ความคิดเห็นที่ 1 ขอ ออกตัว ก่อนนะครับว่าผมเป็นชาวพุทธ ไม่ใช่มุสลิม แต่เท่าที่ ผม มีข้อมูลอยู่นี่ ก็คือว่า มุสลิมจะให้ความยำแกรงต่อ อัลเลาะห์ โดยที่จะไม่นำสิ่งใดไปเทียบเคียง หรือ เปรียบกับอัลเลาะห์ ดังนั้น อัลเลาะห์ คือ พระเจ้าสูงสุด ทรงบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งใดเป็นภาคี(เสมอเหมือน) กับอัลเลาะห์ อีกแล้ว ดังจะเห็น เวลาที่ชาวมุสิลิม กล่าวถึงพระผู้เป็นเจ้า หลังจากเอ่ยนาม อัลเลาะห์แล้ว จะมีสร้อยคำ สรรเสริญต่อท้าย ซึ่งหากเวลาเขียนก็จะใช้ตัวย่อ กล่าวคือ "ซุบฯ" ซึ่งย่อมาจาก "ซุบฮานะฮูวะตะอาลา" จะมีความหมายประมาณว่า "ความบริสุทธิ์และความสูงสุดยิ่งแด่พระองค์” ดังนั้น ทัศนคติที่มีต่อพระเจ้าจะไม่เหมือนกับชาวคริสต์ ที่ถือว่า พระเจ้ามีพระสิริ เช่นเดียวกับมนุษย์ มุสลิมไม่ได้ถือแบบนี้ หรือการที่บ่งบอกว่า มีใครคนหนึ่งเป็นบุตรของพระเจ้าก็ไม่ใช่ เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะเสมอเหมือนกับพระองค์ พระองค์เป็นที่สุด เป็นสิ่งบริสุทธิ์ ไม่สูง ต่ำ ดำ ขาว ไม่มีขนาด ไม่ระบุเพศ (ซึ่งชาวคริสต์ถือว่าพระเจ้าเป็นชาย จึงเรียก "พระบิดา" ) อะไรประมาณนี้อ่ะครับ พยายามอธิบายเป็นภาษาบ้านๆ จากคุณ : เทพทวนสยบมังกร - [ 17 ต.ค. 51 10:02:21 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ...... เก๊าเข้ามาดู เฉยๆๆ เพราะกิ๊ดตึ๊ง ลุงดาบฯ ...... จากคุณ : cattym - [ 17 ต.ค. 51 10:12:31 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ต้องบอกไว้ก่อนว่าภาษาอรับคือ "อิสตะวา อะลัลอัรช" คงเดิมสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้เลย การเอาคำแปลมาจับ ว่า อัลลอฮฺเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ดั่งสิ่งที่ถูกสร้าง คือความคิดที่เสี่ยงต่ออุตริกรรม (บิดอะฮฺ) แม้เพียงประเด็นว่า พระเจ้าอยู่บนฟ้า ประเด็นนี้มีมุสลิมถกกันเรื่องนี้ไม่ต่างจากชาวพุทธถกกันเรื่องนิพพาน คือมันเกินสติปัญญาที่เราจะตอบได้ เพราะสภาพมิติกว้าง ยาว สูง ทิศทาง เวลา หรืออื่นใด ๆ ไม่สามารถใช้กับพระเจ้าได้ แต่เราอยู่ในสภาพมิติเหล่านี้ สิ่งที่พระองค์สื่อจึงต้องอยู่ในมิตินี้ ปัญหาคือจะแปลความอย่างไร? แม้การแปลความหมายอัลกุรอ่านของสมาคมนักเรียนเก่าอาหรับเป็นภาษาไทยว่า "ทรงสถิตย์ อยู่บนบัลลังก์" ก็ยังถูกมองว่าไม่ถูกต้อง ซึ่งเรื่องนี้ผมขอไม่สรุป แต่ยังไงก็ตาม... ไม่มีมุสลิมคนใดคิดว่า "พระเจ้านั่งห้อยขาอยู่บนบัลลังก์ แล้วมีเทวดาใช้บ่าแบกบัลลังก์แน่ ๆ" นั่นมันเทพมังกร เอนมา แมทท์อย่ามาโยน อย่ามาเหมาว่ามุสลิมคิดอย่างนี้ จากคุณ : DJC - [ 17 ต.ค. 51 14:59:50 ]

ความคิดเห็นที่ 4 สหายของท่านนบีมุฮัมมัดท่านหนึ่งเข้ารับอิสลาม เพียงเพราะไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกนี้ได้ เมื่อเขาได้ยินท่านนบีฯ อ่านอัลกุรอาน          “อัม คุลิกู มิน ฆอยริ ชัยอิน อัม ฮุมุล คอลิกูน – หรือว่าพวกเขาถูกสร้างมาจากสิ่งที่ไม่มี หรือว่าพวกเขาเป็นผู้สร้าง” (อัลกุรอาน 52:35)          นั่นคือ คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าถูกถามว่า ถ้าท่านไม่ได้ถูกสร้างจากพระเจ้า ก็แสดงว่า มีคำตอบเหลืออีกสองทางเลือกเท่านั้น นั่นคือ ท่านมาจากสุญญากาศ หรือไม่ก็สร้างตัวเองขึ้นมา ... ซึ่งเป็นความน่าจะเป็นที่ปัญญาไม่อาจยอมรับได้          สหายของท่านนบีมุฮัมมัดท่านนี้ ไม่ได้สนทนาธรรมกับท่านนบีฯ แต่เขาก็เลือกที่จะยอมรับ เพราะเขาไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกนึกคิดของเขาได้ ...             แม้ผมจะยอมรับ “พระเจ้า” ดังความรู้สึกของสหายขอท่านนบีฯ แต่เรื่องของพระเจ้าก็ยังคงรบกวนจิตใจอย่างแสนสาหัสตลอดเวลา ไม่ใช่ประเด็นเพราะพระองค์ไม่มีอยู่ แต่เป็นเพราะพระองค์มีอยู่ แต่การมีอยู่เป็นภาวะที่ทำให้สติปัญญาของผมแทบจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ เพราะการเข้าไปไม่ถึงสภาวะการมีอยู่ที่เกินการรับรู้ได้           “ฮุวัล-เอาวะลุ วัล-อาคิรุ วัซ-ซอฮิรุ วัล-บาฏินุ ...  – พระองค์คือผู้แรก สุดท้าย ภายนอก ภายใน ..” (อัล-กุรอาน 57:3)          แค่คำบรรยายลักษณะของพระเจ้าในอัลกุรอานแค่นี้ก็ทำให้ปัญญาแทบปริ สติแทบสูญเสียไปแล้ว..            ผมจะรู้สึกหวั่นไหวทุกครั้งไป เมื่อได้ยินคนกำลังถกเถียงกันเรื่องสภาวะของพระเจ้า ถึงลักษณะของพระองค์ ถึงรูปแบบการมีอยู่ของพระเจ้า ถึงภาวะที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดจบ  เพราะพวกเขากำลังเถียงกันในเรื่องที่ทำให้สติฟั่นเฟือนได้ ...          และผมรู้สึกว่าหลายครั้งเป็นการถกเถียงที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง หาใช่ความต้องการที่จะรู้จักพระเจ้าไม่ ...            เพราะถ้าเขาต้องการรู้จักพระเจ้า พวกเขาจะต้องตระหนักถึงประเด็นที่อันตรายเช่นนี้ ดังที่อิหม่าม อบู ญะอฺฟัร อัฏ-เฏาะหาวียฺ ปราชญ์คนสำคัญในยุคต้น ๆ ได้กล่าวปิดไว้ในหนังสือ “อะกีดะฮฺ เฏาะหาวียะฮฺ”  อันโด่งดังของท่าน หลังจากบรรยายลักษณะของพระเจ้าเอาไว้ว่า  “การคาดคิดมิอาจบรรลุ ความเข้าใจมิอาจสัมผัส”          เรื่องพระเจ้าวนเวียนอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของผม ระหว่างการยอมรับโดยสิ้นเชิงต่อการมีอยู่ของพระองค์ กับจิตใจที่หวั่นไหวในภาวะที่มันเกินขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์ตัวเล็ก ๆ อย่างเรา ... ที่มา: พระเจ้าและความตาย http://www.fityah.com/index.php?option=com_content&task=view&id=92&Itemid=30 จากคุณ : DJC - [ 17 ต.ค. 51 16:51:34 ]

ความคิดเห็นที่ 5 แต่ยังไงก็ตาม... ไม่มีมุสลิมคนใดคิดว่า "พระเจ้านั่งห้อยขาอยู่บนบัลลังก์ แล้วมีเทวดาใช้บ่าแบกบัลลังก์แน่ ๆ" นั่นมันเทพมังกร เอนมา ไม่จริงนะ ท่านเทพมังกรไม่ได้นั่งบนลัลลังก์สะหน่อย เทพมังกรนอนตีพุงตะหากล่ะ [ วุ้ย ไม่ได้เข้าพันทิปนาน ใช้ระบบตัวหนาผิดซะงั้น ] แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 51 11:14:56 จากคุณ : ดอส - [ 18 ต.ค. 51 11:14:11 ]

ความคิดเห็นที่ 6 วันดีคืนดี ท่านก็ทรงไปโผล่ที่กองประกวด จากคุณ : ดอส - [ 18 ต.ค. 51 11:16:46 ]

ความคิดเห็นที่ 7 My Dear friends: This part of al qur'an is a parable (or  A simple story illustrating a moral or religious lesson).  I will explain later if you do not understand.  The following story from ..... http://www.moradokislam.org/modules.php?name=News&new_topic=3 Please read the details: Whenever  "Hadith"  had been used to explain al quran, it creates confusion among Muslims. หากมีคำถามว่าพระองค์อัลลอฮ.อยู่ที่ไหน? จงตอบเถิดว่า พระองค์อยู่บนฟ้า คำตอบนี้เราได้มาจากตัวบทหลักฐานจากฮาดิษ ซอเฮียะห์ดังนี้ ครั้งหนึ่ง มูอาวียะห์ บุตร อัลฮากัม อัสซูลามี ท่านต้องการที่จะให้อิสรภาพกับ ญารียะห์ทาสของท่าน มูอาวียะห์ได้นำตัวญารียะห์ไปหาท่านรอซูล ซ.ล ท่านรอซูลได้ถามญารียะห์ว่า พระองค์อัลลอฮ.อยู่ที่ไหน? เธอตอบว่า พระองค์อัลลอฮอยู่บนฟ้า ท่านรอซูลได้ถามต่อไปว่า แล้วฉันเป็นใคร? เขาก็ตอบว่าท่านคือศาสนทูตของพระองค์ หลังจากนั้นท่านรอซูลได้กล่าวกับมูอาวียะห์ว่า ปล่อยเธอให้เป็นอิสระเถิด เพราะแท้จริงเธอคือผู้ศรัทธา ฮาดิษนี้บันทึกโดยนักบันทึกฮาดิษหลายท่าน เช่น อิหม่ามมาลิก ความจริงแล้วพระองค์อัลลอฮ.ทรงสถิตอยู่บนบัลลังค์ของพระองค์ดังที่พระองค์ได้ทรงกล่าวไว้ถึงความเหมาะสมความมีเกียรติและความเกรียงไกรของพระองค์ ดังหลักฐานต่อไปนี้ >>>>>>>>>>> อิหมามอิบนุคุชัยมะฮฺ ท่านได้กล่าวว่า ใครที่ไม่ศรัทธา พระองค์อัลลอฮฺทรงสถิตอยู่บนบัลลังก์ของพระองค์บนฟ้าชั้นที่ 7 เท่ากับว่าเขาได้ปฏิเสธพระเจ้าของเขา หลังจากที่หลักฐานได้ประจักแก่เขา คำพูดนี้ถูกต้อง (บันทึกโดย อัล ฮากิม ในหนังสือมัฆรีฟะฮฺ อูลูมิล ฮาดิษ หน้าที่ 84 >>>>>>>>>>>>>มีหลักฐานอีกที่จะยืนยันว่าพระองค์และศูนย์บัญชาการของพระองค์อยู่บนฟ้า ............ จากคุณ : แมทท์ - [ 18 ต.ค. 51 12:53:47 ]

ความคิดเห็นที่ 8 "แต่การมีอยู่เป็นภาวะที่ทำให้สติปัญญาของผมแทบจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ เพราะการเข้าไปไม่ถึงสภาวะการมีอยู่ที่เกินการรับรู้ได้" "ผมจะรู้สึกหวั่นไหวทุกครั้งไป เมื่อได้ยินคนกำลังถกเถียงกันเรื่องสภาวะของพระเจ้า ถึงลักษณะของพระองค์ ถึงรูปแบบการมีอยู่ของพระเจ้า ถึงภาวะที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดจบ  เพราะพวกเขากำลังเถียงกันในเรื่องที่ทำให้สติฟั่นเฟือนได้" "และผมรู้สึกว่าหลายครั้งเป็นการถกเถียงที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง หาใช่ความต้องการที่จะรู้จักพระเจ้าไม่ ..." "อิสตะวา อะลัลอัรช" ประโยคเดียวจบครับ ผู้ที่สับสนคือแมทท์ครับ ไม่ใช่ใครที่ไหน จากคุณ : DJC - [ 18 ต.ค. 51 13:39:55 ]

ความคิดเห็นที่ 9 That is your problem because you only know about God. You do not have the instinct to feel the power of GOD and his existence but I do. (True faith.) จากคุณ : แมทท์ - [ 18 ต.ค. 51 14:07:04 ]

ความคิดเห็นที่ 10 This is the reason why I do not get angry at you all when you all mad at me during our discussion about our faith.  When you have GOD on your side you always feel secure both spirit and mind. Nothing can bother you. จากคุณ : แมทท์ - [ 18 ต.ค. 51 14:30:11 ]

ความคิดเห็นที่ 11 กร๊ากกกกกก อย่างขำ มีอวดอุตริสรรพคุณตัวเองด้วย อยากอวดสรรพคุณมาก ช่วยไปถ่ายวิดีโอตอนตัวเองละหมาด แล้ว up โชว์ใน youtube หน่อยสิ เผื่อผมจะหายขำบ้าง หรือว่าแมทท์ละหมาดไม่เป็น จากคุณ : DJC - [ 18 ต.ค. 51 14:35:25 ]

ความคิดเห็นที่ 12 I do not understand what you mean because  I think that you want to discuss about this matter rationally that why I spend my time with you. จากคุณ : แมทท์ - [ 18 ต.ค. 51 15:07:58 ]

ความคิดเห็นที่ 13 I wish I had Thai version to write to you. I want you to be able to think clearly and sensibly unimpaired by emotional and mental condition. (Base on reason rather than emotion or prejudice.) I do want to reason with you. จากคุณ : แมทท์ - [ 18 ต.ค. 51 15:16:06 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ถ้าปัญญามนุษย์มันจินตนาการได้ว่าพระเจ้าประทับอยู่ไหน พระเจ้าคงกระจอกน่าดู อยู่บนบังลังเหมือนบังลังทั่วๆไปที่มนุษย์สร้างบนโลกงั้นหรอ อย่าเอาบัลลังกระจอกๆที่มนุษย์ทำ ไปให้พระเจ้าประทับสิ ต้องไม่มีสมองมนุษย์คนไหนจะจินตนาการได้สิ ต้องไม่เหมือนใครนี่ดิ พระเจ้าถึงจะยิ่งใหญ่จริง แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 51 15:21:22 จากคุณ : fowleres - [ 18 ต.ค. 51 15:20:50 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เข้าใจไปเลยว่า มุสลิมไม่คิดว่าพระเจ้านั่งบนฟ้าตามตัวอักษรไงล่ะแมทท์ เพราะดูว่ากำลังเถียงกันในเรื่องที่ไม่มีใครรู้จริง ในเมื่อเรื่องนี้ไม่มีใครรู้จริง การจะมาเหมาว่า "พระเจ้านั่งอยู่บนบัลลังก์ ที่มีเทวดาแบกหามบัลลังก์นั้นอยู่" นั่นเรียกว่าเพ้อเจ้อไงล่ะ เรารู้เฉพาะแค่สิ่งที่พระองค์เปิดเผยเท่านั้น [2:144] แท้จริงเราเห็นใบหน้าของเจ้าแหงนไปในฟากฟ้าบ่อยครั้ง แน่นอนเราจะให้เจ้าผินไปยังทิศที่เจ้าพึงใจ ดังนั้นเจ้าจงผินใบหน้าของเจ้าไปทางมัสยิดิลหะรอมเถิด และที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่ ก็จงผินใบหน้าของพวกเจ้าไปทางทิศนั้น และแท้จริงบรรดาผุ้ที่ได้รับคัมภีร์ นั้นย่อมรู้ดีว่า มัน คือความจริงที่มาจากพระเจ้าของพวกเขา และ อัลลอฮ์นั้น ไม่ทรงเผลอในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน จากคุณ : DJC - [ 18 ต.ค. 51 15:20:55 ]

ความคิดเห็นที่ 16 If so you have to discuss with one who wrote that story not me.: http://www.moradokislam.org/modules.php?name=News&new_topic=3 Good Night. จากคุณ : แมทท์ - [ 18 ต.ค. 51 15:28:47 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ^ ูู^ พวกอ่านไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียดอย่างแมทท์ เค้าถึงเรียกว่าเพ้อเจ้อไง จากคุณ : DJC - [ 18 ต.ค. 51 15:37:34 ]

ความคิดเห็นที่ 18 อืม.....กระทู้นี้สรุปได้ว่า ท่านเทพมังกรไม่ได้นั่งบนบัลลังก์ แต่เทพมังกรนอนตีพุงเป็นแน่แท้ แถมมีหมอนด้วย โอ้ หนุ่มๆเอนไปสาวๆเอนมาท่านเทพมังกรเอนไปเอนมา^^ ถึงไม่ต้องมีบัลลังก์เทพมังกรก็รักท่าน จากคุณ : Ken Akamatsu - [ 19 ต.ค. 51 01:27:03 ]

ความคิดเห็นที่ 20 พวกอวดรู้นะ เลอะเทอะ ญาเฮ้ลมูร้อกก้อบ จากคุณ : ghanee.s - [ 19 ต.ค. 51 18:27:01 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คุณ : DJC จากความคิดเห็นที่ 17  ของคุณ  คุณช่วยอธิบายให้ทุกๆท่านฟังซิครับว่า ความเข้าใจที่ถูกต้อง จากคำสอนของท่านครู "ศาสนาอิสลาม" เวบมรดกนั้นเขาหมายความว่าอย่างไร?  ถ้าผมเข้าใจผิดผมจะขอโทษอย่างไม่มีเงื่อนไขเลยครับ   ...คำสอนมีดังต่อไปนี้ 1.หากมีคำถามว่าพระองค์อัลลอฮ.อยู่ที่ไหน? จงตอบเถิดว่า พระองค์อยู่บนฟ้า 2.ความจริงแล้วพระองค์อัลลอฮ.ทรงสถิตอยู่บนบัลลังค์ของพระองค์ดังที่พระองค์ได้ทรงกล่าวไว้ถึงความเหมาะสมความมีเกียรติและความเกรียงไกรของพระองค์ 3.พระองค์และศูนย์บัญชาการของพระองค์อยู่บนฟ้า 4.อัรชี  ในภาษาอาหรับหมายถึงบัลลังก์ของกษัตริย์ แต่อัรชี  ที่ประกฏในกุรอานนั้นหมายถึงบัลลังก์ของพระองค์อัลลอฮฺที่มีบรรดามลาอิกะห์แบกอยู่และเสมือนหลังคาที่ให้ร่มเงาแก่สิ่งถูกสร้าง 5.ดังนั้นใครก็ตามที่มีความเชื่อว่าพระองค์อัลลอฮฺไม่ได้อยู่บนฟ้าแน่แท้เขากำลังปฏิเสธในสิ่งที่พระองค์ได้แจ้งว่าพระองค์อยู่บนฟ้า พฤติกรรมของเขาไม่ต่างอะไรกับฟิอาวน์ที่เขาได้ปฏิเสธคำพูดของนบีมูซา .........................   สำหรับความเข้าใจของผม อัลกุรอาน บรรยายในเรื่องนี้ เพื่อเปรียบเทียบให้ มนุษย์เข้าใจถึง ความยิ่งใหญ่และพลานุภาพของพระองค์อัลลอฮ์ ใน "อาการนาม"  ซึ่งมนุษย์อาจจะมองเห็นในระบบกษัตริย์ที่ ผู้ที่มีอำนาจจะต้อง ประทับอยู่บนบัลลังก์,  ซึ่งเป็นระดับที่ปัญญามนุษย์จะเข้าใจได้โดย การมีตัวอย่าง  ประกอบ,   แต่มิได้หมายความว่าตำแหน่งของมนุษย์นั้น ยิ่งใหญ่เทียบเท่าพระเจ้า   ในข้อ 1-5  ผุ้อธิบาย มีความเชื่อว่า เป็นสภาพจริงของพระเจ้า  โดย อ้าง "ฮาดีษ" มาประกอบ คุณอ้าง อายะ[2:144] "แท้จริงเราเห็นใบหน้าของเจ้าแหงนไปในฟากฟ้าบ่อยครั้ง แน่นอนเราจะให้เจ้าผินไปยังทิศที่เจ้าพึงใจ ดังนั้นเจ้าจงผินใบหน้าของเจ้าไปทางมัสยิดิลหะรอมเถิด และที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่ ก็จงผินใบหน้าของพวกเจ้าไปทางทิศนั้น และแท้จริงบรรดาผุ้ที่ได้รับคัมภีร์ นั้นย่อมรู้ดีว่า มัน คือความจริงที่มาจากพระเจ้าของพวกเขา และ อัลลอฮ์นั้น ไม่ทรงเผลอในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน"   คุณเข้าใจหรือไม่ว่าหมายความว่าอย่างไร?  และมันเกี่ยวข้องอะไรกับ พระเจ้านั่งอยู่บนบัลลังก์?    ช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจด้วย      ถ้าคุณตำหนิว่าความเข้าใจของผู้อื่นผิด คุณควรจะ อธิบายว่า ที่ถูกต้องคืออะไร?  ถ้าคุณอธิบาย อายะ[2:144] ไม่ได้  ผมจะอธิบายให้คุณเข้าใจให้ถูกต้องในภายหลัง เพราะเรื่องมันยาวมาก เริ่มมาแต่ สมัยท่านนบีอิบรอฮิม สร้าง "กะบะฮ์"       ไม่เกี่ยวกับ การจำกัดความรู้ความเข้าใจทางธรรมชาติของมนุษย์ หรือ ตำแหน่งและพลานุภาพของพระเจ้า หรือ มองหาพระเจ้าบนท้องฟ้าทางทิศ "กิบลาฮ์" เลย ...   ผมได้ยินมาบ่อยทีเดียว  เมื่เวลา มุสลิม จนปัญญา มักจะโยนความผิดไปให้พระเจ้า  ว่า ..".พระเจ้าให้เราเห็นและเข้าใจเพียงเท่านี้ และเราจะรู้ในสิ่งที่พระองค์ทรงเปิดเผยเท่าน้น"    ความคิดเช่นนั้น เป็นความคิดที่ไม่หาทางก้าวหน้า ไม่ว่าในทาง วิทยาการใดๆ ทั้งสิ้น      เมื่อสมัยก่อน อุลมา ไม่ เคยคิดว่า จะมี คอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ, การผสมเทียม, การผลิตผลไม้ไม่ให้มีเม็ด การบินเร็วกว่าเสียง ฯลฯ   ด้วยเหตุนี้ ชาวอรับจึง ล้าหลังทางวิทยาการทุกๆด้าน  โดยที่อ่านอัลกุรอานแล้วไม่เข้าใจ,     การค้นคว้าและใช้สติปัญญาของมนุษย์พระเจ้า ไม่เคยบัญญํติขอบเขตจำกัดว่า อยู่ในระดับใด ไม่ได้ระบุไว้ในอัลกุรอานว่า มนุษย์จะคิดอะไรเกินกว่าที่พระเจ้ากำหนดไว้ไม่ได้     ไม่มีระบุไว้ในอัลกุรอาน       อัลกุรอานเป็นหลักปฏิบัติทางศีลธรรมและจริยาธรรมในการอยู่ร่วมกัน ของมนุษยื เพื่อให้เกิดความสงบสุข อัลกุรอานไม่ใช้  หนังสือ ที่อธิบาย วิทยาการไม่ว่าในแง่ใดๆ  แต่สอนให้เราเข้าใจว่า "พระเจ้ามีพลานุภาพที่เกี่ยวข้องกับ ชีวิต และสิ่งแวดล้อม ของมนุษย์อย่างไร?   สิ่งต่างๆทางวิทยาศาสตร์ ที่มีอยู่ในอัลกุรอาน เป็น สิ่งที่มนุษย์ มีความรู้อยู่บ้างแล้ว ทั้งนี้เพื่อให้มนุษย์ใช้ปัญญาเปรียบเทียบและค้นคว้าหาความรู้เพิ่มขึ้น ให้สุดปัญญาของมนุษย์ที่จะทำได้ แก้ไขเมื่อ 19 ต.ค. 51 22:02:35 จากคุณ : แมทท์ - [ 19 ต.ค. 51 21:58:43 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ย้ำอีกครั้ง >> มุสลิมไม่คิดว่าพระเจ้านั่งบนฟ้าตามตัวอักษร เพราะดูว่ากำลังเถียงกันในเรื่องที่ไม่มีใครรู้จริง << สิ่งที่ถกเถียงกัน คือการนำคำแปลมาเถียงว่าคำใดเหมาะสมกับคุณลักษณะในการเทิดทูน สุดท้ายไม่จำเป็นต้องแปล ก็กลับไปที่สิ่งที่อัลลอฮฺตรัสในอัล-กุรอ่านอยู่ดี "อิสตะวา อะลันอัชร" หรือแมทท์จะมาเฉไฉ จากคุณ : DJC - [ 20 ต.ค. 51 00:49:03 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ผมได้ยินมาบ่อยทีเดียว  เมื่เวลา มุสลิม จนปัญญา มักจะโยนความผิดไปให้พระเจ้า  ว่า ..".พระเจ้าให้เราเห็นและเข้าใจเพียงเท่านี้ และเราจะรู้ในสิ่งที่พระองค์ทรงเปิดเผยเท่าน้น" การค้นคว้าและใช้สติปัญญาของมนุษย์พระเจ้า ไม่เคยบัญญํติขอบเขตจำกัดว่า อยู่ในระดับใด ไม่ได้ระบุไว้ในอัลกุรอานว่า มนุษย์จะคิดอะไรเกินกว่าที่พระเจ้ากำหนดไว้ไม่ได้     ไม่มีระบุไว้ในอัลกุรอาน .... ที่ผมขีดเส้นใต้เค้าเรียกว่าเพ้อเจ้อ ถ้าอยากอธิบายนัก งั้นแมทท์อธิบายเกี่ยวกับ "รูห์" ให้ฟังหน่อยสิ เพราะอัลลอฮฺตรัสไว้ว่า [17:85] และพวกเขาจะถามเจ้า เกี่ยวกับรูห์จงกล่าวเถิดว่า เรื่องรูห์นั้นเป็นไปตามพระบัญชาของพระเจ้าของฉัน และพวกท่านจะไม่ได้รับความรู้ใด ๆ เว้นแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้ารู้มาก อยากอธิบายนัก งั้นแมทท์อธิบายเรื่องวันกิยามะฮฺว่าคือวันไหนให้อ่านหน่อย [7:187] พวกเขาจะถามเจ้าถึงยามอวสาน (วันกิยามะฮ์) นั้นว่า เมื่อใดเล่ามันจะเกิดขึ้น ? จงกล่าวเถิดว่าแท้จริง ความรู้ใน เรื่องนั้นอยู่ที่พระเจ้าของฉันเท่านั้น ไม่มีใครจะเผยมันให้ทราบสำหรับเวลาของมันได้ นอกจากพระองค์เท่านั้น มันหนักอึ้ง อยู่ในบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดิน มันจะไม่มายังพวกเจ้า นอกจากโดยกระทันหัน พวกเขาถามเจ้ากันประหนึ่งว่าเจ้านั้นเป็นผู้ที่รู้ในเรื่องนั้นดี จงกล่าวเถิดแท้จริงความรู้ในเรื่องนั้นอยู่ที่อัลลอฮ์เท่านั้น แต่ทว่ามนุษย์ส่วนมากไม่รู้ [33:63] มีผู้คนถามเจ้าเกี่ยวกับยามอวสาน จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แท้จริงความรู้ในเรื่องนั้นอยู่ ณ ที่อัลลอฮ์ และอะไรเล่าจะทำให้เจ้ารู้ได้ บางทียามอวสานนั้นอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง แมทท์จะตายที่ไหนล่ะ ถ้าอยากอวดรู้ ก็ช่วยบอกหน่อยซิ มีคนอยากรู้หลายคนรวมทั้งผมด้วย [31:34] แท้จริงอัลลอฮ์นั้น ความรู้แห่ง วันอวสานมีอยู่ ณ ที่พระองค์ และพระองค์ทรงประทานฝนลงมาและพระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในมดลูก และไม่มีชีวิตใดรู้ว่า ณ แผ่นดินใดมันจะตาย งั้นแมทท์ก็อธิบายมาให้หมดด้วยสติปัญญา [22:3] และในหมู่มนุษย์บางคนมีผู้โต้เถียงในเรื่องของอัลลอฮ์โดยปราศจากความรู้ และเขาจะปฏิบัติตามชัยตอนทุกตัวที่ดื้อรั้น จากคุณ : DJC - [ 20 ต.ค. 51 01:21:47 ]

ความคิดเห็นที่ 24 อืม ผมอ่านคห.21แล้ว ผมว่าลุงแมทก็พูดสมเหตุสมผลนะ อัลกุรอานสุดแล้วแต่คนจะตีความ ผมว่าที่ลุงแมทอธิืบายมาก็ไม่ผิดหรอกครับ ส่วนเรื่อง"พระเจ้านั่งอยู่บนบัลลังก์ ที่มีเทวดาแบกหามบัลลังก์นั้นอยู่"อันนี้ผมไม่ออกความเห็นละกัน ปล.กระผมไม่ได้มีความรู้ทางด้านนี้ดีเท่าไรนัก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับลุงแมทและคุณDJC หากพูดอะไรผิดไปก็ขออภัย จากคุณ : Ken Akamatsu - [ 20 ต.ค. 51 04:57:50 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ^ ^ ลุงแมทท์แกชอบกล่าวหามุสลิมนะ ไม่มีมุสลิมคนไหนคิดว่าพระเจ้านั่งอยู่บนบัลลังค์จริงๆหรอก ครับ ไม่เช่นนั้นมันก็ขัดกับคุณลักษณะของพระเจ้าในเรื่อง ของการไม่พึ่งพิงสิ่งอื่นครับ จากคุณ : ghanee.s - [ 20 ต.ค. 51 08:56:42 ]

ความคิดเห็นที่ 26 อัลเลาะห์ไม่ได้อยู่แค่บนฟ้านะครับ อัลเลาะห์ยังอยู๋ใกล้เรามากกว่าเส้นเลือดที่คอ อัลเลาะห์ก็ยังใกล้ชิดเรามากกว่าตาขาวใกล้ชิดตาดำ แล้วจริงๆพระองค์อยู่ไหนละ คงต้องถามอัลเลาะห์แล้วละครับ^^ จากคุณ : ghanee.s - [ 20 ต.ค. 51 10:02:21 ]

ความคิดเห็นที่ 27 คุณ ghanee.s "ลุงแมทท์แกชอบกล่าวหามุสลิมนะ ไม่มีมุสลิมคนไหนคิดว่าพระเจ้านั่งอยู่บนบัลลังค์จริงๆหรอก ครับ ไม่เช่นนั้นมันก็ขัดกับคุณลักษณะของพระเจ้าในเรื่อง ของการไม่พึ่งพิงสิ่งอื่นครับ" (Not all Muslims only those who try to distort Islam.) I did not write the following links but the idiot Muslims and/or those who had consumed such knowledge as yours did, and they believe such story too. I don't. http://www.moradokislam.org/modules.php?name=News&new_topic=3 .................. I have explained my position. จากคุณ : แมทท์ - [ 20 ต.ค. 51 12:25:21 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ไปดูในเวบนั้นแล้ว ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ เวบนั้นเป็นของมุสลิมล้วน โดยปกติทั่วไป มุสลิมทุกคนจะเรียนพื้นฐาณวิชาอูซูลุดดีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งซีฟัตวายิบ(คุณลักษณะ) ของพระเจ้า มีหัวข้อนึงที่เป็นคุณลักษณะสำคัญ คือ มูคอละฟะห์ พระองค์ทรงแตกต่างจากทุกสิ่งในสากลจักรวาล ดังนั้น คำว่า สถิตย์บนบัลลังค์ "สถิตย์" ต้องแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากการสถิตย์ทั้งหมดที่เรารู้จักหรือสามารถจินตนาการถึง "บน" ต้องแตกต่างโดยสิ้นเชิงจาก คำว่า บน ที่เรารู้จักหรือจินตนาการถึง "บัลลังค์" ต้องแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากทุกบัลลังค์ ที่เรารู้จักหรือจินตนาการถึง ดังนั้นมุสลิมทั่วไปที่เรียนฟัรดูอีน(วิชาพื้นฐานอิสลาม)ไม่เคยสงสัยที่รับทราบฮาดิษนี้เลย มีแต่คนที่ไม่เรียนฟัรดูอีน ไม่เคยเรียนพื้นฐานอากีดะห์เท่านั้นละครับไม่เข้าใจ แก้ไขเมื่อ 20 ต.ค. 51 12:51:05 จากคุณ : ghanee.s - [ 20 ต.ค. 51 12:49:33 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ^ ^ อืม รับทราบขอรับกระผม คห.26-27 จากคุณ : Ken Akamatsu - [ 20 ต.ค. 51 12:57:59 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ใช่ครับ ผู้อยู่ในระบบที่จำกัด จะไปอธิบาย ผู้ไม่จำกัด ด้วยภาษาอันจำกัดในมิติ ไม่ได้ครับ เพียงแค่ผู้ที่อยู่เกินความจำกัด พยายามอธิบาย ผู้จำกัดให้พอเข้าใจ โดยการอ้างอิง สิ่งที่อยู่ในมิติของผู้จำกัด พอเข้าใจได้เท่านั้นเอง จากคุณ : นบนอบ - [ 20 ต.ค. 51 15:01:40 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ^ ^ นั่นสิครับ... ถ้างั้นพระเจ้า ในรูปแบบงานปั้น รูปสลัก รูปวาด รวมถึงภาพจินตนาการในสมองน้อย ๆ ทั้งหลาย ของศาสนิกบางศาสนา มันลอยมาได้ไงง่ะครับ ตอบได้มั้ย เอามุสลิมเป็นตัวอย่างนะครับ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าไม่มีใด ๆ เทียบพระเจ้าได้ จากคุณ : DJC - [ 20 ต.ค. 51 19:32:23 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ลองอ่านบทความนี้ดูนะครับ http://www.fityah.com/index.php?option=com_content&task=view&id=330&Itemid=1 เราจะพบว่าผู้ที่ทำการให้ความหมายว่า การที่พระเจ้าสถิตย์บนบัลลังค์ นั้นไม่ได้หมายความอย่างนั้นจริงๆ แต่หมายถึงการ มีอำนาจควบคุมและครอบครอง หรือ ท่านที่ทิ้งความหมายไว้ตรงนั้นโดยไม่พยายามไปปรับเปลี่ยนความหมาย แต่มอบหมายให้แก่อัลเลาะห์ตะอาลา ทั้งสองฝ่ายนั้นถูกต้อง ตราบใดที่ยังคงความบริสุทธิ์ของอัลเลาะห์ และคงไว้ซึ่ง ซีฟัตมูคอละฟะห์ครับ ปล. นักวิชาการฝ่ายที่มีการอธิบายความหมาย เขา มีหลักการอธิบาย เขาจะไม่ใช้ความรู้สึกของตัวเองอย่างเดียว ไม่เช่นนั้นก็จะออกทะเลกันหมดเหมือนไครบางคนครับ^^ แก้ไขเมื่อ 21 ต.ค. 51 19:28:42 จากคุณ : ghanee.s - [ 21 ต.ค. 51 16:56:03 ]

ความคิดเห็นที่ 33 รักนะ ชาวมุสลิมทุกท่าน รักนะ ท่าน DJC   ไม่ต้องถามนะว่ารักเพราะอะไร   อิ อิ   จากคุณ : ศรัทธาพลัง - [ 21 ต.ค. 51 19:40:30 ]

ความคิดเห็นที่ 34 คุณ ghanee.s:  "พระเจ้า" หรือ " พระองค์อัลลอฮ์" นั้น คือผู้ใด ช่วยอธิบายให้ทุกๆท่านทราบด้วยตามความเข้าใจของคุณ? ตามที่คุณว่า "นักวิชาการฝ่ายที่มีการอธิบายความหมาย เขา มีหลักการอธิบาย เขาจะไม่ใช้ความรู้สึกของตัวเองอย่างเดียว ไม่เช่นนั้นก็จะออกทะเลกันหมดเหมือนไครบางคนครับ"     นักวิชาการเหล่านั้นเขาอธิบายว่าอย่างไร? ผมต้องการทราบ จากคุณ : แมทท์ - [ 22 ต.ค. 51 20:55:03 ]

ความคิดเห็นที่ 35 "พระเจ้า" หรือ " พระองค์อัลลอฮ์" นั้น คือผู้ใด ช่วยอธิบายให้ทุกๆท่านทราบด้วยตามความเข้าใจของคุณ? ........................................................................................... ลุงไม่ทราบเหรอลุง ลุงอกกจะอธิบายกุรอ่านเป็นฉากๆ เล่นตลกคาเฟ่เหรอคร้าบ ผมเองยังไม่กล้าเดาความหมายด้วยตัวเองเลยก้าบ ลุงน่าจะอธิบายความหมายแก่ผมมากกว่านะก้าบ นักวิชาการเหล่านั้นเขาอธิบายว่าอย่างไร? ผมต้องการทราบ ........................................................................................ ลุงจะถามผมนักวิชาการเหล่านั้นเขาใช้หลักอธิบายว่าอย่างไรมากว่า ลุงอยากทราบลุงก็ไปเรียนสิคร้าบในมหาวิทยาลัยอิสลามทั่วโลกเขาเปิดสอนนะก้าบ อย่ามาเดากุรอ่านมั่วๆเลยก้าบ อายเค้า อิอิ จากคุณ : ghanee.s - [ 22 ต.ค. 51 22:45:39 ]

ความคิดเห็นที่ 36 "พระเจ้า" หรือ " พระองค์อัลลอฮ์" นั้น คือผู้ใด <<<< ลุงถามมาไ้ด้ ว่า "ผู้ใด" ทำไมลุงไม่ถามเพศ ส่วนสูง น้ำหนัก อายุ ประวัติสุขภาพ หรือรสนิยมไปด้วยล่ะ ไหน ๆ ก็ถามว่าเป็นผู้ได๋แล้ว ตอบ ไม่ใช่พระเยซูแน่ ๆ จากคุณ : DJC - [ 22 ต.ค. 51 23:40:44 ]

ความคิดเห็นที่ 37 พระเจ้านี่พระองค์มีชื่อจริง ๆ ด้วยหรือครับ??   ผมว่า....ถ้าในศาสนาใด   พระเจ้ามีชื่อจริง ๆ ก็ย่อมต้องแสดงว่า...มีพระเจ้าในศาสนานั้นมีหลายองค์ และที่ตั้งชื่อไว้  ก็เพื่อที่จะได้เรียกชื่อถูกว่า...ไผ๋ เป็น ไผ๋??  ^^ จากคุณ : ชญานนท์ - [ วันปิยมหาราช 10:56:49 ]

ความคิดเห็นที่ 38 คุณจะเห็นได้ว่า คุณๆที่ เชื่อและศรัทธาใพระเจ้า นั้น ไม่ทราบแน่ว่า  "พระเจ้า" หรือ ที่ภาษา อรับ เรียกว่า " พระองค์อัลลอฮ์" (ซึ่งไม่ใช่ชื่อ เฉพาะว่า เป็นพระเจ้าของมุสลิมเท่านั้น) คุณไม่อาจจะ อธิบายให้  "กาเฟร" หรือ ผู้ต้องการ เรียนรู้อย่าง แท้จริง ทราบได้ว่า คุณๆ  โค้งคำนับ หรือไถหน้าผาก  จนผมเกรียน  นั้น คุณทำเพื่อผู้ใด หรื่อ อะไร? วันละ 5 เวลานั้น   เมื่อเจอคำถาม ก็ เลี่ยงไปเลี่ยงมา ไม่ตอบอย่างมีเหตุผล ผมบอกไม่ทราบว่ากี่ครังแล้วว่า  "สำหรับความเข้าใจของผม อัลกุรอาน บรรยายในเรื่องนี้ เพื่อเปรียบเทียบให้ มนุษย์เข้าใจถึง ความยิ่งใหญ่และพลานุภาพของพระองค์อัลลอฮ์ ใน "อาการนาม"  ซึ่งมนุษย์อาจจะมองเห็นในระบบกษัตริย์ที่ ผู้ที่มีอำนาจจะต้อง ประทับอยู่บนบัลลังก์,  ซึ่งเป็นระดับที่ปัญญามนุษย์จะเข้าใจได้โดย การมีตัวอย่าง  ประกอบ,   แต่มิได้หมายความว่าตำแหน่งของมนุษย์นั้น ยิ่งใหญ่เทียบเท่าพระเจ้า"   ซึ่งคำอธิบายของผมก็ไม่ต่าง จากผู้ที่มีความรู้และเข้าใจ ในอีลกุรอาน จาก "ลิ้งค์"  ที่คุณ ส่งมาให้เห็น    ผมอยากให้คุณ อธิบายถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยไม่มีการล้อเลียน หรือ หลืกเลี่ยง ว่า  ในความเช้าใจจากความรู้ที่คุณเรียนกันมา นั้น อธิบายว่า "พระเจ้าที่คุณ ก้มกราบวันละ 5 เวลานั้นมีสภาวะอย่างไร?  และเพราะเหตุใดจึงต้อง หันหน้าไปทาง "กิบลาฮ์" ทุกๆครั้ง เวลาสักการะพระเจ้า? ผมมีเรื่องจริงจะเล่าให้ฟัง ผมฟังการบรรยายของนาย ฟารีด เพนดี้ เรื่อง "อัลลอฮ์"  ท่านรอซูลพยายามจะสอน มุชริกเมกกะ ให้รูจักพระเจ้า..ทุกๆครั้งที่ท่านสอนท่านจะกล่าวว่า "พระเจ้าของท่านและของเรา คือ "อัลลอฮ์"  และทุกๆครั้งท่านจะถาม มุชริกเมกกะ ว่า "พระเจ้าของเราคือใคร?...มุชริกเมกกะจะตอบว่า "พระเจ้าคืออัลลอฮ์"  แต่พอท่นรอซูล กลับไป สอนอีก ก็ยังเห็น พวกมุชริกเมกกะ กราบไหว้ รูปปั้นเช่นเดิมทุกๆครั้ง"  ท่านก็สอนอีก แต่ก็เป็นเช่นเดิมทุกๆครั้ง"  .....ปรากฏว่า เคยมีประวัติว่า ชาวมุชริกเมกกะนั้น เรียกพระเจ้าของเขาที่เป็นรูปปั้นนั้น ว่า "อัลลอฮ์" เช่นกัน.... (คุณอาจจะหาเทปเรื่องนี้ฟังได้จากเวบมรดกอิสลาม) คุณๆจะเห็นว่า คำว่า "อัลลอฮ์" นั้นไม่ใช่ชื่อเฉพาะ ของพระเจ้า ของมุสลิมเท่านั้น " แต่เป็นศัพท์สากล ในความหมาย" ของพระเจ้า ของสากลโลกและของจักวาล ของ ยิว, คริสเตียน, อิสลาม และ อิบรอฮิม   ด้วยเหตุนี้ผมต้องการทราบว่า คุณๆซึ่งเป็นมุสลิม นั้นศรัทธาในพระเจ้าอย่างไร และในสภาวะอย่างไร   หวังว่าคงได้คำตอบอย่างสุภาพและเป็นสาระความรู้ จากคุณ : แมทท์ - [ วันปิยมหาราช 12:59:36 ]

ความคิดเห็นที่ 39 มุสลิมเราจะรู้จักอัลลอฮฺได้ก็ด้วยคุณลักษณะ(ซิฟาต)ของพระองค์ในกุรอานเท่านั้น  ไม่มีเป็นอย่างอื่น  นี่คือสิ่งที่แตกต่างไปจาก...ตุ๊กตุ่น  ตุ๊กตาหรือ...อะไรก็แล้วแต่  ที่ชาวมุชริกกราบไหว้กัน คำว่า...ศาสนายิว  ศาสนาคริสต์ นั้น  ไม่มีในสารบบของคัมภีร์ครับ  ไม่มีคำกล่าวใด ๆ แทม้แต่ประโยคเดียวของศาสดาของเขาที่เรียกชื่อดังกล่าวในคัมภีร์ของเขาแต่อย่างใด  เป็นชื่อที่มนุษย์มาเรียกกันเองในภายหลัง  ต่างจากคำว่า...อิสลามที่พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลกนั้นเป็นผู้ตั้ง(เรียก)ขึ้น จากคุณ : ชญานนท์ - [ วันปิยมหาราช 15:08:14 ]

ความคิดเห็นที่ 40  คำว่า ยิว, และคริสเตียน นั้น มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ อยู่หลายแห่ง แต่ที่สำคัญที่สุด  ที่แสดงให้เห็นว่า คำว่า "อิสลามที่แท้จริงนั้น", พระเจ้าให้คำจำกัดความไว้อย่างเข้าใจได้ง่ายๆดังนี้ Surely, those who believe, those who are Jewish, the Christians, and the converts; anyone who (1) believes in GOD, and (2) believes in the Last Day, and (3) leads a righteous life, will receive their recompense from their Lord. They have nothing to fear, nor will they grieve. (2:62, 5:69)   อิสลามที่แท้จริงตามที่พระเจ้ารับรอง ในคัมภีร์อัลกุรอาน  ไม่จำกัดว่า จะใช้ชื่อว่าอะไร ไม่สำคัญ ไม่ว่าจะเป้น ยิว คริสเตียน หรือผุ้ใดก็ตามที่ กลับใจยึดถือพระเจ้า องเดียว (เชื่อในสัญญานของพระองค์ นรก สวรรค์ และวันตัดสิน การกลับมาในโลกหน้า) และ ยอมสวามิภักดิ์ ต่อพระองค์ ทั้ง กายวาจาใจ ซึ่ง  เรียกว่า "อิสลาม"  ซึ่งมีความหมายว่า "การยอมตัวสวามิภักดิ์และสักการะต่อพระเจ้าองค์ๆ เดียว เท่านั้น (เขาจะไม่ต้องเสียใจในวันตัดสิน)   การใช้ชื่อศาสดานำหน้าที่เรียกเป็นชื่อศาสนา ว่า จูดาย ศาสนาโมเสส (มูซา), ศาสนาคริสต์ เจซัสไคลส์ (อีซา)  จึงไม่ผิดความหมายในการศรัทธาที่พระเจ้ายอมรับ ตามบัญญํติในอัลกุรอาน     แต่ถ้าผุ้ใดถือตาม การปฏิบัติและประเพณีของอรับ ตามท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ที่เรียกว่า ฮาดีษ โดยไม่ยึดอัลกุรอานแต่เพียงอย่างเดียว  อาจจะถูกเรียกว่า "ศาสนามูฮัมมัด" ได้  ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ใน การที่พระเจ้า ประทานคัมภีร์มาให้ท่านรอซูล แต่ มนุษย์ กลับมาตั้งศาสนาใหม่ โดยใช้ "ฮาดีษเป็นหลักปฏิบัติควบคู่ไปกับ อัลกุรอาน"   ถ้าเช่นนั้นแล้วไม่ใช่ "อิสลาม" ศาสนาที่ พระเจ้า ประทานให้มนุษยชาติ    นี้คือความเข้าใจของผม ผุ้อื่นอาจจะมีความเห็นไม่ตรงกันกับผม แต่ผมจะไม่โต้เถียง กับ ผุ้ที่เข้าใจผิด. ไม่ว่าในกรณีใดๆทั้งสิ้น  ลองเก็บเอาไปคิดดู แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 51 00:28:04 แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 51 00:16:11 จากคุณ : แมทท์ - [ 24 ต.ค. 51 00:08:45 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ^ ^ คำว่า ยิว, และคริสเตียน นั้น มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ อยู่หลายแห่ง +++ แต่..ไม่เห็นมีที่ตรงไหนเลยที่ศาสดาหรือพระเจ้าเป็นผู้กล่าวว่าศาสนาที่นำมานั้นคือศาสนา...ยิว หรือคริสต์   เห็นมีแต่...ผู้เขียนคำภีร์ตังชื่อกันขึ้นมาเอง   เอ??...หรือว่าคนอื่นตั้งชื่อให้ ผมกล่าวในทำนองของ**การสื่อสาร** ครับ   แน่นอน....สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้สื่อสารกับผู้รับสาร   นั่นก็คือ...เนื้อหาหรือเนื้อความของสารนั้น ๆ    กับชื่อของสารหรือหัวข้อของสารนั่นเอง แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 51 12:24:54 จากคุณ : ชญานนท์ - [ 24 ต.ค. 51 07:49:43 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ถ้าถามผม ก็คงเป็นฮาโรสนะครับ มีก็ได้ เห็นก็ได้ แต่แค่เท่าที่ อัลลอฮ์ให้สัมผัส แต่จะบอกว่าเท่าที่ได้สัมผัสได้รับรู้ได้ตามความสามารถของแต่ละคนนั้น คือทั้งหมดไม่ได้ ไม่งั้น นบีมูซาที่ได้ยินเสียงของพระเจ้าก็ไม่จริงซิครับ แล้วกลายเป็นเรามากำหนดเองว่า อัลลอฮต้องเกินจากความสามารถต่างๆของมนุษย์จะสัมผัส แปร่งๆนะครับ ... ดังนั้นการถกเรื่องนี้ผมไม่เห็นประโยชน์ใดๆเลย ไม่ว่าจะเรื่องวิญญาณ หรือเรื่อง ที่สถิตของอัลลอฮ หากถกเพื่อเอาชนะกัน แต่ถ้าเพื่อความรู้ก็เชิญต่อเถอะครับ เพราะ แท้จริงมีเพียงอัลลอฮเท่านั้นที่รู้ จากคุณ : itoursab (itoursab) - [ 24 ต.ค. 51 10:15:45 ]