไปขายปุ๋ยให้กลุ่มสหกรณ์ แล้วสหกรณ์บอกว่าไม่มีเงิน ทางบริษัทช้างแก้วก็จะให้กลุ่มสหกรณ์ ซึ่งจะต้องมีสมาชิก 5 คน ทั้งประธาน รองประธาน เหรัญญิก ทำสัญญากับบริษัทด้วยการเปิดวงเงินในการซื้อปุ๋ย เป็นลักษณะวงเงินในการจัดซื้อว่าจะสามารถซื้อปุ๋ยได้มากหรือน้อยแค่ไหน แต่ไม่ใช่การทำสัญญาซื้อขายกัน ซึ่งพอเอาปุ๋ยมาส่ง และซื้อขายปุ๋ยกันก็จะเป็นอีกยอดหนึ่ง   แต่อยู่ ๆ กลับมีหนังสือทวงหนี้จากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มงคลเศรษฐี ว่าชาวบ้านเป็นหนี้อยู่ ตามวงเงินที่ได้เปิดเอาไว้ ทำให้กลุ่มสหกรณ์ไม่เข้าใจ และสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเกรงจะเป็นหนี้ ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นหนี้มากขนาดนั้น “ เท่าที่ตรวจสอบขณะนี้ยังไม่พบว่า ทางสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มงคลเศรษฐี ทำหนังสือฟ้องร้อง หรือ เรียกเอาเงินจากสหกรณ์ที่ไปเปิดวงเงินเอาไว้แต่อย่างใด ซึ่งในส่วนของสหกรณ์เอง มีหน้าที่ดูแลเฉพาะกลุ่มชาวบ้านที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ แต่เท่าที่ตรวจสอบขณะนี้ยังไม่มีสหกรณ์ใดถูกเรียกเก็บเงิน  แต่มีเกษตรกรที่ซื้อปุ๋ยและเซ็นต์สัญญาเป็นรายบุคคลอีกหลายคนที่มีการดำเนิน การในลักษณะเดียวกัน ซึ่งอาจจะถูกเรียกเก็บเงินไปก็ได้ และสาเหตุที่ชาวบ้านออกมาร้องเรียนนั้น เพราะเกรงจะเป็นหนี้ตามหนังสือที่ได้ทวงเงินมา ”  นายณรงค์ชัย กล่าว ทางด้าน พ.ต.อ.ยรรยง เวชโอสถ ผกก.ศสส.ภ.4 เปิดเผยว่า เรื่องนี้ตนได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านเช่นกัน ซึ่งก็จะต้องขอตรวจสอบเอกสาร หลักฐาน และดูรายละเอียดทั้งหมดก่อนว่าเข้าข่ายอะไร กฎหมายไหน มาตราไหน แล้วจะได้ให้การช่วยเหลือต่อไป   เพราะเบื้องต้นทราบเพียงว่า บริษัทช้างแก้วการเกษตรจำกัดเป็นบริษัทขายปุ๋ย และหากสหกรณ์ใดไม่มีเงินพอก็จะให้เซ็นต์เอกสารเพื่อกู้ยืมเงินจาก สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มงคลเศรษฐีจำกัด เพื่อกู้เงิน แต่การเขียนตัวเลขกู้เงินไม่ใช่การกู้ทั้งหมดเป็นเพียงการเปิดวงเงินขอยื่นกู้เท่านั้น แต่หากจะกู้เท่าใดก็จะมีการเซ็นต์เอกสารขอกู้อีกครั้ง แต่หนังสือที่ทวงเงินมากลับเป็นหนังสือที่ทวงเงินเพดานสูงสุดที่ได้ยื่นเปิด วงเงินเอาไว้ จึงทำให้ชาวบ้านหวาดกลัว จะตกเป็นหนี้ ข่าวจากหนังสือพิมพ์คมชัดลึก http://www.komchadluek.net/2007/11/27/n001_175851.php?news_id=175851 จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:24:22 ]

ความคิดเห็นที่ 41 เอ้า  แล้วที่ คณะผู้จัดตั้งสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี จำกัด รุ่นแรก ปรารถนาต้องการให้หมู่คณะสังคมเหล่า กั ล ย า ณ มิ ต ร เกิดการช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างมีระบบ ล่ะ  ? ระบบที่ทำให้คนเหลือมากช่วยคนเหลือน้อยได้โดยไม่กลัวหมดหรือไม่ได้คืน คนเหลือน้อยก็สามารถรับความช่วยเหลือได้อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี มีการจัดสรรกันอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน สามารถสร้างบารมีไปได้อย่างพร้อมเพียงกัน กับข่าวที่เกิดขึ้นล่ะ มันกลับตาลปัดโดยสิ้นเชิง จนกระทั่งถึงตอนนี้  ผมก็ยังไม่ทราบว่า คดีความนั้นไปถึงไหนแล้ว หนังสือพิมพ์ไม่มีการติดตามข่าวมาลงเพิ่มเติม อีกทั้ง Link ของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มงคลเศรษฐี  ก็เข้าไม่ได้อีกด้วย ทุกอย่างจึงเป็นปริศนา สินเชื่อเพื่อการหล่อรูปเหมือนทองคำหลวงปู่ พระเทพมงคลมุนี กับสินเชื่อในการค้าปุ๋ยที่เป็นข่าว   ทำไมมันจึงขมุกขมัวอย่างนี้กันเล่า แล้วคนที่จะกู้เงินไปหล่อรูปเหมือนหลวงปู่จะทำอย่างไร ใครอยู่ใกล้ ๆ ลองติดต่อสอบถามหารายละเอียด  แล้วแจ้งข่าวเพิ่มเติมกันหน่อยนะครับ เพราะนี่ก็ใกล้ถึงกำหนดการหล่อรูปเหมือนฯ วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๑ แล้วนะครับ เศรษฐกิจอย่างนี้   หาเงินหาทองลำบากด้วยนะครับ เดี๋ยวจะร่วมหล่อรูปเหมือนหลวงปู่ไม่ทัน แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 51 04:37:13 จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 04:34:05 ]

ความคิดเห็นที่ 42 เข้ามาอ่าน จากคุณ : ไกลมาก - [ 15 ก.ย. 51 05:11:15 ]

ความคิดเห็นที่ 43 มีน้อยก็ทำน้อย  อย่าถึงกับกู้ยืมเงินมาทำเลย  มันเบียดเบียนตัวเองเกินไป เศรษฐกิจอย่างนี้  ทำบุญแทนที่จะได้ความสบายใจ  จะได้ความกลุ้มใจมาแทน จากคุณ : nuch_tiew - [ 15 ก.ย. 51 05:59:20 ]

ความคิดเห็นที่ 44 แล้วท่านทวนทองไม่เห็นด้วยกับกับการหล่อหลวงพ่อสดด้วยทองคำหรือครับ จากคุณ : เป็นประธานกฐินปีละวัด - [ 15 ก.ย. 51 07:54:40 ]

ความคิดเห็นที่ 45 นายแพทย์คนหนึ่งซึ่งร่ำเรียนมาไม่น้อย รักษาคนมาก็มากโข แต่หลงลืมรักษาใจของตัวเอง วันหนึ่งมีโอกาสได้กราบนมัสการพระวิปัสสนาจารย์ใหญ่ นามหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ อย่างใกล้ชิด นายแพทย์หยิบพระนางพญาราคาแพงอายุกว่า 700 ปีขึ้นมาอวด ยังไม่ทันพูด.. หลวงพ่อก็ปุจฉา “พระองค์นี้ทำมาจากอะไร” “ ทำจากเนื้อดินเผาแกร่ง สีน้ำตาลเข้ม” นายแพทย์ตอบด้วยความภาคภูมิ หากหลวงพ่อกลับยิ้มแย้มไม่มีอาการตื่นเต้นหรือรู้สึกทึ่ง ในกฤษฎาภินิหารของพระเครื่องแม้แต่น้อย “ดินนั้นเกิดมาพร้อมกันตั้งแต่สร้างโลก พระองค์นี้ไม่ได้เก่าแก่ไปกว่าดินที่เราเหยียบก่อนเข้ามาในบ้านนี้หรอก” เก็บความบางส่วนจาก หนังสือ ธรรมะเกร็ดแก้ว โดย ว.วชิรเมธี ------------------------------------------------------------------ พระแท้ คือพระที่ไม่มีน้ำหนัก ไร้รูป ไร้รอย นั่นคือ พระแท้ ที่อยู่ในใจของเรานั่นเอง จากคุณ : ~ เจ๊ล่ะเบื่อ!!!! ~ - [ 15 ก.ย. 51 08:19:23 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ตอบ ความคิดเห็นที่ 44 คับ การหล่อรูปเคารพของหลวงพ่อสดย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่ว่า V V อ่านในไฟล์ด้านล่างคับ key word อย่ตรงข้อความที่ขีดเส้นใต้ โดยเฉพาะตรงที่เน้นด้วย สีชมพู  *** ชัดเจนคับ จากคุณ : Radiant, Archangel - [ 15 ก.ย. 51 08:57:53 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ^ ^ ^ ท่านสามารถอ่านทั้งหมดได้ที่ วิธีสร้างบุญบารมี พระนิพนธ์ในสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก http://www.star4life.com/forum/index.php?topic=367.0 เรื่องนี้จะทำให้ท่านเข้าใจอย่างถูกต้องถึงวิธีการทำบุญ และอะไรบ้างที่เป็นบุญในพุทธศาสนาคับ จากคุณ : Radiant, Archangel - [ 15 ก.ย. 51 09:05:12 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ส่วนไฟล์ที่คุณทวนทองนำมาแปะ ผมมีแบบตัดมาเต็มหน้าด้วยนะคับ หุ หุ v v จากคุณ : Radiant, Archangel - [ 15 ก.ย. 51 09:07:13 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ทองคำ 1 ตัน ทองคำ 1 ตัน มี 1000 กิโลกรัม 1000 กก = 65600 บาท 65600 บาท * ด้วยจำนวนเงิน ถ้วนๆๆไป 13000 บาท(โดยประมาณ) = 852,800,000 บาท (โดยประมาณ) น่าปล้นจังนะครับ โหวต ให้ 1 ดอกนะครับ แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 51 09:11:34 จากคุณ : muk_22 - [ 15 ก.ย. 51 09:10:13 ]

ความคิดเห็นที่ 51 คุณ : muk_22   การปล้นผิดศีลข้อสองนะครับ แม้เป็นมโนกรรมก็บาปแล้วครับ จากคุณ : เป็นประธานกฐินปีละวัด - [ 15 ก.ย. 51 09:14:53 ]

ความคิดเห็นที่ 52 กำ ล้อเล่น อ่ะ เหอะๆๆ จากคุณ : muk_22 - [ 15 ก.ย. 51 10:04:36 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ข้อความเห็นของผมข้างต้น  ไม่มีตรงไหนที่ผมแสดงความเห็นคัดค้านการหล่อรูปเหมือนหลวงพ่อสดเลยแม้แต่น้อย ผมพูดถึงเฉพาะกรณี "กิจกรรมการปล่อยสินเชื่อ-เพื่อการทำบุญหล่อรูปเหมือนหลวงพ่อสดทองคำ" ทางวัดปากน้ำภาษีเจริญ หรือแม้แต่ทางวัดพระธรรมกาย จะจัดหล่อรูปเหมือนท่านอย่างไรนั้นก็ตามแต่สะดวก  ถ้าเป็นการเชิญชวนให้บริจาคทำบุญโดยปกติแล้วผมไม่ได้คัดค้าน แต่นี่เล่นปล่อยให้เอกชนคือ สหกรณ์เครดิตยูเนียน มงคลเศรษฐี จำกัด จัดทำเป็นโครงการเชิญชวนให้สมาชิกสหกรณ์ กู้ เ งิ น ไ ป ทำ บุ ญ ทำ ท า น นั้น  เป็นการผิดไปจากวิถีทางของพระพุทธองค์โดยสิ้นเชิง คุณประธานฯ โปรดย้อนกลับขึ้นไปอ่าน และพิจารณาโดยถ้วนถี่ด้วยเถอะ จากคุณ : ทวนทอง - [ 15 ก.ย. 51 10:20:11 ]

ความคิดเห็นที่ 54 อันนนาถสูตร             [๖๒] ครั้งนั้นแล ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาค ได้ตรัสว่า ดูกรคฤหบดี สุข ๔ ประการนี้ อันคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามพึงได้รับตาม กาลตามสมัย สุข ๔ ประการเป็นไฉน คือ สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์ ๑ สุขเกิดแต่การจ่ายทรัพย์บริโภค ๑ สุขเกิดแต่ความไม่เป็นหนี้ ๑ สุขเกิดแต่ประกอบการงานที่ปราศจากโทษ ๑ ดูกรคฤหบดี ก็สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์เป็นไฉน โภคทรัพย์ของกุลบุตรในโลกนี้ เป็นของที่เขาหามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร สั่งสมขึ้นด้วยกำลังแขน มีเหงื่อโทรมตัว ประกอบในธรรม ได้มาโดยธรรม เขาย่อมได้รับความสุขโสมนัสว่า โภคทรัพย์ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร สั่งสมขึ้นด้วยกำลังแขน มีเหงื่อโทรมตัว ประกอบในธรรม ได้มาโดยธรรมของ เรามีอยู่ นี้เรียกว่า สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์ ดูกรคฤหบดี ก็สุขเกิดแต่การจ่าย ทรัพย์บริโภคเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ ย่อมใช้สอยโภคทรัพย์ และย่อมกระทำ บุญทั้งหลาย ด้วยโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร สั่งสมขึ้นด้วย กำลังแขน มีเหงื่อโทรมตัว ประกอบในธรรม ได้มาโดยธรรม เขาย่อมได้รับ ความสุขโสมนัสว่า เราย่อมใช้สอยโภคทรัพย์ และย่อมกระทำบุญทั้งหลายด้วย โภคทรัพย์ ฯลฯ นี้เรียกว่า สุขเกิดแต่การจ่ายทรัพย์บริโภค ดูกรคฤหบดี ก็สุขเกิดแต่ความไม่เป็นหนี้เป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ ย่อมไม่เป็นหนี้อะไรๆ ของใครๆ น้อยก็ตาม มากก็ตาม เขาย่อมได้รับความสุขโสมนัสว่า เราไม่เป็น หนี้อะไรๆ ของใครๆ น้อยก็ตาม มากก็ตาม นี้เรียกว่า สุขเกิดแต่ความไม่ เป็นหนี้ ดูกรคฤหบดี ก็สุขเกิดแต่การประกอบการงานที่ปราศจากโทษเป็นไฉน อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อัน หาโทษมิได้ เขาย่อมได้รับความสุขโสมนัสว่า เราประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันหาโทษมิได้ นี้เรียกว่า สุขเกิดแต่การประกอบการงานที่ปราศจาก โทษ ดูกรคฤหบดี สุข ๔ ประการนี้แล อันคฤหบดีผู้บริโภคกามพึงได้รับตาม กาลตามสมัย ฯ                          นรชนผู้มีอันจะตายเป็นสภาพ รู้ความไม่เป็นหนี้ว่าเป็นสุขแล้ว                          พึงระลึกถึงสุขเกิดแต่ความมีทรัพย์ เมื่อใช้สอยโภคะเป็นสุข                          อยู่ ย่อมเห็นแจ้งด้วยปัญญา ผู้มีเมธาดี เมื่อเห็นแจ้ง ย่อมรู้                          ส่วนทั้ง ๒ ว่า สุขแม้ทั้ง ๓ อย่างนี้ ไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ อัน                          จำแนกแล้ว ๑๖ ครั้ง ของสุขเกิดแต่การประกอบการงานที่                          ปราศจากโทษ ฯ จบสูตรที่ ๒             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ บรรทัดที่ ๑๘๔๖ - ๑๘๗๘. หน้าที่ ๗๙ - ๘๐. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=21&A=1846&Z=1878&pagebreak=1 จากคุณ : Radiant, Archangel - [ 15 ก.ย. 51 10:53:41 ]

ความคิดเห็นที่ 55 [๓๑๖] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเป็น คนจน เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลว่า อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ             พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนจนเข็ญใจยากไร้ ย่อมกู้ยืม แม้การกู้ยืม ก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก ฯ             ภิ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ             พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนจนเข็ญใจยากไร้ กู้ยืมแล้วย่อมรับใช้ดอกเบี้ยแม้การรับใช้ดอกเบี้ยก็เป็นทุกข์ของผู้บริโภคกามในโลก ฯ             ภิ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ             พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนจนเข็ญใจยากไร้ รับใช้ดอกเบี้ยแล้ว ไม่ใช่ดอกเบี้ยตามกำหนดเวลา เจ้าหนี้ทั้งหลายย่อมทวงเขา แม้การทวงก็เป็นทุกข์ ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก ฯ             ภิ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ             พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนจนเข็ญใจยากไร้ ถูกเจ้าหนี้ทวงไม่ให้ เจ้าหนี้ทั้งหลายย่อมติดตามเขา แม้การติดตามก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกาม ในโลก ฯ             ภิ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ             พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนจนเข็ญใจยากไร้ ถูกเจ้าหนี้ติดตามทันไม่ให้ ทรัพย์ เจ้าหนี้ทั้งหลายย่อมจองจำเขา แม้การจองจำก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภค กามในโลก ฯ             ภิ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ             พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ความเป็นคนจนก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภค กามในโลก แม้การกู้ยืมก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก แม้การรับใช้ ดอกเบี้ยก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก แม้การทวงก็เป็นทุกข์ของบุคคล ผู้บริโภคกามในโลก แม้การติดตามก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก แม้การจองจำก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก ด้วยประการฉะนี้ ฯ     เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒  บรรทัดที่ ๘๓๐๓ - ๘๓๘๘.  หน้าที่  ๓๖๔ - ๓๖๗. http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=22&A=8303&Z=8388&pagebreak=0 จากคุณ : Radiant, Archangel - [ 15 ก.ย. 51 10:59:05 ]

ความคิดเห็นที่ 56 เออ  อยากเข้าเป็น สมาชิกจัง อิอิอิ โอ๊ะ !!!! ม่ายอาว ม่ายพูดดด จากคุณ : บุษกรจันทร์ - [ 15 ก.ย. 51 18:58:17 ]

ความคิดเห็นที่ 57 เเล้วธนาคารปล่อยเงินกู้ให้บริษัทโรงงานเหล้าสุรา  ผิดไหมครับ .....ทำให้ชาวพุทธขาดศีล5 จากคุณ : ยติพล (yatipon) - [ 15 ก.ย. 51 20:36:07 ]

ความคิดเห็นที่ 58 คุณความเห็นที่ 57 เรื่องของพวกตัวเองเอาดีไม่ได้ พาลไปว่าธนาคาร คนทำธุรกิจสุราเหรอครับ ผมว่า คนทำธุรกิจสุราเขายังเปิดเผยตัว ทำก็ทำ ธนาคารเขาก็ทำธุรกิจตามอาชีพของเขา ซึ่งอาชีพจะมีส่วนทำให้คนผิดศีลก็ตาม นั่นเขาก็ต้องได้รับผลตามการกระทำ แต่ผมว่า พวกแอบเบียดบัง บิดเบือนศาสนา   ทำธุรกิจด้วยการล่อลวง หากินกับความเชื่อ(โง่)ของคน ทำกันกำไรเป็นล่ำเป็นสัน แถมยังเอาไปทำธุรกิจปุ๋ยไม่ชอบมาพากล ก่อความเดือดร้อนให้ชาวบ้านอีก ผมว่าคนประเภทหลังนี่ "ที่สุดแห่งอบาย" ครับ เพราะผิดศีลข้อลักขโมย-โกหกหลอกลวง ทำร้ายฉ้อฉลศาสนา เอารัดเอาเปรียบทั้งชาวบ้านด้วย แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 51 22:53:07 จากคุณ : Radiant, Archangel - [ 15 ก.ย. 51 22:51:52 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับสินเชื่อตัวนี้ *กู้เงิน แต่กลับได้คูปองทำบุญ จากคุณ : Radiant, Archangel - [ 15 ก.ย. 51 22:59:32 ]

ความคิดเห็นที่ 60 พระเจ้า มีเรื่องอย่างนี้ด้วยหรอเนี่ย ให้กู้เงินเพื่อไปทำบุญเนี่ยนะ เหอๆๆ ไปกันใหญ่และ จากคุณ : Kl@zick - [ 16 ก.ย. 51 00:36:12 ]

ความคิดเห็นที่ 61 บ้ามาก จากคุณ : Typhoon No.29 - [ 16 ก.ย. 51 02:39:28 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ผู้บริหารฯ และพนักงานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี จำกัด ถวายกฐิน จากคุณ : ทวนทอง - [ 16 ก.ย. 51 05:47:34 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ผู้บริหารฯ และพนักงานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี จำกัด ถ่ายรูปร่วมกับธัมมชโย จากคุณ : ทวนทอง - [ 16 ก.ย. 51 05:48:33 ]

ความคิดเห็นที่ 64 เพื่อน ๆ สมาชิกโปรดพิจารณาสิครับว่า  รูปใน คห.#62 นั้นเป็นพิธีการถวายกฐินที่ถูกต้องหรือไม่ ? 1. การทอดกฐินที่มีพระเพียงรูปเดียวนั้น  เป็นการทอดกฐินที่ถูกต้องตามพระไตรปิฎกหรือไม่ ? 2. แต่ผมเห็นว่า  นั่นไม่ใช่เป็นการทอดกฐิน เพราะธัมมชโยได้ปาราชิกไปแล้วตั้งแต่ได้ทำการยักยอกทรัพย์วัดพระธรรมกายกว่า 10 ปีที่แล้ว เพราะภาพดังกล่าวเป็นการทอดกฐินเมื่อปี 2548 ณ อาคารสำนักงานสหกรณ์ฯ มงคลเศรษฐี จากคุณ : ทวนทอง - [ 16 ก.ย. 51 05:54:31 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ขอบคุณ คุณทวนทอง สำหรับข้อมูลครับ  ชัดเจนมาก โหวตให้เลยนะครับ จากคุณ : Insinuation - [ 16 ก.ย. 51 07:41:55 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ถามต่ออีกหน่อย คนในรูปมีใครเป็นกรรมการวัดหรือไม่ครับ อย่างนี้หมายความว่าวัดแสวงหาเงินทองเพื่อธุรกิจใช่หรือไม่ครับ   เสื่อมได้อีก ได้อีก แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 51 07:46:59 จากคุณ : Insinuation - [ 16 ก.ย. 51 07:44:53 ]

ความคิดเห็นที่ 67 คนทำธุรกิจสุราเขายังเปิดเผยตัว ทำก็ทำ ธนาคารเขาก็ทำธุรกิจตามอาชีพของเขา ซึ่งอาชีพจะมีส่วนทำให้คนผิดศีลก็ตาม นั่นเขาก็ต้องได้รับผลตามการ.................................................................................................................................  มันผิดก็คือผิดครับ   อย่าเฉไฉเหมือนพันธมิตรเลยครับขอร้อง เเละเรื้องน้เเน่จริงไปฟ้องเลยครับ  เดี๋ยวนี้เขาตุลาการภิวัฒน์กันเเล้ว55555555555 จากคุณ : ยติพล (yatipon) - [ 16 ก.ย. 51 08:28:35 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ความเห็น 67 แน่นอนครับ ผิดคือผิด ก่อหนี้ให้ผู้อื่นเดือดร้อนเป็นทุกข์ บิดเบือน เบียดบังเอาพระศาสนามาหาประโยชน์ใสตัว "ที่สุดแห่งอบาย" อย่าเฉไฉไปหาความไม่ดีของคนอื่นมากลบเกลื่อนการกระทำของพวกตนเองเลยนะครับ จากคุณ : Radiant, Archangel - [ 16 ก.ย. 51 08:43:23 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ^ ^ เรียนท่านความเห็นที่ 67 ใน ค.ห. 58 ก็กล่าวไปแล้วว่า "ได้รับผลตามการกระทำ" นี่คับ มีตรงไหนไม่ชัดเจนหรือ ??? ที่ท่านกล่าวว่า "เฉไฉ" นั้น กล่าวถึงตัวท่านเองหรอคับ เพราะประเด็นกระทู้ นำข้อเท็จจริงเรื่องปล่อยกู้เพื่อทอดกฐินมาลง แต่ท่านกลับนำเรื่อง "ธนาคาร" ปล่อยกู้โรงงานให้ทำธุรกิจมาพูด เด็วนี้คนเราก็แปลก แถและเฉไฉอยู่เอง ก็มาคิดว่าคนอื่นจะทำและคิดเหมือนตน แล้วเรื่องฟ้องมันเกี่ยวอะไรหรือคับ กฎหมายกับศีลธรรมไม่ได้ไปด้วยกันทุกเรื่อง อย่างน้อยท่านควรจะเข้าใจถึง ทฤษฎีกฎหมายสามชั้น หรือไม่ก็เรื่องของ มาลาอินเซ กับ มาลาโพฮิบิท เรื่องง่ายๆแค่นี้ ยังไม่รู้แล้วมาบอกให้คนอื่นฟ้อง ช่างเป็น"ตลก" ที่น่าขันในรอบล้านปีจริงๆ เชียว หึ หึ .................................................................. แก้คำผิด แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 51 12:16:48 จากคุณ : Radiant, Archangel - [ 16 ก.ย. 51 08:50:16 ]

ความคิดเห็นที่ 71 สินเชื่อเพื่อ  บ้าน  รถ  เครื่องใช้ไฟฟ้า  มือถือ ฯลฯ สารพัด ก็มีแล้ว ตอนนี้มีบริการใหม่ ล่าสุด สินเชื่อเพื่อการทำบุญ ท่านที่ชอบ ของเงินผ่อนทั้งหลายแหล่ อย่าพลาดโปรโมชั่นนี้เด็ดขาด สินเชื่อเพื่อการทำบุญ มาแล้วจ้า.. ไม่มีเงิน ก็ทำบุญได้  ทำก่อน ผ่อนทีหลัง แต่น่าจะจัดโปร 0% นะ จากคุณ : 48 (หลอดตะเกียบ) - [ 16 ก.ย. 51 14:00:39 ]

ความคิดเห็นที่ 72 สมมุติ ว่าเราไปกู้มาแล้วไม่เอาไปหล่อหลวงปู่ได้ป่ะ เค้าจะไปถอยโน๊ตบุ๊คอันใหม่  อันเก่ามีแต่เกมส์เต็มเครื่องเลย .... หุหุหุ..... จากคุณ : ขบวนการแมวเหมียวเรนเจอร์ (cattym) - [ 16 ก.ย. 51 16:43:15 ]

ความคิดเห็นที่ 73 คุณ : ขบวนการแมวเหมียวเรนเจอร์ (cattym) ๖. สมาชิกจะไม่ได้รับเงินสด  แ ต่ จ ะ ไ ด้ รั บ คู ป อ ง ที่ออกให้โดยสหกรณ์ตามวงเงินสินเชื่อเพื่อนำไปทำบุญหล่อทองคำหลวงปู่ ถ้าพวกบริษัท ที่ขายคอมยินดีรับ นะครับ คุณก้คงสมหวัง ////////////////////////////////////////// คุณ : 48 (หลอดตะเกียบ) ๕. การชำระคืนเงินกู้  ยอดกู้ ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาทผ่านชำระภายในระยะเวลา ๑๕ เดือน    ยอดกู้ตั้งแต่ ๕๐,๐๐๐ บาทถึง ๑๕,๐๐๐ บาท ผ่อนชำระ ๓๐ เดือน   อัตราดอกเบี้ย ๑๒% ต่อปี มีดอกเบี้ยด้วยนะครับร้อยละบาท ต่อเดือน งก ฉิบ........ จะให้ชาวบ้านทำบุญยังจะเก็บดอกเบี้ยอีก จากคุณ : muk_22 - [ 16 ก.ย. 51 17:02:31 ]

ความคิดเห็นที่ 74 บัดซบที่สุด รู้ถึงไหน อายถึงนั่น เบียดเบียน ศาสนาพุทธ สมแล้วนะ ที่จบ การตลาด มาเก็ตติ๊ง ดีจริงๆ จากคุณ : บุษกรจันทร์ - [ 16 ก.ย. 51 18:55:19 ]

ความคิดเห็นที่ 75 เราเกิดมาเพื่อทำความดี สร้างบุญกุศลแต่เพียงอย่างเดียว  เพราะเวลาบน โลกมนุษย์มีจำกัด เราเกิดมาเพื่อทำสิ่งนี้ ไม่ใช่เพื่อการอย่างอื่น อย่าได้เข้า ใจผิดจะหลงทาง เรามีใช่เกิดมาเพื่อสะสมทรัพย์สมบัติ  บ้าน รถยนต์ จน มากมายก่ายกอง จนลืมที่จะสร้างบุญกุศล  ลืมวัตถุประสงค์ที่เกิดมาเป็น มนุษย์ ที่แท้จริง เพราะทรัพย์สมบัติเป็นเครื่องพันธนาการชีวิต ให้เราหลงทางได้ ยิ่งมีมาก ก็ยิ่งแสวงหา เพลินเพลิน ไปไม่จบสิ้น สิ่งต่างๆเหล่านี้ หากเรายังไม่หลุด จากเครื่องพันธนาการ หรือออกจากเครื่องพันธนาการ สุดท้ายความตาย ก็จะมาแยกเราออกจากเครื่องพันธนาการ อย่างหนีไม่พ้น ชีวิตสมณะเป็นเพศบริสุทธิ์ที่หลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการเหล่านี้อย่างสิ้น เชิง สามารถใช้เวลาในการทำความดี สร้างบารมีได้อย่างเต็มที่  เราที่มีเพศ ฆราวาส ก็ควรจัดสรรเวลาให้ดี ไม่ได้ใช้เวลาทั้งชีวิต หมดไปกับสิ่งเหล่านี้ เพียงอย่างเดียว ควรหาเวลาที่จะกอบโกยทำความดี สร้างบารมีอย่างเต็มที่ ให้มากที่สุด บุญกับบาปก็จะชิงช่วง ช่วงชิงกันตลอดเวลา หากเราไม่มีสติก็ต้องพ่ายแพ้ กับกิเลส ทำบาปได้ในที่สุด บุญเป็นฝ่ายขาว บาปเป็นฝ่ายดำ กำลังของฝ่าย ขาวจะมีน้อยกว่า เราจะต้องมีสติ และกำลังใจที่สูงก็สามารถจะมาอยู่ข้าง บุญหรือฝ่ายขาวได้   ถ้าปล่อยตามใจ ตามกิเลสก็จะเป็นผู้แพ้ในที่สุด อย่างแน่นอน ฝ่ายดำหรือบาปก็จะฝังแน่นในจิตเรา มั่นคง เหมือนผ้าขาวที่เปื้อนสีดำ จะซัก ให้ขาวสดใสเหมือนเดิมได้ยากมาก    คนเราปกติจะนึกถึงบาปได้ง่าย ทำให้เรามีใจที่เศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา เมื่อรู้ว่ากำลังฝ่ายดำมันกล้าแกร่ง เราจึงต้องหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด อย่าไปกระทำเป็นอันขาด เพื่อรักษาใจของ เราให้แจ่มใสอยู่ตลอดเวลา ทรัพย์สมบัติเราอยากยึดเอาไว้ ก็ยึดเอาไว้ไม่ได้ เพราะความตายจะมาแยก เราออกจากกัน แต่วิบากกรรมที่เกิดจากกรรมชั่ว ที่เราไม่อยากเอาไว้ มัน กลับฝังแน่นกับเรา เหมือนปลิงจะสลัดอย่างไรก็ไม่ไม่หลุด ติดตามเราไป เหมือนเงาตามตัว พร้อมจะเล่นงานเราตลอดเวลา และติดตามเราไปทุกภพ ทุกชาติ ลำพังกิเลสที่สะสมในตัวก็มีมากแล้ว เรายังไปแสวงหาเพิ่มเติมให้หนัก ไปอีก?  เรายังไปฟังสิ่งที่ไม่ดี ไปดูสิ่งที่ไม่ดี ไปสัมผัสสิ่งที่ไม่ดี เพื่อ ให้กิเลสเรากำเริบ ทำใจให้ขุ่นมัว ให้เราต้องรัก โกรธ เกลียดใคร อยู่อีก หรือ?  อย่างนี้เราจะต้องใช้กำลังต่อสู้กับสิ่งไม่ดี มากขนาดไหน? ก็ลองคิดดู ก็แล้วกัน หากเราแพ้เมื่อใด อกุศลก็จะเข้าครอบครองจิตใจเราจนหมดสิ้น ความดีของเราก็จะไม่เหลือ เพราะไม่มีที่ว่างในใจของเรา เขาได้เลือกแล้ว ว่าอยู่ฝ่ายขาวหรือดำ? แล้วตัวเราเลือกแล้วหรือยัง? บัดนี้เราทำอะไรอยู่? บัดนี้เราทำอะไรอยู่? บัดนี้เราทำอะไรอยู่? เราและเขา "ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม" เราและเขา "ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม" เราและเขา "ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม" จากคุณ : เราเลือกได้ เราเลือกเอง (lovevic) - [ 16 ก.ย. 51 19:18:45 ]

ความคิดเห็นที่ 76 http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7005556/Y7005556.html#5 ทำบุญกับพระภิกษุอาพาธเหมือนทำกับตถาคตครับ จากคุณ : เป็นประธานกฐินปีละวัด - [ 17 ก.ย. 51 07:51:11 ]

ความคิดเห็นที่ 77 สหกรณ์มงคลเศรษฐี ดังใหญ่แล้ว มีคนมาช่วยโฆษณาให้ฟรี ๆ แถมยังจัด rating ประเภทต่างๆ ให้อีกด้วย   555 จากคุณ : AYXC - [ 17 ก.ย. 51 12:11:07 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ถ้าสร้างรูปหล่อหลวงปู่ด้วยโลหะอื่น แล้วเอาเงินที่เหลืออีก 800 กว่าล้านบาท ไปสร้างโรงพยาบาลแทน คงจะดีไม่น้อยเลยนะเนี่ย แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 51 19:51:17 จากคุณ : pongpan_ch - [ 17 ก.ย. 51 19:50:20 ]

ความคิดเห็นที่ 79 นิกายแบบนี้ ยังมีคนนับถืออีกเหรอเนี่ย อ่านแล้วหดหู่ จากคุณ : Balleno - [ 17 ก.ย. 51 23:20:19 ]

ความคิดเห็นที่ 80 เสื่อม จากคุณ : dudesweet* - [ 18 ก.ย. 51 02:24:02 ]

ความคิดเห็นที่ 81 #62+63  ขัดผิวมากไปป่าว เหมือนเอาหุ่นขี้ผึ้งมาตั้งเลย fake สุดๆ จากคุณ : autumn whispers - [ 18 ก.ย. 51 06:10:28 ]

ความคิดเห็นที่ 82 AYXC สมองเสื่อมรึป่าว หัวเราะอะไร ไม่เข้าท่า จากคุณ : บุษกรจันทร์ - [ 18 ก.ย. 51 10:01:40 ]

ความคิดเห็นที่ 83 เหอะ .... นึกว่าได้เงินสด สด .... จากคุณ : cattym - [ 18 ก.ย. 51 10:47:09 ]

ความคิดเห็นที่ 84 .... จากคุณ : muk_22 - [ 18 ก.ย. 51 11:30:56 ]

ความคิดเห็นที่ 85 สมมติว่ากู้เงินไปทำบุญแล้วได้เป็นคูปองมา เวลาผ่อนชำระ ดันผิดนัดชำระ จะทำให้เครดิตบูโรเสียไปด้วยมั๊ย จะถูกฟ้องเป็นคดีแพ่งมั๊ย ถ้าถูกฟ้องแล้วเราคืนเป็นคูปองไปบ้าง จะรับมั๊ยเนี่ย เกิดมาก็เพิ่งเคยพบเคยเจอ หากินกันแบบนี้เนี่ยนะ จะทำบุญแต่ไม่มีเงิน ก็ต้องกู้เงินจากวัด แปลว่า เป็นหนี้ แล้วมันจะดีตรงไหนเนี่ยยย แค่ใช้ตาตุ่มคิด ก็รู้สึกว่าผิดไปจากหลักคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว เอากันทุกวิถีทาง ผิดหลักคำสอนไปหมด มั่วไปทุกเรื่อง ตีขลุมได้ทุกๆหลักคำสอน ไม่น่าศรัทธาเลย ไม่น่าดูเลย ค่อยๆบ่อนทำลายพระศาสนาลงทีละเล็กละน้อย จากคุณ : อภิรักษ์ (abhirakk) - [ 18 ก.ย. 51 14:34:02 ]

ความคิดเห็นที่ 86 . จากคุณ : suttimon - [ 18 ก.ย. 51 14:38:02 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ดูดทรัพย์คนรวย  ยังพอทน ดูดทรัพย์คนจน  เป็นหนี้เป็นสิน ต้องเรียกว่า  "โจรใจบาป" จากคุณ : misery - [ 18 ก.ย. 51 17:43:48 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ห่างออกไปทุกที พุทธสอนให้สละ ละ เลิก ไม่ใช้หรือ จะมาบ้าสร้างรูปเคารพอะไรกันนักหนา แถมให้กู้มาอีก ศาสนาไหนสอนให้คนเป็นหนี้คงไม่ใช่ของดีเป็นแน่ จากคุณ : anchan (anchan42) - [ 19 ก.ย. 51 19:59:52 ]

ความคิดเห็นที่ 89 เป็นหนี้ กระวนกระวายเพราะหนี้ ระวังจิตจะไม่เป็นสมาธิ เมื่อจิตไม่เป็นสมาธิย่อมไม่เห็นตามความเป็นจริง เมื่อไม่เห็นตามความเป็นจริง   ผู้นั้นย่อมห่างไกลจากนิพพาน แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 51 14:34:34 จากคุณ : SpiritWithin_HolyStream - [ 20 ก.ย. 51 14:24:40 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ศาสนาเขาสอนให้มีก็ให้ใช้แต่พอมี ทำบุญก็อย่าให้ตัวเองลำบาก นี่มันอะไรกัน สินเชื่อทำบุญ แค่คิดก็ผิดหลักศาสนาพุทธแล้ว แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 51 19:15:21 จากคุณ : เสียงจากบ้านนา - [ 20 ก.ย. 51 19:15:02 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ดอกเบี้ย 12 % นี่ถ้าเป็นดอกเบี้ยทบต้นด้วย คนกู้มีหวัง ... จากคุณ : ตะล๊อกต๊อกแต๊ก - [ 20 ก.ย. 51 21:25:43 ]

ความคิดเห็นที่ 92 หัวคิดดีกันจริงเนอะ ..กู้เงิน ได้คูปองทำบุญ อืม ตลกดีน่ะ จากคุณ : NATTI นัทตี้ - [ 22 ก.ย. 51 01:58:54 ]

ความคิดเห็นที่ 93 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ ประจำวันที่ 19 กันยายน 2551 สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 19 กันยายน 2008 16:10:41 น.                   สรุปอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประเภทต่างๆ ของธนาคารพาณิชย์ ธนาคาร                                  MOR     MLR      MRR     สูงสุด*    ผิดนัด*      บัตรเครดิต _____________________________________________________________________________________________ ธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ     กรุงเทพ                                 7.50    7.25     7.75    11.50    15.00          20.00 กรุงไทย                                 7.50    7.25     7.75    14.75    18.00              - กสิกรไทย                               7.50    7.25     7.75    18.75    22.75          20.00 ไทยพาณิชย์                            7.50    7.25     7.75    11.75    15.00          20.00 กรุงศรีอยุธยา                           8.00    7.50     8.00    21.00    28.00              - ทหารไทย                                8.00    7.50     8.00    28.00    28.00          20.00 นครหลวงไทย                           7.75    7.50     8.00    20.00    20.00          20.00 ยูโอบี                                      8.20    7.75     8.45    28.00    28.00          20.00 ไทยธนาคาร                             7.75    7.50    8.125    28.00    28.00              - สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย)         8.50    8.25     9.25    28.00    28.00          20.00 ธนชาต                                    7.75    7.50     8.25    15.75    18.00              - ทิสโก้                                      7.75    7.50     8.00    28.00    28.00              - เมกะ สากลพาณิชย์                    8.75    8.00     8.50    12.00    15.00              - เกียรตินาคิน                              8.00    7.75     8.25    28.00    28.00              - แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อรายย่อย    7.75    7.25     8.00    18.00    21.00              - สินเอเซีย                                 8.00    7.75     8.25    21.00    21.00              - ไทยเครดิตเพื่อรายย่อย               8.35    7.85     8.35    21.00    24.00              - เอไอจี เพื่อรายย่อย                    7.75    7.50     8.00    28.00    28.00              - _____________________________________________________________________________________________ ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย * ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2548 ไม่รวมอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ http://www.ryt9.com/news/2008-09-19/43582539/ แก้ไขเมื่อ 22 ก.ย. 51 11:12:57 แก้ไขเมื่อ 22 ก.ย. 51 11:09:58 จากคุณ : แหล่มมาก...นะจ๊ะ (JitZungkabuai) - [ 22 ก.ย. 51 11:02:22 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ทำกิจการงานใด ต้องใช้สติ แม้กระทั่งทำบุญ ก็ควรใช้ซึ่ง สติ มาโหวต และเป็นกำลังใจให้ จขกท จากคุณ : promp888 - [ 23 ก.ย. 51 05:23:13 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ...โห ... สหกรณ์ออมทรัพย์ที่ข้าน้อยเป็นสมาชิกอยู่ กู้ฉุกเฉินดอกเบี้ยแค่ 5% เองอ่ะ ... นี่กู้ทำบุญดอกเบี้ย 12% -_-" จากคุณ : แค่ก้อนหินที่อยากบินได้ - [ 23 ก.ย. 51 22:39:25 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ฮ่าๆๆ พี่ทวนก้อ  นอนดึกนอนดื่น ตื่นมาโพสต์กระทู้ตั้งแต่ตีสามตีสี่  โบราณว่าตื่นก่อนไก่  เอ้ก อี๊ เอ้ก เอ้ก egg egg egg ตื่นเช้ายังกับพระเชียวนะคร้าบ  แต่อาจจะไม่ใช่พระหรอกมั้ง?  เพราะว่าตื่นจำวัดมาโพ้สต์กระทู้   ถ้าพี่ทวนเป็นพระนะ  พี่ทวนจะต้องไปสวดมนต์ภาวนา  ทำวัตรเช้า  พิจารณาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  โดยเฉพาะไตรลักษณ์  และโลกธรรม 8  และโดยเฉพาะอายุก็ไล่ๆ กับเจ้าของฯ  มาลำบากตรากตรำ กรำกาทู้ ทามมายเนี่ยยย คู่กรณี สมัยโน้นนน เขาไม่มาอ่านหรอก  เสียเวลาม้ากมาก egg egg egg ฮ่าๆๆ จากคุณ : พ่อตัวดี - [ 24 ก.ย. 51 03:25:07 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ฮ่าๆๆ ก็ขนาดในความฝัน  "คัยก้อมะรุ"  เดินลงบันไดพร้อมเหล่าบริวาร  แล้วคู่กรณีเขาเดินสวนบันไดขึ้นไปพร้อมกับบริวารของเขา  แล้วบริวารของ "คัยก้อมะรุ"  กลับเปลี่ยนใจ  เดินย้อนกลับขึ้นบันไดไป  กลับไปเป็นบริวารของคู่กรณีดังเดิม  ทำให้ "คัยก้อมะรุ" เปลี่ยวเหงา  อยู่จนทุกวันนี้   egg egg egg  เช้าแล้วคร้าบพี่ทวน  คืนนี้นอนดึกม้ากมาก ฮ่าๆๆ จากคุณ : พ่อตัวดี - [ 24 ก.ย. 51 03:26:03 ]

ความคิดเห็นที่ 98 อยากรู้ว่า สำนักธรรมกาย เค้าเอาอาไรล้างครับ เกลี้ยงดีจัง (สมองของสาวกน่ะ)  ไม่ต้องเชิญไป พิสูจน์นะครับ ถ้าอยากให้ผมไป วางยาสลบผม แล้ว อุ้มขึ้นรถไปเถอะครับ  แล้วเมื่อไหร่ จะหายไปซักที สำนักแบบนี้ เสื่อมครับ แยกไปตั้ง ลัทธิใหม่เลยดีใหม่ อย่ามาแฝงกะพุทธศาสนา . . . . จากคุณ : นายก้อนดิน - [ 24 ก.ย. 51 13:47:58 ]

ความคิดเห็นที่ 99 เอาอะไรมาล้าง?????? น้ำ+โคลนจากปลัก มั้งครับ แถม ป้อนด้วยหญ้า ตอนเช้า กลางวัน และ เย็น จะต้อนเข้าคอก ก็วันอาทิตย์ หรือวันหยุด ที่เค้าเรียกว่า บุญใหญ่ จากคุณ : promp888 - [ 24 ก.ย. 51 18:06:41 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ทำไปได้ จากคุณ : Viengวิไล - [ 24 ก.ย. 51 21:35:38 ]

ความคิดเห็นที่ 101 ลืมไป ตรี ป๊อยท์ จากคุณ : Viengวิไล - [ 24 ก.ย. 51 21:36:41 ]

ความคิดเห็นที่ 102 มีบริการเงินกู้   เพื่อให้ยืมเงินมาทำบุญ  แล้วเอาอะไรมาเป็นหลักประกันว่าจะได้บุญจริงครับ   บุญเป็นนามธรรม  แต่ที่ได้แน่ ๆ  คือหนี้สินที่เราต้องใช้ตามหนี้ทุกเดือน   สติเท่านั้นที่จะทำให้เราอยู่รอดในสังคม จากคุณ : ชญาณัตถภัทร์ - [ 25 ก.ย. 51 23:20:51 ]

ความคิดเห็นที่ 103 กรรมเวร จากคุณ : THE_AR - [ 26 ก.ย. 51 15:54:55 ]

ความคิดเห็นที่ 104 มีใครทราบมั้ยครับว่าหล่อรูปเหมือนหลวงพ่อสดเสร็จแล้วนำไปตั้งประดิษฐานไว้ที่ไหน มีน้องที่โรงงานมาเรี่ยไรเหมือนกัน เค้าบอกว่าเป็นของวัดปากน้ำ ไม่เกี่ยวกับธรรมกาย จากคุณ : ltf06 - [ 27 ก.ย. 51 15:12:52 ]

ความคิดเห็นที่ 105 สงสารพวกธรรมการ มีแต่ศรัทธา ไม่มีปัญญาแยกแยะดีชัว จึงต้องตกเป็นเหยื่อ จากคุณ : วีรวิชญ์ - [ 30 ก.ย. 51 20:36:10 ]

ความคิดเห็นที่ 106 เข้ามาอ่าน ครับ ยอมรับว่าผมเข้าวัดนี้ แต่สินเชื่อไม่เคยทำอ่ะ ครับ บางคนอาจจะเงินไม่พอ รอ เดือนหน้ามีเงินก้อนออก ผมไม่คิดว่า จะมีใครทำมากโดนติดหนี้ไว้เยอะๆๆอย่างจขกท คิดก้อได้นะครับ จากคุณ : ปลาอ้วนกวนน้ำ - [ 1 ต.ค. 51 09:35:56 ]

ความคิดเห็นที่ 107 ความคิดเห็นที่ 104   มีใครทราบมั้ยครับว่าหล่อรูปเหมือนหลวงพ่อสดเสร็จแล้วนำไปตั้งประดิษฐานไว้ที่ไหน มีน้องที่โรงงานมาเรี่ยไรเหมือนกัน เค้าบอกว่าเป็นของวัดปากน้ำ ไม่เกี่ยวกับธรรมกาย จากคุณ : ltf06 ********************************************* รูปหล่อทองคำของหลวงปู่ที่หล่อไว้ตั้งแต่ปี 2537 จะได้รับการอัญเชิญจากมหาวิหารพระมงคลเทพมุนี  ไปประดิษฐานที่พระมหาเจดีย์มหารัชมังคลาจารย์ของวัดปากน้ำ   จึงมีความจำเป็นที่ต้องหล่อหลวงปู่ด้วยทองคำขึ้นเพื่อประดิษฐานในมหาวิหารพระมงคลเทพมุนีแทนองค์เดิม  ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ ไม่ว่าจะหล่อรูปเหมือนของท่านเพื่อประดิษฐานไว้ที่ไหน ก็ถือเป็นการกตัญญูบูชากับครูบาอาจารย์ทั้งนั้น แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 51 22:09:46 จากคุณ : AYXC - [ 1 ต.ค. 51 22:07:18 ]

ความคิดเห็นที่ 108 เรื่องสินเชื่อตามหัวข้อกระทู้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวัด ถือเป็นเรื่องระหว่างผู้ให้กู้ กับผู้กู้ตกลงกันเอง  สมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย  อย่าพยายามโยงไปเกี่ยวกับวัด หรือ การหล่อหลวงปู่ดีกว่า การหล่อรูปเหมือนหลวงปู่ด้วยทองคำบริสุทธิ์นั้น ก็มีเจตนารมณ์เพื่อบูชาคุณของท่านซึ่งมีคุณูปการมากและเป็นผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย   รูปหล่อของท่านก็จะประดิษฐานให้คนมาเคารพ สักการะบูชา สืบต่อไปถึงอนุชนรุ่นหลังไปอีกนานเท่านาน  เป็นสมบัติของพระศาสนาสืบต่อไป  ดังเช่นพระพุทธรูปทองคำที่วัดไตรมิตร ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาเพราะบรรพบุรุษของเราได้สละทรัพย์สร้างไว้ให้เราได้กราบไหว้บูชากันอยู่ทุกวันนี้ แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 51 22:33:14 จากคุณ : AYXC - [ 1 ต.ค. 51 22:30:24 ]

ความคิดเห็นที่ 109 ขำดีค่ะ จากคุณ : 2nd Ave. - [ 3 ต.ค. 51 09:30:52 ]

ความคิดเห็นที่ 110 ดูจิตไปขณะอ่าน จิตเกิดเพราะสงสัย O_o มีด้วยหรือสินเชื่อเพื่อทำบุญ กู้เงินเพื่อสร้างตนให้เป็นหนี้ ทำตนให้เป็นทุกข์ เงินที่ได้มาจะเป็นทานที่บริสุทธิ์หรือ สหกรณ์ออกเงินกู้ สมาชิกกู้แล้วไปบริจาคให้วัด วัดได้เงินไปหล่อทอง แล้วอย่างนี้ไม่เกี่ยวกับวัดได้ไงหว่า O_o" หล่อพระหรือสร้างเจดีย์อาจได้บุญมากหรือน้อย แต่ไม่ใช่ทางหลุดพ้นแน่ ๆ สงสัยคำสอนของวัดทำไมยังติดอยู่แค่การทำบุญ สร้างวัตถุ เพราะสูงสุด ของพุทธศาสนา คือ ปัญญาและนิพพาน ใช่หรือไม่? ผมเพิ่งศึกษาพุทธศาสนาไม่นาน ความรู้เท่าหางอึ่ง รบกวนกัลยาณมิตรของ วัดเมตตาแนะนำด้วยครับ จากคุณ : ภูมิธรรมน้อยนิด (SausageBunn) - [ 5 ต.ค. 51 17:37:07 ]

ความคิดเห็นที่ 111 ขอขำๆกับคำตอบ คห.108 จากคุณ : ธทย.25 - [ 6 ต.ค. 51 13:07:51 ]

ความคิดเห็นที่ 112 ทำไปได้สินเชื่อเพื่อการทำบุญ มีน้อยก็ทำน้อยแต่ตั้งใจให้มากๆ มีมากจะให้มากก็ตามสะดวก การทำบุญที่ทำให้ตนเองเดือดร้อน(เป็นหนี้) น่าจะเป็นการหลงลมผู้ที่ต้องการเงินเยอะๆ มากกว่า การจะหล่อรูปปั้นทองคำ หลวงพ่อสด เป็นสิ่งดี แต่ที่ไม่ดีคือเสี้ยมสอนให้คนใช้เงินเกินตัวโดยการหวังน้ำบ่อหน้า หลวงพ่อสดสอนให้ปฏิบัติไม่ใช่เหรอครับ? ไม่ได้สอนว่า ทำบุญนะ เยอะๆ ก็ดี เป็นหนี้ยิ่งดีใหญ่ จะได้บุญเยอะๆ อย่าไปหลงลมนายทุนหน้าเลือดเลยครับ จากคุณ : นกไฟแห่งป่ามายา - [ วันเกิด PANTIP.COM 10:28:35 ]

ความคิดเห็นที่ 113 ขอตอบความเห็นที่ 110 และ 112 ตามความเข้าใจของตัวเองดังนี้ แล้วที่เค้าซื้อของผ่อนกัน ไม่ว่าจะเป็น บ้าน รถยนต์ มือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่ออะไร ? แล้วคนที่กู้เค้าคิดไหมว่าตัวเองต้องเป็นทุกข์  ?   -ยอมเป็นหนี้เพียงเพื่อต้องการแลกเปลี่ยนกับการได้ใช้ทรัพย์ในปัจจุบันชาติเท่านั้น  ? -เพราะต้องเห็นประโยชน์ของทรัพย์นั้นว่าจะอำนวยความสุขให้ได้ จึงยอมแลกกับภาระที่เพิ่มขึ้นจากความเป็นหนี้  ? -ต้องมั่นใจในระดับหนึ่งว่าตัวเองมีศักยภาพในการใช้หนี้ได้   ? -ผลลัพธ์ของการไปกู้ ก็เป็นเพียงวัตถุที่มีวันเสื่อมค่า และผุผังไปในไม่ช้า แต่คนทำไมยอมกู้ ? -ใคร ๆ ก็รู้ว่าการเป็นหนี้ไม่ดีแน่นอน แต่ทำไมคนยังยอมเป็นหนี้ ? หล่อพระหรือสร้างเจดีย์อาจได้บุญมากหรือน้อย แต่ไม่ใช่ทางหลุดพ้นแน่ ๆ  สงสัยคำสอนของวัดทำไมยังติดอยู่แค่การทำบุญ สร้างวัตถุ เพราะสูงสุดของพุทธศาสนา คือ ปัญญาและนิพพาน ใช่หรือไม่? ลองเทียบกับ สัมปรายิกัตถประโยชน์ คือประโยชน์ในภายหน้า  ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงสอนไว้ว่า มี 4 อย่าง 1.สัทธาสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศรัทธา คือ เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ 2.สีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล คือ รักษากาย วาจาให้เรียบร้อย ไม่มีโทษ 3.จาคสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการบริจาคทาน 4.ปัญญาสัมปทา อันนี้สำคัญมาก จงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา ปัญญานี่ไม่ใช่รู้จักบาปจักบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ คนที่จะยอมมาเป็นหนี้  และนำทรัพย์ในอนาคตไปเปลี่ยนเป็นรูปหล่อทองคำของบุคคลที่มีคุณูปการมาก เพรียบพร้อมด้วยคุณธรรม คุณวิเศษนั้น  ต้องเข้าใจถึงสัมปรายิกัตถประโยชน์   เป็นอย่างดีและมีหัวใจกล้าหาญและเสียสละเพียงพอ   ต้องตัดสินใจ และคิดอย่างรอบคอบในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้  ผลลัพธ์ของการกู้ไม่ใช่วัตถุที่จะอำนวยความสุขในปัจจุบัน เช่น บ้าน  รถยนต์   โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ  แต่เป็นความสุขใจ ความปลื้มใจ ที่ได้สละทรัพย์สร้างรูปเหมือนของบุคคลที่ควรบูชา   เป็นสมบัติของพระพุทธศาสนาสืบไป   เมื่อมีผู้มาภายหลังได้เกิดกุศลจิต อยากประพฤติปฏิบัติธรรมตามหลวงปู่ เพราะการได้มากราบรูปหล่อทองคำของท่าน  ทรัพย์ที่บริจาคไปนั้นก็ย่อมเกิดประโยชน์ได้มากกว่าการนำไปกู้ยืมมาซื้อวัตถุอื่นมาเพื่อใช้สอยส่วนตัว    สหกรณ์ออกเงินกู้ สมาชิกกู้แล้วไปบริจาคให้วัด วัดได้เงินไปหล่อทอง แล้วอย่างนี้ไม่เกี่ยวกับวัดได้ไงหว่า  ทำไปได้สินเชื่อเพื่อการทำบุญ มีน้อยก็ทำน้อยแต่ตั้งใจให้มากๆ มีมากจะให้มากก็ตามสะดวก การทำบุญที่ทำให้ตนเองเดือดร้อน(เป็นหนี้) น่าจะเป็นการหลงลมผู้ที่ต้องการเงินเยอะๆ มากกว่า   การจะหล่อรูปปั้นทองคำ หลวงพ่อสด เป็นสิ่งดี แต่ที่ไม่ดีคือเสี้ยมสอนให้คนใช้เงินเกินตัวโดยการหวังน้ำบ่อหน้า “วัด”ย่อมไม่ได้สนับสนุนให้ใครไปกู้หนี้ยืมสินมาทำบุญ    แต่กำลังใจของคน  แต่ละคนแตกต่างกัน    บางคนยอมสละทรัพย์เพื่อรักษาชีวิต  บางคนสามารถสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต   บางคนก็สามารถสละชีวิตได้เพื่อรักษาธรรม   ดู พระบรมโพธิสัตว์เป็นตัวอย่าง    เมื่อยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก็ทรงสละมาทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ อวัยวะ เลือดเนื้อ  ชีวิต   แม้แต่บุตร ภรรยา  ถามว่าเป็นการบริจาคเพราะปรารภตัวเอง ?  หากมองผิวเผินการบริจาคบุตร ภรรยา เป็นการขาดความรับผิดชอบ ?   ส่วนการควักลูกนัยย์ตา  หรือชีวิตนั้นเป็นความงมงาย ?   เจตนารมณ์ของการสละสิ่งเหล่านั้น ก็เพียงเพื่อมุ่งบรรลุโพธิญาณเพื่อรื้อ สัตว์ขนสัตว์ให้พ้นจากห้วงทุกข์   การบริจาคทรัพย์ของแต่ละคนเพื่อหล่อรูปเหมือนหลวงปู่ ก็มีเจตนาที่เป็นกุศล มุ่งพระนิพพาน รื้อสัตว์ขนสัตว์ ปราบมารเป็นหลักเช่นกัน ลองเทียบกับเรื่องที่พระพุทธองค์ทรงโปรดพราหมณ์เอกสาฏกที่มีผ้าห่มติดกายเป็นสมบัติชิ้นเดียวต้องใช้ร่วมกับพราหมณี จึงต้องผลัดกันมาฟังธรรม       พระพุทธองค์ไม่ได้ต้องการผ้าของพราหมณ์แต่เมื่อพราหมณ์เกิดศรัทธาบริจาคผ้า    พระองค์ก็ทรงรับผ้านั้นเป็นวัตถุทานเพื่อโปรดพราหมณ์  ถ้าพระพุทธองค์เห็นแค่ประโยชน์ในปัจจุบัน ก็คงไม่รับผ้าจากพราหมณ์เพราะกลัวพราหมณ์ต้องลำบากไม่มีผ้าใส่    แต่เพราะเล็งเห็นถึงสัมปรายิกัตถประโยชน์ ที่จะเกิดแก่พราหมณ์มากกว่า  (ดูอรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี) จากคุณ : AYXC - [ 9 ต.ค. 51 22:35:58 ]

ความคิดเห็นที่ 114 ทำบุญ ต้องเป็นหนี้ด้วยหรอคะ ธรรมกาย .. จากคุณ : amzy* - [ 11 ต.ค. 51 00:13:06 ]

ความคิดเห็นที่ 115 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ความไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ อยู่ที่เราจะทำตามคำสอนของท่านหรือไม่ จากคุณ : เลวอยู่เยอะ - [ 13 ต.ค. 51 01:21:08 ]

ความคิดเห็นที่ 116 ขอมองต่างมุมหน่อยนะ เมื่อมาศึกษาคำสอนของครูบาอาจารย์ที่วัดพระธรรมกาย เราและเพื่อนๆ กัลยาณมิตรทุกท่านที่เข้าวัดทุกคน รักและบูชาครูบาอาจารย์ทุกท่าน ท่านมีมโนปณิธานที่ยิ่งใหญ่ยากจะหาผู้ใดเปรียบ นิพพานที่เราแสวงหา ท่านสามารถไปได้โดยลำพังตนเองแต่ท่านไม่ไป เพราะเป็นห่วงทุกคน แต่ต้องการอยู่เผยแผ่ศาสนาต่อไปเพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปนิพพานให้หมด ทำไมต้องขยายศาสนาพุทธไปทั่วโลก เพื่อยังสรรพสัตว์ให้เขาถึงสันติสุขภายในทุกคน เมื่อนั้นสงคราม การขัดแย้ง การชิงดีชิงเด่น การทำร้ายกัน การฆ่ากัน คงไม่เกิดในโลกนี้ ความเมตตาต่อสรรพสัตว์นั้นยิ่งใหญ่มหาศาลในพระเดชพระคุณหลวงปู่ หลวงพ่อ และทีมงาน ลูกศิษย์ทุกคนรักหลวงปู่ หลวงพ่อ แม้แต่ชีวิตลูกศิษย์สามารถยอมตายแทนได้ การเสียสละปัจจัยแค่นิดหน่อย และทุกคนคิดว่ามีเงินในอนาคตที่จะสามารถหามาชำระได้ ก็ไม่มีอุปสรรคมาขัดขวางในการแสดงความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ในครั้งนี้ สงบสุขก็ขอร่วมบุญในครั้งนี้เต็มกำลังที่สามารถทำได้เช่นกันค่ะ เพราะเมื่อปฏิบัติธรรมตามคำสอนหลวงปู่ และหลวงพ่อ ทำทาน รักษาศีล ทำสมาธิตามคำสอนหลวงปู่ มันดีขึ้น ดีขึ้น และสุขขึ้น จิตที่คิดจะให้ มันไม่ร้อนเหมือนจิตที่คิดจะเอา จิตที่มีเมตตา มันดีกว่าจิตที่คิดเห็นแก่ตัว จิตที่วางอุเบกขา ดีกว่าจิตที่เร่าร้อนทุรนทุราย สงบสุขเอาบุญที่หล่อหลวงปู่มาฝากเพื่อนๆ ทุกคนค่ะ ขอให้ทุกคนมีสันติสุขภายในค่ะ (ขอร้องนะอย่าว่ากันเลยนะ ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดกันเถอะ) จากคุณ : สงบสุข (สงบสุข) - [ 13 ต.ค. 51 15:15:34 ]

ความคิดเห็นที่ 117 ผมไม่รู้ว่าผิดหรือไม่ แต่รู้ว่าไม่ชอบธรรมกาย และไม่ชอบพระใส ๆ นะจ๊ะ จากคุณ : ใส ๆ นะจ๊ะ (จะเก็บเธออยู่ในใจเสมอ) - [ 13 ต.ค. 51 18:19:19 ]

ความคิดเห็นที่ 118 โปรดทำความเข้าใจเสียใหม่ สำหรับภาพใน คห#  62 (ผู้บริหารฯ และพนักงานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี จำกัด ถวายกฐิน ) ########################################################### อย่าไปเชื่อ คนที่มีนามแฝง ทวนทอง ซึ่งพยายามเบี่ยงเบนประเดน ว่านั่น เป็นพิธีทอดกฐิน แท้จริงแล้ว ภาพนั้น ทราบมาว่า เป็น การถวายเงิน ในเทศกาลงานกฐิน ซึี่งถวายเงินล่วงหน้า ก่อนวันงานกฐิน หรือ หลัง วันงานกฐิน (วันที่ไม่แน่ชัด)ซึ่งจัดในวัด   เจ้าของบุญ ได้บึนทึกภาพคู่กับ อาคาร เป็นศิริมงคล สำหรับแจกบุคคลในภาพเอาไว้ดู เพื่อนึกถึงบุญก่อนตาย ประเด็นเรื่องการถวายนอกสถานที่ ต่างจาก การถวายในพิธีกรรม ต้องแยก พิธีกรรมสงฆ์ ทำกันเฉพาะส่วนสงฆ์ ส่วนที่สงฆ์ร่วมกับ ฆราวาส ก็อีกเวลา แต่ว่า ที่เดียวกัน วันเดียวกัน เหมือนกับการทำบุญตักบาตร ข้าวสารอาหารแห้ง สมมุติ จัดที่ภาคกลาง คนใส่อยู่ภาคกลาง แต่พระที่ได้ฉันบิณฑบาตอยู่ 4 จว.ชายแดนภาคใต้นั่นแหละ (อ้างอิงประเด็น มีตัวแทนไปรับสังฆทาน เพื่อนำกลับไปร่วมสังฆกรรมในพิธี) ส่วนอาคารหลังที่ถ่ายภาพ อยู่ติดวัดอยู่แล้ว ทอดกฐิน ก็ต้องจัดที่วัดแน่นอน นามแฝง ทวนทอง ส่อเจตนา เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของวัด หรือ ต้องการ สร้างความสามัคคี ในพุทธบริษัท 4 กรุณาตอบให้ชัด แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 51 01:38:40 แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 51 01:34:55 จากคุณ : มิตรคู่บอร์ด - [ 15 ต.ค. 51 01:31:38 ]

ความคิดเห็นที่ 119 จากคุณ : มิตรคู่บอร์ด อย่าไปเชื่อ คนที่มีนามแฝง ทวนทอง ซึ่งพยายามเบี่ยงเบนประเดน ว่านั่น เป็นพิธีทอดกฐิน แท้จริงแล้ว ภาพนั้น ทราบมาว่า เป็น การถวายเงิน ในเทศกาลงานกฐิน ซึี่งถวายเงินล่วงหน้า กลับไปดูเวบตัวเองไป๊...ว่าเขียนว่ายังไง.. สาวกอลัชชีที่เข้ามาช่วยกันเบี่ยงประเด็นต่างหาก ที่ต้องตอบคำถามทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นในกระทู้มากมายที่หลายคนตั้ง แยกลัทธิไปตามศรัทธา..เรื่องทั้งหลายก็จบแล้ว มาเกาะอาศัยชายพุทธศาสนาอยู่ทำไม จากคุณ : 0vvaynar0 - [ 15 ต.ค. 51 04:05:49 ]

ความคิดเห็นที่ 120 ชื่อ 0vvaynar0 น่าจะเป็น คนๆเดียวกันกับ นามแฝง "ทวนทอง" เพราะเวลาที่โพสต์ จะอยู่ประมาณ 04.00 ไปจนถึงเช้าวันใหม่ ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ เวลาโพสต์หัวข้อกระทู้จะใช้ถ้อยคำดูดี  คู่กับนามแฝงทวนทอง แต่เวลาจะโพสต์ด่าใคร จะใช้นามแฝงอีกชื่อหนึ่ง ไม่รู้มีกี่ชื่อ (หมายเหตุ คนรักสงบ เคารพสิทธิผู้อื่นในพันทิปกระซิบมา บอกว่า ทวนทอง เป็นหนึ่งในกระบวนการล้มพุทธ ที่มีความรู้พุทธเป็นอย่างดี อีกไม่นานก็คงจะถูกฟ้องร้องแล้วล่ะ ) จากคุณ : มิตรคู่บอร์ด - [ 20 ต.ค. 51 18:57:42 ]

ความคิดเห็นที่ 121 ใครที่ไม่เคารพสิทธิผู้อื่น และไร้ความเป็นธรรมต่อผู้ไม่ประทุษร้าย ขอฟันทงว่า ครอบครัวของบุคคลนั้น แตกแยกไปแล้ว หรือกำลังจะแตกแยก และถ้ายังไม่มีครอบกครัว ก็มักจะมีเพื่อนเป็นคนพาล เป็นนักเลงหัวไม้ เป็นคนย้ำคิด ย้ำทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อให้ได้มาซึ่งการยอมรับนับถือ แต่ก็มิได้เป็นคนชั่วร้ายนัก หากได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี จากผู้เป็นบิดามารดา หาไม่แล้ว จะกลายเป็นคนที่ไม่รับผิดชอบต่อการกระทำของตนอันเนื่องมาจากความ หุนหันพลันแล่น และตั้งอยู่ในความประมาืท ที่ป่วยก็จะไม่หาย ถ้าตายก็จะไม่ไปดี จากคุณ : มิตรคู่บอร์ด - [ 20 ต.ค. 51 19:08:41 ]

ความคิดเห็นที่ 122 พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านทำงานแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ลุยทั้งงานหยาบงานละเอียด ทั้งฝันในฝัน ทั้งลงสอนทุกคืนให้เราเห็นทุกวันอยู่แล้ว หน้าจอวันหนึ่ง ๒-๓ ชั่วโมง ไม่ใช่เรื่องง่าย มืออาชีพต้องออกทีวีทุกวันบอกว่า หลวงพ่อทำได้อย่างไร พวกเขาอย่างมากเอาข่าวมาอ่านแล้วก็วิจารณ์ ของหลวงพ่อต้องสอนตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่หมดทุกระดับ ทุกคืนไม่มีเว้นเลย จันทร์ - เสาร์ ฝันในฝัน วันอาทิตย์ทั้งเช้าทั้งบ่ายที่สภาธรรมกายสากล แล้วก็คุมละเอียดด้วย หลวงพ่อท่านสู้ขนาดนี้ ทั้งที่อายุของท่านอีกไม่กี่วันก็จะ ๖๕ ปี สุขภาพท่านก็ไม่ใช่ว่าจะแข็งแรงเท่าไร แต่ว่าหลวงพี่รูปหนึ่งท่านเคยบอกว่า ถ้าดูจากงานที่รับผิดชอบ พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นผู้ที่แข็งแรงที่สุดในวัดเลย เพราะงานท่านมากที่สุด ทั้งงานหยาบ งานละเอียด เดี๋ยวสอนธรรมะ เดี๋ยวรับแขก เดี๋ยวบริหารงานทุกอย่าง สารพัดเรื่องท่านรับภาระทุกอย่าง                             แต่ก่อนอาตมาจะไปกราบปรึกษางานท่านก็ยังมีเวลาได้นั่งบ้าง หลวงพ่อก็นั่งอยู่บนอาสนะ อาตมาก็นั่งที่พื้นแล้วกราบรายงานท่าน บางทีก็ ๕ นาที ๑๐ นาที ๑๕ นาที แล้วแต่ว่าวันไหนมีงานมากขนาดไหน แต่ตอนนี้ไม่มีโอกาสแล้ว ท่านครองผ้าเสร็จปั๊บ เอาจังหวะที่ท่านกำลังจะขึ้นรถไปที่อาคาร ๖๐ ปี เดินตาม ท่านบอก "ใครมีอะไรว่ามา" เดินตามท่านเป็นพรวนเลย คนนี้ ๑๕ วินาที คนนี้ครึ่งนาที แล้วแต่ว่างานมากงานน้อย พอท่านขึ้นรถ ถ้ายังไม่จบท่านก็นั่งอยู่ในรถแล้วก็ยังไม่ปิดประตู แล้วก็คุยต่ออีกพักหนึ่ง พอเสร็จเรียบร้อยประตูก็ปิด รถก็ออก ท่านก็ไปทำงานต่อ เวลาของท่านเป็นอย่างนี้ เราเคยเห็นท่านบ่นไหม เคยเห็นท่านท้อไหม ไม่มีเลย ท่านทำเป็นแบบอย่างให้เราเห็นตลอด         ถามว่าท่านสู้อย่างนี้ ทั้งหยาบ ทั้งละเอียด เราจะสู้กับท่านไหม หรือจะปล่อยให้ท่านลุยเดี่ยว ไม่ได้ เรียกว่าต้องเดินตามท่านก้าวต่อก้าว ท่านย่ำถึงไหนเราเดินตามท่านถึงนั่น งานละเอียดเราช่วยท่านไม่ได้ แต่สิ่งไหนที่เราสามารถทำได้ เราน่าจะช่วยกันแบ่งเบาภาระท่าน ให้ท่านไม่ต้องมากังวล ปลดกังวลหลวงพ่อเรื่องงานหยาบ ให้ท่านลุยงานละเอียดไปเลย ถ้าลูกพระธัมฯ ทั่วโลกพร้อมใจกันกราบเรียนหลวงพ่อว่า งานหยาบๆ เดี๋ยวลูกๆ จะทำเอง หลวงพ่อลุยละเอียดเถอะ อย่างนี้ละก็ ทั้งงานทำวิชชา ทั้งการเผยแผ่วิชชาธรรมกายไปทั่วโลกจะประสานกันทั้งหมด        บัดนี้ infrastructure (โครงสร้างพื้นฐาน) ถึงสภายังไม่เสร็จดี ก็พอใช้งานได้แล้ว มหาธรรมกายเจดีย์มีแล้ว ลานธรรมมีแล้ว วิหารคดมีแล้ว หลังคากำลังสร้างอยู่ ทุกอย่างเราพอใช้งานได้แล้ว พอหลวงพ่อลุยละเอียด ก็เท่ากับว่าได้วิชชาปราบมารด้วย ได้ทั้งการเผยแผ่พระภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา ฝึกอย่างดีแล้วจนเชี่ยวชาญวิชชาธรรมกาย แล้วออกไปประกาศศาสนาทั่วโลก นั่นแหละคือการเผยแผ่พระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกายที่แท้จริง ถ้าพวกเราลุยอย่างนี้ หลวงพ่อเองท่านก็ปีติเบิกบาน เห็นลูกๆ ใจเดียวกัน        งานหล่อทองหลวงปู่ครั้งนี้ เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านจะบูชาธรรมพระเดชพระคุณหลวงปู่ เราลองนึกดูนะ เรื่องของครูบาอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นพระเดชพระคุณหลวงปู่ หรือคุณยายอาจารย์ฯ ก็ตาม เราเคยเห็นหลวงพ่อท่านมีข้อแม้เงื่อนไขไหม ไม่มีเลย อะไรที่เนื่องด้วยครูบาอาจารย์ท่านเต็มร้อย เต็มที่ ทั้งที่จริงๆ แล้ว หลวงพ่อเองไม่ได้พบพระเดชพระคุณหลวงปู่เลย ท่านศึกษาผ่านทางคุณยายอาจารย์ฯ แต่ท่านให้ความเคารพหลวงปู่อย่างยิ่งในฐานะเป็นต้นวิชชา        นี่ขนาดท่านยังไม่ได้พบพระเดชพระคุณหลวงปู่โดยตรง ท่านยังมีความเคารพบูชาหลวงปู่ขนาดนี้ ทำอย่างที่ไม่มีใครทำได้ กับคุณยายอาจารย์ฯ หรือ มีใครทำได้บ้าง ตอนมีชีวิตอยู่ไม่ต้องพูดถึง ขนาดละโลกไปแล้ว งานสลายร่างคุณยายอาจารย์ฯ สวดพระอภิธรรม ๕๐๐ วัน แต่ละวันพระเป็นร้อยๆ รูป นิมนต์พระทั้งประเทศมาเลย วันสลายร่างนิมนต์พระมา ๓๐,๐๐๐ วัด เจ้าอาวาสมาหมดเลย มีประชาชนมาเป็นแสนๆ คน อย่างที่เราเห็นกันอยู่ มีใครทำให้ครูบาอาจารย์อย่างนี้บ้าง นี่คือพระเดชพระคุณหลวงพ่อของเรา        แล้วในวาระโอกาสนี้จะบูชาธรรมพระเดชพระคุณหลวงปู่ เราควรจะทำอย่างไรกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อบ้าง ในฐานะที่ท่านเป็นครูบาอาจารย์ของพวกเรา เราได้พบท่านได้ศึกษาธรรมะจากท่าน ได้รู้ว่าบุญบาปเป็นอย่างไร รู้ที่มาของเรา รู้ถึงเป้าหมายชีวิตได้ก็เพราะท่าน ทุกคืนท่านเมตตาลงสอนให้ทุกๆ วัน เรารับฟังธรรมะจากท่านโดยตรง เราควรจะตอบแทนบุญคุณหลวงพ่อ บูชาคุณท่านอย่างไร      ถ้าเราใจเดียวกับท่าน ทุ่มสุดชีวิตงานนี้ บุญจะมหาศาล เพราะหล่อหลวงปู่ครั้งนี้ มีบุญพิเศษจริงๆ ก็คือว่า ทุกท่านที่ตั้งกองจะได้จารึกชื่อบนแผ่นทองบริสุทธิ์ ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็นต์ แล้วบรรจุอยู่ในแกนกลาง ศูนย์กลาง ของพระเดชพระคุณหลวงปู่          นั่นคือว่า เราจะอยู่กับหลวงปู่ไปชั่วกัลปาวสาน ไม่ใช่เป็นพันๆ ปี เพราะทองคำสามารถอยู่ได้เป็นล้านๆ ปี คือ forever ไม่จำกัดด้วยกาลเวลา มีความคงทนถาวรที่สุด         พวกเราคงพอรู้จักพระของขวัญวัดปากน้ำรุ่น ๑ ที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านให้ทีมทำวิชาสร้างใช่ไหม นั่นคือ ให้นั่งเข้าที่ตลอดพรรษา ๓ เดือน เติมความศักดิ์สิทธิ์เข้าไป พอบรรจุความศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย อาราธนาพระนิพพานกลั่นแก้และก็บรรจุความศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่าง พอออกพรรษาสำเร็จบริบูรณ์ ธรรมกายพระพุทธเจ้าท่านเอ่ยพระโอษฐ์ว่า "ของศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้เพิ่งบังเกิดขึ้นครั้งแรกในโลก แล้วก็หับพระโอษฐ์"     ดังที่พระเดชพระคุณหลวงปู่เคยกล่าวไว้ว่า "พระพุทธเจ้าท่านทรงรับสั่งดมื่อทำสำเร็จในวันแรก เมื่อได้เวลาอรุณออกพรรษา   ทรงรับสั่งว่า ตั้งแต่มีธาตุมีธรรมมา ของศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก ของศักดิ์สิทธิ์ในชมพูทวีป แสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล นิพพานถอดกาย ในกายมนุษย์ก็ดี ในภาคพื้นก็ดี ศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้ไม่มี จากคุณ : บิ๊กโต้ง - [ 21 ต.ค. 51 10:36:40 ]

ความคิดเห็นที่ 123 ไม่มีอะไรจะพูดมาก เท่าที่รู้นะ ธนาคารอิสลามยังไม่คิดดอกเบี้ยเงินกู้เลย นี่ตั้ง12%แน่ะ จากคุณ : techtonic - [ วันปิยมหาราช 00:54:14 ]

ความคิดเห็นที่ 124 โห ขนาดนี้เลยเหรอ  การทำบุญนั้นดี แต่ก็ไม่ควรให้ตัวเองลำบากเกินไปมิใช่หรือ จากคุณ : bio_h - [ วันปิยมหาราช 23:34:47 ]

ความคิดเห็นที่ 125 ต้องเข้าใจ  และมั่นใจเรื่องบุญ   กันทุกคน นะ ครับ บุญ มีจริงใช่ไหมครับ  เราเข้าใจบุญ  ไม่ตรงกัน มั๊ง ครับ เราถึงว่ากันที่ปลายเหตุ   ทำอย่างไร จะได้บุญ ครับ   ทาน  ศีล   ภาวนา  ตรงกันไหมครับ ถ้า ทำตรงกันอย่างนี้  เกิดผลดี  ผมว่า   ช่วยกันเถอะครับ จากคุณ : kraho - [ 24 ต.ค. 51 21:47:56 ]

ความคิดเห็นที่ 127 สังคหวัตถุ ๔ เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนาพระมงคลเทพมุนี เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2496 ชีวประวัติ ทานการให้ไม่ใช่เป็นไปแต่ในพุทธศาสนา ก่อนพุทธกาลพระพุทธเจ้ายังไม่ได้อุบัติตรัสขึ้นใน โลก การให้นี่เขามีกันอยู่แล้ว มีอย่างไร? จำเดิมแต่มารดาบิดาเมื่ออยู่ร่วมกันก็ต้องให้กันแล้ว ต้องให้ความสุขกัน ให้เงินทองข้าวของเสื้อผ้าซึ่งกันและกัน มีอะไรก็แจกกันรับประทานไปใช้สอยไป นี่ก็ให้กัน ถ้าไม่ให้กันอยู่ด้วยกันไม่ได้ ต้องแยกจากกันทีเดียวแหละ ถ้าให้กันละก็ อยู่ด้วยกันได้ นี่ การให้นี้เป็นข้อสำคัญนัก ทานการให้เป็นหลักสำคัญที่จะให้ความเจริญรุ่งเรืองแก่ผู้ให้ ถ้าว่าไม่มีทานการให้แล้ว คนจีนที่มาจากเมืองนอกจะไม่รวยเร็วถึงขนาดนี้ดอก เพราะทานการให้นี่แหละ จีนยิ้มทีเดียว เจอเถ้าโล่ใหญ่ๆ ที่เขาทำงานใหญ่ ๆ กัน เมื่ออยากจะทำงานกับเขาด้วย แต่เขาไม่ค่อยยอมให้ทำ เมื่อไม่ยอมให้ทำคนจีนก็ฉลาด ค่อยๆ ให้เล็ก จนกระทั่งถึงผูกภาษีอากร เป็นเถ้าแก่ใหญ่โตขึ้นไป เพราะให้ไม่ใช่หรือ ถ้าไม่ให้ก็ไม่ได้เป็นเถ้าแก่ผูกภาษีอากรน่ะซี เพราะให้นั่นเป็นตัวสำคัญนัก คนจีนเขาจึงได้พูดยืนยันว่า ลูกไก่ยังกินข้าวสารอยู่ตราบใดละก็ เขาอยู่เมืองไทยไม่จนแน่ จะไปให้อะไรใครก็ไม่ได้ ถ้าว่าให้อะไรใครไม่ได้ จะหางานการอะไรได้ เพราะตนเป็นคนต่างบ้านต่างเมืองมา ดังนั้นการให้กันและกันนี้เป็นสิ่งสำคัญนัก เมื่อรู้จักหลักอย่างนี้แล้ว อยู่ในสถานที่ใดก็อย่าลืมทานการให้กัน การให้กัน พ่อ แม่ ลูกหญิงลูกชาย สามีภรรยาก็ต้องให้กัน เมื่อสามีภรรยาอยู่ร่วมกันและมีลูกขึ้นมา ต้องให้ลูกกินนม นมนั้นแหละเป็นเงินเป็นทองเหมือนกัน นมน่ะกลั่นออกมาจากเงินทองเช่นกัน มารดาบริโภคอาหารเข้าไป อาหารก็ไปเป็นน้ำนม ลูกก็กินนมเข้าไปเป็นลำดับ พอวายนมแล้วก็ให้ลูกบริโภคอาหาร ต้องซื้อข้าวของลูกไม้ลูกไล่มาให้ลูกมัน ลูกจึงจะอ้วนพีมีเนื้อดีหนังดี ให้เรื่อยทีเดียว ลูกจะกินอะไร จะต้องการอะไร พ่อแม่ให้ได้ทุกอย่าง ให้เรื่อย จนกระทั่งเติบโต แต่ว่าถ้าลูกต้องภัยได้ทุกข์หิวโหยโรยแรง แม่ก็เอาของอะไรมาให้รับประทาน พอโตหนักขึ้นๆ ๆ ลูกต้องการอะไรก็อยู่ที่แม่นี้อีกทั้งนั้น แม่ไม่ให้ พ่อก็ให้หรือ ให้ด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่ายนี้แหละ ถ้าว่าพ่อแม่ไม่ให้ละก็ลูกตายหมดไม่เหลือเลย ลูกที่เป็นอยู่ได้นี้ก็เพราะอาศัยการให้ซึ่งกันและกัน เพราะให้อย่างนี้แหละ ถึงได้นามระบือลือเลื่องไปทั้งเมืองว่า พ่อและแม่ เมื่อรู้จักหลักเช่นนี้แล้ว เราจำหลักไว้ เราค่อยๆ ให้ บุคคลคนหนึ่งคนใดโกรธเคืองด่าว่าเรา เราก็หาอุบายแก้ไข ค่อยๆให้เขาเถอะ คนที่เคยด่าพ่อ ด่าแม่ คนอิจฉาริษยานั้นแหละ ให้เสีย พอเขาเชื่อง พอเขาเลื่อมใส เราจะใช้เขาทำอะไร เขาทำเอาทั้งนั้นแหละ นี้สำเร็จด้วยการให้ นี้แหละเป็นข้อสำคัญนัก โลกจะจงรักภักดีซึ่งกัน และกันก็เพราะอาศัยให้ซึ่งกันและกัน เขาจึงได้ยืนยันเป็นตำรับตำราว่าหญิงชายที่เป็นสามีภรรยากัน ถ้าสามีไม่ชอบใจภรรยา หรือภรรยาไม่ชอบใจสามีละก็ เอาละ หาเสน่ห์เล่ห์ลมประการต่างๆ ช่างบ้าหลัง อะไรไม่เข้าใจ นี่เขาบอกไว้ชัดๆ แล้วว่าผู้ปฏิบัติครองเรือนไม่ต้องมีเสน่ห์อะไรดอก เสน่ห์ปลายจวักนั้นแหละผัวรักจนตายทีเดียว เพราะอะไรล่ะ จวักนี่ตักข้าวตักแกงหากินหาอยู่ให้สามีได้รับความสุข เพราะภรรยาเอากระจ่าตักแกงนั่นแหละ จวักก็คือทัพพีนั่นเองนั่นสำคัญนักไม่ต้องไปหาอื่นแก้ไข ว่าทำอย่างไรจะให้สามีได้รับความสุข ลูกก็เหมือนกันเมื่อกินอิ่มจะดุด่าทุบตีเท่าไรเขาก็ยอมทั้งนั้นแหละ ไม่โกรธไม่เคืองหรอก สามีก็เหมือนกันปรนนิบัติให้ดี ให้อิ่มหนำสำราญเช่นนี้เท่านั้นแหละ จะใช้ให้ไปทำอะไรก็ยอมทั้งนั้น นี้เสน่ห์สำคัญนัก ให้เข้าใจว่าการให้เป็นหลักสำคัญ ตระกูลๆ หนึ่ง ถ้าว่าให้กันถึงขนาดเข้าแล้ว ตระกูลนั้นก็เจริญ ให้ถูกส่วนเข้าแล้วเจริญ ศาสนาพุทธนี้อยู่ได้ด้วยการให้ ถ้าเลิกให้กันเสียสักเดือนเดียว ข้าวปลาอาหารไม่ให้กันละหยุดกันหมดทั้งประเทศ ทุกบ้านทุกเรือนไม่ให้กันละ ศาสนาดับ พระเณรสึกหมดหายหมดไม่เหลือเลย นี้เพราะอะไร เพราะการให้นี้เอง การให้นี้สำคัญนัก เพราะทุกคนอยู่ได้ด้วยการให้ทั้งนั้น ท่านจึงได้ยืนยันตามตำรับตำราว่า ให้โภชนาหารอิ่มเดียว ได้ชื่อว่าให้ ฐานะ ๕ ประการคือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ เป็นที่ปรารถนาของมหาชนคนทั้งหลาย ฝ่ายคฤหัสถ์ บรรพชิตปรารถนาเหมือนกันหมด อายุ อายุยืนใครๆ ก็ชอบ วรรณะ ความสดชื่นแห่งร่างกาย ผิวพรรณผ่องผุดเป็นที่ดึงดูดนัยน์ตาของมนุษย์โลกให้มารวมอยู่ที่ตน ใครๆ ก็ชอบใจทั้งนั้น สุขะ มีความสบายกายสบายใจใครๆ ก็ชอบใจทั้งนั้น พละ กำลังกาย กำลังวาจา กำลังใจ เวลาจะใช้กำลังกายได้สมความปรารถนา ไม่ติดขัดอะไร เวลาจะใช้กำลังวาจาได้สมความปรารถนาไม่ติดขัดอะไร เวลาจะใช้กำลังใจความคิดก็ได้สมความปรารถนา ไม่ต้องรอเวลาอย่างหนึ่งอย่างใด กำลังทั้ง ๓ นี่แหละสำคัญนัก กำลังกาย เวลาจะใช้งานการด้วยกาย กำลังวาจา ที่ต้องใช้วาจาโต้ตอบระหว่างประเทศต่อประเทศนั้น หรือเวลาพูดคนต่อคนกัน ก็ใช้วาจา กำลังใจ ที่จะต้องคิดการงานใหญ่โตกว้างขวางออกไป นี่กำลังใจ กำลังเหล่านี้ใครๆ ก็ชอบ ใครๆ ก็ปรารถนา ปฏิภาณ ความเฉลียวฉลาดในทุกสิ่งทุกอย่าง ในหน้าที่ของตัว หรือในหมู่มนุษย์ฉลาดในหน้าที่ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ขัดขวางอย่างหนึ่งอย่างใด นี่ใครๆ ก็ชอบ ใครๆ ก็ปรารถนา สิ่งทั้ง ๕ นี้แหละเป็นที่ปรารถนาของมหาชนคนทั้งหลาย เมื่อเป็นดังนี้ท่านเจ้าภาพได้มาบริจาคทานวันนี้ได้ชื่อว่า การให้ ให้กับพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ตลอดจนกระทั่งเด็กเล็กซึ่งอยู่ในวัด ได้รับความสุขกันหมด มาบริจาคทานก็ได้รับความสุขตลอดกันหมดไม่เดือดร้อน อิ่มหนำสำราญ นี่ก็เพราะการให้ การให้อย่างนี้ไม่ใช่แต่ในมนุษย์นี้เท่านั้น พระพุทธเจ้าท่านอยู่นิพพาน มาให้ทานอย่างนี้ ท่านก็มามากเหมือนกัน เต็มหมดในศาลา ในหมู่พระก็เต็มหมด ในหมู่อุบาสกอุบาสิกาก็เต็มหมด ท่านก็รู้ตลอดสาย ก็การให้อย่างนี้แหละ ถูกต้องร่องรอยของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์เมื่อมีพระชนม์อยู่ก็มีการให้อย่างนี้ จึงเจริญรุ่งเรืองอยู่ได้ ถ้าปราศจากการให้อย่างนี้แล้วเจริญรุ่งเรืองอยู่ไม่ได้ เมื่อให้ความเจริญแก่พระพุทธศาสนาแล้ว ความเจริญก็หันเข้าสู่ตัวไม่ต้องไปสงสัย ได้ชื่อว่าให้ความเจริญแก่ตัวนั่นเองทีหลัง คนที่พากันมาบริจาคทาน เป็นเจ้าภาพหรือเป็นหัวหน้า เป็นที่สองรองลำดับลงไป หรือว่าหมู่พวก นั้นๆ บริจาคทาน พระพุทธเจ้าท่านก็คอยดู สอดญาณ ส่องญาณคอยดู ได้รับความสุขแค่ไหน ได้รับความทุกข์แค่ไหน ท่านก็ช่วยเหลื่อเผื่อแผ่ คอยแก้ไข บำบัดความทุกข์ บำรุงความสุข ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป นี้ก็เพราะอาศัยพระพุทธเจ้าอยู่ลับๆ เรานับได้ ในประเทศไทย พระพุทธเจ้ามีจริงๆ ในที่ลับ ประเทศนิดเดียวเท่านี้แหละเป็นเอกราชอยู่ได้ ปืนผาหน้าไม้ทำกับเขาไม่เป็น เรือแพนาวา เรือยนต์กลไฟต่อไม้ได้ทั้งนั้น แต่ว่าเป็นเอกราชได้ แปลกเหลือเกิน เป็นเอกราชได้ด้วยอะไร นี่เป็นเอกราชด้วยพุทธศาสนา ด้วยพระพุทธเจ้าท่านคอยดูแลแก้ไข รักษาชาติศาสนาของท่านไว้ ให้ศาสนาดำรงอยู่ เพราะหมดทั้งชมพูทวีป ศาสนาเดียวนี้มาแน่นหนาอยู่ในเมืองไทยเท่านั้น ศาสนาฝ่ายเขมรในปกครองของฝรั่งเศส การประพฤติผิดธรรมผิดวินัยมากแล้ว พม่าอยู่ในปกครองของอังกฤษ ประพฤติผิดธรรมผิดวินัยมากแล้ว เขาไม่ได้เป็นศาสนูปถัมภกทีเดียว เพียงแต่เขาไม่ได้ทำลายเท่านั้น ส่วนพุทธศาสนาในประเทศไทยเป็นเอกราชอยู่ร่ำไป รักษาพุทธศาสนาให้ถาวรดำรง คงที่ ดีขึ้นเป็นลำดับไป ท่านเจ้าภาพได้มาบริจาคทานแก่พระภิกษุในประเทศไทย เวลานี้ยังได้ชื่อว่าถูกทักขิไณยบุคคลทักขิไณยบุคคลมี ๙ จำพวก พวกธรรมกายมี ๘๐ กว่าคน เจ้าภาพได้บริจาคทานถูกทักขิไณยบุคคล ๘๐ กว่าคน ได้ชื่อว่าเป็นบุญใหญ่กุศลใหญ่ เมื่อเจ้าภาพสละไทยธรรมเสร็จขาดลงไป มอบให้แก่พระภิกษุ พระภิกษุรับเป็นสิทธิ์ใช้ได้ บริโภคได้ ให้เด็กให้เล็ก ให้ใครก็ได้ เป็นสิทธิ์ของผู้รับ ขาดจากสิทธิ์ของผู้ให้ขณะใด ขณะนั้นแหละ ปุญฺญาภิสนฺทา บุญไหลมาจากสายธาตุสายธรรมของตัวเอง โดยอัตโนมัติ เข้าสู่อัตโนมัติ คือดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ใสบริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดงของไก่ ในกลางกายมนุษย์นี้ กลางดวงนั้นแหละเป็นที่ตั้งของบุญ บุญไหลมาติดอยู่กลางดวงนั้น เหมือนยังกับไฟติดอยู่ในหลอดไฟฟ้ากี่ร้อยแรงเทียน กี่พันแรงเทียน ก็ช่างเถิด แล้วแต่หลอดเขาทำดีกรีไว้เท่าไร จุไฟได้เท่านั้นส่วนอัตโนมัติ ธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์นี้ บุญมากเท่าไรก็ใส่เข้าไปไม่เต็ม เท่าไรๆ ก็ไม่เต็ม วันนี้เจ้าของทาน หัวหน้าและเป็นลำดับมาได้บุญวัดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑,๐๐๐ วา เป็นดวงกลมติดอยู่กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ใสบริสุทธิ์ ๑,๐๐๐ วาแทบทุกคน เจ้าภาพที่ร่วมบริจาคกันวันนี้ เพราะถูกทักขิไณยบุคคล จึงได้บุญใหญ่กุศลใหญ่ ให้เอาใจนึกอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ใสบริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดงของไก่ หยุดตรงนั้น หรือหยุดอยู่กลางนั้น เมื่อนึกอยู่กลางนั้น ตั้งใจอยู่กลางนั้นให้นึกถึงบุญของตัวไว้ ที่ตัวได้วันนี้ ว่าใหญ่วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๑,๐๐๐ วา ใจจดอยู่ตรงนั้นแหละ ว่าเราได้บริจาคทานวันนี้ ได้ดวงบุญใหญ่ขนาดนี้ ใจเราก็จดอยู่กับดวงบุญนั้น เมื่อต้องภัยได้ทุกข์อะไร? จดอยู่ดวงบุญนั้น ให้ดวงบุญนั้นช่วย อย่าไปนึกถึงสิ่งอื่นนะ นึกถึงบุญกุศลที่ตนกระทำนั่นแหละ เป็นที่พึ่งของตัวจริง ช่วยตัวได้จริงๆ พระพุทธเจ้าเมื่อเข้าที่คับขันท่านยังนึกถึงบุญของท่าน ที่ท่านได้บำเพ็ญบารมีของท่านมา แน่วแน่ทีเดียวมั่นคงทีเดียว เมื่อมั่นคงเช่นนั้น นางธรณีผุดขึ้นมา บำบัดพญามารให้พ่ายแพ้ ด้วยน้ำที่พระองค์ทรงหลั่งให้ตกลงเหนือพื้นปฐพี นางธรณีรับไว้รูดปราดเดียวเป็นทะเลท่วมพญามารป่นปี้หมด ยับเยิน แพ้พระพุทธเจ้าด้วยน้ำที่พระองค์ทรงกรวดนั่นแหละ นี้พระองค์ทรงนึกถึง ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมบารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี ให้เป็นอาวุธ ผจญพญามารให้อันตรธานพ่ายแพ้พระองค์ไป เราก็เหมือนกันต้องภัยได้ทุกข์ก็นึกถึงบุญบารมีที่เราได้สั่งสมอบรมมานี้ นิ่งอยู่ตรงนั้นแหละ กลางดวงนั่นแหละ ถูกดวงบุญพอดี ทานการให้สำเร็จเป็นบุญดังนี้ เมื่อสำเร็จเป็นบุญแล้ว ก็เป็นที่ระลึกดังนี้ นี้เรียกว่า ทานญฺจ จากคุณ : kraho - [ 25 ต.ค. 51 15:19:10 ]

ความคิดเห็นที่ 129 ทวนทองมีจิตใจที่รังเกียจ ข้อมูลที่เจตนาให้ครึ่งๆกลาง(อย่างเรื่องทอดกฐิน) เพราะอยากใครคนเข้าใจผิดแล้วเกลียดวัดนี้....เป็นคนใจต่ำหรือเป็นศาสนิกอื่นที่จงใจทำลายพุทธ ดีที่สุดคือไปที่วัดดู อย่าเอาแต่อ่านที่เขาตัดมาบอก แม้พระเถระหลายๆรูปท่านก็วิจารณ์จากข่าว ซึ่งไม่ถูกต้องไปดูของจริงก่อนที่จะวิจารณ์มิฉะนั้นเป็นพระยศสูงเท่าไหร่ก็พลาดไปทางเสื่อมได้ จากคุณ : ไปดูมาแล้ว (fkik) - [ 26 ต.ค. 51 16:44:16 ]

ความคิดเห็นที่ 130 ผู้ขัดขวางการทำบุญของคนอื่น จะมีวิบากกรรมอย่างไร [๔๙] เทวดาทูลถามว่า คนเหล่าใดในโลกนี้ เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น บริภาษผู้อื่น ทำอันตรายแก่คนเหล่าอื่นผู้ให้(ทาน)อยู่ วิบากของคนเหล่านั้นจะเป็นเช่นไร และภพหน้าจะเป็นเช่นไร ข้าพระองค์มาเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาคว่าจะรู้ความนั้นได้อย่างไร พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า คนเหล่าใดในโลกนี้ เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น บริภาษผู้อื่น ทำอันตรายแก่คนเหล่าอื่นผู้ให้(ทาน)อยู่ คนเหล่านั้นย่อมบังเกิดในนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หรือยมโลก ถ้าพวกเขามาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เกิดในตระกูลคนยากจน ซึ่งจะหาท่อนผ้า อาหาร ความยินดี และความสนุกสนานได้ยาก คนพาลเหล่านั้น ต้องการสิ่งใดจากผู้อื่น พวกเขาย่อมไม่ได้แม้สิ่งนั้น นั่นเป็นวิบากในภพนี้ และภพหน้าก็ยังเป็นทุคติอีกด้วย ที่มา-พระไตรปิฎก มจร.(แปล) 15/49/62-64. ตัวเองไม่ทำเพราะตระหนี่ยังห้ามคนอื่นทำอีก  มนุษย์สมัยนี้หนอ เสียดายทรัพย์คนอื่น จากคุณ : บิ๊กโต้ง - [ 28 ต.ค. 51 19:02:26 ]

ความคิดเห็นที่ 131 เป็นไปได้หรือนี่ จากคุณ : เม็ดทรายสีฟ้า - [ 29 ต.ค. 51 02:33:32 ]

ความคิดเห็นที่ 132 ล้มธรรมกาย = ล้มพุทธ? คิดว่ามีชาวพุทธหลายคนไม่นับธรรมกายเป็นพุทธแล้วซะอีก จากคุณ : Queen_of_Rain - [ 2 พ.ย. 51 00:12:36 ]

ความคิดเห็นที่ 133 ทวนทอง มีวัตถุประสงค์อะไรไม่ทราบเห็นคนอื่นทำดี แล้วเดือดเนื้อร้อนตัวแทนคนอื่น คนที่เขาทำไม่เห็นเขาจะเดือดร้อนเลย มีความพยายามมากนะที่จะโจมตีวัด แสดงว่า ภูมิหลังของคุณนี่น่าสนใจนะ...น่าศึกษาทีเดียว ว่าทำไมถึงชอบแต่โจมตีคนอื่น  แล้วเคยดูตัวเองบ้างหรือเปล่า ว่าตัวเองเคยทำบาปกรรมอะไรไว้บ้าง บาปกรรมมีจริง...โจมตีใครไว้ยังไง...วิบากกรรมที่จะได้รับก็เป็นเช่นนั้น มันคือ เหตุ ที่สร้างขึ้น และผล ที่จะได้รับ จากคุณ : คิดบวก (paw_tankun) - [ 5 พ.ย. 51 16:59:53 ]

ความคิดเห็นที่ 134 คำบอกเล่าของผู้มีประสบการณ์ใกล้ตาย   คำบอกเล่าของผู้มีประสบการณ์ใกล้ตาย   งานวิจัยของ   ฝรั่ง    ครับ       น่าสนใจดี   ลองอ่านกันดูครับ จากคุณ : kraho - [ 6 พ.ย. 51 21:48:39 ]

ความคิดเห็นที่ 135 พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ท่านได้บังเกิดขึ้น และเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการประพฤติปฏิบัติธรรม ในคืนเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ณ อุโบสถ วัดโบสถ์ (บน) บางคูเวียง จ.นนทบุรี จนกระทั่งสามารถค้นพบวิชชาธรรมกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อทำความเพียรหยุดในหยุด เข้าไปสู่สภาวธรรมที่ละเอียดมากขึ้น ท่านจึงได้ทราบเรื่องราวของพญามาร ที่เป็น ฉากหลังของชีวิต ดังพระธรรมเทศนาที่ท่านเคยเทศน์ไว้ในกัณฑ์ที่ ๒๑ เรื่อง ทานวัตถุ-ฉากหลัง ตอนหนึ่งว่า "เมื่อไปสุดแล้ว เราจะพบฉากหลังในฉากหลังเข้าไปอีกฉากหลังในฉากหลังนี้จะมีอีกเท่าไร ยังไม่รู้ได้ มีเห็นมีหาย ภิกษุ สามเณร ควรจะรู้ ถ้าไม่รู้ก็เสียคนทีเดียว เป็นบ่าวเป็นทาสเขาไปทั้งชาติ เอาตัวรอดไม่ได้ เรียกว่า ตัณหา ทาโส อทานิสิ ไม่ผิดล่ะ ไม่คลาดเคลื่อนเลยทีเดียว เพราะอะไร เพราะไม่รู้ฉากหลัง ก็เป็นบ่าวเป็นทาสเขาตาย ถ้ารู้ฉากหลัง บังคับฉากหลังได้ละก็ ก็เลิกเป็นบ่าวเป็นทาสเขา มันก็เป็นเจ้าเป็นนายเขาบ้าง นี่เป็นชั้นๆ ให้เข้าใจทีเดียว ให้เข้าใจให้แน่ทีเดียว ไอ้ผู้ปกครอง เราลับๆ ใช้เราลับๆ อยู่ เราไม่รู้เลย พระสมณโคดม บรมครูเอง พอไปเห็นกายมนุษย์ละเอียดเข้าเท่านั้น ทรงรับสั่งแล้ว อเนกชาติสํสารํ สนฺธาวิสํ อนิพฺพิสํ คหการํ คเวสนฺโต ทุกฺขา ชาติ นั่นทรงรับสั่งแล้ว เรานี่เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบนี้ เพราะท่านนี่เอง พาให้เราเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบ เมื่อไปพบชั้นหนึ่ง และไปพบจนกระทั่งถึงตัวสร้างบ้านสร้างเรือน กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา สร้างบ้าน สร้างเรือน สร้างกายท่านไม่มีจบ นั่นไปพบเรื่องนั้น ก็ยิ่งคำนึงยกใหญ่ทีเดียว จึงได้ทำลายล้าง กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหาเสีย ออกจากไตรภพไป หลบ ออกจากไตรภพไป ไอ้กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ทำอะไรท่านไม่ได้ แต่ว่าทำไม่ได้               ทำไม่ได้ ขั้นหยาบๆ ขั้นละเอียดนั้นอยู่ในความปกครองเขา เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจะต้องคาดคั้นทีเดียว จะต้องคาดคั้นทีเดียว ต้องไต่เข้าไปทีเดียว เป็นกายๆ เข้าไป อย่าเข้าใจว่า ไอ้ที่เขาใช้ให้ทำชั่วด้วยกาย วาจา ใจ เขากระซิบให้ทำ อย่างนั้น เขากระซิบให้ทำอย่างนี้น่ะ ไอ้นั่นก็เป็นบ่าวเป็นทาสเขานะซี เขาถึงใช้ได้ตามชอบใจ ให้ไปทำผิดวินัยซะป่นปี้ เหลวไหลป่นปี้ ให้กายเป็นเลว เป็นเปลวไป นี่เพราะอะไรล่ะ? ก็เพราะไอ้ฉากหลังมันบังคับ เขาไม่ได้แกล้ง ฉากหลัง มันบังคับ ไม่รู้เท่าทันฉากหลัง ฉากหลังบังคับเสียหาย ป่นปี้ นี้แหละให้ระวังฉากหลังเป็นตัวสำคัญ จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดในสากลโลกทั้งสิ้น จะทำงานใหญ่ งานโตงานย่อยเท่าหนึ่งเท่าใด ให้ระวังให้รอบตัว ทีเดียว ระวังให้รอบตัว ฉากหน้าฉากหลังให้ระวังให้รอบตัวทีเดียว"                                                                                                                                                           ในเรื่องของการปราบมารและการค้นคว้าวิชชา ธรรมกายของพระเดชพระคุณหลวงปู่ เพื่อให้ไปถึง ที่สุดของฉากหลังที่คอยบังคับบัญชาให้ทำความชั่วต่างๆ อยู่นี้เป็นกิจที่ท่านได้ทำอย่างจริงจังจนตลอด ชีวิตของท่าน ซึ่งภารกิจเบื้องลึกถือเป็นพระคุณ อันใหญ่หลวงต่อมวลมนุษย์ตรงนี้ น้อยคนนักที่จะมี โอกาสได้รู้ นอกจากทีมของท่าน ซึ่งประกอบด้วยพระภิกษุ สามเณร และอุบาสิกาแม่ชี ที่มีธรรมะ ขั้นสูงในโรงงานทำวิชชาเท่านั้น คุณยายเซี่ยงไฮ้ จากจังหวัดสุพรรณบุรี อดีตแม่ชีที่เคยได้นั่งทำวิชชาอยู่กับหลวงปู่ได้เล่าถึงเรื่องการปราบมารของหลวงปู่ให้ฟังว่า คนเก่าคนแก่ ในยุคของหลวงพ่อจะรู้ว่า หลวงพ่อนี้ท่านมีพระคุณ อย่างไร คุณของท่านไม่มีประมาณ มนุษย์เราไม่รู้ เรื่องว่ามารเขาทำกับเราอย่างไร หลวงพ่อท่านค้นพบ วิชชานี้ วิชชาปราบมารนี่ ท่านก็ทำวิชชาปราบมาร มนุษย์เราไม่รู้ว่า เขาทำให้เราเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วที่ให้ไปแก้โรคนี่ คือว่าเอาวิชชาธรรมกาย ให้เอา ชนะกับมารที่มันส่งมาในกลางตัวของมนุษย์ แล้วโรค ก็หายไป ..ตอนที่รบสงครามโลกครั้งที่ ๒ หลวงพ่อท่านบอกว่าไม่ต้องกลัว นั่งเข้าธรรมะ นั่งอยู่ในกายธรรมเรื่อยๆ ให้อยู่ในกายธรรมไม่เป็นไรหรอก แล้วที่สะพานพุทธนะ ช่วยกันนั่งธรรมะเอาบุญบารมี ที่ได้สร้างไว้ด้วยกันทั้งหมด แล้วก็ที่อื่นด้วย รวมกัน ปัดเอาลูกระเบิดอย่าให้โดนสะพาน ให้ไปเสียให้พ้น แล้วก็ให้เก็บวัดปากน้ำอยู่ในกายธรรม ไม่ให้มันมอง เห็น ..อัศจรรย์จริงๆ ฉันเคยเห็นหลวงพ่อท่านลอยได้ เวลานั่งกันเยอะๆ เห็นหลวงพ่อท่านลอยขึ้นไป ลอยแล้วก็มานั่งอย่างเก่าได้ ลอยสองสามเมตร เห็น ท่านลอยตอนที่ท่านสอนภาวนา เป็นกายหยาบลอย ท่านนั่งขัดสมาธิ แล้วสอนให้นั่งวิปัสสนา สักประเดี๋ยว พอนั่งหลับทำสมาธิ ท่านก็ลอยขึ้นไป ..ท่านสั่งให้ตั้งใจทำธรรมะ ให้รอดพ้นจากมาร มารมันจะแกล้ง เราให้เป็นไปต่างๆ นานา แกล้งให้เราป่วยให้เราเจ็บ ..หลวงพ่อท่านทำเพื่อมนุษย์ ท่านช่วยมนุษย์ทุกคน แต่คนมองไม่เห็น ท่านนั่งช่วยกายมนุษย์ทุกคน ท่าน ช่วยตลอดเวลา ตอนที่ฉันนั่งสมาธิอยู่กับท่าน ก็ ทำวิชชากันทั้งคืน ทั้งวัน กลางคืนก็ผลัดเปลี่ยนกัน กลางวันก็เปลี่ยนกัน เป็นหน้าที่ๆ หลวงพ่อท่าน ไม่ได้เป็นพระธรรมดานะ ทุกกาย ทุกส่วน ท่านก็คอยดูคอยระวัง คอยรักษาอยู่ ท่านจึงได้เห็นว่า คนนี้ไปเป็นอย่างนั้นๆ การที่ศิษยานุศิษย์จักได้มีโอกาสหล่อรูปเหมือน พระเดชพระคุณหลวงปู่ด้วยทองคำ ในวันที่ ๑๐ ตุลาคม ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของท่าน ผู้ซึ่งบังเกิดขึ้นมาเพื่อปราบมาร ดังคำที่ท่านได้กล่าว ไว้ว่า ดีที่สุดคือพระพุทธเจ้า ชั่วที่สุดคือมาร ผู้เทศน์ (พระมงคลเทพมุนี สด จนฺทสโร) มารู้ตัวเมื่อบวชว่า ต้นธาตุใช้ให้จุติมาเกิดเพื่อปราบมาร จึงเป็นโอกาสแห่งบุญที่เกิดขึ้นได้โดยยาก เป็นบุญใหญ่ที่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง เราจึงควรทุ่มเทแรงกาย แรงใจ กำลังทรัพย์และกำลังสติปัญญาด้วยความปลื้มใจ เพราะวิชชาธรรมกายเป็นวิชชาที่เกิดขึ้นได้ยากในโลก ต้องมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลกเท่านั้น ผู้คนจึงจะมีสิทธิ์ได้รับรู้ถึงหนทางแห่งการหลุดพ้น ที่มีชื่อว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" นี้ และหากพระเดชพระคุณหลวงปู่ไม่ได้ทุ่มเทเอาชีวิตเป็นเดิมพัน จนค้นพบเส้นทางแห่ง การตรัสรู้ธรรม ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ขึ้นมาอีกครั้ง ความลับของสรรพชีวิตก็ยังคงซ่อนงำต่อไป  เขาจะกู้ก็ไม่เห็นแปลก แก้ไขเมื่อ 09 พ.ย. 51 01:29:50 จากคุณ : อิทธิบาทสี่ - [ 9 พ.ย. 51 01:23:33 ]

ความคิดเห็นที่ 136 เราเกิดมาเพื่อทำความดี สร้างบุญกุศลแต่เพียงอย่างเดียว  เพราะเวลาบน โลกมนุษย์มีจำกัด เราเกิดมาเพื่อทำสิ่งนี้ ไม่ใช่เพื่อการอย่างอื่น อย่าได้เข้า ใจผิดจะหลงทาง เรามีใช่เกิดมาเพื่อสะสมทรัพย์สมบัติ  บ้าน รถยนต์ จน มากมายก่ายกอง จนลืมที่จะสร้างบุญกุศล  ลืมวัตถุประสงค์ที่เกิดมาเป็น มนุษย์ ที่แท้จริง เพราะทรัพย์สมบัติเป็นเครื่องพันธนาการชีวิต ให้เราหลงทางได้ ยิ่งมีมาก ก็ยิ่งแสวงหา เพลินเพลิน ไปไม่จบสิ้น สิ่งต่างๆเหล่านี้ หากเรายังไม่หลุด จากเครื่องพันธนาการ หรือออกจากเครื่องพันธนาการ สุดท้ายความตาย ก็จะมาแยกเราออกจากเครื่องพันธนาการ อย่างหนีไม่พ้น ชีวิตสมณะเป็นเพศบริสุทธิ์ที่หลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการเหล่านี้อย่างสิ้น เชิง สามารถใช้เวลาในการทำความดี สร้างบารมีได้อย่างเต็มที่  เราที่มีเพศ ฆราวาส ก็ควรจัดสรรเวลาให้ดี ไม่ได้ใช้เวลาทั้งชีวิต หมดไปกับสิ่งเหล่านี้ เพียงอย่างเดียว ควรหาเวลาที่จะกอบโกยทำความดี สร้างบารมีอย่างเต็มที่ ให้มากที่สุด บุญกับบาปก็จะชิงช่วง ช่วงชิงกันตลอดเวลา หากเราไม่มีสติก็ต้องพ่ายแพ้ กับกิเลส ทำบาปได้ในที่สุด บุญเป็นฝ่ายขาว บาปเป็นฝ่ายดำ กำลังของฝ่าย ขาวจะมีน้อยกว่า เราจะต้องมีสติ และกำลังใจที่สูงก็สามารถจะมาอยู่ข้าง บุญหรือฝ่ายขาวได้   ถ้าปล่อยตามใจ ตามกิเลสก็จะเป็นผู้แพ้ในที่สุด อย่างแน่นอน ฝ่ายดำหรือบาปก็จะฝังแน่นในจิตเรา มั่นคง เหมือนผ้าขาวที่เปื้อนสีดำ จะซัก ให้ขาวสดใสเหมือนเดิมได้ยากมาก    คนเราปกติจะนึกถึงบาปได้ง่าย ทำให้เรามีใจที่เศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา เมื่อรู้ว่ากำลังฝ่ายดำมันกล้าแกร่ง เราจึงต้องหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด อย่าไปกระทำเป็นอันขาด เพื่อรักษาใจของ เราให้แจ่มใสอยู่ตลอดเวลา ทรัพย์สมบัติเราอยากยึดเอาไว้ ก็ยึดเอาไว้ไม่ได้ เพราะความตายจะมาแยก เราออกจากกัน แต่วิบากกรรมที่เกิดจากกรรมชั่ว ที่เราไม่อยากเอาไว้ มัน กลับฝังแน่นกับเรา เหมือนปลิงจะสลัดอย่างไรก็ไม่ไม่หลุด ติดตามเราไป เหมือนเงาตามตัว พร้อมจะเล่นงานเราตลอดเวลา และติดตามเราไปทุกภพ ทุกชาติ ลำพังกิเลสที่สะสมในตัวก็มีมากแล้ว เรายังไปแสวงหาเพิ่มเติมให้หนัก ไปอีก?  เรายังไปฟังสิ่งที่ไม่ดี ไปดูสิ่งที่ไม่ดี ไปสัมผัสสิ่งที่ไม่ดี เพื่อ ให้กิเลสเรากำเริบ ทำใจให้ขุ่นมัว ให้เราต้องรัก โกรธ เกลียดใคร อยู่อีก หรือ?  อย่างนี้เราจะต้องใช้กำลังต่อสู้กับสิ่งไม่ดี มากขนาดไหน? ก็ลองคิดดู ก็แล้วกัน หากเราแพ้เมื่อใด อกุศลก็จะเข้าครอบครองจิตใจเราจนหมดสิ้น ความดีของเราก็จะไม่เหลือ เพราะไม่มีที่ว่างในใจของเรา เขาได้เลือกแล้ว ว่าอยู่ฝ่ายขาวหรือดำ? แล้วตัวเราเลือกแล้วหรือยัง? บัดนี้เราทำอะไรอยู่? บัดนี้เราทำอะไรอยู่? บัดนี้เราทำอะไรอยู่? เราและเขา "ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม" เราและเขา "ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม" เราและเขา "ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม" จากคุณ : อิทธิบาทสี่ - [ 9 พ.ย. 51 10:22:16 ]

ความคิดเห็นที่ 137 คนที่ทำบุญกับธรรมกายแล้วเดือดร้อนมีมากมายเลยครับ ไปดูคนที่ทำบุญกับธรรมกายแล้วเดือดร้อนดูสิครับ \/ \/ \/ *********************************************************** เดลินิวส์ 6/6/2542 เด็ก 10 ขวบฟ้องแฉธรรมกายรีดเงิน ทุกข์หนักแม่ป่วย ต้องออก ร.ร. ให้ทนาย-เจ้าคณะฯ เอาผิด หนูน้อยวัย 10 ขวบ จูงมือน้องสาววัย 5 ขวบ ขอเป็นโจทก์ฟ้อง "ไชยบูลย์" เป็นเหยื่อบาปบริสุทธิ์  แม่หลงลมไปทำบุญหมดเงินกว่า 2 แสน ถูกกล่อมโรคร้ายหาย ร่ำรวยทันตาเห็น ยกเอาหนังสือโม้สรรพคุณ  "พ ร ะ ดู ด ท รั พ ย์ " ขึ้นมาตุ๋น ขนาดไม่มีเงินสดก็ให้ผ่อนบุญเป็นรายเดือน แต่ทำแล้วยังเจ็บไข้เหมือนเก่า แถมกิจการย่ำแย่ ไม่มีเงินค่าเทอม ต้องให้ลูกลาออกจากโรงเรียนเก่า  มาเรียนโรงเรียนวัด  กินข้าวกับไข่ต้มจิ้มน้ำปลาทุกวัน พอไปขอเงินคืนกลับถูกไล่เหมือนหมูเหมือนหมา ครอบครัวร้าวฉานพ่อหมางเมิน แม่ป่วยซ้ำเป็นโรคซึมเศร้า ร้องเจ้าคณะปทุมฯ-สภาทนายให้ช่วย ก่อภาพสะเทือนใจกอดคอร้องไห้ครวญขอเงินคืนให้คุณแม่จะได้ไปใช้หนี้ "เลขาฯอาคม" ระบุโอนที่ดินยืดเยื้อเกิดจากผลประโยชน์เหล่าสาวกไปซื้อที่ดินดักหน้าหวังผุดคอนโดฯ แบ่งที่ดินขายให้ผู้มาปฏิบัติธรรม ถ้าโอนให้วัดมีหวังเจ๊ง ท่ามกลางความพยายามสะสางปัญหาพระปลอม "นายไชยบูลย์ สุทธิผล" ที่ต้องปาราชิกขาดจากความเป็นพระไปแล้วตามลายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราช แต่นายไชยบูลย์ยังสร้างรอยด่างพร้อย ความเศร้าหมองให้กับพระศาสนาไม่รู้จบ ล่าสุดได้มีการเปิดเผยตีแผ่ขบวนการสูบบุญของธรรมกายได้สร้างปัญหาความร้าวฉานให้กับครอบครัวเล็ก ๆ ครอบครัวหนึ่ง และเด็กน้อยวัย 10 ขวบและ 5 ขวบต้องมาเป็นผู้รับผลกรรม หนูน้อย 10 ขวบ ฟ้องไชยบูลย์ เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ที่ผ่านมา "เดลินิวส์" ได้รับการร้องเรียนเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนใจจากพฤติกรรมสูบบุญ สูบเลือด สูบเนื้อ ของนายไชยบูลย์ และวัดพระธรรมกาย โดย ด.ญ.กัลยา เลิศตระกูลพิทักษ์ หรือน้องจ๊ะเอ๋ นักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนทานสัมฤทธิ์วิทยา ติดต่อร้องเรียน ขอความช่วยเหลือเนื่องจากครอบครัวประสบปัญหาหนักจากการทำบุญกับวัดแห่งนี้ ผู้สื่อข่าวเดินทางไปบ้านเลขที่ 69/755 หมู่ 8 ถนนรัตนาธิเบศร์ ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี สภาพเป็นตึกแถว 4 ชั้น ริมถนน เป็นร้านรับซ่อม แอร์รถยนต์ ชื่อวีอาร์แอร์ และได้พบกับ ด.ญ.กัลยา หรือน้องจ๊ะเอ๋ วัย 10 ขวบ และ ด.ญ.นันทิยา เลิศตระกูลพิทักษ์ หรือน้องจ๊ะจ๋า วัย 5 ขวบ นักเรียนอนุบาล 2 ที่เป็นน้องสาว วิ่งออกมาเปิดรับผู้สื่อข่าว น้องจ๊ะเอ๋ นำผู้สื่อข่าวเข้านั่งในบ้านและเริ่มเล่าถึงสภาพปัญหาของครอบครัวว่า ขณะนี้พ่อของตนเพิกเฉยกับนางกนกวรรณ เลิศตระกูลพิทักษ์ ผู้เป็นแม่ สาเหตุเพราะแม่นำเงินไปทำบุญกับวัดพระธรรมกายถึง 205,000 บาท ต่อมา ครอบครัวเกิดความเดือดร้อนอย่างหนักเพราะไม่มีเงิน กิจการซ่อมแอร์รถยนต์ย่ำแย่ตามสภาพเศรษฐกิจ สุดท้าย แม่ก็คิดมาก กลายเป็นโรค เศร้าซึมไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยจา และมีอาการไข้บ่อย ๆ น้องจ๊ะเอ ๋เล่าต่อว่า จุดเริ่มต้นที่ทำให้แม่ของหนูต้องสูญเสียเงินก้อนโตก็เนื่องจากแม่ป่วยออด ๆ แอด ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ และได้มีผู้นำบุญจากวัดพระธรรมกายชื่อนางนิภา ผ่อนผัน มาชักชวนให้ไปทำบุญกับวัดพระธรรมกาย โดยชักจูงว่า หากนำเงิน ไปทำบุญสร้าง พระประจำตัวที่วัดพระธรรมกาย เพื่อระดมเงินไว้ก่อสร้างมหาธรรมกายเจดีย์จำนวน 30,000 บาท จะได้พระมหาสิริราชธาตุ มาพกติดตัว จะช่วยให้โรคร้ายที่เป็นอยู่หายขาด โดยมีคนพกพระติดตัวแล้วรอดพ้นจากโรคร้ายมาหลายคนแล้ว "เขายังบอกกับคุณแม่ของหนูด้วยว่า ไม่แค่โรคจะหายเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ชีวิตดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา มีฐานะร่ำรวยขึ้น เพราะพระมหาสิริราชธาตุมีอานุภาพดูดทรัพย์ หนูไม่รู้ว่าดูดอย่างไร ตอนนั้น คุณแม่ของหนููเชื่อ  จึงได้ทำบุญ สร้างมหาธรรมกาย เจดีย์เป็นเงิน 30,000 บาท หลังจากทำบุญไปแล้วคุณแม่ก็พาหนูกับน้องจ๊ะจ๋าเข้าวัดด้วย" น้องจ๊ะเอ๋เล่าพร้อม ๆ กับที่น้องจ๊ะจ๋าพยักหน้ายืนยันอยู่ข้าง ๆ น้องจ๊ะเอ๋ เล่าต่อด้วยน้ำเสียงใสซื่อว่า ผู้นำบุญคนเดิมหลังจากได้เงินไปแล้ว ก็แวะเวียนมาชักชวนนางกนกวรรณให้ทำบุญเพิ่มขึ้นอีกเป็นประจำ โดยบอกแม่ ว่า ทำบุญมากปาฏิหาริย์เกิดขึ้นเร็ว และเพิ่มขึ้น เป็นเท่าทวีคูณ ตามไปด้วย ซึ่งมารดา ก็ได้ทำบุญ ตามคำแนะนำ เป็นประจำ ทุกเดือน ไถขนาดให้ผ่อนส่งได้ แต่มาระยะหลัง ครอบครัวเริ่มรายได้ลดลง ไม่มีเงินก้อนทำบุญ ทางผู้นำบุญก็เสนอให้มีการผ่อนส่งเป็นรายเดือนได้ น้องจ๊ะเอ๋ เล่าว่า  แม่ก็ตกลง ผ่อนบุญอีก โดยทุกสิ้นเดือนผู้นำบุญจะมาตาม ทวงถามและรับเงินไป ก่อนมาจะมีการโทรฯ มาล่วงหน้าทุกวันกระทั่งวันมารับเงิน จนถึงขณะนี้ ได้บริจาคเงินทำบุญกับวัดพระธรรมกายไปทั้งสิ้น 205,000 บาท ได้รับพระมหาสิริราชธาตุจากวัดรวม 9 องค์ หลังจากเล่าจบ เด็กหญิงจ๊ะเอ๋ก็ได้วิ่งปรื๋อไปที่โต๊ะทำงานที่อยู่ข้าง ๆ โดยได้เอาใบอนุโมทนาบัตรจำนวน 27 ใบมาแสดง ขณะเดียวกัน น้องจ๊ะจ๋า ก็กำพระดูดทรัพย์ 9 องค์ไว้ในมือ 2 ข้าง และวิ่งเอามาให้ผู้สื่อข่าวดูเป็นประจักษ์พยาน น้องจ๊ะเอ๋ กล่าวว่า หลังจากทำบุญไป ที่บ้านก็ไม่ได้ดีขึ้น  มิหนำซ้ำยังเดือดร้อนอีก และหนูต้องการที่จะขอเงินคืน ตอนนี้  ทางบ้านฐานะ ย่ำแย่ รายได้ไม่พอ ใช้จ่าย ต้องกินข้าวกับไข่ต้มจิ้มน้ำปลาทุกวัน มารดาก็มาป่วยซ้ำอีก "หนูเรียนอยู่ ป.6 กับน้องจ๊ะจ๋าเรียนอนุบาล 2 ก็ต้องออกจากโรงเรียนเดิมที่เป็นโรงเรียนราษฎร์ เพราะค้างค่าเรียนและค่าอาหารกลางวัน 4 หมื่นบาท และต้องย้ายมาเรียนโรงเรียนวัด ส่วนหนี้เก่าคุณแม่ก็ขอผ่อนผันไว้ก่อน" น้องจ๊ะเอ๋เล่าอีกว่า เคยไปเป็นเพื่อนคุณแม่ขอเข้าพบพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 เพื่อร้องขอให้ช่วยแต่ก็ไม่ได้พบ  ถูกไล่เหมือนหมู-หมา ด้านนางกนกวรรณ ผู้เป็นมารดาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หลังจากฟังการเล่าเรื่องจากลูกสาวก็ถึงกับนิ่งอึ้ง หลังจากนั้นนางกนกวรรณค่อย ๆ ข่มใจลงและเล่าว่า ต้นเหตุเคราะห์กรรมที่ต้องไปทำบุญสูญเงินแสนเกิดขึ้นจากการที่ตนป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ หลังจากรักษาตัวกับแพทย์แผนปัจจุบันหมดเงินไปมากแล้วก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหาย จึงได้หันมารักษาด้วยไสยศาสตร์ จากนั้นจึงมาพบกับนางนิภาผู้นำบุญของวัดพระธรรมกาย โดยนางนิภาอ้างว่า มีคนที่ทำบุญสร้างพระธรรมกายประจำตัว และได้พระมหาสิริราชธาตุไว้บูชา ก็ประสบโชคดีและโรคภัยไข้เจ็บขนาดที่ว่าแพทย์วินิจฉัยว่าไม่รอด กลับหายจากโรคร้าย  ด้วยการสวดบูชาพระดูดทรัพย์ จึงได้เกิดความสนใจที่จะได้พระดูดทรัพย์ไว้รักษาตัว พร้อมทั้งจะได้มีเงินทองมาก ๆ จนร่ำรวย "ยอมรับเลยว่าหวังเป็นอย่างมาก เพราะได้รับหนังสืออานุภาพที่มีเนื้อหาอวดอ้างจากคนที่ได้พระดูดทรัพย์ไปครอบครองแล้วโชคดีทันตาเห็น ซึ่งก็ได้รับคำแนะนำว่า ควรสร้างพระประจำตัวเก็บไว้ภายในมหาธรรมกายเจดีย์ โดยต้องใช้เงินทำบุญ 30,000 บาท" หลังจากสร้างพระประจำตัวตามคำแนะนำของผู้นำบุญแล้ว นางกนกวรรณกล่าวว่า อาการเจ็บป่วยก็ยังไม่ทุเลาแถมยังเป็นหนักขึ้นอีก ประกอบกับอาชีพของสามีเป็นช่างซ่อมแอร์รถยนต์ กลับประสบปัญหามีลูกค้ามารับบริการน้อยลง ไม่มีโชคเหมือนที่อวดอ้างเลยแม้แต่นิดเดียว ขณะนั้นก็ได้รับคำแนะนำให้ทำบุญเพิ่มแรงบุญจึงได้ทำต่อไปจนเสียเงินเป็นแสน ๆ เมื่อถึงที่สุดแล้วเห็นว่าไม่น่าจะเป็นอย่างที่อ้าง ตนได้เดินทางไปขอเงินคืนจากทางวัดพระธรรมกาย ปรากฏว่าทางวัดได้ให้เจรจากับนายสมเกียรติ ศรลัมพ์ สาวกคนสำคัญของวัดพระธรรมกาย แต่ได้รับการปฏิเสธที่จะนำเงินมาคืน พร้อมให้เหตุผลว่าไม่มีวัดไหนที่คนเอาเงินไปทำบุญแล้วมาขอคืนได้ และกล่าวอ้างว่าวัดพระธรรมกายไม่เคยได้รับเงินทำบุญจากนางกนกวรรณเลย ทั้ง ๆ ที่มีใบอนุโมทนามาแสดงให้ดูด้วย อย่างไรก็ตามนางกนกวรรณกล่าวว่าเรื่องของตนนี้เมื่อมีข่าวออกไประยะแรก วัดอ้างว่าจะให้ก้อนหนึ่ง และให้ลงนามรับ แต่ไม่ได้ให้จริง ขณะนี้ครอบครัว ลำบากจะขอเงินคืนทั้งหมดดีกว่า เมื่อนางกนกวรรณ เล่ามาถึงช่วงนี้ก็ปล่อยโฮขึ้นมาด้วยความเสียใจท่ามกลางลูก ๆ ทั้งสองคนที่นั่งขนาบข้าง ซึ่งน้องจ๊ะเอ๋ ได้ใช้ชายเสื้อยืด ที่สวมใส่อยู่ ขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ผู้เป็นแม่ พร้อมกล่าวปลอบขึ้นมาว่า "แม่ไม่ต้องร้องไห้หรอกถ้าเขาไม่สงสารเรา ๆ ก็ต้องทน" จากนั้น หันมากล่าวกับผู้สื่อข่าวด้วยว่า " วัดพระธรรมกายสงสารคุณแม่หนูด้วย ขอให้คืนเงินให้  คุณแม่จะได้มาใช้ให้กับโรงเรียน " ภาพที่สะเทือนใจ เหล่านี้ทำเอาผู้สื่อข่าวที่แม้จะเป็นผู้ชายที่ผ่านโลกผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆมามากก็อดที่จะน้ำตาซึมด้วยความสงสารไม่ได้ นอกจากนี้ น้องจ๊ะเอ๋กล่าวว่า คุณครูที่โรงเรียนได้แนะนำให้ไปร้องเรียนกับพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เพื่อขอความ เมตาสงสาร จากพระสุเมธาภรณ์ และให้ไปขอความช่วยเหลือจากสภาทนายความ เพื่อหาทางช่วยครอบครัวอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งน้องจ๊ะเอ๋ ไปไม่ถูกและยังไม่รู้จะไปอย่างไร http://rabob.tripod.com/daily204.htm *********************************************************** เป็นความเห็นที่ 554   ของคุณ : กระบี่ปราบมาร - [ 4 ต.ค. 48 12:07:55 A:202.176.170.191 X: TicketID:108828 ]   จากกระทู้  Y3738888  เรื่องวัดธรรมกาย http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilightcgi?Home=/home/InterWeb2000&File=/home2/searchdata/Forums/http/www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y3738888/Y3738888.html&Query=บุญของธรรมกาย แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 51 07:36:15 จากคุณ : ทวนทอง - [ 10 พ.ย. 51 06:39:48 ]

ความคิดเห็นที่ 138 จากความเดือดร้อนของครอบครัวดังกล่าวในหความเห็น #137 ข้างต้น พระพยอมได้เอาไปเทศนาในไตล์ของท่าน และมีผู้หยิบยกเทศนาของพระพยอมเรื่องนี้ไปลงเวบบอร์ดต่าง ๆ มากมาย ไปดูกันสิครับ http://www.google.co.th/search?hl=th&q=%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2&meta= ผมขอหยิบยกมาจากเวบบอร์ดหนึ่งเพื่อท่านทั้งหลายได้โปรดพิจารณาร่วมกันครับ \/ \/ \/ \/ )))) โม้ อ ม ตะ (((( หวังดูดทรัพย์...ก้อลอกมาจาก “เทศนาฮาสุดขีด”...ของพระพยอม อย่างที่เกริ่นไว้ไง...ท่านรักอยากให้คนได้ฉลาดคิด คิดถูก  คิดรอบคอบ  กระทั่งไม่กลัวบาปกรรมจะกินเอา เห็นใครชุ่ย   เตือนไม่ฟังก็ซัดซะ มาดูเรื่องโง่ ๆ นี่ไง “ ชาวพุทธเดี๋ยวนี้...คิดอะไรแปลก ๆ ชอบคิดสวนทางกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนให้ทำทุกอย่างด้วยปัญญา คนเดี๋ยวนี้มันไม่ค่อยใช้ปัญญา ข้างวัดอาตมานี่มีคนโง่อยู่คนหนึ่ง ชื่อโยมกนกวรรณ ไปเสียท่าโยมนิภา ซึ่งเป็นเซลล์แมนขายบุญของธรรมกาย โยมนิภาบอกว่าปีนี้เขาจะรวยใหญ่เพราะเช่าเหรียญ  “ รุ่นดูดทรัพย์ ”  ไว้เยอะ โยมกนกวรรณพอได้ยินว่า เหรียญ “ รุ่นดูดทรัพย์ ” จะทำให้ร่ำรวยใหญ่  ก็ตาโต ...งี่เง่าสิ้นคิด... ไปขอเช่าต่อเขามา 2 องค์ องค์ละ 3 หมื่น สององค์หกหมื่นเช่ามาได้ 2-3 เดือนยังไม่รวยสักที ก็ไปต่อว่ายายนิภา ทำไมฉันถึงไม่รวยตามที่เธอบอก ยายนิภาได้ทีก็หลอกต่อเลย ก็เธอเช่าน้อยไป  “...พลังดูดไม่พอ...” ยายกนกวรรณนี่ยังโง่ไม่จบ "เออ ท่าจะจริงแรงดูดไม่พอ" งั้นเช่าเพิ่มอีก 7 องค์ กะว่าจะให้ดูดเงินค่อนประเทศมาไว้ที่กูคนเดียว รวมเบ็ดเสร็จจ่ายไป 2 แสนเจ็ด.... หลังจากจ่ายเงินเสร็จโยมนิภาก็หายสาบสูญไปจากสายตาของโยมกนกวรรณ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็นอีกเลย ตอนนี้โยมกนกวรรณขยันขันแข็งขึ้นผิดตา ทำงานหามรุ่งหามค่ำตั้งแต่เช้าจรดเย็น ทำงานหาเงินมาใช้หนี้ค่าพระรุ่นดูดทรัพย์ ...ตอนซื้อบอกว่าขอรุ่นดูดทรัพย์ แต่สงสัยคนขายจะหยิบพระผิดให้ ตอนนี้มันดูดหนี้ดูดสินมาให้ท่วมหัวเลย เลยจนถาวร...จนนิรันดร...จนตลอดกาล...เพราะอยากรวยแต่เสือกโง่ ... นี่ท่านล่อเองด้วยฝีมือท่านนะ...ไม่มีใส่ไข่... “ ล่าสุดมันออกมาใหม่อีกรุ่นหนึ่งแล้ว รุ่น...เชื่อแล้วรวย...” มันเที่ยวหลอกขายไปเรื่อย ไปถึงเจอใครขายเลย มันไม่ให้สงสัย..ไม่ให้ถาม..ให้เชื่อเลยจะได้รวย... ไม่รู้ใ:-).....ถ้าเชื่อแล้วไม่ทำมาหากินจะรวยไหมโยม..? ธรรมกายนี่มันลวงโลก ทำให้คนหลงงมงายได้เป็นล้าน ๆ คน เรื่องทำบุญมันก็สอนส่งเดช...บุญบ้าบออะไร..ทำสุดฤทธิ์สุดเดช แล้วเทคนิคมันเยอะนะ เป็นเทคนิคการหลอกคนโง่ มันบอกว่า...ถ้ายังไม่มีเงิน...เงินไม่พอ ให้วางดาวน์ไว้ก่อน แล้วผ่อนทีหลัง ความคิดมันทันสมัย...มีดาวน์บุญด้วย ผ่อนบ้านผ่อนรถก็จะอดตายอยู่แล้วนี่เสือกต้องมาผ่อนบุญอีก โม้..อมตะ... แล้วมันอุตริสอน มันบอกว่ามันเข้าถึงพระพุทธเจ้าได้ นำข้าวปลาอาหารไปถวายพระพุทธเจ้าในเมืองอายัตนนิพพานได้ พระพุทธเจ้ามารับด้วยมือตนเองเลย มันโม้ต่อว่าประเทศไทยทั้งประเทศ เนี่ยมีคนเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าได้แค่ 2 คน ...กูจะได้รวยกันแค่ 2 คน... คือตัวเจ้าอาวาสและยายชีจันทร์ แล้วยายชีนี่ก็โม้เกินเหตุ เคยอวดวิเศษว่า ปัดระเบิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ มันคุยว่า ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่จริงเขาทิ้ง ระเบิดปรมณูลงที่ประเทศไทย ยายชีจันทร์เห็นเข้าก็เลยใช้พลังวิเศษปัดระเบิด พ้นประเทศไทย ไปลงที่ญี่ปุ่นแทน ประเทศไทยเลยพ้นหายนะ ดีนะที่คนญี่ปุ่นฟังภาษาไทยไม่เข้าใจ ถ้ามันเข้าใจภาษาไทย... ยายชีคนนี้คงถูกคนญี่ปุ่นกระทืบตายไปแล้ว ก็เวลาปัดระเบิดปรมณู มันปัดส่งเดชไม่กะระยะให้ดี  ดันปัดจากเมืองไทยไปลงญี่ปุ่น ......คนญี่ปุ่นตายเกือบหมดเกาะ...... อาตมาฟังแล้ว ยายชีคนนี้ทำไมมันถึงโง่นัก ถ้ามันฉลาดปัดลงทะเลซะก็หมดเรื่อง เรื่องก็จบแล้ว นี่เสือกปัดไปลงที่ญี่ปุ่น มันฟังภาษาไทยไม่เข้าใจ  ไม่งั้นยายชีถูกญี่ปุ่นกระทืบอ่วมแน่ อาตมาอยากจะเตือนว่า...คราวหลัง ถ้าจะหัดหลอกคน .....คิดให้มันรอบคอบหน่อย..... บุญเน่า... มันพูดเพ้อเจ้อขนาดนี้คนยังไปเชื่อ อาตมาแปลกใจจริง ๆ พระเองก็งง ทำไมคนไทยเดี๋ยวนี้มันถึงงมงายไร้สติได้ขนาดนี้ เมื่อ 2-3 วันนี้ โยมผู้หญิงคนหนึ่งมาหาอาตมาที่วัด ร้องห่มร้องไห้มาเลย พี่น้องทะเลาะกันแบบเอาเป็นเอาตาย พี่สาวไม่รู้ไปหลงคารมเซลล์บุญอีท่าไหน มาขอยืมเงินน้องสาวไปสิบล้านบาท น้องสาวนึกว่าเอาไปลงทุนเบิกเงินสด ๆให้พี่ 10 ล้านบาท ที่ไหนได้ เอาไปให้ธรรมกาย เอาไปทำบุญหมดเลยตอนฉลองเจดีย์ใหญ่ น้องสาวรู้เรื่องเข้า...เป็นลม...เงินสะสมมาทั้งชีวิตเอาไปทำบุญสร้างเจดีย์.......เกลี้ยงเลย ตอนนี้ไม่มีอะไรจะกินพากันเดือดร้อนทั้งตระกูล มันไร้สติ...งมงาย...และโง่สิ้นดี ทำบุญจนหมดเนื้อหมดตัว ทำบุญเสร็จแทนที่จะได้บุญมีความสุข...พี่น้องกลับมาทะเลาะกัน เกือบจะฆ่ากันตาย โยม...โยมที่มาฟังเทศน์วันนี้เนี่ย มีลูกศิษย์ธรรมกายมาฟังบ้างไหม..? ...ไม่มีเหรอ...เออ ค่อยเทศน์ง่ายหน่อย อาตมาอยากเตือนพวกเราชาวพุทธว่า เวลาทำบุญให้มีสติ ให้พิจารณาให้ดีว่าอะไรควร  อะไรไม่ควร เ ว ล า ทำ บุ ญ อ ย่ า ห ล ง บุ ญ ทำบุญผิดมันจะเดือดร้อนและไม่ได้บุญ [u] มันจะกลายเป็นบุญเน่าไปซะ.. เ ป็ น บุ ญ  N P L  คือ เป็นบุญที่ไม่เกิดประโยชน์ ธรรมกายนี่ถือเป็นบุญเน่านะ มันสร้างเจดีย์ใหญ่ที่สุดในโลก วางแผนหล่อพระพุทธรูปตั้งล้านองค์ จะเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาของโลก ตั้งโรงหล่อในวัดเลย หล่อได้ 3 แสนองค์น้ำเน่าออกไปนอกวัด น้ำข้างวัดเน่า   ปลาตายเน่าลอยเกลื่อนไปหมด... บุญบ้าอะไรเน่าทั้งวัด ไหลเน่าออกไปนอกวัด ยังไม่ทันได้เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาของโลกเลย .....ดันเน่าซะก่อน...เวรกรรม...” จากเวบบอร์ด  http://www.narak.com/webboard/show.php?No=119082 จากคุณ : ทวนทอง - [ 10 พ.ย. 51 06:45:23 ]