ความคิดเห็นที่ 52

ภาษาพระไตรปิฎก
คนส่วนมากเข้าใจว่า ภาษาพระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาทก็คือ ภาษาบาลี หรือตันติภาษา เป็นภาษาเดียวกัน (หรือพัฒนามาจาก) ภาษามาคธี ที่พระพุทธเจ้าใช้ในการประกาศพระศาสนา หลังจากพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พุทธวจนะได้ถูกถ่ายทอดปากต่อปากด้วยภาษาบาลีนี้จนกระทั่งจารลงในใบลานเป็นลายลักษณ์อักษรและเก็บรักษามาจนบัดนี้
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงความเชื่อของพุทธศาสนิกชนฝ่ายเถรวาท ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากคัมภีร์อรรถกถาที่พระอรรถกถาจารย์แต่งขึ้นเมื่อพุทธศตวรรษที่ 10 อะไรทำให้พระอรรถกถาจารย์เชื่อมั่นและยืนยันเช่นนั้นยังไม่กระจ่างชัด แต่เมื่อพิจารณาถึงประวัติการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ทำให้ไม่แน่ใจว่าภาษาในพระไตรปิฎกจะเป็นภาษาเดียวกับภาษามาคธี หรือภาษาใดๆ ในประวัติศาสตร์ชื่อของภาษาคือ ปาลิ (บาลี) ก็เป็นปริศนาสำคัญ ยังคงรอ "คำไข" ที่กระจ่างจากนักประวัติศาสตร์อยู่จนบัดนี้ว่า เป็นชื่อของภาษาใดภาษาหนึ่งหรือไม่ ถ้าไขปริศนานี้ได้ก็เท่ากับตอบปัญหาเกี่ยวกับภาษาพระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาทได้ด้วย
ในที่นี้จะขอประมวลทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเสนอดังต่อไปนี้
บาลีมิใช่ชื่อของภาษาใดภาษาหนึ่ง
ผู้มีทัศนะดังนี้ เช่น สุภูติเถระ ริส เดวิดส์ (Rhys Davids) วิลเลียม สเตเด (William Stede) เซอร์มอร์เนียร์ มอร์เนียร์-วิลเลียมส์ (Sir Monier Monier-Williams) เป็นต้น
สุภูติเถระ ผู้รวบรวมอภิธานัปปทีปิกาสูจิ ให้ความหมายของคำว่า ปาลิ (หรือปาฬิ) ไว้ 3 นัยคือ
1. ปาฬิธรรม หรือ ปริยัติธรรม ดังตัวอย่างว่า ปาฬิยา อตฺถํ อุปปริกฺขนฺติ = (ภิกษุทั้งหลาย) ย่อมพิจารณาอรรถแห่งปาฬิธรรม หรือปริยัติธรรม
2. ขอบ (เช่น ขอบสระ) ดังตัวอย่างว่า ตฬากสฺส ปาฬิ = ขอบแห่งสระ
3. แถว, แนว, ระเบียบ ดังตัวอย่างว่า ปาฬิยา นิสีทึสุ = (ภิกษุทั้งหลาย) นั่งเรียงแถว
ริส เดวิดส์ และ วิลเลียม สเตเด ผู้รวบรวม Pali-English Dictionary ฉบับสมาคมปาลีปกรณ์ให้ความหมายของคำว่า ปาลิ ไว้ 2 นัยคือ
1. แถว, แนว
2. ธรรม, ปริยัติธรรม ตำราธรรมของพระพุทธศาสนาที่เป็นหลักดั้งเดิม ต่อมาภายหลังได้กลายมาเป็นภาษาหนังสือของพุทธศาสนิกชนในปัจจุบัน มีส่วนสัมพันธ์ใกล้ชิดกับภาษามาคธี
เซอร์มอร์เนียร์ มอร์เนียร์-วิลเลียมส์ ผู้รวบรวม Sanskrit-English Dictionary ให้ความหมายของคำปาลิไว้ 6 นัย คือ
1. ขอบหู, ใบหู (ศัพท์แพทย์ของอาจารย์สุศรุตะ)
2. ริม, ขอบ (ตรงกับนัยที่ ๒ ของสุภูติเถระ)
3. แถว, แนว, สาย เช่น รัตนปาลิ (ตรงกับนัยที่ 3 ของสุภูติเถระ และนัยที่ 1 ของเดวิดส์ และ สเตเด
4. คู, สะพาน
5. หม้อหุงต้ม
6. มาตราตวงเท่ากับ 1 ปรัสถะ
จากหลักฐานทั้งสามนี้จะเห็นว่า ไม่มีแห่งไหนที่ระบุชัดลงไปว่า ปาลิ เป็นภาษาที่ใช้พูดกันภาษาใดภาษาหนึ่งโดยเฉพาะ และที่น่าสังเกตก็คือ พจนานุกรมสันสกฤต-อังกฤษ ดังกล่าว ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า ภาษา ว่า "คำพูด, ถ้อยคำ (speech, language) โดยเฉพาะหมายเอาภาษาพื้นเมืองทั่วไป (ปรากฤต) ตรงกันข้ามกับภาษาพระเวทซึ่งภายหลังเรียกว่า สันสกฤต"
ปรากฤต หรือภาษาพื้นเมืองของชาวอารยันในอินเดียสมัยกลางแบ่งออกเป็น 5 สาขา (ปญฺจวิธา ภาสา) คือ
1. มหาราษฏรี ภาษาของชาวมหาราษฎร์
2. เศารเสนี ภาษาของชาวสุรเสน
3. มาคธี ภาษาของชาวมคธ
4. ปราจยา ภาษาของชาวตะวันออก
5. อวันตี ภาษาของชาวอวันตี
ในจำนวนภาษาพื้นเมืองของอารยันสมัยกลางทั้ง 5 สาขานี้ ไม่มี "ปาลิ" รวมอยู่ด้วย จากหลักฐานดังกล่าวพอสรุปได้ว่า ทั้งสุภูติเถระ มอร์เนียร์-วิลเลียมส์ สเตเดและเดวิดส์ ต่างเห็นลงรอยกันว่า คำว่า "ปาลิ" มิใช่ชื่อของภาษา ถ้าใช้ในความหมายทั่วไปแปลว่า ขอบ, แถว, แนว, คู, สะพาน, ใบหู, หม้อหุงต้ม, มาตราตวงชนิดหนึ่ง ถ้าใช้ในความหมายเฉพาะ หมายถึง ตำราหลัก หรือตำราชั้นต้นที่บันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้า จะบันทึกด้วยภาษาอะไรหรืออักษรชนิดใดก็เรียกว่า ปาลิ หรือบาลีทั้งนั้น
ควรกล่าวแทรกไว้ตรงนี้ว่า ตำราทางพระพุทธศาสนานั้นมี 4 ชั้น หรือระดับคือ
1. ตำราชั้นต้น หรือชั้นปฐมภูมิ เรียกว่า ปาลิ
2. ตำราชั้นสอง หรือชั้นทุติยภูมิ เรียกว่า อฏฺฐกถา หรือวณฺณนา
3. ตำราชั้นสาม หรือชั้นตติยภูมิ เรียกว่า ฎีกา
4. ตำราชั้นสี่ หรือชั้นจตุตถภูมิ เรียกว่า อนุฎีกา
ส่วนระดับถัดจากนั้นไปอาจเรียกว่า อาจริยมติ เกจิอาจริยา ซึ่งเป็นความคิดเห็นส่วนตัวในบางเรื่องของอาจารย์รุ่นหลังๆ ไม่นับเข้าลำดับด้วย
เหตุที่เรียกตำราชั้นต้นว่า ปาลิ หรือบาลี เพราะมีความหมาย 3 นัย คือ
1. รักษาข้อความเดิมไว้ไม่ขาดตกบกพร่อง
2. มีแบบแผนขอบเขตอันแน่นอนและแข็งแรงพอ ดุจขอบสระกั้นน้ำไว้ฉะนั้น
3. มีการนำสืบต่อกันมาเป็นลำดับ ดุจของที่ส่งรับช่วงกันต่อไปฉะนั้น
จากคุณ :
Mr.Terran
- [
9 ม.ค. 52 15:20:46
]
|
|
|