ความคิดเห็นที่ 1 ไปเอามาจากไหนหน่ะ ที่ว่า ห้ามเดินผ่านบ้านของอีกฝ่าย^^'' วันก่อนผม(เป็นคาทอลิก) ไปร่วมงานศพรุ่นที่โบสถ์โปรแตสแตนท์ ก็ไม่เห็นจะมีการเกลียดชังอะไรเลย _________ คาทอลิก กับ โปรเตสแตนท์ต่างกันตรงไหน นิกาย ใหญ่ ของคริสต์ มี 3 นิกาย คือ....เริ่มแรก บรรพชน ของพวกเราก็รวมกันมาไม่ได้มีการแยกนิกายอะไร ต่อมา ศตวรรษที่ 11 มีความขัดแย้ง ระหว่างพระศาสนจักร(คริสตจักร)ตะวันออก และโรม จึงแยก ตัวออกไป เกิดเป็นนิกายออธอดอคขึ้นมา และ ต่อมา ในศตวรรษที่16 ในพระศาสนจักร ได้ประสบปัญหาต่างๆมากมาย ทั้งจากระบบ และความประพฤติของบรรดาบาทหลวง ทางอดีตบาทหลวงมาร์ติน ลูเธอร์ ยื่นประท้วง 95 ข้อ เพื่อขอให้แก้ไข แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากสมเด็จพระสันตะปาปา เลยถูกขับ และสั่งลงโทษ ( ยุคนั้น พระศาสนจักร มีอำนาจเหนืออาณาจักร ) และได้เกิดนิกายโปรแตสแตนท์ขึ้นมา ดังนั้นสรุปนิกายใหญ่ๆของคริสตศาสนาได้ดังนี้ 1.โรมันคาทอลิก 2.ออเทอดอกซ์ แยกออกไป เมื่อ ปี ค.ศ. 1054 3.โปรเตสแตนต์ แยกออกไป เมื่อ ปี 1517 โดยอดีตบาทหลวง มาร์ติน ลูเธอร์ ++++++++++++++++++++++++++++++ +โรมันคาทอลิก+ มี พระสันตะปาปาเป็นประมุข โดยสืบทอดมาตั้งแต่สมัยอัครสาวกกลุ่มแรก โดยถือว่า นักบุญ เปโตร หรือ เซนต์ปีเตอร์ คือพระสันตะปาปาพระองค์แรก และสืบทอดมาถึงพระสันตะปาปาเบนนิดิกที่ 16 องค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่265 ผู้ นับถือคริสตศาสนาทุกนิกายทั่วโลก เรียกเป็นภาษาอังกฤษเหมือนกันว่า คริสเตียน แปลเป็นภาษาไทยคือคริสตชน แต่สำหรับประเทศไทยเรานั้น นิกายโรมันคาทอลิกถูกนำเข้ามาก่อนสมัยพระนารายณ์มหาราชโดยบาดหลวงชาว โปรตุเกส ดังนั้นการออกเสียงคำว่า คริสเตียนในภาษาโปรตุเกส ออกเสียงว่า "คริสตัง" อย่างจีซัส ก็ออกเสียงว่า "เยซู" จึงทำให้คาทอลิคเรียกผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิคว่า คริสตัง ส่วนโปรแตสแตนท์เข้ามาสมัยหมดบลัดเลย์ซึ่งเป็นอเมริกา ดังนั้น โปรแตสแตนท์ไทยจึงเรียกตัวเองว่า คริสเตียน ตามแบบภาษาอังกฤษ สำเนียงอเมริกา แต่คำว่า"เยซู"ก็ใช้ตามที่คาทอลิกและคนไทยได้คุ้นเคยแล้ว กลับมาที่ลักษณะของคาทอลิกต่อ คาทอลิกนั้นจะมีนักบวช ที่เรียกว่า บาดหลวง หรือซิสเตอร์ คาทอลิกจะมีการให้เกียรติพระนางมารีย์ แม่ของพระเยซูเป็นพิเศษ เรียกพระนางว่า "แม่พระ" มาจากคำว่า มารดาของพระเจ้า คาทอลิก จะมีการยกย่องวีรบุรุษ หรือวีรสตรีทางศาสนา หรือเรียกง่ายๆว่า บุคคลที่ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างพระเยซูอย่างดีมากจนเรามั่นใจว่าเขาได้ไป สวรรค์แน่นอน(คล้ายๆกรณีพระอรหันต์ในศาสนาพุทธ) เราจะเรียกคนเหล่านี้ ว่าเป็น นักบุญ ดังนั้นหากเปรียบให้เข้าใจง่าย เรามองว่าพระเยซูคือกษัตริย์ ส่วนแม่พระก็เป็นพระราชชนนี(แบบสมเด็จย่า) เหล่านักบุญก็เหมือนขุนนาง ที่ใกล้ชิดกษัตริย์ คาทอลิกมีความเชื่อ ว่า ในพิธีมิซซา(พิธีนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์) เมื่อขนมปัง และเหล้าองุ่นถูกเสกในพิธี ก็คือเนื้อ และพระโลหิต เหมือนที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำในอาหารค่ำมื้อสุดท้าย โบสถ์คาทอลิก ทุกแห่ง ถือเป็น1เดียวกัน ขึ้นตรงต่อกรุงวาติกัน และองค์พระสันตะปาปา ดังนั้น หากคุณเป็นคาทอลิกคุณสามารถไปวัดไหนก็ได้ที่ใกล้บ้าน สามารถเปลี่ยนวัดที่ไปได้ตามแต่สะดวก +โปรแตสแตนต์+ โป รแตสแตนทต์นั้น หลังจากการแยกนิกายในสมัยมาตินลูเธอร์ หลังจากนั้นได้มีการแยกนิกายย่อยอีกหลานิกาย ดังนั้นโบสถ์หรือคริสตจักรต่างๆ จะไม่ได้ขึ้นกับวาติกันหรือพระสันตะปาปาแต่อย่างใด แต่สำหรับใน ประเทศไทย โปรแตสแตน แบ่งเป็น 4 สายใหญ่ๆ คือสายสภาคริสตจักรในประเทศไทย สายสหกิจคริสตจักร และสายสหแบ๊บติสท์ และ เซเวนเดย์แอดเวนทิสท์ และนอกจากนั้นมีคริสตชนที่ไม่มีสังกัด เรียกตัวเองว่าคริสตจักรอิสระ เท่า ที่ทราบมานั้น โบสถ์ใน 4 สายหลักนี้ จะมีโยงใยถึงกัน และมีการตั้งที่เป็นระบบระเบียบ มีการควบคุมดูแลความสอดคล้องในหลักข้อความเชื่อให้ถูกต้อง แต่ในขณะเดียวกันก็มีคริสตจักรที่ไม่มีที่มาที่ไปที่ตั้งขึ้นเอง ซึ่งก็ต้องระมัดระวังในหลักความถูกต้องต่างๆด้วยตัวเอง ทั้งผู้สอนและผู้เชื่อ โปรแตสแตนต์ ไม่มีนักบวช แต่มีผู้ถวายตัวรับใช้พระเจ้า เรียกว่า ศาสนจารย์ /ศิษยาภิบาล และผู้ประกาศ ซึ่งอาจแต่งงานหรือไม่แต่งงานก็ได้ การเรียกคำนำหน้าบุคคลเหล่านี้ จะเรียกว่า อาจารย์ โปรแตสแตนต์ (โดยทั่วๆไป)จะไม่ให้ความสำคัญพิเศษกับพระนางมารีย์ หรือนักบุญ จะเน้นการเข้าถึงพระเยซูเจ้าโดยตรงด้วยตนเอง แต่สำหรับบางกลุ่มที่สนใจในเรื่องศาสนศาสตร์สตรี จะให้ความสำคัญกับพระนางมารีย์มากขึ้น ในฐานะแบบอย่างของสตรีคริสตชนที่ดี สถานที่ประกอบกิจกรรมทางศาสนาของโปรแตสแตนต์เรียกว่าคริสตจักร ซึ่งคาทอลิคจะเรียกวัด โดยทั่วไป เมื่อรับเชื่อที่โบสถ์ไหน ก็ต้องร่วมนมัสการที่โบสถ์นั้น พิธีทางศาสนาในวันอาทิตย์เรียกว่าพิธีนมัสการ http://www.newmana.com/yabb/index.php?board=1;action=display;threadid=2747 5 องค์กรคริสตศาสนา ที่ กรมศาสนารับรอง 1.โรมันคาทอลิก 2.สภาคริสตจักรในประเทศไทย 3.สหกิจคริสเตียน (รวมทั้งแองกลกัน ลูเธอรัน ออร์โธดอกซ์) 4.สหกิจคริสตจักรแบ๊บติสต์ 5.เซเว่นเดย์แอดเวนติส จากคุณ : โยชูวาแห่งอัสซีซี - [ 31 ม.ค. 52 21:14:11 ]

ความคิดเห็นที่ 2 http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B8%A7 จากคุณ : โยชูวาแห่งอัสซีซี - [ 31 ม.ค. 52 21:15:45 ]

ความคิดเห็นที่ 3 แล้วที่ผ่านมาไม่ถึงเดือนนี่ที่วัดเซนต์หลุยส์ ก็มีกลุ่มคริสเตียน(โปรเตสแตนส์)มาร่วมพิธีกับทางวัดตั้งเยอะแยะ มันไม่ค่อยจะตรงกับที่คุณเจ้าของกระทู้บอกเลยนะ ไปฟังมาจากไหนหว่า สงสัยเหมือนคุณ โยซูวาแห่งอัสซีซี จากคุณ : taiyo - [ 31 ม.ค. 52 22:14:04 ]

ความคิดเห็นที่ 4 คาทอลิกกับโปรเตสแตนส์  แต่งานกันได้ไหมครับ จากคุณ : kekzo - [ 31 ม.ค. 52 22:33:26 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ขอความสันติสุข จงมีแด่ทุกท่านครับ เรื่องนิกาย เคยตอบไว้บ้างในกระทู้เก่าๆ  ครับ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2006/11/Y4917669/Y4917669.html ถ้าชอบแบบโต้ตอบกันดุเด็ดเผ็ดมัน ก็กระทู้นี้ครับ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/12/Y7289891/Y7289891.html ด้วยจิตคารวะครับ จากคุณ : kheedes - [ 1 ก.พ. 52 00:11:25 ]

ความคิดเห็นที่ 6   การเล่นลิ้นปะทะคารมไม่ใช่วิธีการเรียนรู้ในหลักการของศาสนา  ถ้าต้องการ ทราบ เรื่องราวการแตกแยกของมุสลิม ออกเป็น กลุ่ม, มัสหับ(นิกาย, แนวความคิด) ให้ศึกษาดูว่า มุสลิม ในประเทศไทย และ ต่างประเทศ สอนศาสนากันอย่างไร? และนั้นคือสาเหตุของการแบ่ง อิสลาม ออกเป็นนิกายต่างๆกัน "อิสลามที่แท้จริงไม่มีนิกายการสังกัดนิกายและการไม่ยอมรับหรือ ไม่มีการทำละหมาดร่วมกัน ถือว่าผิดหลักการของอิสลาม" ดังบัญญํติที่ว่า  "มูฮัมมัด บรรดาพวกที่ แบ่งแยกศาสนา(และสังกัดนิกายต่างๆ) เป็นพวกโง่เง่า, และเจ้า (มูฮัมมัด)ไม่มีส่วนร่วมกับเขาเหล่านั้น" จากคำกล่าวที่ว่า..    "หลักการ ทางศาสนาของ สุนหนี่ห์ และชีอะห์นั้น  โดยภาพรวมจะคล้ายกัน  แตกต่างที่รายละเอียดปลีกย่อย  (ให้คุณ เรวัจน์ อธิบายในส่วนของชีอะห์ดีกว่า) แต่อย่างไรก็ตาม มุสลิม ไม่ว่าจะเป็น สุนหนี่ห์ หรือชีอะห์  ต่างก็มีกุรอาน เล่มเดียวกัน  และไปทำฮัจญ์ที่เดียวกันครับ" ................ คำกล่าวข้างบนเป็นการตอบแบบผักชีโรยหน้า, ซึ่งความเป็นจริงแล้ว ซุนนีย์มุสลิม  มีการสอนที่ไม่ยอมรับ "ชีอะต์ว่าเป้นมุสลิมเลย" การใช้และเข้าใจ อัลกุรอานก็มีการ อธิบายต่างกันในความหมาย ของทั้งสองนิกาย ที่แตกต่างกัน อะหะดีษ เรื่อง บอกเล่าต่างๆ ก็ ไม่ได้เชื่อเช่นกัน รอซูลคนเดียวกัน แต่ "ซุนนะห์และหะดีษของ ซุนนีย์และ ชีอะต์ ไม่เหมือนกัน การกล่าวคำ ปฏิญาณตนเข้ารับอิสลามก็ต่างกัน การละหมาด ก็ต่างกัน การไปทำ ฮัจจฺ นั้น  มีเป็นร้อยๆ นิกาย หรือ มัสหับ หรือ กลุ่มต่างๆ ที่ปฏิบัติ ต่างกัน และ การปฎิบัติ ในพิการ "ฮัจจฺ" นั้น ก็ต่างกัน มีการ จูบหรือ สัมผัสหินดำ ให้สลาม ก้อนหิน   ซึ่งเป็น  อุตริกรรม และ ถือว่า เป็น ชริก (บาปใหญ่) มีการใช้ก้อนหินปา  หลักหิน ซึ่ง สมติว่าเป็น ไซตอน (ปีศาจตัวใหญ่)  เป็น "ชริก" เช่นกัน  ก็คือการ ไล่ผีดีๆนั้นเอง   การเยี่ยมและกล่าว สลาม ขอพร จากผู้ที่ตายไปแล้ว (อุตริกรรม และ ชิริก")    ถ้าท่านสมาชิกที่ไม่ใช่ มุสลิมก็ควรไปหาความจริงในการแบ่งแยกนิกาย และ หรือแนวความคิด (มัสหับ คำหลีกเลี่ยง ในการไม่มีนิกาย), และการแตกแยกเป็นกลุ่มย่อยๆ ในศาสนา อิสลาม นิกาย "ซุนนีย์ได้จาก  ลิ้งคส์ ต่อไปนี้ http://www.moradokislam.org/ ตอน..ชีอะห์อิหม่ามสิบสอง ..ชมภาพ.. ทางรอดและทางหลง อิสลามไม่มีนิกาย กำเนิดกลุ่มและพรรคต่างๆ กำเนิดกลุ่มชีอะห์ ชีอะห์อิหม่ามสิบสอง อะห์ลุลบัยต์คือใคร ชีอะห์ด่าประณามอะห์ลุลบัยต์ อัลกุรอานยืนยันบรรดาภรรยาของนบีคืออะห์ลุลบัยต์ ชีอะห์บิดเบือนอัลกุรอานโดยเล่ห์เหลี่ยมทางภาษา ชีอะห์ตามอะห์ลุลบัยต์จริงหรือ ? อะกีดะห์ลวงโลกของชีอะห์อิหม่ามสิบสอง ลัทธิชีอะห์อิหม่ามสิบสองไม่ใช่มัซฮับในอิสลาม ข้อต่างระหว่างอะกีดะห์ของชาวซุนนะห์กับอะกีดะห์ของลัทธิชีอะห์อิหม่ามสิบสอง ชีอะห์เชื่อว่าอิหม่ามคือบุคคลวิเศษ ชีอะห์บิดเบือนความหมายอัลกุรอานซูเราะห์อัลมาอิดะห์ อายะห์ที่ 67 ชีอะห์อ้างมั่วเรื่องหลักฐานตั้งอิหม่าม จากซูเราะห์อัลมาอิดะห์ อายะห์ที่ 55 ชีอะห์ตั้งอิหม่ามด้วยอัลกุรอานปลอมชื่อ ซูเราะห์อัลวิลายะห์ ฮะดีษในมุมของชีอะห์ เหตุเกิดที่ฆ่อดีรคุม ท่านอาลีมีสถานะเช่นเดียวกับนบีฮารูณจริงหรือ ท่านนบีมอบธงให้อาลีในวันคอยบัร ชีอะห์ตัดทอนฮะดีษนำเสนอเพียงบางส่วนเพื่อตบตาชาวโลก ระหว่างซุนนะห์กับอะห์ลุลบัยต์..เหมือนหรือต่างกัน แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 52 03:43:00 จากคุณ : แมทท์ - [ 1 ก.พ. 52 03:02:49 ]

ความคิดเห็นที่ 7 การปฏิเสธ "ชีอะต์ไม่ใช่มุสลิม" ซุนนะห์ VS ชีอะห์ ดูการปฏิเสธหลักการศรัทธาของชีอะห์ พิสูจน์ความเชื่อของพวกเขาว่ามีที่มาอย่างไร? พวกเขาปฏิเสธอัลกุรอาน ปฏิเสธฮะดีษ และปฏิเสธอะห์ลุ้ลบัยต์ ดูธาตุแท้ของพวกเขาในการผิดสัญญา โกหก ปลิ้นปล้อน ดูคำพูดลวงโลกของชาวชีอะฮ์...คลิกที่นี่... http://www.moradokislam.org/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=218 .................................. ทีนี้ลองไปดู ซุนนี่ย์ กับ ซุนนี่  แตกแยกในหลักความเชื่อซึ่งเรียนมาจากสถาบันเดียวกัน http://www.moradokislam.org/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=1014&postdays=0&postorder=asc&start=0 จากคุณ : แมทท์ - [ 1 ก.พ. 52 03:15:52 ]

ความคิดเห็นที่ 8 การแบ่งแยกเป็นนิกายในอิสลามมีผลเสียต่อสังคมมุสลิม..  จากข้อความในกระทู้ที่ ถามสาเหตุว่า ทำไม มุสลิมจึง โง่เง่ากว่า "ยิว" และ"คริสเตียน..." http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7471527/Y7471527.html และมีคำสรุปว่า... "Conclusion. The Muslim World is failing to apply knowledge. What do you conclude? no need to tell the figures are speaking themselves very loudly; They are unable to listen. Muslims need to unite & come out from fundamentalism & improve themselves now."  คำอธิบาย ความหมาย ของคำว่า " fundamentalism" ใน บทสรุปข้างบนนี้ ก็คือ การ สอน ที่ก่อให้เกิด ความแตกความสามัคคีกัน ในสังคมไทยมุสลิมและในประเทศมุสลิมทั่วโลก  ไม่ แบ่งปันและร่วมความคิดทางวิทยาการกับโลกภายนอก,  เนื่องจาก ความเห็นแก่ตัว  เกิดจาก ความมีใจแคบของ มุสลิมที่ร่ำเรียนมาในแนวทาง  ที่ถูก อุลมากำหนดให้,  นั้นก็คือ  ตามแนวทางของ "อะหะดีษ,  ซึ่งไม่ใช่แนวทางที่ พระเจ้า(อัลลอฮ์) ทรงประทานให้ นั้นก็คือแนวทางตาม  "อัลกุรอาน"  มุสลิมถึง โง่เง่าและล้าหลังในทางวิทยาการต่างๆ ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 52 04:07:08 จากคุณ : แมทท์ - [ 1 ก.พ. 52 04:05:41 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คนที่บอกว่าไม่เอาฮะดีษ มันก็จะตอบคำถามมุสลิมไม่ได้หรอกครับ เพราะปัญหาการแตกแยกไม่ใช่เกิดจากการทำตามฮะดีษ แต่เป็นการไม่เอาฮะดีษ ไม่ปฏิบัติตามฮะดีษต่างหาก เพราะการปฏิเสธแบบอย่างของท่านนบี นั้นเท่ากับปฏิเสธกุรอ่าน นั่นเอง มุสลิมในอดีตในยุคที่วิทยาการ ทั้งหลายกระจุกตัวอยู่ในอาณาจักรอิสลามนั้น ก็ทำตามฮะดีษทั้งสิ้นอย่างเคร่งครัดด้วย และมาเริ่มล้าหลัง โง่เง่าก็เพราะออกห่างจากศาสนานั่นเอง ตั้งแต่ผู้ปกครองอ่อนแอ ไม่ปกครองตามหลักการอิสลาม และหันไปตามคนนอกศาสนา ความตกต่ำจึงเริ่มบังเกิด ลองดู กระทู้ต่อไปนี้ แล้วจะพบว่า ปัญหาคืออะไร และใครกันที่หลบเลี่ยง ใครกันแน่ที่ โง่เง่า ล้าหลัง หาสาระอะไรไม่ได้ แถมยังเป็นจอมตลบแตลงอีกต่างหาก เอาแค่การสนทนาก็รู้แล้วล่ะครับว่าปัญหามันเกิดจาก อะไรกันแน่ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/12/Y7289891/Y7289891.html และ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/12/Y7312016/Y7312016.html เชื่อเถอะครับ กระทู้สองกระทู้หนีไป กระทู้นี้อินชาอัลลอฮฺแมทท์ก็จะหนีอีกตามเคยมันเป็น สัญชาติญาณของแมทท์อยู่แล้ว ถ้าต้องสนทนากันด้วยหลักฐาน และในเมื่อสนทนากันด้วยหลักฐานไม่ได้ อาศัยมั่ว แล้วปัญญามันจะเกิดจากไหน นี่แหละครับ สาเหตุการแตกเป็นนิกาย ส่วนเรื่องความแตกต่างระหว่างนิกายในอิสลามเป็นอย่างไร ในลิงค์แรกมีคำตอบครับอ่านได้เลย และมีตัวอย่างการเกิดลัทธิใหม่ คือลัทธิแมทท์ด้วย พร้อมการถลกหนังลัทธินี้ในกระทู้ ลองอ่านและพิจารณาได้นะครับ จากคุณ : Carroth - [ 1 ก.พ. 52 06:46:15 ]

ความคิดเห็นที่ 10 และหันไปตามคนนอกศาสนา ความตกต่ำจึงเริ่มบังเกิด เง้อ มันไม่เกี่ยวเลย จากคุณ : Boom_sure - [ 1 ก.พ. 52 08:43:55 ]

ความคิดเห็นที่ 11 คุณ : Carroth    ผมไม่อยากจะกลับไปคุยเรื่องการละหมาดอีกแล้ว เพราะไม่มีอะไรที่ผมตอบไม่ได้ แต่ จากการค้นคว้าผมได้ พบความงมงายมากขึ้น ไม่อยากจะทำความอับอายให้เกิดขึ้น แก่ผุ้ที่รู้เท่าไม่ถึงการ     ถ้าอยากจะทราบประวัติการละหมาดของ “ซุนนีย์” มุสลิม ก็ไปอ่านที่ ลิ้งคส์ นี้ ซิครับ   อ่านเรื่อง Laylat-ul Mi'raj (The Night of Mi'raj) ให้เข้าใจ แล้ว คุณจะได้ คำตอบว่า เพราะเหตุใด มุสลิมจึงแตกออก เป็นหลายนิกาย และ บางนิกายจึง โง่เง่า กว่า ยิว และ คริสเตียน ตาม สถิติ ที่ นำมาตั้งเป็นกระทู้ในเวบบี้                                                http://www.geocities.com/khola_mon/myth/Miraj.html   อิทธิพลของมุชริกเมกกะยังครอบงำ มุสลิมซุนนีย์มาถึงปัจจุบัน    มุสลิมประเภทที่ยกย่อง  สตรีมุสลิมมาก จนถึง  วาดรูป  ม้า มีใบหน้าเป็นสตรีไว้ ให้  มุสลิมชายขี่ เล่น  ดังในรูปนี้   มันงามหน้าไหมละครับ?   นี่แหละครับที่ทำให้ผมไม่อยากจะคุยเรื่องประวัติการทำละหมาดอีก  และคำถามของคุณก้มีคำตอบในรูปภาพนี้แล้ว จากคุณ : แมทท์ - [ 1 ก.พ. 52 09:36:52 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ผมว่าอย่าพูดเลยครับว่า ไม่มีอะไรที่คุณตอบไม่ได้ เอาเป็นว่า มีอะไรที่คุณตอบได้มั่งดีกว่า มุสลิมก็ถามอยู่คำถามเดิมๆ คุณก็เลี่ยงที่จะตอบเหมือนเดิม ใครอยากรู้ว่าแมททฺตอบอะไรมามั่งก็ไปดู ลิงค์ที่ผม เอามาให้อ่านเถอะครับ นั่นแหละครับ คือคนอย่างแมทท์ แค่เรื่องพื้นฐานของอิสลามยังตอบไม่ได้ แต่จะมาบอกถึงความตกต่ำของอิสลาม แล้วยังลามปาม มาบอกว่าเพราะ ใช้ฮะดีษถึงตกต่ำอีก ทั้งที่จริงๆ แล้ว มุสลิม ตกต่ำเพราะ ปฏิเสธแบบอย่างของท่านนบีนี่แหละครับ ส่วน miraj นั้น ไม่จำเป็นต้องมีความอ้บอายใดๆ หรอกครับเพราะถ้ามันเป็นเรื่องของศาสนา จะว่าอย่างไร มันก็ต้องเป็นไปตามนั้น ไม่ใช่ไม่ถูกใจก็ไม่เอา ไม่อยากทำ นี่ถ้าสมัยนี้ไม่มีการค้นพบว่า การขลิบ มีผลดีต่อสุขภาพ คนแบบแมทท์ก็พร้อมจะปฏิเสธอยู่ แล้วก็อ้างว่ามันเป็นการทำร้ายร่างกายตัวเอง มันก็มีข้ออ้างไปเรื่อยนั่นแหละครับ เพราะคนอย่างคุณมันไม่มีปัญญาตอบคำถามอะไรของมุสลิมอยู่แล้ว นี่ก็เบี่ยงประเด็นไปเรื่อง miraj อีก แค่เรื่องละหมาดที่เป็นพื้นฐานของอิสลาม คนอย่างแมทท์ก็ตอบไม่ได้ กระทู้ที่ตัวเองตั้งเองยังต้องหนีหากจุกตูดรับผิดชอบคำพูดตัวเองไม่ได้ แล้วสะเออะจะมาวิจารณ์อิสลาม คำตอบจากคนแบบแมทท์ไม่มีค่าครับ เป็นแค่เพียงการพ่นสิ่งสกปรกให้เลอะเทอะกระดานสนทนาเท่านั้น หาสาระอะไรไม่ได้ อย่าไปสนใจครับ ถ้าอยากรู้เรื่องอิสลาม ถามมุสลิมครับ อย่าไปถามคนที่ตอบเรื่องละหมาดซึ่งเป็นพื้นอิสลามยังไม่ได้แบบแมทท์ เพราะมันมั่ว จากคุณ : Carroth - [ 1 ก.พ. 52 16:59:36 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ขอความสันติสุข จงมีแด่ทุกท่านครับ แต่เดิมนั้น ชีอะห์เอง มีความหมายถึงการเป็นพรรคพวกของอาลี  ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาทางการเมือง และความเป็นจริง  ชีอะห์อาลีนั้น มีมาก่อนที่ท่านศาสดาจะเสียชีวิตด้วยซ้ำ  เพราะอย่างที่ไ้ด้กล่าวไปแล้วว่า  ชีอะห์น้น รากเดิมคือ กลุ่มคนที่ยอมรับ และชื่นชมในตัวของท่านอาลี แต่ที่ภาพของชีอะห์ ชัดเจนเมื่อหลังท่านศาสดาเสียชีวิต ก็เพราะว่า  มีปัจจัยเรื่องการเมือง และการคัดเลือกตัวผู้นำมาเป็นตัวเร่งให้เกิดความแตกแยก และความขัดแย้งนั้นก็เริ่มบานปลายมาสู่ปัญหาอื่น ๆ ไม่เว้นแม้แต่หลักการทางศาสนา มีบางท่านอาจไม่เข้าใจว่า "ภาพรวม" แปลว่าอะไร ภาพรวม ของซุนนี่ห์และชีอะห์ คือ อะไร .. ก็คือ มุสลิม  นับถือ อัลเลาะห์เป็นพระเจ้า  ไปทำฮัจญ์ที่เดียวกัน และมีอะไรหลาย  ๆ อย่างคล้ายกัน แต่ที่บอกว่า ปลีกย่อย  แตกต่าง ... ก็เพราะ  การที่ชีอะห์บางกลุ่มไม่นับว่า ท่านอบูบักรฺ เป็นผู้นำ จะถือว่าเป็นการเหมารวมว่า ชีอะห์ทุกกลุ่มไม่นับถือไม่ได้ เพราะอย่างน้อยที่สุด  ชีอะห์กลุ่มแรกที่ให้สัตยาบันต่อท่านอบูบักรฺ ก็คือ ผู้ที่ยอมรับการเป็นผู้นำของท่านอบูบักรฺ การเหมารวมว่าชีอะห์ทั้งหมด  จึงไม่เป็นการยุติธรรม ณ จุดนี้ คงทำให้บางท่านเข้าใจได้ว่า คำว่าภาพรวม และปลีกย่อยคืออะไร ซึ่งความจริงแล้วการที่ ชีอะห์ส่วนหลังบางกลุ่มมีการปฏิบัติที่ผิดเพี้ยนก็เพราะการพยายามตีความ และสร้างมาตรฐานใหม่  โดยอ้างว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ สิ่งนี้ใช่  โดยไม่มีหลักฐานที่มาที่ชัดเจน พฤติกรรมเช่นนี้  ในกระทู้นี้ ก็มีให้เห็นอยู่  ว่า บุคคลที่พยายามตีความและสร้างมาตฐานใหม่ ทั้งๆ  ที่ตนเองยังอธิบาย การกระทำที่ผิดเพี้ยนของตนเองไม่ได้  นั้นก่อให้เกิดลัทธิใหม่ได้อย่างไร ด้วยจิตคารวะครับ จากคุณ : kheedes - [ 1 ก.พ. 52 17:09:25 ]

ความคิดเห็นที่ 14 สวัดดีครับสมาชิกพันทิปทุกๆท่าน...... ก่อนอื่นขอปัดขี้ฝุ่นให้บรรยากาสปลอดโปร่งสักหน่อย^^   " เมื่อกล่าวถึง พื้นฐานของเรื่องราวของการทำละหมาดของมุสลิมนิกายซุนนีย์  นี้มาจาก เรื่องราวที่อยู่ใน เรื่อง "miraj",  ส่วนเรื่องการขลิบนั้น มันตกทอดกันมา ตั้งแต่ ท่านนบี อิบรอฮิม และมุสลิมเรา ตามอย่าง "ยิว" มาใช้เพื่อ "Personal Hygine"  มุสลิมจะต้องลำดับเหตุการณ์ ให้มันถูกต้อง,     ถ้าคุณพากพูมใจว่ามุสลิมค้นพบวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่สำคัญ แล้ว คุณอาจจะต้องผิดหวัง เพราะ "เราเรียนมาจาก "ยิว"  แต่ทว่า มันถ่ายตกทอดกันมาเ เป็นรุ่นๆจนถึงมุสลิมในสมัยปัจจุบัน  เช่น เดียวกับ การทำละหมาด ตามทัศนของผม ที่ มุสลิมทำประจำอย่างสม่ำเสมอ จนเป็นประเพณีตกทอดมาถึงมุสลิมในปัจจุบัน,    ถ้าการขลิบ สามารถที่จะปฏิบัติถ่ายทอดกันมาได้ เป็นพันๆปี  เหตุใดการละหมาดจึงไม่อาจจะตกมาถึงมุสลิมรุ่นหลังได้ ลองใช้สติปัญญาไตร่ตรองดู  ผมว่า การปฏิบัติตกทอดกันมาเป็นนิสัยและประเพณี มีเหตุมีผลดีกว่าเรื่อง ราวในเรื่อง "Mi'raj" จาก หะดีษนะครับ.. จากสถิติ ที่เราเห็นตัวเลข ถ้ามุสลิมตกต่ำเพราะ ไม่ตาม "หะดีษ" แสดงว่ามุสลิมไม่ตามหะดีษ มีอยู่เป็นจำนวนมาก,  อเมริกา,ยิว และ จีน ฯลฯ, ใช้ "หะดีษของใครครับ เขา จึงได้ "เจริญ ในทางวิทยาการและทางอุตสาหกรรม นำหน้า ประเทศของมุสลิมในภาคตะวันออกกลางทุกๆประเทศ" จากคุณ : แมทท์ - [ 2 ก.พ. 52 03:50:32 ]

ความคิดเห็นที่ 15 กลับมาเข้าเรื่อง "นิกายใหญ่ใหญ่ๆ ของ ศาสนาอิสลาม"  อีกครั้ง ในปัจจุบันในสังคมไทยเรา โดยเฉพาะ การสอนของ  มูลนิธิอนุรักษ์มรดกอิสลาม ซึ่งผมต้อง ขอ อนุญาต นำมาอ้างอิง เนื่องจาก  อาจารย์ท่านต่างๆ ในเวบนี้ มี ความรู้ และหลักฐานประวัติศาสตร์อิสลาม ที่มุสลิม "ซุนนีย์" ในสังคมมุสลิมไทยเป็นที่รู้จักดี,    มีการตอบคำถามทางศาสนา อิสลาม เกี่ยวกับหลักศรัทธา  โดยสามารถที่จะแยกแยะและ กำหนดว่า "ใครเป็นมุสลิม หรือเป็นกาเฟร" ได้อย่างแจ้งชัด  จากคำถามต่อไปนี้.... http://www.moradokislam.org/modules.php?name=FAQ&myfaq=yes&id_cat=2&categories=ลัทธิและนิกาย#46 คำถามที่ 1 ทำไมถึงบอกว่าชีอะห์เป็นกาเฟร เขาไม่ได้เป็นมุสลิมจริงหรือ? คำตอบโดย อาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้ ลัทธิชีอะห์ (อิหม่ามสิบสอง) เป็นลัทธินอกรีต ไม่ใช่มัซฮับหนึ่งหรือนิกายหนึ่งในอิสลาม เหตุเพราะฐานความเชื่อของพวกเขาแตกต่างไปจากคำสอนของอัลลอฮ์และรอซูล โดยหลักความเชื่อ (รุก่นอีหมาน) ของพวกเขามี 5 ประการ และหลักปฏิบัติ (รุก่นอิสลาม) มี 10 ประการ ทั้งๆที่เรื่องนี้ก็มิได้มีคำสอนมาจากลูกหลานของท่านนบี (อะห์ลุลบัยต์) คนใด และพวกเขายังได้เชื่อว่า บรรดาอิหม่ามนั้นเป็นมะอ์ซูม (ผู้ที่ได้รับการปกป้องจากความผิด) ฉะนั้นพวกเขาจึงได้ยึดเอาคำของอิหม่ามเป็นมาตรฐานทางศาสนา นอกจากนั้นพวกเขายังประนามและด่าทอบรรดาวงศ์วานของท่านนบีและศอฮาบะห์ของท่านนบีอีกด้วย เช่นท่านอะบูบักร์ (เพื่อนสนิทและพ่อตาของท่านนบี) ท่านอุมัร (พ่อตาอีกคนหนึ่งของท่านนบี) ท่านอุสมาน (ลูกเขยของท่านนบี) ท่านหญิงอาอิชะห์ (ภรรยาของท่านนบี) และศอฮาบะห์ท่านอื่นๆ อีก โดยกล่าวหาว่า “หลังจากนบีเสียชีวิตบรรดาศอฮาบะห์ได้ตกมุรตัด (สิ้นสภาพการเป็นมุสลิม) เหลืออยู่เพียงสี่ท่านเท่านั้นที่คงสถานภาพความเป็นมุสลิมไว้คือ ท่านอาลี, ท่านมิกดาด, อะบูซัรริน, และท่านซัลมาน” อย่างนี้เป็นต้น พฤติกรรมในด้านความเชื่อและการปฏิบัติของพวกเขาหลายประการไม่มีที่มาจากคำสอนของอัลลอฮ์และรอซูล พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า “แท้จริงบรรดาผู้ที่ได้แบ่งแยกศาสนาของพวกเขาออกไป แล้วพวกเขาก็กลายเป็นลัทธิต่างๆ ซึ่งเจ้า (มูฮัมหมัด) มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับพวกเขา” ซูเราะห์อัลอันอาม อายะห์ที่ 159 ลัทธิชีอะห์ (อิหม่ามสิบสอง) จะเป็นอิสลามได้อย่างไรเล่า ในเมื่อฐานความเชื่อและการปฏิบัติของพวกเขานั้น ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มิได้มีส่วนเกี่ยวข้อง จากคุณ : แมทท์ - [ 2 ก.พ. 52 03:52:37 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คำถามที่ 2 ชีอะห์เป็นกาเฟรได้อย่างไร เพราะเขามีกะลิมะห์ ชะฮาดะห์ คำตอบ โดยอาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้ เหตุด้วยนี้แหละครับที่หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า คนที่มี “กะลิมะห์ซะฮาดะห์” ทุกคนเป็นมุสลิม จึงวางใจ สนิทสนมคบหาเป็นเพื่อน หรือยอมให้ลูกสาวไปแต่งงานด้วย แต่คนที่มี “กะลิมะห์ซะฮาดะห์” ไม่ใช่มุสลิมทุกคนดังนี้ พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า “และมีมนุษย์ส่วนหนึ่งที่เขากล่าวว่า เราศรัทธาต่ออัลลอฮ์และศรัทธาวันอาคิเราะห์ แต่พวกเขาไม่ได้เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ศรัทธา” ซูเราะห์ อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 8 การจะเป็นผู้ศรัทธานั้นไม่ใช่แค่เพียงปากประกาศว่าเป็นมุสลิมก็เพียงพอแล้ว แต่จะต้องน้อมรับในสิ่งที่ท่านรอซูลได้นำมาสอนทั้งหมดด้วย มิใช่รับเพียงบางส่วนและปฏิเสธอีกบางส่วน ตัวอย่างเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคของท่านอบูบักร์ดังนี้ “หลังจากท่านนบีได้เสียชีวิตไปนั้น ชาวอาหรับกลุ่มหนึ่งปฏิเสธที่จะจ่ายซะกาต ท่านอบูบักร์จึงได้สั่งจัดทัพเพื่อไปกำราบ แต่ท่านอุมัรได้คัดค้านว่า ท่านจะยกทัพไปสู้รบกับคนที่เป็นมุสลิมได้อย่างไร ในขณะที่ท่านนบีได้เคยกล่าวว่า “ฉันถูกใช้ให้ต่อสู้กับผู้ที่เป็นภัยต่ออิสลามจนกว่าพวกเขาจะกล่าวว่า ลาอิลาฮ่าอิ้ลลัลลอฮ์ และเมื่อพวกเขาได้กล่าวมันแล้ว ทรัพย์ของเขาชีวิตของเขาก็เป็นที่ต้องห้ามแก่ฉัน นอกจากสิทธิอันชอบธรรมแห่งอิสลาม และบัญชีของเขามีอยู่ ณ.ที่อัลลอฮ์” ท่านอบูบักร์ได้ตอบว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันจะต้องยกทัพไปต่อสู้กับผู้ที่ยอมรับเรื่องละหมาดแต่ปฏิเสธเรื่องซะกาต เพราะซะกาตนั้นคือทรัพย์ที่เป็นสิทธิอันชอบธรรมด้วยเช่นกัน ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า หากพวกเขาปฏิเสธแม้แต่ลูกแกะสักตัวหนึ่งที่เคยจ่ายให้แก่ท่านนบี ฉันก็จะสู้รบด้วยเหตุที่พวกเขาปฏิเสธ” บุคคอรี และมุสลิม เหตุการณ์ข้างต้นนี้เป็นที่ประจักษ์ว่า คนมี “กะลิมะห์ซะฮาดะห์” แล้วปฏิเสธเรื่องหนึ่งเรื่องใดในอิสลามก็ถือว่า เขาไม่ใช่มุสลิม ลัทธิชีอะห์ (อิหม่ามสิบสอง) นั้นมิใช่แค่เพียงปฏิเสธเรื่องหนึ่งเรื่องใด แต่ฐานความเชื่อของเขา (รุกนอีหมาน) และฐานการปฏิบัติของเขา (รุกนอิสลาม) ยังแตกต่างจากคำสอนของท่านนบีมูฮัมหมัดอย่างสิ้นเชิง (ดูคำตอบที่ 1) จากคุณ : แมทท์ - [ 2 ก.พ. 52 03:56:04 ]

ความคิดเห็นที่ 17 •  คำถามที่ 3 ทำไมชอบกล่าวหาว่าชีอะห์เป็นกาเฟร ทั้งที่ชาวซุนนี่ก็แตกกันตั้งหลายนิกาย ทำไม ไม่บอกว่าเป็นกาเฟรบ้าง ? คำตอบโดย อ.ฟารีด เฟ็นดี้      การกล่าวว่ากาเฟรคือกาเฟร ไม่ใช่เรื่องแปลก และการกล่าวว่ามุสลิมคือมุสลิม ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกเช่นกัน แต่ที่แปลกก็คือ การกล่าวว่ามุสลิมคือกาเฟร หรือกล่าวว่ากาเฟรคือมุสลิม      ผู้ถามไม่ได้เจาะจงว่าใครเป็นผู้กล่าวหา แต่ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่กล่าวอยู่เสมอว่า ชีอะห์ (อิหม่ามสิบสอง) เป็น "กาเฟร" และการกล่าวเช่นนี้ก็ไม่ใช่เป็นการกล่าวหา แต่เป็นการพูดในข้อเท็จจริงที่มีบทพิสูจน์โดยอัลกุรอาน และฮาดีษ ตัวอย่างเช่น พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า    “รอซูลนั้นอีหม่านต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมายังท่านจากองค์อภิบาลของท่าน และมุอ์มินทุกคนศรัทธาต่ออัลลอฮ์ มาลาอิกะห์ บรรดาคัมภีร์ และบรรดารอซูล” ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 285   เพียงอัลกุรอานอายะห์เดียวนี้ ชาวชีอะห์ (อิหม่ามสิบสอง) ก็หล่นจากการเป็นผู้ศรัทธาแล้ว เพราะพื้นฐานการศรัทธาของพวกเขามิได้เป็นไปตามที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงบอกไว้ แต่พื้นฐานการศรัทธาของชีอะห์ (อิหม่ามสิบสอง) คือ เตาฮีต อาดิ้ล นุบูวัต อิมามัต และกิยามัต   อีกทั้งแนวทางของพวกเขาก็มิใช่เป็นแนวทางจาก อะห์ลุลบัยต์ (ลูกหลานวงศ์วานนบี) ท่านใด เพราะไม่มีลูกหลานหรือวงศ์วานของนบีที่ปฏิเสธอัลกุรอาน และซุนนะห์     การกล่าวว่า ชีอะห์ (อิหม่ามสิบสอง) เป็นกาเฟรนี้ไม่ใช่เป็นการกล่าวเพราะว่า เขาไม่เหมือนเรา หรือเราไม่เหมือนเขา แต่พื้นฐานการศรัทธาของพวกเขาต่างหาก ที่ไม่เหมือนตามพระองค์อัลลอฮ์ได้ให้ท่านรอซูลมาประกาศ     คำพูดที่ว่า ชาวซุนนี่ แตกออกเป็นหลายนิกาย เป็นคำพูดที่ไม่ถูกต้อง เพราะคำว่า มัซฮับ ไม่ได้มีความหมายว่า นิกาย แต่หมายถึงแนวทางการวิเคราะห์ปัญหา เช่น     มัซฮับฮานาฟี หมายถึง แนวทางการวิเคราะห์ปัญหาของอิหม่ามฮานาฟี มัซฮับซาฟีอี หมายถึงแนวทางการวิเคราะห์ปัญหาของอิหม่ามซาฟีอี อย่างนี้เป็นต้น      และแม้ว่าแนวทางการวิเคราะห์ปัญหานี้จะมีหลากหลาย (หลายมัซฮับ) ก็ตาม แต่พื้นฐานการอีหมาน และพื้นฐานการปฏิบัติ ของพวกเขาไม่แตกต่างไปจากคำสอน       ในขณะที่พื้นฐานการศรัทธา และพื้นฐานการปฏบัติของชีอะห์ (อิหม่ามสิบสอง) แตกต่างจากอัลกุรอาน และซุนนะห์ของท่านรอซูลโดยสิ้นเชิง จากคุณ : แมทท์ - [ 2 ก.พ. 52 03:57:59 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ........................................ ตัวอย่างที่ถูกนำมาแสดงในที่นี่ว่า  มุสลิมซุนนีย์ ในสังคมไทยมุสลิมมีความเห็น ต่อ”มุสลิมชีอะต์อย่างไร? ทีนี้ลองไปอ่านกันที่เวบนี้บ้าง..”mureed.com” http://mureed.com/talk_board/ch141.asp?no=5&Pagesize=20&store_id=&store_search=&store_type= No. : 37430 ข้อความ:เปิดโปงมันต่อไป อ้ายพวกชีอะห์กำลังจะจนมุมจนต้องกำลึงค์แล้ว มันไม่เคยรู้ความชั่วในศาสนาตัวเองด้วยซ้ำ เอาแต่เชื่อตามๆกันมา ผู้ส่ง:จบข่าว : IP : 118.173.182.33 วันที่ส่ง: 1/26/2009 12:14:44 AM .................. ตัวอย่างเช่นนี้มีอยู่มากทีเดียว ที่แสดงให้เห็นว่า การสอนของ อาจารย์สอนศาสนาอิสลามในสังคมไทยนั้น มีความรู้สึกต่อ “มุสลิมชีอะต์อย่างไร? จากคุณ : แมทท์ - [ 2 ก.พ. 52 04:00:23 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ข้อสรุป:           ผมขอชี้แจงเพิ่มเติมใน เรื่อง ที่มีความ สำคัญตามหลักการของอิสลาม อีกเรื่องหนึ่งคือ คือ  การที่ มุสลิมท่านหนึ่ง จะกล่าวหาว่า มุสลิม ผุ้ใดก็ตาม  ไม่ว่า มุสลิมผู้นั้นจะเลวร้ายอย่างไรก็ตาม ว่าเป็น “กาเฟร”, หรือพวกนอกรีด, หรือผู้ที่ขาดความเข้าใจ ในอิสลาม  (แต่ถ้าใช้เป็นคำสะแลง ในทางดูหมิ่นและหยาบคายหมาย ถึง พวกสกปรก, พวกบูชาเจว็ด)        โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การประณาม มุสลิม ด้วยกันว่าเป็น “กาเฟร” ในนิกายซุนนีย์ถือเป็นข้อห้ามที่สำคัญ, ทั้งนี้ ก็เพราะเหตุผล ที่ว่า การเกี่ยวข้อง กับ ตั๊กฟิร (หรือ ตั๊กเฟร) ซุนนีย์มุสลิมที่ดีและที่สุภาพและยึดหลักปฏิบัติของท่านรอซูลที่แท้จริงแล้ว จะไม่ ยอมที่จะมีส่วนยุ่งเกี่ยว ในเรื่องนี้ โดยเฉพาะ การทำ ฟิตนะ การกุข่าวลือ, การติฉิน นินทาผู้อื่น หรือการ ด่าผู้อื่นลับหลัง      นอกเหนือไปกว่านั้นการ กล่าวประณาม หรือการยุ่งเกี่ยว กับ ตั๊กฟิร    ( การประณาม มุสลิม ด้วยกันว่าเป็น “กาเฟร”)   เป็นการกระทำ ล่วง เกิน สิทธิ ของ พระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮ์) ในการตัดสิน และทรงไว้ซึ่ง ความยุติธรรม     มุสลิมที่มองเห็นการกระทำของมุสลิมผู้ใดไม่ถูกต้องตามหลักการของอิสลาม  อาจจะตักเตือนกันได้ โดยใช้อัลกุรอานเป็นบรรทัดฐาน แต่ไม่อาจจะประณาม  ว่าเขาไม่ใช่มุสลิม  และ/หรือตกจากศาสนาอิสลาม,     ด้วยเหตุนี้ แม้แต่ ท่านอุลมาที่ปฏิบัติถูกต้องตามหลักการของอิสลาม ส่วนใหญ่  จะไม่ ยอม ที่จะ มีส่วนกระทำ ตั๊กฟิร ในการประกาศ หรือประณามผู้ใดว่าเป็น “กาเฟร” แต่มีมุสลิม บางกลุ่มที่ไม่มีความเกรงกลัวในการละเมิด สิทธิและล่วงเกินอำนาจของ “อัลลอฮ์” (พระเจ้า) ฝ่าฝืนหลักการ ข้อห้าม ที่สำคัญที่กล่าวมานี้อยู่เสมอๆ ...........................    เมื่อได้ อ่านดูคำอธิบายในเรื่องนี้ ทุกๆ ความคิดเห้น จากสมาชิกมุสลิมบางท่าน จะเห็นว่า  เป็นคำอธิบายที่จะให้ผู้ที่อยู่นอกสังคมมุสลิม มองเห็น สังคมมุสลิมโดยทั่วๆไป ว่าอยู่ในสภาพที่มีความสันติและสงบสุข ไม่มีปัญหาแตกแยกในหลักความเชื่อ ศรัทธาต่ออิสลาม  จะมีบ้างก็แต่เพียงข้อปฏิบัติปลีกย่อย ของ มุสลิมบางกลุ่มเท่านั้น        มุสลิมที่มีความคิดเช่นนี้ จะไม่ยอมรับความจริงในข้อติเตียนความผิดพลาด ในสังคมมุสลิม  จากโลกภายนอก  ซึ่งเป็นความ เข้าใจผิดอย่างแรง เพราะการกระทำเช่นนี้ เป็นการกระทำ ที่ทำให้  มุสลิมขาดความเข้าใจใน ตัวเอง, และ เมื่อเกิดปัญหาใดๆในสังคม มุสลิมแล้ว,  เขาจะกล่าวหาว่า สาเหตุเกิดจาก สังคมภายนอกที่ ทำให้ มุสลิม ล้าหลัง และ ล้มเหลว   มุสลิมที่มีความคิดเช่นนี้ ทาง  สังคมภายนอกเรียกว่า  “A Muslim apologist”    ซึ่งในทัศนผมคิดว่า ศัพท์นี้อาจจะ รุนแรงไป สำหรับมุสลิม,  แต่อาจจะนำมาใช้ได้ในกรณีเช่นนี้  อีกประการหนึ่ง ในสังคมมุสลิมไทย     บางครั้งสิ่งที่มุสลิมกระทำกันมาตามวัฒนธรรมอรับ นับเป็น ร้อยๆปี ถือว่าเป็นการถุกต้อง  เช่นการเอาก้อนหินปาเสาเพื่อไล่ผีในพิธีฮัจจฺ, และการที่พยายามยัดเยียดกัน เพื่อไปจูบ หรือสัมผัส หินดำ โดยต่อแขนกันเป็นระโยง หวังจะได้บุญ  ซึ่งเป็นการ กระทำที่ขาดความเข้าใจ ในหลักศรัทธาของอิสลาม และคิดว่า ถูกต้อง  แต่เมื่อมีผู้มาบอกว่า  การกระทำนั้นไม่ใช่หลักการของอิสลาม เป็นประเพณีของ “มุชริกเมกกะ” ผู้ที่เข้าใจถุกต้อง กลับกลายเป็น ผู้ที่ทำลายศาสนา,     พฤติกรรมความเชื่อของสมาชิกบางท่านในทีนี้ ด้วยความขาดความเข้าใจว่า ถ้าเรากระทำไม่ถูกต้องมาเป็น ร้อยๆปี ไม่ได้หมายความว่า สิ่งนั้นคือสิ่งที่ถูกต้อง,     สิ่งที่ถูกต้องทีถุกนำมาตักเตือนกลับ กลายเป็นลัทธิใหม่ ในสายตาของเขา หรือเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดนิกายใหม่ๆ ขึ้น ด้วยความหลงผิดของเขาผู้นั้น สิ่งที่เขาควรทำคือกลับไปศึกษาหาความจริง ก่อนที่จะตวัดลิ้นกล่าวหาเป็นการกระทำที่ผิดเพี้ยนอันเนื่องมาจากจากความงมงายในตัวเอง แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 52 06:22:19 แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 52 04:20:15 จากคุณ : แมทท์ - [ 2 ก.พ. 52 04:07:05 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ดีครับ ผมอยากคุยเรื่องนี้พอดี เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน และเพื่อป้องกันการบิดเบือนอิสลาม การขลิบนั้นก็เหมือนการละหมาดหรือการถือศีลอด คนรุ่นก่อนๆได้รับคำสั่งใช้ให้ทำ แล้วแต่ว่าตอนนั้นศาสดาของกลุ่มชนนั้นๆจะได้รับคำสั่งอย่างไร อิสลามในยุคของท่านนบีมุฮัมมัดก็เช่นกัน ได้รับคำสั่งใช้ให้ทำ ซึ่งอาจจะเหมือนหรือแตกต่างจาก การปฏิบัติศาสนกิจ ของชนรุ่นก่อนๆก็ได้ ไม่ใช่ปฏิบัติตามอย่างยิว อย่าบิดเบือนครับ การขลิบทำกันต่อๆ มาก็เพราะอัลลอฮฺสั่งใช้ให้ทำผ่านศาสดามาในยุคต่างๆ ครับ คุณก็มองว่ามันเป็นการสืบทอด มาจากยิวด้วยความไม่รู้อีกเช่นเดิม แล้วก็โยงมาที่ การละหมาด การละหมาดก็มีการทำมาอยู่ตั้งแต่ดั้งเดิม แต่การละหมาดหรือการนมัสการ มีรายละเอียดไม่เหมือนกัน คุณก็มองว่า ไม่ได้ตกทอด ทั้งๆที่ ทั้งสองอย่างเป็นคำสั่งใช้ ในแต่ละยุค มันไม่ใช่การตกทอดหรือมรดกจากชาวยิว หรือท่านนบีอิบรอฮีม แต่มันคือคำสั่งของอัลลอฮ์ เพราะฉะนั้น เหตุผลที่ว่า มันสืบทอดกันมาจึงใช้ไม่ได้หรอกครับ เนื่องจากการอ้างว่าทำต่อกันมา มันก็คือฮะดีษแล้วเป็นฮะดีษที่ไร้สายรายงานด้วย การทำต่อกันมา และผลของการทำกันมา มีผลยังไง ศาสนาคริสต์การขลิบหายไปแล้วครับ ไหนล่ะสืบทอด มันไม่เกี่ยวกันเลย เป็นเหตุผลที่ใช้ไม่ได้ ไม่ว่ากรณีใดๆ ผมแปลกใจมากๆ นะครับ มาอ้างถึงการตกทอดที่ไร้สายรายงาน จะละหมาด 5 เวลา ก็ยืนยันไม่ได้ว่า มีการสั่งใช้เช่นนั้นจริง ถ้ามีคนบอกว่า เขารู้มาว่า อิสลามมี 7 เวลา จากนบีอิบรอฮีมจะว่ายังไง? แต่ฮะดีษที่มีสายรายงานชัดเจน มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด กลับบอกว่าเป็นสิ่งต่อเติม สุดท้ายก็ไม่เคยตอบคำถามมุสลิมเรื่องละหมาดได้นะครับ ส่วนเรื่องที่ว่ามุสลิมเรียนวิทยาการมาจากยิว ผมล่ะขำจริงๆ มุสลิมไม่ได้เรียนมาจากยิวครับ แต่วิทยาการต่างๆ มุสลิมเรียนมาจากชนชาติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกรีก เปอร์เซีย หรือ อินเดีย เป็นการนำมาพัฒนา ต่อไป นั่นไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นมันอยู่ตรงที่ ไม่ว่าจะยิว กรีก หรืออินเดีย ไม่มีความเจริญใดๆ แบบอาณาจักรอิสลามมาเป็นพันพันปี แล้ว ต้องให้วิทยาการเหล่านั้นหลั่งไหลมาสู่อาณาจักรอิสลาม มันถึงจะเจริญ เพราะอะไร ก็เพราะ หลักการศาสนา ที่ เอื้อต่อการเจริญเติบโตของวิทยาการนี่แหละครับ เพราะมุสลิมมีกุรอ่าน มีฮะดีษ มีแนวทางของท่านนบี เราจึงไม่หลงทาง ไม่งมงาย ไปกลับไปไหว้รูปปั้น ไม่ทำตัวป่าเถื่อนเหมือนอดีตอีกแล้ว นี่ต่างหากคือประเด็น แต่แล้วทำไมมุสลิมตกต่ำ ก็เพราะมุสลิม ละทิ้งแบบอย่างของท่านนบีไปแล้ว และแน่นอน มุสลิมไม่ตามฮะดีษมีอยู่จำนวนมากครับ เริ่มตั้งแต่ไม่ยอมละหมาด ไม่ยอมปฏิบัติตามศาสนกิจอิสลาม นั่นคือละทิ้งแบบอย่างนบีแล้ว ส่วนความเจริญของพวกยิวนั้นผมไม่แปลกใจ เพราะนั่นไม่ใช่ความเจริญ แต่มันเป็นหายนะครับ สังคมของคนพวกนี้เป็นอย่างไร สมสู่กันเหมือนสัตว์เข้าไปทุกที นี่เหรอครับความเจริญ? คนละอย่างกับสังคมมุสลิม ที่เจริญทั้งศีลธรรม และอารยธรรม ครับ สรุปว่า ไม่เอาฮะดีษแล้วละหมาดอย่างไร มีกี่เวลาตอบได้หรือยัง? คุณก็เลี่ยงประเด็นเหมือนเดิมเห็นมั๊ยครับ แมทท์ก็ทำได้แค่นี้ เรื่องพื้นฐานตอบไม่ได้ แล้วก็แถไปเรื่อย จากคุณ : Carroth - [ 2 ก.พ. 52 07:16:22 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ส่วนเรื่องคำว่ากาเฟรฺนั้น อ่านนี่ครับเพิ่งเอามาเองแต่ กลับไม่รู้ว่า เอาอะไรมา ไม่รู้ว่าได้อ่านบ้างหรือเปล่า ท่านอบูบักร์ได้ตอบว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันจะต้องยกทัพไปต่อสู้กับผู้ที่ยอมรับเรื่องละหมาดแต่ปฏิเสธเรื่องซะกาต เพราะซะกาตนั้นคือทรัพย์ที่เป็นสิทธิอันชอบธรรมด้วยเช่นกัน ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า หากพวกเขาปฏิเสธแม้แต่ลูกแกะสักตัวหนึ่งที่เคยจ่ายให้แก่ท่านนบี ฉันก็จะสู้รบด้วยเหตุที่พวกเขาปฏิเสธ” บุคคอรี และมุสลิม เหตุการณ์ข้างต้นนี้เป็นที่ประจักษ์ว่า คนมี “กะลิมะห์ซะฮาดะห์” แล้วปฏิเสธเรื่องหนึ่งเรื่องใดในอิสลามก็ถือว่า เขาไม่ใช่มุสลิม นี่ครับ ถ้าเราเห็นคนกราบไหว้รูปปั้น หรือกำลังทำสิ่งที่เป็นการปฏิเสธอิสลาม แล้วเราจะบอกว่าคนคนนั้นเป็นมุสลิมได้อย่างไร การมองเห็นการกระทำของมุสลิมผู้ใดที่ทำผิดหลักศาสนา ย้ำนะครับว่าผิดหลักศาสนา มุสลิมต้องเตือนครับ ไม่ใช่ไปกล่าวหาเขาว่าเป็นกาเฟรฺ ผมย้ำไปแล้วนะครับว่า ทำผิดหลักศาสนา ไม่ใช่ปฏิเสธเรื่องใดเรื่องหนังในอิสลาม แยกแยะหน่อยครับ อย่าพยายามทำให้ผู้อื่นสับสน และการปฏิเสธฮะดีษหรือปฏิเสธรากฐานความเชื่อ หลักศรัทธา หลักปฏิเสธบัติของอิสลามนั้นไม่ใช่แค่การทำผิดหลักศาสนา แต่มันคือการปฏิเสธศาสนาครับ เข้าใจไว้ด้วย ............................................................................................. เรื่องซุนหนี่ชีอะห์นั้น ไม่จำเป็นต้องปกปิดครับ เพราะแค่พิมพ์ในอินเตอร์เน็ต เราก็จะพบเรื่องชองซุหนี่ชีอะห์กันมากมาย ปิดไปก็เท่านั้นครับ เพียงแต่ต้องการ ที่จะให้ความรู้ที่ถูกต้อง ไม่ต้องการให้พวกหน้าด้านไร้ยางอาย นำเรื่องนี้มาแถ มาเบี่ยงประเด็น เพื่อเลี่ยงการตอบเรื่องละหมาดก็เท่านั้น อย่ามาอ้างเลยครับว่ามุสลิมในประเทศไทยทำตามประเพณีอาหรับมาเป็นร้อยๆ ปี อย่างขาดความเข้าใจ จนคิดว่าถูกต้องใครแย้งไม่ได้เลยครับ เพราะคำพูดของแมทท์ ทฤษฎีของแมทท์จะน่าฟังทันทีถ้าคำพูดของแมทท์ มีหลักการ มีสาระ มีที่มาและหลักฐานจริง แต่ ณ ปัจจุบัน แมทท์ก็ยังไม่สามารถตอบคำถามมุสลิมเรื่องละหมาดได้แต่อย่างใด กระทู้ที่แมทท์ตั้งมาเองเรื่องละหมาด สุดท้ายก็ไปไม่รอดต้องหนีหายไปจากพันทิพ เป็นเดือน กว่าจะกลับมาใหม่ พอถามอีก ก็เลี่ยงประเด็นอีก สุดท้ายแล้ว พวกที่อ้างว่า เข้าใจถูกต้องเรื่องฮะดีษ ก็ไม่ได้มีสาระอะไร ไม่ได้มีหลักฐาน ไม่มีหลักวิชาการอะไรมายืนยันคำพูดตัวเองเลย ได้แต่หนีไปเรื่อยๆ การจะมาบอกว่า เรื่องฮะดีษนั้นผิด ขาดความเข้าใจ ทำได้ครับ ง่ายๆ ใครก็ทำได้ แต่ต้องมีสิ่งรอบรับด้วยไม่ใช่มาบอกว่าผิดแต่พอเอาเข้าจริงๆ ตรวจสอบกันจริงๆ ปรากฎว่า เป็นการตลบแตลงปลิ้นปล้อน ไร้สาระก็เท่านั้น แบบนี้มันไร้ราคาครับ สำเนียกตัวเองหน่อยนะครับ สิ่งที่ถูกต้องนำมาตักเตือนเหรอ? น่าขำ!!! ถูกต้องแล้วทำไมต้องหนี? ถูกต้องแล้วทำไมไปไม่รอด? กี่กระทู้แล้วที่หนี? กี่ครั้งแล้วที่ตอบคำถามไม่ได้? นี่เหรอครับ สิ่งที่ถูกต้อง? ก่อนจะไล่ให้คนอื่นไปศึกษา ก็ช่วยจัดการตัวเองก่อนเถอะครับ เอาแค่ละหมาด ไปรอดหรือยัง? ถึงจะไม่รู้จักความถูกต้อง แต่รู้จักอายก็ยังดี http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/12/Y7289891/Y7289891.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/12/Y7312016/Y7312016.html จากคุณ : Carroth - [ 2 ก.พ. 52 07:42:35 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คุณCarroth: You wrote: "การขลิบทำกันต่อๆ มาก็เพราะอัลลอฮฺสั่งใช้ให้ทำผ่านศาสดามาในยุคต่างๆ ครับ คุณก็มองว่ามันเป็นการสืบทอด มาจากยิวด้วยความไม่รู้อีกเช่นเดิม" .................... Where is "การขลิบ" in Al Qur'an? ............. I am suggesting that you should do more study on your own and then come back to discuss this matter with me later. I am still around. The circumcision is mentioned several timesthe in Bible (Old Testament). Every male among you shall be circumcised.....For the generations to come every male among you who is eight days old must be circumcised, including those born in your household or bought with money from a foreigner... Old Testament, Genesis 17: 11-14 (NIV). Circumcision is the oldest known surgical procedure, dating back more than 6,000 years according to Herodotus. Certain tribes with mother goddess figures, such as Ishtar and Cybele, in the ancient matriarchal religions, required the sacrificial offering of external male genitalia. As castration would have inevitably led to extinction of the tribe, it gave way to circumcision. The Hittites and the Amorites were also practicing this procedure when Abraham introduced mandatory ritual circumcision, in 1813 B.C. for all Hebrew males at the age of eight days. The ancient Hindus regarded the genitalia as the center of life and sacrificed the prepuce as a valuable offering to the gods. However, they no longer practice routine circumcision. Moslems continue to circumcise all males between 4 and 10 years of age. จากคุณ : แมทท์ - [ 2 ก.พ. 52 14:35:04 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ผมล่ะเบื่อจริงๆ นะครับ กับมุกแถแบบนี้ ไล่ให้ไปศึกษา ไม่ได้ดูเลยว่าผมพูดอะไรพิมพ์อะไรมา ผมบอกไปแล้วครับว่า การขลิบนั้นก็เหมือนการละหมาดหรือการถือศีลอด คนรุ่นก่อนๆได้รับคำสั่งใช้ให้ทำ แล้วแต่ว่าตอนนั้นศาสดาของกลุ่มชนนั้นๆจะได้รับคำสั่งอย่างไร อิสลามในยุคของท่านนบีมุฮัมมัดก็เช่นกัน ได้รับคำสั่งใช้ให้ทำ ซึ่งอาจจะเหมือนหรือแตกต่างจาก การปฏิบัติศาสนกิจ ของชนรุ่นก่อนๆก็ได้ ไม่ใช่ปฏิบัติตามอย่างยิว อย่าบิดเบือนครับ อ่านที่ผม เน้นตัวหนา และขีดเส้นใต้ให้ชัดๆนะครับ มุสลิมไม่ได้ตามยิว และถ้ามุสลิมตามยิวจริง มุสลิมจะกินอาหารเหมือนกับยิวด้วย อาหารที่ผ่านการรับรองว่าเป็นอาหารโคเชอร์ จะต้องได้มาตรฐานตามข้อกำหนดของกฎหมายอาหารของยิว (Jewish dietary laws) หรือที่เรียกว่า แคชรูท (Kashruth) ตัวอย่างอาหารประเภทนี้ได้แก่ เนื้อสัตว์, นม, พาร์เว (pareve หรืออาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์หรือนมเป็นส่วนประกอบ) สำหรับอาหารที่ไม่ใช่อาหารโคเชอร์ ได้แก่ หมู, ปู, กุ้ง, หอย หรือสัตว์ที่มีกระดอง รวมทั้งอาหารที่มีส่วนผสมทั้งเนื้อและนมร่วมกัน ยิวไม่กิน ปู กุ้ง หอย แต่มุสลิมกินได้ นี่สืบทอดมาจากยิวหรือเปล่า? เปล่าเลย แล้วไม่ต้องมาถามครับว่า ขลิบมีในกุรอ่านหรือเปล่า เพราะกุรอ่านบัญญัติให้ ทำตามนบี ไม่ใช่ทำตามยิว มีกุรอ่าน ตรงไหนบอกให้ตามยิวบ้าง? บอกมาซิ แล้วมาบอกได้อย่างไรว่าเรื่องนี้ทำตามยิว นี่มันเป็นการบิดเบือนชัดๆ อ่อ พูดถึงขลิบไม่มีในกุรอ่าน แล้วคุณบอกผมได้หรือยังว่า ในกุรอ่านน่ะบอกให้ ละหมาด 5 6 7 8 9 หรือ 10 เวลา แล้วละหมาด 5 เวลาน่ะมาจากไหน หึหึ I am suggesting that you should do more study on your own and then come back to discuss this matter with me later. I am still around. จะมาคุยทีหลัง ผมอยู่แถวๆ นี้เหรอ? คนอย่างคุณมันมีความน่าเชื่อถืออะไร เอาเรื่องละหมาดมาก่อนเลยครับ ละหมาด 5 เวลา ถ้าไม่ใช้ฮะดีษ คุณมีหลักฐานมาจากไหน คุยไปคุยมา รับรอง แมทท์ก็หนีตามระเบียบเหมือนกระทู้นี้ไงครับ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/12/Y7312016/Y7312016.html "ผมเข้ามา  ดูก่อน ว่า คุณCarroth หายป่วยใจหรือยัง  ผมรับรองได้ไม่หนึไปไหน?.............." เราจะพยายามคุยเรื่องนี้ไปเรือยๆ จนกว่าคุณจะเห็นว่า การมีศรัทธาต่อฮาดีษและใช้ ฮาดีษมามีส่วนในการปฏิบัติศาสนกิจ ตามหลัก ของบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าพระองค์เดียว..............." แมทท์กล่าวไว้เมื่อวันที่ [ 21 ธ.ค. 51 00:19:29 ] มาจนวันนี้ แมทท์ก็ไม่เคยกลับไปตอบกระทู้นั้นอีกเลย และหายไปจากพันทิพ จนกระทู้ถูกเก็บเข้าคลังกระทู้ ถึงเพิ่งกลับมา แล้วคำว่า I am still around มันจะมีความน่าเชื่อถือแค่ไหนกันล่ะครับ? แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 52 06:30:05 จากคุณ : Carroth - [ 2 ก.พ. 52 17:06:34 ]