ความคิดเห็นที่ 1 http://www.midnightuniv.org/fineartcmu2001/newpage2.htm เราศึกษาและทำงานจากข้อมูลประมาณนี้ http://www.midnightuniv.org/midnight2544/0009999501.html จากคุณ : Gin-GaL - [ 27 ก.ย. 51 13:36:25 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ก่อนอื่นต้องบอกก่อนกว่าเราเรียนศิลปะแบบfine art นะคะ งานชิ้นนี้ส่งวิชาองค์ประกอบศิลป์ เราขอใช้ความคิดแบบหลักๆอธิบาย แนวคิด(สั้นๆ)-"สตรีเพศในความหมายของข้าพเจ้า" (ดูภาพงานประกอบ) คือเราตั้งหัวข้องานประมาณนี้ค่ะ จะว่าเป็นชื่องานก็ได้ อธิบาย เพิ่มเติมตามกายภาพ:มุ้งเป็นของใช้ที่เราคนไทยรู้จักกันมานานใช้กางเวลานอน เพื่อป้องกันยุงและแมลงต่างๆแต่ในปัจจุบันใช้กันน้อยลงแล้ว ที่เรานำกางเกงในมาทำเป็นมุ้งเพื่อ สื่อถึงความสำคัญสตรีเพศที่เราละเลย เพศที่ให้ความอบอุ่น อ่อนโยน ให้นมบุตร ดูแลสามี9ล9... แต่กลับถูกกีดกันให้อยู่ในที่ๆต่ำต้อยกว่า งานหลายๆงานไม่เลือกผู้หญิง ในทุกยุคทุกสมัยยังเป็นต่อเรื่อยมา ยกตัวอย่างที่เราคิดคล้ายคนนี้(ผู้หญิงเป็นเสมือน ชาติพันธุ์ที่มีขนนก (Mary Wollstonecraft) ในหนังสือที่ชื่อ การแก้ตัวของสิทธิสตรี (A Vindication of the Rights of Woman) เธอได้อธิบายว่า ผู้หญิงเป็นเสมือน ชาติพันธุ์ที่มีขนนก เหมือนนกที่ถูกจำกัดพื้นที่ให้อยู่แต่ในกรงขัง -เรา เลยนำเสนอผลงานเราในรูปแบบของศิลปะเพื่อสะท้อนให้คนคิดโดยเลือกใช้ กกน สตรีเป็นสัญลักษญ์แทนเพศหญิง และใช้มุ้งที่เป็นของที่เราทุกเพศทุกวัยใช้กันเป็นสัญลักษณ์แทนค่าเท่ากับ พื้นที่ในสังคม(เน้นสังคมไทย) ซึ่งเรายังรู้สึกได้ถึงการถูกกีดกันและรังเกียจหรือถือความเชื่อบางอย่างโดย ไร้เหตุผล เพราะเราถามบางคนที่ไม่แม้แต่จะลอดสายมุ้งตอนเราส่งงานว่าเพราะอะไร ก็ไม่ได้คำตอบได้เพียงแต่ก็เค้าเชื่อกันมาอย่างนี้ ทั้งทีเราบอกว่าของใหม่ทั้งหมด บางคนยังว่าเราเล่นสกปรก(อาจจะพูดเล่นก็ได้มั้ง) เราเลยอย่างทำงานเพื่อสื่อความรู้สึกและเพื่อรับรู้ความรู้สึกว่าเหตุใดเพศ ญ. จึงต้องอยู่ในที่ต่ำกว่าอยู่เสมอ ..... งานของเราเน้นนำเสนอ ด้วยมุมมองความคิดแบบ -ตั้งคำถามที่มีอยู่ในใจคนว่าเพราะอะไรเราจึงแยกแยะคนเหมือนกันเหมือนกับการ ที่แยกแยะผ้าชิ้นนึงที่ถูกตัดเย็บเป็นรูปร่างแบบนี้ ------------------------------------------------------------------------------- มีอะไรก็ชี้แนะได้เต็มที่ค่ะ ขอบคุณล่วงหน้า เราต้องการทราบความรู้สึกและความเห็นของทุกคนค่ะ จากคุณ : Gin-GaL - [ 27 ก.ย. 51 13:38:07 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าคุณสามารถเอากระโถนใบใหม่มาใส่ข้าวกินได้ ก็ไม่แปลกอะไรที่จะเอากางเกงในมาทำเป็นมุ้งได้ .. บทบาทมันต่างกัน ไม่มีใครละเลยหรอก เราทำหน้าที่ของผู้หญิงดีหรือยัง ผิดวิธีไปหน่อยมั๊ง ทำแบบนี้มีแต่คนจะรังเกียจการเรียกร้อง ลองคิดหาวิธีอื่น ดีมั๊ย.. แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 51 13:52:18 แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 51 13:51:42 จากคุณ : ลมทะเลไม่เคยหลับ - [ 27 ก.ย. 51 13:46:10 ]

ความคิดเห็นที่ 4 มุ้งหลังนี้ จะเอามาใช้งานจริงคงไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ มันดูทึบๆ อากาศไม่ถ่ายเท อึดอัด ร้อนๆๆ มุ้งบางๆ ลมยังไม่ค่อยเข้าเลย ถ้ามีแมลงเข้าไป จะไล่ก็หาไม่เจอ ตาลาย เอาไปครอบแปลงต้นไม้ ไม่รู้ต้นไม้จะรอดมั้ย ป.ล. แล้วถ้ากุงเกงในใช้แล้ว ยังไม่ได้ซัก จขกท คิดไงมั่งอ้ะ จากคุณ : บุษยมาศ - [ 27 ก.ย. 51 13:51:03 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ถ้ากางเกงในใหม่ก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง แนวคิดดีครับ จะได้เลิกความเชื่อถือโบราณเสียที อะไรกันนักหนา กางเกงในผู้หญิงถือเป็นของต่ำ ทีของในกางเกงในน่ะชอบกันนัก เราว่าไม่ค่อยจะยุติธรรมเลยนะ จากคุณ : ปลาทอง (ปลาทองสยองเมือง) - [ 27 ก.ย. 51 13:51:31 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ลมทะเลไม่เคยหลับ-ขอบคุณสำหรับอีกเสียงนึงค่ะ บุษยมาศ-เรานำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ค่ะเพื่อสื่อความหมายค่ะเราจึงไม่ทำอย่างนั้น ปลาทอง (ปลาทองสยองเมือง) -ค่ะ ขอบคุณค่ะ ความยุติธรรม ก็แค่สิ่งสมมุติเราถึงไม่เคยพบมันจริงๆในสังคม จากคุณ : Gin-GaL - [ 27 ก.ย. 51 14:03:47 ]

ความคิดเห็นที่ 7 คือว่ากรรมมันดลบันดาล ใครทำกรรมดีมากก็ได้รับความสะดวกสบายในสังคมในชีวิตมากกว่าคนอื่น เป็นปกติของโลกอยู่แล้ว แต่แก้ได้ด้วย ถ้าใครพอใจในสถานภาพตัวเอง ฐานะตัวเอง คนนั้นก็ไม่ทุกข์ จากคุณ : ลมทะเลไม่เคยหลับ - [ 27 ก.ย. 51 14:16:29 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้างั้นหากพระพุทธเจ้าพอใจในสถานภาพที่ตัวเองเป็นอยู่(ตอนยังเป็นเจ้าชายอยู่ในวังสุขสำราญ)ก็คงไม่ทำให้พวกเราได้รู้จักคำว่านิพพานสิคะ มันเป็นสุขที่ไม่ยั่งยืนค่ะ เราแสวงหาเพื่อพบคำตอบ ของเหตุและผลว่าเพราะอะไรทำไมจึงเป็นเช่นนี้ เราจึงพ้นทุกข์(เรานับถือด้วยใจไม่ใช่วัตถุ) ------------------------------------------------------------------------------- งานของเราไม่ได้ทำเชิงเรียกร้องซะทีเดียว เราทำเชิงวิพากษ์เพื่อเกิดการตอบโต้แลกเปลี่ยน เรามีวิถีของตัวเอง ไม่ใช่ว่ามันดี แต่เรามีความเป็นคิดที่ไม่คิดทำร้ายใครค่ะไม่ได้ต้องการให้สังคมปั่นป่วน แต่อยากมีส่วนให้หลายสิ่งเปลี่ยนๆในทางที่ชอบธรรม จากคุณ : Gin-GaL - [ 27 ก.ย. 51 14:27:38 ]

ความคิดเห็นที่ 9 กางเกงในแบบจีสติงก็น่าจะดูดีกว่านี้นะ รักดีเป็นผู้หญิงดูยังไงก็ไม่เหมาะอยู่ดี และดูยังไงก็ไม่ศิลปะ คนส่วนมากยังมีความยึดติดว่า ต่ำว่าสูง ซึ่งความเป็นจริง มันก็คือผ้าที่เราใช้สวมใส่ ต่างกันไป เช่นเสื้อยกทรง กางเกงใน เสื้อซับในบังเสื้อยกทรง สลิป กันการมองเห็นขาเวลาใส่กระโปรงค่อนข้างบาง กางเกงในเวลาติดประจำเดือน จะมองดูไม่สวยงาม กางเกงในเวลาใส่แล้วจะไม่ค่อยน่าดู ของบางคนมีกลิ่นแรง บางคนไม่มีกลิ่น บางคนมีตกขาว บางคนไม่มี กางเกงในไม่เหมือนกับเสื้อผ้า เพราะการใช้งานไม่เหมือนกัน บางคนรังเกียจกางเกงในมาก บางคนก็เฉยๆ จากคุณ : รักดี - [ 27 ก.ย. 51 14:33:01 ]

ความคิดเห็นที่ 10 รักดี -ขอบคุณค่ะสำหรับความเห็น ไว้จะเอาจีสตริงมาทำเป็นสายมุ้งค่ะ จากคุณ : Gin-GaL - [ 27 ก.ย. 51 14:36:50 ]

ความคิดเห็นที่ 11 แก้ไขเมื่อ 06 ต.ค. 51 10:43:34 แก้ไขเมื่อ 06 ต.ค. 51 10:41:50 แก้ไขเมื่อ 06 ต.ค. 51 10:35:26 จากคุณ : kongsilp2000 - [ 27 ก.ย. 51 14:40:39 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อคุณกำลังหาวิถีของคุณอยู่แล้ววิถีคุณคือความสุขอันยั่งยืน ก็การพอใจในสถานภาพของคุณอยู่คือวิธีที่ดีที่สุดของพระพุทธเจ้าคุณก็แค่ทำตาม แต่คุณทำงานชิ้นนี้ก็เหมือนกับว่าคุณเรียกร้องเพื่อความยุติธรรม ซึ่งผมกำลังจะบอกว่าในระบบของธรรมชาติมันไม่มีจริงมันมีแค่วิบากของกรรมและการกระทำในปัจจุบัน ซึ่งมีผู้ทำและผู้ถูกกระทำ เพราะฉะนั้น จะเรียกหาความเสมอภาคของผู้กระทำและผู้ถูกกระทำมันไม่มีจริงหรอก จากคุณ : ลมทะเลไม่เคยหลับ - [ 27 ก.ย. 51 14:42:08 ]

ความคิดเห็นที่ 13 kongsilp2000-ทุกคนเป็นโรคจิตค่ะ จิตมีหลายรูปแบบนี่คะ                    อธิบายทีว่าเราเป็นโรคจิตอย่างไร วิเคราะห์ทีเถอะ ---------------------------------------------------------------- ลมทะเลไม่เคยหลับ วิธีที่ดีที่สุดของพระพุทธเจ้าคุณก็แค่ทำตาม-การทำตามโดยไม่ศึกษาให้ถ่องแท้ก็ถือเป็นอวิชชาค่ะ ,เราคิดว่ามันมีค่ะแต่มันมาช้า ความยุติธรรมน่ะ พระพุทธเจ้ายังต้องลองผิดถูกตั้งหลายชาติ ผู้หญิงก็ต้องรอค่ะ แต่รออย่างมีความเคลื่อนไหวไม่ใช่นั่งหายใจทิ้ง  ---ขอบคุณที่ช่วยกลั่นกรองงานเรา จากคุณ : Gin-GaL - [ 27 ก.ย. 51 15:07:31 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผมมองว่าสื่อ ในแง่ของเพศหญิงตามที่จขกท เล่าอาจจะได้ไม่เต็ม 100% เพราะถ้าเปลี่ยนเป็น กกน ชายก็อาจจะไม่ต่างกันเท่าไร ถ้าลองเปลี่ยนผ้าอนามัยนี่อาจจะสื่อได้ชัดขึ้น แต่สุดท้าย ผมว่ามันสื่อได้กำกวมอยู่ดี ในความรู้สึกของผม เพราะอย่างที่บอกต่อให้เปลี่ยนเป็น กกน ชาย ก็ไม่ใช่ว่าความรู้สึกจะต่างอะไรมากมาย มันกลายเป็นว่า เรากำลังรังเกียจเพราะว่ามันเป็นของที่เพศหญิง หรือเพราะมันเป็นของต่ำกันแน่ ผมมองว่าแนวคิดเรื่องการใช้ กนน นี่โอเคเลยนะ เพียงแต่รูปแบบมุ้งนี่มันยังไม่โดนใจผม แต่ยังไงก็ให้กำลังใจครับ บ้านเราผมว่าต้องการอะไรแบบนี้มากๆ   ศิลปะที่ให้ความรู้สึกขบถ แปลกแยกไม่ธรรมดา  นี่แหละ เวิค!!! ปล.อย่าลืมไปตั้งที่คลับกระดานศิลป์ด้วยนะครับ ทำลิ้งค์ให้เลย   http://www.pantip.com/cafe/chalermkrung/index.php?subgroup=117 จากคุณ : Panda-baker - [ 27 ก.ย. 51 15:49:44 ]

ความคิดเห็นที่ 15 Panda-baker-ขอบคุณค่ะ โดนลบก็จะตั้งเพราะเซฟเป็นระยะอยู่แล้วขอบคุณนะคะ จากคุณ : Gin-GaL - [ 27 ก.ย. 51 15:54:32 ]

ความคิดเห็นที่ 16 โทนสีผลงานโดยรวมจะว่าไปก็สวยสดใสดี แต่ก็ให้ความรู้สึกจัดจ้าน อาจเป็นเพราะรายละเอียดของสีเหล่านั้นคือกางเกงในที่มีสีโทนที่ไม่ค่อยอ่อนโยน การจงใจเลือกใช้กางเกงในแทนสัญลักษณ์เพศหญิง มันเหมือนเป็นการประชดประชันสังคมและกดความเป็นผู้หญิงพิกล (ในฐานะที่คนสร้างงานเป็นผู้หญิง) หากจะสรุปว่า มุ้งกางเกงในนี้คือ"สตรีเพศ" มันจะทำให้คำนึงถึงความอีโรติกไปโดยปริยาย ทั้งความเป็นกางเกงใน ความเป็นมุ้ง สีที่คุณใช้โดยรวม และคำว่า เพศ .. จะว่าไปศิลปินมีอิสระในการสร้างสรรค์ผลงานไม่ว่ารูปแบบไหน และจินตนาการก็สามารถมีไปไกลไม่สิ้นสุด ไม่จำเป็นต้องให้ใครเข้าใจความคิดความเข้าใจของงานได้ร้อยเปอร์เซนต์ แต่ว่าหากงานสามารถสื่อสารคอนเซ็ปต์ของงานให้คนดูได้โดยไม่ต้องมีคำอธิบาย จะถือว่าผลงานนั้นครบวงจร คือ สามารถถ่ายทอดความคิดอ่านของตนเองผ่านผลงานไปยังผู้อื่นได้สำเร็จ ความเห็นส่วนตัว รู้สึกว่าเจ้าของงานต้องการแสดงความคิดและอารมณ์แรงๆออกมาในผลงาน แต่เราไม่สามารถเข้าใจได้ถ้าไม่อ่านคอนเซ็ปต์ (อ่านคอนเซ็ปต์หลายเที่ยว ยังไม่แน่ใจเลยค่ะว่าเข้าใจแน่หรือเปล่า-_-) แต่มันคงไม่ใช่ประเด็นหากคุณไม่ได้หวังจะให้ใครเข้าใจ อย่าหมดไฟนะคะ หากสิ่งที่วิจารณ์นี้มีอะไรที่สะดุดหรือกระทบใจ มีงานใหม่ๆอย่าลืมเอามาให้ดูอีกนะคะ^_^ จากคุณ : silly - [ 27 ก.ย. 51 16:05:05 ]

ความคิดเห็นที่ 17 แก้ไขเมื่อ 06 ต.ค. 51 10:37:07 จากคุณ : kongsilp2000 - [ 27 ก.ย. 51 16:56:18 ]

ความคิดเห็นที่ 18 แก้ไขเมื่อ 06 ต.ค. 51 10:37:42 แก้ไขเมื่อ 06 ต.ค. 51 10:36:31 จากคุณ : kongsilp2000 - [ 27 ก.ย. 51 16:57:35 ]

ความคิดเห็นที่ 19 แก้ไขเมื่อ 06 ต.ค. 51 10:38:42 จากคุณ : kongsilp2000 - [ 27 ก.ย. 51 16:59:20 ]

ความคิดเห็นที่ 20 แก้ไขเมื่อ 06 ต.ค. 51 10:39:18 จากคุณ : kongsilp2000 - [ 27 ก.ย. 51 17:02:59 ]

ความคิดเห็นที่ 21 แนวคิด(สั้นๆ)-"สตรีเพศในความหมายของข้าพเจ้า" (ดูภาพงานประกอบ) เราอ่านแค่ประโยคนี้ แล้วดำดิ่งลงไปนอนใต้มุ้งของ จขกท. ตามรูปที่แนบมา สิ่งที่ได้: ผู้หญิงมีหลายสีจัง:  บางคนนุ่มละมุน บางคนอ่อนหวาน บางคนเข้มแข็ง บางคนกระด้าง บางคนร้อนแรง บางคนออกแนวน่ารังเกลียด ความรู้สึกที่ได้เข้าไปอยู่(ตามจินตนาการ): เป็นสังคมที่วุ่นวายจังเลย  หาทางออกไม่ได้เลย  อึดอัดมาก ไม่น่าอยู่ ความคิดกับผู้หญิงกลุ่มนี้: พวกเธอคุณภาพ(เกรด)เดียวกัน ไม่มีใครโดดเด่น พวกเธอมีแนวคิดเดียวกันแต่แสดงออกไม่เหมือนกัน -------------------------------------------------------------------------- แต่พออ่านแนวคิดของ จขกท.   สรุปว่า: คนที่สร้างกรงขังให้ผู้หญิงคือผู้หญิงด้วยกันเอง อะ รู้สึกแบบนั้นจริงๆ จากคุณ : หมูหวานหมด - [ 27 ก.ย. 51 17:11:15 ]

ความคิดเห็นที่ 22 แก้ไขเมื่อ 06 ต.ค. 51 10:40:02 จากคุณ : kongsilp2000 - [ 27 ก.ย. 51 17:23:51 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อยากให้คนที่เข้ามาอ่านกระทู้ช่วยทำใจมองให้เป็นกลางด้วยค่ะ มันคือศิลปะนะคะ แต่ก็เข้าใจนะสำหรับคนที่ไม่เคยดูงานก็อาจจะไม่เข้าใจแต่เราก็เข้าใจ เอ๊ะยังไง เราว่างานนี้เจ๋งนะรู้เปล่าเราอยู่ฝั่งนู้นยังได้ยินข่าวลืออยู่เลยมีคนมาถามว่ารุ่นน้องมาบอกว่ามีพี่ตากเกงในขวางหน้าตึกเลยมันไม่กล้าเดินผ่าน........ แต่งานแรงๆก็คงถูกโต้ตอบแรงๆได้ง่ายเหมือนกันเนอะ... สำหรับคนที่ไม่เข้าใจ ต่เราเข้าใจนะ (จะพูดวนทำไม)เอาไป 1 โหวต จากคุณ : earlyriser (earlyriser) - [ 27 ก.ย. 51 17:27:00 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เออคุณ ก้องฯ  ผมว่าใจเย็นๆ ถอยมาก่อนครับ อย่าพึ่งไปปรามาส   ข้ามไปกระทู้อื่นก่อนเลยก็ได้ครับ จากคุณ : Panda-baker - [ 27 ก.ย. 51 17:49:19 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คุณkongsilpเอากุงเกงในมากองเต็มทู้เลย อิอิ จากคุณ : silly - [ 27 ก.ย. 51 18:00:55 ]

ความคิดเห็นที่ 26 แก้ไขเมื่อ 06 ต.ค. 51 10:40:46 แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 51 18:56:27 จากคุณ : kongsilp2000 - [ 27 ก.ย. 51 18:14:06 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เรียน ท่านkongsilp2000 ท่านเอากางเกงในมากองไว้ที่กระทู้เพียบ มีบททดสอบโรคจิตอีกด้วย ท่านเอามาลองทดสอบตนเองบ้างหรือยัง รูปสุดท้ายกุงเกงในรัดติ้วจนเห็นส่วนสัดของความเป็นเพศสตรี ในความเห็นที่26วาบหวิวมาก ท่านเอามาแปะไว้ให้ผู้ผ่านไปมาได้มีโอกาสพิจารณาและปลงสังขารแน่ๆเลย นานๆจะแสดงความเป็นตัวท่านอย่างแท้จริงเสียที ลบออกไปเสียทำไมเล่า ขอให้ท่านโชคดี และขอให้ทุก ๆ ท่านเจริญในธรรม :-) จากคุณ : silly - [ 27 ก.ย. 51 19:04:20 ]

ความคิดเห็นที่ 28 มาดูดอกไม้ดีกว่าดูกางเกงใน... จากคุณ : รักดี - [ 27 ก.ย. 51 19:36:33 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ผมผ่านมาเห็น26เหมือนกัน ผมกลับคิดว่าคนที่หยาบนี่กลับเป็นคนๆนี้ซะอีก หยาบด้วยเหตุผลที่ว่า เค้าไม่ได้ฟังสิ่งที่คนอื่นพูดเลยกลับดูถูกดูแคลนกลับ.. จากคุณ : ลมทะเลไม่เคยหลับ - [ 27 ก.ย. 51 20:03:17 ]

ความคิดเห็นที่ 30 พอดีเพิ่งกลับมาจากไปธุระในนีี้เดือดๆแฮะ เราขอตอบโดยรวมอีกที เราจะไม่ตอบโ้ต้ใครเป็นพิเศษความยุติธรรมจะเกิดขึ้นได้ในขณะที่มีการถกเถียง และใช้ความคิดร่วมกัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะได้รับความสำเร็จไปครอง -เราขอบคุณทุกความเห็นนะคะ    การที่เราคิดแบบอนุมานซึ่งมันมักมีความไม่แน่นอนอยู่พอควร เราจึงต้องการหาคำตอบและต้องการถูกวิพากษ์ ทั้งนี้ต้องด้วยเหตุผล นะคะ คุณเข้าใจศิลปะมากแค่ไหน คุณเข้าใจสตรีมากแค่ไหน คุณคิดเห็นอย่างไรคุณมีอคติในด้านใดกับเราตั้งแต่ต้นเสียแล้ว จะเอาเหตุผลอะไรมาอธิบายกันได้อีกล่ะคะ silly-ขอบคุณสำหรับ คำวิจารณ์ ที่เราไปโพสท์ทีเเรกทู้แรกเราอยากแค่รับความคิดเห็นเราไม่ต้องการตอบแนวความ คิดเราทั้งหมดเพราะเราไม่อยากชี้นำไปในทางหลายๆทางที่เราคิดซึ่งจริงเราคิด หลายทางมากกว่านี้ยาวมากไป แล้วเราต้องการความคิดเห็นแบบเปิดกว้างค่ะพอเราจั่วไปนิดเรื่องสทธิสตรีคนก็ จะพาลนึกถึงแต่พวกเรียกร้องความชอบธรรมทั้งที่จริงแล้วมันมีหลายรูปแบบ แต่คนก็จำแต่สิ่งไม่ดีที่ใช้ความรุนแรง ซึ่งข้อที่เราขาดและเราอยากได้ความเห็นมากๆคือเรื่องความความเชื่อในสังคม และประเพณี -ว่าทำไมต้องห้าม ทำไมสมัยก่อนผู้หญิงต้องตากผ้าใต้ผ้าถุง ราจะขึ้นเอา -แล้วผ้าถุงกับผ้าขาวม้าต่างกันตรงไหน ทำไมผ้าขาวม้าทำเปลเด็กได้ผ้าถุงมิควร (จากปากของคุณย่าเราเอง) kongsilp2000-เราไม่เคยคิดจะหาอะไรที่คุณนำมาให้เราดูเลยค่ะ เราเข้าใจว่าคุณคงเก็บสะสมไว้อยู่แล้ว ไม่ว่ากันค่ะ คุณคงจะชอบมองหาพวกเดียวกัน *แบบทดสอบของคุณถือเป็นการดูถูกตัวคุณเองนะคะ คนที่นำแบบสอบถามแบบนั้นมาวัดมนุษย์อย่างเราๆไม่นับว่าเป็นมนุษย์ที่ควรได้ รับการให้เกียรติค่ะ หมูหวานหมด-คุณหมายถึงเราด้วยหรือเปล่าคะ แต่เรารู้สึกว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ตอบกระทู้เราอีกเวปนึงไม่ถึง5% ที่รู้สึกแย่กับงานเราค่ะ เค้าเปิดกว้างและยอมรับใช้วิธีหาเหตุผลไม่ได้โยงด้วยสำนึกที่ถูกปลูกฝัง ส่วนในเวปนี้เรารู้สึกได้เลยว่า เค้ายอมค่ะที่จะใช้บรรทัดฐานเดิม ซึ่งเราไม่เห็นว่าไม่ควรอะไรนะคะ ลมทะเลไม่เคยหลับ-คุณเป็นคนมีอุดมการณ์ในแบบของคุณ ขอบคุณค่ะ แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 51 20:22:42 แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 51 20:21:31 จากคุณ : Gin-GaL - [ 27 ก.ย. 51 20:21:09 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เออ..ก็สวยลายตาดีนะคะ.. แต่แค่มองนะ..ไม่นอนอะ.. เพราะท่าทางจะร้อนน่าดูเลย.. กลัวฝันร้ายอะ......ล้อเล่นนะตัวเอง.. กระทู้นี้สุดHOTเลยนะคะ.. ขนาดขับรถอยู่ยังมีคนโทรเล่าให้ฟัง.. ต้องเข้ามาดู...สวยดีเจ้าคร่า..เอิ๊กๆ.. แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 51 20:38:07 จากคุณ : ดั่งก้อนกรวด - [ 27 ก.ย. 51 20:37:35 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ดั่งก้อนกรวด-ขอบคุณค่ะเข้ามาชมเราก็ดีใจแล้วค่ะ ถ้าเราเก็บไว้ดูคนเดียวหรือส่งแค่ที่มหาลั ก็จะได้ความคิดจากแค่กลุ่มคนตรงนั้น ขอบคุณค่ะ จากคุณ : Gin-GaL - [ 27 ก.ย. 51 20:41:16 ]

ความคิดเห็นที่ 33 จากที่เคยเรียนศิลปะ   มาก่อน    ก็พอเข้าใจบ้าง    จิตรกร ดังๆ  หลายคน จะถูกมองว่าบ้าๆ     บางคน ยุคของเขา ภาพขายไม่ออก  อดตายไปก็มี   เพราะคนดูไม่รู้เรื่อง ลองไปดู  ภาพของแวนโก๊(พิมพ์ถูกเปล่าไม่รู้)       ถ้าดูนิดเดียว  จะดูไม่รู้เรื่อง   ดูนานๆ  จึงจะเห็นภาพเหมือนลอยออกมา    ตอนนี้ราคาภาพเขียนของเขา หลักพันล้าน    ยุคเขา คนก็ว่า เขียนภาพบ้าๆ  อะไร? การทำอะไร  ออกจากจารีต ประเพณี    ก็ดูเป็นเรื่องปกติของ จิตรกรบางคน (ย้ำบางคน)       กางเกงในจีสติง   ตอนแรกที่ออกแบบมา  ก็ไม่ค่อยมีคนยอมรับ   ตอนนี้ คนใส่กันเต็ม เคยไปช่วยงานแต่งสวน  เพื่อนซื้อหินก้อนหนึ่ง  ราคาห้าหมื่น   มาตั้งรูปปั้น    บอกนี่คือ   ก้อนเมฆ     เราก็ยังงง  มันดูยังไงของมัน     ก้อนหินขนาดใหญ่  รูปร่างประหลาดๆ   จะราคาแพงกว่า  ก้อนกลมๆ  ธรรมดา แม้กระทั่ง งานเพลง  ถ้าใครเคยฟังดนตรี  ของคีตาโร่      เราอาจฟังออกแค่เสียงดนตรี    แต่สำหรับ จินตนาการของคนแต่ง  บางที เป็นเสียงลม     ฟ้าผ่า      เสียงใบไม้     ซึ่งเรื่องพวกนี้   เราคงไม่เข้าใจ สำหรับงานชิ้นนี้  ของเจ้าของกระทู้    จินตนาการ ผมไปไม่ถึง  แต่ก็ดูแปลกตาดี แต่ยังไง   เจ้าของกระทู้  ก็ต้องทำใจนะครับ     ก็ต้องมีคนไม่เข้าใจ   เป็นธรรมดา     และอย่างที่คุณ  Panda-baker  บอก ศิลปะที่ให้ความรู้สึกขบถ แปลกแยกไม่ธรรมดา  นี่แหละ เวิค ตอนเรียน  อาจารย์ก็บอกทำนอง นี้  คือ  คิดให้ต่าง  มองให้ต่างจากคนอื่น คุณลองเดินเข้าไปใน  มหาวิทยาลัย  ศิลปากร   ท่าพระจันทร์    จะเห็น ปติมากรรม  แบบประหลาดๆ  เยอะ จากคุณ : ไกลมาก - [ 27 ก.ย. 51 20:57:34 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เล่าประสบการณ์  การแข่งวาดภาพ ตอนอยู่ ป. 6 ผม กับน้องชาย  เคยได้คัดตัวไป  แข่งวาดภาพ ของสหประชาชาติ  เพื่อทำปฏิทิน แจกทั่วโลก ผมตกรอบแรก   น้องชาย วาดรูปวัด พระกำลังบิณฑบาตร  ได้รางวัลชมเชย เด็กไต้หวัน  ชนะที่  1   รูปไม่มีอะไรมาก   มี ดาว กับพระจัทร์เสี้ยว  แล้วเด็กนั่งบนเชือก  ที่ผูกระหว่าง  ดาว กับพระจัทร์เสี้ยว   โดยมีฉากหลังเป็นอวกาศ ที่มีดาวส่องแสง  เต็มไปหมด อาจารย์ที่สอน  บอกจินตนาการ   เขาดีกว่า ที่เล่ามา เพียงอยากจะบอกว่า  งานศิลปะ  เฉือนกันที่ จินตนาการ   ขอให้คุณ  เจ้าของกระทู้   ประสบผลสำเร็จในงานศิลปะ นะครับ แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 51 21:29:19 จากคุณ : ไกลมาก - [ 27 ก.ย. 51 21:18:37 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ไกลมาก-เราเรียนที่นั่นแหละค่ะคณะ 1 ยังเรียนอยู่ด้วยปีหน้าอีกปีก็จบแล้วค่ะ         ขอบคุณสำหรับความเห็นด้วยค่ะ  เราจะพยายามตกตะกอนให้เป็ผลึก            ให้ได้ ค่ะ มาเพิ่ม เรายังไม่เคยประกวดอะไรกับใครเลยค่ะเราว่าคุณก็เป็นคนหนึ่งที่มีคาวมสามารถนะคะ เราแข่งเพื่อเรียนรู้ค่ะ ปล.ตอนเราอยู่ป.6ยังไม่ได้ทำอะไรที่น่าภูมิใจแบบนั้นเลยค่ะ มาตั้งใจวาดรูปจริงจังก็ตอนจะสอบเอ็นนี่แหละ แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 51 22:08:46 จากคุณ : Gin-GaL - [ 27 ก.ย. 51 22:03:07 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ลืมเรื่องที่คุณถาม    เรื่องว่า   กางเกงใน เป็นของต่ำไหม   ก็ต้องแล้วแต่คน   และสิ่งแวดล้อม   อย่างถ้าคุณไปวัด  จะค่อยเห็นแม่ชี  ตาก ทั่วไป   ยกเว้นเข้าไป  สถานที่ ๆ เขาอยู่     เห็นบอกว่า จริงๆ ถ้าตาก  ต้องเอาผ้าถุงคุม (จะแห้งไหมเนี่ย) ปัจจุบันคนบางกลุ่มก็จะเห็นเป็นของต่ำอยู่    เคยได้ยินข่าว ที่ทางเหนือเขาห้าม ผู้หญิงเข้าบริเวณเจดีย์  หรือเปล่าครับ   แนวคิดเรื่องเป็นของต่ำ  บางเรื่องมาจากเรื่องไสยศาสตร์ ด้วย    พวกเล่น ของ  จะกลัวของเสื่อม    บางคนแขวนพระ  เขาก็ไม่กล้าลอด หรอก     เพราะถูกสอน  มาว่า  ห้ามลอด    มันมีเรื่องความเชื่อ  เข้ามาเสริม   ส่วนประวัติ  ของชุดชั้นในที่เข้ามาในไทย  ลองไปหาอ่านหนังสือ  "แรกมีในสยาม"   ของอาจารย์เอนก   นาวิกมูล   ดู       เคยอ่านอยู่  แต่นานแล้ว ประวัติชุดชั้นใน   http://forum.mthai.com/view_topic.php?table_id=1&cate_id=34&post_id=19913 คุณ Gin-GaL  มีโอกาสดี นะครับ  ที่ได้เข้าเรียนที่  ศิลปากร   และทางบ้านยอมให้เรียน ความจริง ผมได้ทุนไปเรียนศิลปะที่ญี่ปุ่น  พร้อมกับลูกชาย ของอาจารย์ที่สอนศิลปะ     (ลูกชายอาจารย์ ได้ที่  1  ผมได้ที่ 2   ในการแข่งวาดภาพระดับจังหวัด  ก่อนจะได้ส่งไปประกวด ที่สหประชาชาติ  2 ปี ) แต่คุณแม่ไม่ให้ไป  ทั้งๆ ที่อาจารย์  มาขอถึงบ้าน   แม่บอกจบศิลปะมา ก็แค่มาเขียนป้าย  หน้าโรงหนัง  (ยุคนั้น  คนมองพวกทำงานศิลปะ  ต่ำต้อยจริงๆ) แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 51 23:38:16 จากคุณ : ไกลมาก - [ 27 ก.ย. 51 23:30:08 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ไกลมาก-เรื่อง ห้ามผู้หญิงเข้าบริเวณเจดีย์วัดนั้นเราเคยไปตอนเรียนhistory of artค่ะจำชื่อไม่ได้นะคะแอบโง่ จริงมีหลายวัดที่ห้ามเข้าแต่ต้องเรียน ต้องฝากกล้องถ่ายรูปให้เพื่อน ช เข้าไปถ่ายว่าในนั้นเป็นไง .....ลำบาก ----ขอบคุณเรื่องหนังสือด้วยจะไปหามาอ่าน ด่วน  เลยค่ะ ----เราอิจฉาคุณจังเลยเรื่องได้ทุน-เสียดายแทนด้วยค่ะ  ส่วนมุมมองของคนที่เห็นศิลปะในยุคนั้น ก็ต่างจากยุคนี้นิดเดียวเอง ตอนเอ็นติดใหม่ๆป้าเรายังบอกว่าจบมาเขียนรูปที่สะพานพุทธรึไง  แต่เดี๋ยวนี้ตัวเองไปเรียนวาดรูปคน ซะงั้น ส่วนแม่เราไม่ถึงกับสนับสนุนเต็มที่อย่างพ่อเราหรอกค่ะ เค้าไม่เข้าใจงานเท่าไหร่ชอบบ่นว่าอาจารย์สอนอะไรเนี่ย แต่เค้าตามใจที่เราเลือกเรียนค่ะ ส่วนพ่อเรา ชอบมากแต่ชอบที่เราดรออิ้งกับทำงานภาพพิมพ์ หรือว่าปั้นดิน มากกว่าค่ะ จากคุณ : Gin-GaL - [ 27 ก.ย. 51 23:48:59 ]

ความคิดเห็นที่ 38 เข้าใจความรู้สึกของศิลปินครับ แต่งานชิ้นนี้ผมขอเพียงชื่นชม ไม่ขอใช้เด็ดขาดครับ จากคุณ : Ars Longa Vita Brevis. (นีละปอย~*) - [ 28 ก.ย. 51 00:29:57 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ดูแล้วไม่โสภาหัวใจ คิดใหม่ทำใหม่ ไม่ใช่หัวโบราณ แต่ไม่เอาแบบนี้ จะเป็นกางเกงใหม่ก็ตามแต่มันเป็นเครื่องหมายแทนความสกปรก ไกล้ชิดของลับ ไม่เอา จิตแน่ๆ จากคุณ : lAnGhOo - [ 28 ก.ย. 51 00:55:28 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ข้าว่าถ้าจะให้แรง  ต้องใช้ของที่ใช้แล้วว่ะ จากคุณ : ข้าเอง (earlyriser) - [ 28 ก.ย. 51 01:03:01 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ***แจ้งเราจะไม่ให้กิฟใครแล้วนะคะเพราะว่าเนื่องจากทู้นี้ คห70ค่ะ เราอธิบายไว้ที่ คห 72 ลองดูนะคะ*** ถ้าในนี้กิฟมันซื้อความคิดคุณได้เราคงไม่เอางานมาโพสต์หรอกค่ะ ถึงเราจะรู้สึกดีที่ได้รับคำชมซึ่งนั่นเป็นธรรมดาของมนุษย์แต่ ที่คุณเขียนความเห็นขัดแย้งมันทำให้เราคิดแก้ไขค่ะ แต่ทั้งนี้ต้องมีเหตุผล พอ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X7037815/X7037815.html#72 มาแปะลิ้งตะกี๊ลืม แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 51 01:14:42 จากคุณ : Gin-GaL - [ 28 ก.ย. 51 01:09:35 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ข้าเอง (earlyriser)-อืมเอ็งนี่หาเรื่องมาให้ข้าแระ ไว้นอกรอบโว้ย **ขอบคุณ** Ars Longa Vita Brevis. (นีละปอย~*) lAnGhOo จากคุณ : Gin-GaL - [ 28 ก.ย. 51 01:13:26 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ตามมาอ่านครับ บางความเห็นมันแรงเหมือนกันนะ จากคุณ : Abell 1367 - [ 28 ก.ย. 51 02:01:02 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ข้อที่เราขาดและเราอยากได้ความเห็นมากๆคือเรื่องความความเชื่อในสังคม และประเพณี -ว่าทำไมต้องห้าม ทำไมสมัยก่อนผู้หญิงต้องตากผ้าใต้ผ้าถุง ราจะขึ้นเอา -แล้วผ้าถุงกับผ้าขาวม้าต่างกันตรงไหน ทำไมผ้าขาวม้าทำเปลเด็กได้ผ้าถุงมิควร (จากปากของคุณย่าเราเอง) ก่อนจะตอบคำถามนี้ เราอยากให้ จขกท. วางใจให้เป็นกลาง และ พยายามทำความเข้าใจในโลกทัศน์ และความจำเป็นของคนสมัยก่อน ที่มีความเชื่อกันเช่นนั้น เสียก่อนนะคะ และถึงแม้ จขกท. จะพยายามนำเสนองานชุดนี้ เพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ เราก็อยากให้ จขกท. มองเผื่ออีกด้านค่ะ ว่า จขกท. กำลังเอารูปแบบความคิดของชาวตะวันตก ที่มีพื้นฐานอยู่ในยุคปัจจุบัน และเป็นความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ มาวิพากษ์ความคิดความเชื่อที่มีพื้นฐานมาจากอีกยุคสมัยหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่โลกของวิทยาศาสตร์ และ ความเป็นจริงก็คือ การคิดที่ไม่มีพื้นฐานของตะวันตก และ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องงมงาย ไร้เหตุผล หรือชั่วร้าย จขกท. กำลังตั้งคำถามต่อทรรศนะหนึ่ง ด้วยทรรศนะซึ่งมาจากพื้นฐานที่แตกต่างออกไปมากมาย ถ้า จขกท. ไม่พยายามศึกษา และความเข้าใจกับทรรศนะที่ จขกท. เห็นว่าเป็นปฏิปักษ์นั้น คำถามของ จขกท. จะไม่ได้คำตอบที่แท้จริง และสิ่งที่ จขกท. จะได้รับ ก็คือ มายาคติ หรือ คำตอบและการยอมรับเฉพาะในรูปแบบที่ จขกท. ต้องการ เท่านั้นแหละค่ะ และถ้า จขกท. ต้องการมายาคติ มากกว่าคำตอบที่แท้จริง การนำเสนอศิลปะชุดนี้ ตลอดจนการมาตั้งกระทู้ขอความคิดเห็นในบอร์ดนี้ ก็เป็นเรื่องเสียเวลาเปล่าค่ะ เอาหละค่ะ เราจะให้ข้อมูลในสิ่งที่จขกท. อยากได้ เอาแบบย่อๆ นะคะ เพราะเรื่องที่ จขกท. อยากทราบ ต้องตอบด้วยหนังสือเป็นเล่มๆ ค่ะ ซึ่ง จขกท. สามารถศึกษาได้จากตำราด้านมานุษยวิทยา ที่มีอยู่เป็นกะตั้กในหอสมุดกลางของ ม.ศิลปากร วังท่าพระ ค่ะ แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 51 04:59:12 จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 28 ก.ย. 51 04:11:58 ]

ความคิดเห็นที่ 45 เรื่องที่คนโบราณถือเกี่ยวกับเรื่องชั้นในของผู้หญิงนั้น มีเหตุมาจากคติความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ และคาถาอาคมต่างๆ ค่ะ ไสยศาสตร์ และคาถาอาคม เป็นศาสตร์ของผู้ชายไทยโบราณที่ต้องเรียนรู้เพื่อการป้องกันตัว และการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการไปรบทัพจับศึก หรือการเข้าป่าล่าสัตว์ ฯลฯ ซึ่งก็เหมือนกับสังคมโบราณในทุกภูมิภาคทั่วโลก ล้วนแต่มีความเชื่อและการเรียนรู้ในเรื่องศาสตร์ลี้ลับ หรือ Magic เพื่อการเอาชีวิตรอด และสืบทอดเผ่าพันธุ์มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เวทมนต์ คาถาอาคม เครื่องรางทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นแค่เครื่องเสริมกำลังใจ แต่มีอานุภาพที่ให้ผลได้จริงค่ะ ซึ่งแม้แต่ตอนนี้ ชาวตะวันตกที่ชื่นชอบวิทยาศาสตร์ก็เริ่มค้นพบ และกำลังพยายามหาทางเข้าถึง "อานุภาพ" ส่วนนี้กันอยู่ (ดังนั้น ถ้า จขกท. เชื่อฝรั่ง และเชื่อวิทยาศาสตร์ ก็ต้องเชื่อต่อไปค่ะ ว่าไสยศาสตร์ เป็นสิ่งที่มีจริง) แต่ไสยศาสตร์เป็นสิ่งที่มีข้อจำกัดค่ะ อย่างวิชาอาคมต่างๆ ที่ใช้กันอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นของคนไทย ลาว เขมร มอญ พม่า ล้วนแต่มีจุดอ่อนอย่างเดียวกันหมด คือจะเสื่อมไปได้ง่ายๆ ด้วย "ปราณ" ซึ่งมาจากรอบเดือนของผู้หญิง เพราะในทางไสยศาสตร์ รอบเดือนของผู้หญิงเป็น "แหล่งพลัง" แห่งการให้กำเนิดของเพศแม่ ซึ่งสามารถล้างอาถรรพณ์ทั้งปวงได้ค่ะ ดังนั้น ไสยเวทอาคมไม่ว่ามีอานุภาพแค่ไหน ก็ไม่เก่งไปกว่าพลังของเพศแม่ ที่มีอยู่ในประจำเดือนของผู้หญิงทุกคน ข้อพิสูจน์ง่ายๆ ก็คือว่า ในสมัยโบราณซึ่งมีการเล่นของ ทำคุณไสยกันอย่างดาษดื่นนั้น คุณไสยเหล่านั้นจะไม่มีผลอะไรเลยค่ะกับผู้หญิงในช่วงที่กำลังมีรอบเดือน ไสยศาสตร์ จึงกลัวพลังของเพศหญิง และหวาดหวั่นต่ออำนาจของผู้หญิงมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว (จขกท. ดีใจมั้ยคะเมื่อรู้แบบนี้ ^ ^) ซึ่งก็ด้วยเหตุผลนั้นแหละค่ะ ผู้ชายในสังคมไทยที่เรียนคาถาอาคม และเป็นผู้ใช้คาถาอาคม จึงมีความหวาดกลัวต่อรอบเดือนของผู้หญิง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ "วิชา" ในตัวของพวกเค้าเสื่อมได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นวิชาที่ใช้ในทางดี หรือใช้ได้ในทางร้าย เป็นข้อห้ามที่รู้ๆ กันทั่วไปเลยทีเดียว จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 28 ก.ย. 51 04:14:34 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ในขณะเดียวกัน จขกท. ก็ต้องทราบว่า ในสมัยโบราณนั้นผู้หญิงไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกที่จะรองรับในเวลามีรอบเดือน อย่างผู้หญิงเราในปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่มีเครื่องซักผ้า และไม่มีแม้แต่ผงซักฟอกที่ชำระล้างสิ่งต่างๆ ได้เหมือนคนยุคเราๆ ดังนั้น เวลาผู้หญิงสมัยก่อนมีรอบเดือน จึงเป็นไปได้ค่ะที่จะมีการเปรอะเปื้อนซึ่งไม่แค่ผ้านุ่งชั้นในเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผ้านุ่งชั้นนอก หรือแม้แต่ที่นอนของเค้าเองด้วย แล้วรอยเปื้อนแค่นี้แหละค่ะ ที่ทำให้วิชาอาคมหรือแม้แต่เครื่องรางทั้งหลายแหล่เสื่อมหรือลดอานุภาพไปได้ง่ายๆ ถ้าไปยุ่งกับมัน การรังเกียจชั้นในหรือเสื้อผ้าผู้หญิงในวัฒนธรรมไทย จึงมีสาเหตุมาจากเรื่องแค่นี้เท่านั้นเองแหละค่ะ ส่วนเรื่องความสกปรกอะไรนั้น เป็นเรื่องที่มาพูดกันทีหลัง แล้วพอรังเกียจสืบต่อกันมา ก็เลยทำให้เกิดประเพณีที่เว่อร์ จนถึงขนาดตากผ้าไว้สูงไม่ได้ เดินลอดไม่ได้ สามีจับต้องเสื้อผ้าของภรรยาไม่ได้ แต่ถ้าจะถามว่า ความเชื่อที่ทำให้เกิดการรังเกียจในเรื่องพวกนี้ เป็นความเชื่อที่ idiot หรือ stupid มั้ย จขกท. ก็ต้องย้อนกลับไปอ่านที่เราบอกไว้ตั้งแต่แรกน่ะค่ะ ถ้าพวกเราจะศึกษาอะไรที่เกี่ยวกับคนโบราณ เราต้องทำความเข้าใจถึงความจำเป็นในยุคสมัยของพวกเค้าด้วย และความจำเป็นของคนโบราณ ก็คือ ไสยศาสตร์ ค่ะ ในยุคสมัยที่ยังไม่รู้จักวิทยาศาสตร์ ไม่มีเทคโนโลยี คนทั่วโลกมีที่พึ่งเหมือนกันหมดเพียงอย่างเดียวคือไสยศาสตร์ และเพราะไสยศาสตร์นี่อีกเหมือนกันแหละค่ะ ที่ทำให้เมืองไทยของเราอยู่รอด มีบ้านมีเมืองให้พวกเราอยู่อาศัย เล่นเน็ตกันอยู่ทุกวันนี้ ไสยศาสตร์จึงเป็นวิถีชีวิตของคนโบราณ เป็นสิ่งที่จำเป็นที่เค้ารับรู้กันว่าต้องพึ่งพาอาศัยเพื่อการอยู่รอด และเมื่อพวกเค้าไม่รู้วิธีที่จะจัดการให้ธรรมชาติของเพศหญิงอยู่ร่วมกับไสยศาสตร์ได้ เค้าก็จำเป็นต้องเลือกที่จะสร้างประเพณี วัฒนธรรมต่างๆ ขึ้น เพื่อกันเอาไว้คนละส่วนค่ะ ย้ำว่า เค้าจำเป็นต้องทำแบบนั้นค่ะ ถ้าเค้าเลือกได้ เค้าก็คงไม่ทำแบบนั้นหรอกค่ะ แต่ได้บอกแล้วว่า เค้าไม่มีทางเลือก คนทุกชาติในโลกนี้พัฒนาความรู้ทางไสยศาสตร์ขึ้นมาด้วยข้อจำกัดเหมือนๆ กัน คือไม่สามารถปรับให้เข้ากับพลังธรรมชาติของเพศหญิงได้ เมื่อไสยศาสตร์เหล่านั้นพัฒนาขึ้นมาเป็นศาสนา ข้อจำกัดเหล่านั้นก็ยังคงเดิม คือผู้หญิงยังคงได้รับความหวาดกลัว หวาดระแวงในศาสนาต่างๆ อยู่ อย่างเช่นในศาสนายิว ภรรยาคนแรกของอาดัม คือ ลิลิธ กลายเป็นนางปีศาจ ภรรยาคนที่สอง คือ อีฟ กลายเป็นคนที่ถูกหลอกจนทำให้อาดัมกับอีฟต้องมาอยู่บนโลก และมนุษย์ทุกคนมีบาปติดตัว นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ค่ะ จขกท. คงได้เห็นแล้วว่า แนวความคิดแบบเฟมินิสต์ของ จขกท. นั้น เป็นแนวความคิดที่กำลังต่อสู้กับแนวความคิดหลักที่เป็นแหล่งกำเนิดของแทบทุกอารยธรรมในโลกนี้เลยทีเดียว ^ ^ แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 51 05:05:11 จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 28 ก.ย. 51 04:36:48 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ทีนี้ ถ้าจะถามว่า เป็นไปได้มั้ยที่จะมี "ความเท่าเทียม" ระหว่างเพศหญิงและเพศชาย ก็ต้องตอบว่า ถ้า ความเท่าเทียม หมายถึง ความเหมือนกัน ก็เป็นไปไม่ได้ค่ะ เพราะถ้าทุกอย่างในโลกนี้เหมือนกันไปหมด ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรือพัฒนาอะไร ลงท้ายก็จะเสื่อมสลาย สิ้นเผ่าพันธุ์ไป เป็นกฎธรรมชาติค่ะ ธรรมชาติจึงสร้างชาย-หญิงไม่ให้เหมือนกัน และไม่ให้เท่าเทียมกัน เพื่อทำหน้าที่คนละอย่างกัน บางอย่างชายทำได้ดีกว่าหญิง บางอย่างหญิงก็ทำได้ดีกว่าชาย เป็นอะไรที่ทำแทนกันไม่ได้ เช่น การมีลูก ถ้าชาย-หญิง เท่าเทียมกัน คุณจขกท.คิดว่าจะให้ผู้ชายมีลูกด้วยมั้ยล่ะคะ แล้วถ้าผู้ชายสามารถมีลูกเองได้ จขกท. คิดว่า ผู้ชายจะจำเป็นต้องมีผู้หญิงมั้ยล่ะคะ ^ ^ ดังนั้น ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ความเท่าเทียมกันระหว่างเพศค่ะ ปัญหามันเกิดจากอคติ ที่ไม่ยอมรับซึ่งกันและกันต่างหาก ซึ่งส่วนนึงมันก็มาจากความคิดเพ้อฝันของพวกฝรั่งที่บ้าวิทยาศาสตร์จนลืมนึกถึงกฎธรรมชาติด้วย จขกท. ลองเก็บไปคิดดูเอาเองก็แล้วกันนะคะ^ ^ อ้อ, แถมท้ายนิดนึง สำหรับงานศิลปะของ จขกท. ถ้าต้องการสื่อความคิดด้วยการเอากางเกงชั้นในผู้หญิงมาทำเป็นมุ้ง ตามคอนเซ็ปต์ที่จขกท.อธิบายแล้วนั้น เราเองมองไปอีกอย่างนะคะ คือ เราเป็นเด็กบ้านนอกที่โตมาในมุ้ง เรารู้สึกว่า มุ้งเป็นเรื่องของความอบอุ่น ปลอดภัย และสุขสบาย มากกว่าจะแทนถึงพื้นที่อะไรแคบๆ จำกัดๆ แบบที่จขกท.ว่านะคะ เราจำได้ว่า ตอนเด็กๆ เวลาเราอยู่ในมุ้ง เราไม่รู้สึกว่ามุ้งเป็นอะไรที่คับแคบและจำกัดเลยค่ะ เรากลับรู้สึกว่ามันกว้างขวาง เป็นโลกที่ปลอดภัยของเรา แล้วมันก็เป็นโลกที่ยืดหยุ่น เพราะมันดูเบา การที่จะเข้าจะออกก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย นึกจะออกจากมุ้งเมื่อไหร่ก็เลิกมุ้งออกไป ไม่ได้ถูกจำกัดอะไรเลย ซึ่งเราก็คิดว่า หลายๆ คนที่โตมาในมุ้ง ก็คงจะคิดแบบนั้นนะคะ ดังนั้น ถ้า จขกท. ต้องการภาพลักษณ์ของสิ่งที่ให้ความปลอดภัย แต่จำกัดและคับแคบ ทำไมไม่ใช้สุ่มไก่แทนล่ะคะ สุ่มไก่ทั้งแคบทั้งมืดนะ พื้นที่ก็เล็กนิดเดียว แถมไก่มันยังออกมาจากในสุ่มไก่เองไม่ได้ด้วย คนเลี้ยงต้องมาเปิดให้มันน่ะค่ะ ^ ^ ส่วนกางเกงในผู้หญิง หลากสีสัน เราก็กลับมองเห็นเป็นความร่าเริง สนุกสนาน และตลกด้วย เพราะโทนสีที่จขกท.ใช้ไงคะ จขกท. บอกว่ากำลังสื่อถึงความสำคัญสตรีเพศที่เราละเลย เพศที่ให้ความอบอุ่น อ่อนโยน ให้นมบุตร ดูแลสามี9ล9... แต่กลับถูกกีดกันให้อยู่ในที่ๆต่ำต้อยกว่า การสื่อถึงความรู้สึกอย่างงั้น ควรจะใช้โทนสีที่ทำให้เกิดความรู้สึกกดดัน เป็นสีที่ทำให้รู้สึกว่าถูกตีกรอบ ถูกบังคับ หรือไม่ก็ใช้สีแรงๆ เพียงไม่กี่สีเพื่อช็อคสายตาคนไปเลย แต่จขกท.กลับใช้สีสดๆ หลากหลาย พอเรามองเราก็เลยไม่เห็นน่ะค่ะ ว่ามันสื่อถึงสิ่งที่ จขกท. นำเสนอตรงไหน มันกลับดูมีสีสันมีชีวิตชีวาดีซะอีกต่างหาก เราว่าถ้า จขกท. เอางานชิ้นนี้ไปจัดแสดงจริงๆ คนที่เห็นเค้าคงหัวเราะกันมากกว่าจะรู้สึกถึง "สาร" ที่ จขกท. ต้องการนำเสนอค่ะ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 28 ก.ย. 51 04:54:50 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ------------มุ้งกางเกงใน------------(งานศิลปะ)   อยากได้ความคิดเห็นจากทุกคนในสังคมค่ะ คุณรู้สึกอย่างกับของสิ่งนี้กางเกงในสตรี สมัยก่อนนี้ถือกันมากว่าเป็นของต่ำ... อันนี้พ่อเราบอกนะคะแต่พ่อเราไม่ถือเลยสักนิดค่ะ ส่วนเราเองก็ไม่ได้คิดว่ามันต่ำหรอกค่ะ เราเอางานไปส่งตรงโถงบันไดคนเดินผ่านไปมา บางคนผู้ชายบางคนลอดสายมุ้งได้ บางคนเข้าไปเล่นในมุ้ง เกงเกงในนี้ของเราได้ บางคนอ้อมหนีไปอีกทางกันเลยทีเดียว (นั่นคือสิ่งที่เราอยากเห็นทั้งหมด ทั้งคนที่ยังมีความเชื่ออยู่ และคนที่ไม่คิดอะไรค่ะ) -วิจารณ์วิเคราะสังเคราะห์กันได้เต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจใดๆ จากคุณ : Gin-GaL - [ 27 ก.ย. 51 13:27:54 ] ............................ เรียน จขกท. ปัจจุบัน สังคมไทยก็ยังถือว่า กางเกงในเป็นของสกปรกและเป็นของต่ำ และคนทั่วไปจะไม่เดินรอดโดยไม่จำเป็น ทุกวันนี้มันก็ยังเป็นวัฒนธรรมไทย มันไม่ได้สูญสิ้นไปแล้วอย่างที่ท่านเข้าใจ การที่ท่านเอาผลงานกางเกงใน ไปแขวนในทางสาธารณะให้คนเดินรอดนั้น ถึงแม้มันจะเป็นงานศิลปะ แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง และมันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น และเป็นการทำร้ายจิตใจและความเชื่อของคนในสังคมไทย ซึ่งคนส่วนใหญ่ในสังคมนี้ ไม่ได้มีความคิดแบบตัวท่านและคุณพ่อของท่าน แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 51 06:10:42 แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 51 05:53:08 จากคุณ : kongsilp2000 - [ 28 ก.ย. 51 05:46:32 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ศิลปอาศัยจินตนาการก็จริง....แต่ศิลปะต้องอยู่ในกรอบของจารีตประเพณีและศีลธรรมอันดีงามของสังคม...เพราะการที่มนุษย์ประกอบกันขึ้นมาเป็นสังคมก็ย่อมมีแบบแผนทางความคิดในแต่ละสังคมแตกต่างกัน... ดังนั้นการนำเสนอผลงานทางศีลปะไม่ควรไปทำลายจารีตประเพณีและศีลธรรมอันดีของประชาชน ในสังคมไทยนั้นเป็นสังคมที่อิงต่อคำสอนของพระพุทธศาสนา....ขนบธรรมเนียมประเพณีความเชื่อวิถีชีวิตก็อิงกับหลักธรรมคำสอน...ดังนั้นไม่มีอวัยวะใดในร่างกายมนุษย์ที่เป็นของต่ำหรอกครับ...ทุกอวัยวะก็ทำหน้าที่ของมันไปเพื่อให้ร่างกายอยู่ได้ปกติ แต่อวัยวะบางอย่างของหญิง...เป็นอวัยวะที่ทำให้ชายเกิดกำหนัด...เช่นหน้าอก...หรืออวัยวะเพศ....เป็นอวัยวะที่รวมไว้ซึ่งกำหนัดแห่งชาย....ชายใดพบเห็นย่อมที่จะเกิดกำหนัดได้โดยง่าย....เราจึงต้องปกปิดไว้.... และเสื้อผ้าอาภรณ์ชั้นในต่างๆที่บ่งบอกถึงเรือนร่างส่วนสัดของอวัยะนั้น....ก็เป็นของที่ทำให้ชายเกิดกำหนัดได้เช่นกัน...เพราะมันทำให้เห็นถึงส่วนสัดของผู้สวมอาภรณ์นั้น ดังนั้น...เสื้อผ้าอาภรณ์ของหญิงบางอย่างที่เป็นเครื่องปลุกกำหนัดจึงถูกมองว่าเป้นของต่ำ...บรรพชิตไม่ควรข้องแวะแตะต้อง...หรือผู้ที่อยู่ในศีลในธรรมสำรวมในกามไม่ควรอยู่ใกล้...เพราะจะทำให้ใจฟุ้งซ่าน....วัฒนธรรมไทยจึงยึดถือความคิดนี้มา มิได้หมายถึงว่าหญิงต่ำชายสูง... การแสดงงานศิลปะใดจึงควรตีโจทย์ทางวัฒนธรรมให้แตกเสียก่อน...จึงจะเข้าใจถึงที่ไปที่มา...และจะได้แสดงผลงานออกมาได้อย่างกลมกลืนกัยวัฒนธรรมประเพณีและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น การสร้างงานศิลปะที่ไม่เข้าใจถึงวัฒนธรรมประเพณีในสังคม...จึงเป็นการทำร้ายสังคมด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ.....เป็นความเขลาของศิลปินที่มุ่งที่จะสร้างสรรค์งานของตนให้ฉีกออกไปเพื่อความเด่นดัง....แต่ไม่มีความรับผิดชอบต่อความรู้สึกของคนในสังคม ดังนั้น...นอกจากความคิดสร้างสรรค์แล้ว...ท่านต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย...ศิลปะที่ดีควรที่จะจรรโลงคุณธรรมทางสังคมมิใช่หรือครับ จากคุณ : อินทร์นิล - [ 28 ก.ย. 51 10:14:36 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ความคิดเห็นที่ 35   เจ๋งมากครับ ผมละงงจริงๆ ทำไมคนไทยชอบมองว่าตรงนั้นเป็นของต่ำ ทั้งๆที่ตอนเกิดก็ลอดออกมาจากตรงนั้นกัน จากคุณ : toro pazzo    - [ 28 ก.ย. 51 10:16:51 ] จากคุณ : toro pazzo - [ 28 ก.ย. 51 10:19:04 ]

ความคิดเห็นที่ 51 จารีต ประเพณี สิ่งสมมุติทั้งนั้นครับ ถ้าละทิ้งสิ่งที่ยึดถือ จะเป็นคน สัตว์ มันก็คืออินทรีย์สาร จะเป็นกางเกงใน หรือว่า ผ้าดิ้นทอง มันก็คือเส้นใย ที่เอามาถักทอ มันก็คือผ้า ที่เอามาเย็บติดกัน ถามว่า การเอากางเกงในใหม่ๆที่ยังไม่ได้สวมใส่มาเย็บมุ้งนี่มันถึงกับจะทำให้ประเทศชาติล่มจมวันนี้พรุ่งนี้เลย มันก็คงไม่ใช่ครับ ในเมื่อ ตอนเกิดเราก็ลอดออกมาจากตรงนั้นกันทั้งนั้น ทำไมเราจะต้องไปดูถูกดูแคลนสิ่งที่ให้กำเนิดเรา ทีปลัดขิกยังเอามากราบมาไหว้กันได้เลย ถ้าการเอากางเกงในมาเย็บมุ้งมันทำให้ชีวิตใครต้องพินาศย่อยยับล่มจม คนทุกคนที่คลอดตามธรรมชาติก็คงไม่มีวันประสบความสำเร็จอะไรหรอกครับ จากคำตอบหลายๆคำตอบที่ผมเห็น ผมก็ยังเห็นว่า สังคมไทย ยังมีการดูแคลนเพศหญิงอยู่ค่อนข้างจะสูง ไม่แปลกที่กลุ่ม Feminist จะยังเย้วๆอยู่ ทีปลัดขิกยังเอามาไหว้เลยเนอะคนเรา ปล. ผมไม่เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆทั้งสิ้น เชื่อผลจากการกระทำและเหตุผลทางวิทยาศาสตร์นะครับ ข้ามห้องมาตอบครับ จากคุณ : toro pazzo - [ 28 ก.ย. 51 10:27:58 ]

ความคิดเห็นที่ 52 "ซึ่งคนส่วนใหญ่ในสังคมนี้ ไม่ได้มีความคิดแบบตัวท่านและคุณพ่อของท่าน " "ส่วนพ่อเรา ชอบมากแต่ชอบที่เราดรออิ้งกับทำงานภาพพิมพ์ หรือว่าปั้นดิน มากกว่าค่ะ  " ผมคิดว่าประโยคของ 48 นี่กำลังดูหมิ่นพ่อของจขกท.ทั้งที่เค้าก็เขียนชัดเจนว่าพ่อเค้าชอบในลักษณะการทำงานมากกว่า แล้วก็น่าจะขอโทษจขกท.นะที่ไปดูหมิ่นดูแคลนความคิด ด้วยการเอาภาพกกน.รัดอวัยวะเพศชัดเจนที่แสดงถึงความคิดหื่นกาม ดูถูก ของตัวเองในคคห.ที่ 22,26 มาลง หยาบคายจนน่าตกใจ... จากคุณ : ลมทะเลไม่เคยหลับ - [ 28 ก.ย. 51 10:36:08 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ความเป็นหญิงเป็นชายนั้น..ไม่มีใครต่ำใครสูง.. เราต่างมีบทบาทและหน้าที่ตามธรรมชาติกำหนดมาค่ะ.. จากคุณ : ดั่งก้อนกรวด - [ 28 ก.ย. 51 11:09:36 ]

ความคิดเห็นที่ 54 toro pazzo- ค่ะอ่านความเห็นคุณแล้วทำให้เรารู้จุดที่เราตกหล่นไปเลย จุด ใหญ่จุดนึงเรามองข้ามได้ไง*ปลัดขิก*ประเทศไทยนับถือสิ่งนี้แต่ไม่มีที่ไหน นับถืออีกสิ่ง(โยนี)แต่อิเดียนับถือคู่กัน (“ตาเมือนธม” กับศิวลึงก์(รับมาจากอินเดีย)หนึ่งเดียวในไทย ) ลมทะเลไม่เคยหลับ-คุณเป็นคนมีน้ำใจ และมีเหตุผล หนอนดาวเรือง- -และถึงแม้ จขกท. จะพยายามนำเสนองานชุดนี้ เพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ เราก็อยากให้ จขกท. มองเผื่ออีกด้านค่ะ ฉันเอง-เรามองความเป็นมนุษย์เหมือนกันค่ะเราถือค่าคนที่จิตใจ คุณรังเกียจเกย์มั้ย ยุคนึงมีการประหารชีวิตคนเป็นเกย์ เราเชื่อในปรัชญาซึ่งมันยืนอยู่ปลายทางของหลักทางวิยาศาสตร์และความเชื่อ เราเชื่อในความคิดเเยยศาสนาพุทธ เรานับถือด้วยความมีเหตุและผล คือ เราเป็นเด็กบ้านนอกที่โตมาในมุ้ง เรารู้สึกว่า มุ้งเป็นเรื่องของความอบอุ่น ปลอดภัย และสุขสบาย มากกว่าจะแทนถึงพื้นที่อะไรแคบๆ จำกัดๆ แบบที่จขกท.ว่านะคะ -เราเขียนตรงไหนว่าที่แคบเราเขียนตรงไหน พื้น ที่จำกัด เราบอกว่าเป็นพื้นที่ๆคนในสังคมทุกเพศวัยใช้ร่วมกันเราเลยเอามาอนุมานเป็รสัญลักษณ์ของสังคมเพราะทุกคนใช้ คุณตีความอย่างไม่เปิดจิตค่ะ ---เราก็ไม่ใช่เด็กเมืองนอนมุ้งเหมือนกันถึงได้หยิบยกมาทำได้เพราะเคยใช้มุ้ง---- ถามหน่อยถ้าเป็นมุ้งลวดมันคงไม่รู้สึกอคติขนาดนี้สินะ -และถ้า จขกท. ต้องการมายาคติ มากกว่าคำตอบที่แท้จริง การนำเสนอศิลปะชุดนี้ ตลอดจนการมาตั้งกระทู้ขอความคิดเห็นในบอร์ดนี้ ก็เป็นเรื่องเสียเวลาเปล่าค่ะ ฉันเอง-คุณกำลังบอกว่าเราไม่ฟังเราทราบดีเหมือนที่คุณทราบเราก็คนไทยถูกเลี้ยงดูมาอย่างไทย(บ้านเรานี่มีพ่อใหญ่เป็นคนทำพิธีทางศาสนาเลยล่ะคนนับถือมากๆเราทำตามเพื่อความสบายใจของเค้าแล้วมันก็ไม่ได้เกิดความรู้สึกถูกบังคับ ไม่เหมือนการตาก กกน(ซึ่งนี่มันเรื่องส่วนตัวสิทธิ์ส่วนบุคคล) แม่เราบอกสมัยก่อนบ้านไหนตากไม่เอาผ้าปิดโดนด่าว่ารุนแรง ว่ากันหาว่าบ้านั้นเป็นโสเภณีกันเลยรุนแรงมาก ซึ่งเค้าแค่เข้าใจเรื่องความสะอาดพื้นฐานเท่านั้นแหละ-อันนี้เราคิดเอาเอง) พอโตขึ้นความคิดเราเลยไม่อาจถูกตีกรอบได้อีก   คุณว่าเราต้องการมายาคติ แต่ที่คุณอธิบายนั่นคือมายาตามแบบแผนที่มีมา คุณ กำลังวนเวียนอยู่ในวัฏจักรเดิมๆ เหมือนหลายพันปีมีมา ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่คุณเต็มในยอมรับ เพราะมันเป็นสิ่งคุณทำตามได้ง่ายมากทำมานาน นี่แค่เรื่องกางเกงในยังรู้สึกรังเกียจได้ขนาดนี้  แต่ทีปลัดขิกเนอะ(ลอกข้อสอบคุณtoro pazzo โพสต์ขอบคุณไว้ในทู้อื่นแล้วนะคะขอไม่โพสต์ซ้ำ) -ไสยศาสตร์ จึงกลัวพลังของเพศหญิง และหวาดหวั่นต่ออำนาจของผู้หญิงมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว (จขกท. ดีใจมั้ยคะเมื่อรู้แบบนี้ ^ ^) ฉันเอง- แสดงว่าเค้ากลัวที่เราจะเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกับเค้า เค้าต้องเหนือกว่า..แค่นี้ก็ตีความได้แล้ว...แต่เราขอบคุณข้อมูลมากๆมันชัดเจนดีมาก ทำให้เราสืบข้อมูลและโยงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตถึงปัจจุบันได้ชัดเจนเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่นำข้อมูลที่มีค่ามาให้เรา -จขกท. ก็ต้องย้อนกลับไปอ่านที่เราบอกไว้ตั้งแต่แรกน่ะค่ะ ถ้าพวกเราจะศึกษาอะไรที่เกี่ยวกับคนโบราณ เราต้องทำความเข้าใจถึงความจำเป็นในยุคสมัยของพวกเค้าด้วย ฉันเอง-รับทราบค่ะ นั่นทำให้เรารับรู้ว่าถึงเวลาอันสมควรแล้วที่จะทำงานแบบนี้ได้ เรามาทำตอนปี4ไม่ได้ทำตั้งแต่ปี1นะคะปี5เราจบ(หลักสูตร5ปี) เรารวบรวมความรู้ที่ได้เรียนมาพอควรแล้วจึงกล้าทำไม่ใช่เด็กทำเรียกร้องความสนใจหรือลบหลู่ **คุณคิดยังไงกับงานภิกษุสันดานกา**เราชอบอ่านที่คุณเขียนนะ**** -ส่วนเรื่องรูปแบบของงานที่คุณเขียนถึงเรื่องสีสันคุณมองอย่างข้อเท็จจริงไม่ได้มองด้วยความคิด***คุณปิดใจซะแล้วแต่อย่างว่าคนเราพื้นฐานจิตใจและการเลี้ยงดูต่างกัน**คนเรามักชอบดูถูกคนด้วยกันโดยลืมว่าเราก็คน** จากคุณ : Gin-GaL - [ 28 ก.ย. 51 12:28:25 ]

ความคิดเห็นที่ 55 kongsilp2000-คุณต้องเข้าใจนะคะว่าที่ๆเราส่งงานเป็นมหาวิทยาลัยที่มีการเรียนศิลปะ (งานนี้นับเป็นงานศิลปะไม่ต่างกับประติมากรรมแขวนลอย )อาจารย์ที่สอนเรียนศิลปะคนที่เดินผ่านไปมา นศ ศิลปะ ภารโรงรู้เรื่องศิลปะเพราะคลุกคลีกับพวกเราภารโรงที่คณะเราค่อนข้างสนิทกับนักศึกษาและอาจารย์จึงได้รับการซึมซับความรู้ไปด้วย ฉะนั้นที่นั่นเป็นที่ๆเค้าจัดเตรียมไว้และคนที่นั่นมีความเข้าในสูง ไม่เป็นการละเมิดหรือล่วงเกินสิทธิของใคร เพราะคนผ่านไปมามากมาย ถ้าเค้าเห็นไม่ชอบควร เค้าคงแจ้งไปทางคณะแล้วคงรีบบอกให้เรารื้อด่วน อินทร์นิล -คุณเคยดูข่าวมั้ยมีพระรูปนึงทราบว่าแม่ของตนป่วยไปเช็ดตัวดูแล ผิดวินัยสงฆ์จริง พระด้วยกันในวัดรังเกียจ แต่ในแง่ของความเป็นมนุษย์เค้ามีจิตใจประเสริฐ (แต่ผิดวินัยสงฆ์)..อยากเล่าให้รู้ไว้ จากคุณ : Gin-GaL - [ 28 ก.ย. 51 12:43:17 ]

ความคิดเห็นที่ 56 เจ้าของกระทู้    คงได้ความเห็น  ที่ หลากหลาย   ตามความเชื่อของแต่ละคน  ซึ่งก็ไม่มีผิด  เพราะเขาเข้าใจแบบนั้น  โดยเฉพาะงานศิลปะในไทย  ผูกยึด  กับสังคมประเพณี      ทำให้บ้างครั้ง  งานของศิลปิน   จะต้องโดนวิจารณ์ เป็นธรรมดา   อย่าง  ภาพภิกษุสันดานกา     ก็โดนไปไม่ใช่น้อย อีกอย่าง  การเรียนศิลปะในเมืองไทย  จะเป็นเรื่องของการก๊อปปี้    โคลนนิ่งภาพ  ตั้งแต่  ป. 1  จนถึงมัธยม    ทำให้หลายคน  คิดว่า  การเขียนภาพ  คือ การเขียนภาพตามแบบ    ศิลปะคือการเลียนแบบของจริง  เท่านั้น ตอนผม  ไปเก็บตัววาดภาพ เพื่อส่งไปแข่งที่สหประชาชาติ    อาจารย์  ได้ให้เพื่อนผู้หญิงชาวเยอรมัน (พูดไทยได้)   มาสอน     เขาให้พวกเรา  3  คน   ให้นั่งตัวตรง   แขนให้ได้ฉาก   จุ่มสี    แล้วก็ลาก   ทุกครั้งที่จะเปลี่ยนสี  ต้องจุ่มน้ำก่อนเสมอ   แล้วก็ลาก     แขนต้องได้ฉากเสมอ   แล้วก็ลากต่อไป    เสร็จแล้วถามว่า   เห็นอะไรในนั้น บ้าง     พวกเรา  งงๆ     เพราะเห็นมันมีแต่เส้นๆ     เขาบอก หลักสูตรแบบนี้  ที่ เยอรมัน  เรียนตั้งแต่  อนุบาล ตอนหลังเขาวาดให้เราดู    แล้วบอกให้เราดูภาพที่เขาวาด    เราดูเป็นเส้นเหมือนเดิม     เขาก็หัวเราะ    แล้วก็ชี้ในภาพ  นี่นก   นี่สายน้ำ   นี่ภูเขา   บอกให้ดูดีๆ   แล้วอธิบายเรื่องจินตนาการ   จิตวิญญาณ  ให้ฟัง     เราดูสักพัก   จึงค่อยๆ  มองออก     ก่อนจากกัน  เขาบอกว่า  เราไม่ได้เขียนภาพให้มันเหมือนจริงหรือเปล่า   เราเขียนให้ภาพให้มันมีชีวิตต่างหาก เพราะฉะนั้น  งานที่สื่อความหมาย   จิตวิญญาณ    จะมองยากหน่อย ยิ่งมีเรื่องจารีตประเพณี  มาผูกพัน  ยิ่งเข้าใจยากไปใหญ่     เพราะมันฝืนความรู้สึก  คนส่วนใหญ่     ศิลปิน ที่ทำงานด้านนี้     ต้องทำใจครับ ญาติผมคนหนึ่ง  เป็นลูกศิษย์  ของ  คุณชาญ หรือฤาษีชาญ    ฮวดสวัสดิ์  (รู้จักหรือเปล่า ครับ)  เขาวาดภาพแนวจิตวิญญาณ   อยู่เมืองไทยเกือบอดตาย   ไม่ค่อยมีคนซื้อ   ต้องอาศัยวัดอยู่ วาดรูป     จนภรรยาขอเลิก     ลูกๆ  ก็ไม่เข้าใจพ่อ   เขาเท่าไร     แต่ตอนนี้เขาไปอยู่   ออสเตเลีย   ไปมีชื่อเสียงอยู่ที่นั่น     รับลูกๆ   ไปเรียนที่นั่นหมดแล้ว แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 51 13:12:02 จากคุณ : ไกลมาก - [ 28 ก.ย. 51 13:09:04 ]

ความคิดเห็นที่ 57 เสริม  คุณหนองดาวเรือง  หน่อย     เรื่องของเสื่อม ที่เกิดจากประจำเดือน   นี่เฉพาะ   สาย  อยู่ยงคงกระพัน  นะครับ       ถ้าเป็นสายพวก นะเมตตา   ไม่มีปัญหาอะไร      และพวกยาเสน่ห์ยาแฝด  เช่น น้ำมันพราย    พวกนี้ไม่มีปัญหาอะไรเลย    งั้นจะใช้กับผู้หญิงได้เหรอ   สำหรับ เรื่องน้ำมันพราย  ถ้าโครสงสัยว่ามีจริงหรือ  เปล่า  ก็ยินดีจะเล่าให้ฟัง     เรื่องเกิดที่บริษัท ในกรุงเทพฯ  นี่เอง จากคุณ : ไกลมาก - [ 28 ก.ย. 51 13:14:18 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ไกลมาก-อย่างงี้เค้าไม่คิดว่าเราอยากทำเสน่ห์หรือคะ --------เพราะกำลังตีความไปในแง่ลบกันอยู่มาก แต่ก็อยากทราบข้อมูลหากมันเหมือน สิ่งที่สวนทางกันอยู่ในช่วงความคิดเดียวกัน เอาวะ มาถึงขนาดนี้ ขอทราบเรื่องหน่อยค่ะ *ขอบคุณ*ไกลมาก(ชื่อล็อกอินสะเทือนใจเราตอนนี้เลย)* จากคุณ : Gin-GaL - [ 28 ก.ย. 51 13:57:24 ]

ความคิดเห็นที่ 59 เราไม่เคยถือเรื่องว่า กางเกงในจะต้องเป็นของต่ำอยู่แล้วค่ะ แต่งานของเจ้าของกระทู้อันนี้ เรามองว่าเป็นการสื่อที่ไม่มีชั้นเชิงไปสักนิด คือ แนวคิดก็โอเคอยู่นะคะ  แต่การเอากางเกงในหลากสี มาต่อกัน เป็นมุ้งเนี่ย มันไม่สร้างความรู้สึกประทับใจในแง่ศิลปะเลย ในความคิดเรา เพราะมุ้งเป็นสิ่งที่รูปทรงธรรมดา ไม่มีอะไรดึงดูดเท่าไหร่อยู่แล้ว สิ่งต่อมาคือ สีสันของกางเกงในที่คุณเลือกใช้ ก็ยิ่งไปกันใหญ่ แล้วในแง่ของการใช้งานจริง ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าเป็นเรา จะใช้กางเกงในมาทำเป็นมุ้ง เราจะเลือกมุ้งทรงอื่น ที่มันดูหรูหรากว่านี้ และจะเลือกกางเกงในสีเดียวกัน เป็นลูกไม้ ผ้าโปร่ง เอาแบบมองไกลๆ ไม่ทราบว่าเป็นกางเกงใน ต้องไปมองแบบพิจารณาใกล้ๆ เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกว่า เออ สวยว่ะ พร้อมกับเข้าใจแนวคิดว่ากางเกงในหรือมุ้งที่ใช้นอน จริงๆ ก็เป็นสิ่งของเครื่องใช้ปกติ ไม่น่าจะต้องไปแบ่งแยกว่าอะไรต่ำ อะไรสูง ถ้าเราเป็นผู้ชม เห็นงานของเจ้าของกระทู้อันนี้ พูดตรงๆ เราจะรู้สึกว่า ไร้รสนิยม น่ะ และก็ไม่ได้ประทับใจอะไร ถึงจะเข้าใจแนวคิดก็เถอะ เพราะความรู้สึกมันประมาณอยู่ในแผงขายกางเกงในตามตลาดนัด ไม่ได้เป็นงานศิลปะอ่ะ  (-_-") เพราะส่วนตัวเราชอบงานศิลปะที่มีความละเมียดละไม ในการสื่อความหมายแฝง ด้วยความเคารพ จากคุณ : ~Angela's Ashes~ - [ 28 ก.ย. 51 14:29:06 ]

ความคิดเห็นที่ 60 มาเล่า   ตามที่รับปาก ที่บริษัท ผม  รับพนักงานใหม่    เป็นสาวสวยหน้าตาดี    มีหนุ่มๆ  ตามจีบหลายคน     แต่ที่ดูจะตั้งใจจีบ มีอยู่  3 คน  สมุมติ   ชื่อว่า    เอ-  บี  -  ซี    ละกัน   เพราะบอกชื่อจริง  เขาอาจจะผ่านมาอ่านเข้า    ก็จะไม่ดี     น้องคนนี้ทำงานไปซักพัก   ก็ลาหยุด   บอกไม่สบาย     ผมก็ไม่ได้คิดอะไร     จนมีอยู่วันหนึ่ง   พา เจ้าบี  ไปเลี้ยงข้าว     พอเมา เขาก็เล่าให้ฟังเรื่อง     เขาไปลักน้ำมันพราย   ของ เจ้าเอ  มา     เพราะแค้นใจที่มันใช้    กับน้องผู้หญิงคนนั้น   ผมก็เลยบอก ขอได้ไหม      เขาก็เอาให้   (ข้อดีของคนไม่กินเหล้า มันเมา   เราไม่เมา) ตอนเช้า  ผมก็เรียกเข้ามาพบ   ทั้ง 3  คน   ถามไป  ถามมา   จึงรู้ว่า   เจ้าบี  ที่ไปลักของเพื่อนมา   ก็มีอีกขวด   แต่ชิงเททิ้งไปก่อนที่ผมจะยึด     ผมก็เลย  ให้เขาเล่าให้ฟัง     เรื่องก็มีอยู่ว่า  เจ้า เอ  เห็นว่าจะจีบสู่     เจ้าบี   ไม่ได้  เพราะหน้าตา   บี  หล่อกว่า   จึงใช้ น้ำมันพราย   โดยแตะใส่นิ้ว  เดินไปแตะที่แขน  ตอนเดินสวนกัน   และต้องท่องคาถากำกับด้วย    ไม่ใช่แตะเฉยๆ   อย่างที่เรารู้มาก่อน    โดนทีแรกจะไม่สบาย    หลังจากนั้น  ก็จะเพ้อเรียกหา  เจ้า เอ    ทุกวัน     ถามเขาว่า   ได้น้ำมันพราย มาจากไหน    ปรากฏว่า    ได้มาจากเพื่อนผมเอง   ผมรีบโทรไปต่อว่า   และสอบถาม  ปรากฏว่า   มันได้มาจากประเทศลาว     เลยถามว่า  ตอนทำพิธี มันเด้ง  ขึ้นมาแบบในหนังไหม   คือ  ถ้าเด้งกะว่าจะเสี่ยงไปดู    อยากเห็น มันบอก  เอ็งดูหนังมากไป       ก็ขุดศพ ขึ้นมาธรรมดา  แล้วก็เอาเทียนปลุกเสกลน  ท่องคาถาด้วย   แล้วเอามาผสมกับน้ำมันอะไร  จำไม่ได้ เพื่อนคนนี้  ไปอยู่อเมริกา   มีภรรยาแล้ว    และก็ให้ภรรยาเลี้ยง   เพราะไม่ทำอะไรเลย   เขาไม่อาบน้ำ   เพราะกลัวของเสื่อม ผมถาม  เจ้าซี   ซึ่ง ซื่อที่สุดของกลุ่ม   และไปเป็นเพื่อน   เจ้าเอ   บ่อย     เจ้าซีเล่าว่า     ผู้หญิงนี่จะเพ้อหา  เจ้าเอ  ทุกวัน    จนแม่เขาแปลกใจ     ช่วงอยู่กันตามลำพัง   เอ  จะทำอะไรก็ได้    น้องคนนั้น   ไม่ว่า ความมาแตกที่ว่า   ทั้ง  3  คน  รู้จากแม่ของน้องคนนี้   เขาตั้งท้องกับคนอื่น   ได้ประมาณ   ๓   เดือนแล้ว    เจ้าเอ     จึง  ถอนคาถา     ส่วนน้ำมันขวดที่ยึดมาได้   เอามาตั้งในบริษัท  1  คืน         ตกกลางคืน ดูน่ากลัว    สยองๆ   สงสัยอุปทาน   เช้าจึงเอาให้เพื่อนดู    เพื่อนคนนี้  เขาจบมหิดล   ไม่ค่อยเชื่อ เรื่องลี้ลับ   ผมถามว่า   เชื่อหรือเปล่า  ว่า  น้ำมันพราย  มีจริง?  มันไม่เชื่อ  ผมเลยหยิบให้ดู       และเล่าเรื่อง เจ้า 3 คนให้ฟัง    เราเคยคิดจะทดลองแบบวิทยาศาสตร์     จะลองแตะเพื่อพิสูจน์ว่า   มันจริงอย่างเขาว่า  หรือเปล่า?     แต่กลัวมันจะมีผลข้างเคียง   ไม่กล้าเสี่ยง    เอามาเก็บคืนเดียว   ยังนอนไม่ค่อยหลับ   ตกลงก็เลย  ขับรถไป เททิ้ง   ที่รางรถไฟ   แถวรังสิต   หลัง  เจ้าเอ     ถอนคาถา    น้องสาวคนนี้   ก็เป็นปกติ    อยู่มาพักหนึ่งก็ลาออกไป   เพราะท้องเริ่มใหญ่     เมื่อเดือนมีนา  ปีนี้   ยังเจอ ลูกเขาอยู่เลย    แต่ไม่เจอน้องคนนั้น เจ้าเอ   ตายไปแล้ว  ด้วยโรคหัวใจโต    (หัวใจเหมือนจะทะลักออกมาข้างนอก    กรรมตามสนอง  หรือเปล่าไม่รู้) จากคุณ : ไกลมาก - [ 28 ก.ย. 51 14:36:08 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ~Angela's Ashes~- มันเป็นงานที่ถือเอาความคิดเป็นหลักค่ะ Conceptual Art ลอง serch ดูแล้วจะรู้ http://topicstock2.pantip.com/topicstock/2007/02/C5158299/C5158299.html มาเพิ่มให้ ไกลมาก-ไสยศาสตร์โดยมากมักไม่ดีจริงๆนั่นและค่ะ มันไม่ใช่เรื่องของวัฒฯธรรม หรือประเพณีีอย่างลอยกระทงไรแบบนี้ แต่มันเป็นสิ่งที่ทำให้คนเห็นแก่ตัวค่ะ ศาสนาพุทธไม่สอนเรื่องไสยอยู่แล้วสอนเรื่องปราชญ์มากกว่า ขอบคุณค่ะจะนำไปคิดต่อ .. แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 51 14:51:58 จากคุณ : Gin-GaL - [ 28 ก.ย. 51 14:48:32 ]

ความคิดเห็นที่ 62 คอยตามอ่านกระทู้เรื่อยๆ ความคิดเห็นของคุณ~Angela's Ashes~ตรงกับที่เรารู้สึกมากที่สุด ศิลปะนี่ต่างคนต่างความคิดจริงๆนะ ... ... ศิลปินอยู่เพื่ออะไร ยืนยงเพื่อจรรโลงสิ่งไหน... :-) จากคุณ : silly - [ 28 ก.ย. 51 17:32:44 ]

ความคิดเห็นที่ 63 หวังว่า  คำวิจารณ์   ในนี้   คงไม่ทำให้คุณ    ท้อถอย   ในการสร้างสรรค์ งานศิลปะ   ชิ้นต่อๆ ไป     ลองหา เว็บศิลปะ ต่างประเทศ   เอาผลงานเราไปลง   (ไม่ได้อยากให้ดังนะ) จะได้ข้อคิดอีกแบบ  (แต่ภาษาอังกฤษ  ต้องแข็งแรงนะ)  และเจอคนรู้จริง    ที่เขาจะแนะนำงานของเรา ได้   ตรงจุดกว่า   เพื่อนผมมาอ่านหนังสือ  เกี่ยวกับการจัดสวน ที่บ้านผม   และวิจารณ์บ้านหลังหนึ่ง ว่า   ทำไมจัดสวน  รกๆ   ไม่สวยเลย ผมหยิบหนังสือมาดู    แล้วก็หัวเราะ    เพื่อนมัน  งง!!   ถามทำไม   ผมก็เลยถามว่า  บ้านใครรู้ไหม ?     มันบอกไม่รู้   ผมบอก วิจารณ์  ได้ถูกหลังมาก   บ้านของคุณวิลเลี่ยม   เบ็นสเลย์     เจ้าของ บริษัท  เบ็นสเลย์  ดีไซน์  สตูดิโอ     ซึ่งโรงแรมใหญ่ๆ   บ้าน เรา   และทั่วโลก  ก็บริษัทนี้  แหละจัด   บ้านเขาจัดสวน แบบบาหลี   คนดูไม่เป็น     จะเหมือนรกๆ    เมื่อก่อนก็ไม่เป็นที่นิยม  ในบ้านเรา   มาฮิตเมื่อ  ไม่กี่ปีนี้เอง ขนาดมือจัดสวยระดับโลก   ยังมีคนติ  ว่าไม่สวย   อัสนี และ  วสันต์     ตอนออกเทปแรกๆ   โดนว่า เยอะนะครับ   ร้องแบบเสือลากหาง    โดนสับเละ   แต่ตอนนี้ กลายเป็นตำนาน   ผลงานก็ฮิตมาถึงปัจจุบัน  ขนาดผ่านมาเป็น   10  ปี   และนักร้องรุ่นหลัง  เอามาเป็นแบบไม่รู้กี่วง พงษ์พัฒน์ ก็  ร้องแบบแหกปากตะโกน   โดนสับเละเหมือนกัน      แต่หลายคนก็ยังชื่นชอบ  ผลงานของเขา ถ้าเราคิดอะไร   จะทำอะไร   ต่างจากคนอื่น    ก็จะเป็นเรื่องธรรมดา    ที่จะมีคนไม่เห็นด้วย ขอให้ประสบความสำเร็จ ในงานศิลปะ  นะครับ แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 51 17:58:17 จากคุณ : ไกลมาก - [ 28 ก.ย. 51 17:53:46 ]

ความคิดเห็นที่ 64 silly-ยืนยงเพื่อจรรโลงสิ่งใด แต่ศิลปินก็ภาคภูมิในใจ         **ที่ได้สร้างมวลมนุษยธรรม** ไกลมาก-เราป่วยภาษาอังกฤษเลยแต่จะเรียนรู้เพิ่มเติมให้คล่องให้ได้ค่ะ           -ชอบป้าย           -Praise be that which makes us hard           -Talk to people other than artist           -Fail fast           (ถ้าผิดแก้ที) **ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามตรวจสอบ** จากคุณ : Gin-GaL - [ 28 ก.ย. 51 18:15:15 ]

ความคิดเห็นที่ 65 - Praise be that which makes us hard          -Talk to people other than artist          -Fail fast          (ถ้าผิดแก้ที) จากคุณ : Gin-GaL  - [ 28 ก.ย. 51 18:15:15 ] ............. ถ้าแก้เท่าที่เห็นและพอเดาได้ ก็น่าจะเป็น Praise makes us strong. แปลตรงตัวว่า คำชมทำให้แข็งแกร่ง (ถ้าใช้คำว่า hard จะแปลว่ากระด้าง หรือยาก) แต่ฝรั่งปกติจะชอบใช้ว่า Challenges make us strong. อุปสรรคทำให้เราแข็งแกร่ง ............................. ประโยคที่สอง อาจจะเป็น Open our mind to all. น่าจะมีความหมายมากกว่า ............. คำว่า Fail fast ตรงนี้ไม่รู้ว่าท่านต้องการพูดเป็นภาษาไทยว่าอะไร เลยแนะนำไม่ถูก ........................ ทั้งหมดที่บอกมานี้ ก็เดาเอาทั้งนั้นนะ ถ้าท่านบอกว่าท่านต้องการพูดภาษาไทยว่าอะไร ก็จะแนะนำได้ดีกว่านี้ จากคุณ : kongsilp2000 - [ 28 ก.ย. 51 18:34:59 ]

ความคิดเห็นที่ 66 kongsilp2000 เราจดมาจากในหนังสือที่เป็นพวกนิยามคำคมของดีไซเนอร์น่ะค่ะ เห็นว่าน่าสนใจ เลยจดเก็บไว้ แต่เราว่าเราจดถูกหมดนะ คือกลัวผิดตรงที่มันนิดๆหน่อยๆน่ะค่ะ แบบเติมsอะไรอย่างนี้น่ะค่ะ Praise be that which makes us hard เราเข้าใจว่างี้คำชมทำใหเราทำงานยากขึ้นคือหากถูกชมก็ต้องยิ่งพัฒนา หากถูกติก็เพียงแก้ไข คือคำชมมันทำให้คนคาดหวังในงานสูงน่ะค่ะเรารู้สึกอย่างนั้น Talk to people other than artist -คือตรงคุยกับคนอื่นที่ไม่ใช่ศิลปินบ้าง(ไม่ได้หมายความว่าเป็นนะ) คือถ้าเราอยู่ในสังคมไหนเราก็คลุกคลีอยู่แต่ตรงนั้นทำให้ไม่ได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างจากกลุ่มคนอื่น และเราก็จะคิดเองทึกทักเอาฝ่ายเดียว -Fail fast -รีบล้มเหลว--- คือเราคิดว่าจะได้รู้ไงว่ามันไม่เวิคจะได้ไม่มาเสียเวลา หรือจะได้รีบแก้ไขมันซะ ปล.ขอบคุณที่มาช่วยแนะนำนะคะเรา ก็ไม่รู้หรอกว่าเค้าอาจใช้ศัพท์วัยรุ่นรึปล่าว(ยอมรับว่าป่วย+ห่วยอังกฤษจริงๆ) น่ะค่ะ หรือเค้าอาจไม่ได้ใช้คำที่มันสละสลวยน่ะค่ะ จากคุณ : Gin-GaL - [ 28 ก.ย. 51 19:05:41 ]

ความคิดเห็นที่ 67 เราเขียนตรงไหนว่าที่แคบเราเขียนตรงไหน พื้น ที่จำกัด เราบอกว่าเป็นพื้นที่ๆคนในสังคมทุกเพศวัยใช้ร่วมกันเราเลยเอามาอนุมานเป็รสัญลักษณ์ของสังคมเพราะทุกคนใช้ คุณตีความอย่างไม่เปิดจิตค่ะ ---เราก็ไม่ใช่เด็กเมืองนอนมุ้งเหมือนกันถึงได้หยิบยกมาทำได้เพราะเคยใช้มุ้ง---- เผอิญ คุณเขียนอย่างงี้น่ะค่ะ v v v เรา เลยนำเสนอผลงานเราในรูปแบบของศิลปะเพื่อสะท้อนให้คนคิดโดยเลือกใช้ กกน สตรีเป็นสัญลักษญ์แทนเพศหญิง และใช้มุ้งที่เป็นของที่เราทุกเพศทุกวัยใช้กันเป็นสัญลักษณ์แทนค่าเท่ากับ พื้นที่ในสังคม(เน้นสังคมไทย) ซึ่งเรายังรู้สึกได้ถึงการถูกกีดกันและรังเกียจหรือถือความเชื่อบางอย่างโดย ไร้เหตุผล ดูตรงที่ขีดเส้นใต้นะคะ แล้วคิดว่ามันเป็นเรื่องของความคับแคบ จำกัด มั้ย เราตีความไปตามข้อเขียนของคุณนะคะ เราไม่ได้พูดเอาเองเลยนะคะ ถามหน่อยถ้าเป็นมุ้งลวดมันคงไม่รู้สึกอคติขนาดนี้สินะ เข้าใจแล้วค่ะ ตอนตั้งกระทู้ก็บอกว่าอยากได้คำวิจารณ์ ต่อมาก็ทำท่าว่ายอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง พอเจอความคิดเห็นที่แตกต่างจริงๆ ก็หาว่าอคติ ต้องชมกันซึ่งๆ หน้า หรือร่วมบรรเจิดไปกับมุ้งกางเกงในของคุณหรือเปล่าคะ คุณถึงจะเห็นว่าไม่อคติ? เราเตือนคุณแล้ว ว่าถ้าคุณต้องการมายาคติ คุณเสียเวลาเปล่าในการนำเสนองานชิ้นนี้ และมาตั้งกระทู้นี้ ตอนนี้คุณเสียเวลาเปล่าจริงๆ ค่ะ คุณว่าเราต้องการมายาคติ แต่ที่คุณอธิบายนั่นคือมายาตามแบบแผนที่มีมา เราอธิบายตั้งหลายค.ห. น่าเสียดายที่คุณยังอ่านไม่ออกว่า เรากำลังให้ข้อมูลที่คุณเองก็เรียกร้อง ต้องการจะอ่าน เราบอกคุณว่ามันคือ ความจำเป็น ซึ่งคนโบราณทำไปเพราะไม่มีทางเลือก แต่ด้วยความที่คุณเป็นเฟมินิสต์ คุณจึงไม่พยายามเข้าใจ และสรุปว่านั่นคือ มายา เราไม่ยักกะแปลกใจเลยนะคะ ที่เฟมินิสต์ส่วนใหญ่ ไม่ค่อยพยายามทำความเข้าใจกับอะไรทั้งสิ้น เหมือนที่คุณทำอยู่นี่แหละ ไม่งั้นก็คงไม่เรียกว่าเฟมินิสต์ละมั้ง^ ^" คุณ กำลังวนเวียนอยู่ในวัฏจักรเดิมๆ เหมือนหลายพันปีมีมา ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่คุณเต็มในยอมรับ เพราะมันเป็นสิ่งคุณทำตามได้ง่ายมากทำมานาน นี่แค่เรื่องกางเกงในยังรู้สึกรังเกียจได้ขนาดนี้  แต่ทีปลัดขิกเนอะ(ลอกข้อสอบคุณtoro pazzo โพสต์ขอบคุณไว้ในทู้อื่นแล้วนะคะขอไม่โพสต์ซ้ำ) เหรอคะ คุณบอกเองนะคะ ว่า "ข้อที่เราขาดและเราอยากได้ความเห็นมากๆคือเรื่องความความเชื่อในสังคม และประเพณี" พอเราตอบคุณ คุณกลับบอกว่าเราวนเวียนในวัฏจักรเดิม เราเต็มใจยอมรับในสิ่งที่เราอธิบาย เพราะเป็นสิ่งที่เราทำตามได้ง่าย แล้วเรารังเกียจกางเกงใน แต่ทีปลัดขิก... เราเขียนไว้ตรงไหนเหรอคะว่า -เราวนเวียนในวัฏจักรเดิม -เราเต็มใจยอมรับในสิ่งที่เราอธิบาย เพราะเป็นสิ่งที่เราทำตามได้ง่าย -เรารังเกียจกางเกงใน รวมทั้งเรื่องปลัดขิก? ตรงไหนคะ กรุณายกมาหน่อยสิคะ คุณต้องการคำอธิบาย คุณเรียกร้องเอง แต่พอเราอธิบายให้คุณเข้าใจ นอกจากคุณจะไม่เข้าใจแล้ว คุณยังไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น เพราะคุณกำลังหน้ามืดตามัว หน้ามืดตามัวเพราะอะไร เพราะคุณบอกเองว่าคุณอยากได้คำวิจารณ์ แต่พอเจอคำวิจารณ์ในแบบที่คุณไม่ชอบ คุณก็คิดว่าทุกคนที่เข้ามาให้ความเห็นที่แตกต่างจากคุณ กลายเป็นพวกรังเกียจกางเกงในกันไปหมด เราอธิบาย เพราะคุณอยากได้ข้อมูลนั้น ไม่ใช่เพราะเรายอมรับหรือรังเกียจอะไรในเรื่องที่เราพูด เราทำแค่อธิบาย และบอกคุณว่า คุณควรทำความเข้าใจว่ามันมีที่มาที่ไปยังไง เท่านั้น จบ ถ้าคุณบอกว่า สิ่งที่เราเขียนไปทั้งหมด เป็นเพราะ-เราวนเวียนในวัฏจักรเดิม -เราเต็มใจยอมรับในสิ่งที่เราอธิบาย เพราะเป็นสิ่งที่เราทำตามได้ง่าย -เรารังเกียจกางเกงใน เราว่าคุณกำลังหน้ามืดได้ที่แล้วหละค่ะ ซึ่งนั่นอาจเป็นผลมาจากการเอากางเกงในมาทำมุ้งก็ได้ ส่วนเรื่องปลัดขิก กรุณาไปศึกษาให้ดีนะคะ ก่อนที่จะเอามาเชื่อมโยง มันเป็นเรื่องคนละแนวคิด คนละประเด็นกันเลย ปลัดขิกเป็นเรื่องของการบูชาอวัยวะเพศเพื่อความอุดมสมบูรณ์ เป็นคนละเรื่องกับการรังเกียจของใช้ของผู้หญิง คุณหรือใครที่จับมาเชื่อมโยงกัน ควรจะทำความเข้าใจให้มาก ปัญหาที่เกิดกับคุณอยู่ขณะนี้ คือคุณไม่พยายามเข้าใจอะไรเลยค่ะ ส่วนเรื่องรูปแบบของงานที่คุณเขียนถึงเรื่องสีสันคุณมองอย่างข้อเท็จจริงไม่ได้มองด้วยความคิด***คุณปิดใจซะแล้วแต่อย่างว่าคนเราพื้นฐานจิตใจและการเลี้ยงดูต่างกัน**คนเรามักชอบดูถูกคนด้วยกันโดยลืมว่าเราก็คน** เอาอย่างงี้ดีกว่าค่ะ คุณก็ดูเอาก็แล้วกันว่าเมื่อคุณนำเสนองานชุดนี้ อาจารย์ที่สอนคุณท่านบอกคุณยังไงก็แล้วกัน สิ่งที่เราอยากจะบอกคุณเป็นครั้งสุดท้ายก็คือ ถ้าคุณทำงานศิลปะ คุณต้องรู้ว่าคุณไม่ได้ทำเพื่อให้ตัวคุณเอง หรือคนที่มีโลกทัศน์แบบเดียวกับคุณได้ดูเท่านั้น คุณทำเพื่อให้คนอื่นได้ดูด้วย เพราะฉะนั้น ถึงแม้คนอื่นๆ จะมีความเข้าใจในศิลปะที่แตกต่างจากคุณ แต่ทันทีที่คุณอธิบายคอนเซ็ปต์งาน แล้วคนส่วนมากยอมรับว่าสิ่งที่คุณนำเสนอนั้น มันใช่ นั่นแหละค่ะคืองานของคุณสื่อสารได้สำเร็จแล้ว แต่ถ้าคุณอธิบายคอนเซ็ปต์งานแล้ว คนอื่นมองแล้วสงสัย-"มันเชื่อมโยงกันตรงไหนหว่า?" (พูดง่ายๆ คือ ดูแล้วไม่ get น่ะค่ะ) ในฐานะที่เป็นศิลปิน คุณต้องทำงานของคุณให้ชัดขึ้นอีก ไม่ใช่เอาแต่ตอบโต้คนที่ไม่เข้าใจว่าอคติ คับแคบ หัวเก่า วนเวียนในมายาเดิมๆ ปิดใจฯลฯ พอเข้าใจมั้ยคะ? อ้อ, แล้วก่อนจากกัน เราขอบอกไว้อย่างนึงนะคะ ศิลปากรน่ะเป็นที่ที่เราเข้าไปเป็นประจำ เข้าไปดูงานศิลปะแทบทุกงาน ตั้งแต่สมัยที่เรายังเรียนอยู่แถวๆ นั้น อาจารย์สอนศิลปะรุ่นเก่าๆ หลายท่าน อ.ปัญญา ที่เป็นคณบดีคณะจิตรกรรมตอนนี้ อ.วิโชค อ.ถาวร อ.กัญญา เรารู้จักและเคยขอความรู้มาตั้งแต่ก่อนคุณเข้าไปเรียนที่นั่นค่ะ เพราะฉะนั้นเราไม่ปิดใจนักหรอกค่ะเวลาดูงานศิลปะน่ะ เราดูงานศิลปะมาเยอะค่ะ เห็นมาเยอะค่ะว่างานไหนลึก งานไหน fake และเห็นด้วยซ้ำไปว่า ศิลปินไหนที่เริ่มต้นทำงานด้วยความ fake แล้วไม่ยอมรับคำวิจารณ์ ไม่รับรู้รับฟังอะไรทั้งสิ้น ยังดันทุรังที่จะ fake ต่อไป ศิลปินคนนั้นทำงานไปได้ไม่นานนักหรอกค่ะ คุณก็ดูตัวอย่างจากรุ่นพี่ๆ ของคุณเอาเองเถอะค่ะ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 28 ก.ย. 51 19:35:33 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ตอบคุณไกลมาก ค.ห.๕๗ เสริม  คุณหนองดาวเรือง  หน่อย     เรื่องของเสื่อม ที่เกิดจากประจำเดือน   นี่เฉพาะ   สาย  อยู่ยงคงกระพัน  นะครับ       ถ้าเป็นสายพวก นะเมตตา   ไม่มีปัญหาอะไร      และพวกยาเสน่ห์ยาแฝด  เช่น น้ำมันพราย    พวกนี้ไม่มีปัญหาอะไรเลย    งั้นจะใช้กับผู้หญิงได้เหรอ สายเมตตา หรือเสน่ห์ยาแฝด ก็ใช้กับผู้หญิงตอนที่มีรอบเดือนไม่ได้ผลเหมือนกันแหละค่ะ ต้องใช้หลังจากเค้าพ้นช่วงนั้นไปแล้ว^ ^ เพียงแต่หลังจากที่เค้ารับคุณไสยพวกนั้นเข้าไปแล้ว แม้เค้าจะมีรอบเดือนครั้งต่อไปก็ไม่สามารถล้างอาถรรพณ์ใดๆ ได้แล้วค่ะ เพราะของ หรือคุณไสยเหล่านั้นจะหาทางหลบเลี่ยงได้ และมันก็ควบคุมจิตเค้าไว้ได้เรียบร้อยแล้ว เรื่องไสยศาสตร์ เราเห็นมาเยอะมากค่ะ คือเราโตมาในดงที่เค้าเล่นไสยศาสตร์กันเลย เห็นคนที่ถูกของ ถูกทำเสน่ห์ ถูกบังฟัน หรือตายเพราะไสยศาสตร์หลายคนแล้ว บางคนโดนเสกตะขาบเข้าท้องนะคะ ตายแล้วถึงวันจะเผาเปิดโลงออกมา ตะขาบเป็นร้อยๆ ตัววิ่งกันอยู่ในโลง เราเด็กภูธรค่ะ ไม่อยากรู้ก็ต้องรู้ไว้แหละค่ะเรื่องพวกนี้ ^ ^ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 28 ก.ย. 51 19:48:00 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ความคิดเห็นที่ 64 silly-ยืนยงเพื่อจรรโลงสิ่งใด แต่ศิลปินก็ภาคภูมิในใจ        **ที่ได้สร้างมวลมนุษยธรรม** จากคุณ : Gin-GaL - [ 28 ก.ย. 51 18:15:15 ] ศิลปินอยู่เพื่ออะไร ยืนยงเพื่อจรรโลงสิ่งไหน แต่ศิลปินก็ภาคภูมิในใจ ที่ได้สร้างเพื่อมนุษยธรรม เรื่องเล็กน้อยมากเลย แถมไม่เกี่ยวกับกระทู้ แต่ก็อดแก้ให้ไม่ได้ โปรดอย่าถือสาจ้ะ .. มะมาเรามารื่นเริง:-D ฮึมฮัม ฮึมฮัม..ไปล่ะ จากคุณ : silly - [ 28 ก.ย. 51 20:16:36 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ^ ^ ^ เอ๋...แต่ตอนเราได้ยินเค้าร้องเพลงนี้กัน เค้าร้องว่า.. ศิลปินอยู่เพื่ออะไร ยืนยงเพื่อจรรโลงสิ่งไหน แต่ศิลปินก็ภาคภูมิในใจ ที่ได้สร้างสรรค์ผลงาน ไม่ใช่เหรอคะ หรือว่าเปลี่ยนเนื้อเพลงไปแล้ว - -" จำได้ด้วยว่า ท่อนต่อไปคือ "ดูสิ สวยแท้ปานใด ศิลปะภพเลิศไฉไล กลิ่นสีและกาวแป้ง ดุจดังแรงส่งเสริมใจ.." อะไรทำนองนี้แหละ เป็นเพลงที่นักศึกษาคณะจิตรกรรมรุ่นแรกๆ แต่งเนื้อร้องขึ้นมาจากทำนองเพลง Santa Lucia ซึ่งเป็นเพลงโปรดของ ศ.ศิลป์ พีระศรี ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร เรื่องเล็กน้อยและไม่เกี่ยวกับกระทู้เช่นกัน แต่ขอเสริมค่ะ โปรดอย่าถือสา^ ^ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 28 ก.ย. 51 20:23:42 ]

ความคิดเห็นที่ 71 หนอนดาวเรือง- ดูตรงที่ขีดเส้นใต้นะคะ แล้วคิดว่ามันเป็นเรื่องของความคับแคบ จำกัด มั้ย -เราหมายถึงการใช้ความเชื่อบางอย่างที่ไร้เหตุผลมาจำกัดและกีดกันค่ะ ไม่ได้หมายถึงมุ้งมันแคบ (คุณเป็นคนซื่อ) เข้าใจแล้วค่ะ ตอนตั้งกระทู้ก็บอกว่าอยากได้คำวิจารณ์ ต่อมาก็ทำท่าว่ายอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง พอเจอความคิดเห็นที่แตกต่างจริงๆ ก็หาว่าอคติ ต้องชมกันซึ่งๆ หน้า หรือร่วมบรรเจิดไปกับมุ้งกางเกงในของคุณหรือเปล่าคะ คุณถึงจะเห็นว่าไม่อคติ? เราเตือนคุณแล้ว ว่าถ้าคุณต้องการมายาคติ คุณเสียเวลาเปล่าในการนำเสนองานชิ้นนี้ และมาตั้งกระทู้นี้ ตอนนี้คุณเสียเวลาเปล่าจริงๆ ค่ะ -เราไม่ได้กล่าวว่าคุณผิดอะไรที่อคิตินะคะ หรือการที่คุณคิดว่าเราอคติเราก็ไม่ว่า เพราะเราต้องการสืบค้นข้อมูล เราจึงมีจุดยืนอีกมุมในมุมของเราเพื่อตรวจสอบคุณเหมือนที่คุณตรวจสอบเราเช่น กัน งานชิ้นนี้ไม่ได้สุดโต่งในแง่ดีหรือลบของหญิง-ชาย แต่อยู่ตรงคำว่า มนุษย์-จิตใจ (ปล.เราได้ข้อมูลจากงานคุณมากมายมีหรือคะจะไม่อยากฟังความเห็นซึ่งต่างกับ คุณเมื่อเห็นความเห็นเรา)แต่เราต้องมีจุดยืนหากเราไม่โต้ตอบมีหรือเราจะได้ ข้อ มูลจากคุณมากมาย ...ต่อไปนี้เราจะไม่วิจารณ์คุณ เราจะปล่อยให้คุณวิจารณ์และรับข้อมูลอย่างเดียวไม่ปล่อยออก หากมันทำให้คุณสบายใจ -ตอนนี้ อ. ปัญญา ออกไปแล้วค่ะไม่ได้เป็นคณบดีแล้ว อ.โฮ่ เป็นอยู่(รักษาการแทนอยู่) -ส่วนใน คห .68 เราสนใจนะคะ มันเป็นเรื่องไกลตัวเราค่ะ เพราะที่บ้านเราพ่อใหญ่ทำพิธีประมาณเรียกขวัญ สะเดาห์เคราะห์เพื่อความสบายใจของคน(อันนี้เราคิดเอาพ่อใหญ่อาจมีคาถาจริง หรือไม่นั้นเราไม่ทราบค่ะแต่ตอนที่พ่อเราอยู่บ้านนอกพ่อบอกว่ามีเด็กรักยม จริงพ่อใหญ่ทำพิธีขึ้นมาไว้ดูและบ้านค่ะ---ไปไกลแล้วแฮะ)หรือแบบที่พรม น้ำมนต์ ประมาณนี้ค่ะ ตอนนี่ทำไม่ไหวแล้วแก่มาก ตอนทำค่าครูท่านก็คิดแค่9บาทหรือหากจะให้มากกว่านั้นก็ตามใจแต่ลงท้ายต้อง 9และต้องเตรียมมาพอดี ทำให้เราไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับด้านไสยศาสตร์แนวที่ไว้ทำร้ายกันน่ะค่ะ ยังไงเราอยากทราบถ้าคุณยังมีใจ--และไม่อคติจริงๆ(โกรธอีกละซี่ขี้น้อยใจจัง) silly-ผิดถูกอยู่ที่ความเข้าใจ เนื้อร้อง มะมาเรามารื่นเริง มะมาเรามาบันเทิง มะมาเรามารื่นเริง เริงรื่นชื่นสำราญ ยามเรียนเราเรียนเพราะรัก เราฝึกหัดเพื่อชำนาญ ยามพักเราแสนสนุก เราเป็นสุขจากผลของงาน ศิลปินอยู่เพื่ออะไร ยืนยงเพื่อจรรโลงสิ่งไหน แต่ศิลปินก็ภาคภูมิในใจ ที่ได้สร้างเพื่อมนุษยธรรม ดูสิสวยแท้ปานใด ศิลปะภพเลิศไฉไล กลิ่นสีและกาวแป้ง ดุจดังแรงส่งเสริมใจ ศิลปินอยู่เพื่ออะไร ยืนยงเพื่อจรรโลงสิ่งไหน แต่ศิลปินก็ภาคภูมิในใจ ที่ได้สร้างเพื่อมนุษยธรรม มนุษย์เราหากรักศิลป์ สิ่งซึ่งงามวิไล มวลมนุษย์คงสดชื่น เริงรื่นศิวิไลซ์ มะมาเรามารื่นเริง มะมาเรามาบันเทิง มะมาเรามารื่นเริง เริงรื่นชื่นสำราญ ปล.คุณเป็นนักจำที่ดีมากค่ะ แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 51 21:07:41 จากคุณ : Gin-GaL - [ 28 ก.ย. 51 20:27:55 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ****************************************************** พื้นที่ตรงนี้ทำให้เราทราบว่าการที่เอางานที่ให้คนที่ไม่ได้รู้จักเรา แล้วมาดู มาออกความเห็น ทำให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริงตามที่เค้าคิดอย่างน้อยก็ไม่ได้มีทัศนคติใดต่อผู้ทำงานมาก่อน มันเพิ่งเกิดตอนเห็นงาน ซึ่งทำให้สามารถตีความไปได้หลากหลาย ได้แลกเปลี่ยนความเห็นในวงกว้างขึ้น เราเชื่อว่าการที่เรายังสนทนากันอยู่ได้ถึงตรงนี้ ทั้งที่เรายืนอยู่บนเหตุผลที่ต่างคนความคิดแต่ยังพร้อมหันหน้าเข้าหากัน พูดคุยยังถือว่าเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในฐานะเพื่อนมนุย์ ขอบคุณที่ให้อยู่ใช้มุ้งนี้ด้วย ****************************************************** จากคุณ : Gin-GaL - [ 28 ก.ย. 51 20:51:42 ]

ความคิดเห็นที่ 73 แวะมา  แนะนำหนังสือ   ครับ   จะเข้านอนแล้ว มีโอกาสแนะนำ  ให้หาหนังสือ  ผีเสื้อกับนักประดาน้ำ  มาอ่านดู  นะครับ ตอนนี้เขานำมาสร้างเป็นภาพยนต์  แล้ว http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=gentleman&month=08-2007&date=17&group=2&gblog=1 จากคุณ : ไกลมาก - [ 28 ก.ย. 51 22:59:21 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ขออภัยค่ะ จำเนื้อเพลงผิด - -" ตกลงโทรไปเช็คกับพี่ที่จบศิลปากรแล้ว เค้าร้องว่า "ที่ได้สร้างเพื่อมนุษยธรรม" จริงๆ ด้วย ส่วนที่คุณ จขกท. ตอบมาล่าสุด ก็ชัดเจนแล้วค่ะ ว่าพูดกันไม่รู้เรื่อง ต่อไปนี้เราจะไม่วิจารณ์คุณ เราจะปล่อยให้คุณวิจารณ์และรับข้อมูลอย่างเดียวไม่ปล่อยออก หากมันทำให้คุณสบายใจ เออแน่ะ คุณเป็นคนอยากได้ข้อมูล พอเรามาให้ข้อมูล คุณว่าเราต่างๆ นานา แม้แต่สิ่งที่เราเตือนคุณ หรือแนะนำคุณ คุณก็หาว่าเราว่าคุณ แล้วพอเราว่าคุณจริงๆ บ้าง ซึ่งคุณเถียงไม่ออก คุณกลับมาพูดแบบข้างบนนี้ คือประมาณว่ายินดีให้เราว่าคุณฝ่ายเดียวก็ได้ ถ้าทำให้เราสบายใจ มุขนี้ ตลกดีค่ะ ฮาแตกเลย ^ ^ ตกลงเราจะอคติหรือไม่อคติ คุณก็คิดของคุณไปเองก็แล้วกันนะคะ เราเบื่อจะพูดแล้ว เพราะอธิบายเท่าไหร่คุณก็ยังสรุปว่าเราอคติอยู่ดีน่ะแหละ ก็ธรรมดาหละค่ะศิลปินเวลาทำงานแล้วพอมีคนไม่เห็นด้วย ก็ว่าอคติไว้ก่อน ส่วนใหญ่แหละค่ะ อีกหน่อยโตแล้วก็คิดได้เอง ความจริงคุณโชคดีนะที่ได้เกิดมาใกล้ชิดพ่อใหญ่ และก็เพราะท่านเป็นเจ้าพิธีฝ่ายมนต์ขาว คุณก็เลยไม่ได้รู้เห็นไสยศาสตร์แบบที่เค้าใช้ทำร้ายกัน แต่ถ้าคุณถามท่าน เราว่าท่านก็ตอบคุณได้ และคงตอบได้ดีกว่าเราค่ะ เพราะท่านอยู่ในวงการโดยตรง แต่ถ้าคุณอยากรู้จริงๆ ถามเราเราก็ยินดีตอบ ขออย่างเดียว ตอบเสร็จแล้วอย่ามาสรุปเอาเองว่าเรามีใจชื่นชอบอะไรในเรื่องพวกนั้น หรืออย่ามาบอกว่าเราอคติก็พอค่ะ ย้ำว่า เราตอบเพราะคุณถาม ถ้าคุณไม่ถามเราก็คงไม่เข้ามาตอบ และการที่เราตอบคุณ เราหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคุณ ไม่ใช่หวังว่าจะให้คุณมาว่าเรากลับน่ะค่ะ เพราะคุณบอกเองตั้งแต่ต้นกระทู้นี้ว่า คุณต้องการคำวิจารณ์สำหรับงานศิลปะของคุณ คุณไม่ได้บอกไว้ตั้งแต่แรกนะคะ ว่าคุณต้องการมาวิจารณ์ใครต่อใครในที่นี้ด้วย เช่นเดียวกัน ถ้าคุณต้องการความรู้จากใคร คุณก็ไม่ควรว่าหรือตำหนิเค้ากลับไปน่ะค่ะ คิดว่านี่เป็นมารยาทสังคมที่เด็กสมัยนี้คงจะละเลยกันไปมากแล้วน่ะค่ะ เผอิญเราเองได้รับการสั่งสอนมาตลอดว่าให้ถือคำแนะนำของผู้อื่นเป็นครู ก็เลยออกจะงงๆ เล็กน้อยกับพฤติกรรมของคุณในกระทู้นี้น่ะค่ะ ยอมรับว่าเราเองก็คงไม่อาจหาญพอจะทำแบบที่คุณทำอยู่อย่างงี้หรอกค่ะ ไม่ได้เก่งซะจนไม่เห็นหัวใครถึงขนาดนั้น- -" จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 28 ก.ย. 51 23:21:06 ]

ความคิดเห็นที่ 75 โอ้--อยากดูเลย ค่ะ คุณไกลมาก จะไปหาหนังสือมาไว้อ่านนะคะ จากคุณ : Gin-GaL - [ 28 ก.ย. 51 23:22:24 ]

ความคิดเห็นที่ 76 เออแน่ะ คุณเป็นคนอยากได้ข้อมูล พอเรามาให้ข้อมูล คุณว่าเราต่างๆ นานา -ใช่คำว่า"ว่า"ว่าคุณกลับ...อืม ...เราคงขวานผ่าซากเกินค่ะ -เราไม่ได้อวดดี คิดว่าตัวเองเก่งจนไม่เห็นหัวใครแต่เรามีความเชื่อมั่นในการลงมือทำสิ่งที่เราคิดออกมาเท่านั้น -การเรียนโดยไม่ใช้ความคิดพิจารณาถือเป็นอวิชชาด้วย(พระพุทธเจ้ายังบอกไม่ต้องเชื่อท่าน) เหมือนอย่างที่เราเคยเรียนตอนประถมเรารับอย่างเดียว  พอมาตอนนี้เพิ่งรู้ว่าหลายอย่างในวิชาภาษาไทยมันไม่ใช่อย่างที่ครูสอนซะทีเดียว ซึ่งการที่เราได้รู้ความเป็นไปข้อนี้ ไม่ได้ทำให้เราไม่เคารพครู แล้วก็ยังไม่ถึงกับปักใจเชื่อในข้อมูลใหม่ แล้วเราก็ยังเรายังรู้สึกกับครูเหมือนเดิมแต่รู้สึกกับข้อมูลเปลี่ยนไป..เท่านั้นเอง -คือเราถามพ่อใหญ่ไม่ได้แล้วเพราะว่าพ่อใหญ่แค่พูดตอนนี้ยังจับความไม่ได้..ทานข้าวเองเข้าห้องน้ำเองก็ไม่ได้แล้วด้วย..ไม่งั้นเราถามแน่นอนค่ะ..... -เรื่องไสยศาสตร์เราอยากถามว่า เพราะอะไรระดูของสตรีจึงทำให้ของเสื่อมได้(เราอ่านด้านบนแล้วนะคะแต่เราเชื่อว่าต้องมีละเอียดกว่านั้น) มีอะไรในเลือดสตรีที่ต่างจากชายในความเชื่อตรงนั้น ยกตัวอย่างพิธีดังกล่าวประกอบกับคำอธิบาย มีการทำให้ของเสื่อมด้วยวิธีการใช้สิ่งของๆสตรีรวมทั้งระดู และวิธีการที่ไม่ต้องใช้อะไรที่เกี่ยวข้องกับสตรี(ในพิธีการแบบเดียวกัน) -เพราะความคิดใดจุดเริ่มต้นของความเชื่อที่ว่าจึงมีผลกับผู้ที่ไม่มีของขลังด้วย แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 51 08:29:05 จากคุณ : Gin-GaL - [ 29 ก.ย. 51 07:42:36 ]

ความคิดเห็นที่ 77 แวะมาอ่าน ก่อนไปประชุม  ตอนเก้าโมงครึ่ง ไม่ทราบว่า  เคยดูภาพยนต์ เรื่อง  มนุษย์ค้างคาว  ภาคใหม่   Batman The Dark Knight   หรือเปล่า ภาคนี้ ผู้กำกับ    ได้สร้าง  ฉีกจาก หนังฮีโร่   ทั่วๆ ไป   ลงลึก เรื่องจิตวิญญาณ   มากขึ้น แค่ โจ๊กเกอร์   ภาคนี้   ก็ทำเอาทึ่งแล้ว   คือ เขาเป็นโจรที่ ต้องการปล้นความดี   จากคนที่ชื่อว่า  คนดี    โจรที่ไม่ต้องการเงิน   โดยเฉพาะฉาก  เรือข้ามฟาก   เล่าหมด  เดี๋ยวไปดูไม่สนุก   ฉากนี้  ได้ แอบแฝง    ความคิดไว้หลายอย่าง  และหลายชั้น   ลองไปดูก่อนแล้วกัน มารอคำตอบ  ของคุณหนอนฯ  ด้วยคน จากคุณ : ไกลมาก - [ 29 ก.ย. 51 09:13:03 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ไกลมาก-ยังเลยค่ะไม่ค่อยได้ดูหนังใหม่เลยตอนนี้ ทำให้อยากดูอีกแล้ว เราชอบดูหนังมากๆดูชอบจริงๆ ช่วงนี้ไล่เก็บหนังเก่าดูอยู่ค่ะ เราชอบดูหนังเเนวประมาณ -mystic river -the cell -talk to her(เรื่องนี้เจ๋งจริง) ฯลฯ -ล่าสุดJuno เพิ่งได้ดูเมื่อ2อาทิตย์ที่แล้ว อย่างอื่นเราก็ดูนะคะแต่ที่ยกตัวอย่างคือหนังในดวงใจค่ะ ของคุณล่ะเรื่องไหนเป็นหนังที่ดูซ้ำๆแล้วยังประทับใจคะ จากคุณ : Gin-GaL - [ 29 ก.ย. 51 11:24:45 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ............................ มันซ้ำข้อความเดิมตะกี๊ แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 51 11:32:21 จากคุณ : Gin-GaL - [ 29 ก.ย. 51 11:31:39 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ข้ามไปอ่าน  กระทู้นี้  ที่ห้องหว้าก้อ  มา ก็ได้ความรู้สึกไปคนละแบบ   แต่เขาคิดยังไงกับห้องนี้นะ เห็นมีอยู่คน   บอกว่า  ลองไปห้องศาสนา ....... อีกคนบอกเป็นอย่างที่คิด     อืม  อย่าคิดมาก ดีกว่า หนังในดวงใจ   คิดไม่ออก  ปกติไม่เคยดูซ้ำ  เกิด  2  หน เลย แต่ชอบแบบ ดูแล้วได้ข้อคิด แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 51 14:46:16 จากคุณ : ไกลมาก - [ 29 ก.ย. 51 13:45:47 ]

ความคิดเห็นที่ 81 อืม ถ้าเปลี่ยนเป็น  มุ้งยกทรง น่าจะดีกว่านะ เอ่อ  คือเรา ชอบน่ะค่ะ เราชอบ ยกทรงสวยๆ เวลามองดูแล้ว รุ้สึกดี เอ่อ...โอ้ววว นี่ขนาดเป้นหญิงนะเนี่ย แล้วถ้าเราเป้นชาย จะขนาดไหน จากคุณ : หญิงโรคจิต ชอบมองหญิงด้วยกัน (บุษกรจันทร์) - [ 29 ก.ย. 51 19:06:08 ]

ความคิดเห็นที่ 82 (บุษกรจันทร์)-ลองอ่านนี่ดูนะคะ ท่านอื่นที่ผ่านมาพบด้วยค่ะ--- ลอกมาจากห้องอื่นที่โพสไว้เองอีกที วันนี้ก็ไปปรึกษ อ.ที่คณะมา เปรียบเทียบกับงานเก่าที่นำยกทรง+กกนมาทำเป็นรองเท้าให้ฟัง ซึ่งไม่มีใครว่าไร..... เพราะเราใช้การเปรียบเทียบที่ทำให้รู้สึกว่าเราถ่อมตัวด้วย  แต่ทั้งที่มันดูสวยคนก็ยังเหยียบโดยเราไม่ต้องบอกอะไรเลยค่ะเหมือนเห็น รองเท้าก็รู้ว่าต้องใส่ โดยไต้องคิดมากว่าเป็นชุดชั้นในเท่าไหร่(หรือชุดชั้นในเค้ารู้อยู่แล้วว่า สมควรเหยียบได้) แต่พอเป็นมุ้ง กกน.อย่างในภาพกลับไม่คิดว่าเป็นมุ้ง (ถ้าเป็นของจริงนี่ชัดเลยว่าเป็นมุ้งเพราะมันดูโปร่งกว่าในภาพ)เท่าน้านหละ ได้ความเห็นอีกอย่าง ทั้งที่หากเทียบการใช้งานก็ไว้ปกป้องตัวเราเหมือนกัน รองเท้าใส่ไม่ให้เจ็บเท้า ป้องกันความร้อน ป้องกันเราเหยียบของมีคมหรือสัตว์มีพิษบางชนิด ส่วนมุ้งกางกันยุงช่วยป้องกันโรคที่อาจตามมา เป็นพื้นที่ของคู่รัก และครอบครัว เป็นที่สำหรับพักผ่อนนอนหลับ ฝากไว้ด้วยแล้วกันค่ะ ...เรามีสเก็ต(แบบร่าง)ที่เป็น ร่ม ที่นอน เปล พรมเช็ดเท้า โซฟา หมวกอีก  แต่ละอันวิเคราะห์แยกย่อยได้อีกตามการใช้งานแต่ก็มีความหมายในทางรองรับ เป็นที่พักพิง และ ป้องกัน เหมือนกันค่ะ ฝากเอาไว้ให้ตรองดู--ค่ะ จากคุณ : Gin-GaL - [ 29 ก.ย. 51 20:46:25 ]

ความคิดเห็นที่ 83 เออนะ เราน่ะชอบ ยกทรงสวยๆจริงนะ โดยเฉพาะ คัพ A หรือ  B ของทุกยี่ห้อ จะผลิตออกมาน่ารักมาก น่าสวมใส่ มันดูดี ดึงดูดให้อยากซื้อ แต่เรามีปัญหาคือ เราใส่คัพพวกนี้ไม่ได้ เสียดายมาก T_T คุณ จขกท ว่ายกทรง เอาไปทำอะไรได้บ้าง ตามไอเดียคุณน่ะ เราอยากรู้จริงๆ ที่คุยกะสมาชิกหญิงท่านนึง เราบอกเธอว่า ทำถุงกาแฟโบราณ เขาขำมากเลย จากคุณ : บุษกรจันทร์ - [ 29 ก.ย. 51 21:34:05 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ที่สเก็ตส่งไปมี ที่นอน หมอน โซฟาจ้า แต่ที่เคยเห็นมีเอามาปรับแล้วทำเป็นกระถางต้นไม้ กับอีกอันทำเป็นเอาชามข้าวมาไว้ตรงหน้าอกจ้าใส่ข้าวได้จริงด้วย ถุงกาแฟนี่ต้องคัพหย่ายยมาก พอพูดถึงคัพเริ่มนึกแฮะเพราะงานที่เราทำตอนแรกเราไม่ได้เอาคัพใหญ่โตมาเลยเดี๋ยวคราวหน้าใส่เพิ่มเพื่อความยุติธรรม ........เราใส่คัพแรกที่คุณว่าเลย อ่ะ........ จากคุณ : Gin-GaL - [ 29 ก.ย. 51 21:42:32 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ใช่คำว่า"ว่า"ว่าคุณกลับ...อืม ...เราคงขวานผ่าซากเกินค่ะ ค่ะ ขวานผ่าซากสมเป็นเด็กศิลปากร ความจริงไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด แต่ถ้าไม่รู้จักพิจารณาในสิ่งที่ตัวเองเขียน คุณก็จะไม่ประสบความสำเร็จตั้งแต่เขียนอธิบายคอนเซ็ปต์งานคุณแล้วค่ะ เอาเฉพาะ ค.ห.๕๔ ก่อนนะ ถามหน่อยถ้าเป็นมุ้งลวดมันคงไม่รู้สึกอคติขนาดนี้สินะ คุณ กำลังวนเวียนอยู่ในวัฏจักรเดิมๆ เหมือนหลายพันปีมีมา ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่คุณเต็มในยอมรับ เพราะมันเป็นสิ่งคุณทำตามได้ง่ายมากทำมานาน นี่แค่เรื่องกางเกงในยังรู้สึกรังเกียจได้ขนาดนี้  แต่ทีปลัดขิกเนอะ คุณปิดใจซะแล้วแต่อย่างว่าคนเราพื้นฐานจิตใจและการเลี้ยงดูต่างกัน**คนเรามักชอบดูถูกคนด้วยกันโดยลืมว่าเราก็คน** นะคะ...ไม่ได้ว่าอะไรเลยซักนี๊ดดดด...นึง ดูเหมือนชมมากเลยหละ ^ ^" โดยเฉพาะตรงนี้น่ะค่ะ คุณ กำลังวนเวียนอยู่ในวัฏจักรเดิมๆ เหมือนหลายพันปีมีมา ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่คุณเต็มในยอมรับ เพราะมันเป็นสิ่งคุณทำตามได้ง่ายมากทำมานาน นี่แค่เรื่องกางเกงในยังรู้สึกรังเกียจได้ขนาดนี้  แต่ทีปลัดขิกเนอะ ตอบมาหน่อยซิคะ ว่าทำไมการที่เราเอาข้อมูลที่คุณต้องการทราบ มาอธิบายให้คุณได้อ่าน แล้วคุณถึงตอบเราแบบนี้? ทำไมเมื่อคุณอยากรู้ว่าต้นเหตุของการรังเกียจชั้นในผู้หญิงมาจากอะไร แล้วมีคนมาอธิบายให้ฟัง คุณกลับว่าคนคนนั้นเป็นพวกวนเวียนในวัฏจักรเดิมๆ และรังเกียจชั้นในผู้หญิงไปด้วย? คุณไปหามาได้หรือยังคะ ว่าเราเขียนไว้ตรงไหนว่าเราเองก็ชื่นชอบในความเชื่อต่างๆ ที่เรานำมาอธิบายให้คุณ? เราถามคุณไปครั้งนึงแล้วนะคะในค.ห.๖๗ แล้วคุณหาคำตอบมาได้หรือยังล่ะคะ ขอคำตอบชัดๆ หน่อยสิคะ พูดอะไรไปแล้ว รับผิดชอบคำพูดของตัวเองได้หรือเปล่าคะ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 29 ก.ย. 51 22:22:44 ]

ความคิดเห็นที่ 86 นี่งานของผม    เป็นฐานเสมา  ออกแบบให้วัดแห่งหนึ่ง  แต่ผมไม่ได้ปั้นเองนะ   มีช่างปั้นประจำ   ผมแค่ ร่างแบบ   ก็ ธรรมดาๆ  ครับ  ไม่มีอะไรน่าจดจำ จากคุณ : ไกลมาก - [ 29 ก.ย. 51 22:34:43 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ปั้นสิงห์   ที่วัดแห่งหนึ่ง   ก็เป็นงาน  ก็อปทั่วไป   แต่ตัวนี้พิเศษตรงเอาคอมพิวเตอร์   มาช่วยขยาย  สเกล  และร่างแบบขนาดเท่าของจริงให้ช่างปั้น  แบบจะไม่เพี้ยน  จากของจริง   และส่วนหัวทำแม่พิมพ์  ด้วย อี่พ๊อกซี่   ทำให้ไม่ต้องปั้นใหม่  ทำครั้งเดียว  หล่อได้  หลายหัว จากคุณ : ไกลมาก - [ 29 ก.ย. 51 22:50:46 ]

ความคิดเห็นที่ 88 หนอนดาวเรือง-คุณมีความเป็นกุลสตรีไทยสูง ถือเป็นเรื่องที่ดีมากค่ะ -จากข้อ67ตรงส่วนที่ขีดเส้นใต้ เราอธิบายว่าเราเปรียบมุ้งเป็นสัญลักษณ์แทนสังคมไทย เรารู้สึกว่าสังคมไทยยังมีการกีดกันทางเพศ หรือรังเกียจ (ในที่นี้เราหมายถึงผู้หญิงเลยแหละเพราะเราใช้ กกน เป็นสัญลักษณ์แทน ญ.)โดยถือความเชื่อบางอย่างที่ขาดซึ่งเหตุผล(เป็นต้นว่าหากผู้หญิงจะออกบวชนั้นยังมีเสียงวิพากษ์มากมายดังเราจะเห็นได้ว่าภิกษณีมีน้อยมาก) ทั้งนี้ที่เรานำ กกน มาสื่อ เพื่อสำรวจพฤติกรรมของผู้มาเสพงาน ว่า โดยดูว่าเค้าแสดงออกอย่างไร โดยขั้นแรกไม่ได้ตั้งคำถามแต่ ใช้วิธีเฝ้าดูและฟังถ้อยความที่ผู้เสพสนทนา (ดังที่ได้ส่งงานที่มหาวิทยาลัย) -คำว่าวนเวียนอยู่ในวัฏจักรเดิม ความหมายนี้กว้างค่ะ เราไม่ได้เจาะจงถึงสิ่งที่คุณเขียนเกี่ยวกับไสย (เราไม่ได้คิดว่าคุณชื่นชอบแต่อย่างใดหากเราเขียนไม่กระจ่างพอก็ขออภัยในความด้อยวุฒิภาวะทางปัญญาของเรา) แต่เราอธิบายโดยรวมถึงการที่เรามักยอมรับสภาพที่ต้องเป็นรองโดยพร้อมใจถึงแม้ยุคสมัยเปลี่ยนไปแต่ความเชื่อยังคงอยู่ ซึ่งทั้งนี้เป็นเรื่องของการปลูกฝังจิตสำนึก ที่วากรากไว้แต่ต้นแล้ว ขอเพิ่มเติมเรื่องปลัดขิก เพื่อความเท่าเทียมกัน **ตั้งเเต่ตรงนี้คอดลอกและตัดตอนบทความมา** ปลัดขิก -ความเป็นมาของ "ปลัดขิก" ค่อนข้างเกี่ยวพันกับคติความเชื่อดั้งเดิมในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ โดยเชื่อว่า "ลึงค์" หรืออวัยวะเพศชาย เป็นบ่อเกิดแห่งสรรพสิ่งมีชีวิตในจักรวาล อันเป็นรากฐานมาจากคติการบูชา "ศิวลึงค์" หรือลึงค์ของพระศิวะ ในลัทธิไศวนิยาย ที่บูชาพระศิวะเป็นใหญ่ อันเป็นที่มาของการเรียก "ลึงค์" ว่า "เจ้าโลก" ซึ่งแตกต่างจากอีกนิกายหนึ่งในศาสนาฮินดูที่เคารพบูชา "โยนี" หรือ อวัยวะเพศหญิง ในลัทธิศักติ ที่เชื่อว่าสรรพสิ่งต่างๆ จะเกิดขึ้นได้ต้องประกอบด้วยโยนี -แต่เดิมปลัดขิกมีรูปแบบเป็นเพียงลักษณะ ของอวัยวะเพศชาย ต่อมาก็มีการแกะสลักลวดลายเพิ่มรายละเอียดเข้าไปมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปลิง หรือรูปผู้หญิงนอนเปลือยกายในเชิงอีโรติกบนตัวปลัดขิก แต่ละรายละเอียดที่เพิ่มเติมเข้าไปมักมีความหมายในเชิงความเชื่อ เช่น รูปลิง มีคุณด้านความแคล่วคล่อง ทำให้แคล้วคลาดจากภัยอันตราย หรือรูปหญิงเปลือยกาย ให้ความมีเสน่ห์ เป็นที่รักแก่ผู้อื่น มนต์เสน่ห์เหล่านี้ ทำให้ตัวปลัดขิกเปลี่ยนแปลงไปจากแค่เครื่องรางของขลังที่เด็กผู้ชายชาวไทย ใช้เพื่อป้องกันงูเงี้ยวเขี้ยวขอไปสู่งานศิลปะราคาแพง -ส่วนการนำปลัดขิกมาใช้เป็นเครื่องรางสำหรับพกพาติดตัวนั้น จากหลักฐานที่ปรากฏ จะพบว่า ปลัดขิกยุคเริ่มแรก สร้างจากแก่นไม้ที่มีสรรพคุณทางรักษา และป้องกันโรค เช่น แก่นของต้นคูณ ซึ่งมีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า "CASSIAFISTULA, LINN" ผู้คนพกพาติดตัวเดินทางไกล เมื่อจะกินน้ำตามห้วยหนองคลองบึงต่างๆ ก็จะใช้ปลัดขิกฝนผสมเข้าไป เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่สะสมอยู่ในน้ำ -ในความเป็นจริงแล้ว ปลัดขิกถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของเพศชายมาแต่โบราณ ปลัดขิกดอกน้อยๆ จะถูกผูกไว้ที่สะเอวของเด็กเพศชาย ซึ่งนอกจากความเชื่อในด้านป้องกันอันตรายแล้ว ยังเป็นเครื่องมือที่บ่งชี้ในเรื่องเพศอย่างเด่นชัด -ชื่อและความหมายของ "ปลัดขิก"เหตุที่ให้ความหมายว่าเคียงข้าง หรือผู้อยู่เคียงข้าง เนื่องจากเวลาแขวนปลัดขิกนั้น ผู้ใช้ไม่ได้คล้องคอ หากแต่ผูกอยู่ที่สะเอว หรือบริเวณสีข้าง เรียกว่าไปไหนไปด้วยกัน และสมัยก่อนก็นิยมแขวนให้ห้อยออกมานอกร่มผ้า เมื่อสาวแก่แม่ม่ายเห็นรูปอวัยวะเพศชายห้อยออกมา ก็พากันหัวเราะหัวใคร่ "คิกคิกคักคัก" กันเป็นที่สนุกสนาน ผู้คนก็เลยเรียกกันว่า "ปลัดคิก" ก่อนจะเพี้ยนมาเป็น "ปลัดขิก" ในปัจจุบัน ต่อมาเมื่อกิตติศัพท์ทางแคล้วคลาดรอดพ้นจากโรคภัยและอันตรายต่างๆ ขจรขจายออกไป ก็เกิดความนิยมในการเสาะแสวงหา บรรดาพระเกจิอาจารย์ต่างๆ จึงพากันจัดสร้างปลัดขิกตามตำรับของตน จนเป็นที่แพร่หลายในเวลาต่อมา -ขอเพิ่มเติมเรื่องเฟมินิส ไม่ได้มีกำหนดว่าต้องดำเนินการโดยสตรีเพียงเท่านั้น แต่ดำเนินการด้วยผู้ที่มีความยุติธรรมค่ะ เพราะเค้าจะเห็นว่าเรากับเค้าคือมนุษย์ก็เท่านั้น -ในส่วนของสิทธิสตรีในประเทศไทยนั้น  จะเห็นได้ว่าขบวนการเคลื่อนไหวของสตรีไทยได้มีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงบทบาทและ สถานภาพตั้งแต่ระบบการเมืองการปกครอง   ในการเปลี่ยนแปลงนั้นเริ่มจากระบบการปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข  ซึ่งเริ่มปรากฎเด่นชัดในสมัยรัชกาลที่  4  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่ากฎหมายเก่าไม่ยุติธรรม  เช่น  การขายเมีย  หรือการบังคับให้ลูกสามแต่งงานโดยไม่เต็มใจ  จึงโปรดเกล้าให้เลิกเสีย  และต่อจากนั้นก็ได้มีการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความเสมอภาคระหว่าง หญิงและชายมาโดยตลอด  โดยเฉพาะกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว  นับได้ว่าสตรีไทยไม่ได้มีความยากลำบากในการต่อสู้เพื่อความเสมอภาค  แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าสตรีไทยส่วนใหญ่ได้รับการพัฒนา ได้รับโอกาสทางกฎหมายหลายๆ  ด้าน   แต่ในทางปฏิบัติก็ยังมีการกีดกันและการปิดกั้นโอกาสผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย   ซึ่งสมควรที่จะได้รับการพัฒนาเรื่องนี้ให้ดียิ่งขึ้น  เพื่อเป็นการให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชน  ซึ่งผู้หญิงก็เป็นกลุ่มหนึ่งในเรื่องสิทธิมนุษยชน  เช่นกัน แม้ว่าการ เรียกร้องสิทธิสตรีจะมีพัฒนาการมายาวนานและนานาประเทศให้ความสนใจในประเด็น สิทธิสตรีมากขึ้น  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการเรียกร้องนี้ควรจะยุติ  และในบางสังคมความเสมอภาคที่แท้จริงยังไม่ได้เกิดขึ้นและยังต้องมีการค้นหา ต่อไปว่า  ความเสมอภาคระหว่างผู้ชายและผู้หญิงที่แท้จริงคือจุดใด   และจะทำอย่างไรเพื่อที่จะขจัดความเป็นเพศออกไปได้ **ตัวอย่างแบบนี้เราจะเห็นความชัดเจนได้ง่ายๆค่ะ ไม่เหมือนเรื่องความเชื่อซึ่งเป็น ต่างจิตต่างใจจะคิด ** จากคุณ : Gin-GaL - [ 30 ก.ย. 51 00:25:29 ]

ความคิดเห็นที่ 89 มาที่ข้อห้ามเมื่อสักยันต์แล้ว (จากหลายที่ตัดมาบ้างยกมาทั้งหมดบ้างข้อที่เหมือนกันเราตัดออกนะคะเดี๋ยวจะสงสัยบางข้อหาย*เอามาจากหลายที่) 1.ห้ามกินของเหลือเดน 2.ห้ามผิดลูกผิดเมียเค้า..ถ้าเราไม่รู้ว่าเค้ามีแฟนไม่ผิดแต่ถ้ารุ้แล้วต้องเลิก 3..ห้ามลอดใต้สะพานเสาเดียว..... นึกออกป่ะคับ พวกสะพานท่าน้ำอ่ะที่มีเสาเดียว 4.ห้ามด่าพ่อ แม่  ทั้งของเราและผู้อื่นจ๊ะ 5..ราวตากผ้าที่มีผ้าถุง กระโปรง ถ้ามีก็พิจาณาดูว่าพอมีทางอื่นไปมั้ย 6. ห้ามทาน   น้ำเต้า  มะเฟือง 7.ห้ามทานข้าวใน งานอวมงคล อีก2คนเค้าว่างี้ -ของต้องห้าม อาหารการกินไม่มีครับ ยกเว้นห้ามกินอาหารในงานศพ  ราวตากผ้าถ้าเป็นของเราเองหรือของพ่อแม่ ไม่เป็นรัย -ในวันพระก็ห้ามร่วมรักหลับนอนกับคู่เรา  จะสวดมนต์ด้วยก็ดีนักแล ยิ่งเป็นศิริมงคลแก่ตัวเอง ครับผม... อีกคน 4.ห้ามลอดไม้ค้ำต้นกล้วย * กล้วยตานีจะแรงเป็นพิเศษ* 5.ห้ามลอดสะพานทางเดียว 6.ห้ามรับประทานของต่อไปนี้ - ของเหลือเดน - ฟัก - แฟง - น้ำเต้า - เหล้าก้นแก้ว - ของงานเลี้ยง*งานศพ* 7.ประพฤติตนเป็นคนดี รักษาศีล5 8.ห้ามโดนชายผ้าถุง 9.ห้ามให้ผู้หญิงขึ้นคร่อม *****ทั้งนี้ต้องเป็นคนดี อยู่ในศีลธรรม ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร***** ข้อห้ามของผู้ที่สัก เขาห้ามกินฟักด้วยหรือ  ของจะเสื่อมหรือป่าวครับ -ไม่เกี่ยวหรอกครับ อยู่ที่ทำตัว ดี หรือ ชั่ว -ของอย่างนี้ อยู่ที่ใจครับ -ประเด็นหลัก ตามความเชื่อโบราณ วิชาอาคมเป็นของร้อน ฟักเป็นของเย็น เค้ากลัวจะไปล้างวิชาออกไป หลวงพี่แป๊วบอก กินได้ครับ -ผมว่าถ้าเรากินแล้วไม่สบายใจก็อย่าไปกินมันเลย.....เพื่อความสบายใจของเรา -ฟักมันน่าจะเข้าไปล้างว่านตัวอื่น เลยเป็นกุศโลบายว่าอย่ากิน แต่ก็อย่างว่าครับอยู่ที่ใจมากกว่า ถ้าคิดว่าอยู่ก็อยู่  ถ้าคิดว่าไม่อยู่ก็ไม่อยู่ ครับผม -ใช่ครับเขาไม่ให้กินอาจารย์ผมเคยเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนนั้นชายไทยคนใดที่ สักย์ยันต์ทางคงกระพันไปแล้วนั้น(ทางภาคเหนือเขาเรียกว่าข่ามคง)ถือว่าบุคคล ผู้นั้นเป็นคนที่มีครูบาร์อาจารย์รักษาและคอยปกป้องดูแลเราอยู่เสมอจะกิน อะไรต้องคิดว่าครูบาอาจารย์ห้ามมิให้กินอะไรบ้าง...ทางสายล้านนาเขามิให้กิน ก้อคือ..1.ฟัก(ฟักหม่น)สมัยก่อนเขาเอาฟักนั้นไปดับกลิ่นศพเอาใส่ไว้ในโลง เพราะว่าสมัยก่อนไม่มียาฉีดศพและน้ำแข็งเลยเอาฟักนั้นใส่ไว้ในโลงเพื่อดับ กลิ่น2.เนื้องู3.เนื้อสุนัข -ผมว่าถือปฏิบัติศีล ๕ ให้แน่วแน่ ก็พอดีแล้วครับ -ทราบ คร่าวๆเรื่องการ ห้ามกิน น้ำเต้ามะเฟือง  เพราะการสัก แบบโบราณแท้ เกี่ยวกับทางคงกระพัน จะให้น้ำมันว่านทางคงกระพันนำมาผสมในหมึกสัก หรือเป็นน้ำมันสัก   ผักบางชนิดมีสรรพคุณล้างยา  น้ำเต้ากับมะเฟือง เข้าข่ายนั้น  เคยได้ยินแม่บอก ว่า ถ้ากินยาสมุนไพรต้ม จะไม่กินน้ำเต้า กับหัวไชเท้า  ก็เป็นคำบอกต่อของคนโบราณ แต่บางสำนักก้ไม่ถือมากนัก  เนื่องจากเน้นทางด้านเมตตา มหานิยม จะยึด เรื่องการห้ามด่าบุพการี ดูหมิ่นอาจารย์คนอื่น และ  การห้ามผิดประเวณี  เรื่องศีลนี่สำคัญนัก ถามเรื่องลอกราวตากผ้า -เป็นข้อข้ามทางกาละ หรือเป็นความเชื่อของคนโบราณ  ที่มีเก็บเล่ากันมานานและปัจจุบันก็ยังคงอยู่   -เพราะราวตากผ้าบางบ้านไม่ได้แยก ว่าตากเสื้อ หรือตากกางเกง  ยันต์ที่อยู่บนผิวหนังของเรา  เป็นการอัญเชิญพระคาถา จากพระสงฆ์ครูอาจารย์ ขณะที่สัก ท่านก็ปลุกอักขระท่องคาถา ให้บังเกิด สัมฤทธิ์ผล  ย่อมเป็นของสูง อย่างยันต์บางยันต์ลงอักขระสูงมา เช่น บทพระคาถาอิติปิโส ซึ่งสรรเสริญพระพุทธคุณนานาประการ  สิ่งนี้ก็เป็นี่ต้องรุ้ด้วยตัวเองแล้วว่า ควรแล้วหรือที่จะเดินลอดราวตากผ้า  ซึ่งบางราวตากผ้าก็ตากกางเกงในอยุ่  นะ .. แต่ปัจจุบัน  ข้อนี้ถือได้ยากนัก เนื่องจากสภาพที่อยุ่อาศัยของคนเปลี่ยนไป เราอยุ่คอนโด หอพัก หรือตึกสูงๆ ตากผ้ากันไม่เป็นที่เป็นทาง   บางครั้งเราก็เลี่ยงไมได้จริงๆ อย่างที่เค้าบอกว่ากลั้นใจ  ..แล้วลอดให้ผ่าน อาจจะเป็นเคล็ด   หากจำเป็น  ก็ลอดไปเหอะเผื่ออยู่ดีๆจวนตัวหมาไล่ฟัด ไม่มีทางหนี ถ้ายืนอยุ่มันก็จะกัดเอา  เราก็ต้องวิ่งนั่นหละนะ *ของดีอยุ่ที่ไหนก็ไม่เสื่อม   แต่เมื่อเราไม่สบายใจ กลับบ้าน ก็จุดธูปบอกกล่าวครูอาจารย์  ว่ากระผม รู้สึกผิดที่ทำสิ่งนี้ไป สิ่งนั้นไป  ขอครูอาจารย์ยกโทษให้ด้วย เป็นการกล่าวคำสมาลาโทษ ว่างก็กลับไปหาครูบาอาจารย์  ให้ท่านลงคาถาปลุกเสกตัวเองดูอีกครั้ง    ก่อนนอนก็ไห้วพระสวดมนต์ให้จิตใจแช่มชื่น  มีคาถาปลุกเสกตัวเองอยุ่หลายบท พี่กุ้งจะหามาลงให้ หลายๆท่านก็รู้นะ  แบ่งปันกันได้ ข้อห้ามทางกาละ ที่คนโบราณเค้าเชื่อกัน อาจจะฟังดูไร้สาระในบางข้อ แต่ในแต่ละเรือ่ง มักจะแฝงเหตุผลที่พิสูจน์ได้เช่นกัน ข้อห้ามทางกาละ 1.ห้ามผิวปากเวลากลางคืนเชื่อว่าจะโดนคุณไสยที่ล่องลอยอยู่ 2.ห้ามโพกหัวหรือสวมหมวกในวัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เชื่อว่าหัวจะล้าน 3.ห้ามบ้วนน้ำลายลงโถส้วมเชื่อว่าวาจาจะเสื่อม 4.ห้ามนั่งบนขั้นบันไดเพราะผีบ้านผีเรือนไม่ชอบ 5.ห้ามนั่งบนหมอนเชื่อว่าคาถาจะเสื่อม 6.ห้ามเล่าความฝันในขณะทานข้าวเชื่อว่าแม่โพสพท่านไม่ชอบ7.ห้ามเดินข้ามหนังสือเพราะเชื่อว่าจะเรียนไม่จำ 8.ห้ามนุ่งผ้าเปียกเข้าบ้านเพราะเชื่อว่าผีไม่กลัวและจะทำให้ปวดท้อง 9.ห้ามหญิงมีครรภ์ทำหน้าบึ้งเวลาจะหลับเชื่อกันว่าลูกออกมาจะไม่สวยไม่หล่อ 10.ห้ามดมดอกไม้ที่จะนำไปถวายพระเชื่อกันว่าจมูกจะเป็นไซนัสหรือริดสีดวงจมูก 11.ห้ามหลับเวลาฟังพระเทศเชื่อว่าชาติหน้าจะเกิดเป็นงู 12.ห้ามเอาของคืนเมื่อให้ผู้ใดไปแล้วเชื่อว่าจะเป็นเปรต(นอกจากให้ยืม)   13.ห้ามกวาดขยะกลางคืนเชื่อว่าผีไม่คุ้มและกวาดทรัพย์ออกหมด 14.ห้ามตัดเล็บกลางคืนเชื่อว่าอายุจะสั้น 15.ห้ามลอดไม้ค้ำต้นกล้วยและไม้ค้ำบ้านและห้ามลอดราวผ้าและห้ามลอดใต้แขนคนอื่นเพราะจะทำให้ของเสื่อม 16.อย่าให้ใครข้ามหัวเพราะจะทำให้อาคมเสื่อมและของทุกอย่างเสื่อม 17.ห้ามด่าแม่ผู้อื่นเพราะสาริกาลิ้นทองจะเสื่อม 18.คนสักยันต์ห้ามกินฟักแฟงบวบน้ำเต้าและปลาไม่มีเกล็ดเพราะเชื่อว่าหนังจะไม่เหนียว 19.หากไปในที่สถานที่แปลกๆห้ามทักเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆเพราะเชื่อกันว่านั่นคือคุณไสย หรือของไม่ดีหากใครทักจะเข้าตัวทันที 20.ห้ามนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกเพราะเชื่อว่าวิญญาณจะออกจากร่าง(อีกอย่างหนึ่งเป็นทิศที่หันหัวคนที่ตายไปแล้ว) 21.ห้ามขึ้นบ้านวันเสาร์ เผาศพวันศุกร์ โกนจุกวันอังคาร แต่งงานวันพุธ เพราะเป็นอัปมงคล *เหล่านี้เป็นความเชื่อของบรรพบุรุษเรา* แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 51 00:37:06 จากคุณ : Gin-GaL - [ 30 ก.ย. 51 00:35:06 ]

ความคิดเห็นที่ 90 คุณ เจ้าของกระทู้แอบดื้อเล็ก ๆ นะคะ สังเกตุจากการที่คุณต้องมา "แก้ต่าง"  ( อธิบายนั่นเอง ) ทุกความเห็น ที่ มีทีท่าว่าจะไม่สอดคล้องร้อยเปอร์เซ็นต์กับคุณ ทำให้มันไม่จบซะที  สังเกตจาก ความเห็นแรก ที่คุณหนอนดาวเรืองตอบ ถ้าคุณไม่มาโต้ กลับไป กลับมา มันก็จะไม่ยาวนะคะ ตัวอย่างกับคอนฟลิคท์ กับคุณคงศิลป์ ก็เช่นกัน ( ดิฉันเรียกอย่างนี้แต่ไม่แน่ใจว่าชื่อภาษาไทยอ่านยังไงนะ ก้อง หรือเปล่า ) สมมุติ ดิฉันจะบอกว่า งานของคุณ ความหมายดีมาก แต่ Not Appilcable / Not realistic ( ถ้าเป็น กกน สีอ่อน อาจจะดู น่านอนมากกว่านี้นะคะ ) รับรองว่า คุณต้องมา อธิบาย ความคอนเซ็ปท์ กับ ความเป็นเรียลลิสติก และการใช้สีเข้มให้ดิฉันฟัง อีกแน่นอน  แต่ถ้าดิฉันไม่พูดตรง ๆ และบอกแต่ว่า "สื่อความหมายดี"  คุณก็จะตอบแบบ ประมาณขอบคุณทั่วๆ ไป คุณ นี่ รั้นๆ นะคะเนี่ย จากคุณ : Freedom of Life - [ 30 ก.ย. 51 00:42:25 ]

ความคิดเห็นที่ 91 เข้ามาดูกางเกงใน จากคุณ : GermanShapherd - [ 30 ก.ย. 51 00:52:14 ]

ความคิดเห็นที่ 92 **มีอะไรที่เราควรตอบ แล้วยังไม่ได้ตอบคำถาม **ทำไมคุณจึงบอกว่าคนโบราณทำไปเพราะไม่มีทางเลือก อย่างเรื่องน้ำเต้าหรือฟักที่ห้ามกินหากสัก เราว่าคนโบราณมีเหตุผลค่ะ*(ถ้าบอกว่าตัวอย่างแบบนี้ไม่เกี่ยว เหมือนที่ว่าปลัดขิกไม่เกี่ยวกับเรื่องของ ของใช้ของผู้หญิง(กกน) เพราะปลัดขิกเป็นเรื่องของการบูชาอวัยวะเพศเพื่อความอุดมสมบูรณ์แล้วทำไมทั้งที่รับอารยธรรมบางอย่างมาจากอินเดีย แต่เลือกตัดขาดกับโยนี  *อย่าลืมเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว แล้วเรื่องใกล้กันแค่นี้มีหรือที่จะไม่เกี่ยว *ที่ว่าคนละแนวความคิดคนละประเด็นเราไม่เห็นด้วย* *ของบูชาที่เป็นสัญลักษณ์แทนสตรี มีอะไรที่คุณรทราบ ที่ไม่ใช่รูปของสตรีชัดเจน อย่างนางกวัก * *แต่ถ้าคุณอธิบายคอนเซ็ปต์งานแล้ว คนอื่นมองแล้วสงสัย-"มันเชื่อมโยงกันตรงไหนหว่า?" (พูดง่ายๆ คือ ดูแล้วไม่ get น่ะค่ะ) ในฐานะที่เป็นศิลปิน คุณต้องทำงานของคุณให้ชัดขึ้นอีก* -ขอยกตัวอย่างภิกษุสันดานกา ประกอบซึ่งถือเป็นงานที่มีคุณค่าเด่นชัดใครก็รู้จัก *พระยังออกมาถือรูปแล้วกลิ้งเกลือก* เราว่าเราเห็นพฤติกรรมไปเป็นกรณีศึกษาได้เลย ในที่นี้พระที่เป็นพระจริง เราไม่ต้องกล่าวอ้าง *ปริศนาธรรม พระทราบดี  เอ้าคิดในแง่ลบอีก พี่เค้าเป็นมารมาผจญ แล้วท่านเป็นพระท่านควรทำอย่างไร ระเบียบของสงฆ์มีไว้อยู่แล้วอะไรควรไม่ควร* --ดูง่ายๆเลยไม่มีใครเข้าใจใครได้ทั้งหมดหรอก ตรองดูจากที่เราเปรียบกับงานภิกษุสันดานกา  ผู้ที่อยู่วงในจำนวนหนึ่งที่เป็นคนใกล้วัด ยังไม่เข้าใจเลย(หรือเค้าเข้าใจถึงลงทุนทำขนาดนั้น) ---แล้วงานเราเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเรายังไม่ตกผลึก ถึงได้มีการตั้งทู้นี้ขึ้นมาค่ะเรียนมาให้ทราบทั่วกัน แล้วเราขอบคุณคำกล่าวของคุณ *เพราะฉะนั้น ถึงแม้คนอื่นๆ จะมีความเข้าใจในศิลปะที่แตกต่างจากคุณ แต่ทันทีที่คุณอธิบายคอนเซ็ปต์งาน แล้วคนส่วนมากยอมรับว่าสิ่งที่คุณนำเสนอนั้น มันใช่ นั่นแหละค่ะคืองานของคุณสื่อสารได้สำเร็จแล้ว* *เพิ่มนิดแต่ถึงมันไม่ใช่สำหรับเค้าหรือหากงานเราไม่ชัดเจนสำหรับใครๆเราก็ไม่คิดว่า เราพลาดนะ เราว่าเราสื่อสารได้สำเร็จเพราะทุกคนมีการโตต้ตอบมีคำถามนั่นถือเป็นการสื่อสารถึง สำหรับเรา*แต่ที่คุณ กล่าวไว้ก็ถูกด้วยข้อนี้เป็นที่เข้าใจ* จากคุณ : Gin-GaL - [ 30 ก.ย. 51 01:23:49 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ***เราจะนำภาพของพระรูปนี้ออกทันทีหากมีใครคิดว่าไม่เหมาะจะอยู่ในทู้ มุ้งรูปร่างแบบนี้ของเรา จากคุณ : Gin-GaL - [ 30 ก.ย. 51 01:29:10 ]

ความคิดเห็นที่ 94 Freedom of Life-เป็นธรรมดาของคนค่ะความรั้นเนี่ย แม่เราเห็นทู้นี้แม่เรายังบอกเลยค่ะว่าอย่าคิดว่าทุกคนเหมือนเรา อย่าต่อปากมากความ  พูดไป2ไพเบี้ยนิ่งเสียตำลึงทอง แต่ไม่ทุกกรณีค่ะ( แม่เราไม่อยากให้ใครพูดเหมือนว่าเราไม่ดีไม่อยากให้ใครมาดูถูกลูก)             แต่เรารู้เลยเราพลาดหลายอย่าง ตั้งแต่คุณว่าแหละ มารผจญเราสำเร็จเลย แทนที่ตอนนั้นเราจะนึกซะว่า เราหยุดแล้วท่านหยุดหรือยัง....ยังอ่อนต่อโลกนักเรา ***เรายอมรับเลยเราดื้อมากๆนิสัยเหมือนเด็กๆ(เด็กคือผู้ไม่สามรถรับผิดชอบตัวเองได้เต็มที่ยังต้องพึ่งพาผู้ใหญ่)  มันเหมือนการถูกล้อชื่อบุพการีตอนเด็กแล้วต้องเอาคืนอย่างเงี๊ยค่ะ แต่พอโตนี่รู้แล้วนะ แต่เพื่อนยังล้ชื่อแม่เราอยู่เลย(เพื่อนมัธยม)เราเริ่มไม่ถือแล้วถึงจะโกรธ และทั้งที่บอกให้เลิกได้แล้วมั๊นก็ยังเรียกขนาดอธิบายสารพัด แปลกมั้ยคนบางคนไม่รู้เรื่องอย่างนี้ *****คุณอ่อนโยนและมีเหตุผลเหมือนคุณแม่เรา* * เรากับท่านเป็นเพื่อนกันได้ ยอมรับความต่างซึ่งกันและกันผลัดกันปราณีประนอม  และยังเป็นท่านครูที่แท้จริง ** แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 51 01:51:09 จากคุณ : Gin-GaL - [ 30 ก.ย. 51 01:49:00 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ไกลมาก-ทำงานแนวเดียวกับแฟนเราเลยค่ะ แต่เค้าทำมือเป็นอย่างเดียว คือร่างแบบก็มือหมด เพราะแต่ความเคยชิน คุณพัฒนากว่าเยอะเลย ทำได้ทั้งใช้มือ และนำคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วย จากคุณ : Gin-GaL - [ 30 ก.ย. 51 02:14:20 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ตอบ จขกท. คำว่าวนเวียนอยู่ในวัฏจักรเดิม ความหมายนี้กว้างค่ะ เราไม่ได้เจาะจงถึงสิ่งที่คุณเขียนเกี่ยวกับไสย (เราไม่ได้คิดว่าคุณชื่นชอบแต่อย่างใดหากเราเขียนไม่กระจ่างพอก็ขออภัยในความด้อยวุฒิภาวะทางปัญญาของเรา) แต่เราอธิบายโดยรวมถึงการที่เรามักยอมรับสภาพที่ต้องเป็นรองโดยพร้อมใจถึงแม้ยุคสมัยเปลี่ยนไปแต่ความเชื่อยังคงอยู่ ซึ่งทั้งนี้เป็นเรื่องของการปลูกฝังจิตสำนึก ที่วากรากไว้แต่ต้นแล้ว คุณเจาะจงค่ะ เพราะตอนที่คุณใช้คำนี้ คุณบอกว่าเราเป็นคนที่วนเวียนอยู่ในวัฏจักรเดิม ไปดูสิ่งที่คุณเขียนไว้สิคะ เราอุตส่าห์ยกมาโพสต์ให้ดูตั้ง ๓ รอบแล้วมั้ง **มีอะไรที่เราควรตอบ แล้วยังไม่ได้ตอบคำถาม คำถามที่ว่า ทำไมคุณจึงบอกว่า "นี่แค่เรื่องกางเกงในยังรู้สึกรังเกียจได้ขนาดนี้  แต่ทีปลัดขิกเนอะ" ตรงไหนคะ ที่เราทำให้คุณคิดว่าเรารังเกียจกางเกงใน คุณไปยกมาจากข้อความที่เราอธิบายคุณเรื่องไสยศาสตร์ได้มั้ยคะ? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับปลัดขิกคะ เราไม่เคยพูดกับคุณเรื่องปลัดขิกนะคะ จนกระทั่งมีคนพูดก่อนแล้วคุณเอามาพูดกับเราน่ะ? ถ้าคุณบอกว่า ข้อความที่เรายกมานี้ คุณไม่ได้หมายถึงเรา คุณหมายถึงคนอื่น ตอนที่คุณเขียนข้อความนี้ คุณคุยกับเราอยู่นะคะ ทำไมคุณจึงบอกว่าคนโบราณทำไปเพราะไม่มีทางเลือก อย่างเรื่องน้ำเต้าหรือฟักที่ห้ามกินหากสัก เราว่าคนโบราณมีเหตุผลค่ะ* ฟักทำให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยากับหมึกบางชนิด และน้ำมันบางสูตรที่ใช้ในการสักค่ะ (ย้ำว่า บางชนิด และบางสูตรเท่านั้น) ซึ่งจะทำให้เกิดแผลพุพองและอาการแพ้ขึ้นมาได้ และรักษาไม่หายด้วยค่ะตราบใดที่รอยสักนั้นยังอยู่ เมื่อไม่รู้ว่าหมึกและน้ำยาที่ใช้นั้น จะทำให้เกิดอาการดังกล่าวเมื่อกินฟักหรือไม่ ก็เลยห้ามไว้ซะเลยน่ะค่ะ เพราะปลัดขิกเป็นเรื่องของการบูชาอวัยวะเพศเพื่อความอุดมสมบูรณ์แล้วทำไมทั้งที่รับอารยธรรมบางอย่างมาจากอินเดีย แต่เลือกตัดขาดกับโยนี ข้อมูลเกี่ยวกับปลัดขิกที่คุณลอกมานั้น เป็นข้อมูลเก่าค่ะ ปัจจุบันรู้กันในทางวิชาการแล้วว่า ปลัดขิกเป็นคติความเชื่อที่เกิดขึ้นเป็นเอกเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยไม่เกี่ยวกับอินเดีย และเกิดขึ้นก่อนรับอะไรต่อมิอะไรทั้งสิ้นมาจากอินเดียค่ะ ไม่เกี่ยวอะไรกับศิวลึงค์เลยแม้แต่น้อย ศิวลึงค์เองก็เหมือนกัน เป็นอะไรที่ต่อยอดมาจากการบูชาอวัยวะเพศชายสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ในหมู่คนพื้นเมืองของอินเดียเอง ต่อมาพอเกิดศาสนาฮินดูขึ้นหลังพุทธกาล นิกายที่นับถือพระศิวะก็ไปดึงเอาพวกชนเผ่าที่นับถืออวัยวะเพศชายมาเข้าเป็นศาสนาเดียวกัน แล้วก็แต่งนิยายว่าอวัยวะเพศชายนั้นคือ ศิวลึงค์ ซึ่งเป็นภาคหนึ่งของพระศิวะ ไทยเราไม่ได้รับอะไรจากอินเดียมาซะหมดทุกอย่างหรอกค่ะ โดยเฉพาะไสยศาสตร์ เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในดินแดนแถบนี้ตั้งแต่ก่อนเราจะติดต่อกับชาวอินเดีย คุณสามารถไปถามได้ที่ภาคมานุษยวิทยา คณะโบราณคดีค่ะ ถามอาจารย์ท่านใดก็ได้ค่ะ บอกว่าจะเอาไปใช้ประกอบการทำงานศิลปะของคุณ ท่านก็คงตอบมาไม่ต่างไปจากนี้หรอกค่ะ อ้อ การนับถืออวัยวะเพศชายนี่มีทั่วโลกค่ะ รับรองว่าไม่ได้มาจากศิวลึงค์อินเดียกันไปทั้งหมดแน่นอน   *ของบูชาที่เป็นสัญลักษณ์แทนสตรี มีอะไรที่คุณรทราบ ที่ไม่ใช่รูปของสตรีชัดเจน อย่างนางกวัก * เอาแบบที่เป็นเครื่องรางชั้นต่ำสุดเลยนะ คือ แม่เป๋อ (ชาวบ้านทั่วไปเรียกกันตรงไปตรงมากว่านี้ค่ะ เราไม่อยากโพสต์คำหยาบ) ปกติทำเป็นรูปผู้หญิงนั่งในท่าที่กำลังจะคลอดลูกน่ะค่ะ แต่เคยพบแบบที่ทำเลียนแบบอวัยวะเพศหญิงโดยตรงด้วย อีกอย่างหนึ่ง ที่คนไทยโบราณรับมาจากอินเดีย คือ เบี้ยจั่น เป็นสัญลักษณ์ของพระลักษมี เทวีแห่งโชคลาภและสิริมงคลของอินเดียค่ะ ขอยกตัวอย่างภิกษุสันดานกา ประกอบซึ่งถือเป็นงานที่มีคุณค่าเด่นชัดใครก็รู้จัก โดยส่วนตัวเรานะ เราไม่เห็นคุณค่าอะไรเด่นชัดจากภิกษุสันดานกา เรารังเกียจงานศิลปะทุกชนิดที่ทำขึ้นด้วยมุมมองแบบนั้น ไม่ใช่เพราะเค้าไปว่าอะไรพระสงฆ์องค์เจ้าหรอกค่ะ พระที่ไปนั่งอยู่ในภาพนั้นเราก็ไม่ชอบเหมือนกันแหละค่ะ แต่ภิกษุสันดานกานั้น เราเห็นว่าเป็นงานของศิลปินที่อยากดังอย่างไม่มีรากเหง้า ไม่แยแสสังคม ไม่มีต้นมีปลายอะไร คิดได้อยู่แค่จะทำให้งานออกมาแรงได้ยังไง แต่ไม่เคยสนใจผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสังคม เห็นแต่ความอยากดังอยากเด่นของตัวเองเท่านั้นที่สำคัญ พอถูกโจมตีก็อ้างโน่นอ้างนี่ ป่วยการที่คนแบบนั้นจะพูดเรื่องที่เป็นอุดมคติค่ะ เที่ยวไปเอาคำพูดของพระพุทธเจ้ามาปรามาสวงการสงฆ์ ทั้งๆ ที่ตัวคนวาดภาพก็เป็นพวกขี้เหล้าเมายาไปวันๆ ในสายตาเรา งานชิ้นนั้นก็ไม่ดีไปกว่าการ Masturbation ของเค้าหรอกค่ะ ถ้าคุณอยากยกตัวอย่างงานวิพากษ์ศาสนาที่แรงและคม และมีคุณค่าในตัวเอง คุณยกตัวอย่างงานของ อ.ถวัลย์ดีกว่ามั้ยคะ ฝีมือห่างชั้นกับภิกษุสันดานกาเยอะ   แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 51 04:35:50 จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 30 ก.ย. 51 04:31:20 ]

ความคิดเห็นที่ 97 หนอนดาวเรือง- Masturbation(การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง) เข้าใจได้อย่างเดียวใช่หรือเปล่าคะหรือใช้ได้ในหลายความหมาย (ป่วยอังกฤษจัดๆจะไปเรียนเพิ่มเติมในเร็ววันค่ะ) -ส่วนเรื่องที่ทำให้คุณคิดว่าเรากล่าวหาว่าคุณว่ารังเกียจ กกน นั้น เพราะเราไม่ได้คิดเชิงวัสดุอย่างเดียวเ อย่างที่บอกเราใช้เป็นสัญลักษณ์แทนสตรีเพศด้วย เราจึงตีความในหลายความหมาย หลายกรณี - ขอน้อมรับไว้และสืบค้นข้อมูลตามที่คุณบอกค่ะและเราเห็นด้วยว่าพึงมีประโยชน์จริงค่ะ ส่วนที่ขาดไปเราขออภัยหากได้ล่วงเกินคุณ **แบบที่เป็นเครื่องรางชั้นต่ำสุดเลยนะ คือ แม่เป๋อ (ชาวบ้านทั่วไปเรียกกันาตรงไปตรงมากว่านี้ค่ะ เราไม่อยากโพสต์คำหยาบ) ปกติทำเป็นรูปผู้หญิงนั่งในท่าที่กำลังจะคลอดลูกน่ะค่ะ แต่เคยพบแบบที่ทำเลียนแบบอวัยวะเพศหญิงโดยตรงด้วย **ส่วนเบี้ยจั่น มีการใช้ประโยชน์หลายอย่าง ใช้เป็นแทนเงินด้วย* เราจะหาข้อมูลของแม่เป๋อ และเบี้ยจั่น จากอาจารย์อีกทีค่ะ **ขอบคุณสำหรับข้อมูลนี้อันเป็นประโยชน์** **งานชิ้นนี้อยู่ระหว่างศึกษา และทดลอง ขอขอบคุณทุกท่านที่มาให้ความรู้เพิ่มเติมในที่นี้** จากคุณ : Gin-GaL - [ 30 ก.ย. 51 07:43:07 ]

ความคิดเห็นที่ 98 เอารูปมาฝากประกอบข้อความ..คุณหนอนดาวเรือง ภาษาดั้งเดิมที่ถูกต้องเขาเรียก  Eเป๋อ ครับ เดิมนิยมสักใว้ที่ง่ามขา แต่ที่ทำเป็นเครื่องรางก็มีครับ รูปข้างล่างนี่ของพระสายเขมร หลวงพ่อฤทธิ  วัดชลประทานราชดำริ พยายามถ่ายเอียงๆ ถ้าถ่ายตรงเห็นอวัยวะครบครับ แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 51 10:17:48 จากคุณ : ทิคัมพร (sueki) - [ 30 ก.ย. 51 08:27:19 ]

ความคิดเห็นที่ 99 คุณ จขกท จะได้กำไรชีวิต จากการฟังนะ คนในห้องนี้เป็น ผู้รู้กันมาก   แต่อย่างว่า  อยากได้ลูกเสือ ต้องเข้าถ้ำเสือ อ่านดีๆ ทำความเข้าใจ คุณจะไม่ผิดหวังกับการมาตั้งกระทู้ในห้องนี้ อาจจะไม่ถูกใจบ้าง แต่ในห้องนี้ มีของดีจริงๆ จากคุณ : บุษกรจันทร์ - [ 30 ก.ย. 51 09:34:23 ]

ความคิดเห็นที่ 100 มาลงชื่อ  เป็นคนที่ 100  มาดู  น้าหลาน  คุยกัน จริงอย่างคุณ  บุษกรจันทร์  ว่า   ในนี้มีอะไร ที่เป็นความรู้เยอะ ขอถาม คุณ หนอนฯ หน่อย ที่ว่า ปัจจุบันรู้กันในทางวิชาการแล้วว่า ปลัดขิกเป็นคติความเชื่อที่เกิดขึ้นเป็นเอกเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยไม่เกี่ยวกับอินเดีย ช่วยบอกหลักฐาน  แหล่งข้อมูล  ค้นคว้าได้ไหม ครับ   ไม่ใช่ไม่เชื่อนะครับ  แต่จะนำไปลง  ในจุลสาร   คุณคงเข้าใจ   ว่าต้องมี ข้อมูลอ้างอิง   ว่าจะลงความเป็นมาของ ปลัดขิก     ขอ ก็อปข้อมูลบางส่วนด้วยนะครับ  ถ้าไม่อนุญาต  ก็ไม่เป็นไร   คุณ หนอนฯ  นี่  ถ้าจะเป็นอาจารย์  นะเนี่ย แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 51 10:02:57 แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 51 09:54:51 จากคุณ : ไกลมาก - [ 30 ก.ย. 51 09:48:58 ]

ความคิดเห็นที่ 101 ถ้าอ่านหนังสือคนยุคหลัง2500 มักมีคำพูดซ้ำๆกันว่าปลัดขิกมีที่มาจาก ศิวะลึงค์ของอินเดียซึ่งนักวิชาการ(มั้ง) มักพูดกัน ตามความรู้ของผมที่ถ่ายทอดกันมาปลัดขิก..ไทย..ไม่ใช่คติบูชาเทพเจ้า แต่เป็นคติบูชาคุณบิดา (ในยุคต้นก่อนกรุงธนบุรี) ในยุคกรุงเทพ เป็นการนำคติความเชื่อในเทวดา(นะ.ตาพระอินทร์ ของ หลวงพ่อเหลือ) และไตรสรณาคมเข้ามาประกอบ เหตุผล..จากภาษาขอมที่จารย์บนปลัดขิกไทย เมื่อแปลออกมาจะเป็น อิติปิโสบ้าง พุทธธังสรณังคัจฉามิบ้าง(อิ กะ วิ ติ) (อิ สวา สุ)บ้าง หรือหัวใจพระธรรม ๗ คัมภีร์ บ้าง(สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ) ไม่เคยมีอักขระที่เกี่ยวกับฮินดู บนปลัดขิกไทยเลย ยกเว้นหลัง2540 มีอาจารย์เน้นการค้าได้ดัดแปลงพิเรนแตกแยกออกไป หลายรูปแบบ ปัญหาคือผมไม่มีฟอร์นอักษรขอม จะพิมพ์ให้ดูได้อย่างไรนี่... แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 51 09:35:25 จากคุณ : ทิคัมพร (sueki) - [ 30 ก.ย. 51 10:48:09 ]

ความคิดเห็นที่ 102 ชอบ นะ มุม มัน มอง ได้ หลาก หลาย คิด ต่าง คิด แปลก ใช่ แตก ต่าง เรา ไม่ ได้ แปลก แต่ เรา คิด ต่าง เรา มอง เรา คิด ไ้ด้ ทุก อย่าง สำคัญ ต้อง อย่า ลืม ศีล ธรรม วัฒนธรรม อย่า ดู ถูก ความเชื่อ ศรัทธา ของ ผู้คน เสียดาย อยู่ไกล ไม่งั้นจะไปดูให้กำลังใจใกล้ๆ จากคุณ : theshoae - [ 30 ก.ย. 51 12:15:11 ]

ความคิดเห็นที่ 103 คุณไกลมาก เราไม่ใช่อาจารย์ค่ะ เป็นไกด์ต่างหาก^ ^ คือเราเคยผ่านตามาน่ะค่ะ เป็นบทความของอาจารย์ภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งคุณสามารถเข้าไปค้นได้จากในห้องวารสาร ชั้นล่างอาคารศูนย์เรียนรวม ตึกเดียวกับตึกคณะมัณฑนศิลป์ของม.ศิลปากรน่ะค่ะ (ไม่รู้ย้ายหรือยังนะ ถ้าย้ายแล้วคุณ จขกท. ช่วย update ข้อมูลด้วยค่ะ) หรือไปค้นได้ที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรค่ะ ตรงตลิ่งชัน แต่เราว่าศิลปากรเข้าไปง่ายกว่านะ ระบบคอมพิวเตอร์ก็ดีกว่า ถ้าในห้องวารสารไม่มี ไปที่หอสมุดกลางก็ได้ค่ะ อยู่ตรงประตูทางเข้ามหา'ลัย บุคคลภายนอกเข้าได้ค่ะ เอาบัตรประชาชนไปยื่นให้เค้า แล้วจ่ายค่าเข้าไป ๒๐ บาท มีคอมพิวเตอร์ให้ค้น หนังสือส่วนใหญ่จะอยู่ชั้นล่าง ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องภาษาอังกฤษ ลองเสิร์ชงานของ Dr.H.G. Quaritch Wales ในหัวข้อ Prehistorical Religion in Southeast Asia และงานของนักวิชาการท่านอื่นๆ ในหัวข้อ  Penis Cult in Art ก็ได้ค่ะ ส่วนที่คุณ ทิคัมพร (sueki) โพสต์ไว้นั้น เป็นข้อมูลที่คุณไกลมากสามารถนำไปอ้างอิงได้เช่นกันค่ะ เพราะเป็นข้อมูลแบบมุขปาฐะ ที่คนโบราณเล่าสืบต่อกันมา ถ้าจะทำอะไรที่เป็นเรื่องทางมานุษยวิทยาอย่างเรื่องปลัดขิก ต้องใช้ข้อมูลประเภทนี้เยอะเหมือนกันค่ะ เอาเฉพาะที่เป็นเอกสารหรือหลักฐานโดยตรงไม่ได้เสมอไป เพราะบางกรณี ไม่มีหลักฐานค่ะ การที่เกจิอาจารย์ที่ทำปลัดขิกสมัยก่อน ใช้แต่ตัวขอมจารบนปลัดขิก ไม่ใช้เทวนาครี และไม่เคยพูดถึงพระศิวะหรือพระอิศวรเลยในมนต์ที่ใช้ปลุกปลัดขิก ก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าคนไทยโบราณไม่เคยคิดว่าปลัดขิกเกี่ยวข้องอะไรกับศิวลึงค์เลย ข้อพิจารณา : ศิวลึงค์มีอยู่ในปราสาทหินต่างๆ ทั้งในไทยและเขมรก็จริง แต่คตินี้เสื่อมสูญไปแล้วพร้อมกับการสิ้นสุดอารยธรรมของเมืองพระนคร (Angkor) แม้แต่คนเขมรเองก็ไม่มีการสืบทอดต่อมา ในขณะที่เมืองไทยนั้น ก็ไม่มีผู้ศรัทธากราบไหว้ต่อมานอกจากพวกพราหมณ์ประจำราชสำนักเป็นกลุ่มเล็กๆ แม้แต่ศิวลึงค์ที่ตั้งอยู่ที่วัดโพธิ์ก็ไม่มีใครรู้จัก เพิ่งจะมีคนไปกราบไหว้กันในยุคหลังๆ นี้เองค่ะ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 1 ต.ค. 51 02:14:45 ]

ความคิดเห็นที่ 104 ขอบคุณ  คุณหนอนฯ  ครับ   เดี๋ยวจะเข้าไปดู  ในเว็บที่คุณบอก จากคุณ : ไกลมาก - [ 1 ต.ค. 51 06:21:17 ]

ความคิดเห็นที่ 105 ทิคัมพร (sueki)-ขอบคุณมากสำหรับภาพค่ะ บุษกรจันทร์-ค่ะมาห้องนี้ได้กำไรชีวิตจริงๆค่ะคนเก่งเยอะ theshoae-ค่ะห้องนี้เราได้หลากหลายมุมมองออกไป..จริงๆ หนอนดาวเรือง-และก็ตามที่คุณหนอนบอกยังอยู่ที่เดิมเหมือนเดิมค่ะ ไกลมาก-ขอบคุณที่ติดตามอยู่เรื่อยนะคะ         *ขอบคุณทุกท่านที่มาให้ข้อมูลเพิ่มเติม * *ช่วงนี้ทำportfolioอยู่ขอเน้นเข้ามาเก็บข้อมูลไปเรื่อยเพื่อไปสืบค้นนะคะ* จากคุณ : Gin-GaL - [ 1 ต.ค. 51 10:10:00 ]

ความคิดเห็นที่ 106 ดีใจกับจขกท ที่คิดได้ เชื่อว่าคุณคงเติบโตขึ้นมากทีเดียว ในช่วงเวลาไม่ถึงสัปดาห์นี้ ป.ล. วันนี้มีกิ๊บติดให้หนอนแล้ว เย้ๆๆ น่ากินจัง อิอิ จากคุณ : บุษยมาศ - [ 1 ต.ค. 51 10:56:50 ]

ความคิดเห็นที่ 107 อ่านดูแล้วดีค่ะ มีความคิดเห็นหลากหลาย ถ้าเป็นกระทู้แนะนำคงจะได้ความคิดเห็นอีกเยอะเลย จากคุณ : รัตนมาลี - [ 1 ต.ค. 51 13:59:35 ]

ความคิดเห็นที่ 108 แค่เรื่องกางเกงในแค่นี้  ทำให้กระทู้นี้ยาวได้ถึงเพียงนี้ อัศจรรย์จริงๆ จากคุณ : นายสมองมด - [ 4 ต.ค. 51 00:29:23 ]

ความคิดเห็นที่ 109 มุ้งกางเกงในกระทู้ยาวจัง ... ... มาดูดอกไม้ สลับกับ กกน นะนะ ...... จากคุณ : รักดี - [ 4 ต.ค. 51 16:38:48 ]

ความคิดเห็นที่ 110 ไม่ได้อ่านที่ตอบโต้กันละเอียดนะครับ บอกเฉพาะความคิดเห็นของผมละกัน ตอนแรกที่เห็นก็รู้สึกว่าสีสวยดีครับ แต่พอดูถึงประโยชน์ใช้สอยก็คิดว่าคงจะใช้จริงไม่ได้ เพราะมันจะกันลมหมดเลย เข้าไปนอนในนั้นคงจะร้อนมาก ส่วนตัวไม่ถือเรื่องกางเกงในเท่าไหร่ ซักกกน.ให้ผู้หญิงก็ได้ครับ แต่จะให้เอามาครอบหัว หรือทำเป็นมุ้งแล้วนอนก็คงจะไม่ไหวเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นกกน.ของเพศชายหรือหญิง ใช้แล้วหรือยังไม่ใช้ ก็ไม่เอาทั้งนั้นครับ จากคุณ : supertarokung - [ 6 ต.ค. 51 17:33:45 ]

ความคิดเห็นที่ 111 ขอบคุณทุกความคิดเห็นอีกครั้งค่ะ ขอบคุณที่คอยมาเพิ่มเติมค่ะ จากคุณ : Gin-GaL - [ 21 ต.ค. 51 11:44:57 ]