ความคิดเห็นที่ 1 พระธรรมเทศนาโดยหลวงพ่ออุตตมะเรื่อง"อานิสงส์ของการทอดกฐิน" การทอดกฐินและอานิสงส์ของการทอดกฐิน (ต่อไปนี้จะว่าด้วยการทอดกฐินและอานิสงส์ของการทอดกฐินประเพณีการบำเพ็ญบุญกุศลด้วยการถวายผ้าไตรจีวรแก่พระสงฆ์ผู้จำพรรษาครบไตรมาส ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เรียกว่า การทอดกฐิน) การทอดกฐินเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงผนวชได้ ๓๗ พรรษา ขณะนั้น ณ เมืองราชคฤห์ ครั้งนั้นออกพรรษาแล้ว ได้มีพระภิกษุ ๓๐ รูปเดินทางมาหาพระพุทธองค์ ขณะเดินทางฝนตกหนัก พระภิกษุทั้ง ๓๐ รูปนั้นเปียกฝนมา พระพุทธองค์จึงโปรดให้ทำการทอดกฐิน เรียกว่า เป็นกฐินะจีวระ เพราะแต่เดิมมีแต่การทอดผ้าป่า การทอดผ้าป่าหรือการทอดกฐินนั้น ผู้ทำได้อานิสงส์คล้ายๆกัน แต่อานิสงส์ของกฐินมากกว่าในด้านของพระภิกษุ คือในช่วงของอานิสงส์กฐินนั้น พระสงฆ์จะได้ยกเว้นพระวินัย ๕ ประการ ด้วยพระวินัยของพระพุทธองค์นี้ใครก็ตัดไม่ได้ แต่ด้วยอานิสงส์ของกฐินนี้ตัดได้ ซึ่งทำให้ผู้ถวายกฐินได้บุญมากกว่าในข้อนี้เพราะทำให้พระสงฆ์ไม่ต้องกังวลในจีวรช่วงของอานิสงส์กฐินนี้คือ นับแต่วันที่พระสงฆ์รับผ้ากฐินไปจนถึงแรม ๑ ค่ำ เดือน ๔ จึงหมดอานิสงส์ หลังจากนั้นพระสงฆ์ก็ต้องอยู่ในพระวินัยดังเดิม ฤดูกาลของการทอดกฐิน เริ่มแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึง ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ อนุญาตให้ทอดกฐินได้ในช่วงนี้เท่านั้น ผู้ที่ทำบุญด้วยการถวายกฐินนี้ แม้เป็นภิกษุ โสดา ก็จะมีรูปงาม ปัญญาดีแม้เกิดในเทวะภูมิก็จะเป็นเทวดาที่มีชั้นยศ มีบริวารมาก มีวิมานสีทองดังสีของจีวร ด้วยบุญที่เกิดจากการปลดพระภิกษุออกจากความกังวลในจีวร ถึงแม้เป็นมนุษย์ก็จะมีผิวพรรณงดงามขาวผ่องเป็นสีทอง ดุจสีจีวรนั้น เป็นผู้มีโรคภัยน้อยและไม่ตกในอบายมุข มีจิตคิดแต่จะทำบุญ ฉะนั้นผ้าป่าและกฐิน จึงต่างกันที่อานิสงส์ดังนี้ การถวายกฐินนี้ ผู้ถวายผ้ากฐินไม่สามารถเจาะจงว่าจะถวายแก่พระสงฆ์รูปใด และก็มิได้หมายความว่าพระสงฆ์องค์ที่อาวุโสที่สุด หรือเจ้าอาวาสจะเป็นผู้ได้รับผ้ากฐินนั้น หากแต่จะต้องทำพิธีถวายผ้ากฐินนี้ในโบสถ์โดยพระสงฆ์ทุกรูปจะต้องญัตติ โดยเห็นพ้องกันว่า พระรูปใดสมควรที่จะเป็นผู้รับผ้ากฐินนั้น ฉะนั้นเพื่อเป็นอานิสงส์ที่ดี ผู้ถวายกฐินจึงไม่ควรมีเจตนาที่จะเจาะจงถวายพระสงฆ์รูปใดโดยเฉพาะ ควรตั้งเจตนาที่จะถวายพระสงฆ์ทุกรูปทุกองค์ ในที่นั้น จึงจะเป็นอานิสงส์แก่ผู้ถวายโดยแท้จริง ดังเช่นสมัยพระพุทธองค์กัสสปะ มีเศรษฐีอยู่ ๔ คนคือ ชฏิละเศรษฐี โชติกะเศรษฐี ปุณณะเศรษฐี และเมณฑกะเศรษฐี ทั้ง ๔ คนนี้เคยเป็นเทวดาแล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ร่ำรวยมาก มีชีวิตอยู่ในสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะ เศรษฐีทั้ง ๔ มีลักษณะที่แตกต่างกันคือ ชฏิละเศรษฐี แม้จะร่ำรวยมากแต่ไม่อาจถูกแสงแดดได้ เพราะความร้อนของแสงอาทิตย์ที่ถูกต้องผิวกายจะไหม้พอง ท่านจึงต้องใช้แก้วมณีต่างโคมไฟ รับแสงกระทบจากดวงอาทิตย์อีกต่อ หรือเพื่อทำให้เกิดความสว่างไสวในอาคาร เมณฑกะเศรษฐี เป็นคนเสียงดี รูปร่างงาม ผิวพรรณงาม แต่ทนอากาศร้อนไม่ได้ ต้องอยู่ในที่เย็นๆ บ้านเรือนของท่านเศรษฐีนี้จึงต้องปูด้วยหินอ่อนทั้งสิ้น ไม่อาจปูด้วยไม้กระดานเหมือนผู้อื่น โชติกะเศรษฐี ร่ำรวยมาก มีเพชรนิลจินดามากมายครบถ้วนทุกชนิด ปุณณะเศรษฐี มั่งมีด้วยทองคำ ว่ากันว่าท่านมีทองคำมากมายชนิดต้องวางกองไว้สองข้างเท่าๆกัน มิฉะนั้นแผ่นดินจะเอียง ท่านจึงต้องสร้างโกดังเก็บทองคำไว้สองด้านเพื่อรับน้ำหนักให้ได้เท่าๆกัน ด้วยอานิสงส์ของการทำบุญทอดกฐินนี้ ทั้ง ๔ เศรษฐีจึงเป็นผู้มีบุญที่มีบุตรภรรยาดี อยู่ด้วยกันมีความสุข ไม่มีการทะเลาะวิวาทกันเลย ส่วนในชาติปัจจุบันนั้น ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็ยังคงทำบุญกุศลต่างๆกันคือ ชฏิละเศรษฐี ทำบุญด้วยสละทรัพย์มากมาย เมณฑกะเศรษฐี ทำถนนให้วัด ให้ความสะดวกแก่พระสงฆ์ ปุณณะเศรษฐี ปลูกต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาในวัดวาอาราม โชติกะเศรษฐี ชอบสร้างวัด ทั้ง ๔ เศรษฐีนี้ได้สำเร็จอรหันต์ไปในที่สุด เพราะเศรษฐีเหล่านี้ได้ทำบุญกฐินถวายเมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ทั้งสิ้น เศรษฐีทั้ง ๔ และบริวารได้ถวายกฐินแด่พระพุทธองค์ทุกๆปี จนปรินิพพาน นับแต่ครั้งแรกที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตที่ให้ทอดกฐินได้ ด้วยอานิสงส์นี้ เศรษฐีทั้ง ๔ จึงสำเร็จพระอรหันต์. จากคุณ : พุทธจิต - [ 26 ต.ค. 51 21:36:04 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ การทอดผ้าป่า กับ การทอดกฐินอย่างไหนได้อานิสงส์มากน้อยกว่ากันคะ..?" หลวงพ่อ : "ความจริง ผ้าป่า กับ กฐินเป็นสังฆทานด้วยกันทั้งคู่นะ แต่ถ้าว่าอานิสงส์โดยเฉพาะกฐินได้มากกว่า เพราะว่ากฐินมีเวลาจำกัด จะทอดตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงกลางเดือน 12 แต่อานิสงส์ได้ทั้งสองฝ่าย คือ ผุ้ทอดก็ได้ พระผู้รับก็ได้ พระผุ้รับมีอำนาจคุ้มครองพระวินัยได้หลายสิกขาบท ทำให้สบายขึ้น ต้นเหตุแห่งการทอดกฐินนี้ ก็มี นางวิสาขา เป็นคนแรก ในสมัยนั้นพระพุทธเจ้าท่าทรงบัญญัติการจำพรรษา เพื่อป้องกันพระไปเดินเหยียบต้นพืชต้นข้าวที่ชาวบ้านเขาปลูกไว้ใน ฤดูฝนไม่ให้เสียหาย ครั้นเมื่อออกพรรษาแล้ว ภิกษุชาวปาฐา 30 รูปเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ในเวลานั้นพระสงฆ์ทั้งหลายมีผ้าจำกัดเพียง 3 ผืนเท่านั้น เมื่อมาถึงในขณะที่นางวิสาขา เฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่พอดี เห็นพระมีผ้าสบงจีวรเปียกโชกด้วยน้ำฝนและน้ำค้าง จึงได้กราบทูลขอพรแด่พระพุทธเจ้าว่า " หลังจากออกพรรษาแล้ว ขอบรรดาประชาชนทั้งหลายมีโอกาสถวายผ้าไตรจีวร แก่คณะสงฆ์ด้วยเถิด" พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุมัติ ส่วนผ้าป่าก็เป็นสังฆทาน แต่อานิสงส์จะน้อยไปนิดหนึ่ง แต่ทั้งสองอย่างก็เป็นสังฆทานเหมือนกัน แต่เป็นสังฆทานเฉพาะกิจ กับสังฆทานไม่เฉพาะกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ้าป่า ผู้ให้ก็ได้อานิสงส์ ผุ้รับก็มีอานิสง์แต่เพียงแค่ใช้ เป็นอันว่าทั้งสองอย่างนี้ถือว่าอานิสงส์การทอดกฐินมากกว่าผ้าป่า แต่ว่าการทอดกฐินปีหนึ่งครั้งเดียว ผ้าป่าทอดได้หลายครั้ง อานิสงส์ผ้าป่าย่อมได้มากกว่านะ" ผู้ถาม : "แล้วองค์กฐินที่แท้จริงเป็นอย่างไรคะ..?" หลวงพ่อ : "องค์กฐินจริง ๆ คือ ผ้าไตร นอกนั้นเป็นบริวาร เวลากรานกฐินจริง ๆ เรากรานกันแต่ผ้า การถวายก็ไม่ยาก เรามีผ้าจีวรผืนหนึ่งหรือว่าสบงผืนหนึ่ง หรือว่าสังฆาฏิผืนหนึ่งอย่างใดอย่างหนึ่งก้ได้ เขาเรียกว่า จุลกฐิน หรือจะถวายไตรจีวรครบทั้งวัด เขาเรียกว่า มหากฐิน ฉะนั้น จะถวายมากก็ได้ ถวายน้อยก็ได้ อานิสงส์เหมือนกัน โดยเฉพาะที่วัดท่าซุง จัดเป็นกฐินสามัคคี เป็นเจ้าภาพร่วมกันทุกคน ได้อานิสงส์เท่ากันหมด จากคุณ : พุทธจิต - [ 26 ต.ค. 51 21:37:05 ]

ความคิดเห็นที่ 3 สำหรับการทอดกฐินครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านเคยเทศน์คือพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระปทุมุตตระท่านเคยเทศน์วาระหนึ่ง สมัยที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็น มหาทุคคตะ คำว่า มหาทุคคตะ นี้จนมาก เป็นทาสของท่านคหบดี ได้ไปฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าว่า อานิสงส์กฐินนี้มีมาก ท่านจึงกลับไปชวนนาย แต่นายก็มอบหมายทรัพย์สมบัติให้ท่านเป็นผู้จัดการทุกอย่าง ท่านมหาทุคคตะอยากมีส่วนร่วมในทานนี้ด้วย แต่ไม่มีอะไรมีแต่เสื้อผ้าเก่า ๆ ขอตนที่มีติดตัวอยู่เพียงชุดเดียว จึงนำไปแลกที่ร้านในตลาด มีด้าย 1 กลุ่ม เข็ม 1 เล่ม เอามาร่วมในการทอดกฐินกับเจ้านาย เพื่อปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล พระองค์ทรงตรัสว่า คนถวายผ้ากฐิน หรือ ร่วมในการถวายกฐินทานครั้งหนึ่ง จะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ จะปรารถนาเป็นพระอรหันต์ก็ได้ แต่ถ้าหากว่ายังไม่ถึงพระนิพพาน เพียงใดอานิสงส์จะให้ผลแก่ท่านผู้นั้น เมื่อตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาแล้วก็จะลงมาเป็น พระเจ้าจักรพรรดิ ปกครองโลก 500 ชาติ เมื่อบุญน้อยลงมาจะเป็น พระมหากษัตริย์ 500 ชาติ เป็น มหาเศรษฐี 500 ชาติ เป็น อนุเศรษฐี 500 ชาติ เป็น คหบดี 500 ชาติ แต่คนที่ทอดผ้ากฐิน หรือว่าร่วม ในการทอดผ้ากฐินครั้งหนึ่งก็ดี บุญบารมีส่วนนี้ยังไม่ทันหมดก็ปรากฏว่า ท่านเจ้าของทานไปนิพพานก่อน" จากคุณ : พุทธจิต - [ 26 ต.ค. 51 21:38:50 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ทอดกฐิน   กริยา  คำว่าทอดนี้  คือ การผูกสายโยง หรือป่าว ครับบ จากคุณ : kraho - [ 26 ต.ค. 51 21:46:42 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ถวายผ้าแด่พระพุทธเจ้าและคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุด ได้เสวยอานิสงส์ ๘ ประการ คือ ๑. เป็นผู้มีผิวพรรณเปล่งปลั่งดั่งทอง ๒. ปราศจากธุลี ๓. มีรัศมีผ่องใส ๔. มีเดช ๕. ตัวละเอียดอ่อน ๖. เมื่อท่องเที่ยวอยู่ในภพ มีผ้าสีขาวแสนผืน ๗. มีผ้าสีเหลืองแสนผืน ๘. มีผ้าสีแดงแสนผืน ถวายบาตรแด่พระพุทธเจ้าและคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุด ได้เสวยอานิสงส์ ๑๐ ประการ คือ ๑. ย่อมบริโภคโภชนาหารในภาชนะทองคำ, ภาชนะแก้วมณี, ภาชนะเงิน, และภาชนะที่ทำด้วยทับทิม ในกาลทั้งปวง ๒. เป็นผู้ไม่มีอันตราย ๓. ไม่มี[^_^] ๔. มาหาชนยำเกรงทุกเมื่อ ๕. เป็นผู้ได้ ข้าว น้ำ ผ้า และที่นอนเป็นปรกติ ๖. โภคสมบัติไม่พินาศ ๗. เป็นผู้มีจิตมั่นคง ๘. เป็นผู้ใคร่ชอบทุกเมื่อ ๙. เป็นผู้ไม่มีกิเลส ๑๐. ไม่มีอาสวะ ถวายมีดโกนที่ทำอย่างสวยงาม อันเนื่องด้วยเครื่องผูกอย่างวิจิตรมากมายแด่พระพุทธเจ้าประเสริฐสุดและแก่พระสงฆ์แล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๘ ประการ ในที่ทั้งปวงอันสมควรแก่กรรม คือ ๑. เป็นผู้กล้า ๒. เป็นผู้ไม่มีความเดือดร้อน ๓. ถึงที่สุดในเวลารัชธรรม ๔. เป็นผู้มีปีติ ๕. มีความเพียร ๖. มีใจอันประคองไว้ทุกเมื่อ ๗. ย่อมได้ญาณอันสุขุมเครื่องตัดกิเลส ๘. ความบริสุทธิ์อันชั่งไม่ได้ ถวายพร้าอันราบเรียบ ไม่หยาบ ไม่ต้องขัดถู เป็นอันมาก ในพระพุทธเจ้าและในสงฆ์ด้วยจิตเลื่อมใส ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๕ ประการ อันสมควรแก่กรรม คือ ๑. ย่อมได้ความเพียรอันเป็นกัลยาณมิตร ๒. ขันติ ๓. ศาตรา คือความไมตรี ๔. ศาตรา คือปัญญาอันยิ่งเพราะตัดลูกศรคือตัณหา ๕. ญาณอันเสมอด้วยแก้ววิเชียร ถวายเข็มในพระสุคตเจ้าและในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐ ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๕ ประการ อันสมควรแก่กรรมทุกเมื่อ คือ ๑. ย่อมเป็นผู้อันมหาชนนอบน้อม ๒. ตัดความสงสัยได้ ๓. มีรูปงาม ๔. มีโภคสมบัติ ๕. มีปัญญากล้า ถวายมีดตัดเล็บในพระสุคตเจ้าและในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐ ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๕ ประการ อันสมควรแก่กรรมในที่ทั้งปวง คือ ๑. ได้ทาส ชาย หญิง วัวและม้า ๒. ลูกจ้าง ๓. คนฟ้อนรำ ๔. ช่างตัดผม ๕. พ่อครัวผู้ทำอาหารเป็นอันมาก ถวายพัดใบตาลอันงามในพระสุคตเจ้า ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๕ ประการ อันสมควรแก่กรรม คือ ๑. ย่อมไม่รู้สึกหนาว ๒. ย่อมไม่รู้สึกร้อน ๓. ความเร่าร้อนไม่มี ๔. ไม่รู้สึกกระวนกระวาย ๕. ไม่รู้สึกความเดือดร้อนจิต ถวายผ้ากรองน้ำ และธรรมกรกในพระสุคตเจ้า ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๕ ประการ อันสมควรแก่กรรม คือ ๑. ก้าวล่วงอันตรายทั้งปวง ๒. ย่อมได้อายุอันเป็นทิพย์ ๓. เป็นผู้อันโจรหรือข้าศึกไม่ข่มขี่ในกาลทุกเมื่อ ๔. ศัสตราหรือยาพิษย่อมไม่ทำความเบียดเบียน ๕. ไม่มีความตายในระหว่าง ถวายภาชนะน้ำมัน ในพระสุคตเจ้าและในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๕ ประการ อันสมควรแก่กรรม คือ ๑. เป็นผู้มีรูปสวยงาม ๒. มีความเจริญดี ๓. มีใจเบิกบานดี ๔. มีใจไม่ฟุ้งซ่าน ๕. เป็นผู้อันอารักขาทั้งปวงรักษาแล้ว ถวายกล่องเข็มในพระสุคตเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๓ ประการ อันสมควรแก่กรรม ย่อมได้คุณทั้งหลายนี้ คือ ๑. ความสุขใจ ๒. ความสุขกาย ๓. ความสุขเกิดแต่อิริยาบถ ถวายผ้าอังสะในพระชินเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้อานิสงส์ ๓ ประการ อันสมควรแก่กรรม คือ ๑. ย่อมได้ความหนักในพระสัทธรรม ๒. ย่อมระลึกถึงภพที่สองได้ ๓. เป็นผู้มีฉวีวรรณงามในที่ทั้งปวง ถวายประคตเอวในพระชินเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้  เสวยอานิสงส์ ๖ ประการ อันสมควรแก่กรรม คือ ๑. ย่อมไม่หวั่นไหวในสมาธิ ๒. เป็นผู้มีความชำนาญในสมาธิ ๓. มีบริษัทไม่แตกกัน ๔. มีถ้อยคำอันมหาชนเชื่อถือทุกเมื่อ ๕. มีสติตั้งมั่น ๖. ความสะดุ้งกลัวไม่มี ถวายภาชนะและเครื่องบริโภคในพระพุทธเจ้าและในคณะสงฆ์ผู้อุดมแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๓ ประการ อันสมควรแก่กรรม คือ ๑. ย่อมได้ภาชนะทองคำ ภาชนะแก้วมณี ภาชนะแก้วผลึก และภาชนะแก้วทับทิม ๒. ได้ภริยา คนใช้ชายหญิง พลช้าง พลม้า พลรถ พลเดินเท้า และหญิงมีวัตรยำเกรงนาย ๓. ได้เครื่องบริโภคทุกเวลา จากคุณ : พุทธจิต - [ 26 ต.ค. 51 21:54:47 ]

ความคิดเห็นที่ 6 คงหมายเอาการวางผ้าถวายด้วยมือตน ณ ท่ามกลางสงฆ์ให้พระพิจารราบริโภคผ้า จากคุณ : พุทธจิต - [ 26 ต.ค. 51 22:02:32 ]

ความคิดเห็นที่ 7 คำว่า   กฐิน  มีความหมายอย่างไร ครับ   มีคำแปลหรือเปล่าครับ   มีกำหนด เวลา ช่วงเวลา ทำบุญ ทอดกฐิน ชัดเจนหรือเปล่า  นับจากการดูดวงจันทร์  หรือเปล่า ครับ  และดูอย่างไร ฤดูกาลของการทอดกฐิน เริ่มแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึง ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ อนุญาตให้ทอดกฐินได้ในช่วงนี้เท่านั้น  ถูกต้องตามนี้ใช่ไหมครับ ขอดูรูปงาน  กฐิน ที่ผู้มีบุญ ได้เคยไปทำบุญ  ได้ไหม ครับ  เป็น กำลังใจ ให้ ผู้เข้าชม  นะครับ แก้ไขเมื่อ 26 ต.ค. 51 22:20:17 แก้ไขเมื่อ 26 ต.ค. 51 22:18:51 แก้ไขเมื่อ 26 ต.ค. 51 22:17:50 จากคุณ : kraho - [ 26 ต.ค. 51 22:16:19 ]

ความคิดเห็นที่ 8 มาเพิ่มเติมค่ะ  ยังมีกฐินอีกประเภทนึง  เรียกว่า จุลกฐิน    นับแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 จนถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 12 ถือเป็นเทศกาลแห่งการทอดกฐินตามวัดต่างๆ จึงมักจะมีป้ายจองกฐินติดไว้ทั่วไป ส่วนวัดที่ทอดกฐินแล้วก็จะปักธงจระเข้ไว้เพื่อบอกกล่าวให้รู้ทั่วกัน      แต่ก็ยังมีบางวัดที่ห่างไกลตกกฐินอยู่เนื่องๆ จึงมักมีผู้ใจบุญแสวงหาวัดเหล่านี้เพื่อทำการทอดกฐิน เรียกกันว่าทอดกฐินตกค้าง หรือเรียกสั้นๆ ว่ากฐินตก แต่บางถิ่นก็เรียกว่ากฐินโจร ซึ่งอาจเป็นเพราะการทอดกฐินที่เร่งรีบแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็เป็นได้ ยังมีกฐินอีกรูปแบบหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับกฐินตกค้าง จะทอดกันจวนเจียนจะหมดเขตการทอดกฐิน คือมักจะทอดกันในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12 เรียกว่า จุลกฐิน      จุลกฐินต่างจากกฐินตกค้างอยู่ตรงที่กฐินตกค้างนั้นมีเครื่องกฐินอยู่แล้วถึงเวลาก็นำไปทอด แต่จุลกฐินจะต้องตระเตรียมเครื่องกฐินให้สำเร็จภายในวันเดียว คือเริ่มตั้งแต่การปั่นฝ้าย ทอผ้าไตร จีวร ตัดเย็บพร้อมย้อมให้สำเร็จก่อนวันทอดกฐิน การทำจุลกฐินนี้ถือเป็นงานใหญ่ใช้ผู้คนมากจึงไม่ค่อยจะมีผู้ทอดให้เห็นกันบ่อยนัก แต่ก็เชื่อกันว่าการทอดจุลกฐินจะได้บุญมากกว่าการทอดกฐินธรรมดาถึง 10 เท่าเลยทีเดียว จากคุณ : nuch_tiew - [ 26 ต.ค. 51 22:50:49 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อยากเห็นภาพ จุลกฐิน  จังเลยครับ  เป็น บุญตา   ผู้มีบุญท่านใดมี รูปงาน จุลกฐิน  โพส ให้ดู  ขอขอบพระคุณ  ครับ  และขอบคุณ คุณ : nuch_tiew ที่ให้ข้อมูล เป็นประโยชน์  มากเลยครับ จากคุณ : kraho - [ 26 ต.ค. 51 23:11:07 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ภาพงานบุญ  งานกฐิน1 จากคุณ : kraho - [ 27 ต.ค. 51 04:20:59 ]

ความคิดเห็นที่ 11 งานกฐินจัดพร้อมงานยี่เปง จากคุณ : kraho - [ 27 ต.ค. 51 04:22:02 ]

ความคิดเห็นที่ 12 นี่ก็ อีกทีนึง จากคุณ : kraho - [ 27 ต.ค. 51 04:33:11 ]

ความคิดเห็นที่ 13 หา จุลกฐิน เพิ่มเติมครับ ตามอรรถกถาฎีกาต่าง ๆ พอกำหนดได้ว่า ชนิดของกฐิน มีสองลักษณะ คือ จุลกฐิน การทำจีวร พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบท ทุกฝ่ายต้องช่วยกันทำให้เสร็จภายในกำหนดหนึ่งวัน ทำฝ้าย ปั่น กรอ ตัด เย็บ ย้อม ทำให้เป็นขันธ์ได้ขนาดตามพระวินัย แล้วทอดถวายให้เสร็จในวันนั้น มหากฐิน คืออาศัยปัจจัยไทยทานบริวารเครื่องกฐินจำนวนมากไม่รีบด่วน เพื่อจะได้มีส่วนหนึ่งเป็นทุนบำรุงวัด คือทำนวกรรมบ้าง ซ่อมแซมบูรณของเก่าบ้าง ปัจจุบันนิยมเรียกกันว่า กฐินสามัคคี การทอดกฐินในเมืองไทย แบ่งออกตามประเภทของวัดที่จะไปทอด คือ พระอารามหลวง ผ้าพระกฐินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานด้วยพระองค์เอง หรือโปรดเกล้า ฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่ไปพระราชทาน เครื่องกฐินทานนี้จัดด้วยพระราชทรัพย์ของพระองค์เอง เรียกว่า กฐินหลวง บางทีก็เสด็จไปพระราชทานยังวัดราษฎร์ด้วย นิยมเรียกว่า กฐินต้น ผ้ากฐินทานนอกจากที่ได้รับกฐินของหลวงโดยตรงแล้ว พระอารามหลวงอื่น ๆ จะได้รับ กฐินพระราชทาน ซึ่งโปรดเกล้า ฯ พระราชทานผ้ากฐินทาน และเครื่องกฐินแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร ส่วนราชการ หรือเอกชนให้ไปทอด โดยรัฐบาลโดยกรมศาสนาจัดผ้าพระกฐินทาน และเครื่องกฐินถวายไป ผู้ได้รับพระราชทานอาจจะถวายจตุปัจจัย หรือเงินทำบุญที่วัดนั้นโดยเสด็จในกฐินพระราชทานได้ ส่วนวัดราษฎร์ทั่วไป คณะบุคคลจะไปทอดโดยการจองล่วงหน้าไว้ก่อนตั้งแต่ในพรรษา ก่อนจะเข้าเทศกาลกฐินถ้าวัดใดไม่มีผู้จอง เมื่อใกล้เทศกาลกฐิน ประชาชนทายกทายิกาของวัดนั้น ก็จะรวบรวมกันจัดการทอดกฐิน ณ วัดนั้นในเทศกาลกฐิน จากคุณ : kraho - [ 27 ต.ค. 51 04:36:30 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ความหมายของกฐินและทอดกฐิน กฐิน มีความหมายที่เกี่ยวข้องกันอยู่หลายความหมายดังนี้ • กฐินที่เป็นชื่อของกรอบไม้ กรอบไม้แม่แบบสำหรับทำจีวร ซึ่งอาจเรียกว่าสะดึงก็ได้ เนื่องจากในครั้งพุทธกาลการทำจีวรให้มีรูปลักษณะตามที่กำหนดกระทำได้โดยยาก จึงต้องทำกรอบไม้สำเร็จรูปไว้ เพื่อเป็นอุปกรณ์สำคัญในการทำเป็นผ้านุ่งหรือผ้าห่ม หรือผ้าห่มซ้อนที่เรียกว่าจีวรเป็นส่วนรวม ผืนใดผืนหนึ่งก็ได้ ในภาษาไทยนิยมเรียก ผ้านุ่ง ว่า สบง, ผ้าห่ม ว่า จีวร และ ผ้าห่มซ้อน ว่า สังฆาฏิ • กฐินที่เป็นชื่อของผ้า หมายถึงผ้าที่ถวายให้เป็นกฐินภายในกำหนดกาล 1 เดือน นับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ผ้าที่จะถวายนั้นจะเป็นผ้าใหม่ หรือผ้าเทียมใหม่ เช่น ผ้าฟอกสะอาด หรือผ้าเก่า หรือผ้าบังสุกุล คือผ้าที่เขาทิ้งแล้ว และเป็นผ้าเปื้อนฝุ่นหรือผ้าที่มีผู้ถวายจะเป็นคฤหัสถ์ก็ได้ เป็นภิกษุหรือสามเณรก็ได้ ถวายแก่สงฆ์แล้วก็เป็นอันใช้ได้ • กฐินที่เป็นชื่อของบุญกิริยา คือการทำบุญ คือการถวายผ้ากฐินเป็นทานแก่พระสงฆ์ผู้จำพรรษาอยู่ในวัดใดวัดหนึ่งครบไตรมาส เพื่อสงเคราะห์ผู้ประพฤติปฏิบัติชอบให้มีผ้านุ่งหรือผ้าห่มใหม่ จะได้ใช้ผลัดเปลี่ยนของเก่าที่จะขาดหรือชำรุด การทำบุญถวายผ้ากฐิน หรือที่เรียกว่า ทอดกฐิน คือทอดหรือวางผ้าลงไปแล้วกล่าวคำว่าถวายในท่ามกลางสงฆ์ เรียกได้ว่าเป็น กาลทาน คือการถวายก่อนหน้านั้น หรือหลังจากนั้นไม่เป็นกฐิน ท่านจึงถือโอกาสทำได้ยาก • กฐินที่เป็นชื่อของสังฆกรรม คือกิจกรรมของสงฆ์ก็จะต้องมีการสวดประกาศขอรับความเห็นชอบจากที่ประชุมสงฆ์ ในการมอบผ้ากฐินให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เมื่อทำจีวรสำเร็จแล้วด้วยความร่วมมือของภิกษุทั้งหลายก็จะได้เป็นโอกาสให้ได้ช่วยกันทำจีวรของภิกษุรูปอื่น ขยายเวลาทำจีวรได้อีก 4 เดือน ทั้งนี้เพราะในสมัยพุทธกาลการหาผ้า การทำจีวรทำได้โดยยาก ไม่ทรงอนุญาตให้เก็บสะสมผ้าไว้เกิน ๑๐ วัน แต่เมื่อได้ช่วยกันทำสังฆกรรมเรื่องกฐินแล้วอนุญาตให้แสวงหาผ้าและเก็บไว้ทำเป็นจีวรได้จนตลอดฤดูหนาว คือจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 จากคุณ : kraho - [ 27 ต.ค. 51 04:37:47 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ของกระบวนเรือพระราชพิธี “พยุหยาตราทางชลมารค” หรือ การเสด็จพระราชดำเนินทางน้ำ ซึ่งจัดขึ้นเนื่องใน “งานพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน” ไปยังวัดอรุณราชวรารามฯ   งานพระราชพิธี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ไปยังวัดอรุณราชวรารามฯ เป็น “ กฐินหลวง” หรือ กฐินที่พระเจ้าแผ่นดินทอดถวายแก่สงฆ์ผู้จำพรรษาในวัดหลวง ซึ่งเรียกกันเต็มๆว่า “พระอารามหลวง” พระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน เป็นพระราชพิธีที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา และสูญหายไปช่วงต้นรัตนโกสินทร์ นานจวบจนกระทั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โปรดฯ ให้ฟื้นฟูจารีตประเพณี ...เสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน โดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค กระบวนใหญ่ โดยเสด็จทอดผ้าพระกฐิน ที่วัดอรุณราชวรารามฯ ตั้งแต่ ปี พ.ศ.2502 เป็นต้นมา เหตุที่มีพระราชหฤทัยให้มีการฟื้นฟู ก็ด้วยเสด็จ ยังโรงเก็บเรือพระราชพิธี ที่คลองบางกอกน้อย ...ทอดพระเนตรเรืออยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม จึงมีพระราชดำริว่า โปรดฯ ให้ฟื้นฟูการเสด็จระราชดำเนิน ถวายผ้าพระกฐิน โดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคขึ้น ทรงมีพระราชดำรัสว่า ...."การฟื้นฟูคงไม่สิ้นเปลืองอะไรมากนัก เพราะกำลังคนสามารถใช้ของทหารเรือ, เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย, ทำขึ้นครั้งเดียวก็สามารถใช้ได้แรมปี" "ส่วนประโยชน์ที่ได้รับนั้น มีมากมาย..เช่น เรือพระราชพิธีอันสวยงามและทรงคุณค่าทางศิลปะ จะได้รับการดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ และเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมอันดีงามของประเทศ และส่งเสริมบำรุงพระศาสนาควบคู่ไปด้วย" ในรัชกาลปัจจุบัน มีกระบวนพยุหยาตราฯเกิดขึ้นมาแล้ว 14 ครั้ง โดยครั้งแรก จัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2500 เนื่องในงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ สำหรับครั้งล่าสุด ....จัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2542 ....เป็นกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค (ใหญ่) เพื่อถวายผ้าพระกฐินหลวง ไปยังวัดอรุณราชวรารามฯ ซึ่งในครั้งนั้น ใช้เรือ 52 ลำ ... จัดเป็น 5 ริ้วกระบวน มีเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์เป็นเรือพระที่นั่งทรง, เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ 9 เป็นเรือพระที่นั่งรอง, และเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เป็นเรือทรงผ้าไตร อัญเชิญผ้าพระกฐิน จากคุณ : kraho - [ 27 ต.ค. 51 04:44:36 ]

ความคิดเห็นที่ 16 กาพย์เห่เรือ ในงานพระราชพิธีกฐิน จากคุณ : kraho - [ 27 ต.ค. 51 04:47:44 ]

ความคิดเห็นที่ 17 กาพย์เห่เรือ ในงานพระราชพิธีกฐิน (ต่อ) จากคุณ : kraho - [ 27 ต.ค. 51 04:48:31 ]

ความคิดเห็นที่ 18 อนุโมทนาครับ อยากไปทำด้วยตัวเองบ้างจัง เมื่อก่อนก็ขี้เกียจเพราะงานกฐินใกล้ตัวเน้นไปเที่ยวมากกว่าไปทำบุญ จากคุณ : นกไฟแห่งป่ามายา - [ 27 ต.ค. 51 08:47:03 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ความคิดเห็นที่ 15 ...สำหรับครั้งล่าสุด ....จัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2542 ....เป็นกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค (ใหญ่) เพื่อถวายผ้าพระกฐินหลวง ไปยังวัดอรุณราชวรารามฯ... เอ สงสัยข้อมูลเก่าไปนิดนะคะ ดิฉันไปชมซ้อมใหญ่กระบวนพยุหยาตราชลมารค เพื่อถวายผ้าพระกฐิน ไปยังวัดอรุณราชวรารามฯ ที่ราชนาวิกสภา 2550 ปลายปีที่แล้วเองค่ะ จากคุณ : oor_dt - [ 27 ต.ค. 51 09:11:01 ]

ความคิดเห็นที่ 20 งามมากๆ ขอนําภาพกระบวนเรือใน blog มาฝากค่ะ จากคุณ : oor_dt - [ 27 ต.ค. 51 09:17:40 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ความหมายของกฐินที่เปลี่ยนแปลงไป สมัยพุทธกาล กฐิน มีความหมายถึงปัจจัย 4 ที่เป็นผ้า ต้องช่วยกันทำให้เสร็จภายในกำหนดหนึ่งวัน ทำฝ้าย ปั่น กรอ ตัด เย็บ ย้อม ทำให้เป็นขันธ์ได้ขนาดตามพระวินัย แล้วทอดถวายให้เสร็จในวันนั้น ปัจจุบัน กฐิน มีความหมายถึง จำนวนหลักของบริวาร คือ ตัวเลขจำนวนเงิน ตามแบบระบบทุนนิยม สังฆกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับผ้า เป็นแค่สักแต่ว่าทำไปตามพิธี แก่นสำคัญคือเงิน ถ้าไม่มีเงิน ก็ไม่มีความหมายใด ๆ จากคุณ : โทมัส (khunz) - [ 27 ต.ค. 51 09:20:28 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ^_^ จากคุณ : oor_dt - [ 27 ต.ค. 51 09:23:42 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อนุโมทนา ทุกท่าน ในการร่วมแบ่งปันความรู้และภาพ ที่ยกใจในกุศลธรรมครับ จากคุณ : deedang - [ 27 ต.ค. 51 09:30:47 ]

ความคิดเห็นที่ 24 สาธุ ได้ความรู้ดีจัง เมื่อก่อนไปทอดกฐิน ไม่เคยรู้ว่า กฐิน หมายถึงอะไร คิดว่าเป็นการถวายผ้าไตรและปัจจัยให้พระประจำปีเท่านั้น จากคุณ : AYXC - [ 27 ต.ค. 51 09:38:29 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ใครเป็นผู้ถวายกฐิน? ตอบ.บุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง๘ จะเป็นเทวดาหรือมนุษย์หรือสหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา (สามเณรีที่ได้รับการอบรมเป็นเวลา ๒ ปี เพื่ออุปสมบทเป็นภิกษุณี) สามเณรี สามเณร คนใดคนหนึ่งถวายก็ใช้ได้ จากคุณ : พุทธจิต - [ 27 ต.ค. 51 10:01:41 ]

ความคิดเห็นที่ 26 วิธีทอดกฐิน เมื่อถึงกำหนดวันทอดกฐิน ก็นำองค์กฐินพร้อมทั้งบริวารและปัจจัยไทยธรรมไปที่วัด ผู้นำองค์กฐินไปทอดควรปรึกษารายละเอียดกับทางวัดก่อนว่า จะกำหนดวิธีอย่างไร เช่น ๑. เมื่อองค์กฐินถึงวัดแล้วก็นำองค์กฐินและบริวาร พร้อมทั้งปัจจัยไทยธรรมเดินเวียนทักษิณาพระอุโบสถ ๓ รอบ เพื่อแสดงความเคารพต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเดินเวียนจบ ๓ รอบแล้ว ก็นำเข้าไปในพระอุโบสถ ครั้นถึงเวลาที่กำหนดไว้แล้ว ก็เริ่มต้นแต่จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย อาราธนาศีล นิยมอาราธนาศีล ๕ คำอาราธนาศีล ๕ (ฝ่ายฆราวาสว่า) มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะสีละลานิ ยาจามะ ทุติยัมปิ มะยัง ภันแต วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะสีลานิ ยาจามะ ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะปัญจะสีลานิ ยาจามะ แปลความว่าข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอศีล ๕ พร้อมทั้งไตรสรณคมน์  เพื่อจะรักษาต่างๆ กัน แม้ครั้งที่สอง (แปลอย่างข้างต้น) แม้ครั้งที่สาม (แปลอย่างข้างต้น) คำให้ศีล ๕ (ฝ่ายพระภิกษุว่า และฆราวาสว่าตาม) นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ) ปาณาติปาตา เวระมะณีสิกขาปะทัง สะมาทิยามิ อะทินนาทานา เวระมะณีสิกขาปะทัง สะมาทิยามิ กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณีสิกขาปะทัง สะมาทิยามิ มุสาวาทา เวระมะณีสิกขาปะทัง สะมาทิยามิ สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฎฐานา เวระมะณีสิกขาปะทัง สะมาทิยามิ (คำนอกนี้ ฝ่ายฆราวาสไม่ต้องว่าตาม) แปลความว่า ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ พระองค์นั้น (๓ จบ) ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท งดเว้นจากการทำลายชีวิตของสัตว์ให้ตกล่วงไป ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท งดเว้นจากการลักขโมยของๆ ผู้อื่น ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท งดเว้นจากผิดประเวณี ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท งดเว้นจากการกล่าวเท็จ ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท งดเว้นจากการดื่มสุราเมรัยและของมึนเมาอันเป็นฐานแห่งความประมาท เมื่อรับศีลแล้วก็กล่าวคำถวายกฐิน โดยผู้ถวายองค์กฐินประคองผ้าจีวรกล่าวนำ หรือให้พิธีกร กล่าวนำก็ได้ ถ้าสะดวกจะกล่าวคำถวายพร้อมๆกันก็ได้ ดังนี้ คำบาลีถวายผ้ากฐิน อย่างที่ ๑ อิมัง สะปะริวารัง กะฐินะจีวะระทุสสัง สังฆัสสะ โอโณชะยามะ ทุติยัมปิ อิมัง สะปะริวารัง กะฐินะจีวะระทุสสัง สังฆัสสะ โอโณชะยามะ ตะติยัมปิ อิมัง สะปะริวารัง กะฐินะจีวะระทุสสัง สังฆัสสะ โอโณชะยามะ คำแปล อย่างที่ ๑ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายผ้าจีวรเพื่อกฐินพร้อมทั้งบริวารนี้แก่พระสงฆ์ แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายผ้าจีวรเพื่อกฐินพร้อมทั้งบริวารนี้แก่พระสงฆ์ แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายผ้าจีวรเพื่อกฐินพร้อมทั้งบริวารนี้แก่พระสงฆ์ คำบาลีถวายผ้ากฐิน อย่างที่ ๒ มะยัง ภันเต อิมัง สะปะริวารัง กะฐินะจีวะระทุสสัง สังฆัสสะ นิยยาเทมะ สาธุ โน ภันเต สังโฆ อิมัง สะปะริวารัง กะฐินะจีวะระทุสสัง ปะฎิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ คำแปล อย่างที่ ๒ ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้าจีวรเพื่อกฐินพร้อมทั้งบริวารนี้แก่พระสงฆ์ ขอพระสงฆ์โปรดรับซึ่งผ้าจีวรเพื่อกฐินพร้อมทั้งบริวารนี้ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายตลอดกาลนานเทอญ เมื่อกล่าวคำถวายจบแล้วนำผ้าจีวรเข้าไปถวายไว้ที่ซึ่งได้จัดไว้ (บางแห่งก็มีพระภิกษุรับไว้แต่ไม่ใช่เพื่อตนเอง) ฝ่ายพระภิกษุก็จะทำการอปโลกน์เลือกพระภิกษุองค์หนึ่งซึ่งเหมาะสมที่จะกรานกฐิน ต่อจากนั้น ผู้ทอดกฐินก็ช่วยกันประเคนบริวารขององค์กฐินและปัจจัยไทยธรรมต่าง ๆ เมื่อถวายแล้ว พระสงฆ์ก็สวดอนุโมทนากถา เริ่มตั้งแต่ ยถา ฯลฯ ระหว่างที่พระสวดยถา ฝ่ายฆราวาสก็กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษครูบาอาจารย์ญาติมิตรเป็นต้น ตลอดจนสัตว์โลกทั้งหมด เมื่อพระสวดบทยถาจบ ผู้กรวดน้ำก็หลั่งน้ำจนหมด แล้วก็ประนมมือฟังพระสงฆ์สวดสัพพี ฯลฯ เป็นต้นต่อไป ซึ่งถือกันว่าเป็นการรับพรจากพระสงฆ์ เมื่อพระสวดจบ ก็เป็นอันหมดพิธี ถ้าหากทอดกฐินก่อนเพล ควรจัดภัตตาหารเพลถวายด้วย เป็นการเพิ่มพูนบุญบารมีให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น การจัดอาหารเพลนี้ ถ้าทางวัดสะดวกก็ควรติดต่อให้ทางวัดช่วยจัดโดยมอบปัจจัยให้ในการจัดอาหารด้วย จากคุณ : พุทธจิต - [ 27 ต.ค. 51 10:03:50 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ขอให้ได้บุญ  กัน มากๆเลย นะครับ จากคุณ : kraho - [ 31 ต.ค. 51 01:18:49 ]

ความคิดเห็นที่ 28 มิตรรัก ทีมงานพระเดชพระคุณหลวงปู่  ก็ไม่พลาดนะ วันที่ 2 พ.ย.51 ทำบุญด้วยกันนะครับ     สาธุ จากคุณ : kraho - [ 1 พ.ย. 51 01:08:57 ]