ความคิดเห็นที่ 1 ฟัง และเล่นดนตรี มันบาปน่ะ. http://www.banatulhuda.com/webboard_show.php?Key=&Page=3&postid=95 จากคุณ : zakai - [ 19 ก.ย. 51 17:14:58 ]

ความคิดเห็นที่ 2 คุณ kuddle ครับ ไม่มีข้อห้ามใน อัลกุรอานครับ สมัย1400ปี นั้นไม่มีเครื่องดนตรีสากล  มีแต่กลองเท่านั้น ผมเล่นเครื่องดนตรีเกือบทุกชนิด แซกโฟน อัลโต และ เทรนเน่อ,คลาริเนท, ทรัมเป๊ทม เปียโน, ซออู้ และ ซอด้วง และ ที่ชอบมากที่สุด คือ ระนาดเอก  และเพลงที่ผมถนัดมาก คือ "แขกต่อยหม้อ" และ "เขมรไทรโยค"  ผมซึ้อระนาดเอกราคา ประมาณ เกือบ 2 หมื่นบาท สั่งทำพิเศษ ถอดได้เป็นส่วนๆ ใส่ถุงกอล์ฟไป,  ลูกสาวผมทุกๆคน เรียน เปียโนตั้งแต่ 5-6 ขวบ  "ในอัลกุรอานมีเรื่องอุปมาเล่าว่า มวลหมู่มาลาอิกัค โห่ร้องเพลงสดุดีพระเจ้าไปรอบๆบัลลังก์ " ในสมัย1400 กว่าปีก่อนหน้าอิสลาม มีระบำร่ายรำ ด้วยกลอง สาวๆส่ายตะโพกไปมา  ไม่เป็นการเหมาะสมต่อศรัทธาในอิสลาม ด้วยเหตุนี้ จึงมี ฮาดีษ ห้ามในเรื่องนี้  แต่ การใช้ปรีชาญาณในทางดนตรี ที่พระเจ้าประทานมา พระเจ้าไม่มีบัญญัติห้ามไว้  ถ้าการบรรเลงไม่ใช่ไปในทาง  หยาบคาย  เช่น เล่นดนตรี ใน โรงระบำเปลือยร่างบางส่วน ซึ่งยังมีอยู่ใน ภาคตะวันออกกลาง  สรุป ไม่มีข้อห้ามในการใช้ปรีชาญานในเรื่องดนตรี ในหลักการของอิสลาม แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 51 00:29:32 จากคุณ : แมทท์ - [ 20 ก.ย. 51 00:13:39 ]

ความคิดเห็นที่ 3 หลักฐานข้อห้ามจากอัลกุรอาน "และในหมู่มนุษย์มีผู้ซื้อเอาเรื่องไร้สาระ เพื่อทำให้เขาหลงไปจากทางของอัลลอฮฺ"[ลุกมาน 31:6] นี่คือข้อห้ามในการ เชื่อเรื่องบอกเล่าต่างๆที่ไร้สาระ ไม่เกี่ยวกับเรื่องดนตรี สักนิดเดียว  แต่เกี่ยวกับเรื่อง เหลวไหลต่างๆที่ขัดกับบัญญัติในอัลกุรอาน  เช่น เชื่อเรื่องเล่าที่ว่า "ท่านรอซูลมองเห็นนรกและสวรรค์ได้"  เชื่อว่า "มีเพศหญิงอยู่ในนรกมากกว่าเพศชาย" ในสมัยหลังจากท่านรอซุลเสียชีวิตไปแล้วมีการ ว่าจ้าง ผู้คนมาเล่าเรื่อง ไร้สาระต่างๆเกี่ยวกับท่านรอซูล ให้ผุ้คนฟัง  อย่างที่โต๊ะครูบางท่าน หากินอยุ่ ในสังคมมุสลิมไทยเราในสมัยนี จากคุณ : แมทท์ - [ 20 ก.ย. 51 00:26:58 ]

ความคิดเห็นที่ 4 " ใกล้แล้วที่ประชาชาติของฉันกลุ่มหนึ่งจะ (พยายาม) ทำให้การทำซินา (การสวมใส่) ผ้าไหม การดื่มสุรา และเครื่องดนตรีเป็นที่หะลาล (อนุมัติตามหลักการของศาสนา)" (เล่าโดย อบูมาลิก อัลอัชอะรีย์, สถานะหะดีษ เศาะหี้หฺ, บันทึกโดยบุคอรีย์ จากหนังสือ "อัลญามิอิศเศาะหี้หฺ" หน้า หรือลำดับหะดีษที่ 5590) จากคุณ : DJC - [ 20 ก.ย. 51 20:41:38 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ดนตรีนี่เป็นกิเลศขั้นสูงหรือเปล่าครับ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7013013/Y7013013.html จากคุณ : DJC - [ 21 ก.ย. 51 05:26:26 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ผู้ใดก็ตาม สามารถ   หาบัญญํติในอัลกุรอานมาให้ผมเห็นได้ว่า พระเจ้าห้ามการ เล่นเครื่องดนตรีและ ฟังดนตรี เป็นบาป และอธิบายให้ผมเข้าใจว่า เพราะ เหตุใด ในซาอุดิอราเบีย จึงมี การ เริงระบำและ ร้องรำทำเพลงได้ เขาอาศัยหลักการอะไร? ทางศาสนาอิสลามมาอธิบาย การกระทำของเขาเช่นนั้น ....ผมจะขอบคุณมาก เพราะเป็นการเสริมสร้างความรู้ให้กับผม   ในประเทสมุสลิมในภาคตะวันออกกลางทุกๆประเทศ มี CD เพลง "อรับ"  จำหน่ายกันเกลื่อน แม้แต่ในอเมริกา ก็ตาม มุสลิมในอเมริกาจากภาคตะวันออกกลาง  เข้าบาร์ ฟังเพลง ผมไม่เห็น เขาบ้าคลั่งอย่าง มุสลิมไทยบางท่านเลย  แม้แต่มุสลิมไทยที่เป็น มูนาฟิก ก็ตาม  ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าไม่เคย ดูหนัง ฟังเพลง ต่างๆ ในภาพยนตร์  ลองอ่านกระทู้ต่างๆที่ คุณๆ คุยกันเรื่อง ภาพยนตร์ต่างๆ  นั้นลืมไปแล้วหรือ   พระเจ้าไม่เคยห้ามเรื่องการฟังเพลงหรือ เล่นเครื่องดนตรีเลย ไม่มีบัญญัติในอัลกุรอาน   อย่าเอาเรื่อง ของ มูนาฟิก มาหลอกลวง ประชาชนเลยครับ    ตัวคุณเองก็ดูภาพยนตร์ฟังเพลง ประกอบภาพยนตร์ มามาก ต่อ มาก แล้ว    ถ้าคุณไม่หลอกคัวเอง   ดนตรีไม่มีกิเลส แต่เป็นปรีชาญานที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ ที่มีความสามารถ และสติปัญญาที่จะใช้ ประโยชน์ในทางดนตรีไปในทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่ในทางที่เลวทราม... .   เช่นเดียวกับที่พระองค์ ประทาน อวัยวะสืบพันธ์ ชาย ให้กับคุณให้ไว้ใช้ในทางที่เป้นประโยชน์  แต่ถ้าคุณนำไปใช้ในทางที่ประกอบกรรมชั่ว ข่มขืนชาวบ้าน  มันก็กลายเป็นกิเลสแห่งความบ้าตัณหาของคุณ และเป็นบาป   ...ที่ผมเปรียบเทียบเช่นนี้ เพราะเครื่องดนตรีและ อวัยวะสืบพันธ์ นั้น มีสิ่งที่เหมือนกันคือ ...การให้ความสุขทางจิตใจถ้าคุณใช้ในทางที่มีคุณธรรม เช้าใจบ้อ แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 51 09:16:22 จากคุณ : แมทท์ - [ 21 ก.ย. 51 09:13:50 ]

ความคิดเห็นที่ 7 "ใกล้แล้วที่ประชาชาติของฉันกลุ่มหนึ่งจะพ ย า ย า ม ทำให้การทำซินา, (การสวมใส่) ผ้าไหม, การดื่มสุรา และเครื่องดนตรีเป็นที่หะลาล (อนุมัติตามหลักการของศาสนา)" คคห.6 เป็นตัวอย่างยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า วจนะของท่านศาสนทูตเป็นจริง เพราะเขากำลัง "พยายาม" อยู่ แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 51 13:32:33 จากคุณ : DJC - [ 21 ก.ย. 51 13:26:55 ]

ความคิดเห็นที่ 8 Hi! I am at work.  I will discuss this matter with you in Thai later on.  I want you to understand that in Islam; there  are  no  specific  types  of  instruments  to  be  played  or  not to  be  played. Islam  is  a  religion  of  logic (If you understand what I mean).  It  means  Islam  tells  us  do  not believe  in  things  which  conveys  no  meaning  to  you. Why  should  Islam  forbids  or  allows  certain  types  of  musical instruments ? Overall  musical  intruments  have  different  types  of sounds,  drums  have  their  own  beats  and  clarinet  has  its  own.     Drums  sound  loud  and  can  be  heard  from  a distance ,  that  is   why  they  were  used  in  the  time  of  Prophet  Mohammed  (peace  be   upon  him).  But  it  does  not  mean  that  drums  are  the  only   instruments  we  are  allowed  to  play. We  can  play  any  type  of  musical  instrument  what  we  like  and also  we  can  listen  on  the  stereo.  What  ever  we  do  it  must  be within  the  limits  of  Islam.    It  means  we (Muslim) should  not  include  any  type  of  sexusal  behavior  or loose  our  minds  while  listening  the  music,  like  some  people  do. Stay with Al Qur'an only  and you will be a smart muslim and understand the world around you better. แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 51 16:12:16 แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 51 16:08:39 จากคุณ : แมทท์ - [ 21 ก.ย. 51 16:06:43 ]

ความคิดเห็นที่ 9 พ ย า ย า ม อย่างนี้ น่าจะได้โล่ไปประดับฝาบ้าน กระทู้นี้ไม่ได้กล่าวเรื่อง sex อย่าเอามาปะปนตามอำนาจใฝ่ต่ำของตนเองเลยครับ แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 51 19:40:08 จากคุณ : DJC - [ 21 ก.ย. 51 19:35:57 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อพิจารณาดูผมก็เห็นด้วยกับคุณ แต่ เมื่อเห็น ฮาดีษข้างล่างนี้ จึงจำเป็นต้อง อธิบายให้อยู่ในระดับเดียวกับสติปัญญา และตามอำนาจใฝ่ต่ำของ คุณ ที่อ้างถึงฮาดีษ ที่เกี่ยวกับ SEX ใน การดนตรีขึ้นมา ตามที่คุณอ้างฮาดีษข้างล่างนี้.... " ใกล้แล้วที่ประชาชาติของฉันกลุ่มหนึ่งจะ (พยายาม) ทำให้การทำซินา (การสวมใส่) ผ้าไหม การดื่มสุรา และเครื่องดนตรีเป็นที่หะลาล (อนุมัติตามหลักการของศาสนา)" (เล่าโดย อบูมาลิก อัลอัชอะรีย์, สถานะหะดีษ เศาะหี้หฺ, บันทึกโดยบุคอรีย์ จากหนังสือ "อัลญามิอิศเศาะหี้หฺ" หน้า หรือลำดับหะดีษที่ 5590) เนื่องจากผมไม่เชื่อในการแปล ภาษาอรับเป็นไทย ว่ามีความถูกต้อง เท่าเทียมกับ การแปล ของชาวอรับ แปลเป็นภาษาอังกฤษ (ดูจากการแปลอัลกุรอานเป็นไทยของสมาคมนักเรียนเก่าอรับ เป็นตัวอย่าง)   ผมจึงเข้าใจว่า คุณกำลังกล่าวถึง ฮาดีษข้างล่างนี้... The Messenger of Allah (peace and blessings of Allah be upon him) said: “Among my ummah there will certainly be people who permit zinaa, silk, alcohol and musical instruments ” (Narrated by al-Bukhari ta’leeqan, no. 5590; narrated as mawsool by al-Tabaraani and al-Bayhaqi. See al-Silsilah al-Saheehah by al-Albaani, 91). หรือ อีก คำแปลหนึ่ง ...ว่า `There will be people of my Ummah who will seek to make lawful; fornication, wine-drinking and the use of ma`aazif ( musical instruments ).` อธิบายให้ผมฟังซิว่า.. 1.คำว่า " ทำให้การทำซินา " นั้น หมายถึงอะไร? 2. คำว่า ซินา ใน ภาษาอรับ หมายความว่าอะไร?   คำอธิบายของผมมีดังนี้.. ในฮาดีษนี้แปลตรงจากภาษาอรับมี คำว่า “ซินา”  มีความหมาย โดยตรงถึงเรื่อง SEX ซึ่งอาจจะมีความหมายอย่างอื่น แต่ใน  ฮาดีษนี มีความหมายถึง  “SEX” โดยตรง คำว่า “ซินา”  หรือ “อัลซินา” นั้น  หมายถึงการร่วมเพศระหว่างหญิงและชายก่อนการสมรส (fornication n. Sexual intercourse between partners who are not married to each other.)  คุณทราบหรือไม่ว่า ในสังคมมุสลิม“ไซตอน” นั้น มันพยายามที่จะ แยกมุสลิมให้ห่างไกลจาก อัลกุรอาน เท่าที่ จะทำได้  มันรู้ว่า ถ้ามันสามารถเปลี่ยนใจมนุษย์ ให้สับสนในเรื่องต่างๆนอกเหนือไปจากบัญญัติในอัลกุรอานแล้ว มันสามารถจะล้างสมอง มนุษย์ให้หลงทางจาก อัลกุรอาน(บัญญํติของพระเจ้า) ได้อย่าง ง่ายดาย  เช่นที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้   “ฮาดีษก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาโดยความคิดของบุคคล โดย ห้ามในสิ่ง ที่พระเจ้าไม่ห้าม เนื่องจาก ในสมัยก่อนอุลมา ไม่เข้าใจ และ นึกไม่ถึงว่า จะมีเครื่องดนตรี ชนิดต่าง  เกิดขึ้น นอกเหนือไปจากกลอง เท่านั้น   การดนตรีเป็นสิ่งซึ่งมนุษย์ใช้สติปัญญาและปรีชาญาณ ที่พระเจ้าประทานให้มา เพื่อ สร้างสรรค์ ในสิ่งที่ดีงาม” http://www.youtube.com/watch?v=HL-83yWa-N0 แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 51 09:55:51 แก้ไขเมื่อ 22 ก.ย. 51 00:42:19 จากคุณ : แมทท์ - [ 21 ก.ย. 51 23:46:10 ]

ความคิดเห็นที่ 11 "ไซตอน" ผู้ชั่วช้านี้มันทำต่อศาสนาอิสลามได้อย่างไร?  มันประสพความสำเร็จในการกระทำที่ทำให้มุสลิมสับสนและห่างไกลจากการศึกษาคัมภีร์อัลกุรอาน โดยอาศัยสถาบันของผู้รู้ ในทางศาสนาอิสลาม นั้นคือ "สถาบันของ อุลมา และ สถาบันของท่านผู้รู้ทางศาสนา"  เป็นเครื่องมือของไซตอนในการออกกฎเกณต่างๆนอกเหนือไปจากบัญญัติในอัลกุรอาน อุลมาและท่านผู้รู้ทางศาสนาต่างๆที่ถูกไซตอนหลอกลวง ต่างก็พยายามที่จะโต้เถียงและปรึกษาตั้งกฏเกณต่างๆ และ พยายามหาวิธีการ ที่จะทำให้ บุคคลห่างไกลจากอัลกุรอาน ด้วยการนำข้อขัดแย้งต่างๆ และ ความเห็นที่คิดว่า ถูกต้องหลังจากการถกเถียงกันแล้ว มาตั้งเป็นกฏบัญญัติที่นอกเหนือและ/หรือ ไม่มีบัญญัติอยู่ในอัลกุรอาน มาตั้งเป็นกฏเพื่อให้ เกิดความยากลำบากในการศึกษาหาความรู้จากอัลกุรอาน ด้วยกุศโลบายของ "ไซตอน"  ซึ่งถ้าผุ้ศึกษาอัลกุรอานจะเข้าใจได้ว่า ด้วยคววามเมตตากรุณาจากพระเจ้า พระองค์ทรงบัญญัติไว้ว่า.. Say: Who hath forbidden the beautiful (gifts) of Allah, which He hath produced for His servants, and the things, clean and pure, (which He hath provided) for sustenance? Say: They are, in the life of this world, for those who believe, (and) purely for them on the Day of Judgment. Thus do We explain the signs in detail for those who understand.[Yusufali 7:32]    สิ่งที่ไซตอนหลอกลวง อุลมา ให้ เอา คำว่า "ดนตรี" รวมอยู่ใน "การ ทำผิดประเวณี(ซินา)" ทำให้ดูว่าเป็นสิ่งเลวเท่าๆกัน  และ รวมทั้งการสวมใส่ผ้าไหมนั้น มันเสียหายอะไรและผิดศีลธรรมจริยาธรรมอย่างไร? ข้อห้ามนี้ ไม่ใช่ความคิดที่เป็นเอกฉัน ในระหว่าง อุลมาทั้งหลาย อุลมาที่ยึดในอัลกุรอานผู้ซึ่งไซตอนไม่อาจะหลอกลวงได้  ไม่เห็นด้วยกับ ฮาดีษ ดังกล่าว และไม่มีข้อห้ามในอัลกุรอาน, ด้วยเหตุนี้ ความคิดของไซตอนในการห้ามการเล่นหรือฟังดนตรี จึงไม่จัดอยู่ในหลักการของอิสลาม จากคุณ : แมทท์ - [ 22 ก.ย. 51 02:14:21 ]

ความคิดเห็นที่ 12 พ ย า ย า ม จนเพ้อเจ้อ... พ ย า ย า ม จนหลงทาง... พ ย า ย า ม จนออกทะเล กลับเข้าปากอ่าวไม่ได้แล้ว เอ้า พ ย า ย า ม เข้า ก็ไม้จะใกล้ฝั่งแล้ว ใกล้ลงหลุมแล้ว พยายามเข้านะ เฮือกสุดท้ายแล้วนิ ไปทะเลกันดีกว่า จากคุณ : DJC - [ 22 ก.ย. 51 08:43:08 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ละหมาดอย่างไร ไม่ใช้ฮาดิษครับพี่แมทท์ จากคุณ : ghanee.s - [ 22 ก.ย. 51 11:51:46 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ใกล้แล้วที่ประชาชาติของฉันกลุ่มหนึ่งจะพ ย า ย า ม ทำให้การทำซินา, (การสวมใส่) ผ้าไหม, การดื่มสุรา และเครื่องดนตรีเป็นที่หะลาล (อนุมัติตามหลักการของศาสนา)" ผมเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าอิสลามห้ามสวมใส่ผ้าไหมอะเพราะว่าเจ้านายผมที่ซาอุฝากผมซื้อทุกครั้งเลยที่ผมกลับไปพักร้อน จากคุณ : อยากให้กลับไปเป็นเหมือนวันวาน - [ 22 ก.ย. 51 22:50:46 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ละหมาดอย่างไร ไม่ใช้ฮาดิษครับพี่แมทท์ จากคุณ : ghanee.s .................... คุณเข้ามาถามเรื่องผิดแล้ว เขากำลังคุยกันเรื่อง "มูนาฟิก" ที่เคยไปดูหนัง ฟังดนตรี ฟังเพลง แล้วไปแอบอ้างเอาเรื่องราวซึ่ง อุลมาทั้งหลายมีความเห็นไม่ตรงกัน มา ตลบแตลงหลอกผู้คน   มีมุสลิมผู้ใดในสมาชิกของห้องนี้ที่ไม่เคยดูหนัง,ฟังเพลง, ร้องเพลง, หรือเป่าหีบเพลงบ้าง  ถ้าไม่หลอกตัวเอง....มีใครที่ไม่เคยใช้สวมใส่หรือจับต้องผ้าไหมบ้าง? คุณอาจจะหลอกผู้ใดก้ได้แต่หลอกตัวเองไม่ได้   "การดนตรีไม่มีข้อห้ามในอัลกุรอานและหลักการที่แท้จริงของอิสลาม" ........................ ต่อไปนี้เป็นการละหมาดที่ไม่จำเป็นต้องใช้ฮาดีษ ทั้งนี้เพราะว่า "ฮาดีษไม่มีการรวบรวมหรือบรรยายการสอนละหมาดของท่านรอซูล"  ท่านรอซูลไม่เคยสอนการทำละหมาดให้กับผู้ใด  เพียงแต่มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า เคยเห็นท่าน ทำอย่างไร?  แม้กระนั้นก็ตามผู้ที่ เรียกตัวเองว่า ละหมาดตามฮาดีษ  ก็ยังทำการละหมาดไม่เหมือนกัน ในบาง มัสยิด และบางคณะของมุสลิมในสังคมไทย     ต่อไปนี้เป็นการละหมาดที่ทำสืบเนื่องกันมาเป็นพันๆปีและมีข้อกำหนดอยู่ในอัลกุรอาน...(ในกระทู้นี้จะไม่นำเรื่องการละหมาดมากล่าวอีกต่อไปแล้ว เป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย ที่ไม่มีที่สิ้นสุดสำหรับผู้ที่ขาดความเข้าใจ) ...... The Quran teaches us in many suras that Submission (in Arabic "Islam") is the religion of Abraham (2:135, 3:95, 4:125, 6:161 and 22:78). Muhammad was a follower of Abraham, as we learn from 16:123. All religious practices in Submission (Islam) were given to us through Abraham; they include: (1)   the five daily Contact Prayers (Salat), (2)   the obligatory charity (Zakat), (3)   the fasting during Ramadan, and (4)   the Hajj Pilgrimage to Mecca. Specifically, we learn from the Quran (21:73) that the Contact Prayers (Salat) and the obligatory charity (Zakat) were given to Abraham. Numerous verses throughout the Quran inform us that the Contact Prayers were in existence, intact, and practiced before the advent of Muhammad (see for example 8:35 & 9:54). All positions of the Contact Prayers are found in the Quran, including the standing position (3:39, 39:9), the bowing and prostration positions (Rukoo' and Sajood) (2:43, 3:43, 9:112, 22:26,77). The Five Times Are Specified in the Quran (1)  The Dawn Contact Prayer is mentioned by name in 24:58. Before sunrise. (2)  The Noon Contact Prayer is specified in 17:78. When the sun declines. (3)  The Afternoon Contact Prayer is in 2:238. Midway between noon & sunset. (4)  The Sunset Contact Prayer is mentioned in 11:114. Immediately after sunset. (5)  The Night Contact Prayer is in 11:114, and is mentioned by name in 24:58. จากคุณ : แมทท์ - [ 23 ก.ย. 51 07:16:21 ]

ความคิดเห็นที่ 16 The Call to Prayer (Azaan) Azaan is not part of the Contact Prayers, nor is it required. But it has become a tradition in the Muslim communities to summon the people to prayer through a loud announcement. The original Azaan used to conform with the Quran's teachings, but became corrupted with time. Originally, the call to prayer consisted of: (1)  Allahu Akbar (God is Great), 4 times. (2)  Laa elaaha Ellaa Allah (There is no god beside God), once. Many years later, some people added Muhammad's name to the Azaan. This violates God's commandments in 2:136, 2:285, 3:84, 4:150 and 72:18. Later, other groups of Muslims added the names of Ali and family. Today the Azaan is severely corrupted throughout the Muslim world, and constitutes idol worship, not Submission to God ALONE. The Correct Azaan If you pray by yourself, an Azaan is not needed. The Azaan is usually observed when a group of people are ready to observe the prayer. One person stands up and utters the Azaan words, or chants them as follows: Allahu Akbar, Allahu Akbar (God is great, God is great). Allahu Akbar, Allahu Akbar. Laa Elaaha Ella Allah (There is no god besides God). Preparation for the Contact Prayer (The Ablution) O you who believe, in preparation for the Contact Prayer, you shall (1)  wash your faces, (2)  wash your arms to the elbows, (3)  wipe your heads with wet hands, and (4)  wash your feet to the ankles.                      [Quran 5:6] Like all other aspects of Submission, the Muslims have corrupted the ablution by adding unauthorized steps. Ironically, the innovations became vested with such authority that anyone who questions them finds himself accused of innovation!! It is therefore crucial to uphold God's commands by strictly observing the ablution decreed in the Quran. Any additional steps represent another god besides God. The Major Ablution Following any sexual activity that results in a climax (orgasm/ejaculation), one must bath or take a shower (4:43). The Dry Ablution (Tayammum) If water is not available, one must touch clean dry soil, then wipe his hands and face. This suffices as a substitute for ablution (4:43, 5:6). What Nullifies Ablution Digestive excretions through the intestines, including gas, solids, or urine nullify ablution. Sleeping also nullifies ablution, since one becomes unaware. Thus one may observe a number of Contact Prayers with one ablution, provided he or she does not go to the bathroom, pass gas, or fall asleep. HOW TO PERFORM THE CONTACT PRAYERS 1.  Face the direction of Mecca (Qiblah): This is an organizational point decreed by God in 2:125. God wills that all submitters must face the same direction when they observe the contact prayers. In the U.S.A., the direction is slightly South of East. จากคุณ : แมทท์ - [ 23 ก.ย. 51 07:17:31 ]

ความคิดเห็นที่ 17 2.  The Intention In your own language, secretly or audibly, state your intention that you are about to observe the Contact Prayer. Remember to state the time (Dawn, Noon, Afternoon, Sunset, or Night). 3. Raise your hands to the sides of your face: Your thumbs touch your ears, and the palms of your hands face forward. 4.  Say "Allahu Akbar".           As you raise your hands to the sides of your face, then move them down to your sides in a continuous motion, you say, "Allahu Akbar" (God is Great). This opens up the prayer. You are in contact with your Creator. 5. The Standing Position: You are now standing with you arms resting naturally at your side. Some people place the left hand on the stomach, and the right hand on top of the left hand. Either position is correct - you may place your hands on your stomach while standing, or you may let your arms hang down by your sides. 6. Recite "The Key" (Sura 1) in Arabic: We learn from 2:37 that God gives us the words by which we establish contact with Him. We must utter the specific sounds dictated in "The Key". A translation of "The Key" would be human-made. The Arabic sounds of "The Key" represent a numerical combination that opens the treasure. Like a telephone number, unless a specific numbers are dialed, contact cannot be established. This is all the Arabic you need. Everything else can be said in your language. Reciting "The Key" in Arabic unifies all Submitters of the world, regardless of their languages. [The Key] 1. BISMIL LAAHIR RAHMAANIR RAHEEM.      (In the name of GOD, Most Gracious, Most Merciful) 2. AL HAMDU LILLAHI RABBIL `AALAMEEN.      (Praise be to GOD, Lord of the universe) 3. AR RAHMAANIR RAHEEM.    (Most Gracious, Most Merciful) 4. MAALIKI YAWMID DEEN.    (Master of the Day of Judgment) 5. EYYAAKA NA`BUDU, WA EYYAAKA NASTA`EEN.    (You alone we worship; You alone we ask for help) 6. EH'DENAS SIRAATAL MUSTAQEEM.    (Guide us in the right path) 7. SIRAATAL LAZINA AN`AMTA `ALAYHIM; GHAYRIL      MAGHDOOBI `ALAYHIM WALADDAALEEN.    (the path of those whom You blessed; not of those who have deserved    wrath, nor of the strayers) Since "The Key" is recited 17 times a day, it will become easy for you to recite and understand in a few weeks; it will become like your mother tongue. 7. The bowing position (Rukoo) After reciting "The Key" while standing, you bow down into the position of Rukoo`. As shown in the figure, you bow down from the waist, keep the knees straight, and place your hands on your knees. Your eyes look at a point about 2 feet in front of you. As you move from the standing position to the bowing position you say, "Allahu Akbar". While bowing you say "Subhaana Rabbiyal Azeem" or "Glory be to God, the Great" or "God be glorified" for short. 8  Stand Up:   As you stand up from the bowing position to the standing position you say, "Sami`Allahu Liman Hamidah" or "God responds to those who praise Him".   You stay in the standing position only a second, then you fall prostrate. As you go from the standing position to the prostration position you say, "Allahu Akbar". 9. The Prostration Position (Sujood): From the standing position you go down on your knees, then place your forehead on the floor about 1-2 feet in front of your knees. During prostration you say, "Subhaana Rabbiyal A`laa" or “Glory be to God, the Most High”  or "God be glorified" for short 10.  The Sitting Position. As you sit up from the prostration position, you say, "Allahu Akbar." You remain in the sitting position only for a second, then you go down for the second prostration. As you go down for the second prostration you say, "Allahu Akbar." During the second prostration you say, "Subhaana Rabbiyal A`laa" or “Glory be to God, the Most High”  or "God be glorified" for short  Once you complete the second prostration, you have completed one full unit (Rak`ah). 11.  Stand up for the second unity (Rak`ah). As you stand up you say, "Allahu Akbar." The Dawn Prayer This Contact Prayer consists of 2 units. Repeat steps 5 through 11. Thus, when you get from the second prostration you say, "Allahu Akbar," and assume the sitting position. While in the sitting position you pronounce the First Pillar of Submission, the shahhaadah: Ash-Hadu An Laa Elaaha Ellaa Allah, Wahdahu Laa Shareeka Lah.   (I bear witness that there is no other god beside God. He ALONE is God; He has no partner). Look to the right and say, "Assalaamu Alaikum," then to the left and say the same. This completes the Dawn Prayer. The Noon Prayer This prayer consists of 4 units. Thus, you do the first two units exactly as explained for the Dawn Prayer up to the sitting position. You pronounce the First Pillar (known as "Shahaadah") then you stand up for the third unit. You do not utter the Salaams (Assalamu Alaikum). As you stand up for the third unit you say, "Allahu Akbar." The third and fourth units are identical to the first two units. When you get up from the second prostration of the fourth unit, you say "Allahu Akbar" and you assume the sitting position. In the sitting position you pronounce the Shahaahah, and you say the Salaams on both sides. This concludes the Noon Prayer. The Afternoon Prayer This prayer is identical to the Noon Prayer. Only the "Intention" of course is different. The Sunset Prayer This prayer consists of three units. Steps of each unit are just as detailed above. Thus, when you complete the second prostration of the second unit, you assume the sitting position, recite the Shahaadah, then you continue to the third and last unit. After the second prostration of the third unit, you assume the setting position,  recite the Shahaadah again, then utter the Salaams on both sides. This concludes the Sunset Prayer. The Night Prayer This prayer is identical with the other 4-unit prayers, the Noon and the Afternoon Prayers. The Contact Prayers and The Quran's Mathematical Code As noted above, the Dawn, Noon, Afternoon, Sunset, and the Night Prayers consist of 2, 4, 4, 3, & 4 units, respectively. When we put these 5 numbers next to each other we get 24434, and this number is a multiple of 19 (24434 = 19 x 1286). The common denominator of the Quran's code is 19. This phenomenon confirms that the number of units for each Contact Prayer has been preserved intact, but the sequence 2, 4, 4, 3, and 4 is also confirmed. Your Tone of Voice During the Contact Prayers You shall not be too loud during your Contact Prayers, nor shall you say them secretly; you shall maintain an intermediate tone [17:110]. During a group prayer, only the Imam is audible; everyone else listens. The Group Prayer Two or more people may observe the Contact prayers together. One person leads the group prayer, uttering "The Key" in a loud enough voice to be heard by everyone in the group. Other utterances must be silent. Anyone may join the group late, in the middle of the prayer. He or she must make the same moves as the group. Then, at the end of the prayer, he or she must stand up and make up whatever portion was missed. The Friday Prayer The Friday Congregational Prayer (Salat Al_Jum`ah) is so important, a whole sura is entitled "Friday" and a commandment is decreed in Verse 62:9 to observe this prayer. Every Submitter - man, woman, and child - is commanded by God to observe the Friday Congregational Prayer. The Friday Prayer replaces the Noon Prayer every Friday. Instead of 4 units, the Friday Prayer consists of listening to two sermons delivered by the Imam, and two units of prayer. Each sermon must begin with "Al-Hamdu Lillah" (Praise be to God), "Laa elaaha Ellaa Allah" (No other god besides God). Each sermon should last 10-15 minutes and must be delivered in the language of the congregation. At the end of the first sermon, the congregation is asked to repent, "Tooboo Ela Allah." The Imam then sits down for about a minute and makes his repentance together with the congregation, then stands up for the second sermon. The second sermon ends by asking one of the people to say Azaan. The Imam leads the 2-unit prayer. At the end of every Prayer The worshippers may shake hands, hug each other, and /or exchange greetings after completing the prayer. The custom is to say to each other, "Congratulations." This is because the Contact Prayers are a gift from God, that helps us nourish and develop our souls. One should be congratulated upon completing such a blessed accomplishment. หวังว่าคุณคงศึกษาและทำคววามเข้าใจวิธีการละหมาดที่ระบุไว้ในอัลกุรอานที่ ทำติดต่อกันมา  เป็นเวลา1400 กว่าปี ก่อนหน้าที่ "ฮาดีษ" จะถูกมนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น. แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 51 07:46:52 จากคุณ : แมทท์ - [ 23 ก.ย. 51 07:20:26 ]

ความคิดเห็นที่ 18 แมทท์เพ้อเจ้ออะไรมิทราบ อ้อ!! กำลังเผยแผ่ลัทธิ Mattism อยู่น่ะเอง มีสาวกกี่คนแล้วล่ะครับ ผ้าไหมอนุมัติแก่สตรีนะครับ หากผู้ชายซื้อผ้าไหม มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาสวมใส่เองนี่นา เขาอาจซื้อให้ภรรยา ลูกสาว มารดา ญาติ หรือเพื่อนฝูงก็ได้ ท่านอิบนุมาญะห์ได้รายงานจากท่านอาลี (ร.ด.) โดยท่านกล่าวว่า ความว่า: ฉันเห็นท่านศาสดา (ศ็อลฯ) จับ (ถือ) ผ้าไหมมือขวา และทองคำในมือซ้าย แล้วกล่าวว่า “ทั้งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับประชาชาติของฉันที่เป็นผู้ชาย และเป็นที่อนุมัติสำหรับสตรี” และเกี่ยวกับเรื่องผ้าไหมนี้ ท่านอิหม่ามบุคอรีย์ และมุสลิม ได้รายงานไว้ว่า ความว่า: “พวกท่านอย่าสวมใส่ผ้าไหม แท้จริงผู้ใดสวมใส่มันในโลกนี้ เขาจะไม่ได้สวมใส่มันในโลกหน้า” จากคุณ : DJC - [ 23 ก.ย. 51 09:49:52 ]

ความคิดเห็นที่ 19 แปลไม่ออกครับพี่ ภาษาไทยไม่มีหรือครับ เอ เทคนิคการสื่อสารยังไงให้สัมฤทธ์ผล พี่น่าจะเรียนตั้งแต่ ป.ขี้ไก่ แล้วน่า ช่วยทำให้ผมซึ่งเป็นคนไม่รู้เข้าใจง่ายๆหน่อยสิ ไม่น่าเป็นเรื่องยากสำหรับ ผู้มีประสบการสูงอย่างพี่นะ มีตรงไหนหรือพี่ในกุรอ่านเอามาให้ชัดๆ ที่บอกว่า ต้องละหมาด 5 เวลา เวลาไหนบ้าง แต่ละเวลามีกี่รอ่กาอัต อ่านอะไรบ้างในแต่ละช่วง ละหมาดท่าทางอะไร อะไรขึ้นก่อน อะไรขึ้นที่หลัง มีอะไรบ้างที่ต้องทำในช่วงละหมาด อะไรบ้างอณุญาติให้ทำในช่วงละหมาด อะไรบ้างไม่สนับสนุนให้ทำในช่วงละหมาด อะไรบ้างห้ามทำในช่วงละหมาด อะไรบ้างสนับสนุนให้ทำในช่วงละหมาด คุณสมบัติผู้ที่ต้องทำการละหมาดมีอะไรบ้าง อะไรบ้างทำให้การละหมาดเสียหาย อะไรเป็นข้อยกเว้นในการละหมาด ขอชัดๆนะพี่ เป็นลายลักษณ์อักษร ในกุรอ่าน ที่ว่าทำตามกันมาจากนบีอิบรอฮีม ถ้ามีบันทึกเป็นลายลักษ์อักษร และมีกระบวนการที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นจริงก็เอามาดูหน่อยสิพี่ อยากเห็นจังเลยคร้าบ จากคุณ : ghanee.s - [ 23 ก.ย. 51 09:53:13 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ที่ท่าน ghanee ถามนั้น มีเหตุผลครับ เพราะละหมาดเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุด แต่กลับบอกไม่ได้ว่า ละหมาดนั้น มีกี่รอกาอัต มีกี่เวลา และอาซานอย่างไร รูปแบบอาซานเป็นอย่างไร แล้วจะอ้างตัวเองว่าเป็นมุสลิมได้อย่างไร และที่สำคัญ กระทู้นี้ถามถึงหลักการของอิสลาม กลับมีกาเฟรฺมาตอบประหนึ่งว่าเขานั้นเป็นมุสลิม และมีความรู้ทางอิสลามอย่างถูกต้อง ทั้งที่ไม่เลย ความรู้อาหรับมีแค่ไหน ความรู้ด้านศาสนาแม่ขนาดไหน ก็ไม่รู้ แต่กลับวิจารณ์กล่าวหาบรรดาผู้รู้ในอิสลามนะครับ แล้วมาบอกว่า มุสลิมท่านอื่นเป็น มุนาฟิก แต่รู้หรือไม่ว่า มุนาฟิกคืออะไร ใช้กับกรณีไหน นี่คือความหาายนึงของมุนาฟิกนะครับ -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- นิฟาก คือ การหน้าไหว้หลังหลอก กลับกลอกโกหก เป็นชนิดหนึ่งของการหลออกลวง ใช้อุบาย โดยแสร้งทำสิ่งหนึ่งออกมา แต่แฝงความคิดที่แท้จริงไว้ภายใน หรือคิดอย่างแต่ทำอีกอย่างโดยมีเจตนาร้ายนั่นเอง ในทางศาสนบัญญัติแล้วจะแบ่งนิฟากเป็นสองประเภทคือ นิฟากในทางความเชื่อ ความศรัทธา และนิฟากในทางพฤติกรรม ซึ่งประเภทแรกคือ การที่คนหนึ่งแสร้งตนเข้ามาเป็นมุสลิม แต่แฝงการปฏิเสธไว้ภายในเพื่อบ่อนทำลายอิสลาม แล้วด้วยพฤติกรรมนี้เอง ถือเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุดในมุมมองของศาสนา ในอัล-กุรฺอานได้กล่าวถึงลักษณะของคนประเภทนี้ไว้หลายครั้ง หลายที่ด้วยกัน ส่วนหนึ่งจากที่อัลลอฮฺได้เล่าให้เราได้ฟังก็คือโองการที่ 14 ของซูเราะฮฺ อัล-บะก่อเราะฮฺที่มีความว่า “และเมื่อพวกเขา ได้พบบรรดาผู้ศรัทธา พวกเขากล่าวว่า เราก็เป็นผู้ศรัทธา แต่เมื่อพวกเขาอยู่ตามลำพังกับบรรดาหัวโจกของพวกเขา พวกเขาก็จะกล่าวว่า แท้จริง เราอยู่กับพวกท่าน เราเพียงแต่ จะเยาะเย้ยคนพวกนี้เท่านั้น” ลักษณะดังกล่าวตรงกับ คุณแมทท์ครับ ที่แสร้งทำเป็นมุสลิม แต่ กลับบ่อนทำลายอิสลามแบบนี้ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ซึ่งนั่นไม่ใช่ลักษณะของมุสลิมผู้ที่ดูหนังฟังเพลงเนื่องจาก การกระทำนั้น ไม่ใช่เกิดจากการ กลับกลอก ตลบแตลง ต่อหน้าอย่างหนึ่งลับหลังอย่างหนึ่ง แต่เป็นการฝ่าฝืนหลักศาสนาเท่านั้นครับ และคำพูดที่ว่า ฮะดีษไม่เคยรวบรวมหรือบรรยายการสอนละหมาดของท่านรอซู้ลนั้น โกหก ครับ เป็นการโกหกอย่างน่ารังเกียจ นี่เป็น 1 ในฮะดีษนั้น รายงานจากท่านบีฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุเล่าว่า : ท่านนบีมูฮำหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า ﴾ เมื่อท่านต้องการละหมาด  จงทำการอาบน้ำละหมาดให้สมบูรณ์ หลังจากนั้นจงผินหน้าไปทางกิบลัต แล้วตักบีร  หลังจากนั้นอ่านซูเราะฮฺที่ง่ายสำหรับท่าน หลังจากนั้นจงก้มรุกั๊วะอฺแล้วหยุดนิ่งครู่หนึ่ง  หลังจากนั้นจงเงยขึ้นยืนตรงครู่หนึ่ง แล้วก้มลงสุหญูดพร้อมกับหยุดนิ่งครู่หนึ่ง  หลังจากนั้นจงเงยขึ้นนั่งพร้อมกับหยุดนิ่งครู่หนึ่ง  แล้วก้มลงสุหญูดพร้อมกับหยุดนิ่งครู่หนึ่ง และจงทำดังกล่าวนั้นในทุกๆ การละหมาดของท่าน ﴿ บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ มุสลิมอะฮฺหมัด อบูดาวูดติรมีซีย์ นะซาอีและอิบนิมาญะฮฺ http://www.annisaa.com/forum/index.php?topic=406.0 เป็นการโกหกอย่างหน้าด้านๆ แค่ไหนดูเอาเองนะครับ เพราะฮะดีษนี้ ท่านนบี สอนการละหมาดกันตรงๆ เห็นกันชัดๆ อ่านแล้วรู้ได้ทันที จากคุณ : Carroth - [ 23 ก.ย. 51 09:54:17 ]

ความคิดเห็นที่ 21 และการที่แมทท์ อ้างว่าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ และจะไม่นำมากล่าวอีกในเรื่องละหมาดนั่นเพราะ ละหมาดเป็นสิ่งยืนยัน ความตลบแตลง ของแมทท์ได้เป็นอย่างดีเพราะ คำถามนี้ ถามขึ้นเมื่อไหร่แมทท์จะตอบไม่ได้ในทันที ว่าละหมาดอย่างไรไม่อาศัยฮะดีษ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ถึงกับเอา ภาษาอังกฤษมาให้อ่าน กะว่าให้คนที่ อ่านภาษาอังกฤษไม่ได้ หรือ ไม่อยากอ่านภาษาอังกฤษนั้น เกิดความขี้เกียจในการอ่าน จะได้เหมือนกับว่ามีข้อมูลมาคัดง้าง แต่ทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นแค่เล่ห์กลเพื่อเลี่ยงประเด็นเท่านั้น เพราะที่เอามา ไม่ได้มีอะไรลงรายละเอียดเลยว่า ละหมาดแท้จริงมีกี่ รอกาอัต และกี่เวลา มีแต่มาสนับสนุน เท่านั้น ต่อไปนี้ผมจะนำบทความของผู้รู้ ที่เคยพูดเรื่องนี้กับแมทท์ และแมทท์ได้จนแต้ม คากระดานมาแล้ว และไม่ตอบเรื่องละหมาดอีกเลย เพราะไม่มีความสามารถใดจะตอบได้ และคนที่อ้างตัวเองว่าเป็นมุสลิมแต่กลับตอบเรื่องละหมาดไม่ได้ จะให้เรียกว่าเป็นมุสลิมได้อย่างไร --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- -------------------------------------------------------------------------------- เรียน จานแมทท์ ขอบคุณครับที่ พยายาม ตอบเรื่องการละหมาด แต่ก็ยังอุตส่าห์พ่วงปัญหาอื่นมาล่อให้เขวได้อยู่เรื่อยเหมือนกัน ก็เอาละครับ ผมจะพยายามไม่หลุดออกไปนอกกรอบ คือเรื่องละหมาด กับ 7-8 ข้อที่ผมค้างไว้(กับพี่น้องมุสลิมของผม อาจานไม่เกี่ยว) มาว่าตามประเด็นก่อนนะครับ ในเรื่องการละหมาดที่จานตอบมาเกี่ยวกับการกำหนดเวลาละหมาด ก่อนอื่นขอย้อนถึงที่ผมทิ้งท้ายไว้คราวก่อนว่า การละหมาดที่สืบทอดกันมานั้น มิได้ด้วนอยู่แค่ที่นบีอิบรอฮีม แต่มีมาตั้งแต่ยุคก่อนหน้านั้นสืบย้อนไปถึงนบีอาดัมเลย ..... เรื่องนี้ จานไม่ได้กล่าวถึงอีก ดังนั้นผมขอสรุปว่า ในประเด็นนี้ จานยอมรับว่าสิ่งที่จานเสนอมานั้นผิด และของผมถูก .... เช่นนี้ถูกต้องมั้ยครับ ... ถ้าไม่ตอบอีก ถือว่า ถูกต้องนะครับจะได้จบไปเป็นเรื่องๆ ต่อไปก็คือ .... “การกำหนดเวลา ใน อัลกุรอาน เป็นการกล่าวถึง เวลา ละหมาด จากการปฏิบัติที่ กระ ทำ อยู่ เป็น ประจำวัน, ช่วงเวลา ในเวลาละหมาด ถือว่าเป็นที่ เข้าใจกัน เนื่อง จาก มุสลิม จะต้อง ทราบเวลาในการละหมาดอยู่แล้ว, รวมทั้งท่านรอซูลด้วย, ทั้งนี้เพราะเหตุว่าเป็นหน้า ที่ ของ มุส ลิม ที่จะ ต้อง กระทำ ตั้งแต่ สมัยก่อน “ท่านรอ ซูล มูฮัมมัด”, ซึ่งมีการละหมาดวันละ 5 เวลา อยู่ แล้ว” (matt : พ. มีค. 30, 2005 9:31 am) ก็ได้ครับ.... สมมุติว่ายุคนบีเขารู้กันอยู่แล้วว่า ต้องละหมาด 5 เวลา เพราะท่านนบีอยู่กับพวกเขาด้วย ท่านย่อมต้องยืนยันได้ว่าที่เศาะหาบะฮฺปฎิบัติกันอยู่นั้นถูกต้อง คำถามคือ เมื่อท่านนบีเสียชีวิต บรรดาเศาะหาบะฮฺคนที่เคยเจอกับท่านนบีตายกันไปหมด หลังจากนั้นจะเอาอะไรมายืนยันครับว่า 5 เวลาถุกต้อง เพราะตามศาสนา Mattism ของจานน่ะ รับฟังคำบอกเล่าจากใครหน้าไหนไม่ได้เลยนอกจากอัลกุรอาน ปู่บอกพ่อมา พ่อมาบอกผมก็ยังเชื่อไม่ได้เพราะนั่นคือ “หะดีษ” ที่ห้ามยึดถือ เพราะฉะนั้นที่เศาะหาบะฮฺบอกต่อแก่ชนรุ่นต่อๆมาก็เชื่อไม่ได้อีกเช่นกันนอกจากจะต้องมีระบุเป็นลายลักษณ์อักษรในอัลกุรอานเท่านั้น ซึ่งจะว่าไปแล้วแม้แต่ที่ท่านนบีจะยืนยันอย่างไรกับเศาะหาบะฮฺก็ยังเชื่อไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะนบีไม่ใช่อัลลอฮฺ อาจจะเป็นการบอกเล่าตามอารมณ์ของท่านนบีก็ได้(อัสตัฆฟิรุลลอฮฺ – ขออัลลอฮฺทรงอภัยที่จำเป็นต้องอ้างด้วยถ้อยคำนี้) ตรงนี้ละครับที่เป็นที่มาของคำถามเดิมๆของผมว่า จะทราบได้อย่างไรว่าต้องละหมาด 5 เวลา เพราะตามที่จานเสนอมาว่าละหมาดนั้น ละหมาดนี้ถูกระบุอยู่ในอัลกุรอานครบ 5 เวลานั้น มันตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่า มี 5 เวลา แล้วก็ไปหาเอาดิ ว่า 5 เวลานั้นอยู่ตรงไหนมั่ง มันก็ต้องเจอตามที่จานว่ามานั่นแหละ แต่ถ้าไม่รู้มาก่อน อย่างผมเนี่ย ไม่ค่อยประสีประสาอะไร อยู่ๆเอากุรอานมาให้นั่งอ่านเอาเอง ไม่ต้องไปถามไปไถ่ใคร อ่านเอาเอง เข้าใจเอาเอง จะรู้มั้ยว่าต้องละหมาดกี่เวลา เพราะถ้าจะให้หาจากอัลกุรอานโดยไม่มีอะไรบอกให้รู้มาก่อน จะพบว่า มีหลายๆอายะฮฺที่กล่าวถึงช่วงเวลาต่างๆที่มันสอดคล้องกับช่วงเวลาของการละหมาด เช่น วัลฟัจญร์ - ขอสาบานด้วยยามรุ่งอรุณ" วัลอัศร์ - - ขอสาบานด้วยเวลาเย็น" วัลลัยล์ - ขอสาบานด้วยยามค่ำคืน" อันนี้ก็ตรงกับ 3 ใน 5 เวลาละหมาด ที่จานอ้างมาแล้วใช่มั้ยครับ พอมาเจอสำนวนเดียวกันว่า วัฎฎุหา - - ขอสาบานด้วยยามสาย" ก็น่าจะเข้าใจได้ว่าเป็นอีกช่วงเวลาที่จะต้องละหมาดได้เหมือนกัน กลายเป็น 6 แล้วสิ ??? มาตามล่าหาความจริงกันต่อไปนะครับ อัลลอฮฺบอกว่า และจงสดุดีด้วยการสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าก่อนการขึ้นของดวงอาทิตย์ และก่อนมันตก (50:39) ให้สดุดีสรรเสริญก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น .... มันตรงกับละหมาดศุบห์นี่นา แล้วสดุดีสรรเสริญก่อนดวงอาทิตย์ตก .... ก็ตรงกับละหมาดอัศร์ โดยอัลกุรอานใช้คำว่า งั้นเราก็จะได้เบาะแสว่า ตัสเบียะห์ หมายถึง ละหมาดเหมือนกัน...แล้วมาดู และจงรำลึกถึงพระเจ้าของเจ้ามาก ๆ และจงกล่าวสดุดีในความบริสุทธิ์ของพระองค์ ทั้งในเวลาอะชีย์และเวลาอิบการ์ (3:41) และจงแซ่ซ้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้าทั้งในเวลาอะชีย์และเวลาอิบการ์ (40:55) เอาละสิ ... ได้เพิ่มมาอีก 2 เวลา "อะชีย์" กับ "อิบการ์" อะชีย์ ก็ เย็นๆ แต่มัน เย็นเดียวกับอัศริรึป่าว ถ้าเป็นคนละเย็นแล้วมันก่อนหรือหลังอัศริ จะเบียดจะแบ่งช่วงกันยังไง..ต้องไปถามอุละมาอ์..เอ๊ย ไม่ใช่..เพราะอุละมาอ์เชื่อถือไม่ได้สักคน งั้นโน่นเลย ไปถามนบีอิบรอฮีม..ชัวร์สุดๆ อิบการ์ ก็เหมือนกัน ตอนเช้าๆ จะแบ่งช่วงเวลากันยังไงกับศุบห์และฎุหาถ้ามันคือคนละล็อกเวลากัน แล้วถ้าทั้งสองคำนี้เป็นช่วงเดียวกับสองในห้าเวลาละหมาด คือ อัศร์และ ศุบห์ ก็น่าจะใช้คำเดียวกันที่มันสื่อให้เข้าใจง่ายๆ เพราะกุรอานนี้ต้องง่ายแก่การเข้าใจ.... ดังนั้นน่าจะสรุปได้ว่า นี่เป็นอีกสองเวลาต่างหากจากที่อ้างข้างต้น ถึงตรงนี้เราก็ได้ 8 เวลาละหมาดแล้วนะ มาตามกันต่อไปครับ .... และจงแซ่ซร้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้า ก่อนตะวันขึ้นและก่อนตะวันลับลงไป และส่วนหนึ่งจากเวลากลางคืน ก็จงแซ่ซร้องสดุดีและปลายช่วงของเวลากลางวัน เพื่อเจ้าจะได้พออกพอใจ (20:130) ก่อนอาทิตย์ขึ้น ก่อนอาทิตย์ตก ... ok นั่นอยู่ในเวลาที่อ้างแล้วข้างต้น ท่อนต่อจากนั้นล่ะ... ส่วนหนึ่งจากกลางคืน ... คงจะเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่แบ่งกันกับอิชาอ์ ปลายช่วงของกลางวัน ... ยังนึกไม่ออกนะครับว่าจะแบ่งกับเวลาไหน แต่ก็คงเป็นอีกหนึ่งเวลาละหมาดเหมือนกัน เป็นอันว่าเราได้เพิ่มมาอีก 2 เวลา เป็น 10 เวลาละหมาดแล้ว และส่วนหนึ่งของกลางคืน ก็จงแซ่ซ้องสดุดีพระองค์ และเมื่อยามคล้อยลับของหมู่ดวงดาว (52:49) ส่วนหนึ่งจากกลางคืน กับ เมื่อดวงดาวคล้อยลับ ตามสำนวนในอายะฮฺนี้แสดงว่ามันเป็นคนละช่วงเวลาแบ่งแยกออกจากกัน ถ้าขี้เกียจนักก็เอา ส่วนหนึ่งจากกลางคืนตรงนี้ไปโปะรวมกับช่วงใดช่วงหนึ่งที่แจกแจงมาแล้วข้างต้นก็ได้เพราะเราไม่รู้นี่ว่าใช่หรือไม่ใช่ นบีก็ไม่อยู่แล้ว หรือถ้าขยันหน่อยจะแยกเป็นอีกช่วงหนึ่งเราก็ได้เพิ่มมาอีก 2 เวลา รวมเป็น วันละโหลพอดี! ดังนั้นถ้าไม่รู้มาก่อนว่าละหมาดมีอยู่ 5 เวลา แล้วเราใช้ขี้เลื่อยในกระโหลกหนาๆที่ติดหัวมาตอนเกิดคิดเดาเอาเองอย่างนี้ จะถูกมั้ยครับ โปรดเข้าใจนะครับ นี่ผมว่าไปตามตรรกะที่ศาสนา Mattism "เสี้ยมสอน" ไว้เป๊ะเลยนะครับ .... คือ การใช้ความคิดเห็นตีความบัญญัติศาสนา...โดยไม่ต้องอิงหะดีษ จะถูก-จะผิด ยังไง ช่างมัน! ต้องคิดเอง .... เออ เอง เท่านั้น ดังนั้นโปรดชี้แนะให้ชัดเจนด้วยครับว่า “5 เวลา” มาจากไหนแน่? โดยท่าน AlGhuraba --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ถ้าจะเอากุรอ่าน มาตีความโดยไม่รู้เรื่องมาก่อนเลยว่า ละหมาดมี 5 เวลา ล่ะก็ จะได้ การละหมาดเป็นสิบเวลาครับ และอย่ามาอ้างว่าทำตามประเพณี นั่นเพราะถ้าทำตามประเพณีเท่ากับนั่นเป็นการตามฮะดีษรูปแบบนึงครับ เพราะอยู่นอกไปจากกุรอ่านสุดท้าย ถึงจะอ้างประเพณี ก็เท่ากับว่า แมทท์ไม่สามารถละหมาดโดยอาศัยกุรอ่านอย่างเดียวได้อยู่ดี  การบอกว่าอาศัยแค่กุรอ่านแต่ไม่เอาฮะดีษ(แบบอย่างนบี) ก็ละหมาดได้นั้น เป็นเรื่องโกหก ทั้งเพครับ สรุปได้ว่า ใครก็ตามที่ไม่เอาฮะดีษ(ไม่เอานบี) คนนั้น นับเป็นมุสลิมไม่ได้ครับ จากคุณ : Carroth - [ 23 ก.ย. 51 10:05:54 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ฟังเพลงเพราะๆกันดีกว่าครับ "ฮาดีษก็เป็นแค่สิ่งที่มนุษย์เขียนขึ้นมาเท่านั้น คุณเอาสิ่งที่เป็นเรื่องเล่ามาอ้างอิงมันก้ตอบโต้ไม่มีสิ้นสุดหลอกครับ" กระทู้นี้เกี่ยวกับเรื่องอิสลาม ฟังหรือเล่นดนตรีได้หรือไม่ ...ก็ลองฟังดูซิครับ http://www.youtube.com/watch?v=r5FMp2xSaT0 http://www.youtube.com/watch?v=AVpRRaUw6_c http://www.youtube.com/watch?v=-kE1GPFhNOY http://www.youtube.com/watch?v=w3wef_F_xvg http://www.youtube.com/watch?v=X1vHgVrTGEE http://www.youtube.com/watch?v=zDioxdhhsM0 หวังว่าทุกๆท่านคงสนุกสนานกับเสียงเพลงและการบรรเลงดนตรีของทั้งไทยมุสลิมและอรับมุสลิมนะครับ......สวัสดีครับ แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 51 10:20:18 จากคุณ : แมทท์ - [ 23 ก.ย. 51 10:12:50 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ตรงไหนของกุรอ่านบอกว่า ละหมาดต้องอ่านฟาติฮะ บอกโองการมาซิ? บอกได้มั๊ย ถามไปก็เงียบอยู่ดี ที่ถามเพราะ เมื่อปฏิเสธฮะดีษ คุณต้องบอกได้ว่า ละหมาดอย่างไร ถ้าบอกว่ากุรอ่านเพียงพอแล้วล่ะก็ รู้ได้อย่างไรว่า อ่านฟาติฮะในกุรอ่านนั้นจำเป็น ถ้าตอบไม่ได้ ยังไงฮะดีษก็จำเป็นครับ ถ้าบอกว่าไม่เอาฮะดีษแล้วหาไม่ได้ว่า กุรอ่านบอกตรงไหนว่าละหมาดมี 5 เวลา คุณก็ไม่ใช่มุสลิมแล้วล่ะครับ เพราะคุณละหมาดไม่ได้ คนไม่ละหมาด หรือละหมาดแบบอื่น จะบอกว่าเป็นมุสลิมได้ยังไง โกหกทั้งสิ้น ดังนั้น การจะมาอ้างว่า มุสลิมไม่เอาฮะดีษได้ หรือ บอกว่า “ฮาดีษก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาโดยความคิดของบุคคล โดย ห้ามในสิ่ง ที่พระเจ้าไม่ห้าม เนื่องจาก ในสมัยก่อนอุลมา ไม่เข้าใจ และ นึกไม่ถึงว่า จะมีเครื่องดนตรี ชนิดต่าง  เกิดขึ้น นอกเหนือไปจากกลอง เท่านั้น   การดนตรีเป็นสิ่งซึ่งมนุษย์ใช้สติปัญญาและปรีชาญาณ ที่พระเจ้าประทานให้มา เพื่อ สร้างสรรค์ ในสิ่งที่ดีงาม”(โดยแมทท์) ก็คงเป็นได้แค่คำพูดพล่อยๆ เพื่อหวังทำลายอิสลาม ของ มุนาฟิกประเภทหนึ่งเท่านั้น เพราะฮะดีษก็คือ เป็นการ ยืนยันโองการเหล่านี้ครับ 3:132) " และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา " (4:80) " ผู้ใดเชื่อฟังรอซูล แน่นอนเขาก็เชื่อฟังอัลลอฮฺแล้ว และผู้ใดผินหลังให้ เราก็หาได้ส่งเจ้าไปในฐานะเป็นผู้ควบคุมพวกเขาไม่ " (24:56) " และพวกเจ้าจงดำรงละหมาด และจงบริจาคอัซซะกาฮ์ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามรอซูล เพื่อพวกเจ้าจะได้รับควาเมตตา " (26:108) " ดังนั้นพวกท่านจงยำเกรงอัลลอฮฺ และเชื่อฟังฉัน" (นบีนุฮฺ) (4:59) " ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไปที่สวยยิ่ง " (4:69) " และผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮฺ และรอซูลแล้วชนเหล่านี้จะอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺทรงกรุณาเมตตาแก่พวกเขา อันได้แก่บรรดานบี บรรดาผู้ที่เชื่อโดยดุษฏี บรรดาผู้ที่เสียชีวิตในสงคราม และบรรดาผู้ที่ประพฤติดี และชนเหล่านี้แหละเป็นเพื่อนที่ดี " (33:71) " พระองค์จะทรงปรับปรุงการงานของพวกเจ้าให้ดีขึ้นสำหรับพวกเจ้า และจะทรงอภัยโทษความผิดของพวกเจ้าให้แก่พวกเจ้าและผู้ใดเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ แน่นอนเขาได้รับความสำเร็จใหญ่หลวง " รวบรวมมาจาก ท่าน nop ในเว็บ มรดกอิสลาม ถ้าแมทท์ ปฏิเสธฮะดีษเท่ากับปฏิเสธ กุรอ่าน ครับ ไม่ใช่ทำตามกุรอ่าน หรือยึดกุรอ่านเป็นหลัก อย่างที่ชอบอ้าง ดังนั้น การห้ามหรือไม่ห้าม ดนตรี นั้น ไม่ใช่จะมาเดาเอาเองตามใจครับเพราะนั่นก็เท่ากับทำตามอารมณ์ฝ่ายต่ำของตัวเองก็เท่านั้น แถมยังไปโจมตี บรรดาผู้รู้ สมัยก่อนอีกทั้งที่ตัวคนโจมตี ก็ไม่มีดีอะไรไปเทียบแม้แต่ขี้เล็บของพวกเขาเหล่านั้น ความรู้ในได้ภาษาก็น้อยนิด ในชีวิตก็ไม่ได้ใช้ภาษาอาหรับเป็นหลัก จะอ้างกุรอ่าน ก็ต้องเอามาจาก ภาษาอังกฤษ แล้วมันจะไปได้เรื่องอะไร นอกจาก พาคนอื่นไปลงเหว เอาแค่ละหมาด ให้เอาเฉพาะ กุรอ่านมาตอบ ก็ยังตอบมั่ว แล้วจะมาพูดเรื่องหลักการอื่นๆ อีก คนแบบนี้ มีอะไรให้น่าเชื่อถือ? จากคุณ : Carroth - [ 23 ก.ย. 51 10:22:31 ]

ความคิดเห็นที่ 24 การตอบโต้สิ้นสุดมาทุกกระทู้นั่นแหละครับ ถ้ามุสลิมถามคุณเรื่องละหมาด เพราะคุณจะหมดปัญญาตอบทันที เนื่องจาก ในอิสลาม คือ คำสั่งของอัลลอฮ์และแบบอย่างของท่านรอซู้ล ถ้าคิดจะตัดแบบอย่างของรอซู้ลออก ก็ต้องตอบเรื่องละหมาดให้ได้ครับ ถ้าตอบไม่ได้ ก็จบครับ สิ้นท่าในบัดดล บอกแล้ว กระทู้มุสลิม ถามมุสลิม ควรให้มุสลิมตอบครับ ถ้าความรู้ไม่มีพอ ก็อย่ามาตอบ เพราะมันจะทำให้คนเข้าใจอิสลามผิด จากคุณ : Carroth - [ 23 ก.ย. 51 10:25:18 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ถึง คุณ kuddle ครับ ยังไงก็ระวังไว้ด้วยนะครับ กระดานสนทนานี้ มีพวกแอบแฝง แอบเนียน ทำท่าจะเป็นมุสลิม แล้วพยายามพา คนอื่นๆ ออกนอกลู่นอกทางอยู่ ดังนั้น เวลาอ่านก็ดูด้วยว่ามุสลิมจริงมั๊ย และใครบอกว่าไม่เอาฮะดีษ(ไม่เอานบี) คนนั้นอย่าไปสนใจครับ รอคำตอบจากมุสลิมจริงๆดีกว่า ผมเป็นห่วง จากคุณ : Carroth - [ 23 ก.ย. 51 10:30:00 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนต่อสมาชิกต่างศรัทธาจากอิสลาม ตามบัญญัติในอัลกุรอานซึ่ง ผู้ศรัทธาใน พระเจ้าและยอมจำนนสวามิภักดิ์ต่อ พระประสงค์ของพระเจ้า หรือ ที่เรียก ว่า "มุสลิม" นั้น พระเจ้าทรงมีบัญญัติต่อ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดว่า "ศาสนาอิสลามไม่มีการแบ่งแยกเป็นนิกาย และ ท่านศาสดามูฮัมมัด ไม่มีส่วนกับ บรรดาผู้ที่แบ่งแยก อิสลามเป็นนิกายต่างๆ"   แต่แม้กระนั้น ในปัจจุบัน เราจะเห็นว่า ศาสนาอิสลาม ได้ถูกแบ่งเป็นนิกายต่างๆ หลายจำพวก  จำพวกที่ใหญ่ที่สุด คือ  ลัทธิซุนนีย์, รองลงมาก็ได้แก่ ลัทธิ "ชีอะต์" และ ยังมี นิกายย่อยๆ แตกแยกออกจาก ลัทธิ "ซุนนีย์" อีก ซึ่ง ชาวซุนนีย์จะ หลีกเลี่ยงการ แบ่งแยก ลัทธิย่อยๆ ภายใน ออกไปอีก ว่า "มัสหับ" หรือแนวความคิดของท่านนักปราชญ์ ทางศาสนาอิสลาม  การแบ่งแยกศาสนาอิสลามออกเป็นเศษแห่งความศรัทธาย่อยๆ เหล่านี้ ขัดต่อหลักการของอิสลามอย่างแรง โดยเฉพาะ การแบ่งแยก ของ "ลัทธิซุนนีย์" กับ "ลัทธิชีอะต์" นั้น ผิกหลักการของศาสนาอิสลามอย่างแรง  โดยเฉพาะ "ชาวซุนนีย์" ซึ่งส่วนมากคือสมาชิกในห้องนี้ จะไม่ยอมรับ "มุสลิมชีอะต์" ว่าเป็นมุสลิมเลย และ เรียก ชาวชีอะต์ว่า เป็น "กาเฟร"  เช่นเดียวกับ ที่ พยายาม อย่างยิ่ง ที่จะ เรียกตัวผมแมทท์ ว่าไม่ใช่มุสลิม   http://www.fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=109 ชาวซุนนีย์เขาคิดว่าเขาและความศรัทธา แบบอย่างของเขาโดยการนำ เรื่อง เล่าต่างๆ เกี่ยวกับการกล่าวการกระทำของท่านศาสดามูฮัมมัด  ที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เป็นแบบฉบับของท่านศาสดาที่เขาจะต้องปฏิบัติตาม ซึ่งอาจจะจริงหรือไม่มีความจริงก็ได้  และมีความขัดแย้งกันอย่างมากมาย  เช่นในเรื่อง "ดนตรี" ไม่มีความเห็นร่วมกันว่า ขัดต่อหลักการของอิสลามหรือไม่? ส่วนตัวผมๆศึกษาอัลกุรอานและเข้าใจในการหลอกลวงของ "ไซตอน" ซาตาน ในการสอดแทรกหลักการต่างๆ ที่ชาวอรับก่อนอิสลาม ที่โง่เขลา ที่ใช้เป็นประเพณี หลอกให้มุสลิมปฏิติตาม  ผมจึงไม่เชื่อถือในสิ่งเหล่านั้น  ผมยึดมั่นในศรัทธาต่อพระเจ้า อัลกุรอาน และคำสั่งของท่านรอซูลมูฮัมมัดที่ให้ใช้อัลกุรอานเท่านั้น เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตประจำวัน  เนื่องจากผมไม่ยอมรับสิ่งอื่นใดที่มนุษย์บัญญัติขึ้นมานอกเหนือจาก "อัลกุรอาน" และนอกเหนือจากคำสั่งของท่านศาสดามูฮัมมัดที่ให้ยึดถืออัลกุรอานเท่านั้น...โดยเหตุนี้ สมาชิกซุนนีย์มุสลิมพวกนี้ จึง ทำตัวเองเป็น "พระเจ้าเสียเอง"  ตัดสินว่า ผมไม่ใช่ผู้ที่สวามิภักดิ์ต่อพระเจ้า (มุสลิม)  เช่นเดียว กับ ที่ พวกเขาแสดง ความ หยาบคายต่อ "มุสลิมชีอะต์"  มุสลิมที่ทำลายชีวิตมนุษย์ต่างๆ ในยามสงบ ทั้ง เด็ก ผู้หญิง ผู้ชาย  ที่ไร้เดียงสา  ด้วยการกระทำที่เรียกว่า "ระเบิดพลีชีพนี้"  ส่วนมากแล้ว เป็น มุสลิมชาว ซุนนีย์ที่ มีความโง่และถูกล้างสมอง ด้วย เรื่องเล่า "ฮาดีษ" ต่างๆ ที่ถูก "ไซตอน" ซาตาน  นำมาหลอกลวงว่า  ถ้าสละชีวิตเพื่ออิสลามแล้ว จะได้เข้าสวรรค์และมีนางบำเรอ รอรับอยู่  เมื่อสองวันที่แล้ว 9/21/08 ผู้บริสุทธิตาย 65 คน หรือมากกว่านั้น ที่  โรงแรม แมริออต ในปากีสถาน  ด้วยระเบิดพลีชีพ  ซึ่งเป็น "ซุนนีย์มุสลิม" ที่บ้าคลั่ง อิจฉา ริษยา และอารมณ์ตกค้างมาจากเมื่อ 1400 ปี เช่นเดียวกับ ที่เกิดในภาคใต้บ้านเรา  ความเลวของพวกนี้ที่ทำให้ศาสนาอิสลามและท่านศาสดามูฮัมมัด มัวหมอง   ไปทั่ว โลก และทำให้มุสลิม ทีดีๆ จำนวนมาก อยู่อย่างไม่มีความสุข ภายใต้การเพ่งเล็งของเจ้าหน้าที่ทั่วโลก   ผมเป็นมุสลิมผู้หนึ่ง และมีความภูมิใจและดีใจที่ไม่ถูกเขาจัดอยู่ในจำพวกเดียวกับเขา  ซึ่งจะมีแต่นำความขายหน้ามาสู่ "ศาสนาอิสลามและ ศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ของโลกผู้หนึ่ง"    ด้วยเหตุนี้เมื่อผมทำการอธิบายสิ่งใดที่แก้ความอับอายต่อคำอธิบายของเขาๆ จึงมีความโกรธแค้น อย่างที่คุณเห็นอยู่ใน  ความคิดเห็นที่ 23,24 และ 25  ซึ่งบุคคลผู้นี้  อจจะมีความสามารถในการหิ้วระเบิดพลีชีพได้^^ ผมจึงอยากให้สมาชิกที่ไม่ใช่มุสลิมอ่านและใช้ความพิจารณาได้อย่างถูกต้อง  "ไม่มีศาสนาใดๆที่สอนให้ทำลายชีวิตของผู้บริสุทธิ" ในยามสงบและยามสงคราม """""""""""""""""" "รวบรวมมาจาก ท่าน nop ในเว็บ มรดกอิสลาม" นาย  "nop"  ผู้นี้ก็เช่นกันครับเป็นผู้ที่ เคยประกาศในเวบมรดก ให้ผู้ใดก็ตามที่ไม่มีภาระติดตัว ...ทำการทำลายชีวิตผม ...เขาเป็นซุนนีย์มุสลิมที่บ้าคลั่ง "ฮาดีษ" ผู้หนึ่ง ซึ่ง มีความขลาดไม่กล้าทำด้วยตนเอง ต้องประกาศหาผู้ที่โง่กว่าเขาให้ช่วยทำ   คำประกาศนี้อยู่ใน เวบ มรดก ไม่ทราบว่า ถูกลบทิ้งไปหรือยัง แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 51 01:39:04 จากคุณ : แมทท์ - [ 24 ก.ย. 51 01:13:12 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ละหมาดอย่างไร ไม่ใช้ฮาดิษครับพี่แมทท์ ผมยังไม่ได้รับคำตอบเลยนา อย่าเฉไฉ จากคุณ : ghanee.s - [ 24 ก.ย. 51 05:48:03 ]

ความคิดเห็นที่ 28 จากกระทู้เก่า ทำไมอัลลอฮ์ ต้องสาบาน กับสิ่งถูกสร้างด้วย http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2007/06/Y5474855/Y5474855.html แมทท์ ได้บอกว่า " ถ้าท่านอ่านพบในอัลกุรอานว่าพระเจ้าสาบานให้เชื่อในบัญญัติของพระองค์ต่อ ดวง อาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวง ดาว   พระเจ้าแห่งทิศทางต่างๆ  ขอให้ท่านถามตัวเองว่า  ถ้าเราเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวแล้ว  ใครคือ พระเจ้าแห่งทิศตะวันออกและทิศตะวันตก  ถ้าพระองค์อัลลอฮ์จะแสดงแสนยานุภาพของพระองค์แล้ว พระองค์ไม่มีความจำเป็นจะต้องสาบาน หรือ แอบอ้างผู้ใดเป็นพยานในคำกล่าวของพระองค์" แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 51 05:49:13 จากคุณ : DJC - [ 24 ก.ย. 51 05:48:52 ]

ความคิดเห็นที่ 29 แมทท์ ได้บอกว่า "พระเจ้าหรือพระองค์อัลลอฮ์ ที่ผมนับถือนั้น ในความศรัทธาของผมพระองค์  ทรงเป็นผู้ที่มีอำนาจมาก  ดังที่บรรยายไว้ในอัลกุรอาน ซูเราะห์ต่าง  ที่เราเรียกว่า  “อัสมาอัล ลาฮุลฮุสนา” หรือคุณานุภาพ 99 ประการ ของ พระเจ้า(ฮัลลอฮ์)”   พระองค์อยู่ในจิตใจของผมเสมอและพระองค์  จะประกาสิตต่อ จิตใจของผมเท่านั้น  โดยไม่ต้องสาบาน  ไม่มีรอซูลท่านใด ที่กล่าวคำสาบาน ต่อผู้ใดก็ตาม  เพื่อให้ ให้ชาวอรับ ยิว , อรับคริสเตียน มุชริกเมกกะ  เชื่อว่าเป็น ศาสนทูตของพระเจ้า" ดังนั้นเหตุผลที่ว่า พระเจ้าต้องกล่าวคำสาบานตามธรรมเนียมอรับเพื่อให้ชาวอรับ สนใจในคำสอนนั้น จึงไม่เป็นความจริง ขาดเหตุผล   เป็นเพียงการหาทางหลีกเลี่ยง ความไม่รู้ว่าจะอธิบายได้อย่างไร เพราะว่า ติดอยู่ในมุมแห่งความศรัทธา  ถ้าเช่นนั้นแล้ว อายะเหล่านั้นเป็นข้อเขียนของผู้ใด   เป็นสิ่งที่เราจะต้องไตร่ตรอง เมื่อผมสั่งสอน ลูกๆผม ให้ เชื่อถึง ความมีอยู่ของพระเจ้าองค์เดียวนั้น   ผมไม่ต้องสาบานต่อผู้ใด ให้ลูกของ ผมเชื่อคำสอนของผม     เหตที่ลูก ๆ เชื่อคำสั่งสอนของพ่อแม่ก็เนื่องมาจาก มีความศรัทธา เชื่อ คำพูด คำสั่งของพ่อแม่ โดยความนับถืออย่างจริงใจ โดยสัญชาติญาณ   พระองค์อัลลอฮ์  ก็เช่นกัน พระองค์เป็นผู้สร้างผู้ใก้กำเนิดแก่ชีวิตของเรา  ท รง อยู่ใน ใต้ จิตสำนึก ของมนุษย์ทุกๆคน ไม่ว่า จะ รู้จักพระองค์หรือไม่   ไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไร   ทุกขณะ ทุกลม หายใจของเรา  พระองค์ จะคอย ชี้ทางแก่เรา ในแนวทางที่ถูกต้อง    พระองค์จะป้อง กันเราถ้าเรามีความเชื่อมั่น ในพระองค์ อย่างสุจจริตใจ   โดยไม่เอามนุษย์ หรือ ศาสนทูตของพระองค์มาอยู่ระหว่างพระเจ้ากับ ตัวเรา" จากคุณ : DJC - [ 24 ก.ย. 51 05:50:14 ]

ความคิดเห็นที่ 30 แมทท์ได้บอกว่า "คุณอ่านอายะเกี่ยวกับการสาบานแล้วคุณไม่มีความเข้าใจ หรือว่า  อายะต่างๆ เหล่านี้ เป็นลักษณะของมนุษย์ที่มีตวามต้องการจะให้คนเชื่อในข้ออ้างของเขา โดยเอาธรรมชาติ สภาพ แวดล้อม  และบัญญัติของพระเจ้ามาเป็นพยาน  พระเจ้าตามลักษณะที่อธิบายไว้ ก่อนหน้า จะมี อัลกุรอานนั้น  ไม่มีการสาบานเช่นนี้    และอีกประการหนึ่ง  พระเจ้าย่อมไม่มีความเป็นต้องสาบาน   ถ้าพระองค์ ทรงสร้างโลกได้  ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้ประจักษ์ต่อสายตาของมนุษย์แล้ว" "ด้วยเหตุนี้ ในอายะใดก็ตามในอัลกุรอาน ที่มีการสาบาน ต่อสิ่งต่างๆ เยี่ยง มุชริกเมกกะแล้ว ผมไม่เชื่อว่า เป็นบัญญัติของพระเจ้า   ผมต้องสงสัยก่อนว่า เนื่องจากการสาบาน เช่นนั้น  เป็นนิสัยประจำของชาวอรับ   ดังนั้น ต้องมีการสอดแทรกปลอมแปลง  อัลกุรอานโดย ชาวอรับด้วยกัน  โดยที่ท่านรอซูลไม่มีทางทราบได้  แต่ถ้ามุสลิมผู้ใด จะเชื่อก็เป็นเรื่องส่วนตัว ของแต่ละท่าน" จากคุณ : DJC - [ 24 ก.ย. 51 05:51:15 ]

ความคิดเห็นที่ 31 แมทท์ผู้เชื่อถือ แมทท์ผู้ยึดถือในอัลกุรอ่าน ปากพร่ำบอกว่าตลอดเวลาว่า อัลกุรอ่านเท่านั้นที่ตนยึดมั่น แต่ทว่า แมทท์ยังกล้าทุรยศกับอัลกุรอ่าน แมทท์กำลังตั้งตนเป็นนบี แต่สุดท้ายก็เป็นได้แค่ผู้นำลัทธิขี้ครอก Mattism ลัทธิที่กำลังสูญหายไป เหมือนกับเว็บ http://www.muslimthaiusa.com/ ที่มันก่อตั้งขึ้น เผื่อเผยแผ่ความเลวร้าย สุดท้ายไม่มีใครสนใจ แมทท์ผู้กลัีบกลอก ตลบตะแลง แมทท์ผู้ตอหลดตะแหล มันกำลังพยายามเฮือกสุดท้ายของชีวิต เหมือนบรรดาไชตอนที่่พยายามในเฮือกสุดท้าย แมทท์ไม่ใช่มุสลิมครับ ไสหัวไปไกล ๆ ได้แล้ว แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 51 05:54:57 จากคุณ : DJC - [ 24 ก.ย. 51 05:52:51 ]

ความคิดเห็นที่ 32 สำหรับ เพื่อนต่างศาสนิก ทั้งหลาย ที่อาจจะบังเอิญมาอ่านนะครับ ควรสละเวลาอ่านซักเพื่อไม่ให้ถูกหลอกลวงโดย คนที่อ้างตัวว่าเป็นมุสลิม แต่เนื้อแท้แล้วไม่ใช่ มุสลิมนั้น คือผู้ยอมจำนนต่ออัลลอฮ์ และกุรอ่านก็บอกไว้ชัดเจนว่า "(3:132) " และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา " (4:80) " ผู้ใดเชื่อฟังรอซูล แน่นอนเขาก็เชื่อฟังอัลลอฮฺแล้ว และผู้ใดผินหลังให้ เราก็หาได้ส่งเจ้าไปในฐานะเป็นผู้ควบคุมพวกเขาไม่ " (24:56) " และพวกเจ้าจงดำรงละหมาด และจงบริจาคอัซซะกาฮ์ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามรอซูล เพื่อพวกเจ้าจะได้รับควาเมตตา " ดังนั้น การที่มีฮะดีษ จึงเป็นการปฏิบัติตาม บัทบัญญัติดังกล่าวของอัลกุรอ่าน อย่างชัดเจน เพราะฮะดีษคือบันทึกการกระทำของท่านศาสดา คำพูด คำสอน คำสั่ง ข้อห้าม ปลีกย่อย ซึ่งเป็นหลักศาสนา ดังกุรอ่านข้างต้นกล่าวมา ให้เราเชื่อฟังและปฏิบัติตามรอซูล เหมือนเรื่องการละหมาด ที่มุสลิมได้นำมาถามเพื่อเป็นการย้ำถึงเรื่องนี้ว่า ถ้าไม่เอาฮะดีษ เขาจะปฏิบัติตามหลักศาสนาไม่ได้ ไม่ว่าเขาจะอ้างตัวว่าเป็นมุสลิมอย่างไรก็ตาม เพราะกุรอ่านบัญญัติเรื่องละหมาดไว้ และวิธีละหมาดนั้น คือ (24:56) " และพวกเจ้าจงดำรงละหมาด และจงบริจาคอัซซะกาฮ์ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามรอซูล เพื่อพวกเจ้าจะได้รับควาเมตตา " เรารู้วิธีละหมาดจากแบบอย่างและคำสอนของท่านนบีนะครับ แล้วอะไรคือบันทึกเรื่องนี้นั่นคือก็คือฮะดีษนั่นเอง เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ปฏิเสธฮะดีษ เท่ากับปฏิเสธกุรอ่านด้วย เพราะกุรอ่านให้ทำตามนบีชัดๆ ครับ ยกมาแล้วยกมาอีก ทำตัวหน้าพร้อมขีดเส้นใต้ให้ด้วย ซึ่งนี่ไม่ใช่การปฏิเสธกุรอ่านของแมทท์ครั้งเดียว ลองอ่านที่ท่าน DJC เอามาให้อ่าน แล้วจะรู้ว่าตัวตนของแมทท์ที่อ้างตัวว่าเป็นมุสลิมนั้น เป็นอย่างไร ซึ่งการตัดสิน หรือว่าเขาเป็นมุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิมไม่ใช่การทำตัวเป็นพระเจ้าเสียเอง ซึ่งนี่ก็เป็นการกล่าวหากันอีกตามไสตล์ของแมทท์ที่พยายามยัดเยียดความเป็นการเฟรฺและมุนาฟิกให้คนอื่น ทั้งที่ความจริงแล้วการเป็นผู้ปฏิเสธหรือกาเฟรฺนั้นมันก็แสดงออกมาอยู่แล้ว เหมือนกับเราเห็นคนราบไหว้รูปปั้น หรือนักบวชต่างศาสนาที่เขาบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตามความเชื่อ แล้วเราจะบอกว่าเขาเป็นมุสลิมได้อย่างไร? และเมื่อเราบอกว่าเขาไม่ใช่มุสลิม นี่คือการทำตัวเป็นพระเจ้ากระนั้นหรือ? ก็เช่นกัน เมื่อเราเห็นแมทท์ปฏิเสธกุรอ่านชัดๆ ปฏิเสธแบบอย่างนบีเห็นๆ การกระทำแบบนี้ จะเรียกว่าเป็นมุสลิมได้อย่างไร นี่ไม่ใช่การทำตัวเป็นพระเจ้าเสียเอง แต่เป็นการบอกตามที่เราเห็น ตามความจริงที่เกิด เหมือนเราเห็นแมว เราก็บอกว่านั่นคือแมว นี่คือการทำตัวเป็นพระเจ้าเสียเองในการตัดสินสิ่งอื่นหรือเปล่า? จากคุณ : Carroth - [ 24 ก.ย. 51 07:26:43 ]

ความคิดเห็นที่ 33 อีกประการที่ต้องบอกกล่าวสักนิดเพื่อไม่ให้สับสน และถูกมุสลิมปลอม มุสลิมแอบอ้าง หลอกลวงเอาได้ ความแตกต่างหรือการเข้าใจในเรื่องเดียวกันแต่ไม่เหมือนกันนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ประการใดเพราะเรื่องเหล่านี้มีมาตั้งแต่สมัยที่ท่านศาสดายังคงมีชีวิตอยู่ ยกตัวอย่าง --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ท่านอิมามบุคอรี  ได้รายงานด้วยสายสืบของท่านไปยัง  ท่านอับดิลลาฮ์  อิบนุ  อุมัร  ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุมา  ว่า "ท่านนบี  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวในวันสงครามอะห์ซาบว่า  คนหนึ่งคนใดจะไม่ละหมาดอัสริ  นอกจากที่บนีกุร๊อยเซาะฮ์  ดังนั้นส่วนหนึ่งได้ทำการละหมาดอัสริในระหว่างทาง  แต่ซอฮาบะฮ์บางส่วนกล่าวว่า เราจะไม่ละหมาดจนกระทั่งถึงบนีกุร๊อยเซาะฮ์  และบางส่วนกล่าวว่า  แต่เราจะทำการละหมาดเพราะท่านร่อซูลุลลอฮ์มิได้มีเป้าหมายดังกล่าวสำหรับเรา  เรื่องราวดังกล่าวจึงถูกเรียนแก่ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  โดยที่ท่านไม่ได้ตำหนิคนใดจากพวกเขาเลย"  รายงานโดยมุสลิม ท่านอิมามอันนะวาวีย์  อธิบายว่า  "การขัดแย้งของบรรดาซอฮาบะฮ์ ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุม เกี่ยวกับการรีบละหมาดช่วงจวนใกล้หมดเวลาและทำการล่าช้า(จนกระทั่งละหมาดนอกเวลา)นั้น  สาเหตุก็คือ  หลักฐานทางศาสนาได้คัดค้านกันเองตามทัศนะของพวกเขา  กล่าวคือ  การละหมาดนั้นถูกใช้ให้ละหมาดในเวลา  พร้อมกันนั้น  ความเข้าใจจากคำพูดของท่านบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ที่ว่า  "คนหนึ่งคนใดจะไม่ทำการละหมาดซุฮ์ริ  นอกจากที่บนีกุร๊อยเซาะฮ์" หมายถึงการรีบเดินทางและอย่าสนใจสิ่งใดนอกจากการเดินทาง  ไม่ใช่ให้เลื่อนเวลาละหมาด  ดังนั้นซอฮาบะฮ์บางส่วนได้ยึดความเข้าใจโดยพิจารณาถึงความหมาย(คือนบีสั่งให้รีบเดินทาง) ไม่ใช่เชิงถ้อยคำ (คือให้ไปละหมาดที่บนีกุร๊อยเซาะฮ์) ฉะนั้นพวกเขาจึงทำการละหมาดขณะที่เกรงว่าเวลาจะหมด  ส่วนซอฮาบะฮ์คนอื่น ๆ ได้ยึดความหมายแบบผิวเผินคำตรง (คือนบีให้ไปละหมาดที่บนีกุร๊อยเซาะฮ์)  พวกเขาจึงเลื่อนเวลาละหมาด  โดยท่านนบี  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมไม่ได้ตำหนิติเตือนคนหนึ่งคนใดจากทั้งสองกลุ่มเลย  เพราะพวกเขาเหล่านั้นคือนักมุจญ์ฮิด(ผู้มีคุณสมบัติในการวินิจฉัยได้)" ชัรห์ ซอฮิห์มุสลิม จาก http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?topic=3149.0 --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ข้างต้นนี้ทำให้เราได้ทราบว่าแม้คำสั่งเดียวกันเรื่องเดียวกันคราวเดียวกัน ก็สามารถเข้าใจไปคนละอย่างได้ และไม่มีอย่างใดถูกตำหนิจากท่านนบี ดังนั้นจึงไม่แปลกที่บรรดาผู้รู้จากมัซฮับ (สำนักคิด) ต่างๆ เข้าใจและชี้ขาดปัญหาเรื่องเดียวกันไม่เหมือนกันไม่ใช่เพราะเขาไม่รู้ หรือฮะดีษเชื่อไม่ได้ แต่เพราะเขามีความคิดและมีความรู้ในบางเรื่องแตกต่างกัน โดยทั้งนี้และทั้งนั้นบรรดานักวิชาการก็ตัดสินปัญหาบนพื้นฐานเดียวกันคือ กุรอ่านและแบบอย่างของท่านศาสดา เพราะฉะนั้นถ้าจะอ้างถึงความขัดแย้งก็ต้องดูด้วยว่าเพราะอะไร และมันเกิดจากสิ่งใดกันแน่ไม่ใช่โมเมฟันธงว่าฮะดีษเชื่อถือไม่ได้เพราะฮะดีษได้รับการกลั่นกรองคัดกรอง และวินิจฉัยมาอย่างดีซึ่งดูตั้งแต่คนรายงานถึงเนื้อหาและสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่จำกันมาเล่าต่อๆ ตามใจเหมือนที่แมทท์ชอบอ้างว่าละหมาดตามประเพณีที่ไม่ได้หลักการอะไรเป็นสาระ นอกจากบอกว่าทำตามบรรพบุรุษซึ่งบรรพบุรุษเป็นใครมาจากไหน ทั้งชีวิตโกหกมากี่ครั้งเป็นคนดีหรือเปล่าสติสมประกอบมั๊ย ก็ไม่รู้ แต่ฮะดีษดูถึงสิ่งเหล่านี้ครับ ความละเอียดมันผิดกัน เรียกได้ว่า ในคัมภีร์ศาสนาต่างๆนั้น ถ้าถัดจากกุรอ่านแล้ว ฮะดีษของอิสลามนี่แหละน่าเชื่อถือที่สุด ยิ่งกว่าประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำ แต่คนบางคนภาษาอาหรับไม่รู้ว่ามีแค่ไหน เรื่องศาสนาไม่ต้องพูดถึงเพราะกุรอ่านยังแปลเองไม่ได้ต้องอาศัยฉบับภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้นเรื่องวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ขณะลงโองการอัลกุรอ่าน สำนวนแวดล้อมไม่ต้องพูดถึงกันแล้วเพราะไม่น่าจะรู้เรื่อง (ถึงรู้เรื่องบ้างแต่ประวัติศาสตร์และเหตุการณ์แวดล้อมในการลงอัลกุรอ่านก็มาจากฮะดีษแบบนึงอีกนั่นแหละ) แล้วยังจะดันทุรังบอกว่าตัวเองศึกษากุรอ่าน ความรู้มีแค่นี้ กล้าดียังไงที่จะมาบอกว่าฮะดีษไม่น่าเชื่อถือ แล้วไปยึดกุรอ่านอย่างเดียวไม่เอานบี  สุดท้ายไปๆ มาๆ แค่เรื่องละหมาดก็ไปไม่รอดแล้ว แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 51 08:04:58 จากคุณ : Carroth - [ 24 ก.ย. 51 07:45:43 ]

ความคิดเห็นที่ 34 พูดถึงความรุนแรงกับฮะดีษ อ่านเองนะครับ "หนึ่งในกฎในการทำญิฮาดในอิสลามที่ท่านนบี ศ็อลัลอฮุอะลัยฮิวัสัลลัม ได้เน้นย้ำไว้อย่างมากคือ อย่าฆ่าสตรี เด็ก คนแก่ หรือนักบวชที่อยู่ในโบสถ์ของเขา และห้ามตัดต้นไม้ อีกสำนวนหนึ่งของฮะดิษ(วจนะศาสดา) ที่มีรายงานท่านได้กล่าวไว้ว่า...อย่าฆ่าพ่อค้าและเกษตรกร ฮะดิษ(วจนะศาสดา) ทั้งหมดข้างต้นนั้นได้ห้ามอย่างเข้มงวด ในการฆ่า ลักพาตัว จับเป็นตัวประกัน ทรมานด้วยวิธีการใดๆ ต่อผู้ที่ไม่ใช่ศัตรู ในทางตรงกันข้าม มีกฎอื่นๆ ในการจัดการต่อศัตรูและนักรบ หากมุสลิมป้องกันตนเอง หรือป้องกันดินแดนของเขา เขาก็จะถือได้ว่าเป็นนักรบที่มีเกียรติ ซึ่งประกอบไปด้วยทั้งความกล้าหาญและความเมตตา และรักสิทธิของเชลยสงคราม Islam has drawn a clear distinction between combatants and non-combatants in any enemy country. As far as the non-combatant population it concerned พ women, children, the old and the infirm พ the instructions of the Prophet are as follows: "Do not kill any old person, any child or any woman" (AbuDawood). "Do not kill the monks in monasteries" and "Do not kill the people who are sitting in places of worship" (Musnad of Ibn Hanbal). จาก http://www.jamaat.org/islam/HumanRightsEnemies.html ฮะดีษเองอีกนั่นแหละที่ห้ามการฆ่าเด็ก พระ หรือคนที่ไม่ต่อสู้ ไหนเหรอครับความรุนแรงจากฮะดีษ? มุสลิมไม่โง่พอที่จะถูกล้างสมองด้วย ลัทธิแมทท์ของคุณหรอกนะครับ อย่าพูดลอยๆ อย่ากล่าวหาพล่อยๆ มุสลิมยังอยู่ และไม่ปล่อยให้คนแบบคุณมาบิดเบือนอิสลาม ให้คนต่างศาสนิกเข้าใจผิดหรอกครับ อิสลามไม่ได้ก่อความอับอาย กุรอ่าน ฮะดีษ แบบอย่างนบีไม่ได้ก่อให้เกิดความอับอาย แต่ความสกปรกโสมม เกิดจากคนแบบแมทท์นี่แหละครับที่พยามป้ายสีให้กับอิสลาม พยายามโกหกและใส่ใคร้มุสลิมตลอดเวลา ตัวอย่างก็ดูข้างบนเองนะครับ ทั้งข้อความของ ท่าน DJC และผมเอง ฮะดีษห้ามการฆ่าคนบริสุทธิ์ชัดเจนแม้ในยามสงคราม แต่แมทท์บอกว่า ฮะดีษทำให้เกิดการทำลายเพราะบริสุทธิ์โดยบอกว่า มุสลิมที่ทำลายชีวิตมนุษย์ต่างๆ ในยามสงบ ทั้ง เด็ก ผู้หญิง ผู้ชาย  ที่ไร้เดียงสา  ด้วยการกระทำที่เรียกว่า "ระเบิดพลีชีพนี้"  ส่วนมากแล้ว เป็น มุสลิมชาว ซุนนีย์ที่ มีความโง่และถูกล้างสมอง ด้วย เรื่องเล่า "ฮาดีษ" ต่างๆ (โดยแมทท์) โกหกกันกลางกระดานสนทนาแบบนี้เลยล่ะครับ เพราะถ้าทำตามฮะดีษจริงเขาจะไม่ยุ่งกับชีวิตบริสุทธิ์เลย และการพลีชีพเพื่อศาสนานั้น ไม่ใช่การฆ่าคนบริสุทธิ์ครับ การยอมตายเพื่อยืนหยัดในหลักการศาสนา นั้นก็เป็นการพลีชีพ ซึ่งไม่ได้บ่งบอกเลยว่า ต้องฆ่า ฆ่า และฆ่า แต่แมทท์กลับบอกว่า เรื่องนี้ทำให้ ชีวิตบริสุทธิ์ต้องตาย นี่คือคนแบบแมทท์ และทราบไว้ด้วยนะครับ อย่าพยายามยัดเยียดความโกรธแค้นให้กับผมอย่างหน้าด้านๆแบบนี้ มันเป็นลักษณะนิสัยที่ไม่ดี การพยายามทำให้คนอื่นดูแย่ เพื่อให้ตัวเองดูดี มันไม่ทำให้คำโกหก และคำกล่าวหา พล่อยๆ ของคุณ มีความหนักแน่นขึ้นหรอกครับ สร้างภาพอย่างไร ความจริงก็คือความจริง โกหกคือโกหกมันเปลี่ยนไม่ได้ ผมแค่นำความจริงมาเปิดเผย คุณก็ทนไม่ได้ ต้องมากล่าวหาว่าผมโกรธแค้น และถึงกับบอกว่าผมอาจจะมีความสามารถจะหิ้วระเบิดพลีชีพได้อีกด้วย เจตนาคุณคืออะไรครับ หิ้วระเบิดน่ะผิดหิ้วได้ พลีชีพอินชาอัลลอฮ์หวังว่าผมจะทำได้เพื่อศาสนา แต่ผมไม่เอาไปฆ่าคนบริสุทธิ์หรือเอาไปก่อการร้ายหรอกครับ เพราะมันผิดหลักศาสนาครับ กุรอ่านและฮะดีษห้ามการทำชั่ว รู้ไว้ด้วย แล้วหัดพูดจาให้มันตรงประเด็นบ้างนะครับ ละหมาดถามมาเป็นปีปี ตอบด้วย จากคุณ : Carroth - [ 24 ก.ย. 51 08:03:34 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ส่วนเรื่อง ท่าน nop นั้น ผมอ้างอิงเพื่อเป็นมารยาทครับ เพราะเขารวบรวม ผมแค่ไปก๊อบตาม จะได้ไม่เป็นการแอบอ้างครับ และกรณีนี้ก็อีกเช่นกัน มันแสดงให้เห็น ถึงมารยาทอันทรามของผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นมุสลิม ยึดกุรอ่านเป็นหลัก แต่มารยาทแค่นี้ กลับไม่มี แล้วยังนินทามุสลิมกันในเดือนรอมฎอนด้วย มันน่าอับอายแค่ไหน ที่คนแบบนี้อ้างตัวว่าเป็นมุสลิม คราวหลังก็หัดศึกษาฮะดีษซะบ้างนะครับ จะได้มีมารยาทอย่างที่นบีสอน กุรอ่านที่ อ้างหนักหนาว่า ยึดตาม ไม่ได้บอกคุณหรือว่า “และพวกเจ้าอย่านินทาซึ่งกันและกัน คนหนึ่งในหมู่พวกเจ้านั้นชอบที่จะกินเนื้อพี่น้องของเขาที่ตายไปแล้วกระนั้นหรือ พวกเจ้าย่อมรังเกียจมัน และจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ” (อัลหุญุรอต :12) ถ้าไม่รู้ว่าอะไรคือการนินทา และอิมามมุสลิม ได้บันทึกหะดีษ จากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า : ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า : “พวกท่านรู้ไหมว่าการนินทานั้นคืออะไร?” พวกเขากล่าวว่า : อัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์นั้นทราบดียิ่ง ท่านกล่าวว่า : “คือการที่ท่านกล่าวถึงสหายของท่านในสิ่งที่เขาไม่ชอบ” มีคนหนึ่งถามขึ้นว่า “แล้วถ้าสิ่งที่ฉันกล่าวนั้นเป็นเรื่องจริงละครับ?” ท่านตอบว่า : “หากว่าเป็นเรื่องจริงแสดงว่าท่านได้นินทาเขาแล้ว แต่ถ้าเป็นเรื่องไม่จริงก็เท่ากับว่าท่านใส่ร้ายเขา” บันทึกโดยมุสลิม จาก http://www.islamhouse.com/p/167976 นี่คือปัญหาของคนไม่เอาฮะดีษ ถ้าไม่เอาฮะดีษก็จะเป็นคนแบบนี้แหละครับ และพึงทราบไว้ด้วยว่า ท่าน nop เป็นมุสลิม และไม่ใช่บุคคลสาธารณะหรืออาจารย์ชื่อดัง ที่คุณจะละเมิดสิทธิ์เขาได้นะครับ ระวังไว้ด้วย จากคุณ : Carroth - [ 24 ก.ย. 51 08:13:42 ]

ความคิดเห็นที่ 36 คคหที่ 28-31 นี่ เป็นหลักฐานได้ดีเลยว่า แมทท์ นั้นตัวจริงคืออะไร จากคุณ : Carroth - [ 24 ก.ย. 51 08:14:27 ]

ความคิดเห็นที่ 37 แมทท์ เป้น    มุสลิมที่ไม่ใช่ "มูนาฟิก"  ฟังเพลงก็บอกว่าฟังเพลง, เล่นดนตรีก็บอกว่าเล่นดนตรี  ไม่มีการโกหกพกลมครับ... ผมไม่เคยบอกและยอมรับว่าเป็นมุสลิมเช่นพวกคุณเลย เพราะละอายใจที่จะเป็น "มูนาฟิก" เช่น คุณ "และพึงทราบไว้ด้วยว่า ท่าน nop เป็นมุสลิม และไม่ใช่บุคคลสาธารณะหรืออาจารย์ชื่อดัง ที่คุณจะละเมิดสิทธิ์เขาได้นะครับ ระวังไว้ด้วย"       นายนพเป้น "มุสลิมที่เลว" ครับที่ประกาศเอาชีวิตผมโดยใช้คนอื่น ตัวเองขี้ขลาด และผมได้แจ้งความไว้แล้ว จะเป็นคนสาธารณะหรือไม่ ถ้า ใช้นามแฝง มาโต้ตอบกับผมๆมีสิทธิที่จะอ้างได้ อย่า ขู่ผมเลยครับ  ถึงแม้แกจะเป็นนักเรียนกฎหมาย คงจะจบแล้วในขณะนี้  แกควรจะรู้ ว่าการกระทำของแกผิดกฏหมาย คุณจะนับถือกราบไหว้ นายนพ นั้น มันเรื่องของคุณแต่อย่านำชื่อแกมาขู่ผม... OK.? จากคุณ : แมทท์ - [ 24 ก.ย. 51 09:04:33 ]

ความคิดเห็นที่ 38 เดือนดีเวลาดี ซอรบัตกันหน่อยก็ดีนะครับ อีกไม่กี่วันเอง แง่บๆ จากคุณ : itoursab (itoursab) - [ 24 ก.ย. 51 09:22:06 ]

ความคิดเห็นที่ 39 แมทท์สองหน้าจอมกลับกลอก ลืมไปแล้วเหรอว่าได้กล่าวอะไรไว้ หะดีษ แมทท์บอกไม่น่าเชื่อถือ แล้วอัล-กุรอ่าน ธรรมนูญสูงสุดของอิสลามล่ะ แมทท์บอกไว้ว่าอย่างไร จากคุณ : DJC - [ 24 ก.ย. 51 09:29:34 ]

ความคิดเห็นที่ 40 กลับกลอกมากกว่าได้อีกมั้ย แมทท์ผู้ชรา จากคุณ : DJC - [ 24 ก.ย. 51 09:33:38 ]

ความคิดเห็นที่ 41 สำหรับแมทท์ อัลกุรอ่าน แมทท์ก็บอกว่าไม่น่าเชื่อถือ ดังนั้นจะอ้างว่า เอาละหมาดจากอัลกุรอ่าน แล้วมันจะน่าเชื่อถือเหรอแมทท์ แมทท์กล่าวทำลายหลักฐานอ้างอิงของตนเองซะป่นปี้เลยหล่ะ จากคุณ : DJC - [ 24 ก.ย. 51 09:38:39 ]

ความคิดเห็นที่ 42 แต่สำหรับคัมภีร์เล่มนี้แมทท์บอกว่า น่าเชื่อถือ ม้ากก มาก หุหุหุ จากคุณ : DJC - [ 24 ก.ย. 51 09:42:31 ]

ความคิดเห็นที่ 43 แมทท์ ไหน ๆ ก็คงเป็นมุสลิมไม่ได้แล้ว เผยหน้ากากตนเองออกมาเถอะ ว่าจะเป็น ยิว คริสเตียน หรือจะเป็นมุนาฟิกชั้นต่ำ เลือกเอาสักอย่างเถอะ ตาแก่.... หุหุหุ จากคุณ : DJC - [ 24 ก.ย. 51 09:49:40 ]

ความคิดเห็นที่ 44 แล้วแมทท์จะไตร่ตรอง แล้วแมทท์แยกแยะอย่างไรล่ะว่า ตรงไหนของอัลกุรอ่าน คือบทบัญญัติของพระเจ้า ตรงไหนถูกปลอมปน ตัดสินด้วยความพอใจของตนงั้นเหรอ เฮอะ อ้ายยยแมทท์ ผู้กำลังตั้งตนเป็นศาสดาเสียแล้ว จากคุณ : DJC - [ 24 ก.ย. 51 10:00:42 ]

ความคิดเห็นที่ 45 คุณ : DJC ในการศึกษาอัลกุรอาน ถ้าเราเกิดความสงสัยและมีผุ้ที่สามารถอธิบายอย่างใช้เหตผลให้เราเข้าใจ ได้ ผมไม่เห็นว่า มีความผิดเช่นไร อิสลามเป็นศาสนาแห่งเหตุและผล นั้นหมายความว่า อิสลามสอนไม่ให้เราเชื่อในสิ่งที่ไม่มีเหตุผล และ เรื่อง ราวที่เหลวไหล? นักศึกษาจากอียิปต์พยายามจะอธิบายให้อาจารย์ในเวบมรดก เข้าใจว่า พระเจ้าไม่มีตัวตนไม่มีทิศทางไม่มีน้ำหนัก และไม่ได้นั่งอยู่บน บัลลังก์(เป็นการเปรียบเทียบ)  แต่มุสลิมในเวบมรดกยังมีความเชื่อว่าพระเจ้านั่งอยู่บนบัลลังก์  บนชั้นฟ้า นี่เป็นตัวอย่างที่ผมยกให้คุณเห็นว่า เมื่อเราใช้สิ่งที่ไม่ใช่ ตรรกวิทยามาอธิบายอัลกุรอานแล้ว ก็มีการเถียงกันอย่างไม่สิ้นสุด ผมถามคุณ DJC อย่างสุภาพว่า  คุณเคยดูหนัง ฟังเพลง และร้อง หรือ ฮัมเพลงสากล บ้างหรือไม่? และเคยเข้าชมดนตรีคณะหนึ่งคณะใดหรือไม่ คุณรู้จัก  "วงดนตรีสุนทราภร์" หรือไม่"  คุณเคยเห็น มุสลิมเล่นดนตรีร๊อค หรือไม่? ก่อนที่คุณจะโกรธผมคุณต้องเข้าใจด้วยว่า ผมนำสิ่งที่เราไม่เคยนึกคิดมาแจกแจงให้เห็น  คุณก็เก่ง ภาษาอังกฤษ ลองอ่านเรื่องราวต่างๆ ของศาสนาอิสลามที่เขียนโดยอาจารย์ทั้งอรับและชาวยุโรป ทั้ง  Positive และ Negative  ตามเวบต่างๆดูซิครับ  คุณจะเห็นว่าศาสนาอิสลาม มีเหตุผลและความเป็นจริง เกินกว่าที่คุณเคยเข้าใจ   แล้วนำความรู้เหล่านั้นมาไตร่ตรองโดยไม่ใช้อารมณ์ แต่ใช้ปัญญา เรา จะเห็นว่า มีอีกหลายอย่างในศาสนาอิสลามที่เราเข้าใจไม่กระจ่างแจ้งและเป็นที่สงสัยในใจเรา   แม้แต่ อุลมาต่างๆ ในประวัติศาสตร์ ก็ยังไม่มีความเห็นตรงกัน จึงแตกแยกออกเป็น มัสหับ ต่างๆ  คุณกับผมความเห็นไม่ตรงกันเพราะ ผมมองจากสังคมภายนอกเข้ามาหลังจากที่ผมเข้าใจสังคมภายในของมุสลิมไทยอย่างแจ่มแจ้งแล้ว  แต่คุณ ไม่ยอมศึกษาความเห็นของผู้อื่นที่เขาอาจจะมีเหตุผลที่ดี ก็ได้   ท่านรอซูลสิ้นชีวิตไปแล้วสิ่งที่ท่านทิ้งไว้คือ อัลกุรอาน คุณทราบดี   การที่คุณหันไปปรึกษา "ฮาดีษ" นั้นคุณไม่ได้ปรึกษาท่านรอซูลตามที่อัลกุรอานบัญญัติไว้  แต่คุณปรึกษาสิ่งที่มนุษย์เล่าและประดิษฐ์ขึ้นมา ลองนึกดูดีๆ   ถ้าเรื่องราวของ ฮาดีษถูกต้อง คุณเชื่อถือใน "ฮาดีษของมุสลิมชีอะต์หรือไม่ ลองคิดดูซิครับ?" จากคุณ : แมทท์ - [ 24 ก.ย. 51 10:03:42 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เมื่ออัลกุรอ่านไม่ใช่เข็มทิศชี้ทางเีสียแล้ว ดังนั้นอย่าเอามายกอัลกุรอ่านเพื่อสนับสนุนตนเรื่องละหมาดอีก แล้วแมทท์จะเหลืออะไรเป็นตัวชี้ทางล่ะ์????? คงเหลือแต่ขี้ปากและความพอใจของแมทท์แล้วล่ะ.... โอ้ววววว ท่านศาสดาลัทธิ Mattism ต้องมีพิธีบูชา บูชา บูชา ท่านมั้ยครับท่าน จากคุณ : DJC - [ 24 ก.ย. 51 10:14:03 ]

ความคิดเห็นที่ 47 นักศึกษาจากอียิปต์พยายามจะอธิบายให้อาจารย์ในเวบมรดก เข้าใจว่า พระเจ้าไม่มีตัวตนไม่มีทิศทางไม่มีน้ำหนัก และไม่ได้นั่งอยู่บน บัลลังก์(เป็นการเปรียบเทียบ)  แต่มุสลิมในเวบมรดกยังมีความเชื่อว่าพระเจ้านั่งอยู่บนบัลลังก์  บนชั้นฟ้า นั่นคือปัญหาการตีความ ซึ่ง่เค้าไม่ได้ปฏิเสธอัลกุรอ่านแล้วเทิดทูนไบเบิ้ลเหมือนแมทท์นี่นา ดังนั้นอย่าเอามาเปรียบกัน คนละเรื่อง จากคุณ : DJC - [ 24 ก.ย. 51 10:16:48 ]

ความคิดเห็นที่ 48 แล้วสิ่งที่แมทท์กล่าวมันจะไม่ขัดกับโองการนี้เหรอ [2:85]... แล้วสูเจ้าศรัทธาเพียงบางส่วนของคัมภีร์ และปฏิเสธบางส่วนกระนั้นหรือ ดังนั้น ไม่มีการตอบแทนอันใดแก่ผู้กระทำเช่นนั้นนอกจากความอัปยศในชีวิตของโลกนี้ และในวันฟื้นขึ้น พวกเขาจะถูกนำกลับไปสู่การลงโทษอันสาหัสยิ่ง และอัลลอฮ์ มิใช่ผู้ทรงเฉยเมยต่อที่สูเจ้ากระทำ แมทท์ ขอร้องล่ะนะ กลับไปสารภาพผิดกับนักบวชในศาสนาตนเถอะ ไปสารภาพว่า โอ้วววว ท่านพระเจ้าจอมปลอมบนไม้กากบาทของข้า ข้าขออภัย ข้าทำลายอิสลามไม่ได้ มันยากสำหรับข้า ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ ลูกแกะตัวนี้ขอโทษท่านด้วย แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 51 10:26:19 จากคุณ : DJC - [ 24 ก.ย. 51 10:25:17 ]

ความคิดเห็นที่ 49 คุณไม่นับถือท่าน นบีอีซา หรือ? เหตุที่เกิดแก่ชาวคริสเตียนก็เริ่ม จากการ Idolize ท่าน นบีอีซา เช่นเดียวกับที่ มุสลิมเราพยายามที่จะ Idolize ท่านรอวูล โดยไม่รู้ตัว    ดูโต๊ะตะเกี่ยที่อยุทธยาเป็นตัวอย่าง ใช้เวลา ประมาณ ไม่เกิน 100 ปี ไม่มีความศรัทธาในแบบมุสลิมเหลืออยู่เลย จากคุณ : แมทท์ - [ 24 ก.ย. 51 10:40:27 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ตรวจสอบอะกีดะห์ตนเองด้วยตาเฒ่า สิ่งที่ตาเฺ์์ฒ่ากล่าวไว้ขัดกับอัลกุรอ่าน [15:9] แท้จริงเราได้ให้ข้อตักเตือน (อัลกุรอาน) ลงมา และแท้จริงเราเป็นผุ้รักษามันอย่างแน่นอน [10:37] และอัลกุรอานนั้นมิใช่จะถูกปั้นแต่งขึ้นโดยผู้ใดนอกจากอัลลอฮ์ แต่เป็นการยืนยันคัมภีร์ที่มีมาก่อน และเป็นการจำแนกข้อบัญญัติต่างๆ ในนั้น ไม่มีข้อสงสัยในคัมภีร์นั้นซึ่งมาจากพระเจ้าแห่งสากลโลก [18:27] และจงอ่านสิ่งที่ถูกวะฮีย์แก่เจ้า จากคัมภีร์ของพระผู้เป็นเจ้าของเจ้า ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงคำกล่าวของพระองค์และเจ้าจะไม่พบที่พึ่งใด ๆ เลยนอกจากพระองค์ [32:3] หรือพวกเขากล่าวว่า เขา (มุฮัมมัด) ได้ปั้นแต่งคัมภีร์นี้ขึ้นมา แต่ว่าคัมภีร์นี้ คือ สัจธรรมจากพระเจ้าของเจ้า เพื่อเจ้าจักได้ตักเตือนกลุ่มชนหนึ่งที่มิได้มีผู้ตักเตือนคนใดมายังพวกเขาก่อนหน้าเจ้า หวังว่าพวกเขาจะได้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง จากคุณ : DJC - [ 24 ก.ย. 51 10:47:31 ]

ความคิดเห็นที่ 51 พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตอย่างแมทท์ (ขออภัยผมไม่อยากเรียกแมทท์ว่ามนุษย์) [3:78] และแท้จริงจากหมู่พวกเขานั้น มีกลุ่มหนึ่งบิดลิ้นของพวกเขา ในการอ่านคัมภีร์ เพื่อพวกเจ้าจะได้คิดว่ามันมาจากคัมภีร์ ทั้งที่มันมิได้มาจากคัมภีร์ และพวกเขากล่าวว่า มันมาจากที่อัลลอฮ์ ทั้งที่มันมิใช่มาจากอัลลอฮ์ และพวกเขากล่าวความเท็จให้แก่อัลลอฮ์ ทั้งที่พวกเขาก็รู้กันดีอยู่ [4:44] เจ้ามิได้มองดูบรรดาผู้ที่ได้รับส่วนหนึ่งจากคัมภีร์ดอกหรือ? โดยที่เขาเหล่านั้นกำลังซื้อความหลงผิดไว้ และต้องการที่จะให้พวกเจ้าหลงทาง [4:51] เจ้ามิได้มองดูบรรดาผู้ที่ได้รับส่วนหนึ่งจากคัมภีร์ดอกหรือ โดยที่พวกเขาศรัทธาต่ออัลญิบติ และอัฏ-ฏอฆูต และกล่าวแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา ว่า พวกเขาเหล่านี้แหละเป็นผู้อยู่ในทางที่เที่ยงตรงกว่าบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จากคุณ : DJC - [ 24 ก.ย. 51 10:49:16 ]

ความคิดเห็นที่ 52 นี่แหละครับ มารยาท ของผู้ที่อ้างตัวเองว่าเป็น มุสลิม แต่ตัวตนเป็นอะไรก็ไม่รู้ ปากก็บอกว่า มุสลิมในนี้ คอยว่า คอยด่าเขา แต่เขากลับด่าคนอื่นลับหลังอย่างหน้าไม่อาย และฝ่าฝืนโองการกุรอ่าน กันกลางเดือนรอมฎอนเลยทีเดียวครับ “และพวกเจ้าอย่านินทาซึ่งกันและกัน คนหนึ่งในหมู่พวกเจ้านั้นชอบที่จะกินเนื้อพี่น้องของเขาที่ตายไปแล้วกระนั้นหรือ พวกเจ้าย่อมรังเกียจมัน และจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ” (อัลหุญุรอต :12) คำพูดของคนแบบแมทท์บอกว่า แมทท์ เป้น    มุสลิมที่ไม่ใช่ "มูนาฟิก"  ฟังเพลงก็บอกว่าฟังเพลง, เล่นดนตรีก็บอกว่าเล่นดนตรี  ไม่มีการโกหกพกลมครับ... แต่อีกคำพูดนึงบอกว่า นายนพเป้น "มุสลิมที่เลว" ครับที่ประกาศเอาชีวิตผมโดยใช้คนอื่น ตัวเองขี้ขลาด และผมได้แจ้งความไว้แล้ว จะเป็นคนสาธารณะหรือไม่ ถ้า ใช้นามแฝง มาโต้ตอบกับผมๆมีสิทธิที่จะอ้างได้ อย่า ขู่ผมเลยครับ  ถึงแม้แกจะเป็นนักเรียนกฎหมาย คงจะจบแล้วในขณะนี้  แกควรจะรู้ ว่าการกระทำของแกผิดกฏหมาย คุณจะนับถือกราบไหว้ นายนพ นั้น มันเรื่องของคุณแต่อย่านำชื่อแกมาขู่ผม... OK.? กุรอ่าน บอกว่า ห้ามนินทา แต่ มุนาฟิก กลับ นินทา ทั้งที่บอกว่า เทิดทูนกุรอ่านสุดลิ่มทิ่มประตูอย่างนั้นหรือ ปากบอกว่าเชื่อเต็มที่ แต่พอจวนตัวก็พร้อมนินทาได้ทุกเมื่อหรือ? แค่นินทาคืออะไรยังไม่รู้ แต่มาบอกว่าตัวเองเป็นมุสลิม แถมยังหน้าไม่อายอีก ไม่มีปัญญาตอบว่า ละหมาดอย่างไรโดยใช้แค่กุรอ่าน ยังมีหน้ามาบอกว่าเป็นมุสลิมอีก ไร้ยางอายจริงๆ ความรู้ภาษาอาหรับก็นิดหน่อย ประวัติศาสตร์ก็คงน้อยนิด ความเข้าใจสภาพสังคมของอาหรับยุคต่างๆ ก็ไม่น่าจะมี แล้วดันบอกว่าเอากุรอ่านเป็นหลัก แล้วชี้นั่นชี้นี่ บอกมุสลิมเป็นมุนาฟิก ปัญญามีแค่นี้ อย่ามาขู่มุสลิมเลย ปากบอกยึดกุรอ่านเป็นหลัก แต่ หลักฐานที่พูดเอง กลับโจมตีกุรอ่านว่ามีข้อผิดพลาด มุนาฟิก เจงๆ จากคุณ : Carroth - [ 24 ก.ย. 51 10:49:28 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ไม่มีการ Idolize ใคร หรือผู้ใด ใด ๆ ทั้งสิ้น มีแต่การตามตามสิ่งที่อัลกุรอ่านกล่าวไว้ หลงทางแล้วสิ่งมีชีวิตแมทท์ ทำไมพระองค์ต้องส่งศาสนทูตมา ไม่ใช่เพื่อให้ใครบูชากราบไหว้ อย่าที่ท่านนบีอีซาโดนกระทำ แต่เพื่อ.... [2:129] พระผู้อภิบาลของเรา ได้ทรงโปรดให้ในหมู่พวกเขามีรอซูลขึ้นมาคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่จะมาสาธยายอายะฮ์ทั้งหลายของพระองค์แก่พวกเขา และสอนคัมภีร์และวิทยปัญญาให้แก่พวกเขา และขัดเกลาชีวิตของพวกเขาให้สะอาด แน่แท้ พระองค์คือผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ [2:151] ดังที่เราได้ส่งร่อซู้ลผู้หนึ่ง จากพวกเจ้าเองมาในหมู่พวกเจ้า ซึ่งเขาจะอ่านบรรดาโองการของเราให้พวกเจ้าฟัง และจะทำให้พวกเจ้าสอาดบริสุทธิ์ และจะสอนคัมภีร์ และความรู้ เกี่ยวกับข้อปฏิบัติให้แก่พวกเจ้า และจะสอนพวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าไม่เคยรู้มาก่อน [5:19] บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย ! แท้จริงร่อซู้ล ของเราได้มายังพวกเจ้าแล้ว โดยที่เขาจะได้ชี้แจงแก่พวกเจ้า ตามวาระสมัยที่ได้ว่างเว้นบรรดาร่อซู้ลมา ทั้งนี้เนื่องจากการที่พวกเจ้าจะกล่าวว่า มิได้มีผู้แจ้งข่าวดีคนใด และผู้ตักเตือนคนใดมายังพวกเรา แท้จริงได้มีผู้แจ้งข่าวดีและผู้ตักเตือนมายังพวกเจ้าแล้ว และอัลลอฮ์นั้นทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง กลับไปสารภาพบาปซะแมทท์ ถ้าไม่ใช่ก็ไปกำสรวลที่กำแพงแห่งความเศร้าที่เยรูซาเล็มเถิด แมทท์ จากคุณ : DJC - [ 24 ก.ย. 51 10:52:54 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ผมไม่เห็นว่า อายัตต่างๆที่คุณนำมาอ้าง เกี่ยวข้องกับความเข้าใจของผมเลย เรื่อง นี้ ถ้าคุณไม่เชื่อว่าท่านรอซุลรับวะฮีย์จากอัลลอฮ์แล้ว  อายะต่างๆเหล่านั้นก้ไม่มีความหมายต่อมุสลิมเลย  ....ว่าแต่ว่าคุณพ่อของคุณอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมหรือไม่ ..ท่านเป็นผุ้เฒ่าเช่นเดียวกับผมหรือไม่?  คุณเรียกคุณพ่อคุณเช่นเดียวที่เรียกผมหรือไม่? จากคุณ : แมทท์ - [ 24 ก.ย. 51 10:55:24 ]

ความคิดเห็นที่ 55 คนบางคนภาษาอาหรับไม่รู้ว่ามีแค่ไหน เรื่องศาสนาไม่ต้องพูดถึงเพราะกุรอ่านยังแปลเองไม่ได้ต้องอาศัยฉบับภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้นเรื่องวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ขณะลงโองการอัลกุรอ่าน สำนวนแวดล้อมไม่ต้องพูดถึงกันแล้วเพราะไม่น่าจะรู้เรื่อง (ถึงรู้เรื่องบ้างแต่ประวัติศาสตร์และเหตุการณ์แวดล้อมในการลงอัลกุรอ่านก็มาจากฮะดีษแบบนึงอีกนั่นแหละ) แล้วยังจะดันทุรังบอกว่าตัวเองศึกษากุรอ่าน ความรู้มีแค่นี้ กล้าดียังไงที่จะมาบอกว่าฮะดีษไม่น่าเชื่อถือ แล้วไปยึดกุรอ่านอย่างเดียวไม่เอานบี  สุดท้ายไปๆ มาๆ แค่เรื่องละหมาดก็ไปไม่รอดแล้ว และรู้ไว้เลย ที่โต๊ะตะเกี่ย หรืออะไรที่แปลกแหวกแนวออกไป เพราะไม่เอากุรอ่านและฮะดีษครับ เอาง่ายๆ วันนึงคนที่อ้างว่า ละหมาดตามบรรพบุรุษแบบแมทท์เนี่ย ถ้าบรรพบุรุษบอกว่า ละหมาดวันละ 12 เวลาล่ะครับ จะเอาหลักฐานอะไรไปแย้งได้? ตอบได้มั๊ยแมทท์ก่อนจะไปหาโต๊ตะเกี่ยอ่ะ เคลียร์กับบรรพบุรุษที่ตัวเองอ้างหน่อยซิว่า ละหมาด 5 เวลา เอามาจากไหน ทำไม ไม่ 12 เวลา บอกมาซิ จากคุณ : Carroth - [ 24 ก.ย. 51 10:56:08 ]

ความคิดเห็นที่ 56 คุณ Carroth ผมนี่ไม่มีความต้องการจะสนทนากับคุณเลยเพราะคุณ Backward มากทีเดียว ที่ผมคุยกับ DJC ก็เพราะเห็นเป็นเด็ก คราวลูก คุยเพื่ออ่านความเฉลียวฉลาด และ ที่ เป็นเด็กทะลึ่งดี อ่านข้อความแล้วสนุกสนานไปด้วย ไม่มีอะไรก็เท่านั้นเอง วัสลาม จากคุณ : แมทท์ - [ 24 ก.ย. 51 11:03:52 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ผมว่าไปกำสรวลกับกำแพงมากกว่า จากคุณ : Carroth - [ 24 ก.ย. 51 11:04:48 ]

ความคิดเห็นที่ 58 คิดว่าผมอยากคุยกับคุณเรอะ ผมแค่มาเสริมเท่านั้นเอง คุณ สนทนากับตัวจริงก็ถูกแล้ว ผมแค่บอกให้คนต่างศาสนิก ได้อ่าน เท่านั้นเอง นะครับ ตั้งคำถามไปก็รู้ว่าตอบไม่ได้หรอก เรื่องละหมาดน่ะ ถามจี้ให้รู้ว่า แมทท์ที่อ้างตัวว่าเป็นมุสลิมถ้าไม่อาศัยฮะดีษแมทท์ก็หาคำตอบไม่ได้ว่าละหมาดอย่างไรมีที่มาอย่างไร ไม่คุยก็ไม่เป็นไรครับ ไม่สน อะ โฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : Carroth - [ 24 ก.ย. 51 11:07:56 ]

ความคิดเห็นที่ 59 กร๊ากกก แมทท์โกหกตัวเองชัด ๆ ชัดเจนแจ่มแจ้ง จากคุณ : DJC - [ 24 ก.ย. 51 11:12:11 ]

ความคิดเห็นที่ 60 จากคุณ : DJC - [ 24 ก.ย. 51 11:29:17 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เอ ผมจุดชนวน หรือเปล่าครับเนี้ย ^^ ถ้าผมล่วงเกินพี่น้องมุสลิมไป ผมขอมะอัฟ(อภัย)ด้วยนะคร้าบ จากคุณ : ghanee.s - [ 24 ก.ย. 51 23:00:36 ]

ความคิดเห็นที่ 62 เฉพาะเรื่องดนตรีนะ ผมคิดว่าดนตรีที่เรียกร้องไปสู่ความดีงาม นั้นน่าจะได้ ดนตรีประเภทนี้แม้จะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่ากับดนตรีที่มอมเมาอารมณ์ไปกับเรื่องไร้สาระ ประเภทอกหักสิบปีไม่หาย อกหักทีฉันจะต้องตายเพราะไม่มีเธอ หรือเต้นระบำในแบบเพื่อเน้นการยั่วยวนทางเพศฯลฯ ยกตัวอย่างนะครับ พี่น้องลองเข้าไปฟังดนตรีที่มีเนื้อหาเรียกร้องสู่ความดีงามและสันติภาพของอิสลาม โดย แคท สตีเว่น อดีตนักร้องเพลงป๊อปชื่อดังที่หันมารับอิสลามและเปลี่ยนชื่อเป็น ยูซุฟ อิสลาม ทุกวันนี้เขาก็ออกดะวะห์ด้วยเสียงเพลงของเขาอย่างแข็งขัน ทำให้โลกตะวันตกได้เห็นมุมมองที่สวยงามของอิสลามบ้าง นอกจากสื่อที่ฉายแต่ความเลวร้ายของโลกมุสลิม จากคุณ : น้องจั้ง (น้องจั้ง) - [ 1 ต.ค. 51 10:49:25 ]