ความคิดเห็นที่ 2 ศานาอิสลามมีบัญญัติห้ามการแบ่งศาสนาออกเป็นนิกายต่างๆ อย่าง เด็ดขาด และ พระเจ้ามีบัญญัติ กำชับ ท่านศาสดามูฮัมมัด ว่า "เจ้าไม่มีส่วนร่วมอยู่ในบรรดาผู้แบ่งนิกายในอิสลามทั้งหลาย"    ท่านศาสดามูฮัมมัด  ถืออิสลามตามคำสั่งของพระเจ้าซึ่งบัญญัติไว้ในอัลกุรอานเท่านั้น  "ท่านศาสดามูฮัมมัดไม่ได้อยู่ในนิกาย ใดๆทั้งสิ้น,  ท่านไม่ใช่ มุสลิมซุนนีย์หรือ มุสลลิม  ชีอะค์" เพราะท่านยึดแต่บัญญัติของพระเจ้าแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในการประกอบศาสนกิจและการใช้ชีวิตประจำวันของท่าน    มุสลิมที่แบ่งแยกการศรัทธาอิสลาม เป็นนิกาย "ซุนนีย์" หรือ "ชีอะต์" จึงไม่ใช่มุสลิมที่ปฏิบัติตามแบบฉบับของ ท่าน ศาสดามูฮัมมัด     ถ้ามีข้อสงสัยกรุณาถามเพิ่มเติมได้ครับ ด้วยความยินดี  เพราะผมเป็นมุสลิมที่ไม่สังกัดนิกายใดๆ ที่ดำเนินการปฏิบัติตามบัญญัติในอัลกุรอานเช่นเดียวกับท่านศาสดามูฮัมมัด    ซึ่งทำให้ทั้งมุสลิมชีอะต์ และ โดยเฉพาะ มุสลิม "ซุนนีย์" ไม่ยอมรับผมซึ่ง ดำเนินรอยตามท่านศาสดามูฮัมมัดว่าเป็นมุสลิม ผมก็มองไม่เห็นเหตุผลในเรื่องนี้" จากคุณ : แมทท์ - [ 6 ธ.ค. 51 09:37:09 ]

ความคิดเห็นที่ 3 http://th.wikipedia.org/wiki/ศาสนาอิสลาม#หลักศรัทธาอิสลามแนวซุนนีย์ http://news.sanook.com/scoop/scoop_74796.php ศราวุฒิ อารีย์ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 51 14:25:15 จากคุณ : EndEarth - [ 6 ธ.ค. 51 14:18:07 ]

ความคิดเห็นที่ 4 อิสลามแนวซุนนีย์  หรือ นิกายซุนนีย์ (เป็นการกล่าวเลื่ยงการใช้คำว่า "นิกาย")  นั้น ต่างจากหลักการของ อิสลามตามแนวคำสอนของ "ท่านศาสดามูฮัมมัด" ...  อิสลามตามแนวคำสอนของท่านศาสดามูฮัมมัด สอนว่า.. 1. ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระเจ้าพระองค์เดียว ( ภาษาอรับ  เรียก คำว่าพระเจ้า ว่า "อัลลออ์)  เท่านั้น ที่สมควรแก่การเคารพบูชา  และ ศาสดามูฮัมมัดเป็นศาสดาที่พระเจ้าแต่งตั้งให้รับบัญญัติ ในอัลกุรอานมาสู่ปวงมนุษยชาติ และมีบัญญชาให้ผู้ที่ศรัทธาต่อพระเจ้า ใช้อัลกุรอานเท่านั้น เป็นหลักในการปฏิบัติศาสนกิจและการใช้ชีวิตประจำวัน 2. ศาสดามูฮัมมัดเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่อาจจะเห็นอนาคต และ ทำนายเหตุการณ์ หรือแสดงอภินิหารอะไรได้ (ตามคำบัญญัติในอัลกุรอาน) 3. ศาสดามูฮัมมัด  มีคำสั่งให้มุสลิมใช้เพียงแต่อัลกุรอานเท่านั้นในการ ปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ 4. ศาสดามูฮัมมัดไม่อาจจะเป็นผุ้ขออภัยโทษหรือไถ่บาปให้กับมุสลิมผู้ใดได้ ในวันตัดสิน เรื่องนี้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนในอัลกุรอาน 5. จงเชื่อฟังและรักท่านศาสดามูฮัมมัด เพื่อ มุสลิมจะได้มีศรัทธาที่แท้จริง ต่อ อัลกุรอาน  ทั้งนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าเราไม่รัก และ เชื่อฟัง ต่อ ท่านศาสดามูฮัมมัด แล้ว "อัลกุรอาน" ก็ไม่มีความหมายอะไร  ข่าวสารจากพระเจ้าก็ไม่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ ทังนี้ เพราะว่าท่านศาสดามูฮัมมัดได้ถูกแต่งตั้ง ให้เป็นผู้นำข่าวสาร ของพระเจ้ามาให้แก่มนุษย์ 6. การสร้างหลักการใดๆมาต่อเติมศาสนา (ข้อห้าม หรือ ข้อยกเว้น หรือ ความเห็นของมนุษย์) ให้นอกเหนือไปจาก กฏในอัลกุรอานที่บัญญัติไว้เป็นการผิด หลักศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว ตามหลักการของ "ศาสนาอิสลาม" นี่เป็นพียงหลักศรัทธาย่อๆ เท่านั้น  ต้องการรายละเอียด  ติดตอสอบถามได้  ที่  "Muslim Thai USA "  โดย อีเมลล์ ถึง  matt_tn90@hotmail.com แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 51 21:15:45 จากคุณ : แมทท์ - [ 6 ธ.ค. 51 21:13:35 ]

ความคิดเห็นที่ 5 งานนี้คงปล่อยไม่ได้แล้วล่ะครับ เพราะจะยิ่งเข้าใจผิดกันไปใหญ่ ก่อนอื่นผมต้องขออนุญาต บอกกับ คุณ toro pazzo ก่อนนะครับว่า ในกระดานสนทนานี้มีมุสลิมอยู่พอสมควร และมีคนทีพยายามบอกว่าตัวเองเป็นมุสลิม แต่ไม่ใช่มุสลิมอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น นายแมทท์ คนนี้เป็นต้น เขากำลัง พยายามบอกว่าตัวเองเป็นมุสลิมครับ แต่จริงๆ เขาไม่ใช่ และ พยายามบิดเบือนหลักการอิสลามตลอด ดังนั้น อ่านผ่านๆ ได้นะครับ แต่ให้ถามมุสลิมครับ เพราะว่านั่นเป็นเพียงคำพูดและการให้ข้อมูล แบบไม่รับผิดชอบ ของ คนที่ไม่ใช่มุสลิมคนนึงเท่านั้น -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ส่วนเรื่องซุนหนี่ ชีอะห์นั้น ลองอ่านนี่นะครับ http://www.sunnahcyber.com/truepath/modules/news/article.php?storyid=85 http://www.sunnahcyber.com/truepath/modules/news/article.php?storyid=105 http://www.sunnahcyber.com/truepath/modules/news/article.php?storyid=89 ลองไปอ่านดูนะครับ ข้อมูลเหล่านี้แน่นทีเดียว และมาจากมุสลิมครับ ไม่ใช่มาจาก กาเฟรฺ(ผู้ปฏิเสธ คนนอกศาสนา) ที่อ้างตัวเป็นมุสลิมบางคน ซึ่งก็โดนมุสลิมในนี้ บี้แล้วบี้อีก และก็หนีแล้วหนีอีกตลอดเวลา จากคุณ : Carroth - [ 7 ธ.ค. 51 07:06:59 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อันนี้ ต้องแก้ความเข้าใจผิดนะครับ เรื่องที่ว่า แนวทางซุนหนี่ หรือซุนนะห์ ต่างจากแนวทางคำสอนของ ท่านศาสดามุฮัมมัด เพราะความจริงแล้วซุนหนี่ หรือซุนนะห์ ชื่อเต็มๆ ว่า อะหฺลุซซุนนะฮฺ วัล ญะมาอะฮฺ แปลได้ดังนี้นะครับคือ ความหมาย" คำว่า อะหฺลุน แปลว่า ครอบครัว กลุ่ม ฝ่าย ชาว คำว่า ซุนนะฮฺ แปลว่า แนวทางของท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม คำว่า อัล ญะมาอะฮฺ แปลว่า พรรคพวก รวมความแล้ว "อะหฺลุซซุนนะฮฺ วัล ญะมาอะฮฺ" ก็หมายถึง "ฝ่ายนิยมแนวทางของท่าน นบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และพรรคพวก" หมายถึงผู้ยึดถือตัวบทจากกุรอานและหะดีษ (จาก http://www.azsunnah.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=13) จะบอกว่า ต่างจากแนวทางคำสอนของ ท่านศาสดามุฮัมมัดละก็ผิดเต็มๆ ครับ แค่เริ่มมาก็โกหกแล้ว ต่อมา แมทท์บอกว่า 1. ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระเจ้าพระองค์เดียว ( ภาษาอรับ  เรียก คำว่าพระเจ้า ว่า "อัลลออ์)  เท่านั้น ที่สมควรแก่การเคารพบูชา  และ ศาสดามูฮัมมัดเป็นศาสดาที่พระเจ้าแต่งตั้งให้รับบัญญัติ ในอัลกุรอานมาสู่ปวงมนุษยชาติ และมีบัญญชาให้ผู้ที่ศรัทธาต่อพระเจ้า ใช้อัลกุรอานเท่านั้น เป็นหลักในการปฏิบัติศาสนกิจและการใช้ชีวิตประจำวัน - ให้สังเกตุคำที่ผมขีดเส้นใต้ว่ากุรอ่านเท่านั้นนะครับ คำนี้แหละครับ ที่แมทท์ชอบอ้าง ทั้งที่ความจริงแล้วกุรอ่านเองนั่นแหละครับ ที่บอกให้เรา ทำตามแบบอย่างของท่านนบี มุฮัมมัด ดังนั้น ถ้าใครเป็นมุสลิมและบอกว่า จะตามกุรอ่าน เขาจะต้องทำตามแบบอย่างของท่านนบี หรือซุนนะห์ไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย และขาดไม่ได้ เพราะนี่เป็นคำสั่งของกุรอ่านเอง อ่านนี่เลยครับ 3:132) " และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา " (4:80) " ผู้ใดเชื่อฟังรอซูล แน่นอนเขาก็เชื่อฟังอัลลอฮฺแล้ว และผู้ใดผินหลังให้ เราก็หาได้ส่งเจ้าไปในฐานะเป็นผู้ควบคุมพวกเขาไม่ " (24:56) " และพวกเจ้าจงดำรงละหมาด และจงบริจาคอัซซะกาฮ์ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามรอซูล เพื่อพวกเจ้าจะได้รับควาเมตตา " (26:108) " ดังนั้นพวกท่านจงยำเกรงอัลลอฮฺ และเชื่อฟังฉัน" (นบีนุฮฺ) (4:59) " ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไปที่สวยยิ่ง " (4:69) " และผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮฺ และรอซูลแล้วชนเหล่านี้จะอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺทรงกรุณาเมตตาแก่พวกเขา อันได้แก่บรรดานบี บรรดาผู้ที่เชื่อโดยดุษฏี บรรดาผู้ที่เสียชีวิตในสงคราม และบรรดาผู้ที่ประพฤติดี และชนเหล่านี้แหละเป็นเพื่อนที่ดี " (33:71) " พระองค์จะทรงปรับปรุงการงานของพวกเจ้าให้ดีขึ้นสำหรับพวกเจ้า และจะทรงอภัยโทษความผิดของพวกเจ้าให้แก่พวกเจ้าและผู้ใดเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ แน่นอนเขาได้รับความสำเร็จใหญ่หลวง " นี่เป็นตัวอย่างคำสั่ง จากกุรอ่านที่ให้ตามแบบอย่างของท่านนบีนะครับไม่ใช่ ใช้อัลกุรอ่านเท่านั้น อย่างที่โกหก เพราะฉะนั้น อันนี้ แมทท์พูดไม่จริงอีกแล้วครับ 2. ศาสดามูฮัมมัดเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่อาจจะเห็นอนาคต และ ทำนายเหตุการณ์ หรือแสดงอภินิหารอะไรได้ (ตามคำบัญญัติในอัลกุรอาน) - คำพูดนี้ อ่านผ่านๆ เหมือนจะไม่มีอะไรขัดกับหลักอิสลามนะครับ แต่จริงๆ แล้ว เป็นการปฏิเสธอภินิหารที่ พระผู้เป็นเจ้ามอบให้กับศาสดาครับ ซึ่ง ความพิเศษหรืออภินิหารเหล่านี้ เราพบได้ ในบรรดาศาสดาก่อนๆ เช่น การแยกน้ำทะเลออกในสมัย นบีมูซาหรือโมเสส การทำให้คนตายฝื้นหรือรักษาโรคต่างๆ ของนบีอีซาหรือ พระเยซู สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นได้ในบรรดาศาสดาต่างๆ แน่นอน บรรดาศาสดาไม่ได้มีอำนาจในตัวเอง แต่การกระทำหรือแสดงอภินิหารเกิดขึ้นได้ครับ ไม่ว่าจะเห็นอนาคตหรือ ทำนายเหตุการณ์ ถ้าพระเจ้าทรงให้อำนาจหรือให้ความสามรถนั้น การที่บอกว่า ท่านนบีมุฮัมมัดนั้น ไม่สามารถแสดงอภินิหารอะไรได้ ก็เท่ากับ เป็นการลดเกียรติของท่านลง ทั้งๆบรรดาศาสดาท่านอื่นๆ ก็ทำได้มาแล้ว มากมาย และเป็นการ ปฏิเสธสิ่งที่ ท่านนบีมุฮัมมัดเคยทำด้วย เรื่องการทำนายอนาคตนั้น มีปรากฎในซูเราะห์ "รูม" ซึ่งเป็นตัวอย่างการ กล่าวถึงอนาคต ที่ถูกต้องด้วย ซึ่งแน่นอนท่านนบีไม่ได้รู้ด้วยตัวเอง แต่อัลลอฮ์ประทานความรู้นี้ให้ ใน ซูเราะห์ "รูม" ดังนี้ "ในซูเราะห์ "รูม" อายะห์ที่ 1-5 ซึ่งพระองค์ได้โองการไว้ว่า "อาลีฟ ลาม มีม โรมได้ถูกพิชิตแล้วในแผ่นดินที่ต่ำกว่า (ใกล้เคียงกัน) และพวกเขาภายหลังจากถูกพิชิตพวกเขาจะเป็นฝ่ายพิชิตบ้าง ในเวลาอีกไม่กี่ปีข้างหน้า (ไม่ถึง 10 ปี) อันการงานอื่นๆ ย่อมเป็นอำนาจแห่งอัลเลาะห์ (ซ.บ.) เท่านั้นไม่ว่าจะก่อนหน้าที่เขาพ่ายแพ้หรือภายหลังที่เชจะได้รับชัยชนะก็ตาม และในวันนั้น วันที่ชาวโรมจะได้รับชัยชนะ บรรดาศรัทธาชนต่างก็ดีใจ (ในชัยชนะของตนเองที่มีต่อกาเฟร) ทั้งนี้ด้วยความช่วยเหลือของอัลเลาะห์ (ซ.บ.) ซึ่งเป็นไปตามความประสงค์แก่เฉพาะบุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ และพระองค์คือผู้ทรงอำนาจยิ่งอีกทั้งทรงเมตตายิ่ง"            เมื่อโองการนี้ถูกประทานลงมาโดยท่านนบีมูฮำมัด (ซ.ล.) ได้ประกาศให้บรรดามุสลิมีนได้ทราบถึงชัยชนะ ที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ในช่วงเวลานั้นเอง ชาวกุฟฟาร์ต่างได้โอกาส และโจมตีใส่ใคล้ท่านนบีมูฮำมัด (ซ.ล.) ต่างๆ นานา พวกเขาต่างใส่ใคล้ และเย้ยหยันท่านร่อซูล (ซ.ล.) ว่า "นี่แหละเป็นเครื่องชี้แสดงให้เห็นว่ามูฮำมัดมิได้รู้อะไรเลย สิ่งที่มูฮำมัดได้พูดเป็นเพียงคำพูดที่เขาคิดขึ้นมาเอง มูฮำมัดช่างไม่รู้เลยหรือว่า โรมไม่มีทางชนะเปอร์เซียได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดๆ ก็ตาม"  (จากhttp://www.halalthailand.com/olips/index.php?page=content&category=11&subcatname=&subcat=31&id=496) นี่เป็นตัวอย่างการรู้อนาคตล่วงหน้าโดยการ ประทานให้จากอัลลอฮ์ จึงไม่แปลกถ้าท่านนบี จะเห็น จะรู้ จะมีอภินิหารอะไรก็ย่อมได้ ถ้าอัลลอฮ์อนุมัติ ไม่ใช่ ท่านนบีไม่มีอภินิหารใดๆ เลย เรื่องนี้ แมทท์ก็มั่วตามเคย 3. ศาสดามูฮัมมัด  มีคำสั่งให้มุสลิมใช้เพียงแต่อัลกุรอานเท่านั้นในการ ปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ - อันนี้ ไม่ต้องสงสัยว่าแมทท์มั่วนิ่ม จนถึงขั้น โกหกหน้าด้านๆ กันเลยทีเดียว อ่านนี่เองนะครับ ในกุรอ่านเองเลยว่า อัลลอฮไม่ทรงรักผู้ใด เว้นแต่คนที่ปฏิบัติตามคำสอนที่รอซู้ลของพระองค์สอนและชี้ทางให้ อัล-กุรอาน ซูเราะห์ อาลิ-อิมรอน อายะห์ที่ 30 กล่าวว่า “จงกล่าวเถิด ถ้าพวกท่านรักอัลลอฮ ดังนั้น จงปฏิบัติตามฉัน-มุฮัมมัด แล้วอัลลอฮจะทรงรักพวกท่าน” กุรอ่าน ใช้ให้ท่านนบี กล่าวเองว่า ถ้ารักอัลลอฮ์ ให้ปฏิตามฉัน มุฮัมมัด แล้วอัลลอฮ์จะรักพวกท่าน ดังนั้น ต้องปฏิบัติตตามท่านนบี หรือฮะดีษ หรือซุนนะห์ด้วยนะครับ ไม่ใช่ กุรอ่านอย่างเดียว แล้วไม่เอา แบบอย่างของท่านนบี แบบนี้ใช้ไม่ได้ ถ้ายังสงสัย ผมก็จะยกตัวอย่าง 1 ในคำถามคลาสสิค ที่สุดของกระดานของสนทนาแห่งนี้ ที่ถามมา 5 ปี แล้ว แมทท์ ก็เลี่ยงตลอด ไม่งั้นถ้าฝืนตอบ ก็ตายคากระทู้สถานเดียว นั่นคือ ถ้าไม่เอาฮะดีษ ไม่เอาซุนนะห์ จะใช้กุรอ่านอย่างเดียว แมทท์ ละหมาดอย่างไร นี่แหละครับ แมทท์ จะอึ้ง จะงง จะเลี่ยงประเด็นทันทีโดยอัตโนมัติ เหมือนเป็นสัญชาติญานเลยทีเดียว เพราะอะไร เพราะ ถ้าเราเอาแต่กุรอ่าน ไม่เอาฮะดีษ ไม่ทำตามนบี ล่ะก็ จะละหมาดมั่วกันครับ เพราะ เวลา ละหมาดที่ทั่วโลก ละหมาด 5 เวลา จำนวนครั้งในการกราบ การยืน การ โค้ง การกำหนดว่าต้อง อ่านหรือสวดอะไรบ้างในละหมาด จนถึงการประกาศ เข้าเวลาละหมาด สิ่งเหล่านี้ มีอยู่ใน ฮะดีษ หรือซุนนะห์ ของท่านนบีครับ ถ้าเอาแต่กุรอ่าน ล่ะก็ เราจะแยก กรั่นกรอง และสรุปรายละเอียด ขึ้นตอนการละหมาดต่างๆ ไม่ได้เลยครับ ซึ่งคำตอบของแมทท์เท่านที่เคยอ่าน ตอบว่า ทำตามบรรพบุรุษ ครับ ในรายละเอียดเหล่านี้ (ถ้าผิดท้วงได้เลยนะครับ) โดยคำตอบนี้ มันก็แย้งกับหัวข้อที่แมทท์บอกเองว่า ใช้เพียงแต่อัลกุรอานเท่านั้นในการ ปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ เพราะ คำตอบว่าตามบรรพบุรุษ มันหมายความว่า เค้าไม่ได้ใช้กุรอ่าน อย่างเดียว แต่ต้องอาศัย แบบอย่างบรรพบุรุษด้วย ประเด็นนี้ แมทท์ทั้งมั่ว ทั้งโกหก ทั้งพูดขัดกันเองอีกต่างหาก 4. ศาสดามูฮัมมัดไม่อาจจะเป็นผุ้ขออภัยโทษหรือไถ่บาปให้กับมุสลิมผู้ใดได้ ในวันตัดสิน เรื่องนี้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนในอัลกุรอาน - ผมอยากให้ แมทท์ แสดงหน่อยนะครับ ว่า กุรอ่านที่ยืนยันหัวข้อนี้ บอกไว้อย่างไร เพราะมันค่อนข้างคลุมเครือนะครับ เนื่องจาก นบีไม่ใช่อัลลอฮ์ จะสั่งให้ใครเข้าสวรรค์ หรือลงนรกเองไม่ได้ แต่ขออภัยโทษเนี่ย ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ ผมเองหรือมุสลิมทั่วโลก เวลาขอ ก็ขออภัยโทษให้กับมุสลิมทั่วโลก และ ขอให้กับคนที่ตายแล้วเลย ยกเว้นคนนอกศาสนา อันนี้ ขอ หลักฐานด้วยนะครับ เพราะผมเองก็ไม่แน่ใจ อยากให้ผู้รู้มาตอบด้วย 5. จงเชื่อฟังและรักท่านศาสดามูฮัมมัด เพื่อ มุสลิมจะได้มีศรัทธาที่แท้จริง ต่อ อัลกุรอาน  ทั้งนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าเราไม่รัก และ เชื่อฟัง ต่อ ท่านศาสดามูฮัมมัด แล้ว "อัลกุรอาน" ก็ไม่มีความหมายอะไร  ข่าวสารจากพระเจ้าก็ไม่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ ทังนี้ เพราะว่าท่านศาสดามูฮัมมัดได้ถูกแต่งตั้ง ให้เป็นผู้นำข่าวสาร ของพระเจ้ามาให้แก่มนุษย์ - หัวข้อนี้ ก็ถูกนะครับ แต่มันแปลกตรงที่ว่า ชาวซุนนะห์ ไม่รักและเชื่อฟังท่านศาสดาตรงไหน แล้วเอาหัวข้อนี้มาทำไม เพราะมันก็ไม่ต่างกับซุนหนี่ นะครับ 6. การสร้างหลักการใดๆมาต่อเติมศาสนา (ข้อห้าม หรือ ข้อยกเว้น หรือ ความเห็นของมนุษย์) ให้นอกเหนือไปจาก กฏในอัลกุรอานที่บัญญัติไว้เป็นการผิด หลักศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว ตามหลักการของ "ศาสนาอิสลาม" - อันนี้ก็แหงล่ะครับ มุสลิม ซุนหนี่หรือซุนนะห์ที่ไหนจะต่อเติ่มศาสนาเองได้ ถ้าต่อเติ่มเองตามใจอยากเรียกบิดอะห์ครับ เป็นเรื่องต้องห้ามอยู่แล้ว ซึ่งเท่าที่ผมอ่าน ก็มีแต่แมทท์นะครับ ที่ต่อเติมศาสนาเอง กุรอ่านบอกว่า “จงกล่าวเถิด ถ้าพวกท่านรักอัลลอฮ ดังนั้น จงปฏิบัติตามฉัน-มุฮัมมัด แล้วอัลลอฮจะทรงรักพวกท่าน” แต่แมทท์บอกว่า คือว่าคำถามเริ่มแรกเมื่อ หลายสิบปีมาแล้วมีคนถามผมว่าถ้า เอาแต่กุรอานแต่ไม่เอาฮะดีษแล้วจะละหมาดอย่างไร? เพราะอัลกุรอานไม่มีรายละเอียด เกี่ยวกับ การละหมาด. ผมกล่าวว่าเราทำกันสืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด ซึ่งเป็นความเข้าใจและเหตุผลของผม (หลักฐานจาก http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7230302/Y7230302.html คคหที่ 31) กุรอ่านบอกชัดๆ ให้ตามนบี แมทท์ก็บอกเหมือนเดิมว่าตามบรรพบุรุษโดยไม่เอาฮะดีษซึ่งถ้าบรรพบุรุษ ละหมาดวันละ 6 เวลา แมทท์ก็คงตามต่อไป เพราะ ไม่ตามนบี แต่ตามบรรพบุรุษ นี่มันต่อเติมหลักศาสนา ชัดๆ หรือจะเถียง? สรุปความโดยสังเขป แล้ว หลักการของแมทท์ พยายามจะให้เป็นอิสลาม แต่มันไม่ใช่อิสลามนะครับแถมขัดกุรอ่านที่อ้างว่าตัวเองยึดถืออย่างชัดเจน เพราะฉะนั้น ใครเจอคำตอบของแมทท์มามั่วนิ่มเรื่องอิสลาม ขอให้ผ่านไปเลยครับ เพราะนั่นไม่ใช่คำตอบของมุสลิม ถ้าถามเรื่องอิสลามให้ถามมุสลิมดีกว่าครับ ไม่งั้นมันจะมั่วอย่างที่ผมอธิบายไป จากคุณ : Carroth - [ 7 ธ.ค. 51 08:05:18 ]

ความคิดเห็นที่ 7 พูดถึง ซุนหนี่ ชีอะห์แล้ว ตอนนี้ ลัทธิใหม่ มาแรง ที่มาอ้างอิสลามคือ ลัทธิแมทท์ครับ ชีอะห์ยังพอมี หลักฐานมาสู้ แต่แมทท์นี่ มั่ว ตลอด ถ้าไม่มั่วก็แถ ไม่แถก็เลี่ยงประเด็น ไม่เลี่ยงประเด็นก็หนีไปเลย เนี่ยมีประมาณนี้ ระวังให้ดีครับพี่น้อง จากคุณ : Carroth - [ 7 ธ.ค. 51 08:07:28 ]

ความคิดเห็นที่ 8 "อ่านนี่เลยครับ 3:132) " และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา " (4:80) " ผู้ใดเชื่อฟังรอซูล แน่นอนเขาก็เชื่อฟังอัลลอฮฺแล้ว และผู้ใดผินหลังให้ เราก็หาได้ส่งเจ้าไปในฐานะเป็นผู้ควบคุมพวกเขาไม่ " (24:56) " และพวกเจ้าจงดำรงละหมาด และจงบริจาคอัซซะกาฮ์ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามรอซูล เพื่อพวกเจ้าจะได้รับควาเมตตา " (26:108) " ดังนั้นพวกท่านจงยำเกรงอัลลอฮฺ และเชื่อฟังฉัน" (นบีนุฮฺ) (4:59) " ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไปที่สวยยิ่ง " (4:69) " และผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮฺ และรอซูลแล้วชนเหล่านี้จะอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺทรงกรุณาเมตตาแก่พวกเขา อันได้แก่บรรดานบี บรรดาผู้ที่เชื่อโดยดุษฏี บรรดาผู้ที่เสียชีวิตในสงคราม และบรรดาผู้ที่ประพฤติดี และชนเหล่านี้แหละเป็นเพื่อนที่ดี " (33:71) " พระองค์จะทรงปรับปรุงการงานของพวกเจ้าให้ดีขึ้นสำหรับพวกเจ้า และจะทรงอภัยโทษความผิดของพวกเจ้าให้แก่พวกเจ้าและผู้ใดเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ แน่นอนเขาได้รับความสำเร็จใหญ่หลวง " คำสั่งเหล่านี้เป็นคำสั่งที่ มีอยู่ในอัลกุรอานอย่างแท้จริง แต่ หมายถึงการเชื่อฟังคำสอนของท่านศาสดาขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อท่านสิ้นชีวิตไปแล้ว  มุสลิมก็แตกแยกเป็นนิกายอย่างที่เห็นในปัจจุบัน   เนื่องจาก อัลกุรอานห้ามการแบ่งนิกาย   นิกายต่างๆ ก้เกิดความ เหนียมอาย  แก่ใจตัวเองที่สร้างสิ่งอื่นขึ้นมาแทนคำสอนของพระเจ้า  จากเรื่องบอกเล่าต่อๆดันมา   เรียกว่าประเพณีอรับ  ปรับเข้ากับหลักการของอิสลาม   การเชื่อฟังท่านศาสดาคือ  ใช้อัลกุรอานในการศึกษาเท่านั้น   ไม่ใช่สร้างสิ่งใดมาต่อเติมศาสนา      ผมจะโกหกไปเพื่ออะไร ในเมื่อ  คุณก็ทราบดีว่าคุณไม่ยอมรับ มุสลิมชีอะต์เป้นมุสลิม  และ แถมยัง ขนานนามเขาว่าเป็นกาเฟร    ท่านศาดามูฮัมมัดไม่ได้ เป็น ซุนนีย์ หรือ ชีอะต์     คุณทำละหมาดเหมือนกับ มุสลิมชีอะต์ เชื่อใน ฮาดีษของชีอะต์หรือไม่ ? เชื่อใน ตัฟซีรของชีอะต์หรือไม่?     ถ้าคุณที่ว่าผมโกหกแล้วคุณต้องตอบว่าเชื่อในสิ่งที่ผมถาม   แล้วผมจะหยุดเขียน    คุณยอมรับ ศาสนกิจของมุสลิมชีอะต์ว่าเป็นหลักปฏิบัติของคุณๆ ซุนนีย์ด้วยหรือไม่?    อย่านิ่งเฉย  ได้แต่ถามผมว่าละหมาดอย่างไร ? ผมก็ตอบไปแล้ว  และเพราะเหตุใกรละหมาดจึงถ่ายทอดมาถึงเราได้ในปัจจุบันผมก็ตอบไปแล้ว   ทีนี้ลองตอบคำถามผมบ้างว่า คุณ ซุนนีย์กับ ซีอะต์เชื่อใน ฮาดีษของกันและกันหรือไม่?  อย่าหลบหน้าหรือเลี่ยงตอบนะครับ เพราะเป็นมรรยาทที่ไม่ดี   ที่ไม่ตอบคำถามผู้สนทนา ถ้าเราถามเขาได้ ก็ต้องมี ความคิดที่จะตอบคนอื่นได้บ้าง     อย่าใช้วิธีเดิมกับผมในเรื่องละหมาด ความรู้ตุณไม่มากพอจะ สนทนากับผมในเรื่องนี้หรอก เพราะคุณ เรียนมาแต่ เรื่องนิทาน ใน  ฮาดีษทั้งนั้น  ซึ่ง เป็นการเชื่อในสิ่งที่เป็น "ขืริก"   เอาเท่านี้ก่อน    แล้วผมจะดำเนินต่อไปว่า "ซุนนีย์ทำอะไรที่เป็น "ชิริกบ้าง" แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 51 12:30:26 จากคุณ : แมทท์ - [ 7 ธ.ค. 51 09:40:05 ]

ความคิดเห็นที่ 9 "ทีนี้ลองตอบคำถามผมบ้างว่า คุณ ซุนนีย์กับ ซีอะต์เชื่อใน ฮาดีษของกันและกันหรือไม่?  อย่าหลบหน้าหรือเลี่ยงตอบนะครับ เพราะเป็นมรรยาทที่ไม่ดี  ที่ไม่ตอบคำถามผู้สนทนา ถ้าเราถามเขาได้ ก็ต้องมี ความคิดที่จะตอบคนอื่นได้บ้าง" แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 51 12:28:22 จากคุณ : แมทท์ - [ 7 ธ.ค. 51 09:46:41 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ผมไม่เคยมองนายแมทท์เป็นอิสลามเลยให้ตายสิ แค่คนศึกษาอิสลามแล้วโจมตีอิสลามก็เท่านั้น จากคุณ : @TipzaakunG@ - [ 7 ธ.ค. 51 12:10:28 ]

ความคิดเห็นที่ 11 TipzaakunG: Read this:  As for those who divide their religion and break up into sects, "thou hast no part in them in the least": their affair is with Allah: He will in the end tell them the truth of all that they did.(Yusufali 6:159) TipzaakunG; Do you have any part in Sunni Muslims?  This is the reason why I have been trying to tell them the truth of all what they did.  Can you not see what I try to do ?   I have done nothing against Islam but  I am trying to do my duty to Allah to help Muslims who have divided their religion and continue to break up into sects, to understand the truth about teaching of Islam.  You may study about เรื่องซุนหนี่ ชีอะห์ from the following: http://www.moradokislam.org/modules.php?name=Topics ทางรอดและทางหลง อิสลามไม่มีนิกาย กำเนิดกลุ่มและพรรคต่างๆ กำเนิดกลุ่มชีอะห์ ชีอะห์อิหม่ามสิบสอง อะห์ลุลบัยต์คือใคร ชีอะห์ด่าประณามอะห์ลุลบัยต์ อัลกุรอานยืนยันบรรดาภรรยาของนบีคืออะห์ลุลบัยต์ ชีอะห์บิดเบือนอัลกุรอานโดยเล่ห์เหลี่ยมทางภาษา ชีอะห์ตามอะห์ลุลบัยต์จริงหรือ ? อะกีดะห์ลวงโลกของชีอะห์อิหม่ามสิบสอง ลัทธิชีอะห์อิหม่ามสิบสองไม่ใช่มัซฮับในอิสลาม ข้อต่างระหว่างอะกีดะห์ของชาวซุนนะห์กับอะกีดะห์ของลัทธิชีอะห์อิหม่ามสิบสอง ชีอะห์เชื่อว่าอิหม่ามคือบุคคลวิเศษ ชีอะห์บิดเบือนความหมายอัลกุรอานซูเราะห์อัลมาอิดะห์ อายะห์ที่ 67 ชีอะห์อ้างมั่วเรื่องหลักฐานตั้งอิหม่าม จากซูเราะห์อัลมาอิดะห์ อายะห์ที่ 55 ชีอะห์ตั้งอิหม่ามด้วยอัลกุรอานปลอมชื่อ ซูเราะห์อัลวิลายะห์ ฮะดีษในมุมของชีอะห์ เหตุเกิดที่ฆ่อดีรคุม ท่านอาลีมีสถานะเช่นเดียวกับนบีฮารูณจริงหรือ ท่านนบีมอบธงให้อาลีในวันคอยบัร ชีอะห์ตัดทอนฮะดีษนำเสนอเพียงบางส่วนเพื่อตบตาชาวโลก ระหว่างซุนนะห์กับอะห์ลุลบัยต์..เหมือนหรือต่างกัน Then ; please tell me ; Do you still think I am  a person who tells lies? จากคุณ : แมทท์ - [ 7 ธ.ค. 51 13:19:55 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เอาล่ะทุกท่าน ครับ เห็นมั๊ยครับ เหมือนที่ผมบอกว่า แต่แมทท์นี่ มั่ว ตลอด ถ้าไม่มั่วก็แถ ไม่แถก็เลี่ยงประเด็น ไม่เลี่ยงประเด็นก็หนีไปเลย เนี่ยมีประมาณนี้ ตอนนี้ ก็เลี่ยงไม่ตอบเรื่องละหมาดอีกเหมือนเดิม โดยอ้างว่าตอบไปแล้ว เรื่องละหมาด แต่ตอบว่าอย่างไร ตอบแบบนี้ครับ ผมกล่าวว่าเราทำกันสืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด ซึ่งเป็นความเข้าใจและเหตุผลของผม คือตามบรรพบุรุษ ถ้าบรรพบุรุษ ละหมาดวันละ 6 เวลา แมทท์ก็คงตามต่อไป เพราะ ไม่ตามนบี แต่ตามบรรพบุรุษ นี่มันต่อเติมหลักศาสนา ชัดๆ[/i][/b] ทั้งๆที่ตัวเองก็บอกเองว่า ศาสดามูฮัมมัด  มีคำสั่งให้มุสลิมใช้เพียงแต่อัลกุรอานเท่านั้นในการ ปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ สรุปว่า ยังไงครับ บอกเองว่า มีคำสั่งให้ใช้แต่กุรอ่าน แต่การละหมาดของแมทท์ ไม่ได้ใช้กุรอ่านเท่านั้น แต่ใช้ บรรพบุรุษ ซึ่งหนักกว่าเดิมอีก การบิดเบือนศาสนาก็มาจากคำอ้างว่าตามบรรพบุรุษนี่แหละครับ เห็นมั๊ยครับ แมทท์ก็หนีประเด็นเหมือนเดิม จากคุณ : Carroth - [ 7 ธ.ค. 51 13:39:17 ]

ความคิดเห็นที่ 13 แมทท์บอกว่า คำสั่งเหล่านี้เป็นคำสั่งที่ มีอยู่ในอัลกุรอานอย่างแท้จริง แต่ หมายถึงการเชื่อฟังคำสอนของท่านศาสดาขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อท่านสิ้นชีวิตไปแล้ว  มุสลิมก็แตกแยกเป็นนิกายอย่างที่เห็นในปัจจุบัน - ผมไม่ทราบว่า แมทท์สรุปมาจากโองการไหนว่า ซูเราะห์ที่ให้ตามรอซู้ลนั้น บอกแค่ให้ตามตอน ท่านมีชีวิต? ไม่ใช่ตอนจากไปแล้ว มาอ่านนี่กันนะครับ (4:59) " ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไปที่สวยยิ่ง " มุสลิมเราทำตามนี้ตลอดคือ เมื่อมีปัญหาและความขัดแย้ง เราก็กลับไปหาอัลลอฮ์และรอซู้ล ลองตอบผมหน่อยซิว่าการขัดแย้งนั้น มีเฉพาะในสมัยศาสดามีชีวิต ถึงจะใช้ได้แค่ตอนท่านยังมีชีวิต เอาง่ายๆ เรื่องละหมาดนี่แหละครับ ถ้ามีบางคนบอกว่าละหมาดมี 6 เวลา บางคนบอก 5 บางคนบอก 4 ขัดแย้งกัน แล้วจะทำอย่างไรก็ ต้องกลับไปหาอัลลอฮ์และรอซู้ลครับ นั่นคือกุรอ่าน ถ้าไม่พบรายละเอียด ก็ไปดูฮะดีษนั่นคือแบบอย่างของท่านรอซู้ลว่า ละหมาดมีกี่เวลา นี่แหละครับ การทำตามกุรอ่าน ไม่ใช่ว่า ละหมาดมีกี่เวลากันแน่ก็กลับไปหาบรรพบุรุษ กุรอ่านมีบอกมั๊ยว่ากลับไปหาบรรพบุรุษ? บอกหน่อยซิ แล้วจะอ้างได้อย่างไรว่า ใช้เฉพาะตอนท่านรอซู้ลมีชีวิต อันนี้แมทท์มั่วเอาเองชัดๆ เพราะถ้าอ่านจากซูเราะห์ที่ผมเอามาจะพบว่า ปัญหาการขัดแย้งไม่ได้มีเฉพาะในสมัยท่านรอซู้ล และถ้าการตามรอซู้ลมีเฉพาะตอนท่านมีชีวิตอยู่ ปัจจุบันถ้ามีปัญหา จะกลับไปหารอซู้ลอย่างไร ในปัญหาจำนวน เวลาละหมาด ถ้าบอกว่าดูในกุรอ่าน ก็บอกมาเลยครับ ว่าตรงไหน นี่แค่ปัญหาเบื้องต้นนะครับ? นี่แหละครับ ความมั่วของแมทท์ และทำไมแมทท์ไม่กล้าคุยเรื่องละหมาด จากคุณ : Carroth - [ 7 ธ.ค. 51 13:51:19 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ส่วนเรื่องฮะดีษของชีอะห์นั้น อ่านนี่เลยครับ ความเชื่อของชีอะฮ์ในเรื่องฮะดีษ               ชีอะฮ์อิหม่ามสิบสองมีความเชื่อในเรื่องฮะดีษที่แตกต่างไปจากมุสลิมทั้งโลก พวกเขามิได้เอารายงานฮะดีษจากตำราฮะดีษของชาวซุนนะห์ ไม่ว่าจะเป็นศอเฮียะห์บุคคอรี,ศอเฮียะห์มุสลิม,สุนันอบีดาวูด,สุนันนะซาอีย์,สุนันอิบนิมาญะห์,มุสนัดิหม่ามอะห์หมัด หรือตำราบันทึกฮะดีษอื่นๆ ที่ชาวซุนะห์ใช้กัน แต่พวกเขาจะเอาตำราฮะดีษของซุนนะห์มาอ้างแล้วก็แปลหรืออธิบายอย่างใส่ไคล้เพื่อสร้างความหวาดระแวงให้กับชาวซุนนะห์เท่านั้นเอง               ที่จริงแล้วชาวชีอะอ์จะมีฮะดีษและสายรายงานฮะดีษของพวกเขาเป็นการเฉพาะ ซึ่งก่อนที่เราจะพูดถึงความเชื่อของชีอะฮืในเรื่องฮะดีษนี้ คงต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ชาวชีอะฮ์มีความเชื่อว่า บรรดาอิหมามของพวกเขานั้น ปราศจากความผิด เป็นผู้ไร้มลทิน (มะอ์ซูม)               ด้วยเหตุนี้คำรายงาน หรือสายรายงานที่อ้างถึงอิหม่ามคนใดของพวกเขาก็ตาม ถือว่าเป็นรายงานงานที่ถูกต้อง และใช้เป็นมาตรฐานทางศาสนา ฉะนั้นสายรายงานฮะดีษของชีอะอ์จะสิ้นสุดที่อิหม่าม โดยเฉพาะอิหม่ามลำดับที่หก ท่านญะฟัร ศอดิก หรืออบู อับดิลลาฮ์ ที่มักจะถูกอ้างถึงอยู่เป็นประจำ ตัวอย่างเช่นคำรายงานต่อไปนี้ “จากญะฟัร อลัยฮิสสลาม ว่า ปรากฏว่าผู้คนได้ตกมุรตัด (สิ้นสภาพการเป็นมุสลิมทั้งหมด) นอกจากสามคนเท่านั้น ฉันจึงได้ถามว่า สามคนนั้นคือใคร เขาตอบว่า คือมิกด๊าด บินอัสวัด, อบูซัรริน อัลฆิฟารีย์ และซัลมาน อัลฟารีซีย์” จากฟุรูอุลกาฟีย์ โดยกุลัยนีย์ หน้าที่ 115               ด้วยเหตุที่ชาวชีอะฮ์เชื่อว่า บรรดาศอฮาบะห์ตกมุรตัดทั้งหมด ยกเว้นเพียง 3 คนเท่านั้น ดังนั้นการรายงานของคนมุรตัด (ตามที่ชีอะฮ์เข้าใจ) จึงไม่ได้อยู่ในมาตรฐานที่จะยอมรับได้ (แต่ก็ใช่ว่ากลุ่มชีอะฮือิหม่ามสิบสองจะยอมรับการรายงานจากศอฮาบะห์ทั้งสามท่านที่พวกเขากกล่าวว่ายังคงเป็นมุสลิมอยู่ พวกเขาก็ไม่ยอมรับเช่นเดียวกัน)               ฉะนั้นชาวชีอะอ์จึงรับเฉพาะสายรายงานที่อ้างว่าสืบถึงอะห์ลุ้ลบัยต์ แต่เมื่อเราดูรายละเอียดตามที่อ้างกลับพบว่า ทั้งผู้รายงาน และผู้บันทึกฮะดีษต่างก็ไม่ใช่อะห์ลุลบัยต์ด้วยกันทั้งสิ้น เช่นผู้รายงานชื่อกระฉ่อนในสายรายงานฮะดีษของชีอะฮ์ที่ชื่อ “ซุรอเราะห์” หรือซุรอเราะห์ อิบนุอะอ์ยัน ชาวกูฟะห์ ซึ่งเป็นจอมโกหกตัวยง เขามักจะอ้างถึง อบีญะอ์ฟัร หรือท่านอิหม่ามบากิร ในคำรายงานของเขาเสมอว่า “ถูกรายงานมาจากอบียะอ์ฟัร” ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยพบกับอบียะอ์ฟัรเลย (ดูมีซานุลเอียะอ์ติดาล เล่มที่ 2 หน้าที่ 70)               หรือผู้บันทึกฮะดีษนามระบือของชีอะฮ์ เจ้าของตำราฮะดีษชื่อ “อัลกาฟีย์” นามว่า มูฮัมหมัด ยะอ์กู๊บอัลกุลัยนี่ย์ ผู้บันทึกความจริงปนเท็จ ในขณะที่ตัวของเขาเองก็ไม่ใช่อะฮ์ลุ้ลบัยต์               ฉะนั้นเราจึงได้เห็นความเลอะเทอะจากตำราฮะดีษของชีอะอ์ ซึ่งชาวชีอะฮ์เองก็ยอมรับว่าในตำราฮะดีษของเขานั้นมีทั้งถูกและผิด เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้เกิดการสงสัยในคำพูดที่ลัทธิชีอะฮ์มักจะอ้างกันเสมอว่า แนวทางของพวกเขาเป็นแนวทางที่ใสสะอาดบริสุทธิ์จากอะฮ์ลุ้ลบัยต์ แต่ปรากฏว่า อะฮ์ลุ้ลบัยต์ของพวกเขามัวหมองด้วยการแอบอ้างของผู้อื่น แล้วอย่างนี้จะกล่าวได้อย่างไรว่า ชีอะฮ์อิหม่ามสิบสองเป็นแนวทางบริสุทธิ์จากลูกหลานของท่านนบี               นอกจากนั้นแล้ว เรายังไม่เคยพบตำราตรวจสอบฮะดีษของลัทธิชีอะฮ์อิหม่ามสิบสองเลย ไม่ว่าจะเป็นตำราตวรจสอบสายรายงาน,ผู้รายงาน,คำรายงาน หรือกระบวนการตรวจสอบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงรับเอาข้อมูลในตำราของพวกเขาทั้งจริงปนเท็จ และเท็จปนจริงเช่นนี้อยู่ร่ำไป               และนี่คือความแตกต่างระหว่างซุนนะห์กับชีอะอ์ในการยึดหลักฐานและมาตรฐานทางทางศาสนาอีกประการหนึ่ง เราจะพบว่า ฮะดีษของเหล่าชาวชีอะห์นั้น มีที่มาต่างกับ ซุนหนี่ และไม่ได้รับการตรวจสอบด้วย ดังนั้น มันจึงเป็นคนละเรื่องครับ ในขณะที่ ฮะดีษของซุนหนี่ หรือซุนนะห์ได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ดังนั้น ผมไม่เคยที่จะเลี่ยงครับผมตอบตรงๆ เสมอ ผมไม่ใช่แมทท์ ที่ดีแต่เลี่ยงประเด็นนะครับ ดังนั้น การแตกออกไปเป็นชีอะห์จึงไม่ใช่เป็นเพราะการ ใช้ฮะดีษครับ แต่เป็นการกุฮะดีษขึ้น และอ้างจากคนอื่น โดยปราศจากสายรายงานที่น่าเชื่อถือ ซึ่ง กรณี นี้ก็เหมือนกับแมทท์ ที่อ้างว่า ละหมาดตามบรรพบุรุษที่ทำต่อกันมาจากท่านศาสดาอย่างเคร่งครัด ซึ่งไม่ได้มีความน่าเชื่อถืออะไรเลยทั้งสิ้น ไม่มีการตรวจสอบ ว่าบรรพบุรุษของแมทท์ ต่อเติมศาสนาเอาเองหรือเปล่า เป็นใครมากจากไหน สืบไปได้ถึงยุคท่านศาสดาหรือเปล่า ก็ไม่ปรากฎ นี่จึงเป็นฮะดีษที่กุขึ้นเช่นเดียวกัน จึงสรุปได้ว่า การแตก กลุ่มออกไปนั้นไม่ใช่เกิดจาก ฮะดีษครับ แต่เกิดจากการไม่เอาฮะดีษที่น่าเชื่อถือ และได้รับการตรวจสอบแล้วต่างหาก  พูดง่ายๆ คือการแตกแยกแตกต่างเกิดจากการไม่เอาฮะดีษครับ จากคุณ : Carroth - [ 7 ธ.ค. 51 14:04:00 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เอาล่ะ ถ้ามันยาวเกินจะอ่าน ผมจะสรุปให้นะครับว่า ที่มุสลิมซุนนะห์ไม่ทำเหมือนกับชีอะห์ ไม่ใช่เพราะเอาฮะดีษครับ แต่เพราะ มีการกุฮะดีษขึ้นโดยปราศจากการตรวจสอบต่างหากล่ะครับ อ่านรายละเอียดจากด้านบนได้ เหมือนกับที่ แมทท์อ้างบรรพบุรุษนั่นแหละครับ นั่นมันก็เป็น การกุฮะดีษขึ้นนั่นเอง ตรวจสอบไม่ได้ หาที่มาที่ไปไม่เจอ มันก็เลยมั่วนั่นเอง เช่นเดียวกันเลยครับ จากคุณ : Carroth - [ 7 ธ.ค. 51 14:05:51 ]

ความคิดเห็นที่ 16 สุดท้ายแมทท์ ก็พูดจาอย่างน่าละอายว่า ผมความรู้ไม่พอจะคุยเรื่องละหมาดกับเขา แต่แมทท์ไม่เคยที่จะตอบคำถามง่ายๆ แค่เวลาละหมาดในกุรอ่านได้เลยว่า ตรงไหนของกุรอ่าน บอกว่าละหมาด มี 5 เวลา? สุดท้ายก็อ้างได้คำเดียวว่าทำตามบรรพบุรุษ ที่ไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีการตรวจสอบ ไร้สายรายงาน โกหกตรงไหนบิดเบือนตรงไหนก็ไม่รู้ คำว่าผมความรู้ไม่พอ มันก็แค่ คำอ้างเพื่อเลี่ยงจะคุยเรื่องละหมาดกับผมเท่านั้นนั่นแหละครับ คนอย่างแมทท์ คนประเภทแมทท์ คนลัทธิแมทท์ มันทำได้เท่านี้แหละครับทุกท่านพึงทราบไว้เถิด จากคุณ : Carroth - [ 7 ธ.ค. 51 14:09:11 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ไม่ต้องไปไกลถึงการใส่ร้าย ซุนหนี่ว่า ชีริกครับ แมทท์เองได้แสดงตัวตนว่าปฏิเสธกุรอ่านมาเป็นปีๆ ด้วยการสงสัยว่า มีการสอดแทรกปลอมแปลงกุรอ่านด้วยนะครับ นี่คือแมทท์ครับ ขนาดกุรอ่านที่อ้างว่ายึดนักยึดหนา ก็ยังว่ามีการสอดแทรกปลอมแปลง แล้วจะเอาอะไรกับคนอย่างแมทท์ ทั้งที่ อัลลอฮ์ ตรัสไว้ในกุรอ่านว่า “แท้จริง เราได้ส่งข้อตักเตือน(คัมภีร์กุรอานลงมา) และเราจะเป็นผู้รักษามันอย่างแน่นอน” (กุรอาน 15:9) แมทท์ปฏิเสธกุรอ่าน ทั้งยังว่ากุรอ่านมีการสอดแทรกปลอมแปลงอีก คนแบบนี้ มีอะไรน่าเชื่อถือ ถ้าจะขอหลักฐานผมพร้อมจะให้นะครับ เพราะผม เซฟไว้แล้ว จากคุณ : Carroth - [ 7 ธ.ค. 51 14:30:46 ]

ความคิดเห็นที่ 18 Wake up: I do not claim that I am a Sunni Muslim. I am a Muslim that why we are different. The Prophet Muhammad neither Sunni nor Shiite. Do you all understand?  "Neither Sunni nor Shiite is willing to admit that their sect is wrong and the other is right." จากคุณ : แมทท์ - [ 7 ธ.ค. 51 15:00:00 ]

ความคิดเห็นที่ 19 The following is the center of our discussion:   Please  keep our discussion within the subject: "ขอรบกวนคนที่นับถือศาสนาอิสลามหน่อยครับ เกี่ยวกับเรื่องนิกาย ผมได้รับโจทย์การบ้านมาครับ เกี่ยวกับเรื่องของ นิกาย สุหนี่ และ ชีอะห์ (ถ้าสะกดผิดขออภัยด้วยครับ) ว่า ทั้งสองนิกาย มีความเหมือน ความแตกต่าง ทางความเชื่อ และแนวคิดอย่างไรบ้าง และมูลเหตุของความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง เนื่องมาจากความแตกต่างทางนิกาย มีอย่างไรบ้าง" We are talking about this verse (6:159) As for those who divide their religion and break up into sects, "thou hast no part in them in the least": their affair is with Allah: He will in the end tell them the truth of all that they did.(Yusufali 6:159) ประโยคที่ว่า.. "thou hast no part in them in the least" "เจ้าไม่มีส่วนในบรรดาพวกเขา(พวกที่แบ่งนิกาย)แม้แต่น้อย" ...................... Please  refrain from ill manners. Thanks. จากคุณ : แมทท์ - [ 7 ธ.ค. 51 16:35:07 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอเสนอภาษาไทยวันนี้ นิกาย น. หมู่, พวก, หมวด, ใช้เกี่ยวกับศาสนา ในกรณีเช่นคณะนักบวช        ในศาสนาเดียวกันที่แยกออกไปเป็นพวก ๆ เช่น มหานิกาย        ธรรมยุติกนิกาย นิกายโรมันคาทอลิก นิกายโปรเตสแตนต์; หมู่            น. กลุ่ม ชนิดเดียวกัน "ชีอะฮฺ" เป็นคำภาษาอาหรับ แปลว่า พรรค พวก กลุ่ม ฝ่าย ซุนนะห์ ชื่อเต็มๆ ว่า อะหฺลุซซุนนะฮฺ วัล ญะมาอะฮฺ แปลได้ดังนี้นะครับคือ ความหมาย" คำว่า อะหฺลุน แปลว่า ครอบครัว กลุ่ม ฝ่าย ชาว คำว่า ซุนนะฮฺ แปลว่า แนวทางของท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม คำว่า อัล ญะมาอะฮฺ แปลว่า พรรคพวก จากคุณ : EndEarth - [ 7 ธ.ค. 51 19:59:52 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ผมเพิ่งกลับจากที่ทำงาน  ขอตอบ  ความคิดเห็นที่ 16   ของคุณ Carroth  ในเรื่องละหมาด เพียงแค่ความเห็นของผมข้อนี้ เท่านั้น และจะไม่มีการออกนอกเรื่องไปในเรื่องละหมาดอีก จาก ความเห็นของคุณที่ว่า..... ................... "สุดท้ายแมทท์ ก็พูดจาอย่างน่าละอายว่า ผมความรู้ไม่พอจะคุยเรื่องละหมาดกับเขา  แต่แมทท์ไม่เคยที่จะตอบคำถามง่ายๆ แค่เวลาละหมาดในกุรอ่านได้เลยว่า ตรงไหนของกุรอ่าน บอกว่าละหมาด มี 5 เวลา? สุดท้ายก็อ้างได้คำเดียวว่าทำตามบรรพบุรุษ ที่ไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีการตรวจสอบ ไร้สายรายงาน โกหกตรงไหนบิดเบือนตรงไหนก็ไม่รู้  คำว่าผมความรู้ไม่พอ มันก็แค่ คำอ้างเพื่อเลี่ยงจะคุยเรื่องละหมาดกับผมเท่านั้นนั่นแหละครับ คนอย่างแมทท์ คนประเภทแมทท์ คนลัทธิแมทท์ มันทำได้เท่านี้แหละครับทุกท่านพึงทราบไว้เถิด จากคุณ : Carroth" ..........     ผมขออธิบายสั้นๆและง่ายๆดังนี้ครับ....และจะไม่อธิบายอีกแล้ว... เพียงแต่ต้องการให้คุณทราบว่า  “อัลกุรอานกล่าวถึงการละหมาดไว้ว่าอย่างไร ? พระองค์ทรง อ้างเวลาละหมาด ในกิจการ และ ในการประกอบการสอนจรรยาธรรมในครอบครัวว่าอย่างไร? เท่านั้นเอง   การละหมาด ในเวลาต่างๆ ประจำวัน ๆละ 5  เวลา พระเจ้าได้มีไว้ในบัญญัติต่างๆดังต่อไปนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า การละหมาดได้กระทำกันมาก่อนท่านรอซูล ในเวลาต่างๆกัน  เมื่อเรานำมาจัดอันดับดูจะเห็นว่าตรง กับ การละหมาด วันละ 5 เวลา ที่มุสลิมทำกันอยู่เป็นประจำ  ตลอดเวลาก่อนหน้าที่อัลกุรอานจะสมบูรณ์ เสียอีก  ดังจะเห็นได้จาก  การละหมาดในตอนเช้ามืด  อัลกุรอาน  กล่าวไว้ในอายะที่  11:114 ว่า  จงทำละหมาดเอย่างสม่ำเสมอ ในเวลาเริ่มต้นของวันและ ในเวลาสิ้นสุดของวัน(เมื่อพระอาทิตย์เริ่มตกจนสิ้นแสง นั้นก็คือการละหมาด ตอนเช้าคือ การละหมาด ฟัจรฺ 2 รักอะห์  ก่อนการละหมาด ซุบฮฺ(อีก 2 รักอะห์) ในตอนเช้ามืด กอ่นเวลาตะวันทอแสง  และอีกเวลาหนึ่ง ก่อนตะวันจะตกดินและสิ้นแสง นั้นคือการละหมาด มักริบ, ในอายะ 17:78  พระองค์ได้บัญญัติว่า จงละหมาดอย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่ดวงอาทิตยืเริ่มคล้อย ( นั้นคือการละหมาด ดุฮฺรฺ)  ทั้งนี้ ก็เพราะว่า ในอายะ  2:238  บัญญัติไว้ว่าจง ปฏิบัติการละหมาดระหว่างกลาง  โดยใช้คำว่า “อัลวัสตอ” ถึงหมายถึง การละหมาด “อัศรฺ”  ระหว่าง การละหมาด ดุฮฺรฺ กับ การละหมาด มักริบ, และใน 24:58 กล่าวถึง การละหมาด เวลากลางคืน คือ การละหมาด อีชาว่า “ ....และหลังจากการละหมาดในเวลากลางคืน (หลังจาก มักริบจนถึง ซุบฮฺ) เราจะเห็นได้ว่าถ้าการทำละหมาดวันละ 5 เวลาไม่มีมาก่อนหน้า ท่านรอซูล หรือระหว่างที่ท่านรอซูลรับวะฮีย์แล้ว พระเจ้าจะไม่มีการบัญญัติกำชับหรือคำสั่งให้มุสลิมเข้มงวด ในการทำละหมาด  ทั้งนั้พระองค์จะไม่สั่งให้มนุษย์กระทำศาสนกิจที่มนุษย์ไม่เคยกระทำ หรือ เห็นแบบฉบับมาก่อน  เป็นการที่เข้าใจได้ง่ายๆโดยใช้สามัญสำนึก   ................ กระทู้นี้เกี่ยวกับ นิกายต่างๆในศาสนาอิสลาม ผมจึงไม่ต้องการออกนอกทางของหัวข้อกระทู้ ผมหวังว่าคุณคงเข้าใจ จากคุณ : แมทท์ - [ 7 ธ.ค. 51 21:45:44 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ดีเลยครับ เรามาดูกันนะครับถึงความมั่วของแมทท์ ซึ่งแมทท์จะอ้างเสมอ ว่ามันไม่เกี่ยวกับกระทู้และจะไม่อธิบายอีกแล้ว เพื่ออะไร ก็เพื่อที่จะไม่ต้องโดนไล่เบี้ย และโดนจับผิดไงล่ะครับ และเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาตอบอีก(เนื่องจากตอบไม่ได้)จึงหาข้ออ้างในการเลี่ยงการตอบคำถามนี้ ทั้งๆที่ สามารถตอบควบคู่ไปกับการ ตอบเรื่องนิกายในอิสลามได้ นี่คือเรื่อง เวลาละหมาดนะครับ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เรียน จานแมทท์ ขอบคุณครับที่ พยายาม ตอบเรื่องการละหมาด แต่ก็ยังอุตส่าห์พ่วงปัญหาอื่นมาล่อให้เขวได้อยู่เรื่อยเหมือนกัน ก็เอาละครับ ผมจะพยายามไม่หลุดออกไปนอกกรอบ คือเรื่องละหมาด กับ 7-8 ข้อที่ผมค้างไว้(กับพี่น้องมุสลิมของผม อาจานไม่เกี่ยว) มาว่าตามประเด็นก่อนนะครับ ในเรื่องการละหมาดที่จานตอบมาเกี่ยวกับการกำหนดเวลาละหมาด ก่อนอื่นขอย้อนถึงที่ผมทิ้งท้ายไว้คราวก่อนว่า การละหมาดที่สืบทอดกันมานั้น มิได้ด้วนอยู่แค่ที่นบีอิบรอฮีม แต่มีมาตั้งแต่ยุคก่อนหน้านั้นสืบย้อนไปถึงนบีอาดัมเลย ..... เรื่องนี้ จานไม่ได้กล่าวถึงอีก ดังนั้นผมขอสรุปว่า ในประเด็นนี้ จานยอมรับว่าสิ่งที่จานเสนอมานั้นผิด และของผมถูก .... เช่นนี้ถูกต้องมั้ยครับ ... ถ้าไม่ตอบอีก ถือว่า ถูกต้องนะครับจะได้จบไปเป็นเรื่องๆ ต่อไปก็คือ .... “การกำหนดเวลา ใน อัลกุรอาน เป็นการกล่าวถึง เวลา ละหมาด จากการปฏิบัติที่ กระ ทำ อยู่ เป็น ประจำวัน, ช่วงเวลา ในเวลาละหมาด ถือว่าเป็นที่ เข้าใจกัน เนื่อง จาก มุสลิม จะต้อง ทราบเวลาในการละหมาดอยู่แล้ว, รวมทั้งท่านรอซูลด้วย, ทั้งนี้เพราะเหตุว่าเป็นหน้า ที่ ของ มุส ลิม ที่จะ ต้อง กระทำ ตั้งแต่ สมัยก่อน “ท่านรอ ซูล มูฮัมมัด”, ซึ่งมีการละหมาดวันละ 5 เวลา อยู่ แล้ว” (matt : พ. มีค. 30, 2005 9:31 am) ก็ได้ครับ.... สมมุติว่ายุคนบีเขารู้กันอยู่แล้วว่า ต้องละหมาด 5 เวลา เพราะท่านนบีอยู่กับพวกเขาด้วย ท่านย่อมต้องยืนยันได้ว่าที่เศาะหาบะฮฺปฎิบัติกันอยู่นั้นถูกต้อง คำถามคือ เมื่อท่านนบีเสียชีวิต บรรดาเศาะหาบะฮฺคนที่เคยเจอกับท่านนบีตายกันไปหมด หลังจากนั้นจะเอาอะไรมายืนยันครับว่า 5 เวลาถุกต้อง เพราะตามศาสนา Mattism ของจานน่ะ รับฟังคำบอกเล่าจากใครหน้าไหนไม่ได้เลยนอกจากอัลกุรอาน ปู่บอกพ่อมา พ่อมาบอกผมก็ยังเชื่อไม่ได้เพราะนั่นคือ “หะดีษ” ที่ห้ามยึดถือ เพราะฉะนั้นที่เศาะหาบะฮฺบอกต่อแก่ชนรุ่นต่อๆมาก็เชื่อไม่ได้อีกเช่นกันนอกจากจะต้องมีระบุเป็นลายลักษณ์อักษรในอัลกุรอานเท่านั้น ซึ่งจะว่าไปแล้วแม้แต่ที่ท่านนบีจะยืนยันอย่างไรกับเศาะหาบะฮฺก็ยังเชื่อไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะนบีไม่ใช่อัลลอฮฺ อาจจะเป็นการบอกเล่าตามอารมณ์ของท่านนบีก็ได้(อัสตัฆฟิรุลลอฮฺ – ขออัลลอฮฺทรงอภัยที่จำเป็นต้องอ้างด้วยถ้อยคำนี้) ตรงนี้ละครับที่เป็นที่มาของคำถามเดิมๆของผมว่า จะทราบได้อย่างไรว่าต้องละหมาด 5 เวลา เพราะตามที่จานเสนอมาว่าละหมาดนั้น ละหมาดนี้ถูกระบุอยู่ในอัลกุรอานครบ 5 เวลานั้น มันตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่า มี 5 เวลา แล้วก็ไปหาเอาดิ ว่า 5 เวลานั้นอยู่ตรงไหนมั่ง มันก็ต้องเจอตามที่จานว่ามานั่นแหละ แต่ถ้าไม่รู้มาก่อน อย่างผมเนี่ย ไม่ค่อยประสีประสาอะไร อยู่ๆเอากุรอานมาให้นั่งอ่านเอาเอง ไม่ต้องไปถามไปไถ่ใคร อ่านเอาเอง เข้าใจเอาเอง จะรู้มั้ยว่าต้องละหมาดกี่เวลา เพราะถ้าจะให้หาจากอัลกุรอานโดยไม่มีอะไรบอกให้รู้มาก่อน จะพบว่า มีหลายๆอายะฮฺที่กล่าวถึงช่วงเวลาต่างๆที่มันสอดคล้องกับช่วงเวลาของการละหมาด เช่น วัลฟัจญร์ - ขอสาบานด้วยยามรุ่งอรุณ" วัลอัศร์ - - ขอสาบานด้วยเวลาเย็น" วัลลัยล์ - ขอสาบานด้วยยามค่ำคืน" อันนี้ก็ตรงกับ 3 ใน 5 เวลาละหมาด ที่จานอ้างมาแล้วใช่มั้ยครับ พอมาเจอสำนวนเดียวกันว่า วัฎฎุหา - - ขอสาบานด้วยยามสาย" ก็น่าจะเข้าใจได้ว่าเป็นอีกช่วงเวลาที่จะต้องละหมาดได้เหมือนกัน กลายเป็น 6 แล้วสิ ??? มาตามล่าหาความจริงกันต่อไปนะครับ อัลลอฮฺบอกว่า และจงสดุดีด้วยการสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าก่อนการขึ้นของดวงอาทิตย์ และก่อนมันตก (50:39) ให้สดุดีสรรเสริญก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น .... มันตรงกับละหมาดศุบห์นี่นา แล้วสดุดีสรรเสริญก่อนดวงอาทิตย์ตก .... ก็ตรงกับละหมาดอัศร์ โดยอัลกุรอานใช้คำว่า งั้นเราก็จะได้เบาะแสว่า ตัสเบียะห์ หมายถึง ละหมาดเหมือนกัน...แล้วมาดู และจงรำลึกถึงพระเจ้าของเจ้ามาก ๆ และจงกล่าวสดุดีในความบริสุทธิ์ของพระองค์ ทั้งในเวลาอะชีย์และเวลาอิบการ์ (3:41) และจงแซ่ซ้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้าทั้งในเวลาอะชีย์และเวลาอิบการ์ (40:55) เอาละสิ ... ได้เพิ่มมาอีก 2 เวลา "อะชีย์" กับ "อิบการ์" อะชีย์ ก็ เย็นๆ แต่มัน เย็นเดียวกับอัศริรึป่าว ถ้าเป็นคนละเย็นแล้วมันก่อนหรือหลังอัศริ จะเบียดจะแบ่งช่วงกันยังไง..ต้องไปถามอุละมาอ์..เอ๊ย ไม่ใช่..เพราะอุละมาอ์เชื่อถือไม่ได้สักคน งั้นโน่นเลย ไปถามนบีอิบรอฮีม..ชัวร์สุดๆ อิบการ์ ก็เหมือนกัน ตอนเช้าๆ จะแบ่งช่วงเวลากันยังไงกับศุบห์และฎุหาถ้ามันคือคนละล็อกเวลากัน แล้วถ้าทั้งสองคำนี้เป็นช่วงเดียวกับสองในห้าเวลาละหมาด คือ อัศร์และ ศุบห์ ก็น่าจะใช้คำเดียวกันที่มันสื่อให้เข้าใจง่ายๆ เพราะกุรอานนี้ต้องง่ายแก่การเข้าใจ.... ดังนั้นน่าจะสรุปได้ว่า นี่เป็นอีกสองเวลาต่างหากจากที่อ้างข้างต้น ถึงตรงนี้เราก็ได้ 8 เวลาละหมาดแล้วนะ มาตามกันต่อไปครับ .... และจงแซ่ซร้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้า ก่อนตะวันขึ้นและก่อนตะวันลับลงไป และส่วนหนึ่งจากเวลากลางคืน ก็จงแซ่ซร้องสดุดีและปลายช่วงของเวลากลางวัน เพื่อเจ้าจะได้พออกพอใจ (20:130) ก่อนอาทิตย์ขึ้น ก่อนอาทิตย์ตก ... ok นั่นอยู่ในเวลาที่อ้างแล้วข้างต้น ท่อนต่อจากนั้นล่ะ... ส่วนหนึ่งจากกลางคืน ... คงจะเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่แบ่งกันกับอิชาอ์ ปลายช่วงของกลางวัน ... ยังนึกไม่ออกนะครับว่าจะแบ่งกับเวลาไหน แต่ก็คงเป็นอีกหนึ่งเวลาละหมาดเหมือนกัน เป็นอันว่าเราได้เพิ่มมาอีก 2 เวลา เป็น 10 เวลาละหมาดแล้ว และส่วนหนึ่งของกลางคืน ก็จงแซ่ซ้องสดุดีพระองค์ และเมื่อยามคล้อยลับของหมู่ดวงดาว (52:49) ส่วนหนึ่งจากกลางคืน กับ เมื่อดวงดาวคล้อยลับ ตามสำนวนในอายะฮฺนี้แสดงว่ามันเป็นคนละช่วงเวลาแบ่งแยกออกจากกัน ถ้าขี้เกียจนักก็เอา ส่วนหนึ่งจากกลางคืนตรงนี้ไปโปะรวมกับช่วงใดช่วงหนึ่งที่แจกแจงมาแล้วข้างต้นก็ได้เพราะเราไม่รู้นี่ว่าใช่หรือไม่ใช่ นบีก็ไม่อยู่แล้ว หรือถ้าขยันหน่อยจะแยกเป็นอีกช่วงหนึ่งเราก็ได้เพิ่มมาอีก 2 เวลา รวมเป็น วันละโหลพอดี! ดังนั้นถ้าไม่รู้มาก่อนว่าละหมาดมีอยู่ 5 เวลา แล้วเราใช้ขี้เลื่อยในกระโหลกหนาๆที่ติดหัวมาตอนเกิดคิดเดาเอาเองอย่างนี้ จะถูกมั้ยครับ โปรดเข้าใจนะครับ นี่ผมว่าไปตามตรรกะที่ศาสนา Mattism "เสี้ยมสอน" ไว้เป๊ะเลยนะครับ .... คือ การใช้ความคิดเห็นตีความบัญญัติศาสนา...โดยไม่ต้องอิงหะดีษ จะถูก-จะผิด ยังไง ช่างมัน! ต้องคิดเอง .... เออ เอง เท่านั้น ดังนั้นโปรดชี้แนะให้ชัดเจนด้วยครับว่า “5 เวลา” มาจากไหนแน่? โดยท่าน AlGhuraba --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ถ้าจะเอากุรอ่าน มาตีความโดยไม่รู้เรื่องมาก่อนเลยว่า ละหมาดมี 5 เวลา ล่ะก็ จะได้ การละหมาดเป็นสิบเวลาครับ และอย่ามาอ้างว่าทำตามประเพณี นั่นเพราะถ้าทำตามประเพณีเท่ากับนั่นเป็นการตามฮะดีษรูปแบบนึงครับ เพราะอยู่นอกไปจากกุรอ่านสุดท้าย ถึงจะอ้างประเพณี ก็เท่ากับว่า แมทท์ไม่สามารถละหมาดโดยอาศัยกุรอ่านอย่างเดียวได้อยู่ดี  การบอกว่าอาศัยแค่กุรอ่านแต่ไม่เอาฮะดีษ(แบบอย่างนบี) ก็ละหมาดได้นั้น เป็นเรื่องโกหก ทั้งเพครับ สรุปได้ว่า ใครก็ตามที่ไม่เอาฮะดีษ(ไม่เอานบี) คนนั้น นับเป็นมุสลิมไม่ได้ครับ จากคุณ : Carroth - [ 7 ธ.ค. 51 21:58:28 ]

ความคิดเห็นที่ 23 จากความคิดเห็นที่ 11 และที่18 ของผมแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุดครับว่า  ศาสนาอิสลามถูกแบ่งออกเป้นสองนิกายใหญ่ๆ อย่างไม่มีการ อธิบายหลีกเลี่ยงได้เลย ไม่ว่า จะ ใช้คำจำกัดความใดๆทั้งนั้น เพราะ  ถ้าคุณ ศึกษาจากความเห็นที่ 11 ของผม คุณจำเป็นต้องเข้าไปศึกษาเสียก่อนว่า การ สอน "ของมุสลิมซุนนีย์" http://www.moradokislam.org/modules.php?name=Topics สอนเกี่ยวกับมุสลิม ชีอะต์อย่างไร? ผมศึกษาในเวบนั้นอยู่หลายปี  และเข้าใจได้ดีว่า จากการสอน ของเวบดังกล่าว ได้สอนอย่างตรงๆว่า "มุสลิมชีอะต์ไม่ใช่มุสลิมแต่เป็น กาเฟร"   ซึ่งมีหลักฐานการอธิบายอย่างละเอียด   ซึ่งผมอ่านแล้วเศร้าใจมาก ที่มุสลิม ด้วยกัน ถือสิทธิของพระเจ้านำมาตัดสินผู้ที่ศรัทธาพระเจ้าองค์เดียวกัน  แต่เนื่องจาก ความเห็นแก่ตัว ของทั้งสองฝ่าย  เลยยอมทำลายศาสนา ขัดคำสั่งของพระเจ้า  แบ่งศาสนา อิสลาม ออกเป็น นิกาย  ไม่ว่าคุณจะหาศัพท์อะไรมาหลืกเลี่งก็ตาม  ในภาต่างๆ รวมทั้ง อรับ ก็เรียกว่านิกาย     ถ้าคุณถืออิสลามและตามท่านรอซูลแล้วคุณต้องยอมรับความจริงและยอมรับมุสลิมชีอะต์ว่าเป็นมุสลิมร่วมกัน ไม่มี คำว่าซุนนีย์หรือ ชีอะต์  จะต้อง ใช้ "ชะหะดะห์เหมือนกัน    การเล่นศัพท์แสงหลีกเลี่ยง เล่นลิ้น ไม่ได้หนีความเป็นจริงไปได้ ว่า "มุสลิมซุนนีย์ยังมีความอาฆาตชาวชีอะต์ซึ่งเป็นเรื่องราวการแย่งอำนาจกัน และยังไม่ยอมรับรองกันตามคำสอนของ พระเจ้า      คุณต้องทำความสะอาดตัวเองและจิตตใจของคุณในเรื่องการแบ่งนิกายเสียก่อนที่จะว่า บุคคลที่เขาไม่ยอมร่วมทำลายหลักการของอิสลามกับคุณ ผมหมดความคิดเห็นเพียงเท่านี้ เพราะ  อยากให้คุรใช้ความคืดความเข้าใจ เกี่ยวกับอิสลามเสียก่อนที่จะ เที่ยวไล่ ด่า ผู้คนที่เขาไม่เห็นด้วยกับลัทธินิกายของคุณ แต่ผมยอมรับว่า  เราเป็นมุสลิมด้วยกัน แต่คุณไม่จำเป็นต้องยอมรับผมเพราะแนวทางในการเข้าใจ ศาสนาอิสลามของเราต่างกัน  ถ้าคุณอ่านรายละเอียด ในการสอนของเวบนี้แล้ว  และคุณเห็นด้วยกับความคิดเช่นนั้น  เกี่ยวกับ พี่น้องมุสลิมด้วยกัน แล้วผมเศร้าใจแทน และผมอยากให้  จขกท  หรือ ผุ้ที่มีศรัทธาอื่นๆ นอกเหนือจากมุสลิม เข้าไปศึกษาดู   เข้าไปศึกษา ในเวบ นั้น แล้วคุณจะเข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังอธิบายอยู่ ลองเข้าไปอ่าดูตาม หัวข้อต่าง ใน ความเห็นที่ 11 ของผมจากเวบ ข้างล่างนี้ http://www.moradokislam.org/modules.php?name=Topics จากคุณ : แมทท์ - [ 7 ธ.ค. 51 22:13:58 ]

ความคิดเห็นที่ 24 นี่เป็นวิธีการเลี่ยงประเด็นของแมทท์ที่จะไม่ตอบ เพราะอย่างที่ผมบอก คนอย่างแมทท์ มีแค่นี้แหละครับ เลี่ยง แถ หนีประเด็น และหายตัวไป ครั้งนี้ก็เช่นกัน ทั้งๆที่สามารถตอบได้ ถ้าจะตอบ แต่ 5 ปี มาแล้ว ไม่เคยมีกระทู้ไหนที่จะตอบเป็นจริงเป็นจังซักที และทำไมผมถึงถามเรื่องละหมาด ก็เพื่อ ประกาศ และได้แสดงให้ทุกท่านได้เห็นว่า การเกิดนิกาย หรือการแตกแยก หรือบิดเบือนอิสลามมันเกิดจากอะไร มันก็เกิดจากการที่คนเราไม่เอาฮะดีษนั่นแหละครับ ดูจากแมทท์เป็นตัวอย่าง คนแบบแมทท์บอกว่า ตามบรรพบุรุษในการละหมาด อาศัยบรรพบุรุษ แต่ อีกกระทู้กลับบอกว่าใช้กุรอ่านเท่านั้น นี่เป็นความตลบแตลงของแมทท์อย่างหนึ่ง และผลจากการ ทำตามบรรพบุรุษ ไม่ตามฮะดีษเป็นอย่างไร ก็คือการที่อิสลาม ได้มีการทำบิดอะห์ หรือต่อเติมศาสนานั่นแหละครับ เช่นบางที ได้ทำการสักการะกุโบร์(หลุมศพผู้ตาย) เหล่านี้ก็เกิดจากการทำตามบรรพบุรุษ ไม่เอาฮะดีษเช่นกัน ดังนั้น ถ้า มีคนบอกว่า ละหมาด 6 เวลา คนอย่างแมทท์จะจนปัญญา บอกไม่ได้ทันที่ว่า จริงๆแล้ว อิสลามสอนให้ละหมาด 5 หรือ 6 เวลากันแน่ เพราะตัวเองก็ทำตามบรรพบุรุษ ซึ่งจะโกหก หรือต่อเติมศาสนาหรือลดทอนศาสนาไปมากน้อยแค่ไหนก็ไม่รู้ แต่มุสลิมที่เอาฮะดีษ จะบอกได้ทันที่ว่า มี 5 เวลา จากฮะดีษของท่านนบีนะครับ และจากที่ผมตอบไปด้านบนเราจะพบว่า การอ้าง ข้อควาในกุรอ่านบอกเวลาละหมาด แมทท์มั่วเต็มๆครับ การจะตีความเวลาละหมาดนั้น สามารถมีได้ ถึง 10 เวลาถ้าไม่อาศัยฮะดีษ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไม แมทท์ ถึงพยายามบอกว่า ไม่เกี่ยวกับประเด็นและจะไม่ตอบอีก ไม่ใช่เพราะแมทท์กลัวประเด็นเปลี่ยน แต่เพราะแมทท์ตอบไม่ได้นั่นเองครับ เป็นแบบนี้ มาหลายปีแล้ว จากที่กล่าวมาจึงสรุปได้ว่า ถ้าไม่เอาฮะดีษ จะเกิดการมั่วอย่างใหญ่หลวงครับ เอาแค่เวลาละหมาด ก็ไม่ตรงกันแล้ว แต่ที่ทั่วโลกละหมาด 5 เวลา ภาคบังคับนั้น เพราะมีฮะดีษครับ ไม่ใช่ตามบรรพบุรุษแต่อย่างใด นี่จึงเป็นสิ่งที่ผมต้องถามครับ เพราะจะชี้ให้เห็นถึงปัญหาของการไม่เอาฮะดีษครับ อันนี้ แค่จำนวนเวลาละหมาดนะครับ ยังไม่นับ จำนวนรอบ ในการละหมาดของแต่ละเวลา ที่แมทท์บอกว่า การละหมาดในตอนเช้ามืด  อัลกุรอาน  กล่าวไว้ในอายะที่  11:114 ว่า  จงทำละหมาดเอย่างสม่ำเสมอ ในเวลาเริ่มต้นของวันและ ในเวลาสิ้นสุดของวัน(เมื่อพระอาทิตย์เริ่มตกจนสิ้นแสง นั้นก็คือการละหมาด ตอนเช้าคือ การละหมาด ฟัจรฺ 2 รักอะห์  ก่อนการละหมาด ซุบฮฺ(อีก 2 รักอะห์) ไปเอามาจาก อายะห์ไหนว่า ละหมาด เช้า 2 รอกาอัต? จะ 3 ไม่ได้เหรอ หรือ 4 ไม่ได้ใช่มั๊ย? ทำไมไม่ได้ กุรอ่านบอกไว้ตรงไหน นี่แหละครับคือแมทท์ เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัยว่าทำไมจึงมีการแตกนิกายออก ก็เพราะมีการบิดเบือนคำสอนและไม่เอา แบบอย่างของท่านนบี รวมทั้งปฏิเสธกุรอ่านด้วยนั่นเองครับ หลักฐานมีอยู่ อยากรู้ไหมว่า แมทท์ปฏิเสธกุรอ่านอย่างไร? จากคุณ : Carroth - [ 7 ธ.ค. 51 22:16:35 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ผมก็ได้อธิบายไปแล้วนะครับ ว่าปัญหานั้นมันเกิดจากอะไรกันแน่ มันเกิดจากการเอาฮะดีษหรือไม่เอาฮะดีษ มันเกิดจากการอาฆาตแค้นหรือว่าการเกิดจากหลักการที่ถูกบิดเบือนจนกลายเป็นนิกายขึ้นมาทั้งๆที่มันไม่ควรมี ผมถึงบอกไงครับว่ากรณี ชีอะห์ ก็เหมือนกรณีแมทท์ ไม่ยอมรับแบบอย่างท่านนบี ไม่ยอมรับฮะดีษ ที่คัดแล้ว ตรวจสอบแล้ว แต่ยึดเอาฮะดีษตามใจตัวเอง ไม่มีการตรวจสอบ ไม่มีที่มาที่ไป มันจึงเกิดปัญหาไงล่ะครับ คุณอ้างว่าคุณศึกษามาหลายปี แต่รู้สึกว่าการศึกษาของคุณนั้นไม่ได้ไปไหนเลยนี่ครับ ไม่ยอมบอกว่าปัญหาการแบ่งแยก หรือปัญหาการแตกออกนั้นเกิดจากอะไร ผมได้เอา ฮะดีษในทรรศนะ ของชีอะห์มาแล้ว แต่รู้สึกว่า จะไม่ยอมอ่าน ทั้งที่จริงๆ น่าจะได้อ่านนะครับเพราะว่ามันตรงกับปัญหาที่เกิดจากแมทท์เลย นั่นคือ ไม่เอาฮะดีษ แต่ไปเอาการบิดเบือนที่ขาดการตรวจสอบ และไม่มีที่มาที่ไปแทน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้เกิดจากการกระหายอำนาจ หรือขัดแย้งกันเรื่องการเมือง เพราะการขัดแย้งเรื่องการเมือง มีหลายครั้ง แต่ไม่ได้ก่อให้เกิดนิกายแต่อย่างใด ดังนั้น การขัดแย้งต้องดูครับว่า สาเหตุจริงๆ คืออะไร และผมได้เอามาแล้ว ในคคห ที่ 5 และ 14 เพราะฉะนั้น ใครเป็นกาเฟรฺ ใครเป็นมุสลิม มันชัดเจนอยู่แล้ว คนที่ปฏิเสธกุรอ่านบอกว่า กุรอ่านไม่สมบูรณ์ ถูกตัดออกบ้าง ถูกปลอมแปลงเพิ่มบ้าง คนแบบนี้จะเรียกมุสลิมได้อย่างไร เรื่องนี้ก็รู้ๆกันอยู่นะครับ ซึ่งมันไม่ได้มาจาก การอาฆาตกันเรื่องการเมืองอย่างที่แมทท์ว่าแต่อย่างใด แต่มันเกิดจากคำสอนที่บิดเบือนและผิดพลาดอย่างชัดแจ้ง ผมไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดเลี่ยงเพราะผมไม่ใช่ แมทท์ ที่มักหนีประเด็น และเลี่ยงการตอบคำถามอยู่เสมอ คุณจะไล่ให้ผมไปทำความสะอาดจิตใจ หรือไปทำอะไรก็แล้วแต่ ผมไม่สนใจหรอกครับ การด่าที่ตัวบุคคล หรือโจมตีบุคคลมันไม่ทำให้ความจริงที่ว่า คุณหนีการตอบคำถามเรื่องละหมาดนั้น มันหมดไปได้หรอกครับ หลักการอิสลามของคุณ มีแต่ข้อบกพร่อง และ โกหกซะส่วนใหญ่ 6 ข้อที่ว่ามา โกหกไปเท่าไหร่แล้ว พูดขัดกันเองไปเท่าไหร่แล้ว จี้ไปก็เงียบเหมือนเดิม สรุปสุดท้าย แมทท์ยังตอบคำถามเรื่องละหมาดไม่ได้เหมือนเดิมนนะครับ เซฟกระทู้นี้กันไว้ด้วย ว่าแมทท์หนีอีกแล้ว ตามเคย อย่างที่ผมบอกไว้ไม่มีผิด จากคุณ : Carroth - [ 7 ธ.ค. 51 22:35:39 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ความคิดเห็นที่ 25 ชัดเจนและมีเหตุมีผลดีมาก จากคุณ : chinky (chinky) - [ 8 ธ.ค. 51 19:19:26 ]

ความคิดเห็นที่ 27 หายไปหลายวันเข้ามาอ่าน ตกใจเล็กน้อยครับ ประเด็นความขัดแย้ง ผมขอละนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่มาช่วยตอบคำถามของผมครับ เดี๋ยวลองอ่านแบบละเอียดๆดูอีกทีนะครับ แล้วถ้าสงสัยอะไรจะถามนะครับ ขอบคุณทุกท่านครับ จากคุณ : toro pazzo - [ 8 ธ.ค. 51 20:08:58 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ผ่านมาอ่าน อย่าเอาน้ำมันไปเติมเชื้อไฟเลยครับ ปล่อยแมทเขาไปเถอะครับ จากคุณ : บุรุษจากดาวเสาร์ - [ 9 ธ.ค. 51 01:56:15 ]

ความคิดเห็นที่ 29 คคห ที่ 25 ตอบคำถามคุณ toro pazzo  ได้อย่างดีที่สุดครับ จากคุณ : ghanee.s - [ 9 ธ.ค. 51 08:26:21 ]

ความคิดเห็นที่ 30 มาหาข้อมูลทำการบ้าน แล้วเจอกระทู้นี้พอดี อยากบอกว่า โจทย์การบ้านโจทย์เดียวกันเลย .... วิชาเรียนก็วิชาเดียวกัน เราเรียนที่เดียวกันรึเปล่าเนี่ย-*- ขอถามเพิ่มเติมว่า ทั้งสองนิกายนี้มีการแต่งกายที่แตกต่างกันอย่างไร? จากคุณ : felton - [ วันรัฐธรรมนูญ 11:20:15 ]

ความคิดเห็นที่ 31 จากความคิดเห็นที่ 25 ที่ว่ามีเหตุและผลดีนั้น, เพราะว่าความคิดเห็นที่ 26 และความคิดเห็นที่ 29 มาจากสำนักเดียวกัน   คุณที่ออกความเห็นที่ 25,26, และ29 กรุณาอธิบายให้ผมฟัง ซิว่า เรื่องเล่าข้างล่างนี้ เราควรจะเชื่อข้อใดและปฏิบัติตามอย่างไร? Volume 4, Book 54, Number 538: การช่วยเหลือสุนัขเป็นที่โปรดปราณของพระเจ้า... Narrated Abu Huraira: Allah's Apostle said, "A prostitute was forgiven by Allah, because, passing by a panting dog near a well and seeing that the dog was about to die of thirst, she took off her shoe, and tying it with her head-cover she drew out some water for it. So, Allah forgave her because of that." ________________________________________ Volume 4, Book 54, Number 539: การ มีสุนัข และ รูปภาพอยุ่ในบ้าน เป็น ความ "ซวย" หรือ "อัปมงคล". เทวดา/นางฟ้าไม่เข้าบ้าน   (รวมทั้งธนบัตรด้วยหรือไม่?) Narrated Abu Talha: The Prophet said, "Angels do not enter a house which has either a dog or a picture in it." ________________________________________ Volume 4, Book 54, Number 540: "ท่านศาสดามูฮัมมัดมีคำสั่งให้ฆ่าสุนัขทั้งหลาย" Narrated 'Abdullah bin 'Umar: Allah's Apostle ordered that the dogs should be killed. ________________________________________ Volume 4, Book 54, Number 541: "มีคำสั่งให้เลี้ยงสุนัขให้เฝ้าสัตว์เลี้ยงได้, แต่ถ้าเลี้ยงไว้ดูเล่นจะไม่ได้รับรางวัลจากพระเจ้า) Narrated Abu Huraira: Allah's Apostle said, "If somebody keeps a dog, he loses one Qirat (of the reward) of his good deeds everyday, except if he keeps it for the purpose of agriculture or for the protection of livestock. " ________________________________________ ตรรกวิทยาของ นิทานดังกล่าว เกี่ยวกับเรื่องสุนัข กับ มุสลิมนั้น สรุปแล้ว มีผลว่าอย่างไร?   ศาสดามูฮัมมัดกล่าวถึงเรื่องสุนัขกับมุสลิมว่าอย่างไร?  1. ช่วยเหลือสุนัขให้พ้นจากความทุกข์จะ ได้ขึ้นสวรรค์  2. การมีภาพถ่ายใดๆก็ตาม(บนธนบัตร,ทีวี, DVDฯลฯ) และมีสุนัข ไว้ใน        บ้านเป็นการอัปมงคล หรือ "ซวย"  3. เมื่อเห็นสุนัขให้ฆ่าให้หมด  4. เลี้ยงสุนัขเพือประโยชน์ได้   นี่คืตัวอย่างของเรื่องนิทาน "ฮาดีษ" ที่เหลวไหล ที่ทั้งมุสลิม "นิกายซุนนีย์" และ "ชีอะต์"  เชื่อต่างกัน แต่เป็นเรื่องเล่าที่เขาทั้งสองนิกาย  เชื่อว่า เป็นเรื่องจริงจากปากของ ท่านศาสดามูฮัมมัด   นี่คือความเฉลียวฉลาดของความเห็นทั้ง 3 ที่เชื่อในสิ่งเหล่านี้  อิสลามห้ามการเชื่อโชคลาง,การทำนายอนาคต  ข้อความใน ข้อ 1  ขัดกับข้อความ ในข้อ 2 นี่เป็นเพียงเหตุผลเพียงเล็กน้อยที่เป็นเรื่องเล่าที่ ผมไม่เชื่อถือ  ถ้าคุณนับถือ "นิกายซุนนีย์" คุณต้องหาเหตุผลมาเชื่อสิ่งดังกล่าว ซึ่งคอยฟัง ความเห็นของท่านผู้รู้ทั้ง 3 อธิบายให้คุณๆฟัง  อีกไม่นานเขาคงอะบายความเห็นของเขาด้วยความฉลาด  นี่คือวิชาที่เขาเดินทางไปอรับเพื่อไปศึกษาการอธิบาย นิทานเรื่องต่างๆเหล่านี้ ว่าได้รับการกลั่นกรองและสอบสวนมาอย่างแนอนแล้ว ว่าเป็นคำสอนของศาสดามูฮัมมัดที่แท้จริง .....สำหรับผม, ตัวผมๆไม่เชื่อว่าเป็นคำพูดและการกระทำแท้จริง ของท่านศาสนทูตมูฮัมมัดที่แท้จริงเพราะเขาไม่มีเหตุผลและตรรกวิทยารองรับข้อพิสูจน์เหล่านั้น เป็นวิทยาการมี่ไม่ใช่วิทยาการ    การเชื่อสิ่งปรดิษฐ์นิทานเรื่องเล่าเช่นนี้ "มุสลิมที่เชื่อในพระเจ้าองคืเดียว"  เขาไม่ทำกัน จากคุณ : แมทท์ - [ วันรัฐธรรมนูญ 13:24:00 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เรื่องนี้เป็นปัญหาของคนไม่มีความรู้ ไม่มีการศึกษา แต่ชอบที่จะมั่วเอาเองตีความเอาเอง ไม่ได้รู้ประวัติศาสตร์ ไม่ได้รู้ภาษาอาหรับ สำนวน ประเพณีทางวัฒนธรรมของที่ที่ท่านศาสดาอยู่นั่นคืออาหรับ เราไม่ได้เชื่อฮะดีษเพราะมันถูกใจหรือตรงกับความรู้เราในขณะนั้น แต่เราเชื่อเพราะมันเป็นคำสั่งของอัลลอฮ์ที่ให้ตามนบี ถ้าคิดตื้นๆแบบนายแมทท์ล่ะก็ การขลิบเป็นฮะดีษนะครับ ถ้าคนสมัยนั้นไม่รู้ว่าขลิบกันไปทำไม เจ็บก็เจ็บด้วย เราย่อมไม่ได้รับประโยชน์ของมันซึ่งเป็นผลพลอยได้ที่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะรู้กันไม่นานมานี้ เรื่องของสุนัขก็เช่นกัน คุณมีคำอธิบายแวดล้อมหรือไม่ ว่าบอกเมื่อไหร่ ยกเลิกหรือยัง เพื่ออะไร เพราะอะไร เช่น เรื่องที่ ท่าน SA Student เคยยกตัวอย่างไว้ ท่านนบีมุฮัมมัดเคยห้ามผู้หญิงไปเยี่ยมสุสาน ซึ่งเป็นธรรมเนียมผิดๆของอาหรับในสมัยนั้น ที่ผู้หญิงจะต้องร้องไห้ ฟูมฟาย เมื่อไปยังสุสาน มิฉะนั้นจะไม่ถือว่าเป็นผู้หญิงที่ดี แต่อิสลามได้มีการห้ามมิให้มีการร้องไห้ คร่ำครวญถึงคนตาย ท่านนบีจึงสั่งห้ามในระยะแรก .... ต่อมา เมื่อท่านเห็นว่าความเชื่อผิดๆนั้นได้เริ่มตายไปจากหัวใจผู้คนแล้ว ท่านจึงอนุญาตในภายหลัง  .....  ข้อห้ามอันแรก ถือเป็น “สิ่งต้องห้าม” แต่ด้วยกับข้อผ่อนผันในเวลาต่อมา ทำให้กลายเป็น “อนุญาต” (ทำไม่ได้บุญ ละทิ้งไม่ได้บาป) ขึ้นมานั่นเอง เรื่องสุนัขก็เช่นกัน มันไม่ได้ขัดกันตรงไหน 1. การช่วยเหลือสัตว์นั้นเป็นเรื่องดีและส่งเสริมอยู่แล้ว และมันไม่เกี่ยวกับการนำมันมาเลี้ยงในบ้าน 2. การมีสุนัขในบ้าน ไม่ใช่เรื่องโชคลางแต่อย่างใด แต่บรรดา เทวฑูต หรือที่เรียกว่า มลาอิกะห์จะไม่เข้าบ้าน มลาอิกะห์ประเภทใด? รู้หรือเปล่า และที่สำคัญ คำว่าซวยมาจากไหน อันนี้มั่วเอาเองชัดๆ และมันก็ไม่ได้ขัดกับข้อ 1 เลย เพราะว่า ข้อ 1 คือการช่วย ข้อ 2 คือการเลี้ยงในบ้าน มันเหมือนกันตรงไหนไม่ทราบ? 3. เมื่อเห็นสุนัขให้ฆ่าให้หมด? มีคำอธิบายแวดล้อม และเหตุผลมั๊ย และเวลาที่ลงฮะดีษมีหรือไม่ครับ? เหมือนที่ท่านนบีเคยห้ามผู้หญิงไปเยี่ยมสุสาน และต่อมาก็มีอการอนุญาต อันนี้มีรายละเอียดหรือไม่? 4. เลี้ยงสุนัขไว้เพื่อประโยชน์ได้ครับ แต่ประโยชน์แบบใด ก็บอกไปแล้วว่าเลี้ยงไว้เฝ้าสัตว์ นั่นคือเลี้ยงในบ้านเหรอครับ เฝ้าสัตว์? เขาเฝ้ากันในบ้าน อย่างนั้นหรือ? นี่แหละครับ ทำไมอิสลามถึงแตกออกไป เกิดจากฮะดีษเหรอ? เปล่าครับ ก็เกิดจากความไม่รู้เรื่อง ความไม่เข้าใจ การบิดเบือน และการไม่เอาฮะดีษนั่นเอง มันก็เลยเป็นแบบนี้ จนถึงกับบอกว่าเป็นนิทานบ้าง เหลวไหลบ้าง นั่นก็เพราะมันเกิดจากความโง่เขลาส่วนตัวของเขาเอง โง่เขลาอย่างไร จะสังเกตได้ว่าคนที่ไม่เอาฮะดีษโดยกล่าวหาว่ามันเป็นนิทาน จะเอาแต่กุรอ่านอย่างเดียว กลับละหมาดไม่ได้เลย ถ้าไม่อาศัยฮะดีษ หรือที่เขาบอกว่าเป็นนิทานแต่เป็นฮะดีษประเภทไหน ตรวจสอบแล้ว มีที่มาที่ไปแล้วหรือไม่? ก็ไม่อีก แต่กลับเอา ฮะดีษประเภทที่เหลวไหล ไร้สาระยิ่งกว่า ที่เรียกว่าตามบรรพบุรุษ นั่นเอง มันจริงแค่ไหนก็บอกไม่ได้ โดนต่อเติมมาแล้วกี่หนก็บอกไม่ได้อีกเช่นกัน นี่มันยิ่งกว่าเหลวไหลเสียอีก แล้วจะแปลกใจอะไร ที่คนประเภทนี้ จะงงกับเรื่องสุนัขๆอย่างข้างบนฦ และจะยิ่งแปลกใจอะไรถ้าฮะดีษที่ได้รับการกรองแล้ว จะถูกคนแบบนี้กล่าวหาว่าไม่น่าเชื่อถือเป็นนิทาน ก็ขนาดกุรอ่าน ที่บอกว่าจะยึดไว้เพียงอย่างเดียว ถ้าเจอที่ไม่ถูกใจก็บอกว่าถูกปลอมขึ้นมาทันที จากคุณ : Carroth - [ วันรัฐธรรมนูญ 20:28:53 ]

ความคิดเห็นที่ 33 มาดูซิว่า "มุสลิมที่เชื่อในพระเจ้าองคืเดียว" เขาทำแบบนี้กันหรือเปล่า จากคุณ : Carroth - [ วันรัฐธรรมนูญ 20:30:47 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขนาดกุรอ่าน ยังบอกว่า ต้องมีการสอดแทรกปลอมแปลง อัลกุรอ่าน โดยชาวอรับด้วยกัน แล้วฮะดีษที่มีตรวจสอบแล้ว จะถูกบอกว่า เป็นนิทานก็ไม่แปลกครับ ผมถามทุกท่าน คนแบบนี้จะบอกว่าตัวเองเป็นมุสลิม ล้านๆ ครั้ง มันจะมีค่าหรือไม่ ในเมื่อมันมีความคิดแบบนี้ต่อ อัล-กุรอ่าน!!!!!????? จากคุณ : Carroth - [ วันรัฐธรรมนูญ 20:34:35 ]

ความคิดเห็นที่ 35 คุณใช้อัลกุรอานที่อธิบายโดย มุสลิมนิกายชีอะต์หรือไม่? ตอบให้ผมชื่นใจอีกสักครั้งซิว่า คุณเป็นมุสลิมเช่นเดียวกับมุสลิมในนิกายชีอะต์หรือไม่? เท่านี้แหละครับตอบอะไรไม่มเห็นมีเหตุผลนอกใช้นิทานเสริมนิทาน การสงสัยในเรื่อง ไม่เข้าใจ อัลกุรอานไม่ไช่การหมดศรัทธาต่อพระเจ้า ผุ้มีการศึกษาเขาสงสัยและสึกษาหาความจริง  แม้แต่ในอัลกุรอานก็สอนให้เราใช้สติปัญญา    ยอมรับเถอะครับ ว่า อิสลามถูกแบ่งเป็นนิกาย  ซุนนีย์ และ ซีอะตต์ แล มัสหับ (นิกายช/แนวความคิด ที่แตกออกมา จากหลักใหย๋ของอิสลาม   ถ้าภาษาอรับเก่งจริงๆและเข้าใจอัลกุรอานแล้ว เขา ไม่ "แปลว่า พระเจ้า ทรงสนทนากับ ตัวอสุจิหรอกครับ......เท่านี้คุณไม่เข้าใจเลยหรือ ต้องให้ ผมซึ่งไม่มีความรู้ภาษาอรับเท่าๆพวกคุณๆ  มาอธิบายให้เขาเข้าใจ ขาดความรู้ในการแปลและการเข้าใจอัลกุรอานทำให้ศาสนาถูกเขาล้อเลียนมาเป็น ปีๆๆ   ไม่รู้จักขายหน้าชาวบ้านบ้าง     อะหะดีษไม่ใช่ท่านรอซูล  คุณๆต้องหาความเข้าใจในเรื่องนี้เสียก่อน แล้วคุณๆจึงจะเข้าใจผม    เสียเงินไปเล่าเรียนกันมา แต่ไม่เข้าใจอัลกุรอาน  แล้วจะมีประโยชน์อะไร?  พออธิบาย นิทานด้วยเหตุผลไม่ได้ ก็เริ่ม ด่าว่า คู่สนทนา  แล้วคุณจะเรียกว่า เป็นผู้มรความรู้ทางศาสนาอิสลามได้อย่างไร?   คุณเป็นมุสลิมในนิกายซุยยนีย์  ซึ่ง แตกต่างจากท่านรอซูล ที่ท่านไม่ได้สังกัดนิกายใดๆทั้งสิ้น    ลองเอาไปช่วยกันคิดเป็นการบ้าน     จากนิทานที่คุณใช้แทนอัลกุรอาน  แจ้งข่าวล่วงหน้าว่า "ท่านรอซูลกล่าวว่า อิสลาม จะแตกแยก ออก เป็นนิกายต่างๆ  71-72 นิกาย   คุณเคยอ่านพบไหม? ถ้าไม่เคยอ่านพบ ผมมีเวลาเหลือจากการงานแล้วจะหยิบมาให้อ่านดู    ทำไมมุสลืมนิกายซุนนีย์จึงเข้าใจว่า  มุสลิมนิกายชีอะต์ เพิ่มเติมและ/หรือ ตัดตอน อัลกุรอาน  คุณเคยได้ยินไหม? หรือว่า ยังไม่เคยได้ยิน เพราะยังเรียนไม่ถึง หลักการทำลาย มุสลิมนิกายชีอะต์   อับอายเขาบ้างซิครับเขารู้กันทั้งโลก รวมทั้งมุสลิมที่มีความรุดีๆทั่งหลายในโลกมุสลิม ที่ มีการศึกษาอิสลามอย่างเข้าใจ เขาทราบดีว่า  อิสลามถูกแบ่งเป็นนิกายใหญ่ๆ สองนิกาย คือ นิกาย ซุนนีย์ และ นิกายชีอะต์ http://www.moradokislam.org/modules.php?name=Topics เข้าไปเรียนรู้ให้เข้าใจ  จะได้ไม่ต้องอับอายขายหน้าเขา จากคุณ : แมทท์ - [ 11 ธ.ค. 51 04:18:05 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เห้อ ผมจะต้องอับอายอะไรล่ะครับ ในเมื่อผมไม่ใช่มุสลิมที่หน้าแหกแล้วหน้าแหกอีกซ้ำซากเมื่อถูกถามเรื่องการละหมาด ผมไม่ใช่มุสลิมที่หน้าแหกแล้วหน้าแหกอีกเมื่อยกตัวอย่างฮะดีษมากะว่ามันจะขัดกัน แต่กลับพบว่าเป็นความเข้าใจผิดที่เกิดจากความโง่เขลาของตัวเองทั้งสิ้น และผมก็ไม่ใช่มุสลิมที่หน้าแหกแล้วหน้าแหกอีกเมื่อ พบว่าคำพูดตัวเองที่บอกว่าใช้กุรอ่านอย่างเดียวในการปฏิบัติศาสนกิจมันเป็นเรื่องโกหก เพราะได้สารภาพมาเองแล้วว่าใช้บรรพบุรุษมาเป็นตัวช่วยในการละหมาด เหล่านี้มันไม่ใช่ความหน้าแหกของผมนี่ครับ จะว่ายังไงก็ว่าไป แต่กรุณาอย่ามาแถกันกลางกระดานสนทนาแบบหน้าด้านๆอย่างนี้สิครับ อ่อแล้วอย่าโกหกกันแบบนี้สิครับว่า คุณสงสัยในเรื่อง "ไม่เข้าใจในกุรอ่าน" แต่คุณบอกว่าต้องมีการปลอมแปลง นี่มันไม่ใช่การสงสัยในเรื่องไม่เข้าใจแล้วล่ะครับ แต่มันเป็นการ บอกว่ากุรอ่านบอกพร่อง มีการปลอมแปลง มีการต่อเติมขึ้นมาแน่นอนครับ เพราะฉะนั้นอย่ามาบอกว่า นี่ไม่ใช่การหมดศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์บอกไว้อย่างชัดเจนว่า คัมภีร์นี้ ไม่มีความสงสัยใด ๆ ในนั้น เป็นคำแนะนำสำหรับบรรดาผู้ยำเกรงเท่านั้น (กุรอาน 2:2) “แท้จริง เราได้ส่งข้อตักเตือน(คัมภีร์กุรอานลงมา) และเราจะเป็นผู้รักษามันอย่างแน่นอน” (กุรอาน 15:9) ถ้าบอกว่ามีการปลอมแปลง หรือมีการสงสัยขึ้นมา ก็เท่ากับอัลลอฮ์มิได้ทรงลงโองการเหล่านี้มาหรือ? หรือโองการเหล่านี้ไม่จริงหรืออย่างไร? แล้วกุรอ่าน คัมภีร์เล่มสุดท้ายที่อัลลอฮ์ประทานลงมา จะต่างอะไรกับ เตาร๊อต อินญีล ที่ถูกเปลี่ยนแปลงไปแล้วล่ะครับ? นี่เป็นอาการแถที่ไร้ยางอายที่สุด และช่วยบอกผมหน่อยสิครับว่า คำพูดแบบนี้ มันเป็นการสงสัย เรื่อง "ไม่เข้าใจในกุรอ่าน" ตรงไหนเหรอครับ ดังนั้นต้องมีการสอดแทรกปลอมแปลง อัลกุรอานโดย ชาวอรับด้วยกัน คำพูดคำนี้ เป็นการสงสัย เรื่อง "ไม่เข้าใจในกุรอ่าน" ตรงไหน ไม่ทราบครับ โกหกกันหน้าด้านๆ กลางกระดานสนทนาอีกแล้ว เพราะฉะนั้นผมไม่ต้องเก่งภาษาอาหรับไม่ต้องรู้ภาษาอาหรับ และไม่ต้องให้คนกาเฟรฺมาอธิบายภาษาอาหรับให้ผมเข้าใจหรอกครับ เพราะมันไม่เกี่ยว และเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการแปลภาษา แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวกับคำพูดที่ว่า ต้องมีการสอดแทรกปลอมแปลง อัลกุรอานโดย ชาวอรับด้วยกัน จะนั่งแปลนอนแปลตีลังกาแปลได้อย่างไรก็ไม่เกี่ยวเพราะ คุณบอกเองว่า ต้องปลอมแปลงโดยชาวอรับด้วยกัน เพราะฉะนั้น คุณฟันธงไปแล้วว่าต้องโดนปลอมแปลงตั้งแต่ยังไม่แปล แล้วจะพามาเรื่อง แปลภาษานี่ทำไม? และการล้อเลียนนั้นไม่ได้เกิดมาจากการขาดความเข้าใจในกุรอ่านครับ เพราะคนที่มาล้อเลียนต่อให้แปลถูกใจคุณยังไง นบีก็โดนอยู่ดี เนื่องจากคนพวกนี้มาเพื่อโจมตีอิสลาม เพราะฉะนั้นมันไม่ได้เกี่ยวกับฮะดีษเลย เอาแค่เรื่องสวรรค์ หรือไม่กินหมู ก็โจมตีกันเป็นกระทู้ หลายกระทู้แล้ว นี่กุรอ่านล้วนๆ เต็มๆ ถ้าจะคอยมาตัดฮะดีษนั้นฮะดีษนี้ เพราะกลัวคนอื่นมาล้อเลียนเนี่ย มันมั่วสิ้นดีครับ ที่สำคัญ ถ้าฮะดีษไม่ใช่นบี แล้วบรรพบุรุษคุณเป็นนบีเหรอครับ ไม่เอาฮะดีษแต่เอาบรรพบุรุษที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน น่าเชื่อถือเพียงใด อันนี้มันยิ่งกว่าน่าอายอีกเพราะมันเป็นการกระทำของพวกป่าเถื่อนชัดๆ จะทำอะไรก็อ้างบรรพบุรุษ จะบอกว่า คนอื่น ไม่อาย แล้วตัวเองล่ะ พิมพ์คำว่าอายออกมา มันไม่กระทบใจตัวเองบ้างหรือไง คนอย่างคุณที่ไม่ได้รู้เรื่องภาษาอาหรับอะไรเท่ากับคนที่ลงทุนไปเรียน อ่านก็อ่านแต่จากคำแปลภาษาอังกฤษที่ไม่มีคำอธิบายแวดล้อม ไม่มีความรู้ด้านวัฒนธรรมและหลักการใช้ภาษาของคนอาหรับ แบบแมทท์เนี่ย มีสิทธิอะไรไปวิจารณ์คนที่ไปเรียนมาครับ อย่าว่าแต่ไม่รู้ภาษาอาหรับ กับกุรอ่านเอง ที่บอกนักบอกหนาว่าจะยึดไว้เพียงสิ่งเดียว ยังกล้าบอกว่าถูกสอดแทรกปลอมแปลงเนี่ย คนแบบนี้มีสิทธิอะไรไปวิจารณ์คนข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียน ด้านศาสนามาล่ะครับ จากคุณ : Carroth - [ 11 ธ.ค. 51 07:47:49 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ส่วนเรื่องมุสลิมนิกายต่างๆ การแตกนิกายผมบอกสาเหตุไปแล้วครับว่ามันไม่ได้เกิดจากการใช้ฮะดีษ และมิได้แปลกแยกไปจากท่านรอซู้ลแต่อย่างใด แต่เป็นการยึดกุรอ่านและแบบอย่างของท่านรอซู้ลอย่างเต็มกำลัง ไม่ใช่ยึดกุรอ่านบวกยึดบรรพบุรุษเป็นหลัก แล้วดันสะเออะบอกว่า ใช้กุรอ่านอย่างเดียวในการปฏิบัติศาสนากิจนะครับ ดังนั้นการแตกต่างมันเกิดจากจาก พวกตามบรรพบุรุษมั่งหรือคนที่ตนคลั่งไคล้มั่งโดยไม่มีการตรวจสอบต่างหากล่ะครับ แล้วจะเหมารวมได้ไง ว่าซุนหนี่ที่ยึดอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง ทำการแยกนิกาย? ก็เหมือนกับการที่มีคนคนนึง เดินตรงไปยังจุดหมายตามทางเดิน แต่คนกลุ่มหนึ่งดันเดินตามใจตัวเอง ไปทางแยกซ้ายมั่ง ขวามั่ง แล้วดันบอกว่า ทั้งหมดผิด เพราะต่างอยู่ในความแตกแยก สมัยก่อนไม่เคยมีการแยกกันเดินแบบนี้ รวมทั้งคนที่เดินตรงไปถูกทางด้วย ก็ไม่เว้น เป็นหนึ่งในการทำให้มีการแยกกันเดิน แบบนี้มันใช้ได้มั๊ย? เช่นกัน ซุนนะห์ หรือซุนหนี่เป็นทางที่ถูกต้องครับ การแตกแยกออกไปก็ล้วนแต่เกิดจากการไม่เอาฮะดีษ การกุฮะดีษโดยอ้างแหล่งอ้างอิงที่ไม่น่าเชื่อถือเช่นคนที่ตัวเองชอบเป็นการส่วนตัวหรืออ้างบรรพบุรุษ ทั้งนั้น ตัวอย่างเช่น ชีอะห์ หรือคนแบบแมทท์นี่แหละ ดังนั้นต่อให้ยึดแนวทางแบบแมทท์ ที่อ้างว่าใช้กุรอ่านอย่างเดียวในการปฏิบัติศาสนากิจ แต่แอบใช้บรรพบุรุษมาอธิบายการละหมาดเนี่ย มันก็แตกแยกอยู่ดี เพราะบรรพบุรุษใคร ก็มี ถ้าอ้างบรรพบุรุษกันหมดมันก็มีเป็นล้านๆ แบบอย่างให้ทำ ดังนั้นอย่ามาแถครับ ปัญหาเรื่องฮะดีษ และการแยกนิกายผมอธิบายไปแล้วใน คคหที่ 14 นะครับ อ่านบ้างว่ามันเกิดจากอะไร ครับใครก็รู้ว่ามีการแตกนิกายออกไปครับ แต่ถ้าจะบอกว่ามีการแยกนิกายแล้วทั้งสองนิกายผิด หรือถูกเนี่ย ดูมั่งว่าเกิดจากอะไร ผิดทั้งคู่ หรือมีคนทะลึ่งออกนอกแนวทางเองกันแน่ ดูมั่ง เนี่ยโดนเขาจับไต๋ได้ ก็มั่วไปเรื่อย มั่วตลอด จากคุณ : Carroth - [ 11 ธ.ค. 51 07:48:12 ]

ความคิดเห็นที่ 38 "และการล้อเลียนนั้นไม่ได้เกิดมาจากการขาดความเข้าใจในกุรอ่านครับ เพราะคนที่มาล้อเลียนต่อให้แปลถูกใจคุณยังไง นบีก็โดนอยู่ดี เนื่องจากคนพวกนี้มาเพื่อโจมตีอิสลาม เพราะฉะนั้นมันไม่ได้เกี่ยวกับฮะดีษเลย เอาแค่เรื่องสวรรค์ หรือไม่กินหมู ก็โจมตีกันเป็นกระทู้ หลายกระทู้แล้ว นี่กุรอ่านล้วนๆ เต็มๆ ถ้าจะคอยมาตัดฮะดีษนั้นฮะดีษนี้ เพราะกลัวคนอื่นมาล้อเลียนเนี่ย มันมั่วสิ้นดีครับ" อะไรก็ว่าผมมั่ว ฮาดีษที่ยกตัวอย่างมาให้ดูนั้น  "ทำให้ผู้อ่านงุนงงหรือไม่?" อ่านให้เข้าใจว่าผมกล่าวถึงอะไร?...ผมเขียนว่า "ถ้าภาษาอรับเก่งจริงๆและเข้าใจอัลกุรอานแล้ว เขา ไม่ "แปลว่า พระเจ้า ทรงสนทนากับ ตัวอสุจิหรอกครับ......เท่านี้คุณไม่เข้าใจเลยหรือ ต้องให้ ผมซึ่งไม่มีความรู้ภาษาอรับเท่าๆพวกคุณๆ  มาอธิบายให้เขาเข้าใจ"   เรื่องนี้มาจากคำแปลอัลกุรอานภาษาไทยของสมาคมนักเรียนอรับ ที่ไม่เข้าใจ ความหมายของ อายะที่ อัลลออ์ทรงล่วงรู้จิตวิญญานของมนุษย์ก่อนเกิด, ไม่เกี่ยวกับ ตัวอสุจิแม้แต่น้อย....แต่ดันแปลออกมาว่า "พระองค์ทรงกล่าวแก่ตัวอสุจิ(อะไรทำนองนั้น ..ไปหาอ่านเอาเอง จะได้เข้าใจที่ผมกล่าวถึง) เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับ ผู้ต่างศาสนาที่ล้อเลียน, แต่ผมต้องการให้คุณเห็นว่าการรู้ภาษาต่างประเทศแตกต่างจากความเข้าใจความหมายของภาษา อย่ามองข้ามที่ผมชี้จุดให้เห็น เรื่องภาษาอังกฤษกับ ภาษาอรับนั้น ผมว่าคุณๆก็คงรู้ภาษาอังกฤษดีมากๆหรือดีกว่าผมเสียอีก  แต่การเข้าใจภาษาและสำนวนอาจจะผิดกัน การล้อเลียนเช่นที่ผมยกตัวอย่างนั้นเป็นเรื่องแก่นของความศรัทธา ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่จะปล่อยปะละเลยและ ไม่มีการอธิบายสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง (ไม่เกี่ยวกับการล้อเลียนแบบเด็กๆ เช่น ในเรื่อง กินหมู ฯลฯ)  กลับไปหาคำอธิบายแก้ตัวให้ผมใหม่ในเรื่องนี้  อย่ารวบรัดกลบเกลื่อนจนเร็วเกินไป  คุณเห็นด้วยกับการตีความหมายเช่นนั้นหรือ? มันไม่ใช่เกิดจากการพิมพ์ที่ผิดพลาด แต่เกิดจากความเข้าใจ...คุณเข้าใจคำถามผมไหม? จากคุณ : แมทท์ - [ 11 ธ.ค. 51 18:24:05 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ขอฝากให้ไปคิดอีกข้อหนึ่ง..  ช่วยอธิบายให้ผมทราบตามความเชี่ยวซาญภาษาอรับของคุณซิว่า จาก ฮะดีษที่ว่า, "สังคมของฉัน(มุสลิม) จะถูกแบ่งออกเป็น 73 นิกาย และนิกายเหล่านั้นในที่สุดก็จะจบลงที่ "นรก" เว้นแต่เพียงนิกายเดียว" ถ้าคุณอธิบายให้ถูกต้องตามเนื้อความภาษาอรับไม่ได้ ..ผมจะอธิบายให้ฟังในความเห็นต่อไป  แต่ต้องการคำอธิบายของคุณก่อน..เอ..อย่ามั่วนะครับ^^ จากคุณ : แมทท์ - [ 11 ธ.ค. 51 18:47:49 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ผมคงว่าคุณมั่วไม่ได้หรอกมังครับ ถ้าคุณไม่มั่วจริง เพราะอย่างที่ผมบอกแล้วว่า คนที่คิดจะโจมตีอิสลามนั้น มันไม่เกี่ยวกับการแปลหรือฮะดีษ จริงๆแล้วไม่ว่าจะอย่างไรคนพวกนี้ ก็ จะโจมตีอิสลามอยู่เสมอ ดังนั้นอย่ามา ลากประเด็นอื่นเพื่อกลบเกลื่อนความมั่วของตัวคุณเอง หรือคำพูดที่มันขัดกันของคุณ หรือการโกหกว่าอาศัยแต่กุรอ่านในการปฏิบัติศาสนกิจ แต่ดันเอาบรรพบุรุษมาเป็นตัวช่วย เรื่องเหล่านี้ อย่าลืมเคลียร์ ยิ่งเรื่องฮะดีษที่คุณยกมา มันยิ่งแสดงถึงความมั่ว และความไม่เข้าใจศาสนาของคุณเข้าไปอีก เพราะฮะดีษไม่ได้ขัดกันแต่คุณไม่รู้เรื่องมั่วเองชัดๆ ไม่รู้ที่มาที่ไปของฮะดีษยังจะยกมาประจานตัวเองซะอีก ส่วนเรื่องกุรอ่านผมบอกแล้วครับว่า มันไม่เกี่ยวกับประเด็นเรื่องการล้อเลียน หรือการที่คุณแสดงตัวว่าเป็นกาเฟรฺ ด้วยการบอกว่ากุรอ่านมีการปลอมแปลงขึ้นมา เพราะเรื่องนี้มันไม่จำเป็นต้องอาศัยคำแปล ไม่ต้องพูดกันไปเรื่องภาษา เนื่องจากคุณพิมพ์มาเองชัดๆ คำนี้นะครับ ต้องมีการสอดแทรกปลอมแปลง อัลกุรอานโดย ชาวอรับด้วยกัน มันไม่ใช่เรื่องการแปลแล้วล่ะครับ ผมก็ไม่ทราบว่าคุณจะพามาเรื่องการแปล นี่ทำไม เพราะการแปลผิดแปลถูก มันไม่เกี่ยวกับฮะดีษ  คุณฟันธงไปแล้วว่าต้องโดนปลอมแปลงตั้งแต่ยังไม่แปล แล้วจะพามาเรื่อง แปลภาษานี่ทำไม?และมันก็ไม่ช่วยให้การกล่าวร้ายต่อกุรอ่านของคุณดูดีขึ้นหรือถูกต้องขึ้นหรอกนะครับ อย่ามาเบี่ยงประด็น เอาให้ชัดๆอีกรอบคือ คุณไม่ได้มีความเป็นมุสลิมนะครับ จากคำพูดแบบนี้ ต้องมีการสอดแทรกปลอมแปลง อัลกุรอานโดยชาวอรับด้วยกัน ดังนั้น คำอ้างต่างๆ ของคุณ ที่ว่า ยึดอัลกุรอ่าน เป็นมุสลิมที่ตามอย่างท่านศาสดา นี่มันโกหกทั้งเพ เพราะฉะนั้นแล้ว คำพูดคำกล่าวหาของคุณเกี่ยวกับฮะดีษมันจึงเป็นแค่เรื่องไร้สาระ ไร้คุณค่าที่จะสนใจเพราะคนอย่างแมทท์ขนาดกุรอ่านก็โจมตีถ้ามันไม่ถูกใจ นับประสาอะไร กับฮะดีษ ที่แมทท์พร้อมจะโจมตีตลอดล่ะครับ และการโจมตีแต่ละอย่างมันก็แสดงถึงความ โง่เขลาของคุณเองทั้งสิ้น นี่ก็เอาเรื่องการแปล มาเลี่ยงประเด็นอีกแล้ว จากที่อ่านมา ทำให้พบว่าเรื่องอสุจิ ที่คุณเอามานั้น มันไม่ใช่เรื่องอะไรเลย นอกจากเอามาแก้เก้อ เอามาป้องกันตัว เอามาเพื่อเลี่ยงประเด็น ไม่คุยถึงเรื่องการละหมาด การปฏิเสธกุรอ่าน และความฉ้อฉล ของคุณเอง ต่างหากละครับ เพราะเรื่องคุยกับอสุจิ อย่างไรมันก็แค่การแปล ถ้าแปลผิดมันก็ผิดที่การแปล หรือการทำความเข้าใจ เรื่องนี้อธิบายไม่ยากเลย และอาจจะไม่จำเป็นต้องอธิบายด้วย เพราะอย่าว่าแต่คุยกับอสุจิ ถ้าพระองค์ประสงค์ ดิน หิน น้ำ ดวงจันทร์ เมฆหมอกที่พระองค์สร้าง พระองค์จะให้มันคุยกับพระองค์ หรือพระองค์จะคุยกับมันก็ย่อมได้ อย่าเอาเรื่องนี้มา ให้วุ่นวายครับ ก่อนจะลากยาวไปทั่ว เคลียร์เรื่องโกหกของตัวเองก่อน คุณบอกว่า คุณยึดกุรอ่านอย่างเดียวในการปฏิบัติศาสนากิจ แต่คุณโกหกนะครับคุณแมทท์เพราะคุณ ใช้บรรพบุรุษมาเป็นตัวช่วยซะแล้ว ละหมาด 5 เวลาในอัลกุรอ่าน หาได้หรือยัง เพราะที่ผมเอามา มันเป็นสิบเวลาครับ ไหนของใช้แต่กุรอ่านอธิบายหน่อย คุณบอกว่าตัวเองเป็นมุสลิม แต่กลับบอกว่า กุรอ่านต้องมีการปลอมแปลงโดยชาวอาหรับด้วยกัน ทั้งๆที่ อัลลอฮ์ลงโองการมาแล้วว่า พระองค์จะรักษากุรอ่าน ไหนว่าคุณยึดอัลกุรอ่านไงล่ะครับ โกหกชัดๆ แมทท์ครับ อย่ามาเบี่ยงประเด็นครับ ใครจะแปลยังไง เข้าใจยังไง เรื่องนี้ มันอธิบายได้ครับ แปลผิดก็ว่ากันไป แปลถูกก็ว่ากันไป เข้าใจผิดหรือถูกก็ว่ากันไป แต่การบอกว่ากุรอ่านมีการปลอมแปลงเนี่ย อย่ามารวบรัดกลบเกลื่อนสิครับรับผิดชอบตัวเองหน่อยหรือเตรียมจะหนี เหมือนนิสัยเก่าที่ชอบใช้ เพราะนิสัยชอบเลี่ยงประเด็นขุดมาใช้แล้วนี่ แต่ท่าทางจะไปไม่รอด เหลือหนีอย่างเดียว ว่าไงครับแมทท์ จากคุณ : Carroth - [ 11 ธ.ค. 51 21:57:47 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ส่วนเรื่องฮะดีษ 73 จำพวกนั้น อธิบายไม่ยากครับ ผมไม่รู้ ผู้รู้ในนี้ก็รู้ คนพร้อมตอบมีมากมายครับ แต่ขอโทษนะ เรื่องเมื่อ 5 ปีที่แล้วว่า แมทท์ ละหมาดอย่างไรโดยอาศัยกุรอ่านอย่างเดียวเนี่ย ยังไม่ตอบเลย คำตอบที่ออกมา คือ ตำมบรรพบุรุษ ซึ่งมันก็ขัดกันคำพูดที่ว่า 3. ศาสดามูฮัมมัด  มีคำสั่งให้มุสลิมใช้เพียงแต่อัลกุรอานเท่านั้นในการ ปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ ของแมทท์เหมือนเดิมนี่ครับ ผมไม่มั่วนะครับ และไม่ชอบมั่วด้วย เคยเห็นมุสลิมในนี้มั่วประเด็นเหมือนที่คุณชอบทำเป็นประจำมั๊ยล่ะครับ? เพราะฉะนั้น ก่อนจะให้ผมตอบคำถามนั้นน่ะ ตอบคำถามเรื่องละหมาดหน่อยสิครับ ว่าแมทท์อาศัยกุรอ่านอย่างเดียว ปฏิบัติละหมาดได้อย่างไร? ถ้าไม่ได้ หรือตอบมาว่า บรรพบุรุษก็จบครับ นี่คือสาเหตุในการแตกนิกายของอิสลาม เพราะ คนเราทุกคนมีบรรพบุรุษ ถ้าจะอ้างแบบไร้ความรับผิดชอบ ไร้ปัญญา แบบพวกคนในยุคญาฮีลียะห์(ยุคป่าเถื่อน) แล้วล่ะก็ การละหมาดมีเป็นล้านๆ แบบแน่ครับ สิ่งที่จะทำให้มุสลิมละหมาดอย่างถูกต้องคือ ทำตามกุรอ่านและทำตามฮะดีษหรือแบบอย่างนบี (ซึ่งกุรอ่านก็สั่งมาแบบนี้) ไม่ใช่อ้างว่าตามบรรพบุรุษ นะครับ เรื่องการแตกนิกายเป็น 73 จึงไม่แปลก เพราะผมยกตัวอย่างไว้แล้วว่า เหมือนกับการที่มีคนคนนึง เดินตรงไปยังจุดหมายตามทางเดิน แต่คนกลุ่มหนึ่งดันเดินตามใจตัวเอง ไปทางแยกซ้ายมั่ง ขวามั่ง แล้วดันบอกว่า ทั้งหมดผิด เพราะต่างอยู่ในความแตกแยก สมัยก่อนไม่เคยมีการแยกกันเดินแบบนี้ รวมทั้งคนที่เดินตรงไปถูกทางด้วย ก็ไม่เว้น เป็นหนึ่งในการทำให้มีการแยกกันเดิน แบบนี้มันใช้ได้มั๊ย? จะแยกไปเท่าไหร่ก็ช่าง แต่ที่ถูกคือต้องคือ ยึดกุรอ่านและแบบอย่างของท่านนบีครับ ไม่ใช่ ยึดกุรอ่านและบรรพบุรุษไว้ แบบที่แมทท์ทำ แมทท์ไม่ใช่พวกยึดกุรอ่านครับ เพราะกุรอ่านสั่งให้เราตามนบี แต่แมทท์คือพวกที่ปฏิเสธทุกอย่างที่ขัดกับอารมณ์ตัวเอง กุรอ่านก็โดนกล่าวหาว่าถูกปลอมแปลงถ้ามันไม่ถูกใจ พระเจ้าของเขาคือตัวเขาเอง ศาสดาของเขาก็ตัวเขาเอง และสาวกในศาสนาเขาก็คือตัวเขาเองนั่นแหละ คนแบบนี้จะเรียกว่ามุสลิมได้อีกหรือครับ จากคุณ : Carroth - [ 11 ธ.ค. 51 22:09:32 ]

ความคิดเห็นที่ 42 อ้าวมั่วอีกแล้ว  เรื่องละหมาดนะจบ แล้วมานมนานสำหรับผม  ถ้า สอนให้แล้ว  1 รักกะอะหฺ ยังไม่รู้จักละหมาด จะสอนให้ทั้งหมดเลย? ที่คุณว่า.. 1.ส่วนเรื่องฮะดีษ 73 จำพวกนั้น อธิบายไม่ยากครับ ผมไม่รู้ ผู้รู้ในนี้ก็รู้ คนพร้อมตอบมีมากมายครับ เอา..ผมรอฟังอยู่ ไงละ? 2.จากที่อ่านมา ทำให้พบว่าเรื่องอสุจิ ที่คุณเอามานั้น มันไม่ใช่เรื่องอะไรเลย นอกจากเอามาแก้เก้อ เอามาป้องกันตัว เอามาเพื่อเลี่ยงประเด็น ไม่คุยถึงเรื่องการละหมาด? อ้าว..พระองค์อัลลอฮ์ถูกล้อเลียน ศาสนาถูดูถูกโดยการเข้าใจผิดของผู้อื่น กลับหาว่า เป็นเรื่อง เล็กน้อย?   แต่พอเรื่อง "ฮะดีษ" ละก็ เจ็บปวดเหลือเกิน  คุณศรัทธา "อะหะดีษ"  หรือ "อัลกุรอาน"?   ผมไม่หนีไปไหนหรอก เพราะผมชอบคุยเรื่อง การ ทำ ละหมาด และการทำ "ชริก" โดยขาดความเข้าใจของมุสลิมบางท่านเพื่อ ไม่ให้เด็กๆ รุ่นหลังเข้าใจผิด.  คุณไม่ทราบ ดอกหรือว่า อีมามบุคอรีบันทึก ฮาดีษไว้ 3 บท บันทึกแรก..ให้ใช้แต่อัลกุรอานเพียงอย่างเดียว ซึ่งตรงกับ อัลกุรอาน ซูเราะห์ 3  อายะที่ 103 เปี๊ยบเลย  (ท่านรอซูลปฏิบัติตามคำสอนของท่าน) บันทึกที่สอง..ให้ยึดทั้ง อัลกุรอานและซุนนะห์ของท่านรอซูล แต่ไม่มีบอกว่าให้ตาม "ฮะดีษของบุคอรี" (ซุนนีย์ ตามหะดีษของบุคอรี แต่ไม่ตามซุนนะห์ของท่านรอซูล ในข้อ แรก) บันทึกที่สาม.. ให้ยึด อัลกุรอาน ซุนนะห์ของท่านรอซูลและ ของครอบครัวลูกหลานท่านรอซุล  (ชีอะต์) ผมกล่าวมานี้อย่างย่อๆ ไปหาศึกษาแล้วจะเข้าใจ จากคุณ : แมทท์ - [ 11 ธ.ค. 51 23:27:48 ]

ความคิดเห็นที่ 43 มั่วอะไรเหรอครับ โอเคถ้าอ่านภาษาไทยไม่ออก ไม่เข้าใจ ไม่แตกฉาน ผมจะย้ำให้อีกรอบก็แล้วกันนะครับ ว่าที่คุณตอบมาน่ะมันอะไร ผมถามว่า แต่ขอโทษนะ เรื่องเมื่อ 5 ปีที่แล้วว่า แมทท์ ละหมาดอย่างไรโดยอาศัยกุรอ่านอย่างเดียวเนี่ย ยังไม่ตอบเลย คำตอบของแมทท์คือ ผมกล่าวว่าเราทำกันสืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด ซึ่งเป็นความเข้าใจและเหตุผลของผม ที่อ้างว่าครบ 1 ร่อกาอัตนั้นมาจากอะไร กุรอ่านเหรอครับ เปล่าเลย ตามบรรพบุรุษครับ แล้วไหนล่ะครับ ที่บอกว่า 3. ศาสดามูฮัมมัด  มีคำสั่งให้มุสลิมใช้เพียงแต่อัลกุรอานเท่านั้นในการ ปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ ทุกท่านครับ นี่คือความฉ้อฉล โกหก ปลิ้นปล้อน และกลับกลอกของคนอย่างแมทท์ คนนี้อ้างว่าจบมานานแล้ว แต่ดูเองนะครับว่าจบอย่างไร ถ้าไม่ยอมสรุปผมสรุปให้ แมทท์จบเรื่องการละหมาด ด้วยการโกหก หลอกลวง และฉ้อฉลอย่างหน้าไม่อายแม้แต่กับคำพูดของตัวเอง วันนึงอยากจะสร้างภาพก็บอกว่า ยึดแต่กุรอ่านเท่านั้น แต่วันนึงโดนไล่จนเข้ามุมอับก็ต้องยอมรับ ตามบรรพบุรุษ นี่เหรอครับ คำตอบของคุณ น่าสมเพชยิ่งนัก ถ้าอ่านไม่เข้าใจ ผมจะถามอีกครั้ง ผมถามคุณว่า แต่ขอโทษนะ เรื่องเมื่อ 5 ปีที่แล้วว่า แมทท์ ละหมาดอย่างไรโดยอาศัยกุรอ่านอย่างเดียวเนี่ย ยังไม่ตอบเลย แต่ขอโทษนะ เรื่องเมื่อ 5 ปีที่แล้วว่า แมทท์ ละหมาดอย่างไรโดยอาศัยกุรอ่านอย่างเดียวเนี่ย ยังไม่ตอบเลย แต่ขอโทษนะ เรื่องเมื่อ 5 ปีที่แล้วว่า แมทท์ ละหมาดอย่างไรโดยอาศัยกุรอ่านอย่างเดียวเนี่ย ยังไม่ตอบเลย ไหนตอบมาซิละหมาดอย่างไรโดยอาศัยกุรอ่านอย่างเดียว เพราะที่คุณตอบมา นั่นมัน ใช้บรรพบุรุษครับไม่ใช่ใช้กุรอ่านอย่างเดียว มุนาฟิกจริงๆ จากคุณ : Carroth - [ 12 ธ.ค. 51 00:00:20 ]

ความคิดเห็นที่ 44 1.ส่วนเรื่องฮะดีษ 73 จำพวกนั้น อธิบายไม่ยากครับ ผมไม่รู้ ผู้รู้ในนี้ก็รู้ คนพร้อมตอบมีมากมายครับ เอา..ผมรอฟังอยู่ ไงละ? - ก่อนจะรอคำตอบเนี่ย ช่วยเคลียร์เรื่องละหมาดหน่อยนะครับ เพราะว่าถามมาห้าปี คุณก็เลี่ยงคำตอบ ตามนิสัย หรือกมลสันดาน ตามบรรพบุรุษ(นี่เป็นสิ่งที่คุณตั้งภาคีกับกุรอ่านนี่นา บอกว่าจะใช้กุรอ่านอย่างเดียวแต่สุดท้ายดันพึ่งบรรพบุรุษในการละหมาด เห้อ) ที่คุณยึดถือ เหมือนเดิม อย่ามาเลี่ยงประเด็นดีกว่าครับ 2.จากที่อ่านมา ทำให้พบว่าเรื่องอสุจิ ที่คุณเอามานั้น มันไม่ใช่เรื่องอะไรเลย นอกจากเอามาแก้เก้อ เอามาป้องกันตัว เอามาเพื่อเลี่ยงประเด็น ไม่คุยถึงเรื่องการละหมาด? อ้าว..พระองค์อัลลอฮ์ถูกล้อเลียน ศาสนาถูดูถูกโดยการเข้าใจผิดของผู้อื่น กลับหาว่า เป็นเรื่อง เล็กน้อย?   แต่พอเรื่อง "ฮะดีษ" ละก็ เจ็บปวดเหลือเกิน  คุณศรัทธา "อะหะดีษ"  หรือ "อัลกุรอาน"? ที่ผมไม่ตอบเพราะเรื่องนี้มีผู้ตอบไปแล้ว ไม่ต้องอาศัย คนนอกศาสนา หรือมุนาฟิกอย่างคุณมาคอยเดือดร้อนหรือใช้เป็นข้ออ้างในการเลี่ยงประเด็นเรื่องละหมาดหรอกนะครับ และยิ่งไม่อยากให้มันเป็นข้ออ้างในการเลี่ยงประเด็นเหมือนที่คุณชอบทำอยู่เป็นเนืองนิจ อีกด้วย การล้อเลียนเรื่องนี้มีคนตอบไปแล้ว และมันไม่ใช่การบิดเบือนเรื่องศาสนาจนทำให้คนเข้าใจผิด ว่าอิสลามสอนให้ตามบรรพบุรุษเหมือนบรรดาชนป่าเถื่อนในยุคอดีตครับ ดังนั้น ผมไม่ต้องสนใจ เหมือนกับการต้อนคนมุนาฟิก ให้มันเข้าประเด็นให้ได้ อันนี้ น่าาสนใจกว่า เพราะถามมา 5 ปี ก็หนีเหมือนเดิม ถามอย่างตอบอย่าง ถามเรื่องนั้นตอบเรื่องนี้ มันเป็นสันดานของมุนาฟิกครับ ที่ปล่อยเอาไว้รังแต่จะก่อความเสียหาย ซะเปล่าๆ และที่สำคัญ ผมไม่ได้ปกป้องฮะดีษอย่างเดียวนะครับ ที่สำคัญ ผมได้ กระชากหน้ากาก มนุษย์ชาติชั่ว ที่เป็นอ้างตัวเป็นมุสลิม แต่มันกลับ พูดแบบนี้กับกุรอ่าน ออกมาให้ทุกคนได้เห็นกันแล้วล่ะว่า ใครก็ตามที่มันอ้างว่า ยึดกุรอ่านอย่างเหนียวแน่น มันพูดอะไรถึงกุรอ่านไว้บ้าง จากคุณ : Carroth - [ 12 ธ.ค. 51 00:11:21 ]

ความคิดเห็นที่ 45 คุณไม่เข้าใจเองผมกล่าวว่า การละหมาดมีมาก่อนอัลกุราน และเราจะเห็นว่าพระเจ้าได้ บอกไว้ในอายะต่างๆ ให้เราทำละหมาด พระเจ้าจะไม่สั่งอะไร โดยที่มุสลิมไม่รู้มาก่อนว่า การทำละหมาดคืออะไร? ตอบความคิดเห็นที่ 42  ของผมด้วยซิครับ เราจึงจะคุยกันได้ ต่อไป..ชอบเลี่ยงอยู่เรื่อยเทียว จากคุณ : แมทท์ - [ 12 ธ.ค. 51 00:13:09 ]

ความคิดเห็นที่ 46 หวังว่าคงไม่หนีไปไหนจริงๆ นะครับ ผมอยากให้คุณมีความกล้าที่จะสนทนากับ ผมและมุสลิมในกระดานสนทนาแห่งนี้อย่าง กล้าหาญจริงๆ เพราะที่ผ่านมา คุณก็แค่คนตาขาว และกลับกลอกคนนึงเท่านั้น ที่พร้อมจะหนีจากกระทู้ทุกเมื่อ ที่จนแต้มหวังว่าคราวนี้จะไม่กลืนน้ำลายนะครับ ส่วนเรื่อง ฮะดีษของอิหม่ามบุคอรีนั้น ก็ถูกต้องแล้ว นี่ครับ ใช้ให้ตามกุรอ่าน กุรอ่านก็ใช้ให้ตามนบีตามที่ คคหที่ 6, 13 ของผมบอกไปก่อนแล้ว แต่ท่านบุคอรีเป็นผู้รวบรวม บรรดาฮะดีษต่างๆ มีการคัดกรองแล้วว่า สืบสายไปถึงท่านนบี สายรายงานน่าเชื่อถือ มีคนรายงานตรงกันเพื่อยืนยัน ไม่ใช่มีเพียงตัวบทเดียว นี่จึงเป็นแบบอย่างของท่านนบีที่เชื่อถือได้ครับ ซึ่งจะเป็นใครก็ได้ ที่สามารถสืบสาย จะท่าน ติรมีซีย์ มุสลิม หรือใครก็แล้วแต่ ไม่ใช่ ตามบรรพบุรุษ ที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร เป็นคนโกหกพกลมตลอดหรือไม่ บิดเบือนเก่งแค่ไหนมั่วแค่ไหน สืบสายไปถึงท่านนบีจริงหรือไม่ ก็ไม่ทราบ ซึ่งแบบนี้ มันเป็นการกระทำของพวกป่าเถื่อน หรือญาฮีลียะห์ ไม่ใช่มุสลิม เพราะฉะนั้นจะอ้างอะไรหัดดูให้ดีก่อนนะครับ จะได้ไม่หน้าแหกซ้ำซาก ตั้งแต่เรื่อง สุนัขแล้ว อ้างอย่างคนไม่รู้เรื่องสุดท้ายก็เป็นการประจานตัวเองว่า ตัวเองไม่มีการศึกษาเองเลยไม่เข้าใจเรื่องฮะดีษที่ตัวเองยกมาเพื่อโจมตี จากคุณ : Carroth - [ 12 ธ.ค. 51 00:22:48 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ผมไม่สนใจว่ากุรอ่านจะมีมาก่อนละหมาด หรือละหมาดมีมาก่อนอัลกุรอ่าน แต่คุณพูดเองว่า 3. ศาสดามูฮัมมัด  มีคำสั่งให้มุสลิมใช้เพียงแต่อัลกุรอานเท่านั้นในการ ปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ แต่ดันบอกในอีกที่หนึ่งว่า ผมกล่าวว่าเราทำกันสืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด ซึ่งเป็นความเข้าใจและเหตุผลของผม สรุปว่า ใช้กุรอ่านอย่างเดียว หรือตามบรรพบุรุษ ซึ่งนี่ถ้า บรรพบุรุษบอกว่าละหมาดมี 6 เวลา ก็ใบ้กินอีก เพราะบรรพบุรุษที่อ้าง นั้นบอกไม่ได้ว่าโกหกหรือพูดจริง ใครรายงาน ใครพูดจับมือใครดมไม่ได้ เพราะฉะนั้น ละหมาดมาก่อน หรือกุรอ่านมาก่อน ก็ไม่เกี่ยวครับ เพราะ สุดท้ายคุณก็ไม่ได้ใช่แต่กุรอ่านอย่างที่คุณโกหกไว้เช่นเดิม ส่วนเรื่องพระเจ้าจะไม่สั่งมาถ้ามุสลิมไม่รู้ว่าละหมาดคืออะไรนี่ก็ไม่เกี่ยว เพราะท่านนบีจะเป็นคนสอนเองครับ อายะห์ที่ให้ปฏิบัติตามนบีก็เอามาลงหลายรอบแล้ว ก่อนจะให้ผมตอบ ตอบมาก่อนครับว่า ทำละหมาดอย่างไรโดยอาศัยกุรอ่านอย่างเดียว ก่อนจะให้ผมตอบ ตอบมาก่อนครับว่า ทำละหมาดอย่างไรโดยอาศัยกุรอ่านอย่างเดียว ก่อนจะให้ผมตอบ ตอบมาก่อนครับว่า ทำละหมาดอย่างไรโดยอาศัยกุรอ่านอย่างเดียว ถ้าตอบไม่ได้ นั่นแปลว่า ยังไงก็ต้องอาศัยฮะดีษในการปฏิบัติศาสนกิจครับ ใครปฏิเสธแบบอย่างนบี คนนั้นก็ เป็นมุสลิมไม่ได้นะครับ จากคุณ : Carroth - [ 12 ธ.ค. 51 00:28:01 ]

ความคิดเห็นที่ 48 กระทู้นี้ได้เห็น แมทท์ได้ลึกขึ้นนะครับ บอกว่า จะปฏิบัติศาสนกิจต้องใช้กุรอ่านเท่านั้น แต่ตัวเองใช้บรรพบุรุษซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ มาใช้ด้วยไม่งั้น ละหมาดไม่ได้ บอกว่า ยึดอัลกุรอ่าน แต่กลับบอกว่า กุรอ่านต้องมีการปลอมแปลง ทั้งที่ อัลลอฮ์ทรงบอกเราว่า พระองค์จะรักษากุรอ่านด้วยพระองค์เอง บอกว่า นับถือพระเจ้าองค์เดียว แต่จริงๆแล้วพระเจ้าของแมทท์ก็คือตัวแมทท์เอง ศาสดาของแมทท์ก็ตัวแมทท์ แล้วคนนับถือลัทธิแมทท์จะเป็นใคร มันก็แมทท์อีกนั่นแหละ มุสลิมผู้นับถือศาสนาอิสลาม นั้น ศรัทธา อีกทั้งยอมจำนนต่อ อัลลอฮฺองค์เดียวครับ และทำตามแบบอย่างของนบีด้วย นี่ถึงจะเป็นมุสลิม ประเภทกุรอ่านก็ว่าปลอมแปลง แบบอย่างของนบีก็ว่านิทาน พร้อมจะโจมตีทุกอย่างที่ขัดกับอารมณ์ตน แม้ว่านั่นจะเป็นโองการของอัลลอฮ์ที่พระองค์บอกว่าจะรักษาด้วยพระองค์เอง คนแบบนี้ ถึงบอกว่าตัวเองเป็นมุสลิม แต่พฤติกรรมมันไม่ใช่นี่ แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 00:36:24 จากคุณ : Carroth - [ 12 ธ.ค. 51 00:35:28 ]

ความคิดเห็นที่ 49 อัสลามูอาลัยกุม ค่ะ คุณ  Carroth เห็นด้วยกับ คุณ  Carroth   มากๆ โดนใจดิฉันมาก ๆ ค่ะ ได้ใจไปทุกประเด็น give คะ เทศกาลแจก เอาไปเลยคะ คุณ  Carroth จากคุณ : kaiapoi (Kaiapoi) - [ 12 ธ.ค. 51 05:47:28 ]

ความคิดเห็นที่ 50 กว่าจะอ่านจบ ได้ความรู้จากคุณCarrothไปเยอะเลย หุหุ จากคุณ : @TipzaakunG@ - [ 14 ธ.ค. 51 17:12:03 ]