ความคิดเห็นที่ 1 กุรอ่าน ใช้ให้ตามนบีครับ และการละหมาดก็เช่นกัน การละหมาดมีบอกในกุรอ่านครับ แต่รายละเอียด ตั้งแต่เวลาละหมาดถึงการอะซานซึ่งมุสลิมทั่วโลกได้ทำนั้น มีอธิบายในฮะดีษครับ กุรอ่านใช้ให้ตามนบี (3:132) " และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา " (4:80) " ผู้ใดเชื่อฟังรอซูล แน่นอนเขาก็เชื่อฟังอัลลอฮฺแล้ว และผู้ใดผินหลังให้ เราก็หาได้ส่งเจ้าไปในฐานะเป็นผู้ควบคุมพวกเขาไม่ " (24:56) " และพวกเจ้าจงดำรงละหมาด และจงบริจาคอัซซะกาฮ์ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามรอซูล เพื่อพวกเจ้าจะได้รับควาเมตตา " (26:108) " ดังนั้นพวกท่านจงยำเกรงอัลลอฮฺ และเชื่อฟังฉัน" (นบีนุฮฺ) (4:59) " ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไปที่สวยยิ่ง " (4:69) " และผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮฺ และรอซูลแล้วชนเหล่านี้จะอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺทรงกรุณาเมตตาแก่พวกเขา อันได้แก่บรรดานบี บรรดาผู้ที่เชื่อโดยดุษฏี บรรดาผู้ที่เสียชีวิตในสงคราม และบรรดาผู้ที่ประพฤติดี และชนเหล่านี้แหละเป็นเพื่อนที่ดี " (33:71) " พระองค์จะทรงปรับปรุงการงานของพวกเจ้าให้ดีขึ้นสำหรับพวกเจ้า และจะทรงอภัยโทษความผิดของพวกเจ้าให้แก่พวกเจ้าและผู้ใดเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ แน่นอนเขาได้รับความสำเร็จใหญ่หลวง " ------------------------------------------------------------------------------------------------- การอ้างว่าเวลาละหมาดต่างๆ มีในกุรอ่านนั้น ใช่ครับ มีครับ เวลาต่างๆ แต่ถ้าไม่มีฮะดีษ เราจะพบว่า เวลาต่างๆ มีเกิน 5 เวลาครับ ถ้าเราไม่ใช้ฮะดีษ เพื่อบ่งชี้ว่า ละหมาด ภาคบังคับมีกี่เวลากันแน่ ถ้าผู้ใดพูดเช่นนี้ เรื่องนี้ เฉพาะมุสลิมบางท่าน ผู้ซึ่งไม่ เข้าใจและพยายามที่จะไม่เข้าใจว่า  การละหมาด ซึ่งเป็นข้อบังคับทางศาสนกิจของมุสลิม ข้อหนึ่ง คือการละหมาด 5 เวลา ประจำวันของมุสลิม ที่จะละเว้นไม่ได้ นั้น มีระบุกำหนดเวลาไว้อย่างแน่นนอนในอัลกุรอาน ในเมื่อกล้าบอกว่า มีระบุกำหนดเวลาละหมาดไว้อย่างแน่นอนในกุรอ่าน ก็ขอให้รับผิดชอบคำพูดด้วยนะครับว่า แน่นอนอย่างไร มาอ่านนี่กันครับเวลาละหมาดในกุรอ่าน มาดู กุรอ่านนี้นะครับ 17:78 จงดำรงการละหมาดไว้ตั้งแต่ตะวันคล้อยจนพลบค่ำ และการอ่านยามรุ่งอรุณจริงการอ่านยามรุ่งอรุณนั้นเป็นพยานยืนยันเสมอ ตั้งแต่ตะวันคล้อยจนพลบค่ำ เอ้าถ้าจะสมมุติว่า ละหมาดดุฮริฮ์ จนถึง มัฆริบ จะหมายความว่าอย่างไร เวลา ระหว่างดุฮริฮ์ กับมัฆริบ ที่เราทราบ คือ อัศริ แต่ไม่ใช่แค่นั้นครับ แต่มี และจงรำลึกถึงพระเจ้าของเจ้ามาก ๆ และจงกล่าวสดุดีในความบริสุทธิ์ของพระองค์ ทั้งในเวลาอะชีย์และเวลาอิบการ์ (3:41) และจงแซ่ซ้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้าทั้งในเวลาอะชีย์และเวลาอิบการ์ (40:55) อะชีย์ ก็ เวลาเย็นๆนะครับ จะไปเบียดกับอัศริ ตอนไหนไม่ทราบ มีเวลาเพิ่มมาอีกแล้วนะครับ แล้วมีละหมาดนี้ด้วย 238. พวกเจ้าจงรักษาบรรดาละหมาดไว้ และละหมาดที่อยู่กึ่งกลาง(*1*) และจงยืนละหมาดเพื่ออัลลอฮ์โดยนอบน้อม กึ่งกลางนี่อะไรครับ อศัริ เหรอ? รู้ได้อย่างไรครับ อย่าลืมนะครับ การอธิบายว่าเป็นละหมาดอัศริ หรือบอกว่านี่คือละหมาดอัศริ มีอยู่ตรงไหนของโองการ เพราะกุรอ่านบอกว่า กึ่งกลาง ไปเอาคำอธิบายได้ยังไง เพราะนั่นนอกอัลกุรอ่านครับ เป็นกึ่งกลางระหว่างอะไรครับ ระหว่าง ซุบฮิ กับ อัศริ แบบโองการนี้หรือเปล่า และจงสดุดีด้วยการสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าก่อนการขึ้นของดวงอาทิตย์ และก่อนมันตก (50:39) ให้สดุดีสรรเสริญก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น .... มันตรงกับละหมาดศุบห์นี่นา แล้วสดุดีสรรเสริญก่อนดวงอาทิตย์ตก .... ก็ตรงกับละหมาดอัศร์ ระหว่างนี้มีเวลาอะไรบ้าง ก็มีเวลาอิบการ์ด้วยครับ ซึ่งก็คือ ตอนเช้าๆ และมีเวลา ฎุฮา ด้วยครับ พี่น้องคร้าบ ดังนี้ ซูเราะฮฺ อัฎฎุฮา อายะห์ที่ 1. ขอสาบานด้วยเวลาสาย ถึงตอนนี้ได้กี่เวลาแล้วครับก็ ศุบฮ์ อิบการ์ ฎุฮา ดุฮริ อะชีย์ อัศริ มัฆริบ   ยังไม่ถึงเวลา อิชา ก็ 7 เวลาแล้วครับ มาถึงเวลาอิชาบ้าง อิชานี่ เวลาไหนเหรอครับ 58. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ! จงให้บรรดาผู้ที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง (*1*) และบรรดาผู้ที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะในหมู่พวกเจ้า ขออนุญาตพวกเจ้าสามเวลาคือ ก่อนเวลาละหมาดฟัจญริ และเวลาพวกเจ้าเปลื้องเสื้อผ้าในเวลากลางวัน (*2*) และหลังจากเวลาละหมาดอิชาอฺ (*3*) ทั้งสามนี้เป็นเวลาส่วนตัวสำหรับพวกเจ้า (*4*) หลังจากนี้แล้วไม่เป็นที่น่าตำหนิแก่พวกเจ้าและแก่พวกเขา เพราะพวกเขาวนเวียนรับใช้บางคนในหมู่พวกเจ้า เช่นนั้นแหละอัลลอฮฺทรงชี้แจงโองการทั้งหลายให้เป็นที่ชัดแจ้งแก่พวกเจ้า และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ เอ๊ะ แน่ใจเหรอว่าหมดแค่นี้ ซูเราะห์อัซ-ซุมัร  โองการ 9  ซึ่งมีใจความว่า  :  “หรือว่าพวกเจ้า  (โอ้ชนชาวมุชริก)  จะดีกว่าผู้ที่มีความภักดีที่ทำการกราบนมัสการและตื่นขึ้นในเวลากลางคืน  โดยมีความหวั่นกลัว (อันตรายของ) โลกหน้า  และมุ่งหวังความเมตตาแห่งองค์อภิบาลของเขา   จงประกาศเถิด ! บรรดาผู้รู้กับผู้ไม่รู้นั้นจะเท่าเทียมกันหรือ ?  อันที่จริงบรรดาผู้มีวิจารณญาณทั้งหลายย่อมสำนึกแน่” โอ้ มีเวลาละหมาดแบบที่ตื่นขึ้นในเวลากลางคืนด้วย ไม่ใช่ก่อนนอนแบบอิชานะครับ เท่าไหร่แล้ว ศุบฮ์ อิบการ์ ฏุฮา ดุฮริ อะชีย์ อัศริ มัฆริบ อิชา และเวลา ที่ตื่นขึ้นกลางดึก คือ ตะฮัจญุดนะครับ 9 แล้วครับ ยังมีอีกครับ เอาเบาะๆ แค่นี้ ก็ 9 เวลาแล้วครับ แมทท์ครับ แน่ใจเหรอครับ ว่า กุรอ่านระบุเวลาละหมาด 5 เวลา อย่างแน่นอนแล้ว ทำไมนับไปนับมา 9 แล้วอ่ะครับ อ่ะถ้ายังงงไปดู กระทู้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7289891/Y7289891.html คคที่ 22 ของผมนะครับ ท่านผู้รู้ท่านหนึ่ง นับได้ 12 ครับ ทุกท่านลองไปอ่านดู ก็ได้ เผื่อได้มากกว่านี้ จะว่าไป 17:78 เนี่ย บอกว่า ตั้งแต่ตะวันคล้อย ถึงพลบค่ำ ไม่ได้ให้แบ่ง ไม่แน่ เราอาจจะต้องคอมโบ ละหมาด จนถึงค่ำก็ได้ ถ้าจะเอาแต่กุรอ่านโดยไม่เอาแบบอย่างนบีนะครับ ว่าไงครับ นี่เรื่องเวลาละหมาดล้วนๆ เคลียร์หน่อยนะ จากคุณ : Carroth - [ 12 ธ.ค. 51 08:13:00 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ผมขอความกรุณาครับ คุณ Carroth  ผมเข้าใจที่คุณ อธิบายแต่กระทู้นีผมมีความตั้งใจจะ เขียนในแง่ของหลักวิชาการ โดย การใช้ "ฮาดีษ" ที่มุสลิมเชื่อว่าเป็นคำกล่าวของท่านรอซูลมาสนับสนุน เพื่อให้ ผู้ที่ยึดมั่นใน ซุนนะห์   ของท่านรอซูล ซึ่งถูกบันทึกโดยท่านปราชญ์ทางอิสลาม เช่น "ฮาดีษของอีมาม บุคอรี"  มาสนับสนุนให้เห็นว่า การละหมาดที่เราทำกันอยู่ในปัจจุบันนี้  มีอยู่ในอัลกุรอาน        ซึ่งถ้าผมอธิบายในหลักการเช่นนี้ ผมว่า คุณและผมคงเข้าใจในเรื่องนี้กันได้ว่า อัลกุรอานนั้นมีความสำคัญมากเพีบงไร และการละหมาด ก่อนที่จะมาถูกบันทึกเป็นฮาดีษนั้นมีความเป็นมาอย่างไร? เพื่อเราจะได้จบเรื่องนี้กันเสียที คุณก็ทราบดี  และบรรดาผู้เรียนวิชาการฮาดีษทั้งหลายคงทราบดี  ว่า เหตุที่ต้องมีการจัดลำดับความเชื่อถือ ในความจริงของ ฮาดีษก็เพราะว่า มีเรื่อง เล่า ที่โกหก และเชื่อถือไม่ได้ อยู่มากใน "อะหะดีษ"          ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องมีหลักสูตรในการ วินิฉัยว่า  ฮาดีษแต่ละระดับนั้น มีหลักเกณฑ์ ในความเที่ยงตรงมากเท่าใด   แม้แต่ปราชญ์ทางศาสนา ยังต้อง ประชุมตัดสินก่อนที่จะเชื่อเรื่องราว ที่บอกเล่าเหล่านั้น     มีท่านอีมาม บางท่านกล่าวว่า ไม่ว่าฮาดีษจะอยู่ในขั้นใดก็ตาม ถ้าขัดกับอัลกุรอานให้ โยนทิ้งไป (อีมามมาลิก)   ขอให้ผมอธิบายเรื่องนี้ให้ติดต่อกันจนเป็นที่เข้าใจเสียก่อนจะดีกว่า ที่จะ เอาเรื่อง เก่าๆ ขึ้นมาก่อเรื่องให้โต้เถียง กันอีก ซึ่งผม จะไม่มีส่วนร่วมด้วย  และอย่าหาว่าผมเสียมรรยาท   แต่ถ้าคุณมีปัญหาจะถามผมยินดีจะตอบว่า เพราะเหตุใด ผมจึง อธิบายเช่นนั้น. จากคุณ : แมทท์ - [ 12 ธ.ค. 51 10:00:34 ]

ความคิดเห็นที่ 3 แมทท์ มาปล่อยไก่อีกแล้ว  รู้ไม่จริงแล้วมาโพสเพื่อ คุณยังไม่เข้าใจคำว่าฮาดิษ กับ อัลกุรอ่านดีเลย ผมย้อนดูกระทู้ตั้งแต่โพสมา พบว่าในการตีความ ฮาดิษของคุณในแต่ละโพส ผมไม่อยากใช้คำหยาบ  แต่มันตีความได้ ..... มาก เหตุผลของคนที่ไม่เชื่อหรือยึดตามฮาดิษที่ถูกต้องนั้น ฟังไม่ขึ้น แต่ส่วนใหญ่แล้วคือ  มันไม่ได้ตามใจของบุคคลผู้นั้น นั้นเอง  เช่น ในอเมริกา  ผู้หญิงขึ้นอ่านคุตบะในวันศุกร์  นั้น ได้หรือไม่  ตอบ ตามหลักศาสนา ไม่ได้ เพราะละหมาดญุมอัต ในวันศุกร์ มันไม่บังคับต่อผู้หญิง นี้อะไรทำจนระบบเสียหมด  แต่ถ้าจะมาฟังคุตบะด็ได้..แต่ละคนก็มีหน้าที่ ที่ศาสนากำหนอเหมาะสมอยู่แล้ว สองพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับกาฝากในอิสลามหรอก ต้นต่อจริงๆๆของพวกที่ไม่ยึดฮาดิษจริง เดียววันหลังมาเล่าให้ฟัง จากคุณ : chanonhad - [ 12 ธ.ค. 51 17:41:08 ]

ความคิดเห็นที่ 4 "เช่น ในอเมริกา  ผู้หญิงขึ้นอ่านคุตบะในวันศุกร์  นั้น ได้หรือไม่  ตอบ ตามหลักศาสนา ไม่ได้ เพราะละหมาดญุมอัต ในวันศุกร์ มันไม่บังคับต่อผู้หญิง นี้อะไรทำจนระบบเสียหมด  แต่ถ้าจะมาฟังคุตบะด็ได้..แต่ละคนก็มีหน้าที่ ที่ศาสนากำหนอเหมาะสมอยู่แล้ว" ไม่แต่ในอเมริกาเท่านั้นครับ สตรีมุสลิมในเมืองจีน ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอีมาม  และเป็น คตีบก็มีครับ   หลักศาสนาอะไร?ครับที่ห้ามผู้หญิงในการประกอบศาสนกิจต่อพระเจ้า  คุยกันวันนี้ก็ได้ ไม่ต้องรอวันหลัง ในความคิดของผมมี กาฝากอยุ่สามชนิดครับ... ชนิดแรก ใช้หลัการในศาสนาต่อเติม  กีดกันเพศหญิง ไม่ให้ประกอบศาสนกิจประจำวันต่อพระเจ้าเท่าๆกับเพศชาย   โดยลืมไปว่าตัวเองเอาศรีษะลอดออกทางช่องคลอดของเพศหญิงเวลาเกิดมา  ต่อเติมศาสนาดูเหมือนกาฝากที่มีลักษณะเป็นกิ่งไม้ของต้นเดียวกัน ประเภทที่สองเป็นประเภทที่เดินกินบุญและปล่อยลูกเมียทำงานหาเลี้ยงตัวเอง  ผมไม่ทราบว่าคุณอยู่ในประเภทไหน?     แต่ถ้าเป็นประเภทที่ไม่ให้เกียรติและสิทธิเพศหญิงโดยอ้างศาสนาแล้ว เพศนี้ออกมาทางรูกระบอกไม้ไผ่  เป็นพวกหนอนและสัตว์เลื้อยคลานอะไรทำนองนั้น เพราะไม่รู้บุญคุณมารดา จะคุยเรื่องอะไร? มีปัญหากับตัวผม  ก็คุยมาเลยครับ   รู้จริงกับรู้ไม่จริงไม่มีบรรทัดฐานอะไรจะวัดได้ แต่สิ่งใดที่ถุกต้องตามอัลกุรอานหรือไม่นั้น ใช้อัลกุรอานเป็นบรรทัดฐานได้ จากคุณ : แมทท์ - [ 13 ธ.ค. 51 02:56:25 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อีหม่ามในประเทศจีนชื่ออาจเหมือนอีหม่ามที่เป็นชาย แต่หน้าที่ต่างกัน อีหม่ามหญิงมิได้มีหน้าที่นำละหมาดครับ อีหม่ามหญิงมีหน้าที่ให้ความรู้ศาสนาให้กับผู้หญิงในชุมชนนั้นๆ เพราะบางเรื่องเหมาะกว่าที่จะเรียนกับผู้หญิงด้วยกันมากกว่า เช่น การล้างอวัยวะเพศหลังจากปลดทุข การมีเพศสัมพันธ์ การดูแลร่างกายตามหลักการศาสนา และยังเป็นการตอบสนองเจตนารมย์ที่ป้องการปะปนระหว่างเพศอีกด้วย อีหม่ามหญิงในเมืองจีนจึงเป็นแค่ครูสอนศาสนาเท่านั้น คนละเรื่องกับหญิงที่นำละหมาดในอเมริกาเลยครับอย่ามั่ว และการไม่ให้ละหมาดปนกันมันกีดกันเพศหญิงตรงไหนหว่า อย่างนี้ผมก็มองได้เช่นกันสิว่าศาสนาอิสลามกีดกันเพศชายไม่ให้ละหมาดรวมกับผู้หญิงผมชอบจะตายแต่ทำไมไม่ให่ผมยืนละหมาดข้างๆผู้หญิงไหล่ชนไหล่ ยิ่งการละหมาดเขาให้ยืนเบียดกันด้วยผมก็หมดสิทธิยืนเบียดสาวๆสิ(น้ำลายไหลยืด) ศาสนาอิสลามกีดกันเพศชายจริงๆด้วย ศาสนาอิสลามไม่ไห้เพศหญิงนำละหมาดนี่กีดกันเพศชายจริงๆ ผมหมดสิทธิเห็นขนาดก้นของอีหม่ามหญิงว่า บะละเหิ่มขนาดไหนเวลาสูหญูด คนไหนก้นใหญ่ ก้นเล็ก ก้นห้อย ก้นย้อย ก้นบาน ก้นลู่ ยิ่งก้นงอนนี่ผมชอบจริงๆ ศาสนาอิสลามช่างกีดกันเพศชายจริงๆ ทั้งๆที่เพศหญิงเกิดมาจากเสปิร์มของชายที่กำลังฮึดๆแท้ๆ^^ แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 51 06:37:16 จากคุณ : ghanee.s - [ 13 ธ.ค. 51 06:30:51 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ไม่มีใครบอกว่า กุรอานไม่สำคัญต่อการละหมาดเพราะ กุรอ่านใช้ให้ทำละหมาด และกุรอ่านก็บอกให้ปฏิบัติตามท่านนบีด้วย แต่เมื่อคุณบอกว่า ละหมาด 5 เวลา ประจำวันของมุสลิม ที่จะละเว้นไม่ได้ นั้น มีระบุกำหนดเวลาไว้อย่างแน่นนอนในอัลกุรอาน คุณก็ต้องเคลียร์หน่อยครับ เพราะเวลาละหมาดถ้าไม่อาศัยแบบอย่างนบี เราสามารถ หาเวลาละหมาดได้จากกุรอ่านเป็นสิบเวลา และไม่มีมุสลิมคนไหนบอกว่า การละหมาดไม่ได้มาจากกุรอ่าน แต่บอกว่า ไม่มีบอกนะครับว่าละหมาด มี 5 เวลา เขาบอกแบบนี้ ซึ่งคุณก็ไม่ได้หาคำตอบมาได้แต่อย่างใดนี่ครับ จากคุณ : Carroth - [ 13 ธ.ค. 51 07:38:08 ]

ความคิดเห็นที่ 7 คุณCarroth.. ผมว่าจะทำกระทู้นี้ให้เป็นที่เข้าใจกันทั้งสองฝ่าย และจะไม่ให้เลอะเทอะ  คุยกันด้วยเหตุผล ค่อยไป อย่าให้ ยาวจนเกินไปในแต่ละความเห็น  ทำให้เข้าใจยาก  และกล่าวกันให้ตรงจุด  ตรงหัวกระทู้  ผมจะลองอีกครั้ง เราจะกล่าวเป็นข้อๆไป   ว่า.. 1. เวลาในการละหมาด ในอัลกุรอานกล่าวไว้ว่าอย่างไร และ ใน อะหะดีษกล่าวว่าอย่างไร?    เอาไปทีละข้อๆ  คุณเห็นว่าอย่างไร คุณจะยกฮาดีอะไรมาก็ได้  ถ้าฮาดีษบทใดที่ตรงกับ อัลกุรอาน แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ฮาดีษ เพราะ บัญญัติในอัลกุรอาน เหนือกว่า ฮาดีษอยู่แล้ว คุณเห็นว่าออย่างไร? แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 51 09:45:33 จากคุณ : แมทท์ - [ 13 ธ.ค. 51 09:44:30 ]

ความคิดเห็นที่ 8 "หลักศาสนาอะไร?ครับที่ห้ามผู้หญิงในการประกอบศาสนกิจต่อพระเจ้า"   มีหรือไม่คุณก็ลองคิดซิครับ เช่น เวลามีประจำเดือนผู้หญิงไม่ต้องถือศีลอด  อย่าสีกแต่โพส หรือ เอาบรรทัดฐานของตัวเองตัดสินหลักการ บ้านมีกฎบ้าน ศาสนาก็มีกฎเกณของมัน  คุณแมทย์ จากคุณ : chanonhad - [ 13 ธ.ค. 51 14:13:38 ]

ความคิดเห็นที่ 9 "หลักศาสนาอะไร?ครับที่ห้ามผู้หญิงในการประกอบศาสนกิจต่อพระเจ้า"  มีหรือไม่คุณก็ลองคิดซิครับ เช่น เวลามีประจำเดือนผู้หญิงไม่ต้องถือศีลอด  อย่าสีกแต่โพส หรือ เอาบรรทัดฐานของตัวเองตัดสินหลักการ บ้านมีกฎบ้าน ศาสนาก็มีกฎเกณของมัน  คุณแมทย์ ............. I am at work at this moment. I have few minutes to tell you that I don't know but what I know for sure is not "Islam". There is no basis (บรรทัดฐาน) for such teaching in Al Qur'an. You have to read and study more  อย่าสีกแต่ say anything that you do not understand. It can make you look like a fool. The only knowledge (about Islam from God) is through  Al Qur'an. จากคุณ : แมทท์ - [ 13 ธ.ค. 51 16:50:20 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ประเด็นมันไม่ใช่ ถ้าฮะดีษบทใดตรงกับอัลกุรอ่าน ก็ไม่ต้องใช้ฮะดีษหรอกครับ เพราะฮะดีษคือการเสริมหรืออธิบายเช่น เวลาละหมาด ซิบฮิ กุรอ่านบอกไว้ แต่ฮะดีษจะบอกว่าเวลาไหน ดูอย่างไรต่างหาก เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอย่างไร ถ้าไม่เอาแบบอย่างนบี หรือฮะดีษ ก็จะละหมาดไม่ได้หรอกครับ ไม่ต้องเฉไฉไปเทียบให้วุ่นวาย จากคุณ : Carroth - [ 13 ธ.ค. 51 18:42:49 ]

ความคิดเห็นที่ 11 คุณ Carroth:        ตามที่คุณกล่าวก็ถูกอยู่ แต่ ขอให้ผมได้มีโอกาสได้อธิบาย ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดกว่าที่คุณกล่าว ไว้ เช่นใน  อายะ50:39  มีบัญญัติ ให้ทำละหมาด ต่ออัลลอฮ์ ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น และก่อนที่มันจะตก   นั้นคือหมายถึง การละหมาด ฟัจรฺ และ การ ละหมาด อัศรฺ และถ้าคุณ อ่านในฮาดีษ เกี่ยวกับ อายะ5:39ไว้ดังนี้ "ฮาดีษ  หมายเลฃ 1048. Abu Zuhair `Umarah Ruwaibah (May Allah be pleased with him) reported: I heard the Messenger of Allah (PBUH) saying: "He who performs Salat (prayers) before the rising of the sun (การละหมาด ฟัจรฺ) and before its setting(การ ละหมาด อัศรฺ), will not enter the Hell.'' [Muslim].    ฮาดีษบทนี้คุณจะเห็นว่าตรงกับที่ อัลลอฮ์ ทรงมีบัญชาไว้ในอัลกุรอาน(ในเรื่องเวลาของการละหมาด ฟัจรฺ และ การ ละหมาด อัศรฺ)        ตามที่คุณอธิบายว่า ใน ฮาดีษอธิบายว่า  แต่ฮะดีษจะบอกว่าเวลาไหน ดูอย่างไรต่างหาก? เรื่องนี้ตอบไม่ยาก     การกำหนดเวลานี้ คุณจะเห็นว่า ไม่ใช่เป็นการยากที่จะใช้ สามัญสำนึก ของ มนุษย์ชนชาติต่างๆ ที่ อาศัยอยู่ใน สถานที่ๆ ดวงอาทิตย์ ขึ้นและตก  ในเวลาที่แตก ต่างกันมาก       พระเจ้าจึง กำหนดเวลา โดย ให้มนุษย์เรา ใช้ การพิจารณา จาก สิ่งที่พระองค์ได้สร้างไว้ให้ คือ ดวงอาทิตย์ และ ดวงจันทร์ ในสภาพภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน, ที่ พระองค์ทรงอธิบายถึงสัญญาลักษณ์ เหล่านี้ อยู่ในอัลกุรอาน อย่าง แจ่มแจ้ง      ทำไมเราจะทราบว่าพระอาทิตย์ ก่อนขึ้น เป็นอย่างไร?  ก็คือเวลาที่ “ก่อนที่สายตาเราจะเห็นแสงสว่างของดวงอาทิตย์”     พระอาทิตย์ก่อนจะตกมีสัญญาณอย่างไร? “ก่อนที่สายตาของมนุษย์จะเห็นความมืดมัวหรือเห็นแสงสว่างเป็นครั้งสุดท้ายของวัน”    ซึ่งการสังเกตุนี้ จะ กำหนดไว้อย่างเด็ดขาดแน่นอนสำหรับแต่ละท้องถิ่นไม่ได้   เพราะขึ้นอยู่กับการ โคจรของ โลกและ ดวงอาทิตย์  เวลาตามเข็มนาฬิกาที่มนุษย์กำหนดไว้นั้น เป็นสากลของแต่ละภูมิภาคของโลก เพื่อใช้ในธุระกิจต่างๆ,  แม้กระนั้น ยังต้องมีการเปรียบเทียบ เวลา ที่แตกต่าง กันของ ทุกๆแห่งของโลก    ด้วยเหตุนี้  ในปัจจุบัน จึงยังมีมุสลิมจำนวนมากที่ยัง  ใช้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ในการกำหนดเวลา ปฏิบัติศาสนกิจ          เราอาจจะอ้างอายะต่างๆในเรื่องการกำนดเวลาในอัลกุรอาน เปรียบเทียบกับ ฮาดีษ เช่น ตัวอย่างที่ผม ชี้ให้เห็น  ทุกๆ เวลา ได้ เช่นกัน  ส่วนชนิดของการละหมาด ต่างๆนั้น เราจะค่อยๆ คุยกันไป  ผมว่าไม่นานคุณจะเข้าใจความเข้าใจของผม ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับความเห็นของคุณ แต่สิ่งเหล่านี้  คุณก็ทราบดีในสังคมมุสลิมเรายังมีเรื่องอีกมากมาย ที่ยังตกลงกันอย่างเด็ดขาดไม่ได้      อีกอย่างหนึ่งเราเริ่มสนทนากันมาด้วยเหตุผลด้วยดีแล้ว กรุณาอย่า “ติฉินกันเป็นเรื่องส่วนตัว”  ผมต้องการให้สมาชิกต่างๆ เข้าใจในเรื่องนี้ด้วย  การกล่าวว่ากัน เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ทำให้เราคุยหลักวิชา กันได้     การเปรียบเทียบไม่ใช่เป็นเรื่องเฉไฉ ทำให้วุ่นวาย  ถ้าเราพยายามเข้าใจเหตุผลของการเปรียบเทียบ ถ้าธุระกิจต่างๆ  ไม่อาจจะนำเหตุผลและการเปรียบเทียบมาใช้แล้ว  ธุระกิจเหล่านั้น จะไปไม่รอด     ผมมีธุระกิจย่อยๆ อยู่สองอย่างใน อเมริกา เป็นเวลากว่า 23 ปีแล้ว นอกจากงานประจำที่ รพ.  ในการตัดสินใจใดๆ ส่วนมากแล้ว จะไม่มีความเห็นตรงกันทุกๆอย่างหรือทุกๆครั้งไป แต่เมื่อยกตัวอย่าง ที่คล้ายๆกันมา เปรียบเทียบ ทำให้เรามาถึงจุดที่ มีความเห็นร่วมกันได้  ก็คือ  “ลองทดลองทำก่อน”    ถ้ามัน Work ก็ดำเนินต่อไป ถ้าไม่ Work ก็ กลับมาคิดกันใหม่  และหาวิธีการใหม่  การ กล่าวต่อว่ากันเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ทำให้เราเข้าใจอะไร นอกจาก บาดหมางใจ กันเปล่าๆ  และไม่เป็นประโยชน์ แก่ผู้สนใจในกระทู้เช่นนี้ จากคุณ : แมทท์ - [ 14 ธ.ค. 51 03:28:05 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ไม่แน่ใจว่าคุณอ่านดีหรือเปล่านะครับ เพราะฮะดีษนี้ไม่ใช่ฮะดีษเดียวที่พูดถึงเรื่องการละหมาดเวลาต่างๆ ฮะดีษนี้ตรงกับกุรอ่านครับ แต่ถ้ามีเพียงฮะดีษบทนี้เราก็จะไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเวลาละหมาด ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ก่อนพระอาทิตย์ตกเนี่ยเวลาไหน มาดูกันนะครับว่ามีการตั้งขอสังเกตไว้อย่างไร และจงสดุดีด้วยการสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าก่อนการขึ้นของดวงอาทิตย์ และก่อนมันตก (50:39) ก่อนพระอาทิตย์ตก คืออะไร ใช่อัศร์อย่างเดียวเหรอ มีเวลานี้ด้วยครับ และจงแซ่ซ้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้าทั้งในเวลาอะชีย์และเวลาอิบการ์ (40:55) อะชีย์ ก็ เวลาเย็นๆนะครับ สรุปว่า มันได้ทั้งอะชีย์กับอัศริครับ ดังนั้น ไม่ว่าจะยังไง ก็ไม่สามารถตัดฮะดีษออกไปได้เด็ดขาด เพราะนั่นคือแบบอย่างนบี ที่กุรอ่านสั่งใช้ให้เราตาม ต่อมาเรื่องเวลาละหมาด อันนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ที่คุณอธิบายมานั่นมันไม่ใช่ใช้กุรอ่านอย่างเดียวครับ แต่มันใช้ตัวคุณเองเป็นหลัก และมานั่งเดาเอาว่า เวลาไหนกันแน่ ถึงจะเรียกว่า เวลาก่อนพระอาทิตย์ขึ้น หรือเวลาก่อนพระอาทิตย์ตก กลางดึก หลังเที่ยงคืน ตี 3 ตี 4 เราก็เรียกว่าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนะครับ แต่เราจะดูแสงนั้นอย่างไร มีหลักการอย่างไร ที่คุณอ้างว่าใช้สามัญสำนึก นั่นแปลว่าคุณเดาเอง ไม่มีหลักการ แบบนี้ ร้อยคนก็ร้อยแบบล่ะครับ ถ้าขยันหน่อยก็ ละหมาด ซะ ตี 3 เพราะนั่นก็ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเช่นกัน หรือเห็นแสงอาทิตย์รำไร แต่ยังไม่ขึ้น เต็มที่ กันแน่ เราจะรู้ได้อย่างไร จะอ้างว่าใช้สามัญสำนึกไม่ได้ เพราะนั่นคือการเดาครับ ผมถึงบอกไงครับว่า ต้องใช้แบบอย่างนบี หรือฮะดีษของนบี ในการกำหนดหรือดูเวลาละหมาด ครับ เช่นกันนะครับ เวลาอัศรี่ ก่อนพระอาทิตย์ตก ดูยังไงครับ หลังบ่ายคล้อยปุ๊บ มันก็ ก่อนพระอาทิตย์ตกแล้วครับ คล้อยไปครึ่งทางก็ถือว่าก่อนตก หรือ จนแสงอ่อนมากๆ แล้วนั่นก็ก่อนตก หรือบางคน จะถือว่ากำลังตกไปครึ่งดวงนี่ก็เป็นก่อนตกแล้วครับ คุณจะอ้างว่าสามัญสำนึกได้อย่างไร ในเมื่อ สามารถเดาได้หลายอย่าง มันไม่ใช่สามัญสำนึกครับ แต่มันเป็นการเดา ดังนั้นการที่จะอ้างฮะดีษเทียบกับกุรอ่านดูว่า มีกล่าวถึงไหมทำได้ครับ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียวให้ตัดฮะดีษนั้นออก เพราะอย่างที่ผมบอกนะครับ กุรอ่านมีบอกเวลาต่างๆ ในการละหมาด แต่จากคคหที่ 1 ที่ผมตั้งข้อสังเกต เราจะพบว่า ถ้า เอาแต่กุรอ่าน การละหมาด มีเกิน 5 ครับ ผมนับได้ 9 ส่วนผู้รู้ที่ผมอ้างถึงนั้น นับได้ถึง 12 นะครับ จะเห็นได้ว่า มีการเปรียบได้ครับ แต่ไม่มีเหตุผลเลยที่ทำให้ เราสามารถปฏิเสธฮะดีษได้ เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องคุยกันไปไหนครับ เนื่องจากเราได้เห็นแล้วว่า ยังไงก็ตาม แบบอย่างของนบี ต้องทำตามครับ ไม่เช่นนั้นคุณจะปฏิบัติศาสนกิจอิสลามไม่ได้ จะมั่ว จะวุ่นวายทันที และถ้าบอกว่า ใช้แต่กุรอ่านเท่านั้นในการปฏิบัติศาสนากิจ ก็ต้องเคลียร์ให้ได้ครับ ซึ่งตอนนี้ผมก็ยังไม่พบว่าแมทท์จะ หาเหตุผลอะไรมาบอกว่าปฏิบัติศาสนกิจโดยใช้แต่กุรอ่านโดยไม่เอาแบบอย่างนบีนั้นทำได้ หรือแม้แต่ เวลาละหมาด 5 เวลา ก็ยังสรุปไม่ได้เลยว่า มี 5 เวลา ถ้าใช้เฉพาะกุรอ่าน การเปรียบเทียบ ทำได้ครับ แต่เปรียบเทียบกับ การเฉไฉมาคนละเรื่อง ตัวอย่างเช่นเราเปรียบเทียบได้ครับ ว่าฮะดีษพูดเรื่องเดียวกับกุรอ่าน เพื่อแสดงว่า ฮะดีษ อิงกุรอ่านครับ แต่จะบอกว่า ถ้าเทียบได้แล้วตัดฮะดีษออกได้นั้น มันคนละเรื่องเลยครับ เพราะว่า การเทียบว่ามีนั้น แต่ฮะดีษมีรายละเอียดเพิ่มครับ จะไปตัดได้ยังไง และฮะดีษคือคำพูดของนบี จะไปตัดได้ยังไง? คนละส่วนกัน จากคุณ : Carroth - [ 14 ธ.ค. 51 08:03:20 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ตามที่ผมกล่าวไว้ว่าใน  อายะ50:39  มีบัญญัติ ให้ทำละหมาด ต่ออัลลอฮ์ ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น และก่อนที่มันจะตก  นั้นคือหมายถึง การละหมาด ฟัจรฺ และ การ ละหมาด อัศรฺ       ผมได้อธิบายว่า”การกำหนดเวลานี้ คุณจะเห็นว่า ไม่ใช่เป็นการยากที่จะใช้ สามัญสำนึก ของ ชนชาติต่างๆ ที่อยู่ใน สถานที่ๆ ดวงอาทิตย์ ขึ้นและตก  ในเวลาที่แตก ต่างกันมาก  พระเจ้าจึง กำหนดเวลา โดย ให้มนุษย์เรา ใช้ การพิจารณา จาก สิ่งที่พระองค์ได้สร้างไว้ให้ คือ ดวงอาทิตย์ และ ดวงจันทร์ ในสภาพภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน, ที่ พระองค์ทรงอธิบายถึงสัญญาลักษณ์ เหล่านี้ อยู่ในอัลกุรอาน อย่าง แจ่มแจ้ง” และถ้าคุณ อ่านในฮาดีษ เกี่ยวกับ อายะ 50:39   และอ้าง ฮาดีษ  หมายเลฃ 1048. Abu Zuhair  แต่คุณกลับอ้างว่า..... “ดังนั้นการที่จะอ้างฮะดีษเทียบกับกุรอ่านดูว่า มีกล่าวถึงไหมทำได้ครับ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียวให้ตัดฮะดีษนั้นออก เพราะอย่างที่ผมบอกนะครับ กุรอ่านมีบอกเวลาต่างๆ ในการละหมาด แต่จากคคหที่ 1 ที่ผมตั้งข้อสังเกต เราจะพบว่า ถ้า เอาแต่กุรอ่าน การละหมาด มีเกิน 5 ครับ ผมนับได้ 9 ส่วนผู้รู้ที่ผมอ้างถึงนั้น นับได้ถึง 12 นะครับ จะเห็นได้ว่า มีการเปรียบได้ครับ แต่ไม่มีเหตุผลเลยที่ทำให้ เราสามารถปฏิเสธฮะดีษได้”      เมื่อคุณกล่าวเช่นนั้น ผมจึงขอนำฮาดีษ อีกบทหนึ่งพรอ้มดัวยคำอธิบายของท่าน อุลมาที่ดีบางท่านที่ ผมยังเชื่อถือในการสอนของท่าน ที่อธิบายว่า  “อัลกุรอานอายะที่ 50:39  นี้ ท่านรอซูลได้กล่าวว่าเป็นการบอก เวลาของการละหมาดฟัจรฺ และ การ ละหมาด อัศรฺ        และถ้าคุณ เชื่อว่า “ซอเฮี๊ยะอาดีษ” เป็นของแท้แล้ว นี่คือตัวอย่าง “ซอเฮี๊ยะอาดีษ” ที่ผมเชื่อว่าแท้จริง โดยเหตุผลที่ว่า ..ข้อความตรงกับอัลกุรอาน และ อุลมาทั้งหลายยอมรับและ ได้ทำการ อธิบายว่า  ฮาดีษ Volume 1, Book 10, Number 529 ทีนำมาอ้างข้างล่างนี้คือ  เป็น ฮาดีษที่ยืนยัน  คำอธิบายอัลกุรอานอายะที่ 50:39  ว่าเป็นอายะที่บอกเวลา การละหมาดการละหมาดฟัจรฺ และ การ ละหมาด อัศรฺ..   ไม่ได้เป็นการเพิ่มจำนวนการทำละหมาดขึ้นมา อย่าง ที่ผู้รู้ ในเวบ มรดก อธิบาย หรือ ที่คุณ เข้าใจ(ส่วนผู้รู้ ???, ที่ผมอ้างถึงนั้น นับได้ถึง 12 นะครับ)  มาถึงตอนนี้คุณจะเชื่อ “ซอเฮี๊ยะอาดีษ”  หรือ ตัวคุณเองหรือเชื่อ ผู้รู้? ผู้นั้น ละครับ ? Volume 1, Book 10, Number 529:   Narrated Qais: Jarir said, "We were with the Prophet and he looked at the moon--full-moon--and said, 'Certainly you will see your Lord as you see this moon and you will have no trouble in seeing Him. So if you can avoid missing (through sleep or business, etc.) a prayer before the sun-rise (Fajr) and a prayer before sunset ('Asr), you must do so.' He then recited Allah's Statement: And celebrate the praises Of your Lord before The rising of the sun And before (its) setting." (50.39) Isma'il said, "Offer those prayers and do not miss them."   จากฮาดีษบทนี้ไม่ต้องการคำอธิบายใดๆที่มากไปกว่านี้  บัญญัติในอัลกุรอาน(50.39) นั้น ชัดแจ้งและไม่ต้องการคำอธิบายที่มากไปกว่านี้ คุณจะเห็นว่า การอ้างอิงและการใช้  ฮาดีษ มายืนยันความจริงและความหมายของอัลกุรอาน เพื่อให้ มุสลิม ที่มีความศรัทธาต่อท่านรอซูลด้วยกัน, ได้ เห็นและ เข้าใจ และเชื่อถือ ในความหมายของ อัลกุรอาน อายะต่างๆ เช่นเดียวกับที่ผมกำลังกระทำอยุ่นี้ เป็นเรื่อง น่า เศร้าใจ ทั้งนี้ เพราะว่า  ในทางตรงกันข้าม “มุสลิม ควรจะใช้บัญญํติในอัลกุรอาน อธิบายและพิสูจน์ว่า “ฮาดีษบทต่างๆ มีความถูกค้องกับ ความเป็นจริงและความหมายของอัลกุรอาน     การใช้ สิ่งเหล่านี้ มายืนยัน ความหมายของอัลกุรอาน ถ้าในแง่ของ ความศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียวอย่างไม่มีเงื่อนไขแล้ว  “ถือว่าเป็นการกระทำที่เป็น “ชิริก” อย่างหนึ่ง ผมไม่คิดว่าผู้ใดในที่นี้จะเห็นด้วยกับผมในเรื่องนี้แต่ผมมีความรู้สึกว่าทำให้ขาดศรัทธาต่อ อัลกุรอานที่เป็นบัญญัติของพระเจ้า จากคำกล่าวของคณที่ว่า.. “เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องคุยกันไปไหนครับ เนื่องจากเราได้เห็นแล้วว่า ยังไงก็ตาม แบบอย่างของนบี ต้องทำตามครับ ไม่เช่นนั้นคุณจะปฏิบัติศาสนกิจอิสลามไม่ได้ จะมั่ว จะวุ่นวายทันที และถ้าบอกว่า ใช้แต่กุรอ่านเท่านั้นในการปฏิบัติศาสนากิจ ก็ต้องเคลียร์ให้ได้ครับ” คุณไม่เข้าใจดอกหรือว่าผมกำลังทำความเข้าใจให้แจ้งชัด และ ผมคิดว่าคุณเข้าใจ ความมุ่งหมายและหัวข้อของกระทู้นี้  ผมได้ให้ความยุติธรรมทุกๆอย่าง และยอมรับ “ซอเฮี๊ยะฮาดีษ” ที่ถูกต้องมาอ้างอิง ซึ่ง ให้ความจริงปรากฏแก่สายตาของผู้อ่านทั้งสองฝ่าย     ถ้าคุณไม่มีความประสงค์ที่จะคุยต่อด้วยเหตุผล ทั้งทาง”อัลกุรอาน” และ “ซอเฮี๊ยะอาดีษ” แล้ว ก็เท่ากับคุณปิดประตูตัวเอง  แต่คุณจะมาตำหนิผมในเรื่อง “การเป็นมาของการละหมาดอีกต่อไปไม่ได้”  ทั้งนี้เพราะว่า ผมได้ พยายามอย่างดีทีสุด แล้ว ในการที่จะ สนทนาในระดับเดียวกับคุณ ซึ่งมีความรู้ทาง “ซอเฮี๊ยะอาดีษ” และ อะฮาดีษ ดีกว่าผมมาก  โดยที่จะอธิบายเป็นตอนๆไป คือ 1.การกำหนดของเวลาต่างๆในการละหมาด 2.เวลาที่ทำละหมาดไม่ได้ 3.วิธีการละหมาด 4.มรรยาทในการทำละหมาด 5.สิทธิในการทำละหมาดของสตรีมุสลิม ถ้าคุณไม่สนใจจะสนทนาต่อไป ผมจะคงดำเนินการให้ครบจุดมุ่งหมายที่ผม ตั้งใจไว้ โดยใช้ ทั้ง “บัญญัติในอัลกุรอาน” และ“ซอเฮี๊ยะฮาดีษ” อ้างอิงควบคู่กันไป   ถ้าคุณสงสัยผมก็จะไม่รังเกียจที่จะอธิบายให้ฟัง   แต่ขอให้เป็นไปด้วย มรรยาทที่ดีงามทั้ง การเขียน และ คำเขียน แก้ไขเมื่อ 15 ธ.ค. 51 03:21:41 จากคุณ : แมทท์ - [ 15 ธ.ค. 51 03:11:17 ]

ความคิดเห็นที่ 14 นี่แหละครับที่ผม อยากจะให้ทุกท่าน ที่ผ่านมาอ่านได้พิจารณาการสนทนาของ ผู้ใช้ login ว่า แมทท์กันให้ละเอียด ผมจะพยายามพิมพ์ให้น้อย เพื่อให้ไม่เยิ่นเย้อและ มุ่งตรงไปที่ประเด็นหลักอย่างเดียว แมทท์พยายามบอกว่าการกำหนดเวลา ละหมาดใน อาย 50:39 ถ้าเราไม่อาศัยฮะดีษ เราก็สามารถกำหนดเวลาได้ครับว่า เวลานั้นคือเวลาใดและดูอย่างไร โดยใช้สามัญสำนึก ซึ่งผมได้ตอบไปแล้วว่า "...กลางดึก หลังเที่ยงคืน ตี 3 ตี 4 เราก็เรียกว่าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนะครับ แต่เราจะดูแสงนั้นอย่างไร มีหลักการอย่างไร ที่คุณอ้างว่าใช้สามัญสำนึก นั่นแปลว่าคุณเดาเอง ไม่มีหลักการ แบบนี้ ร้อยคนก็ร้อยแบบล่ะครับ ถ้าขยันหน่อยก็ ละหมาด ซะ ตี 3 เพราะนั่นก็ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเช่นกัน หรือเห็นแสงอาทิตย์รำไร แต่ยังไม่ขึ้น เต็มที่ กันแน่ เราจะรู้ได้อย่างไร จะอ้างว่าใช้สามัญสำนึกไม่ได้ เพราะนั่นคือการเดาครับ ผมถึงบอกไงครับว่า ต้องใช้แบบอย่างนบี หรือฮะดีษของนบี ในการกำหนดหรือดูเวลาละหมาด ครับ..." ผมก็ยังไม่พบว่าแมทท์จะสามารถอ้างได้ว่า การละหมาดตอนตี 3 ตี 4 นั่นไม่ใช่การละหมาด ซุบฮิ (ฟัจรฺ) นอกจากจะอ้างฮะดีษมาเพื่อสนับสนุนตัวเองนั่นคืออ้างฮะดีษ Volume 1, Book 10, Number 529: ซึ่งถ้าแมทท์ ไม่อ้างฮะดีษซอเฮี้ยะแมทท์ก็ไม่รู้จะอธิบายยืนยันการมั่ว การเดาเอาเอง และการโมเม ที่อ้างว่ามันคือสามัญสำนึกนั้นได้อย่างไร นี่เป็นการแสดงถึงธาตุแท้ของแมทท์อีกครั้งหนึ่งแล้วล่ะครับว่า หลังจากที่เคยบอกว่า ใช้กุรอ่านอย่างเดียวในการปฏิบัติศาสนกิจ แต่ไล่ไปไล่มา ก็เริ่มอาศัย บรรพบุรุษบ้าง ตอนนี้ เริ่มอ้างฮะดีษ ที่ตัวเองโจมตีมาตลอดเวลาว่า นั่นคือนิทาน แต่สุดท้าย นิทานนั้นก็อ้างมาเพื่อเอาตัวรอดตามเคย ผมจะบอกให้นะครับ ที่อ้างผู้รู้ท่านนั้น หรืออ้างการนับตัวเอง เพราะนั่นเป็นกรณีที่ยกตัวอย่างว่า ถ้าไม่ฮะดีษ แล้ว เราจะนับเวลาละหมาดได้กี่เวลา ซึ่งคุณก็เถียงไม่ออก หรือหาเหตุผลมาหักล้างไม่ได้เลยครับว่า เวลาละหมาด ไม่ได้ มี 9 หรือ 12 อย่างที่ผมนับ ทางเดียวที่คุณจะอ้างว่า เวลาละหมาด มี 5 เวลาได้เนี่ย คุณก็ต้องอาศัยฮะดีษอยู่ดี นี่คือประเด็นหลัก จากคุณ : Carroth - [ 15 ธ.ค. 51 06:56:25 ]

ความคิดเห็นที่ 15 และควรเข้าใจไว้นะครับ ถึงแม้คุณไม่เข้าใจจริงๆหรือพยายามจะไม่เข้าใจก็ตาม ว่า มุสลิมไม่มีการนำฮะดีษไปยืนยันว่ากุรอ่านจริง หรือไม่จริง แต่ฮะดีษคือการอธิบายความ การให้รายละเอียดในการปฏิบัติศาสนา และกุรอ่านเองก็ย้ำให้เราตามท่านนบีครับไม่ใช่ตามบรรพบุรุษหรือเดาเอาเอง อย่ามากล่าวหากันหน้าด้านๆ แบบนี้ มุสลิมไม่เคยที่จะสงสัยต่อกุรอ่าน เหมือนที่คุณ กล่าวหาว่ากุรอ่านมีการปลอมแปลงหรอกนะครับ จำเอาไว้ด้วย และการนำฮะดีษมาขยายความและบอกรายละเอียดของกุรอ่านนั้น ไม่ได้เป็นการชิริกแต่อย่างใด เพราะนั่นไม่ใช่การนำสิ่งใดมาเป็นภาคี หรือหุ้นส่วน ต่อความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์ แต่เป็นการทำตามกุรอ่านอย่างเคร่งครัด เพราะกุรอ่านสั่งให้เราตามนบีครับ น่าขำนะครับ คนที่กล่าวหาว่ากุรอ่านมีการปลอมแปลง อย่างแมทท์ กลับมาบอกว่ามุสลิมทำชิริก จากการทำตามกุรอ่านเรื่องที่ให้เราทำตามนบี และที่สำคัญ ประเด็นที่เราคุยกันคือ เรื่องการกำหนดเวลาละหมาดที่แน่นอน จากที่คุณกล่าวไว้ว่า ละหมาด 5 เวลา ประจำวันของมุสลิม ที่จะละเว้นไม่ได้ นั้น มีระบุกำหนดเวลาไว้อย่างแน่นนอนในอัลกุรอาน แล้วไหนล่ะครับการกำหนด เวลาที่แน่นอนในกุรอ่าน ไม่ต้องมาเฉไฉไปเรื่องอื่นหรอกครับ เพราะนี่คือประเด็นของกระทู้ ผมไม่สนใจว่าคุณจะให้ความยุติธรรม หรือยอมรับในฮะดีษซอเฮียะห์ เพราะคนอย่างคุณ ไม่ได้มีความน่าเชื่อถือในตัวเอง อยู่ เพราะอาการพูดจากลับไปกลับมาเป็นนิสัย จนอาจจะเรียกได้ว่าสันดานเป็นแบบนี้ ดังนั้นมุสลิมในนี้ไม่คิดจะหวังคำมั่นหรือความยุติธรรมจากคุณหรอกนะครับ ผมคุยด้วยเหตุผล และหลักฐาน เพียบพร้อมอยู่แล้วครับ แต่คุณล่ะ อยากให้ผมคุยด้วยเหตุผล แล้วคุณคุยด้วยเหตุผลหรือการแถ? อย่างแรกคุณอย่าแถและเลี่ยงประเด็นคุณทำหรือยัง  เพราะคุณเปิดประเด็นเองว่า "ละหมาด 5 เวลา ประจำวันของมุสลิม ที่จะละเว้นไม่ได้ นั้น มีระบุกำหนดเวลาไว้อย่างแน่นนอนในอัลกุรอาน" แต่คุณก็มั่วไปเรื่องอื่น และยืนยันไม่ได้ซะที ว่า ละหมาด 5 เวลา นั้น กำหนดแน่นอน อย่างที่คุณว่าไว้ตรงไหน แถมคุณยังอ้างฮะดีษที่คุณหาว่านั่นคือนิทาน มา เพื่อเอาตัวรอดอีก นี่เหรอครับ การสนทนาด้วยเหตุผล เพื่อยืนยันว่า "ละหมาด 5 เวลา ประจำวันของมุสลิม ที่จะละเว้นไม่ได้ นั้น มีระบุกำหนดเวลาไว้อย่างแน่นนอนในอัลกุรอาน" เพราะตั้งแต่คุยมาในประเด็นนี้ ผมยังไม่พบว่า คุณจะยืนยันอะไรได้เลยว่า ละหมาด ในกุรอ่านบอกไว้ว่า มี 5 เวลาแน่นอน ผมนับได้ 9 อีกท่านนับได้ 12 คุณก็ ไม่สามารถ จะหาเหตุผลใดมาหักล้าง การตั้งข้อสังเกต ของพวกผมได้เลย นอกจาก อ้าง ฮะดีษ ซึ่งนั่นมันไม่ใช่การอาศัยกุรอ่านอย่างเดียวครับ แต่มันหมายความว่าการที่เราจะรู้ว่า ละหมาดมีกี่เวลานั้น เราต้องมีแบบอย่างของท่านนบีครับ อ่อแล้ว อย่ามาตีความอยากฉ้อฉลว่ากุรอ่านไม่สมบูรณ์ เพราะกุรอ่านใช้ให้เราละหมาด และกุรอ่านใช้ให้เราตามแบบอย่างนบี ดังนั้น เรื่องละหมาด 5 เวลา ที่แน่นอนเนี่ยเราพบได้ครับ จากแบบอย่างของนบี ตามที่กุรอ่านสั่งเราไว้ แมทท์ครับ ผมไม่ใช่เด็กน้อยนะครับ ที่คุณจะมาแถ ไป แถมา พูดจาไม่ตรงประเด็นซักที แล้วสุดท้าย มาโยนของเสีย และป้ายสีผมว่า ไม่คุยด้วยเหตุผล เพื่อที่จะเอามาอ้าง ว่าแมทท์ทำดีแล้ว และพยายามจะอาศัยข้ออ้างนี้ เพื่อเลี่ยงการตอบคำถาม เรื่องละหมาด เพราะคุณ login แมทท์ ไม่ได้ตอบผมเลยครับ เรื่องคำอ้างของคุณที่ว่า "ละหมาด 5 เวลา ประจำวันของมุสลิม ที่จะละเว้นไม่ได้ นั้น มีระบุกำหนดเวลาไว้อย่างแน่นนอนในอัลกุรอาน" เนี่ย มันมีตรงไหน ผมย้ำและเน้นให้คุณได้สำเนียกไว้เลยว่า คุณไม่เคยตอบเลยในกระทู้นี้ แถมยังอ้างฮะดีษ อีก ซึ่งนั่นเป็นการยืนยันแล้วล่ะครับว่า คุณน่ะไม่สามารถที่จะ ตอบผมได้เลย แม้แต่นิดเดียว ถ้าไม่อ้างฮะดีษเอาตัวรอด รู้ไว้ด้วย ดังนั้นผมสนใจที่สนทนาแน่ครับ มุสลิมในนี้พยายามลดตัวไปสนทนากับคุณแล้ว พยายามที่จะทนอ่านการแถของคุณอย่างเต็มที่แล้ว เพราะฉะนั้น กรุณา เพิ่มระดับการสนทนาด้วยครับ ด้วยการตอบให้ตรงประเด็น การพยายามยกระดับตัวเองให้พูดตรงประเด็นขึ้นเนี่ย มันยากมากเลยหรือไงครับ? จากคุณ : Carroth - [ 15 ธ.ค. 51 07:27:28 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ตัวอย่างง่ายๆ เลยนะครับ แมทท์จะตอบไม่ได้หรอกครับ ว่า กุรอ่าน 50:39 นั่นคือละหมาด ฟัจรฺ หรือ อัศรฺ ถ้าไม่อาศัยฮะดีษ นะครับ ลองอ่านเองนะครับว่าแมทท์เคยตอบผมมั๊ยว่า กุรอ่าน 50:39 พูดถึง ละหมาด อัศริ หรือเวลา อะชีย์ หรือเวลาละหมาดฟัจริ นั้นใช้แน่ หรือเป็น ละหมาด ตะฮัจญด อันนี้ตัวอย่างฮะดีษเกี่ยวกับเวลาละหมาดนนะครับ บอกเวลาชัดเจน พร้อมวิธีดูด้วย http://www.searchtruth.com/book_display.php?book=1&translator=4 1.1.9 Yahya related to me from Malik from Yazid ibn Ziyad that Abdullah ibn Rafi, the mawla of Umm Salama, the wife of the Prophet, may Allah bless him and grant him peace, asked Abu Hurayra about the time of the prayer. Abu Hurayra said, "Let me tell you. Pray dhuhr when the length of your shadow matches your height, asr when your shadow is twice your height, maghrib when the sun has set, isha in the first third of the night, and subh in the very first light of dawn," i.e. when the dawn has definitely come. อ่านเองนะครับ แมทท์เคยตอบอะไรแบบนี้มั๊ย ที่แมทท์ตอบแมทท์ก็อ้างว่า ละหมาด ซุบฮิ คือก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ก็ถ้าผมละหมาดตี 2 นั่นก็ก่อนประอาทิตย์ขึ้นนะครับ แต่มุสลิมเรารู้ว่านั่นคือละหมาด ตะฮัจญุดครับ เวลาตี 2 เนี่ยแหละครับ บอกว่า จะคุยด้วยเหตุผล แต่ตัวเองหาสาระอะไรไม่ได้สักอย่าง ถามหน่อยเถอะ ถ้าไม่มี ฮะดีษมาอ้าง คุณจะยืนยันได้มั๊ยครับแมทท์ว่า การละหมาดก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนั่น เป็น ตะฮัจญุดหรือ เป็นเวลา ซุบฮิ? จากคุณ : Carroth - [ 15 ธ.ค. 51 07:41:45 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ยากมากที่จะให้คุณเข้าใจได้อย่างง่ายๆ ถึงแม้ว่า ผมจเอา ฮาดีษ ที่คุณ เชื่อ มายืนยันว่า อัลกุรอานนั้น อย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็น ต้องอาศัยอย่างอื่นมา พิสูจน์อะไร? ถ้าคุณ ศรัทธา  แต่ถ้าคุณมีความสงสัย ข้อบัญญัตื ในอัลกุรอานก็ใช้สติปัญญา ที่ผมแสดงความสงสัยและ ถามออกมานั้น ไม่ใช่ว่า ขาดศรัทธาในอัลกุรอาน  ในเมื่อเป็นนิสัยของ ชาวอรับ เพราะว่า อธิบายง่ายๆไม่เช้าใจ  อัลลอฮ์ จึงจำเป็นต้องใช้ การสาบาน ในการสื่อกับ ชาวอรับ   การเอาฮาดีษที่เป็นข้อความเดียวกับอัลกุรอานและ เป็นข้อความที่อุลมาทั้งหลายเห็นชอบตรงกัน มาชี้แสดง ให้เห็นว่า  การละหมาดการละหมาดฟัจรฺ และ การ ละหมาด อัศรฺ..นั้นมีบอกไว้ในอัลกุรอาน อย่างแจ้งชัด ซึ่งถ้าคนใช้สติปัญญาแล้ว  ฮาดีษที่ผมยกมาไม่มีความจำเป็นเลย ถึงแม้ไมมีฮาดีษนั้น คำอธิบายในอัลกุรอาน ก็ เพียงพอในการกำหนดเวลา นี่คือเหตุผลของผมคุณจะเห็นด้วยหรือไม่ เป็นเรื่องของสติปัญญาของคุณแล้ว ไม่ใช่ปัญหาของผม   และสิ่งนี้ก็ยังคงเป้นปัญหาในสังคมของคุณต่อไป ว่า "ถ้าไม่ใช้สิ่งประดิษฐ์ที่ตุณพากพูมใจนัก" แล้ว มุสลิมไม่อาจจะทำละหมาดได้ ซึ่ง ในอัลกุรอาน บอกไว้ จากการอธิบายในอายะต่างๆ ไว้แล้วว่าการละหมาดมีมาก่อน "อัลกุรอาน" มิฉนั้น พระองค์จะไม่ทรง  บัญชาให้มนุษย์ปฏิบัติ ในสิ่ง ที่ มนุษย์ ไม่เคยมี ประสบการณ์  หรือเรียนรู้มาก่อน อ่านอัลกุรอานให้เข้าใจ ถ้าสงสัยใช้สติปัญญา จากคุณ : แมทท์ - [ 15 ธ.ค. 51 09:18:55 ]

ความคิดเห็นที่ 18 สรุปแล้ว คนอย่างแมทท์ ก็จนด้วยเกล้า ที่จะหาเหตุผล และหลักฐานใดมายืนยันคำพูดของตัวเองนะครับว่า i]ละหมาด 5 เวลา ประจำวันของมุสลิม ที่จะละเว้นไม่ได้ นั้น มีระบุกำหนดเวลาไว้อย่างแน่นนอนในอัลกุรอาน[/i] เพราะแมทท์ โกหกมาว่า ใช้กุรอ่านก็เพียงพอแล้ว แต่ที่ตัวเองใช้ เมื่อจวนตัวนั้น ก็เอาทั้งฮะดีษ ทั้งบรรพบุรุษมาอ้าง เอาตัวรอดตลอด นี่เหรอครับ คุยกันอย่างมีเหตุผล แมทท์บอกว่าการเอาฮะดีษที่มีความข้อความเดียวกับกุรอ่านมานั้น เป็นการยืนยันว่า ละหมาด ซุบฮิ และอัสรฺ มีในกุรอ่าน แถมยังบอกว่าถ้าใช้สติปัญญา แล้ว ฮะดีษก็ไม่จำเป็นอีกด้วย และเพียงพอในการกำหนดเวลา ถ้าเช่นนั้น บอกหน่อยสิครับ กุรอ่าน อายะห์ที่ 50:39 ที่บอกว่า ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเนี่ย เป็นละหมาดตะฮัจญุดหรือละหมาด ซุบฮิกันแน่ โดยไม่ใช้ฮะดีษ และอ้างบรรพบุรุษนะครับ ฮะดีษที่คุณเอามา นั่นก็เป็นการอธิบายความหมายของกุรอ่านอยู่ดีนั่นแหละครับ เราจะเห็นได้ว่า เหตุผลที่แมทท์อ้างว่ามีนั้น จริงๆ แล้ว ไม่มีสาระอะไรเลยครับ มันไม่ใช่เรื่องที่ผมจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่เหตุผลนั้น มันมีหรือไม่ต่างหาก และสุดท้ายแมทท์อ้างว่า อัลกุรอาน บอกไว้ จากการอธิบายในอายะต่างๆ ไว้แล้วว่าการละหมาดมีมาก่อน "อัลกุรอาน" ถ้าการละหมาดมีมาก่อนกุรอ่านแล้วบันทึกวิธีการโดยละเอียดไว้ที่ไหน? ถ้ามีการบันทึกแล้วคุณใช้สิ่งนั้นมาเป็นตัวเสริมในการละหมาด นั่นก็แสดงว่า คุณไม่ได้ใช้กุรอ่านเพียงอย่างเดียวในการปฏิบัติศาสนิจ อย่างที่โกหกไว้อยู่ดี กุรอ่านสมบูรณ์แล้วครับ และกุรอ่านก็สั่งให้ตามนบี แต่แมทท์ที่อ้างว่ายึดกุรอ่านอย่างเดียว ก็ฝ่าฝืนกุรอ่าน ขอที่ให้ตามนบีไปซะแล้ว จำไว้นะครับถ้าอ้างว่ายึดกุรอ่านอย่างเดียว ไม่เอานบี นั่นหมายถึงคุณได้ฝ่าฝืนกุรอ่านเรียบร้อยแล้ว มิได้ยึดกุรอ่านไว้ตามที่โกหกแต่อย่างใด จากคุณ : Carroth - [ 15 ธ.ค. 51 09:45:32 ]

ความคิดเห็นที่ 19 คุณนี่คุยกันไม่รู้เรื่องจริงๆ       คุณเอาอะไรมาสอดใส่วาจาผม ผมไม่เคยปฏิเสธ ท่านรอซุลมูฮัมมัด ผมบอกอีกครั้งว่า ผมปฏิเสธ  "อะฮาดีษ"  เรื่องเล่าที่คุณเชื่อว่า เป็น คำพูดของ "ท่านรอซูล", โดยที่ไม่มีเหตุผล สอดคล้องกับอัลกุรอานและเรื่อง เหลวไหล เกี่ยวกับ อภินิหารของศาสดามูฮัมมัด ผู้ซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่อาจจะเห็นอนาคต และ ทำนายเหตุการณ์ หรือแสดงอภินิหารอะไรได้ (ตามคำบัญญัติในอัลกุรอาน) "ผมเชื่อว่าถ้าไม่มีอะฮาดีษของ อีมามบุคอรี  มุสลิมก็ยังคงทำ "รุกุนอิสลาม" ได้ครบครัน  ตามบรรพบุรุษที่ทำต่อๆกันมา จนถึงปัจจุบันนี้"  โปรดอย่าบิดเบือนคำกล่าวของผม ผมเขียนไว้อย่างแจ้งชัดแล้ว การเปรียบเทียบที่ผมนำมาแสดงให้คุณเห็นว่า  "เรื่องที่ผมอธิบายนั้น แม้แต่ฮาดีษ ที่คุณเชื่อถือ ยังสนับสนุนอัลกุรอาน  พอคุณจนด้วยเหตุผล และหลักฐาน  คุณก็ใชวิธีเดิม คือ ไม่สุภาพต่อคู่สนทนา   ฮาดีษแรกที่ผมอ้างนั้น นะ "ผมนำมาแสดง เพื่อต้องการให้คุณ กล่าวปฏิเสธ,   เพื่อแสดงความไม่เข้าใจ แม้แต่เรื่อง ฮาดีษคุณเชื่อถือ"     ฮาดีษ บทที่สองผมนำมา แสดงยืนยันให้คุณเห็นว่า คำอธิบายแก้ตัวของคุณ มันขัดกับ "ฮาดีษเรื่องที่สอง"  ที่แสดงให้เห็นว่า ที่คุณปฏิเสธมาเสียยืดยาวนั้น  มันแสดงถึงการขัดกับ ความเข้าใจของคุณเอง  ในเรื่อง "ฮาดีษ" ทั้งๆที่อุลมาต่างๆ ท่านยอมรับในเรื่อง เวลาละหมาด ตาม ฮาดีษบทที่สองว่า "ท่านรอซูลหมายถึง อัลกุรอาน 50:39 และการอธิบายของผมยังไม่ครบทั้ง 5 เวลา คือยังอธิบายไม่เสร็จสิ้น คุณก็ไปเอา "อะดีษ" ที่สำเร็จรูปแล้วมาแสดง ให้ผมเห็น,  ซึ่งผมก็อ่านผ่านมาแล้ว  แต่ผมต้องการ ทดสอบความแน่นอนของคุณก่อน เพียงแค่ เวลาละหมาด เวลาเดียว    ผมขอบอกให้คุณทราบว่า   ฮาดีษ บทที่สอง ที่ผมนำมาให้คุณอธิบายนี้  เป็นเรื่องที่เขียนโดย ท่านอาจารย์ ซุนนีย์มุสลิมและเป็นที่ยอมรับของ ท่านอุลมา ทั้งหลาย    ผมนำมา เพื่อ ทดสอบ ความ รู้ในเรื่อง "ฮาดีษ" ของคุณต่างหาก  ว่าคุณฉลาดและมีความรู้ทาง "ฮาดีษมากเท่าใด    เมื่อคุณถูก "อัด" ด้วยความไม่เข้าใจ เหตุผลของคุณเอง ก็เกิดอารมณ์ขุ่นเคืองผม  คุณควรศึกษาในเรื่อง "ฮาดีษ" ให้มากว่านี้ ผมจะแนะนำ หนังสือที่มีประโยชน์ในการ เสริมปัญญาคุณ ในเรื่องของ "อิสลาม" ที่พิมพ์ จำหน่ายใน "ซาอุดิอารเบีย"  อย่าดื้อดึงเลยครับ  ไปหาหนังสือเล่มนี้อ่าน  คุณจะเข้าใจ ในเรื่อง "อัลกุรอาน", "ซุนนะห์ และ "ฮาดีษดีขึ้น กว่าที่คุณเข้าใจอีกมาก ทีเดียว^^,  หนัสือนี้คือ Bulugh Al-Maram: Attainment of the Objective According to Evidence of the Ordinances (Al-Hafiz Ibn Hajar al Asqalani) With Brief Notes from the Book “Subul us-Salam” ISBN: 9960899527 Author: Al-Hafiz Ibn Hajar Asqalani Publisher: Darussalam Publishers & Distributors (Saudi Arabia) Second Edition September 2002 หนังสือเล่มนี้อธิบายเรื่อง "อะฮาดีษ" ได้ดีมากต่างจากที่คุณเข้าใจมาก"  และ ทำให้ผมมีความเข้าใจเรื่องการอธิบายฮาดีษได้ดีกว่าที่คุณเข้าใจมากเป็นอย่างมากทีเดียว  ผมอยากให้คุณอ่านหนังสือเล่มนี้เสียก่อน แล้ว เราค่อยคุยกันต่อ   ผมไม่ชอบการสนทนาที่คุณยังขาดความเช้าใจในเรื่องนี้ แต่ไปนำคำอธิบายของผู้อื่น ซึ่งมีความเข้าใจทำนองเดียวกับคุณ ซึ่งผมคุยกับเขามา เป็น ปีๆแล้ว ในเรื่องนี้ ขอให้โชคดีนะครับ.. ผมต้องไปทำงานต่อ ถ้าคุณยังมีข้อสงสัยอะไรก็เขียนต่อไปได้  แต่ขอให้สุภาพหน่อย แล้วผมจะอธิบายเรืองการละหมาด และ ดุอาฮ์  ทุกๆอย่าง ให้คุณฟัง อย่างละเอียด คำถามสำหรับ(คุณ) ในวันนี้ ในระหว่างการเดินทาง ท่านรอซูลถือการละหมาดอะไรเป็นกิจวัตร อย่างเข้มงวด ยิ่งกว่าการละหมาดตามสมัคร จาก ซุนนะห์อื่นๆ,  แต่ไม่มีการปฏิบัติสืบทอดกันอย่างใดๆ ในขณะเดินทางว่า ท่านรอซูลไม่ได้ไม่ได้ละหมาดซุนนะห์ อะไรนอกจากการละหมาดที่กล่าว ถามข้างต้น? จากคุณ : แมทท์ - [ 16 ธ.ค. 51 01:32:26 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ไม่ทราบว่าใครกันแน่ครับที่คุยไม่รู้เรื่อง คำพูดตัวเองยังบิดเบือนเอง คุณกล่าวว่าคุณไม่เคยปฏิเสธ ท่านรอซู้ลเหรอครับ โกหกมาดูกันนี่คือแมทท์ ศาสนาอิสลาม หมายความถึงการ ยอม  สวามิภักดิ์ต่อพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ทั้ง กาย วาจา ใจ  และผู้ที่ยอมตัวยอมใจศรัทธาต่อพระเจ้าใน หลักการนี้ เรียก ว่า "มุสลิม"   ในระยะเวลาต่อๆมา ศาสนาอิสลามของท่านนบีอิบรอฮิม ก็ถูก แตกแยกออกเป็นลัทธิต่างๆ  เช่น  จูดาย, คริสต์ และ ลัทธิมูฮัมมัด(Muhammadanism)  ซึ่งลัทธินี้ มีผู้นำที่เรียกว่าศาสนทูต(ู้ซึ่งเป็นนักรบที่เก่งกล้า และมีจิตวิทยาอย่ายอดเยี่ยม  ที่สามารถ รวมกำลังชายฉกรร เพื่อเป็นนักรบ และ นักต่อสู้ในนามของพระเจ้า โดยอาศัยศาสนาอิสลามของท่านนบีอิบรอฮิม เป้นข้ออ้าง  ผู้ที่เป็นสมาชิกของลัทธินี้ จะพยายามที่จะปฏิบัติตัว ให้เหมือน กับ ผู้นำของลัทธินี้  ถ้าหากผู้ใดที่เป็นสมาชิก ของลัทะินี้ พยายามที่จะ แยกตัวออก เพื่อที่จะยึดถือพระเจ้าแต่เพียงอย่างเดียว  เขาผู้นั้น อาจจะถูกฆ่าและถือว่าเป็นผู้ทรยศต่อ "อิสลาม"  แต่ความจริงแล้ว  ถือว่าเป็นผู้ทรยศ ต่อผู้นำลัทธินี้เสียมากกว่า  ลัทธิมูฮัมมัดนี้ จะไม่ให้สิทธิ ต่อสุภาพสตรี  เลย  และสมาชิกจะต้องรัก  "ผู้นำของลัทธิ"  มากกว่าพ่อและแม่ของตนเอง  (ศาสนาอิสลามไม่ได้สอนเช่นนั้น) นี่คือข้อความของใคร ลัทธิมุฮัมมัดแยกออกมาจากศาสนาอิสลาม มีผู้นำเรียกศาสนฑูต ที่เป็นนักรบ เก่งกล้า จิตวิทยายอดเยี่ยม โอยอาศัยศาสนาอิสลามของท่านนบีอิบรอฮีมเป็นข้ออ้าง นี่เหรอครับไม่เคยปฏิเสธท่านนบีมุฮัมมัด นี่อีก ท่านมูฮัมมัดเคยนับถือ ดวง ดาว ดวงเดือน มาก่อนที่จะ ประยุกต์หลักการของอิสลามและยอมรับว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้นคือพระเจ้า(อัลลอฮ์)                 ถ้าท่านอ่านพบในอัลกุรอานว่าพระเจ้าสาบานให้เชื่อในบัญญัติของพระองค์ต่อ ดวง อาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวง ดาว   พระเจ้าแห่งทิศทางต่างๆ  ขอให้ท่านถามตัวเองว่า  ถ้าเราเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวแล้ว  ใครคือ พระเจ้าแห่งทิศตะวันออกและทิศตะวันตก  ถ้าพระองค์อัลลอฮ์จะแสดงแสนยานุภาพของพระองค์แล้ว พระองค์ไม่มีความจำเป็นจะต้องสาบาน หรือ แอบอ้างผู้ใดเป็นพยานในคำกล่าวของพระองค์             มนุษย์เท่านั้นที่ พยายามที่จะอ้างสิ่งศักสิทธิที่ตนเชื่อ (ดวงดาว, ดวงเดือน, พระเจ้าแห่งทิศต่างๆ) ขึ้นมาเป็นพยานในคำพูดหรือคำบอกเล่าของตน ท่านนบีเคยนับถือดวงดาวมาก่อนจะประยุกต์หลักการอิสลาม มนุษย์เท่านั้นที่จะอ้างดวงดาวดวงเดือน สรุปว่า ท่านนบีประยุกต์หลักการ อาศัยอิสลามาอ้าง นี่เหรอครับ ไม่ปฏิเสธ ท่านนบี ถ้ากลัวว่าผมจะเขียนมาเองงั้นดูเลยนะครับ ว่า นี่ใครพิมพ์ จากคุณ : Carroth - [ 16 ธ.ค. 51 08:19:49 ]

ความคิดเห็นที่ 21 นี่ใครข้อความใคร นี่เหรอยอมรับท่านนบี ผมเซฟไว้หมดครับ จากคุณ : Carroth - [ 16 ธ.ค. 51 08:23:56 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ผมบอกแล้วครับ ว่าที่คุณยกมา นั้นมันไม่ได้ตรงประเด็นอะไรเลย ประเด็นของ กระทู้นี้คือ ละหมาด 5 เวลา ประจำวันของมุสลิม ที่จะละเว้นไม่ได้ นั้น มีระบุกำหนดเวลาไว้อย่างแน่นนอนในอัลกุรอาน ย้ำอีกที ละหมาด 5 เวลา ประจำวันของมุสลิม ที่จะละเว้นไม่ได้ นั้น มีระบุกำหนดเวลาไว้อย่างแน่นนอนในอัลกุรอาน จำไม่ได้เหรอครับว่าพูดอะไรไว้ คุณอย่ามาทำเป็นเบี่ยงประเด็นครับ พยายามกล่าวหาว่าผมถูกอัดอย่างนั้น จนด้วยเหตุผลอย่างนี้ ไม่เข้าใจเหตุผลบ้าง ไม่รู้เรื่องฮะดีษบ้าง มันไม่เกี่ยวกันเลยครับ เพราะคุณอ้างว่า ละหมาด 5 เวลา ประจำวันของมุสลิม ที่จะละเว้นไม่ได้ นั้น มีระบุกำหนดเวลาไว้อย่างแน่นนอนในอัลกุรอาน คุณกลับหามาอ้างไม่ได้สักอย่าง เอาแค่อายะห์ กุรอ่าน 50:39 อายะห์เดียวคุณก็ ยืนยันไม่ได้แล้วครับว่า เวลานั้น มันไม่ใช่เวลาตะฮัจญุด จนต้องเอาฮะดีษมายืนยันคำพูดของตัวเองเพื่อเอาตัวรอด คุณอ้างฮะดีษ เพื่อเอาตัวรอด จากการ ไล่บี้ แล้วอย่ามาอ้างครับ ว่าเอามาเพื่อทดสอบความรู้ หรือ เพื่อให้ผมปฏิเสธ เพราะคนอย่างผมไม่เคยปฏิเสธความถูกต้องอยู่แล้ว และยิ่งคุณเอาฮะดีษ มาทั้งสองฮะดีษยิ่งเป็นการยืนยันครับว่า ต้องมีแบบอย่างหรือซุนนะห์ของท่านนบี ครับ เราถึงจะทราบว่า อัลกุรอ่าน อายะห์ที่ 50:39 นั้น คือเวลา ใด ซึ่งถ้าเราไม่เอาแบบอย่างนบี เราก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าเวลา ที่กล่าวไว้ใน อายะห์ 50:39 นั้นเป็นเวลาใด แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 51 08:36:17 จากคุณ : Carroth - [ 16 ธ.ค. 51 08:35:38 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เพราะฉะนั้นแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องพาประเด็ยออกทะเลไปไกลเรื่องหนังสือฮะดีษ หรืออะไรหรอกครับ เพราะผมต้องการคุยกับคุณแค่เวลาเดียว อายะห์เดียว คือ อายะห์ กุรอ่าน 50:39 ว่า และจงสดุดีด้วยการสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าก่อนการขึ้นของดวงอาทิตย์ และก่อนมันตก (50:39) เนี่ย ใช่เวลา ซุบฮิ และอศัริแน่หรือ และที่ผมเอา ฮะดีษสำเร็จรูปนั้นมาเพื่อ ที่จะแสดงให้เห็นว่า การกำหนดเวลาของการละหมาดนั้น ฮะดีษอธิบายไว้เช่นใด ไม่ใช่เอาอะดีษ ที่คล้ายกับกุรอ่านมา ซึ่งมันก็ไม่บ่งบอกอะไร นอกจากว่า ท่านนบีพูดถึง เวลา ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตก นะครับ มันก็ไม่ได้ช่วยทำให้ สามารถตัดฮะดีษ หรือไม่อาศัยฮะดีษได้แต่อย่างใด ซ้ำยังยิ่งเป็นการ ยืนยันว่า แมทท์ ไม่สามารถบอกได้ว่า เวลาก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนั้นเป็นเวลาใดกันแน่ ตะฮัจญุด หรือ เวลาซุบฮิ การเอาฮะดีษมาแล้วบอกว่ามันตรงกับกุรอ่านก็ไม่เกี่ยว เพราะคุณบอกเองว่า สามารถปฏิบัติศาสนกิจ ได้โดยอาศัยกุรอ่านอย่างเดียวเท่านั้น แล้วไหนล่ะครับ คุณยืนยันอะไรได้บ้าง นอกจากอ้างฮะดีษ ? ไม่ต้องมาอัด ด้วยความไม่เข้าใจ หรือฮะดีษโชว์ภูมิหรอกครับ อธิบายอายะห์ เดียวให้ได้ก่อนครับว่า อายะห์ ที่ 50:39 นั้น เป็นเวลาใดกันแน่ ตะฮัจญุด หรือ ซุบฮิ โดยไม่อาศัยฮะดีษนะครับ เพราะอุลามา ต่างๆ ท่านต่างๆ ท่านก็อาศัย แบบอย่างนบีนะครับ ในการทำความเข้าใจว่าเวลานี้คือเวลาใด กันแน่ จากคุณ : Carroth - [ 16 ธ.ค. 51 08:45:32 ]

ความคิดเห็นที่ 24 แมทท์ครับ วิธีการเลี่ยง เรื่องละหมาดของคุณเนี่ย คุณทำมาห้า ปี อย่าคิดว่าคนอื่นเขาดูไม่ออกสิครับ คนที่คุณอ้างว่าคุยกับเขาเนี่ย คุณก็จนแต้มเรื่องละหมาดที่เขาถาม ไม่เคยที่จะตอบคำถามเขาได้เลย มาที่นี่คุณก็เลี่ยงมาตลอด ไม่ต้องไล่ให้ผมไปอ่านหนังสือเล่มไหนหรอกครับ เพราะมันเป็นการเสียเวลา และการอ้างว่าคุณเข้าใจฮะดีษดีกว่าผม เพราะอ่านหนังสือเล่มอะไรนั่นน่ะ มันก็ไม่ช่วยให้คุณตอบคำถามผมเรื่องละหมาดได้หรอกนะครับ และไม่ตรงประเด็นกับที่ผมถาม และซักคุณอยู่ เพื่อให้คุณรับผิดชอบคำพูดพล่อยๆ ของคุณเองด้วย นั่นคือ ละหมาด 5 เวลา ประจำวันของมุสลิม ที่จะละเว้นไม่ได้ นั้น มีระบุกำหนดเวลาไว้อย่างแน่นนอนในอัลกุรอาน เมื่อไหร่จะตอบผมล่ะครับ คำถามที่คุณตั้งมาเนี่ย มันก็แค่คำถามซื้อเวลา ที่มันไม่เกี่ยวกับ ประเด็นหลักของการสนทนาครั้งนี้เลย ในเมื่อคุณยังตอบผมไม่ได้เลยนะครับว่า อายะ 50:39 เนี่ย เป็นเวลาละหมาดใดกันแน่ โดยไม่อาศัยฮะดีษ เนี่ยครับ คำถามง่ายๆ แค่เนี้ย คนที่บอกว่า จะละหมาดโดยอาศัย กุรอ่านเพียงอย่างเดียว จะปฏิบัติศาสนากิจโดยอาศัยกุรอ่านอย่างเดียว กับบอกไม่ได้ ว่า เวลานี้เป็นเวลาใด ถ้าใช้กุรอ่านล้วนๆ แต่กลับต้องเอาตัวรอดด้วยการ อ้างฮะดีษมาบังหน้า แมทท์ครับ ถ้าไม่ปัญญาจะตอบก็บอกมาสิครับ จะแถไปไหนอีก เวลาละหมาดในกุรอ่าน ผมนับได้ 9 เวลา บางท่านนับได้ 12 เวลา คุณบอกมาสิครับ ว่า 9 เวลา 12 เวลามันผิดตรงไหน การที่คุณอ้างว่า ฮะดีษ หรืออุลามายอมรับว่า 5 นั่นแสดงว่าคุณ อ้างสิ่งอื่นจากกุรอ่านนะครับ ไม่ว่าอย่างไร คุณก็ ต้องอาศัยฮะดีษอยู่ดี และไม่ว่าอย่างไร คุณก็ยัง รับผิดชอบคำพูดของคุณที่ว่า ละหมาด 5 เวลา ประจำวันของมุสลิม ที่จะละเว้นไม่ได้ นั้น มีระบุกำหนดเวลาไว้อย่างแน่นนอนในอัลกุรอาน ไม่ได้อยู่นั่นเอง จากคุณ : Carroth - [ 16 ธ.ค. 51 08:54:38 ]

ความคิดเห็นที่ 25 สรุปสั้นๆเลยนะครับ แมทท์ที่อ้างว่า ใช้กุรอ่านเท่านั้นในการ ปฏิบัติศาสนกิจ แต่กลับ ยืนยันไม่ได้ว่า อายะห์ที่ 50:39 นั้น เป็นเวลาละหมาดใดกันแน่ ถ้าไม่อาศัยฮะดีษ แมทท์ตอบคำถาม แค่นี้ไม่ได้ เลยต้องไล่ผมไปอ่านฮะดีษ นั้น หนังสือนี้ หาว่าผมไม่เข้าใจฮะดีษ ฯลฯ ก็เพื่อแก้เก้อ และเลี่ยงประเด็นเท่านั้นเอง 5 ปีที่แล้ว เป็นยังไง 5 ปี ต่อมาก็แถเหมือนเดิม ถามเรื่องนิวตัน ไปตอบเรื่องเป็ด จากคุณ : Carroth - [ 16 ธ.ค. 51 08:57:26 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เรามาดูกันดีกว่า แมทท์ เป็นคนยังไง จากคุณ : Carroth - [ 16 ธ.ค. 51 09:11:10 ]

ความคิดเห็นที่ 27 พอเริ่มกระทู้ ผมก็คิดว่าคุณจะเป็นผู้ที่ สามารถคุยกันได้ด้วยเหตุผล  แต้พอกล่าวถึง คำอธิบายและเหตุผล คุณก็กลับไปนำเอาสิ่งที่เคยกล่าวมาแล้ว แต่คุณไม่เข้าใจ เข้ามา ว่ากล่าวกันอีก เรื่องมันก็ วนไปมาไม่มีการเข้าใจกันได้    เชื่อคำแนะนำผมไปอ่านหนังสือ ที่ผมแนะนำให้ เป็นหนังสือที่ดีมาก  อย่าเสียเวลานำหลักฐานเก่าๆ มาแสดงเลยครับ  เพื่อที่จะทำลายเครดิตในความรู้ทางศาสนาอิสลามของผม  ซึ่งต่างกับความรู้ของมุสลิมในนิกายซุนนีย์แบบที่คุณเรียนมา   แม้แต่ฮาดัษที่คุณเชื่อถือผมนำมาแสดงความเห็นของอุลมาต่างๆ ที่สนับสนุน เรื่องเวลาละหมาดในอัลกุรอาน  คุณก็ไม่เชื่อ  แล้วจะคุยกันรู้เรื่องอย่างไร   ผมไม่ทราบว่าคุณอายุมากน้อยเท่าใด  แต่ผมสนทนากับคุณ โดย คิดเพียงต้องการทราบแนวความคิด และ ความเข้า ใจของคุณ  แต่คุณแสดงความเป็นเด็ก ออกมาเสมอๆ  ไม่พยายาม  ใช้ความรู้ของคุณและเหตุผล  เวลาคุยกันเรื่องเช่นนี้  ถ้าคุณ เอาอารมณ์ และปิดกั้นความ รุ้ที่เราไม่เคยทราบมาก่อน แล้วเราจะไม่เข้า ใจ ว่า ผู้ที่มีความคิดเห็นต่างกับเรานั้น เขาต้องการให้เรามองในจุดใด  อ่านหนังสือที่ผมแนะนำให้ และคุณจะเข้าใจการสนทนาในลักษณะนี้ดีขึ้น  ทั้งนี้แล้ว  เพราะว่า   คุณและผมถูกสอน ศาสนามาแบบการล้างสมองมาแต่เด็กๆ  มีปัญหาและสงสัย อะไรเกี่ยวกับคำสอนของ รอซูล หรือ อุลมาใดๆ ไม่ได้ เป็น บาปทั้งหมด  (ผู้หญิงจะต้องทำตัวเหมือนลูกสาวของสามีอยู่ตลอดเวลา  ถ้าปฏิเสธการหลับนอนกับสามี  จะเป็นบาป ห้ามผู้หญิงที่มีประจำเดือนจับต้องและหาความรู้ในอัลกุรอาน   การสอนเช่นนี้ มัน ไม่ถูก)   ผมจะเขียนไปเรื่อยๆ แต่คงไม่ได้จำกัดอยู่ในหลัการของ "มุสลิมลัทธิซุนนีย์" แต่จะ อยู่ในสิ่งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้องตามหลักการของ "อิสลามที่ท่านรอซูลนำมาจากอัลกุรอาน และแยกออกจากประเพนี อรับ จากการสรุปของคุณ.. "สรุปสั้นๆเลยนะครับ แมทท์ที่อ้างว่า ใช้กุรอ่านเท่านั้นในการ ปฏิบัติศาสนกิจ แต่กลับ ยืนยันไม่ได้ว่า อายะห์ที่ 50:39 นั้น เป็นเวลาละหมาดใดกันแน่ ถ้าไม่อาศัยฮะดีษ"  ไปอ่านคำอธิบายของผมหลายๆเที่ยว แล้วคิด ด้วยสติปัญญาว่า ผมกล่าว่าอย่างไร? ผมเขียนไว้ตอนหนึ่งว่า.... "คุณจะเห็นว่า การอ้างอิงและการใช้  ฮาดีษ มายืนยันความจริงและความหมายของอัลกุรอาน เพื่อให้ มุสลิม ที่มีความศรัทธาต่อท่านรอซูลด้วยกัน, ได้ เห็นและ เข้าใจ และเชื่อถือ ในความหมายของ อัลกุรอาน อายะต่างๆ เช่นเดียวกับที่ผมกำลังกระทำอยุ่นี้ เป็นเรื่อง น่า เศร้าใจ ทั้งนี้ เพราะว่า  ในทางตรงกันข้าม “มุสลิม ควรจะใช้บัญญํติในอัลกุรอาน อธิบายและพิสูจน์ว่า “ฮาดีษบทต่างๆ มีความถูกค้องกับ ความเป็นจริงและความหมายของอัลกุรอาน" และ...อีกตอนหนึ่งว่า... "การเอาฮาดีษที่เป็นข้อความเดียวกับอัลกุรอานและ เป็นข้อความที่อุลมาทั้งหลายเห็นชอบตรงกัน มาชี้แสดง ให้เห็นว่า  การละหมาดการละหมาดฟัจรฺ และ การ ละหมาด อัศรฺ..นั้นมีบอกไว้ในอัลกุรอาน อย่างแจ้งชัด ซึ่งถ้าคนใช้สติปัญญาแล้ว  ฮาดีษที่ผมยกมาไม่มีความจำเป็นเลย ถึงแม้ไมมีฮาดีษนั้น คำอธิบายในอัลกุรอาน ก็ เพียงพอในการกำหนดเวลา" ด้วยเหตุนี้.. ที่คุณเขียนสรปว่า..."สรุปสั้นๆเลยนะครับ แมทท์ที่อ้างว่า ใช้กุรอ่านเท่านั้นในการ ปฏิบัติศาสนกิจ แต่กลับ ยืนยันไม่ได้ว่า อายะห์ที่ 50:39 นั้น เป็นเวลาละหมาดใดกันแน่ ถ้าไม่อาศัยฮะดีษ" คำตอบผมให้ไว้แต่แรกแล้วแต่คุณไม่เข้าใจเอง..  "การละหมาดการละหมาดฟัจรฺ และ การ ละหมาด อัศรฺ..นั้นมีบอกไว้ในอัลกุรอาน อย่างแจ้งชัด ใน อายะห์ที่ 50:39 ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ "ฮาดีษใดๆมายืนยันเลย  ปัญหาของผมอยู้ที่ว่า ...    "ถ้าไม่มีการเขียนเกี่ยวกับฮาดีษแล้ว มุสลิมเช่นคุณไม่งงเป็นไก่ตาแตกเลยหรือครับว่า จะละหมาด ฟัจรฺ และ การ ละหมาด อัศรฺ เวลาใด? เพราะอ่านอัลกุรอานแล้วไม่เข้าใจ   อย่าเขียนกลับไปกลับมาโดยไม่อ่านให้เข้าใจเสียก่อน และพยายามเอาคำพูดคุณมา บรรจุในปากผม .................. ปัญหาลับสมองสำหรับคุณในวันนี้.. ข้อความข้างล่างนี้มีความหมายว่าอย่างไร?, มาจากที่ใด? ใครเป็นผู้กล่าว? "......เมื่อพระอาทิตย์เริ่มทอแสง ให้หยุดจากการทำละหมาด เนื่องจากว่า พระอาทิตย์ขึ้นระหว่าง  “เขาของไซตอน” (Devil's horns)......" จากคุณ : แมทท์ - [ 17 ธ.ค. 51 02:40:00 ]

ความคิดเห็นที่ 28 สรุปพี่แมทท์ เอากุรอ่าน ไม่เอาฮาดิษ แต่เอาบรรพบุรุษที่หาหลักฐานไม่ได้ แต่ดันเอาอุลามะห์ที่เอาฮาดิษซะนี่ แปลกจริงๆ เรื่องการเอากุรอ่าน เอาฮาดิษ เอาความคิดเห็นจากอุลามะห์ มุสลิมซุนนี่ใช้อยู่แล้ว ดังนั้นการที่อูลามะห์จะยืนยันเวลาละหมาด 5 เวลา จาก 9 เวลาจากกุรอ่านไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหลักการเค้ารับทั้งกุรอ่านและฮาดิษอยู่แล้วดังนั้นคุณแครอทจะฟังอุลามะห์นั้นไม่แปลก เพราะแกเอาทั้งกุรอ่าน ทั้งฮาดิษ ทั้งอุลามะห์อยู่แล้ว แต่จุดยืนของพี่คือใช้กุรอ่านอย่างเดียว ด้วยกับสติปัญญาของพี่เอง ถ้าพี่จะยืนยันเรื่องนี้พี่ต้องหาหลักฐานจากทางฝั่งพี่เองล้วนๆ และมาจากกุรอ่านล้วนๆ จากสติปัญญาของพี่เองล้วนๆ เพราะจุดยืนพี่เองเอาจากกุรอ่านอย่างเดียว ดังนั้นนี่คือโจทย์ที่พี่ต้องแสดงออกมาให้เห็นให้ได้ ไม่ต้องอ้างความคิดเห็นจากอูลามะห์ฝั่งผม เพราะเท่ากับเกลียดปลาไหลกินน้ำแกง จากคุณ : ghanee.s - [ 17 ธ.ค. 51 08:32:03 ]

ความคิดเห็นที่ 29 คุณ ghanee.s: ผมตามหาคุณอยู่หลายวันอยากให้คุณอธิบาย เรื่อง "ศาสนาอิสลามที่คุณว่าไม่ไช่ศาสนานั้นต่างจากที่อัลกุรอานกล่าวไว้อย่างไร? ตามที่คุณกล่าวว่า “อิสลามไม่ใช่ศาสนาครับ ไม่ใช่ความเชื่อด้วย” แล้วประโยคภาษาอรับใน ซูเราะฮฺ อัล-มาอิดะฮฺ , อายะที่ 3..  ประโยคที่ 4 จากท้ายซูเราะห์ ประโยคที่ว่า “.....วะรอฎีย์ตุ ละกุมุ อัลอิสลามะ ดีย์นัน;” แปลเป็นภาษาไทยว่าอย่างไร? ภาษาอังกฤษแปลว่า “and chosen for you Islam as a religion;” ช่วยอธิบายคำว่า "ดีย์นัน หรือ ดีน" ว่าต่างกับ  "religion"  อย่างไร? จากคุณ : แมทท์ - [ 17 ธ.ค. 51 17:12:48 ]

ความคิดเห็นที่ 30 แมทท์ครับจะแถจะเบี่ยงประเด็นจะนอกเรื่องไปถึงไหนครับ คุณก็ไม่มีอะไรต่างจากเดิมคือพอเถียงไม่ได้ จนด้วยหลักฐานเถียงไม่ขึ้น ก็หาว่าคู่สนทนาเด็ก ไม่คุยด้วยเหตุผล แต่ตัวคุณเองกลับตอบไม่ตรงประเด็นเลยสักอย่าง ตอบคำถามอะไรก็ไม่ได้เลย ได้แต่ไล่ไปอ่านนั่น อ่านนี่ และกล่าวหาคู่สนทนาเพื่อหนีการตอบคำถามตลอด การที่คุณแนะนำหนังสือหนังหาอะไรทั้งหลายแหล นั้นมันไม่ช่วยซื้อเวลาให้คุณ และไม่ช่วยคุณตอบคำถามของผมได้หรอกครับ เพราะคำถามของผมมันเกี่ยวเนื่องกับประเด็นของกระทู้ที่คุณตั้งเองเลยนะครับว่า ละหมาด 5 เวลา ประจำวันของมุสลิม ที่จะละเว้นไม่ได้ นั้น มีระบุกำหนดเวลาไว้อย่างแน่นนอนในอัลกุรอาน ซึ่งผมได้ย้ำไปแล้วว่า "สรุปสั้นๆเลยนะครับ แมทท์ที่อ้างว่า ใช้กุรอ่านเท่านั้นในการ ปฏิบัติศาสนกิจ แต่กลับ ยืนยันไม่ได้ว่า อายะห์ที่ 50:39 นั้น เป็นเวลาละหมาดใดกันแน่ ถ้าไม่อาศัยฮะดีษ" แต่คำตอบที่แมทท์อ้างว่าตอบแล้วมีดังนี้ครับ "คุณจะเห็นว่า การอ้างอิงและการใช้  ฮาดีษ มายืนยันความจริงและความหมายของอัลกุรอาน เพื่อให้ มุสลิม ที่มีความศรัทธาต่อท่านรอซูลด้วยกัน, ได้ เห็นและ เข้าใจ และเชื่อถือ ในความหมายของ อัลกุรอาน อายะต่างๆ เช่นเดียวกับที่ผมกำลังกระทำอยุ่นี้ เป็นเรื่อง น่า เศร้าใจ ทั้งนี้ เพราะว่า  ในทางตรงกันข้าม “มุสลิม ควรจะใช้บัญญํติในอัลกุรอาน อธิบายและพิสูจน์ว่า “ฮาดีษบทต่างๆ มีความถูกค้องกับ ความเป็นจริงและความหมายของอัลกุรอาน" และ...อีกตอนหนึ่งว่า... "การเอาฮาดีษที่เป็นข้อความเดียวกับอัลกุรอานและ เป็นข้อความที่อุลมาทั้งหลายเห็นชอบตรงกัน มาชี้แสดง ให้เห็นว่า  การละหมาดการละหมาดฟัจรฺ และ การ ละหมาด อัศรฺ..นั้นมีบอกไว้ในอัลกุรอาน อย่างแจ้งชัด ซึ่งถ้าคนใช้สติปัญญาแล้ว  ฮาดีษที่ผมยกมาไม่มีความจำเป็นเลย ถึงแม้ไมมีฮาดีษนั้น คำอธิบายในอัลกุรอาน ก็ เพียงพอในการกำหนดเวลา" ด้วยเหตุนี้.. ที่คุณเขียนสรปว่า..."สรุปสั้นๆเลยนะครับ แมทท์ที่อ้างว่า ใช้กุรอ่านเท่านั้นในการ ปฏิบัติศาสนกิจ แต่กลับ ยืนยันไม่ได้ว่า อายะห์ที่ 50:39 นั้น เป็นเวลาละหมาดใดกันแน่ ถ้าไม่อาศัยฮะดีษ" คำตอบผมให้ไว้แต่แรกแล้วแต่คุณไม่เข้าใจเอง.. "การละหมาดการละหมาดฟัจรฺ และ การ ละหมาด อัศรฺ..นั้นมีบอกไว้ในอัลกุรอาน อย่างแจ้งชัด ใน อายะห์ที่ 50:39 ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ "ฮาดีษใดๆมายืนยันเลย  ปัญหาของผมอยู้ที่ว่า ... "ถ้าไม่มีการเขียนเกี่ยวกับฮาดีษแล้ว มุสลิมเช่นคุณไม่งงเป็นไก่ตาแตกเลยหรือครับว่า จะละหมาด ฟัจรฺ และ การ ละหมาด อัศรฺ เวลาใด? เพราะอ่านอัลกุรอานแล้วไม่เข้าใจ นี่คือคำตอบของแมทท์ที่ตอบผมมา ลองอ่านที่ผมขีดเส้นใต้ให้ดีๆ นะครับ แมทท์อ้างว่าแมทท์ตอบแล้วและผมอ่านไม่เข้าใจเอง แต่ขอให้ทุกท่านอ่านเอาเองนะครับว่า แมทท์ตอบอะไรบ้าง แมทท์ตอบได้แต่ว่า กุรอ่านบอกชัดเจนแล้วถ้าใช้สติปัญญา แต่บอกชัดเจนอย่างไร แมทท์ไม่พูดถึงเลย เรื่องนี้ผม ได้ ตั้งคำถามไปแล้วนะครับว่า กลางดึก หลังเที่ยงคืน ตี 3 ตี 4 เราก็เรียกว่าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนะครับ แต่เราจะดูแสงนั้นอย่างไร มีหลักการอย่างไร ที่คุณอ้างว่าใช้สามัญสำนึก นั่นแปลว่าคุณเดาเอง ไม่มีหลักการ แบบนี้ ร้อยคนก็ร้อยแบบล่ะครับ ถ้าขยันหน่อยก็ ละหมาด ซะ ตี 3 เพราะนั่นก็ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเช่นกัน หรือเห็นแสงอาทิตย์รำไร แต่ยังไม่ขึ้น เต็มที่ กันแน่ เราจะรู้ได้อย่างไร จะอ้างว่าใช้สามัญสำนึกไม่ได้ เพราะนั่นคือการเดาครับ ผมถึงบอกไงครับว่า ต้องใช้แบบอย่างนบี หรือฮะดีษของนบี ในการกำหนดหรือดูเวลาละหมาด ครับ แมทท์ไม่เคยที่จะตอบคำถามและการตั้งข้อสังเกตจุดนี้ของผมได้เลย ที่สำคัญ แมทท์กลับบอกว่า "...การเอาฮาดีษที่เป็นข้อความเดียวกับอัลกุรอานและ เป็นข้อความที่อุลมาทั้งหลายเห็นชอบตรงกัน มาชี้แสดง ให้เห็นว่า  การละหมาดการละหมาดฟัจรฺ และ การ ละหมาด อัศรฺ..นั้นมีบอกไว้ในอัลกุรอาน อย่างแจ้งชัด..." นี่เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนนะครับว่า แมทท์ต้องต้องเอาฮะดีษหรือ ข้อความของอุลามะ มายืนยันว่า อายะที่ 50:39 นั้นกล่าวถึงละหมาด ฟัจรฺ และอัศรฺ ถ้าไม่เช่นนั้น แมทท์จะไม่สามารถหาอะไรมายืนยันได้เลยครับ ว่าเวลาที่กล่าวไว้ คือ เวลา ฟัจรฺและอัศรฺ นี่คือความฉ้อฉล ของแมทท์เอง ผมถึงถามไงครับ ถ้าไม่เอาข้อความของฮะดีษมาเกี่ยวข้อง ไม่เอาอุลามะ มาเกี่ยวข้อง อาศัยกุรอ่านเพียวๆ แมทท์จะแยกออกได้อย่างไรว่า ละหมาด ที่กล่าวถึงในอายะห์ที่ 50:39 ว่า ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนั้นเป็นเวลา ฟัจรฺไม่ใช่ ตะฮัจญุด ผมถามหลายรอบแล้ว แมทท์ไม่เคยตอบได้เลย นอกจากอ้างว่า กุรอ่านบอกแล้ว แต่บอกอย่างไร บอกละเอียดแค่ไหน ถ้าตีความไปอย่างอื่นแล้ว จะยืนยันอย่างไรว่าการตีความไปอย่างอื่นนั้นมันไม่ถูกต้อง แมทท์ครับคำถามง่ายๆว่า อธิบายอายะห์ เดียวให้ได้ก่อนครับว่า อายะห์ ที่ 50:39 นั้น เป็นเวลาใดกันแน่ ตะฮัจญุด หรือ ซุบฮิ โดยไม่อาศัยฮะดีษนะครับ เพราะอุลามา ต่างๆ ท่านต่างๆ ท่านก็อาศัย แบบอย่างนบีนะครับ ในการทำความเข้าใจว่าเวลานี้คือเวลาใด กันแน่ ทำไมไม่ตอบให้ตรงประเด็นละครับ จะใช้กุรอ่านอย่างเดียวเท่านั้นไม่ใช่หรือ แล้วอ้างอุลามะทำไม หมดปัญญาตอบแล้วหรือครับ? จากคุณ : Carroth - [ 17 ธ.ค. 51 17:14:09 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ย้ำอีกที ไหนๆ ก็ปรากฎตัวมาแล้ว แมทท์ครับคำถามง่ายๆว่า อธิบายอายะห์ เดียวให้ได้ก่อนครับว่า อายะห์ ที่ 50:39 นั้น เป็นเวลาใดกันแน่ ตะฮัจญุด หรือ ซุบฮิ โดยไม่อาศัยฮะดีษนะครับ เพราะอุลามา ต่างๆ ท่านต่างๆ ท่านก็อาศัย แบบอย่างนบีนะครับ ในการทำความเข้าใจว่าเวลานี้คือเวลาใด กันแน่ ทำไมไม่ตอบให้ตรงประเด็นละครับ จะใช้กุรอ่านอย่างเดียวเท่านั้นไม่ใช่หรือ แล้วอ้างอุลามะทำไม หมดปัญญาตอบแล้วหรือครับ? เพราะที่คุณตอบมา คุณอ้างฮะดีษมา เพื่อยืนยันเวลาละหมาดครับ คุณไม่ได้ใช้กุรอ่าน ยืนยันเวลาละหมาดแต่อย่างใด จากคุณ : Carroth - [ 17 ธ.ค. 51 17:15:23 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ถ้าผมจะบอกว่า และจงสดุดีด้วยการสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าก่อนการขึ้นของดวงอาทิตย์ และก่อนมันตก (50:39) ก่อนการขึ้นของดวงอาทิตย์คือเวลา ตะฮัจญุดครับ และเวลา ก่อนพระอาทิตย์ตกคือเวลาอะชีย์ โดยอ้างอิงกุรอ่าน และจงรำลึกถึงพระเจ้าของเจ้ามาก ๆ และจงกล่าวสดุดีในความบริสุทธิ์ของพระองค์ ทั้งในเวลาอะชีย์และเวลาอิบการ์ (3:41) อะชีย์คือเวลาเย็นๆ ครับ และไม่ใช่อัศร์ด้วย คุณจะว่ามันไม่ใช่ ตะฮัจญุดและอะชีย์ได้ยังไง ? อย่างอ้างฮะดีษครับ เพราะสำหรับคุณ มันคือนิทานนี่ และอย่างอ้าง อุลามา เพราะเขาเหล่านั้นก็เรียนแต่เรื่องนิทาน มิใช่หรือ? ตอบมาสิครับ เอาให้ตรงประเด็น แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 51 17:20:39 จากคุณ : Carroth - [ 17 ธ.ค. 51 17:19:55 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เดาได้เลยแมทท์ก็อ้างว่าตอบไปแล้ว แล้วก็ยกข้อความเดิมมาเป็นข้อความที่บอกว่าถ้าใช้ปัญญา ก็สามารถเข้าใจได้ แต่ กลับไม่มีปัญญา บอกว่า เวลาในอายะห์ที่ 50:39 ไม่ใช่ ตะฮัจญุด และอะชีย์ และสุดท้ายต้องอ้างฮะดีษและอุลามะ มายืนยัน ไหนเหรอครับ ใช้กุรอ่านเท่านั้นในการปฏิบัติศาสนกิจ โกหกชัดๆ จากคุณ : Carroth - [ 17 ธ.ค. 51 17:23:09 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ที่กระทู้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7318757/Y7318757.html ก็เที่ยวไปพูดไปโพนทนา ว่าผมจนตรอก แต่ดันตอบคำถามง่ายๆ แค่นี้ โดยไม่อ้างฮะดีษไม่ได้อีก ตอบคำถามไม่ได้สักอย่าง อ้างฮะดีษมา ก็หารู้ไม่ว่า มันเป็นการประจานตัวเองว่า ต้องพึ่งฮะดีษไม่งั้นหาเวลาละหมาดไม่เจอ มุกนี้เนี่ยใช้มากี่ปีแล้วครับ แมทท์ ไม่เบื่อมั่งหรือไง ตอบไม่ได้ก็หาว่าคนอื่นไม่มีเหตุผล จนด้วยหลักฐานก็หาว่า คนอื่นพูดไม่รู้เรื่อง แมทท์เอ๋ย คุณน่ะยิ่งพิมพ์มันยิ่งฆ่าตัวตาย ครับ คำพูดขัดกันเอง ผมเซฟไว้ทั้งนั้นแหละครับพูดอะไรไว้ ตอบมาให้มันตรงประเด็นซะทีเถอะ เบื่อแย่แล้วครับ แถไปแถมา หาสาระไม่ได้สักอย่าง คำถามง่ายๆ ก็ตอบไม่ได้ ต้องกลิ้งเกลือกไปทางอื่น ถามเรื่องนิวตัน ก็ตอบเรื่องเป็ด เปลี่ยนวิธีการแถบ้างเถอะ แถโง่ๆ แบบนี้ มันแสดงความไร้ปัญญาของคุณออกมาเอง จากคุณ : Carroth - [ 17 ธ.ค. 51 21:41:47 ]

ความคิดเห็นที่ 35 หนีอีกแล้ว แมทท์หนีอีกแล้ว กระทู้อื่นไปป่วนเขาได้กระทู้นี้ หนีอีกแล้ว จากคุณ : Carroth - [ 19 ธ.ค. 51 16:39:07 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ผมเข้ามา  ดูก่อน ว่า คุณCarroth หายป่วยใจหรือยัง  ผมรับรองได้ไม่หนึไปไหน? กำลัง หาวิธีว่า ทำอย่างไร จะให้สมาชิก ทั้งหลาย เข้าใจการอธิบายไป พร้อมๆกับ คุณ  เพราะใช้วิธี นำฮะดีษมา ชี้ให้เห็นว่า "ฮาดีษลอก การกำหนดเวลาละหมาด มาจากอัลกุรอาน"  คุณก็เข้าใจไปว่า ผมอ้างฮะดีษมายืนยัน     เราจะพยายามคุยเรื่องนี้ไปเรือยๆ จนกว่าคุณจะเห็นว่า การมีศรัทธาต่อฮาดีษและใช้ ฮาดีษมามีส่วนในการปฏิบัติศาสนกิจ ตามหลัก ของบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าพระองค์เดียว โดยเชื่อว่า ฮาดีษคือคำกล่าวซึ่งเป็นตัวแทนคำพูด ของท่านศาสดามูฮัมมัด ซึ่งเสียชีวิตไปนานแล้ว และนำมาใช้ประดุจดังเป็นคำพูดที่แท้จริงของท่าน นั้น เป็นการกระทำที่เป็น "ชิริก",   ทั้งนี้เพื่อให้คุณเข้าใจว่าอัลกุรอานมีรายละเอียดในการปฏิบัติศาสนกิจ ตามหลักการของอิสลาม คือเชื่อใน บัญญัติของพระเจ้าว่า  บัญญัติของพระองค์สมบูรณ์ และมีรายละเอียด  ในการปฏิบัติศาสนากิจตาม พระประสงค์ของพระองค์ โดยไม่ต้องสร้าง สิ่งประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่เพื่อ อธิบาย บัญญํติของพระองค์ สุภาษิตเปิดกระโหลก สำหรับคุณในวันนี้...    "เราจะไม่ให้เพื่อนโทรศัพท์หาเราถ้าเรารู้ว่าเพื่อนไม่มีโทรศัพท์และไม่เคยเห็นหรือใช้โทรศัพท์มาก่อน" จากคุณ : แมทท์ - [ 21 ธ.ค. 51 00:19:29 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ผมเข้ามา  ดูก่อน ว่า คุณCarroth หายป่วยใจหรือยัง  ผมรับรองได้ไม่หนึไปไหน? กำลัง หาวิธีว่า ทำอย่างไร จะให้สมาชิก ทั้งหลาย เข้าใจการอธิบายไป พร้อมๆกับ คุณ  เพราะใช้วิธี นำฮะดีษมา ชี้ให้เห็นว่า "ฮาดีษลอก การกำหนดเวลาละหมาด มาจากอัลกุรอาน"  คุณก็เข้าใจไปว่า ผมอ้างฮะดีษมายืนยัน - ไม่ต้องกลัวหรอกครับ เพราะผมไม่เคยป่วยใจในการสนทนากับคุณ ก็คงมีแต่คุณมังครับ ที่ผมว่าเริ่มมีอาการป่วยทางจิต หรือพูดง่ายๆ ว่าเริ่มหลอน คิดฝันอยากให้ผม จนแต้มจนเริ่มแยกไม่ออกระหว่างความฝันกับความจริง ส่วนเรื่อง ฮะดีษลอกการกำหนดเวลาละหมาดมานั้นน่ะ มันไม่เกี่ยวหรอกครับ เพราะผมบอกไปแล้วว่า ฮะดีษนั้นก็มี ที่มาขยาย และอธิบายกุรอ่าน ยกตัวอย่าง เรื่อง อายะห์ที่ 50:39 นั่นแหละครับ ฮะดีษนั้นขยายว่าเวลาที่บอกในกุรอ่านคือเวลาใดกันแน่ ถ้าไม่มี เราก็จะเริ่มมั่ว อย่างที่คุณตอบผมไม่ได้ไงล่ะครับ ว่า อายะห์ที่ 50:39 นั้นเป็นเวลาใดกันแน่ถ้าไม่ ตามนบี หรือฮะดีษ เพราะฉะนั้นคุณจะหาวิธีให้ตายยังไง มันก็เอามาโมเมว่า ฮะดีษนั้นไม่จำเป็นไม่ได้หรอกครับ เพราะ คำถามง่ายๆ คำถามเดียว แมทท์ยังตอบไม่ได้ ว่า อายะห์ที่ 50:39 เป็นเวลาใดกันแน่ โดยอาศัยกุรอ่านอย่างเดียว เนื่องจาก ถ้าคุณอ้างว่าฮะดีษไม่จำเป็นและมีเหตุผลพอแล้วล่ะก็ คุณไม่ต้องเอาฮะดีษมาเทียบเลย แค่บอกเวลาละหมาดให้ตรงเป๊ะๆ โดยอาศัยกุรอ่านล้วนๆ ก็จบแล้ว แต่คุณพยายามอาศัยข้ออ้างในการเอาฮะดีษมาเทียบ แล้วโมเมว่าฮะดีษลอกมาแถมไม่จำเป็นในการปฏิบัติศาสนกิจ นั่นยิ่งแสดงให้เห็นว่า "คุณไม่สามารถ กำหนดเวลาละหมาดได้โดยอาศัยกุรอ่านอย่างเดียว (ตามแนวคิดมั่วๆของลัทธิคุณ) นะครับ" จึงต้องพยายามหาเรื่องยกฮะดีษมาใช้เอาตัวรอด จากคุณ : Carroth - [ 21 ธ.ค. 51 07:07:50 ]

ความคิดเห็นที่ 38 เราจะพยายามคุยเรื่องนี้ไปเรือยๆ จนกว่าคุณจะเห็นว่า การมีศรัทธาต่อฮาดีษและใช้ ฮาดีษมามีส่วนในการปฏิบัติศาสนกิจ ตามหลัก ของบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าพระองค์เดียว โดยเชื่อว่า ฮาดีษคือคำกล่าวซึ่งเป็นตัวแทนคำพูด ของท่านศาสดามูฮัมมัด ซึ่งเสียชีวิตไปนานแล้ว และนำมาใช้ประดุจดังเป็นคำพูดที่แท้จริงของท่าน นั้น เป็นการกระทำที่เป็น "ชิริก", - แมทท์ครับ แมทท์เข้าใจ คำว่าชิริหรือไม่ ว่ามีอะไรบ้าง ถ้าไม่รู้จะสอนให้ 1. ภาคีแยกเป็นเอกเทศน์ เช่นยืนยันว่ามีพระเจ้าสององค์อย่างเอกเทศน์ เหมือนกับชิริกของพวกมะญูซีบูชาไฟ 2. ภาคีแบบแบ่งส่วน คือพระเจ้าองค์หนึ่งเป็นภาคส่วนของพระเจ้าขององค์หนึ่ง เช่นการชิริกของพวกนะซอรอ 3. ภาคีแบบสร้างความใกล้ชิด คือการอิบาดะฮ์สิ่งอื่นเพื่อสร้างความใกล้ชิดต่ออัลเลาะฮ์ ตะอาลา เช่นการชิริกของพวกญาฮิลียะฮ์ยุคแรก 4. ภาคีเลียนแบบ คืออิบาดะฮ์สิ่งอื่นจากอัลเลาะฮ์โดยตามผู้อื่นอีกที เช่นการชิริกของพวกญาฮิลียะฮ์รุ่นหลัง(ก่อนอิสลาม) 5. ภาคีจากมูลเหตุ คือการพาดพิงผลการกระทำที่เกิดขึ้นให้กับมูลเหตุแห่งกฏธรรมดา เช่นการชิริกของพวกปรัชญา พวกธรรมชาตินิยม และผู้เจริญรอยตามพวกเขา 6. ภาคีด้วยเป้าหมายต่าง ๆ คือกระทำอะมัลเพื่อคนอื่นจากอัลลอฮ์ ตะอาลา จาก http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?topic=3086.0 ไม่มีนะครับ ชิริกในการใช้ฮะดีษหรือ เชื่อว่าฮะดีษคือคำพูดของท่านศาสดา เพราะผ่านการตรวจสอบกลั่นกรองแล้ว และกรุณาอย่าใช้คำว่าศรัทธาต่อฮะดีษครับเนื่องจากการใช้คำนี้ คนฉ้อฉลอย่างคุณก็จะโมเมไปว่า ศรัทธาต่อฮะดีษจะเอามาเทียบเคียงเทียบเท่าอัลลอฮ์หรือกุรอ่าน แต่มุสลิมรวบรวมฮะดีษ เพื่อทำตามกุรอ่านครับ ในการใช้ให้เราตามนบี จะว่าไปแล้วถ้านี่คือการ ชิริก คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณกำลังชิริกโดยเอาบรรพบุรุษ มามีส่วนในการปฏิบัติศาสนกิจ แต่จริงๆแล้วแมทท์ก็เคยบอกว่า ใช้กุรอ่านเท่านั้นในการปฏิบัติศาสนกิจ แมทท์ เป็นมุชริก หรือเปล่า เอหรือเป็นมุนาฟิก แต่ที่แน่ๆ คนที่บอกว่ากุรอ่านต้องมีการปลอมแปลงย่อมไม่ควรเรียกมันว่ามุสลิม จากคุณ : Carroth - [ 21 ธ.ค. 51 07:20:29 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ทั้งนี้เพื่อให้คุณเข้าใจว่าอัลกุรอานมีรายละเอียดในการปฏิบัติศาสนกิจ ตามหลักการของอิสลาม คือเชื่อใน บัญญัติของพระเจ้าว่า  บัญญัติของพระองค์สมบูรณ์ และมีรายละเอียด  ในการปฏิบัติศาสนากิจตาม พระประสงค์ของพระองค์ โดยไม่ต้องสร้าง สิ่งประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่เพื่อ อธิบาย บัญญํติของพระองค์ - คนที่มันอ้างว่า ตามกุรอ่าน แต่มันไม่เอาแบบอย่างนบี ไม่เอาฮะดีษ มันคนนั้นคือคนโกหก กลับกลอก และตลบแตลงนะครับ เพราะ กุรอ่านสั่งให้เราตามนบีชัดๆ เต็มๆ ถ้าไม่เอานบี ก็เท่ากับมันไม่เอากุรอ่านด้วย แล้วจะบอกว่า ปฏิบัติตามกุรอ่านอย่างเคร่งครัดได้อย่างไร กุรอ่านสมบูรณ์แล้วครับ มีแนวทางให้มนุษย์ไปสู่ความสำเร็จได้อย่างแน่นอน แต่แมทท์ไปไม่รอดเพราะปฏิเสธโองการที่ตามนบีนี่แหละครับ แต่บรรดามุสลิมนั้นใช้กุรอ่านนำพาพวกเขาไปสู่ความสำเร็จได้ เพราะทำตามโองการที่ให้เราตามนบีด้วย นี่คือความสมบูรณ์แบบของกุรอ่าน เอ้า บอกว่าเพื่อให้ผมเข้าใจ ว่าใช้กุรอ่านอย่างเดียวในการปฏิบัติศาสนกิจนั้นทำได้ ก็ช่วยตอบคำถามผมหน่อยเถอะครับ คำถามเปิดกระโหลกแมทท์ อธิบายอายะห์ เดียวให้ได้ก่อนครับว่า อายะห์ ที่ 50:39 นั้น เป็นเวลาใดกันแน่ ตะฮัจญุด หรือ ซุบฮิ โดยไม่อาศัยฮะดีษนะครับ เพราะอุลามา ต่างๆ ท่านต่างๆ ท่านก็อาศัย แบบอย่างนบีนะครับ ในการทำความเข้าใจว่าเวลานี้คือเวลาใด กันแน่ จากคุณ : Carroth - [ 21 ธ.ค. 51 07:28:23 ]

ความคิดเห็นที่ 40 สุภาษิตถลกหนังแมทท์ "แมทท์จะไม่ให้ใครโทรศัพท์หา เพื่อไม่ให้ใครๆรู้ว่าแมทท์ไม่มีโทรศัพท์ ไม่เคยเห็น และไม่เคยใช้โทรศัพท์มาก่อน" อะ โฮะ โฮะ โฮะ โฮะ โฮะ โฮะ หรือถ้าใช้สุภาษิตแบบใกล้ตัวเพื่อป้องกันอาการกะโหลกหนาชั่วขณะ หรือกระโหลกหนาการเมือง แบบป่วยการเมือง ก็ต้อง ใช้สุภาษิตว่า แมทท์จะไม่ยอมตอบคำถามเรื่องละหมาด เพื่อไม่ให้ใครๆ รู้ว่าแมทท์ไม่มีคำตอบเรื่องการละหมาด ไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจ มาก่อนเรื่องการละหมาดโดยอาศัยกุรอ่านเท่านั้น" จากคุณ : Carroth - [ 21 ธ.ค. 51 07:34:09 ]

ความคิดเห็นที่ 41 แมทท์ถ้าไม่รู้จริงๆ ก็บอกไปเลยง่ายๆ แบบนี้ ว่า ปล. เครดิตแถวๆพันทิพนี่แหละ จากคุณ : Carroth - [ 21 ธ.ค. 51 07:37:18 ]