ความคิดเห็นที่ 1 แต่ในกรณีผมๆ จะเข้ามาต่อเมื่อมีเวลาเขียนเท่านั้น แต่บางครั้งอาจจะเข้ามาอ่านเพื่อดูกระทู้ใหม่ๆ เพียงประเดี๋ยวประด๋าว เท่านั้น เพราะ ทำให้ผมได้รู้เรื่องราวต่างๆ ทาง  พุทธศาสนาได้ดีขึ้น  และจะหาวิธีทำอย่างไรก่อนที่จะ ให้ผู้ที่ ไม่ใช่มุสลิม เข้าใจศาสนาอิสลาม ในทางที่ไม่งมงาย   วันนี้ ในหมู่บ้านที่ผมอยู่  อุณหภูมิ  7-8 องศาฟาเรนไฮต์  หรือ ประมาณ ลบ -13.33degrees Celsius  ผมเลยมีเวลาอยู่บ้าน นั่งชม ถนนน้ำแข็ง รอบๆบ้าน,  แม้แต่ 4 วีลล์ ได้รฟ์  ช่วยอะไรไม่ได้เท่าใด หวังว่าคุณ Carroth  คงนั่งอ่านเพลินทีเดียวละคราวนี้    การสนทนาในการแสดงความเห็นเช่นนี้  ไม่ว่า ในศาสนาใดๆ ก็ตาม การตอบไม่ตรงกับ ความรู้, ความเห็น หรือ การเรียนการสอนที่แตกต่างกัน ของคู่กระทู้แล้ว ไม่ใช่เรื่องที่เป็นสิ่งที่ “น่าอับอาย หรือหน้าด้านอะไร”,   ถ้า ความเห็นไม่ตรงกัน เนื่องจาก ในศาสนาอิสลามปัจจุบัน มีแตกออกมาเป็นนิกายต่างๆ       จำนวนมาก ด้วยเหตนี้ความคิดเห็นในหลักการของ ศาสนาอิสลามจึง แตกต่างกัน การที่ลัทธิหนึ่ง จะกล่าวว่า ทำถูกต้องที่สุด กว่านิกายหนึ่งนิกายใด นั้น ย่อม เป็นไปไม่ได้     ตัวอย่างเช่นผมไม่เชื่อเรื่อง “การละหมาดของมุสลิม วันละ 5 เวลานั้น มาจากเรื่อง “เมี๊ยะราจ” แต่ว่าคุณเชื่อเช่นนั้น ผมก็ห้ามไม่ได้ หรือบังคับให้คุณเห็นตาม ความคิดเห็นของผมไม่ได้ เช่นกัน ว่า เป็นการปฏิบัติตาม ประ เพณี ต่อ เนื่องกันมา และผมไม่อาจจะ บังคับให้คุณเชื่อถือได้   แต่ผมก็ไม่ อาจจะ ด่าว่าคุณ ว่า “ หน้าด้านหรือ น่าอาย ขาดความรู้” นอกจาก แนะนำให้ คุณ ไปศึกษาตามแนวทางที่ต่างจากที่คุณเรียนมา จึงจะ เห็น ว่า เพราะ เหตุใด ผมจึง มีความคิดเห็นเช่นนั้น จากคุณ : แมทท์ - [ 5 ก.พ. 52 22:35:56 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ในด้านวิทยาการ ถ้าเรามีแต่ความละอายไม่กล้าที่จะ ถามจะตอบ หรือ แสดงความคิดเห็นของเรา ออกมาแล้ว  ถึงแม้จะไม่กินกับปัญญาคนอื่นก็ตาม จะไม่มีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้น  และการคัดค้านด้วยเหตุผลก็ไม่ใช่เป็นคนหน้าด้าน เพราะ ไม่ยอมเห็นด้วยกับความเห็นที่ ผิดวิสัยมนุษย์ ต้องอาศัยเวลา นานๆ จึงจะเข้าใจได้   เช่นเมื่อเด็กๆ ดูหนัง ฝรั่ง เห็น คนป่าหมอผีทำการไล่ตีผีเข้าคน, เราก็นึกว่าเป็นแต่เพียงเรื่องเล่า สนุกๆ           แต่พอไปทำฮํจจฺ เขาบอกให้ เอาก้อนหิน ปาเสาหิน โดยสมติว่า เสาหินนั้น เป็น ไซตอน ตัวใหญ่ ต้องทำการปาด้วยก้อนหินเป็นการลงโทษ  แต่พอ ถูกถามว่า ถ้าทำเช่นนั้นไม่ถือว่าเป็น ชิริกหรือ  ผู้นำทาง,  กลับนิ่งเงียบเชียบ หาว่า เป็นพวก นอกรีด จะตกมุรัตัดไปเสียอีก         เราจะเห็นว่าบางครั้งมุสลิมทำอะไรตามเรื่องบอกเล่า ซึ่งทำกันมาเป็น พันๆปี  สิ่งที่ผิดกลับกลายเป็นถูก, เช่น การแย่งกันจูบ, หรือจับหินดำ, การแย่งกันจับรั้วล้อมรอบ ฮวงซุ้ย ท่านรอซูล, การขอพรจากหลุมที่ฝังศพ ท่านรอซูล เหล่านี้ เป็น ชิริกทั้งนั้น  แต่ไม่มีใครสนใจที่จะแก้ไข     สิ่งที่เขาเหล่านี้ชอบกระทำคือ เขา จะท้า ทายด้วยความเขลา ลองพลานุภาพกับพระเจ้าว่า ถ้าพระองค์สั่งให้ทำละหมาดแล้ว  อัลกุรอานของพระองค์มีรายละเอียดสอนไว้ด้วยหรือ? อยู่ตรงไหน? จากคุณ : แมทท์ - [ 5 ก.พ. 52 22:39:06 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อพระองค์อัลลอฮ์สั่งให้มุสลิมทำการละหมาด พระองค์ทรงเตือนผุ้ที่ เพิกเฉย หรือละเลย เกียจคร้าน ในการ ทำละหมาดตามที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ว่า,         “ความเศร้าโศรกเสียใจจะมีต่อผู้ที่ละเลยการทำละหมาดของเขา” 107:4-5       จากคำสั่ง ในบัญญัตินี้นี้และในอีกหลายบัญญัติ ในอัลกุรอาน เกี่ยวกับการละหมาด แสดงให้เห็นว่า การทำละหมาดมีมาตั้งแต่สมัยก่อนที่อัลกุรอานจะถุกประทานมาและ ผู้ที่นับถือศาสนาตาม ท่านนบีอิบรอฮิม (อิสลาม) ได้กระทำสืบต่อกันมาเป็นเวลาช้านานก่อนที่ ท่านรอซูลมูฮัมมัดจะเกิดเสียอีก     จากคำถามของคุณที่ว่า  “ละหมาด 5 เวลา ถ้าไม่ใช้ฮะดีษ คุณมีหลักฐานมาจากไหน?”     คำถามเช่นนี้เป็นการท้าทาย พลานุภาพกับพระเจ้าว่า ถ้าพระองค์สั่งให้ทำละหมาดแล้ว  อัลกุรอานของพระองค์มีรายละเอียดสอนไว้ด้วยหรือ? จากคุณ : แมทท์ - [ 5 ก.พ. 52 22:41:35 ]

ความคิดเห็นที่ 4 แน่นอน ทางลัทธิ ซุนนีย์ เชื่อว่า มาจากเรื่อง “Laylat-ul Mi'raj หรือ The Night of Mi'raj” http://www.geocities.com/khola_mon/myth/Miraj.html ซึ่ง เป็นเรื่องเล่า จาก อะหะดีษ และ เรื่องเล่าเป็นตอนๆ จาก อะหะดีษบทต่างๆ ดัดแปลงมาจาการเข้าใจผิดในการ ตัฟซีร อัลกุรอานโดยอาศัย อะหะดีษมาอธิบาย อัลกุรอาน ซึ่งเป็นการเชิดชูท่านรอซูลมากกว่า พระเจ้า หรือเทียบเม่าพระเจ้า จากคุณ : แมทท์ - [ 5 ก.พ. 52 22:43:14 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ................     ส่วนความคิดเห็นของผมคือ ถ้าไม่ใช้หะดีษ, มุสลิมก็สามารทำละหมาดได้ โดยปฏิบัติตกทอดกันมาซึ่งมีหลักฐานจากอัลกุรอาน  ที่พระเจ้ามีบัญญัติ กำชับให้มุสลิม กระทำละหมาดอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่มีบัญญัติ ให้ตามสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากอัลกุรอาน และ / หรือ นอกจากปกิบัติตาม ท่านรอซูล แต่ถ้ารอซุลตายไปแล้ว ให้กลับมายังอัลกุรอาน       แต่การตามเรื่องบอกเล่าต่างๆที่มีการจดบันทึก ซึ่ง ขัดต่อ คำสั่งของพระเจ้า และ โดยที่ท่านรอซูล ไม่ได้รับรองว่า เป็นเรื่องจริงจากท่าน เป็นสิ่งที่ต่างจากความ ศรัทธาของผมตามหลักการของอัลกุรอาน       ด้วยเหตุนี้การที่จะให้ผมตอบให้ถูกใจคุณหรือเห็นด้วยกับคุณนั้นย่อม เป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้เพราะว่า การศรัทธาว่า การกำหนด จำนวนเวลาละหมาด และการ ทำละหมาดนั้น มาจาก เรื่องราว ของ นิทาน ปรำปราที่ ปราศจากเหตุผล แล้วเป็นการขัด ต่อ หลักการของอิสลาม เช่นเดียวกับ การไป ขว้างเสาหิน ไล่ผี, การจูบหรือสัมผัสหินดำ ซึ่ง เป็นชิริก และ ผมเชื่อว่า ท่าน รอซูลไม่เคยทำ       ท่าน รอซูลจะไม่เคยทำการกระทำที่เป็น ชิริกเช่นนั้น  เพราะเป็นการกระทำเยี่ยง มุชริก เมกกะ และคำถามกระจุกกระจิก รายละเอียดในเรื่องละหมาดเวลาต่างๆ นอกเหนือ จากการทำละหมาด 3- 5 เวลาแล้ว ย่อมมีการกระทำปฏิบัติแตกต่างกันออกไป  คุณจะไปเหมาเอาว่า เขาเหล่านั้น ผิด เพราะทำไม่เหมือนกับที่คุณๆ เรียนรู้มา นั้นไม่ได้ ด้วยเหตุผล และความเชื่อที่ต่างกัน จากคุณ : แมทท์ - [ 5 ก.พ. 52 22:46:50 ]

ความคิดเห็นที่ 6 มันเป็นการยากทีมุสลิมที่ ยึดถือแนวทางอย่างอื่นนอกเหนือไปจาก อัลกุรอาน จะยอมรับว่า อัลกุรอาน มี คำอธิบาย ในการ ทำละหมาด  การ อาบ น้ำละหมาด และการ กำหนดเวลาละหมาดไว้อย่าง  ครบถ้วน  ซึ่ง ถ้าเราจัดทำให้อยู่ในรูปแบบ ตามบรรพบุรุษที่ กระทำสืบต่อเนื่อง กันมา ตั้ง แต่ สมัยท่าน นบีอิบรอฮิม ตลอดมาถึง ท่าน รอซูล ( ศาสนทูตมูฮัมมัด)  โดยเรียบเรียง จัดเวลา การทำละหมาด  ตามแบบฉบับที่ เราทำกันอยู่ในปัจจุบันนี้  ก็จะได้หนังสือวิธีการละหมาด มาอีกเล่มหนึ่ง  ท่าทางในการทำละหมาด และจำนวน รักอะหฺ ก็ มีจำนวน แตกต่างไปตามลัทธินิกายต่างๆ          เช่นนิกายซุนนีย์  ซึ่งละหมาดตามบรรพบุรุษ ซึ่งกระทำต่อเนื่องมาจาก  ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด  ก็ทำการละหมาดตามข้อบังคับ เป็นจำนวน 5 ครั้งต่อวัน และยังมี การละหมาดเวลาอื่นๆ อีก ซึ่งถือว่า เป็นละหมาด ตาม ซุนนะห์, ลัทธิ มุสลิมชีอะต์  ก็ทำการละหมาด  3 เวลาต่อวัน ฯลฯ จากคุณ : แมทท์ - [ 5 ก.พ. 52 22:50:05 ]

ความคิดเห็นที่ 7 มันน่าแปลกที่ว่าทำไมเราจึงเข้าใจได้ว่า บัญญัติกฏหมายใดๆก็ตามที่มนุษย์สร้างขึ้นมาใช้บังคับ และปฏิบัติให้กลุ่มชนนั้นๆ หมายความว่าอย่างไร?  เช่นห้ามการสูบบุหรี่ใน ร้านอาหาร ประชาชนจะต้อง ทราบว่า “อะไรคือการสูบบุหรี่ และที่ใด คือร้านอาหาร มิฉนั้น จะปฏิบัติตามกฏหมายไม่ได้.    ถ้ากฏหมายระบุว่า  ประชาชนไทยจะต้อง เสียภาษีรายได้ ทุกๆปี  ประชาชนจะต้องรู้จักการเสียภาษีและความหมายของ คำว่า ภาษี  จึงจะปฏิบัติตามกฏหมายได้ถูกต้อง     ในทำนองเดียวกันเมื่อพระเจ้าทรงกำหนดบทบัญญัติให้มนุษย์ปฏิบัติ แล้ว พระองค์ทรงทราบแล้วว่า  มนุษย์จะต้องเข้าใจความหมาย ของคำสั่งนั้นๆของพระองค์เช่นเดียวกัน  พระเจ้า ที่มุสลิมทุกๆคนนับถือนั้น คือผู้ที่รอบรู้และเห็นรายละเอียดทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง ทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต และพระองค์ทรงล่วงรู้ทั้งอดีตและอนาคตของ มนุษย์ และ สภาวะการทางธรรมชาติ  ทั้งนี้ เพราะว่า พระองค์ ทรงสร้างสิ่งเหล่านี้มา ด้วยพระอำนาจของพระองค์เอง จากคุณ : แมทท์ - [ 5 ก.พ. 52 22:53:09 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ในการออกบัญญัติใดๆก็ตาม พระองค์ ทรงให้รายละเอียด และ ข้อห้ามข้อปฏิบัติต่างๆ พระองค์ทรงออกมา บังคับใช้ ในสิ่งที่ มนุษย์มีประสบการณ์ มาแล้ว  และ เคยเห็นการปฏิบัติมาแล้ว ก่อนที่จะออกมาบังคับใช้   ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายว่า “มุสลิม” ทำ อิบาดะห์ ตามอัลกุรอานโดย ที่พระเจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอย่างมากมายเลย เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่า “มุสลิม” ทุกคนเข้าใจได้เป็นอย่างดี และเป็นการปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัย ท่าน นบีอดัม   ซึ่งไม่จำเป็นต้องอาศัย “ฮะดีษ”  เป็นตำรา         แต่การทำอิบาดะห์ ในเรื่องนี้ เป็นการปฏิบัติตาม บรรพบุรุษ และยังมีการปฏิบัติกันอย่างถูกต้องในสังคมมุสลิม เราจะเห็นได้จาก  ซูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ, บัญญัติที่ 223  ที่บัญญัติว่า:    “นิซาวฺอุกุม ฮัรฺตุลละกุม ฟะตูฮัรซะกุม อันนาชิตุม วะก๊อตติมูลิอัลนฺฟุซิกุม วัตตะตุลลอฮฺ วะอัคคฺละมู อันนะกุม มุละกูฮฺ วะบัชชีรีลมุมินีน (2:223)”       Your wives are as a tilth unto you; so approach your tilth when or how ye will; but do some good act for your souls beforehand; and fear Allah. And know that ye are to meet Him (in the Hereafter), and give (these) good tidings to those who believe (Yusufali 2:223)   ภรรยาของเจ้าเปรียบเสมือนว่าเป็นพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์สำหรับเจ้าเพื่อเพาะพืชพันธ์ ดังนั้นเจ้าจงไปยังผืนดินของเจ้าเมื่อใดที่เจ้าประสงค์,และเจ้าจงกระทำไว้ซึ่งความดี(ด้วยคุณธรรม) เพื่อจิตวิญญานของเจ้าไว้ล่วงหน้า, และมีความยำเกรงต่อพระเจ้า,และจงตระหนักว่าเจ้าจะต้องอยู่ต่อหน้าต่อพระองค์(ในวันตัดสิน), และ ให้แจ้งข่าวดีนี้ต่อ ผู้ศรัทธาทั้งหลาย (2:223) จากคุณ : แมทท์ - [ 5 ก.พ. 52 22:55:14 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เนื่องจาก ในการอธิบายเรื่องของ ความสัมพันธ์ทางเพศ เป็นเรื่องที่ง่ายต่อการเข้าใจผิดไปในทางลามก, ด้วยเหตุนี้พระเจ้าทรงบัญญัติไว้ในอัลกุรอาน ในทำนองการเปรียบเทียบ โดยให้มนุษย์ตระหนักว่า เพศสัมพันธ์ไม่ได้อยู่ที่เฉพาะการสัมผัส ทางร่างกายเท่านั้น แต่พระองค์ทรงย้ำให้ มุสลิมตระหนักถึงความแตกต่างระหว่าง สัตว์เดรัจฉาน และความเป็นมนุษย์ในการมีเพศสัมพันธ์,       มนุษย์จะต้องยก ระดับในการมีเพศสัมพันธ์ ให้เหนือกว่า สัตว์เดรัจฉาน, โดยเข้าหาภรรยาเมื่อเธอมีความยินยอมความต้องการ ไม่ให้ใช้อารมณ์และความใคร่ บีบบังคับ ข่มขืน ภรรยา, สามีจะต้องมีการควบคุมอารมณ์ใคร่ให้อยู่ภายใต้วินัยของศีลธรรมและจริยาธรรมที่ดี ,และพระองค์ทรงเตือนให้นึกถึงผลของการทำความดีที่จะต้อง พบกับพระองค์ในวันตัดสิน จากคุณ : แมทท์ - [ 5 ก.พ. 52 22:56:42 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ด้วยเหตุที่ว่าพระเจ้า ที่มุสลิมทุกๆคนนับถือและศรัทธานั้น คือผู้ที่รอบรู้และเห็นรายละเอียดทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง ทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต และพระองค์ทรงล่วงรู้ทั้งอดีตและอนาคตของ มนุษย์ และ สภาวะการทางธรรมชาติ  ทั้งนี้ เพราะว่า พระองค์ ทรงสร้างสิ่งเหล่านี้มา ด้วยพระอำนาจของพระองค์เอง        ดังนั้นในการออกบัญญัติใดๆก็ตาม โดยเฉพาะ ในเรื่องการทำ อิบาดะห์พระองค์ ทรงให้รายละเอียด และ ข้อห้ามข้อปฏิบัติต่างๆ พระองค์ทรงออกมา บังคับใช้ ในสิ่งที่ มนุษย์มีประสบการณ์ มาแล้ว และ เคยเห็นการปฏิบัติมาแล้ว ก่อนที่จะออกมาบังคับใช้           อิสลามไม่ได้สอนสิ่งที่เกินวิสัยของมนุษย์แม้แต่ การร่วมเพศ ระหว่าง สามีภรรยา  ดังกล่าวแล้วพระองค์ก็ กล่าวไว้อย่างย่อๆแต่เน้นถึงคุณธรรมในการกระทำดังกล่าว เพื่อแสดงความแตกต่างระหว่างมนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน, แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 52 01:37:55 จากคุณ : แมทท์ - [ 5 ก.พ. 52 22:58:30 ]

ความคิดเห็นที่ 11 การละหมาดก็เป็น อิบาดะห์ อย่าง หนึ่ง เช่นเดียวกับการร่วมเพศ   แต่ต่างกันที่ เป็นอิบาดะห์ที่ เป็น ข้อบังคับ สำหรับมุสลิมจะต้องกระทำ ประจำวันอย่างสม่ำเสมอ        เนื่องจากผมได้กล่าวไว้แล้วว่า การทำละหมาด 5 เวลานั้น เป็นการปฏิบัติที่ตกทอดมา ตั้งแต่ สมัยท่าน นบีอิบรอฮิม  และตกทอดมาถึงท่านรอซูลมูฮัมมัด ซึ่งมีระบุไว้ในอัลกุรอาน ในบัญญัติต่างๆเกี่ยวกับการ ทำ อิบาดะห์ หรือหน้าที่ต่อพระเจ้า  ในเรื่องต่างๆ  ไม่จำเป็นจะต้องอาศัยหะดีษ มุสลิมก็สามารถจะ ทำอิบาดะห์ต่อพระเจ้า โดยใช้แต่เพียงอัลกุรอาน   ซึ่งการอธิบายข้างล่างนี้ เป็นการอธิบายตาม ไวยกรณ์  ไม่ใช่การคัฟซีรฺ หรือ ตีควาวมหมายโดยการเดาซุ่ม เรามาดูอายะที่ 2:238   ที่กล่าว่า        ฮาฟิตฎู อะลา “อัสซอละ”วาติ วาอัสซอละติ อัลวุสตา วะกูมูลิลลลาฮิ กอนิตีนะ Guard strictly your prayers, especially the Middle Prayer; and stand before Allah in a devout (frame of mind). 2:238         เจ้าจงรักษาการละหมาด(อย่างเข้มงวด)ให้เป็นนิสัย, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง, การละหมาดในระหว่างกลาง และยืนต่อหน้าพระเจ้า(อัลลออ์) ด้วยความตั้งใจ(ด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริง) จากคุณ : แมทท์ - [ 5 ก.พ. 52 23:01:33 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คำสั่งของพระเจ้าที่สั้งให้ รักษาและดำรงค์ ไว้ด้วยการละหมาด ใช้เป็น พหูพจน์ หมายถึงการละหมาดหลายเวลา มากกว่า  1 -2 เวลา ............. ซึ่งอาจจะอธิบายได้อย่างง่ายๆดังนี้ กรณีที่ 1.  คำว่า “อัสซอละฮ์” หมายถึงการละหมาด 1 ครั้ง (เวลา) ซึ่งเป็นเอกพจน์ เท่านั้น กรณีที่ 2.  คำว่า “อัสซอละตัยนฺ”   หมายถึงการละหมาด 2 ครั้ง (เวลา), หมายถึง คำนามที่เป็น คู่ กัน เท่านั้น  “อัสซอละตัยนฺ”    ในความหมายทางไวยกรณ์ แล้ว ต่างจากในภาษาอังกฤษ เป็นคำนามในจำพวก Genitive Cases คล้ายๆ กับภาษาอังกฤษ ที่เรียกว่า possessive case เช่น   Matt’s glass of water แปลว่า “แก้วน้ำ ของ แมทท์”,    ประโยคนี้ แสดงความเป็นเจ้าของ          แต่คำวลีที่ว่า “glass of water”    ในวลีนี้ ไม่มีการแสดงความเป็นเจ้าของ,  ไม่ทั้ง  “แก้วของน้ำ” หรือ “น้ำของแก้ว” วลีเช่นนี้เรียกว่า “genitive case “ซึ่งมีใช้ในไวยกรณ์     จะเห็น ว่ามีของอยู่สองสิ่ง ซึ่งเป็นของกันและกัน ในภาษาอรับใช้คำนาม คู่  (ในภาษาอังกฤษมี อยู่คำนามจำพวกหนึ่ง เรียกว่า “Collective noun”  ซึ่งต่างจาก คำนามที่เป็นคู่) ในกรณีที่ 3. คำว่า “อัสซอละวัตตฺ” หมายถึงการละหมาด หลายครั้ง ตั้งแต่ 3 ครั้ง หรือมากกว่า เท่านั้น ไม่มีความหมายเป็นอย่างอื่น ใช้เป็นพหูพจน์ ที่มีตั้งแต่สามขึ้นไป จากคุณ : แมทท์ - [ 6 ก.พ. 52 02:10:11 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ทีนี้มาดูในประโยค ของอายะที่ 2:238 กล่าวว่า:  “ฮาฟิฏู อะลา อัสซอละวาติ วาอัสซอละติ อัลวุสตา วะกูมูลิลลลาฮิ กอนิตีนะ” มีหมวดของคำอยู่ สอง หมวด(วลี) คือ 1.  “วาอัสซอละติ อัลวุสตา” หมายถึงการละหมาด ในระหว่างกลาง 1 ครั้ง, และ 2.  “อัสซอละวาติ”  ซึ่งอยู่ในกรณีที่ 3,  หมายถึงการ ละหมาด ในจำนวน        สาม ครั้ง หรือมากกว่า  ไม่ได้หมายถึง  สองครั้ง         ด้วยเหตุนี้ จากความหมายทางภาษา  ในอายะนี้  กล่าวถึงการละหมาด 3 ครั้ง  หรือมากกว่า  และรวม กับ การ ละหมาด ระหว่างกลาง  และคำว่าระหว่างกลาง 1 ครั้ง เป็น จำนวน เลขคี่ ที่อยู่ระหว่างกลาง ของจำนวนเลขคู่ ที่มากกว่า 3 นั้นก็คือ 4       เมื่อรวมจำนวนจาก เวลาที่กล่าวในอัลกุรอานแล้ว เราจะได้จำนวน การละหมาด  5 ครั้ง (เวลา) ในวันหนึ่ง,  เราจะเห็นว่าเพียง แค่ อายะ 2:238  เพียงอายะเดียว ก็เพียงพอที่จะ แสดง ให้เห็นว่า “การ ละหมาด 5 เวลา”   มีกล่าว กล่าวไว้ใน อัลกุร อาน อย่างชัดแจ้ง  ซึ่งไม่มีความจำเป็นจะต้อง ดำเนินการถกเถียง ในเรื่อง นี้ให้เยิ่นเย้อต่อไป   ตั้งแต่ส่วนปลายของตอนเช้า(ซุบฮิ )และส่วนปลายของตอนเย็น(มัฆริบ) และ อีก เวลาหนึ่งเวลาหนึ่ง เมื่อเริ่มเข้าเวลากลางคืน (11:114)  ซึ่งหมายถึง การละหมาด อีซา (24:58)  รวมแล้วมี 5 เวลา และระหว่างส่วนสอง ปลายของ วัน  ก็มี  ซุฮฺริ ( 24:58 และ17: 78 ) และอัศริ  (2:238 และ  17: 78)  เมื่อเราเข้าใจ การทำละหมาดในเวลาต่างๆ จากอัลกุรอานจึง ทำให้เราสามารถที่จะ ลำดับความได้ว่า อัลกุรอานได้กล่าวถึง การละหมาดที่มุสลิม ได้กระทำมาก่อน และ เรียนรู้มาก่อน ที่พระองค์จะ บัญญัติข้อบังคับ ต่างๆ ในการทำละหมาด ของมุสลิม ถ้ามุสลิมไม่รู้จักการละหมาดมาก่อน เมื่อ อ่าน  อัลกุรอาน แล้ว จะ ไม่เข้าใจ ว่า พระองค์อัลลอฮ์ ตะอาลา กล่าวถึงเรื่อง อะไร?   .......................    ทำไมมุสลิมชายถึงเข้าใจยากยิ่งในคำสั่งเรื่องการทำอิบาดะห์ ในเรื่องละหมาด ว่า มีรายละเอียด  อยุ่ในอัลกุรอาน?    ส่วนเรื่อง อิบาดะห์ ในการหลับนอนกับภรรยา ไม่เคยมีข้อสงสัยในรายละเอียดจากอัลกุรอานเลย, แต่ปฏิบัติตามบรรพบุรุษสืบต่อกันมา อย่างไม่ มีหลงลืมเลย เริ่มมาตั้งแต่ สมัย ท่าน นบีอดัม^^^ แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 52 03:22:47 จากคุณ : แมทท์ - [ 6 ก.พ. 52 03:07:32 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ผมรอเวลานี้มานานแล้วล่ะครับ ตั้งแต่ก่อนปีใหม่ ที่คนอย่างแมทท์ จะมาตอบปัญหาเรื่องละหมาดของมุสลิมซะที และหลังจากที่รู้สึกดีได้ไม่เท่าไหร่ ผมก็พบกับความผิดหวังเช่นเคย นั่นคือแมทท์ไม่ได้มีอะไรใหม่นอกจากน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงหาสาระอะไรไม่ได้เหมือนเดิม พยายามโยงเอาเรื่อง มิรอจ เรื่องชีอะต์ ซุนนะห์มา เพื่อยัดสมองคนอ่าน แล้วค่อยเอาเรื่องละหมาด มาเติมนิดหน่อย แล้วก็จะได้หนีไปเหมือนเดิม ไม่เป็นไรครับ จะตอบไปเรื่อยๆ เพราะสัจธรรมย่อมเหนือกว่า ความเท็จที่แมทท์พยายามยัดเยียดมาให้ เอาล่ะ ผมจะตอบเรื่องละหมาดก่อน เพื่อไม่ให้ เป็นการน่าเบื่อ ------------------------------------------------------------------------------- แมทท์บอกว่า 1.  “วาอัสซอละติ อัลวุสตา” หมายถึงการละหมาด ในระหว่างกลาง 1 ครั้ง, และ 2.  “อัสซอละวาติ”  ซึ่งอยู่ในกรณีที่ 3,  หมายถึงการ ละหมาด ในจำนวน       สาม ครั้ง หรือมากกว่า  ไม่ได้หมายถึง  สองครั้ง   ด้วยเหตุนี้ จากความหมายทางภาษา  ในอายะนี้  กล่าวถึงการละหมาด 3 ครั้ง  หรือมากกว่า  และรวม กับ การ ละหมาด ระหว่างกลาง  และคำว่าระหว่างกลาง 1 ครั้ง เป็น จำนวน เลขคี่ ที่อยู่ระหว่างกลาง ของจำนวนเลขคู่ ที่มากกว่า 3 นั้นก็คือ 4 เมื่อรวมจำนวนจาก เวลาที่กล่าวในอัลกุรอานแล้ว เราจะได้จำนวน การละหมาด  5 ครั้ง (เวลา) ในวันหนึ่ง,  เราจะเห็นว่าเพียง แค่ อายะ 2:238  เพียงอายะเดียว ก็เพียงพอที่จะ แสดง ให้เห็นว่า “การ ละหมาด 5 เวลา”   มีกล่าว กล่าวไว้ใน อัลกุร อาน อย่างชัดแจ้ง  ซึ่งไม่มีความจำเป็นจะต้อง ดำเนินการถกเถียง ในเรื่อง นี้ให้เยิ่นเย้อต่อไป อย่าเพิ่งตัดบทว่าเยิ่นเย้อ และอย่างเพิ่งบอกว่าชัดแจ้ง ก่อนจะบอกว่าชัดแจ้งได้เนี่ย ต้องบอกก่อนนะครับว่า ระหว่างกลางที่ว่าคือระหว่างกลางอะไร ครับ? 238. พวกเจ้าจงรักษาบรรดาละหมาดไว้ และละหมาดที่อยู่กึ่งกลาง(*1*) และจงยืนละหมาดเพื่ออัลลอฮ์โดยนอบน้อม ทุกท่านอ่านนะครับ ไม่มีบอกตรงไหนว่า เป็น 4 เวลา หรือ 5 หรือ 6 กุรอ่านบอกแล้วนะครับ ว่าบรรดาละหมาดและที่อยู่กึ่งกลาง เรามาดูกึ่งกลางเนี่ย กลางอะไร และมันมีอะไรมั่ง และบรรดาละหมาดมีอะไร เวลาไหนบ้าง ระหว่าง ซุบฮิ กับ อัศริ แบบโองการนี้หรือเปล่า และจงสดุดีด้วยการสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าก่อนการขึ้นของดวงอาทิตย์ และก่อนมันตก (50:39) ให้สดุดีสรรเสริญก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น .... มันตรงกับละหมาดศุบห์นี่นา แล้วสดุดีสรรเสริญก่อนดวงอาทิตย์ตก .... ก็ตรงกับละหมาดอัศร์ ระหว่างนี้มีเวลาอะไรบ้าง ก็มีเวลาอิบการ์ด้วยครับ ซึ่งก็คือ ตอนเช้าๆ และมีเวลา ฎุฮา ด้วยครับ พี่น้องคร้าบ ดังนี้ ซูเราะฮฺ อัฎฎุฮา อายะห์ที่ 1. ขอสาบานด้วยเวลาสาย และจงรำลึกถึงพระเจ้าของเจ้ามาก ๆ และจงกล่าวสดุดีในความบริสุทธิ์ของพระองค์ ทั้งในเวลาอะชีย์และเวลาอิบการ์ (3:41) และจงแซ่ซ้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้าทั้งในเวลาอะชีย์และเวลาอิบการ์ (40:55) กึ่งกลางระหว่าง วัน ให้เป็น ดุฮริ แล้วก่อน แต่ก่อนจะกึ่งกลางมีอะไร มี : อิบการ์ ฎุฮา แล้วหลังกึ่งกลางมีอะไร มี : อะชีย์ อัศริ 5 แล้วนะครับ อ๊ะ 5 เวลา โอ้ว ครบแล้ว 5 จริงๆ ...............  ยังครับ ยังก่อน ยังมี 58. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ! จงให้บรรดาผู้ที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง (*1*) และบรรดาผู้ที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะในหมู่พวกเจ้า ขออนุญาตพวกเจ้าสามเวลาคือ ก่อนเวลาละหมาดฟัจญริ และเวลาพวกเจ้าเปลื้องเสื้อผ้าในเวลากลางวัน (*2*) และหลังจากเวลาละหมาดอิชาอฺ (*3*) ทั้งสามนี้เป็นเวลาส่วนตัวสำหรับพวกเจ้า (*4*) หลังจากนี้แล้วไม่เป็นที่น่าตำหนิแก่พวกเจ้าและแก่พวกเขา เพราะพวกเขาวนเวียนรับใช้บางคนในหมู่พวกเจ้า เช่นนั้นแหละอัลลอฮฺทรงชี้แจงโองการทั้งหลายให้เป็นที่ชัดแจ้งแก่พวกเจ้า และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ มีเวลา ฟัจญริ และ อิชา ด้วย กี่เวลาแล้ว จากคำว่าบรรดา ละหมาด และนับกึ่งกลางอีก 1 ฟัจญริ อิบการ์ ฎุฮา ดุฮริ อะชีย์ อัศริ อิชา 7 แล้ว ยังนะครับ ซูเราะห์อัซ-ซุมัร  โองการ 9  ซึ่งมีใจความว่า  :  “หรือว่าพวกเจ้า  (โอ้ชนชาวมุชริก)  จะดีกว่าผู้ที่มีความภักดีที่ทำการกราบนมัสการและตื่นขึ้นในเวลากลางคืน  โดยมีความหวั่นกลัว (อันตรายของ) โลกหน้า  และมุ่งหวังความเมตตาแห่งองค์อภิบาลของเขา   จงประกาศเถิด ! บรรดาผู้รู้กับผู้ไม่รู้นั้นจะเท่าเทียมกันหรือ ?  อันที่จริงบรรดาผู้มีวิจารณญาณทั้งหลายย่อมสำนึกแน่” มีแบบกลางคืนอีก กี่เวลาแล้ว ฟัจญริ อิบการ์ ฎุฮา ดุฮริ อะชีย์ อัศริ อิชา นี่ก็ 8 แล้วครับ 17:78 จงดำรงการละหมาดไว้ตั้งแต่ตะวันคล้อยจนพลบค่ำ และการอ่านยามรุ่งอรุณจริงการอ่านยามรุ่งอรุณนั้นเป็นพยานยืนยันเสมอ พลบค่ำก็ มัฆริบ ตอนนี้มีเวลาอะไรบ้าง ศุบฮ์ อิบการ์ ฏุฮา ดุฮริ อะชีย์ อัศริ มัฆริบ อิชา และเวลา ที่ตื่นขึ้นกลางดึก คือ ตะฮัจญุดนะครับ 9 แล้วนะครับ แล้วจะบอกว่าชัดแจ้งได้ยังไงครับ ในเมื่อเวลา ก่อนกึ่งกลาง มัน 6-8 เวลาเข้าไปแล้ว แต่คุณ มาสรุปว่า บรรดาละหมาด ไม่นับคั่นกลาง นี่ เท่ากับ 4 อย่า มาลักไก่ครับ เลี้ยงเป็ดต่อไปนั่นแหละดีแล้ว เราจะเห็นได้ว่า เวลาที่เรานับจาก กุรอ่าน โองการที่ 2:238 ไม่ได้นับ5 ครับ นับได้ถึง 9 จากคุณ : Carroth - [ 6 ก.พ. 52 08:43:35 ]

ความคิดเห็นที่ 16 นี่แหละครับ คือแมทท์ ผมจะรอนะครับว่าคุณจะตอบผมยังไง เพราะเอาแค่บทเดียวก็นับได้ 9 ไม่ใช่ 5 การที่มุสลิมอาศัยฮะดีษ ไม่ใช่เพราะไม่ใช่ในพลานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า กลับกัน มุสลิมได้พยายามทำตามกุรอ่าน ให้ครบถ้วนครับ และมุสลิมละหมาดได้ ครบ 5 เวลา ไม่ขาดไม่เกิน เพราะอะไร เพราะมุสลิใช้กุรอ่านเหล่านี้ ด้วยครับ ซึ่งแมทท์ได้ปฏิเสธไปแล้ว โดยการปฏิเสธฮะดีษ (3:132) " และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา " (4:80) " ผู้ใดเชื่อฟังรอซูล แน่นอนเขาก็เชื่อฟังอัลลอฮฺแล้ว และผู้ใดผินหลังให้ เราก็หาได้ส่งเจ้าไปในฐานะเป็นผู้ควบคุมพวกเขาไม่ " (24:56) " และพวกเจ้าจงดำรงละหมาด และจงบริจาคอัซซะกาฮ์ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามรอซูล เพื่อพวกเจ้าจะได้รับควาเมตตา " (26:108) " ดังนั้นพวกท่านจงยำเกรงอัลลอฮฺ และเชื่อฟังฉัน" (นบีนุฮฺ) (4:59) " ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไปที่สวยยิ่ง " (4:69) " และผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮฺ และรอซูลแล้วชนเหล่านี้จะอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺทรงกรุณาเมตตาแก่พวกเขา อันได้แก่บรรดานบี บรรดาผู้ที่เชื่อโดยดุษฏี บรรดาผู้ที่เสียชีวิตในสงคราม และบรรดาผู้ที่ประพฤติดี และชนเหล่านี้แหละเป็นเพื่อนที่ดี " (33:71) " พระองค์จะทรงปรับปรุงการงานของพวกเจ้าให้ดีขึ้นสำหรับพวกเจ้า และจะทรงอภัยโทษความผิดของพวกเจ้าให้แก่พวกเจ้าและผู้ใดเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ แน่นอนเขาได้รับความสำเร็จใหญ่หลวง " นี่ครับ ที่ทำให้มุสลิมละหมาดได้ครับ 5 เวลา ถ้าไม่เอาแบบอย่างนบี ก็จะละหมาด 5 เวลา 7 เวลา 9 เวลา ไปเรื่อย แล้วก็อ้างว่าตามบรรพบุรุษที่เป็นใครก็ไม่รู้ เป็นจอมโกหกเหมือนตัวเองหรือเปล่าก็ไม่ทราบ จะเอาอะไรมาให้เชื่อถือล่ะครับ จากคุณ : Carroth - [ 6 ก.พ. 52 08:48:38 ]

ความคิดเห็นที่ 17 แมทท์อ้างว่า จะใช้กุรอ่านอย่างเดียว แต่จริงๆ แมทท์ทำไม่ได้หรอกครับ ถ้าไม่อาศัย ฮะดีษ แต่ฮะดีษของแมทท์คืออะไร คือบรรพบุรุษ ที่หาที่มาที่ไปไม่ได้ ไม่มีการตรวจสอบ ไม่มีหลักฐานยืนยัน มาดูปากคำแมทท์ครับ ว่า กุรอ่านอย่างเดียว หรือบรรพบุรุษร่วมด้วย ตอนแรกบอกกุรอ่านอย่างเดียว ต่อมามีบรรพบุรุษร่วมด้วย ถ้าใช้กุรอ่านอย่างเดียวจริง จะมาอ้างบรรพบุรุษแต่แรกทำไม อ่านเองนะครับ ความตลบแตลงของแมทท์ จากคุณ : Carroth - [ 6 ก.พ. 52 08:55:28 ]

ความคิดเห็นที่ 18 แมทท์บอกว่า ท่าน รอซูลจะไม่เคยทำการกระทำที่เป็น ชิริกเช่นนั้น  เพราะเป็นการกระทำเยี่ยง มุชริก เมกกะ และคำถามกระจุกกระจิก รายละเอียดในเรื่องละหมาดเวลาต่างๆ นอกเหนือ จากการทำละหมาด 3- 5 เวลาแล้ว ย่อมมีการกระทำปฏิบัติแตกต่างกันออกไป  คุณจะไปเหมาเอาว่า เขาเหล่านั้น ผิด เพราะทำไม่เหมือนกับที่คุณๆ เรียนรู้มา นั้นไม่ได้ ด้วยเหตุผล และความเชื่อที่ต่างกัน ครับ ไม่มีใครบอกว่า ท่านรอซู้ลทำชีริก แต่เคยมีคนบอกว่า ท่ารอซู้ลเคยกราบไว้บูชาดวงดาวและรูปปั้น และเอามาประยุกต์กับหลักการอิสลาม และอ้างถึงข้อความ กุรอ่าน เรื่องการสาบานด้วย บอกว่า ท่านนบีเคยนับถือดวงดาว ในกุรอ่านมีการสาบานกับดวงดาว และมีการประยุกต์หลักการอิสลามอีก ใครกันแน่กล่าวหานบี มาดูกันครับ จากคุณ : Carroth - [ 6 ก.พ. 52 09:02:16 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อ่อและเรื่องการละหมาด 3 เวลาของ ชีอะห์นะครับ ชีอะห์ ละหมาดรวบเวลาครับ ระหว่าง ดุฮริกับอัศริ และมัฆริบกับอิชา ซึ่ง เขาอาศัยฮะดีษครับ ไม่ใช่ตีความเองจากกุรอ่าน อย่ามั่วครับแมทท์ ไม่ว่ามุสลิมที่ไหน ก็ละหมาด 5 เวลาทั้งนั้น ถ้ามากหรือน้อยกว่านั้นนับว่าเป็นมุสลิมไม่ได้หรอกครับ จากคุณ : Carroth - [ 6 ก.พ. 52 09:15:54 ]

ความคิดเห็นที่ 20 นี่แค่เบาะๆนะครับ แค่เวลาละหมาด แล้วยังมี จำนวนร็อกกะอัตในละหมาดด้วย ว่า แต่ละเวลามีกี่ร๊อกกะอัต และอีกมากมาย เอาแค่เวลา ละหมาด แมทท์ก็มั่วนิ่ม สุดๆแล้ว ทำให้เราได้เห็นปัญหาของการไม่เอาฮะดีษ คนไม่เอาฮะดีษ จะเรียกว่ามุสลิมได้ยังไง การแตกนิกายผมบอกสาเหตุไปแล้วครับว่ามันไม่ได้เกิดจากการใช้ฮะดีษ และมิได้แปลกแยกไปจากท่านรอซู้ลแต่อย่างใด แต่เป็นการยึดกุรอ่านและแบบอย่างของท่านรอซู้ลอย่างเต็มกำลัง ไม่ใช่ยึดกุรอ่านบวกยึดบรรพบุรุษเป็นหลัก แล้วดันสะเออะบอกว่า ใช้กุรอ่านอย่างเดียวในการปฏิบัติศาสนากิจนะครับ ดังนั้นการแตกต่างมันเกิดจากจาก พวกตามบรรพบุรุษมั่งหรือคนที่ตนคลั่งไคล้มั่งโดยไม่มีการตรวจสอบต่างหากล่ะครับ แล้วจะเหมารวมได้ไง ว่าซุนหนี่ที่ยึดอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง ทำการแยกนิกาย? ก็เหมือนกับการที่มีคนคนนึง เดินตรงไปยังจุดหมายตามทางเดิน แต่คนกลุ่มหนึ่งดันเดินตามใจตัวเอง ไปทางแยกซ้ายมั่ง ขวามั่ง แล้วดันบอกว่า ทั้งหมดผิด เพราะต่างอยู่ในความแตกแยก สมัยก่อนไม่เคยมีการแยกกันเดินแบบนี้ รวมทั้งคนที่เดินตรงไปถูกทางด้วย ก็ไม่เว้น เป็นหนึ่งในการทำให้มีการแยกกันเดิน แบบนี้มันใช้ได้มั๊ย? เช่นกัน ซุนนะห์ หรือซุนหนี่เป็นทางที่ถูกต้องครับ การแตกแยกออกไปก็ล้วนแต่เกิดจากการไม่เอาฮะดีษ การกุฮะดีษโดยอ้างแหล่งอ้างอิงที่ไม่น่าเชื่อถือเช่นคนที่ตัวเองชอบเป็นการส่วนตัวหรืออ้างบรรพบุรุษ ทั้งนั้น ตัวอย่างเช่น ชีอะห์ หรือคนแบบแมทท์นี่แหละ ดังนั้นต่อให้ยึดแนวทางแบบแมทท์ ที่อ้างว่าใช้กุรอ่านอย่างเดียวในการปฏิบัติศาสนากิจ แต่แอบใช้บรรพบุรุษมาอธิบายการละหมาดเนี่ย มันก็แตกแยกอยู่ดี เพราะบรรพบุรุษใคร ก็มี ถ้าอ้างบรรพบุรุษกันหมดมันก็มีเป็นล้านๆ แบบอย่างให้ทำ เอางี้เลย บอกผมหน่อยซิ ถ้ามีคนละหมาด 9 เวลาตามที่ผมบอก จะแย้งยังไง? เมื่อมุสลิม ละหมาด กัน 5 เวลา ทั้งหมด เขาทำได้เพราะอะไร เพราะแบบอย่างนบีครับ ถ้าอ้างบรรพบุรุษ ผมก็บอกได้ว่า ละหมาด 9 เวลา และตีความจากกุรอ่านด้วย จะแย้งอย่างไรครับว่าผิด ? บอกหน่อยซิ จากคุณ : Carroth - [ 6 ก.พ. 52 09:24:11 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอสาระหน่อยนะครับ ไม่เอาน้ำ จากคุณ : Carroth - [ 6 ก.พ. 52 09:24:46 ]

ความคิดเห็นที่ 22 แมทท์บอกว่า ตั้งแต่ส่วนปลายของตอนเช้า(ซุบฮิ )และส่วนปลายของตอนเย็น(มัฆริบ) และ อีก เวลาหนึ่งเวลาหนึ่ง เมื่อเริ่มเข้าเวลากลางคืน (11:114) แต่จริงเขาแปลว่า 114. และเจ้าจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาด ตามปลายช่วงทั้งสองของกลางวัน(*1*) และยามต้นจากกลางคืน(*2*) แท้จริงความดีทั้งหลายย่อมลบล้างความชั่วทั้งหลายนั่นคือข้อเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่รำลึก(*3*) (1)  หมายถึงละหมาดศุบฮ์และอัศร (2)  หมายถึงละหมาดมักริบและอีชาอ์ (3)  ผู้รำลึกคือผู้ที่อยู่ในแนวทางที่เที่ยงธรรม และดำรงรักษาไว้ซึ่งการละหมาด ดังนั้น การรักษาไว้ซึ่งการละหมาดก็ดี และการทำความดีอย่างอื่น ๆ ก็ดี เป็นข้อเตือนสำหรับผู้รักการตักเตือนและเป้นการชี้แนะแก่ผู้ที่รักการชี้แนะไปสู่ความดี   แปลว่า อัศริ แล้วแปลว่าอะไรได้อีก และจงแซ่ซ้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้าทั้งในเวลาอะชีย์และเวลาอิบการ์ (40:55) อะชีย์ ก็ เวลาเย็นๆนะครับ จะไปเบียดกับอัศริ ตอนไหนไม่ทราบ นี่ก็ปลายของวัน อ่อส้วนต้นของกลางคืน เขาแปลว่า (2)  หมายถึงละหมาดมักริบและอีชาอ์ จะเห็นได้ว่าการแปลนี้เนี่ย อาศัยแบบอย่างของท่านนบี เพื่อขยายครับ เพราะไม่งั้น จะไม่ได้ละหมาด 5 เวลาครับ 17:78. จงดำรงการละหมาดไว้ตั้งแต่ตะวันคล้อยจนพลบค่ำ และการอ่านยามรุ่งอรุณ(*1*)จริงการอ่านยามรุ่งอรุณนั้นเป็นพยานยืนยันเสมอ จะว่าไป 17:78 เนี่ย บอกว่า ตั้งแต่ตะวันคล้อย ถึงพลบค่ำ ไม่ได้ให้แบ่ง ไม่แน่ เราอาจจะต้องคอมโบ ละหมาด จนถึงค่ำก็ได้ ถ้าจะเอาแต่กุรอ่านโดยไม่เอาแบบอย่างนบีนะครับ ที่สำคัญ แน่ใจได้อย่างไรว่า ก่อนพลบค่ำ คืออัศริ หรือมัฆริบ เวลา ฟัจญริ คืออะไรกันแน่ ตั้งแต่ตะวันคล้อย ไปจนพบค่ำ ไม่ใช่อะชีย์แน่รึ ถ้าไม่อาศัยฮะดีษ เอาแค่กุรอ่านนะครับ อย่ามาอ้างว่าสืบทอดมาตั้งแต้นบีอิบรอฮีมนะครับ เพราะทั้งยิวและคริสต์ ไม่ได้ละหมาด5เวลา ถ้าสืบทอดมาจริง แล้วทำไมมีแค่อิสลามที่ละหมาด 5 เวลา เอาล่ะผมจะรอคำตอบนะครับ จากคุณ : Carroth - [ 6 ก.พ. 52 10:39:32 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เฮ่อๆ กุไม่ใช่มุสลิม กุมาอ่านตั้งนานทำไมเนี่ย ไม่เข้าใจ ตัวกุเลย พับผ่าสิ -*- จากคุณ : darkmetter - [ 6 ก.พ. 52 11:30:16 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คุณ Carroth Do you love GOD?   Worshiping God Through Obedience To Him. If you know God well enough to love Him then you trust Him and you will obey Him.  Everything that God asks us to do is a way we can express love to Him. I have had enough of you. แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 52 16:15:36 จากคุณ : แมทท์ - [ 6 ก.พ. 52 12:02:05 ]

ความคิดเห็นที่ 25 รักอัลลอฮ์ต้องทำตามที่อัลลอฮ์สั่งครับ และคำสั่งของคือ (3:132) " และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา " (4:80) " ผู้ใดเชื่อฟังรอซูล แน่นอนเขาก็เชื่อฟังอัลลอฮฺแล้ว และผู้ใดผินหลังให้ เราก็หาได้ส่งเจ้าไปในฐานะเป็นผู้ควบคุมพวกเขาไม่ " (24:56) " และพวกเจ้าจงดำรงละหมาด และจงบริจาคอัซซะกาฮ์ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามรอซูล เพื่อพวกเจ้าจะได้รับควาเมตตา " (26:108) " ดังนั้นพวกท่านจงยำเกรงอัลลอฮฺ และเชื่อฟังฉัน" (นบีนุฮฺ) (4:59) " ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไปที่สวยยิ่ง " (4:69) " และผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮฺ และรอซูลแล้วชนเหล่านี้จะอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺทรงกรุณาเมตตาแก่พวกเขา อันได้แก่บรรดานบี บรรดาผู้ที่เชื่อโดยดุษฏี บรรดาผู้ที่เสียชีวิตในสงคราม และบรรดาผู้ที่ประพฤติดี และชนเหล่านี้แหละเป็นเพื่อนที่ดี " (33:71) " พระองค์จะทรงปรับปรุงการงานของพวกเจ้าให้ดีขึ้นสำหรับพวกเจ้า และจะทรงอภัยโทษความผิดของพวกเจ้าให้แก่พวกเจ้าและผู้ใดเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ แน่นอนเขาได้รับความสำเร็จใหญ่หลวง " คุณทำตามที่อัลลอฮ์สั่งหรือเปล่าล่ะครับ ถ้าคุณยังปฏิเสธฮะดีษอยู่ก็เท่ากับปฏิเสธคำสั่งในกุรอ่าน และเท่ากับปฏฺเสธคำสั่งของอัลลอฮ์นั่นแหละครับ พิจรณาเถอะนะ จากคุณ : Carroth - [ 6 ก.พ. 52 17:10:12 ]

ความคิดเห็นที่ 26 คุณCarroth:  ผมขอร้องอะไรหน่อยได้ไหม? ผมน่ะ ชอบสนทนากับคุณ และสนุกไปกับ สำนวนการเขียนของ คุณ เช่น คำว่า "มั่วนิ่ม" ผมอ่านแล้ว นั้งยิ้มอยู่ในใจ และไม่มีความ โกรธเคืองคุณเลย แม้แต่น้อย  สิ่งที่ผมอยากขอร้องคุณก็คือ อย่าใช้สำนวน แบบ มุสลิม ในเวบ อนุรักษ์มรดกอิสลาม "ผู้ที่เคร่งครัดในเรื่อง  อะฮลุสสุนนะฮัลญะมาอะฮฺ, ทั้ง อาจารย์และลูกศิษย์ เมื่อเขาไป "เทศ" ที่ใด ก็ ใช้ คำพูดด่า ไม่สุภาพต่อผู้ที่มีความเห็นไม่ตรงกันกับเขา  ตัวอย่างเช่นสำนวนที่ว่า “บรรดาโต๊ะครูและสาวกของเว็บอะชาอีเราะฮ คงกระอักเลือดและกรรมสนองแล้ว" ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่า “ผู้ดูแลกระดานเสวนา” เชื่อในกฏแห่งกรรม, จากคำกล่าวที่ว่า “คงกระอักเลือดและกรรมสนองแล้ว” ซึ่งเป็นการเชื่อที่ เป็น "ชิริก", และไม่มีอยู่ในหลักการของ, “อัลอิสลาม”,  หรือว่ามีสอนอยู่ใน “อะหะดีษ ^^”?   การสนทนาของเราอย่าให้มี คำด่าว่า กันเลย เพราะไม่ใช่ลักษณะที่ดีของ "มุสลิม" ถึงแม้ว่า คุณจะไม่นับว่าผมเป็น "มุสลิม"ก็ตาม ผมเข้าใจ ซึ่งทำให้คุณที่เป็นมุสลิม ดูเป็นที่น่า นับถือดีขึ้นอีก  ผมขอเข้าเรื่อง ของ หัวข้อกระทู้สักหน่อย คือว่า ผมตอบ ตามคำถามของคุณ ที่ถามผมว่า .... "การละหมาด 5 เวลา ถ้าไม่ใช้ฮะดีษ คุณมีหลักฐานมาจากไหน?”  ผมก็หามาครบให้คุณเห็นว่า มี 5 เวลาจริง เพียง ย่อๆ ข้างล่างนี้..... ..............  "เมื่อรวมจำนวนจาก เวลาที่กล่าวในอัลกุรอานแล้ว เราจะได้จำนวน การละหมาด  5 ครั้ง (เวลา) ในวันหนึ่ง,  เราจะเห็นว่าเพียง แค่ อายะ 2:238  เพียงอายะเดียว ก็เพียงพอที่จะ แสดง ให้เห็นว่า “การ ละหมาด 5 เวลา”   มีกล่าว กล่าวไว้ใน อัลกุร อาน อย่างชัดแจ้ง  ซึ่งไม่มีความจำเป็นจะต้อง ดำเนินการถกเถียง ในเรื่อง นี้ให้เยิ่นเย้อต่อไป  ตั้งแต่ส่วนปลายของตอนเช้า(ซุบฮิ )และส่วนปลายของตอนเย็น(มัฆริบ) และ อีก เวลาหนึ่งเวลาหนึ่ง เมื่อเริ่มเข้าเวลากลางคืน (11:114)  ซึ่งหมายถึง การละหมาด อีซา (24:58)  รวมแล้วมี 5 เวลา และระหว่างส่วนสอง ปลายของ วัน  ก็มี  ซุฮฺริ ( 24:58 และ17: 78 ) และอัศริ  (2:238 และ  17: 78" .....................  แต่ถ้าคุณต้องการรายละเอียด ของ คำอธิบายเวลาต่างๆ มาจากที่ใด และตีความหมายมาจากไหน? นั้น เราก็ ค่อยๆ คุยกันไปก็ได้,  และถ้ากระทู้มันตกหายไป ก็ ตั้ง หัวข้อกระทู้ใหม่ เป็น ภาค หนึ่ง, ภาคสอง และ สาม เรื่อยๆไป เอาเป็นเรื่องๆไป  แต่คุณต้อง ตอบคำถามผมบ้าง ให้ตรงกับที่ผมถาม เพื่อ ผมจะได้เข้าใจ เหตุผลที่แท้จริงว่า การละหมาด 5 เวลา ตาม "อะอัลหะดีษ นั้น มันมีกำเนิดมาจากที่ใด เป็น หะดีษชนิดใด  คำถาม ของผม ....  1. คุณเชื่อว่า...เรื่องข้างล่างนี้ เป็น เรื่องจริงหรือไม่? และอยู่ใน อะหะดีษ หมวดใด  หมายเลขอะไร? "Once Muhammad appears before God—there is some question as to whether he actually saw him—he is told to recite the salat (ritual prayer) 50 times each day.  Musa, however, advises Muhammad to plead for a reduction of the number as being too difficult for believers, and the obligation is eventually reduced to five prayers each day." นี่คือ เหตุผลของการ เริ่มมีการทำละหมาดวัน ละ 5 เวลาใช่หรือไม่?   2.  จากความคิดเห็นที่ 25ของ คุณ, ผมไม่เห็นมี บัญญัติในอัลกุรอาน          ให้ มุสลิมต้อง ปฎิบัติตาม "อะหะดีษของ มุสลิม, บุคอรี และ อื่นๆ"        เลย       ถ้าเราศึกษา ซูเราะฮฺ อัลหากเกาะฮฺ อายะ 40-47 อย่างละเอียด แล้วเราจะเห็นว่า จากคำยืนยัน ของพระเจ้า "การเชื่ออะหะดีษไม่ว่าในระดับใด ก็ตาม มัน เป็นการเชื่อเรื่องราวที่ไม่ถูกต้องตาม อัลอิสลาม" บัญญัติดังกล่าว จาก ซูเราะฮฺ อัลหากเกาะฮฺ อายะ 40-47 มีดังนี้..   อัลกุรอานเป็นคำกล่าว  ของท่านศาสนทูตผู้ทรงเกียรติ(40), มันไม่ใช่บทกวีของนักกวี ที่พวกเจ้าอาจจะศรัทธาได้แม้แต่น้อย(41) ,  และไม่ทั้งเป็นคำพยากรณ์ของนักพยากรณ์ ที่พวกเจ้าจะศรัทธาได้แม้แต่น้อย เช่นกัน(42), (แต่)เป็นบัญญัติที่ถูกประทานมาจากพระเจ้าแห่งสากลโลก(43),และหากเขา (มุฮัมมัด) เสกสรรกล่าวคำเท็จ (ที่เกี่ยวกับศาสนา)อะไรก็ตามที่อ้างอิงถึงเรา (อัลลอฮ์) แล้ว(44),  เรา(อัลลอฮ์) จะลงโทษเขา(มุฮัมมัด) อย่างรุนแรง(45), แล้วเราจะหยุดการประทานบัญญัติ(อัลกุรอาน) แก่เขา(ปลด หรือ ไล่ ออกจากการเป็นศาสนทูต) (46), ไม่มีผู้ใดในพวกเจ้าสามารที่จะป้องกันเขา(มูฮัมมัด) ได้(47)    ถ้าหากว่าคุณ ทำความเข้าใจแล้วจะเห็นว่า อะหะดีษระดับต่างๆนั้น ไม่ใช่ เรื่องราว ที่มุสลิมสมควรที่จะนำมาปฏิบัติเป็นส่วนหนึ่งในศาสนา เพราะเป็นเรื่องที่ขัดกับ คำสั่งของ “อัลลอฮ์ตะอาลา” จาก ซูเราะฮฺ อัลหากเกาะฮฺ อายะ 40-47 โดยเฉพาะ บัญญํติที่ว่า... “และหากเขา (มุฮัมมัด) เสกสรรกล่าวคำเท็จ (ที่เกี่ยวกับศาสนา) อะไรก็ตามที่อ้างอิงถึงเรา (อัลลอฮ์) แล้ว(44),  เรา(อัลลอฮ์) จะลงโทษเขา(มุฮัมมัด) อย่างรุนแรง(45),”    ด้วยเหตุนี้อะหะดีษจึงไม่ใช่สิ่งที่อัลลอฮ์ตะอาลาทรงรับรอง ใช่หรือไม่ครับ?  คุณต้องตอบคำถามผมบ้างเพื่อการสนทนาจะได้ เข้าใจในความคิดเห็นของกันและกัน และโปรด “อย่ามั่วนิ่ม” กับผมเช่นกัน จากคุณ : แมทท์ - [ 8 ก.พ. 52 02:08:53 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ผมไม่จำเป็นต้องทำตามขอร้องอะไรคุณนี่ครับ แมทท์ เพราะขนาดมุสลิมในที่นี้ ขอร้อง กดดัน เน้นย้ำให้คุณตอบเรื่องละหมาดให้เคลียร์ไม่หนีคุณก็ทำไม่ได้ ไม่ยอมทำ และผมกับมุสลิมที่นี่ ก็ไม่ใช้คำหยาบคายด้วย กลับกัน คุณเองสิครับพอตอบไม่ได้ แถไม่ได้ก็พยายามจะยัดเยียดให้มุสลิมในที่นี้ทำชิริก ทั้งๆที่ตัวเองตอบคำถามมุสลิมในที่นี่ไม่ได้ หรือนี่คือ มาตรฐานและคำว่ามารยาทของคุณล่ะครับ? ส่วนเรื่อง โต๊ะครูเว็บที่ว่า เขาจะพิมพ์อะไร เขาต้องรับผิดชอบตัวเขาเองครับ เขาจะใช้คำว่ากรรมตามสนอง ก็แล้วแต่ ถ้าจะคิดว่าการตอบแทน ความเป็นไปของสรรพสิ่ง เป็นกฎที่อัลลอฮ์สร้าง เรียกเพื่อให้เข้าใจง่ายๆ สั้นๆ ว่ากรรมนั้นก็ย่อมได้ อย่าเอาประเด็นหน่อมแน้มนี้ มาเติมเลยครับ ไร้สาระ ------------------------------------------------------------------------------- ส่วนเรื่องละหมาด 5 เวลา อย่ามาบอกครับว่า ครบแล้ว เพราะคำตอบของคุณ มันไม่เรียกว่าคำตอบครับ แต่เรียกว่ามั่ว ชัดๆ เลยครับ ไม่ใช่ 5 เวลา มันจะเป็น 7 9 ก็ได้ หรือ 11 ก็ยังได้ ถ้าผมถาม ไปเรื่อง 1+1 ได้เท่าไหร่ แต่ดันตอบมาว่า 5 แล้วบอกว่าตอบแล้ว มันใช้ได้เหรอครับ? เพราะคำถามที่ถามเนี่ย ก็เพื่อแสดงให้ทุกท่านได้เห็นว่า คนที่ไม่เอาฮะดีษ คนที่ปฏิเสธฮะดีษ ย่อมไม่สามารถที่จะ ปฏิบัติศาสนกิจอิสลามได้เลย นอกจากการมั่วเอาเองแบบปราศจากหลักการ หลักฐานก็คือ การตอบคำถามของแมทท์ไงล่ะครับ ที่แมทท์ตอบมา แสดงให้เห็นถึงปัญหาของคนไม่เอาฮะดีษ ลองอ่านนะครับ "เมื่อรวมจำนวนจาก เวลาที่กล่าวในอัลกุรอานแล้ว เราจะได้จำนวน การละหมาด  5 ครั้ง (เวลา) ในวันหนึ่ง,  เราจะเห็นว่าเพียง แค่ อายะ 2:238  เพียงอายะเดียว ก็เพียงพอที่จะ แสดง ให้เห็นว่า “การ ละหมาด 5 เวลา”   มีกล่าว กล่าวไว้ใน อัลกุร อาน อย่างชัดแจ้ง  ซึ่งไม่มีความจำเป็นจะต้อง ดำเนินการถกเถียง ในเรื่อง นี้ให้เยิ่นเย้อต่อไป อยู่ๆ ก็สรุปว่า เมื่อรวมจำนวนจากเวลาที่กล่าวใน อัลกุรอาน สรุปมาได้ยังไง ไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีวิธีการนับที่ถูกต้อง ก็เหมือนผมถามว่า ไหนล่ะ หลักฐานใน อัล กุรอาน เรื่องละหมาด 5 เวลา ก็ตอบว่า “ความเศร้าโศรกเสียใจจะมีต่อผู้ที่ละเลยการทำละหมาดของเขา” 107:4-5 แล้วบอกว่า นี่แหละหลักฐาน 5 เวลา แถมยังบอกว่าหามาแล้วอีก ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวกันเลย ก็เหมือนกัน นี่ก็สรุปแบบไม่มีที่มาที่ไปซะแบบนั้น แล้วจะให้ผมเรียกมันว่าคำตอบเหรอครับ? จากคุณ : Carroth - [ 8 ก.พ. 52 07:09:22 ]

ความคิดเห็นที่ 28 นี่แหละครับ เราจะได้เห็นความกลับกลอก และฉ้อฉลของแมทท์ ตอบแบบไม่มีสาระ ตอบแบบขอไปที ตอบแบบมั่วๆ เพื่อที่จะได้ทำการบิดเบือนอิสลามตามใจตัวเอง แต่ผมจะบอกไว้ตรงนี้เลยนะครับว่า ผมไม่ใช่เด็กน้อยแถวบ้านคุณ จะที่จะมาหลอกเบี่ยงประเด็นไปนู่นมานี่ เรื่อยๆ ได้ เพราะคำถามเรื่องละหมาดตราบใดที่แมทท์ยังตอบไม่ได้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปเรื่องอื่น เนื่องจากนี่คือศาสนกิจพื้นฐานของมุสลิม ถ้ายังไม่ชัดเจนจะมาเรียกว่ามุสลิมได้อย่างไร ถ้าตอบคำถามเรื่องละหมาดไม่ได้ ถ้าตอบแบบมั่วๆ ขอไปที มันก็จะทำให้คำพูดอื่นๆ ไม่น่าเชื่อถือครับ เพราะต่อให้ฮะดีษโดยอ้างนั่นอ้างนี่เพื่อปฏิเสธฮะดีษอีก 108 ก็เท่านั้น ในเมื่อตอบคำถามพื้นฐานไม่ได้ ก็เท่ากับเป็นการประจานตัวเองว่า ถ้าปฏิเสธฮะดีษเมื่อ ก็จบสิ้นความเป็นมุสลิมเมื่อนั้นโดยไม่สามารถแก้ต่างอะไรได้เลย ซึ่งจริงๆแล้ว ถ้าแมทท์สามารถตอบคำถามเรื่องละหมาดได้ ไม่จำเป็นต้องรอ 5 ปีหรอกครับ อาทิตย์เดียวก็ตอบได้หมดแล้วถ้าจะตอบ แต่นี่ยืดเยื้อมากี่ปีแล้ว? คาราคาซังมาเท่าไหร่แล้ว จนบัดนี้ กระทู้ตั้งเองก็ตอบไม่ได้ แล้วเตรียมจะมี ภาค 3 4 5 ต่อไปอีก ทั้งหมดนี้แสดงให้เราเห็นถึงอะไร มันแสดงให้เราเห็นว่า แมทท์ไม่สามารถตอบคำถามเรื่องละหมาดได้หรอกครับ นอกจากจะมั่วแบบขอไปทีเท่านั้น ซึ่งขนาดมุสลิมที่ไม่มีความรู้อย่างผม ยังจับไต๋ได้ง่ายๆ แล้วมันจะไปตอบคำถามอะไรได้อีก? เพราะฉะนั้นอย่ามาทำเป็นยืดเยื้อเพื่อเลี่ยงประเด็นครับ คำตอบก็ตอบได้ง่ายๆ อัล กุรอาน ก็อยู่มาแล้วตั้ง 1400 ปี ถ้าคิดว่าไม่เอาฮะดีษไม่เอาแบบอย่างนบี แล้วจะมาตอบคำถามเรื่องละหมาดได้ก็ตอบมาเลยครับ อย่าลีลา กระทู้นี้คุณตั้งมาเพื่อตอบคำถามเรื่องละหมาดแล้วจะเลี่ยงประเด็นไปทำไมล่ะครับ? ก็เพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามเรื่องละหมาดโดยไม่เอาฮะดีษได้ไงล่ะ ใช่หรือไม่? เตรียมจะหนีอีกแล้วล่ะสิ ใช่มั๊ย? เตรียมจะเลี่ยงประเด็นเหมือนเดิมล่ะสิ? แมทท์เอ๋ย 5 ปีแล้ว ใช้แต่วิธีการหนีเดิมๆ ไม่เบื่อมั่งหรือไง ถ้าอิสลามมีช่องโหว่ให้ปฏิเสธนบีได้ง่ายๆ อิสลามคงล่มสลายไปนานแล้วล่ะครับ เอ้าตอบเรื่องละหมาดมาเร็วอย่าลีลา จากคุณ : Carroth - [ 8 ก.พ. 52 07:21:03 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ส่วนเรื่อง มิรอจ นั้น ที่อัลอฮฺประทานให้ท่านนบีมา 50 เวลา แล้ว มีการขอลดลงจนเหลือ 5 นั้นน่ะ นี่ไม่ใช่ความไม่รู้ของพระเจ้า ว่ามนุษย์ไม่สามารถทำได้ มีแต่คนที่ ไม่รู้จักคิดและใช้ปัญญาเท่านั้นแหละครับ ที่จะเหมาไปเป็นแบบนั้น เพราะเมื่อเราพบว่า ละหมาด 5 เวลา มีผลเท่ากับ 50 เวลา มันจะทำให้เราเพิ่มความสำคัญกับการละหมาดให้ครบ นี่เป็นสิ่งที่มุสลิมเรารับรู้จากเหตุการณ์นี้ เรื่องนี้ไม่ต่างจากเรื่องของ นบีอิบรอฮีม ซึ่งเป็นที่มาของการกุรบ่าน นั่นแหละครับ ถามว่าพระเจ้าไม่ทราบหรือว่า นบีอิบรอฮีมภักดี ทำไมต้องทดสอบ ต้องลองใจด้วย แน่นอนอัลลอฮ์รอบรู้ทุกสิ่ง ที่สิ่งที่คนรุ่นหลังได้จากเรื่องนี้คือ ตัวอย่างแห่งศรัทธา และแบบอย่างของการเสียสละครับ เพราะฉะนั้นเรื่องการละหมาด 5 เวลา จากการ มิรอจ นั้น เป็นเรื่องปกติและเป็นเรื่องที่มุสลิมต้องให้ความใส่ใจด้วย ต่อมา เรื่อง ฮะดีษ อัลลอฮ์บอกไว้ชัดเจนนะครับให้เราทำตามนบี แล้วเราจะรู้ว่านบี ทำอย่างไร พูดอย่างไร อธิบายปัญหาศาสนา และอธิบาย โองการต่างๆ ของ อัลกุรอานไว้อย่างไร ก็ย่อมต้องใช้ฮะดีษซึ่งบันทึกคำสอนคำอธิบายของท่านนบีไว้อย่างรัดกุม ชัดเจน มีการตรวจสอบอย่าง เข้มงวด ซึ่งถ้าไม่เอาฮะดีษเราจะรู้ได้อย่างไรว่านบีได้อธิบายโองการต่างๆ ของ อัล กุรอานไว้แบบใดบ้าง บัญญัติดังกล่าว จาก ซูเราะฮฺ อัลหากเกาะฮฺ อายะ 40-47 มีดังนี้..  อัลกุรอานเป็นคำกล่าว  ของท่านศาสนทูตผู้ทรงเกียรติ(40), มันไม่ใช่บทกวีของนักกวี ที่พวกเจ้าอาจจะศรัทธาได้แม้แต่น้อย(41) ,  และไม่ทั้งเป็นคำพยากรณ์ของนักพยากรณ์ ที่พวกเจ้าจะศรัทธาได้แม้แต่น้อย เช่นกัน(42), (แต่)เป็นบัญญัติที่ถูกประทานมาจากพระเจ้าแห่งสากลโลก(43),และหากเขา (มุฮัมมัด) เสกสรรกล่าวคำเท็จ (ที่เกี่ยวกับศาสนา)อะไรก็ตามที่อ้างอิงถึงเรา (อัลลอฮ์) แล้ว(44),  เรา(อัลลอฮ์) จะลงโทษเขา(มุฮัมมัด) อย่างรุนแรง(45), แล้วเราจะหยุดการประทานบัญญัติ(อัลกุรอาน) แก่เขา(ปลด หรือ ไล่ ออกจากการเป็นศาสนทูต) (46), ไม่มีผู้ใดในพวกเจ้าสามารที่จะป้องกันเขา(มูฮัมมัด) ได้(47) โองการเหล่านี้ไม่มีตรงไหนบอกเลยครับว่าฮะดีษไม่ถูกต้อง เพราะไม่มีใครบอกว่า ฮะดีษคือ อัล กุรอาน เทียบเท่า อัล กุรอาน และฮะดีษก็ไม่ใช่ บทกวี ของนักกวีด้วย และก็ไม่ใช่คำพยากรณ์ ของนักพยากรณ์ แต่เป็นบันทึกคำพูดและการกระทำของท่านนบีไว้ ไม่ใช่การบันทึกจากนักพยากรณ์แต่อย่างใด และก็ไม่ปรากฎว่า ท่านนบี นั้นถูกอัลลอฮฺลงโทษ และมีการหยุดประทาน อัล กุรอานให้ท่านแต่อย่างใด ดังนั้น คำพูดของท่านนบี เชื่อถือได้ 100% ครับ กลับกัน การอ้างบรรพบุรุษต่างหากที่สมควรได้รับการประณามเพราะมันเป็นการกระทำตามแบบพวกคนสมัยป่าเถื่อน สมัยญาฮีลียะห์ ซึ่งเป็นการกระทำของพวก มุชริกเดิม และตอนนี้ก็ยังมีบางคนครับ ที่มันไม่เอาฮะดีษมันก็ใช้กุรอ่านอย่างเดียว ปฏิบัติศาสนากิจไม่ได้อยู่ดี มันต้องอาศัยสิ่งอื่น แล้วมันอาศัยอะไร มันอาศัย บรรพบุรุษครับเหมือนพวกญาฮีลียะห์ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษเป็นใครมาจากไหน สืบสายไปถึง 10 รุ่นหรือเปล่าก็ไม่รู้ อย่าว่าแต่ไปถึง นบีเลย และไม่มีตรงไหนของ อัล กุรอาน ให้อ้างเรื่องศาสนา จากบรรพบุรุษ เหล่านี้แสดงให้เราเห็นถึงอะไร? แสดงให้เห็นถึงความ ลักลั่น ความไม่เข้าท่า ความไม่สมประกอบ ของคนที่ไม่เอาฮะดีษ จะอ้าง อัล กุรอานอย่างเดียวก็ไปไม่รอด จะอ้างบรรพบุรุษ ก็ไม่น่าเชื่อถือ ดังนั้นที่เขาทำได้ คืออะไร? คือการแถ การหนี การเลี่ยงประเด็นไงล่ะครับ ไม่งั้น มุสลิมไม่ตามถามแมทท์ ถึง 5 ปี หรอก ถ้าแมทท์ตอบได้ ตอบไปตั้งนานแล้ว ครับ มุสลิมตอบคำถามคุณแน่ๆ ล่ะครับ แต่คำถามของคนแบบคุณมันไม่มีค่าหรอกครับ ถ้าคุณยังตอบคำถามเรื่องละหมาดไม่ได้ เพราะฉะนั้น "อย่ามั่วนิ่ม" เลี่ยงประเด็นครับ ตอบมาซะ จากคุณ : Carroth - [ 8 ก.พ. 52 07:42:33 ]

ความคิดเห็นที่ 30 คำถาม ของผม .... 1. คุณเชื่อว่า...เรื่องข้างล่างนี้ เป็น เรื่องจริงหรือไม่? และอยู่ใน อะหะดีษ หมวดใด  หมายเลขอะไร? "Once Muhammad appears before God—there is some question as to whether he actually saw him—he is told to recite the salat (ritual prayer) 50 times each day.  Musa, however, advises Muhammad to plead for a reduction of the number as being too difficult for believers, and the obligation is eventually reduced to five prayers each day." นี่คือ เหตุผลของการ เริ่มมีการทำละหมาดวัน ละ 5 เวลาใช่หรือไม่? จากคุณ : แมทท์ - [ 8 ก.พ. 52 11:00:14 ]

ความคิดเห็นที่ 31 คำถามของผม ............... ไม่มีฮะดีษแล้วละหมาด 5 เวลา อย่างไร อย่ามั่วนิ่มเบี่ยงประเด็นครับ ย้ำ อย่ามั่วนิ่ม จากคุณ : Carroth - [ 8 ก.พ. 52 16:49:49 ]

ความคิดเห็นที่ 32 คำถาม ของผม .... 1. คุณเชื่อว่า...เรื่องข้างล่างนี้ เป็น เรื่องจริงหรือไม่? และอยู่ใน อะหะดีษ หมวดใด  หมายเลขอะไร? "Once Muhammad appears before God—there is some question as to whether he actually saw him—he is told to recite the salat (ritual prayer) 50 times each day.  Musa, however, advises Muhammad to plead for a reduction of the number as being too difficult for believers, and the obligation is eventually reduced to five prayers each day." นี่คือ เหตุผลของการ เริ่มมีการทำละหมาดวัน ละ 5 เวลาใช่หรือไม่? """"""""""""" คำถามข้างบนนี้ไม่ใช่เบี่ยงประเด็น เพราะเป็น คำถามเพื่อวัดดู ระดับพื้นฐานของความเข้า ใจ อัลกุรอาน ของคุณ, ทั้งนี้ ไม่ใช่แต่ผมคนเดียวที่พยายาม อธิบาย ในเรื่อง "การละหมาดให้มุสลิมที่เชื่อในเรื่องข้างบนนี้” ซึ่ง อธิบายด้วย เหตุผล และ ตรรกอย่างไร ก็ ไม่มีทาง เข้าใจกันได้ ถ้าเขามีความเชื่อใน สิ่ง ที่ เป็น "ชิริกอย่างในเรื่องข้างบนนี้" ซึ่งเกิดจากการไม่เข้าใจอัลกุร อาน จากคุณ : แมทท์ - [ วันมาฆบูชา 06:18:41 ]

ความคิดเห็นที่ 33 การสนทนาเช่นนี้คุณจะเห็นว่าคำถามของคุณมีความสำคัญ กว่าของคู่สนทนานั้น ไม่ใช่ หลักการของนักวิชาการ , คำถามทุกๆคำถามมีความสัมพันธ์เกี่ยว โยงกันทั้งนั้น  ที่ผมอธิบายเช่นนี้ ผมต้องการให้ สมาชิกที่ เป็นมุสลิม และ ไม่ใช่ มุสลิมเข้าใจ  สังคมของมุสลิม ที่แท้จริง ว่า เหตุที่สังคมมุสลิมตกต่ำนั้น เนื่องจาก ขาดการใช้ ความเข้าใจในเรื่องความศรัทธา, ไม่ยอมรับความรู้จากด้านอื่นและความคิดเห็นที่แตกต่างจาก สังคมของตนเอง,  และจะแก้ตัวในความผิดพลาดของตนเอง, หรือไม่ก็โยนความผิดพลาดของตนเองไปให้พระเจ้า  โดยที่ไม่ใช้สติปัญญา เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาของตนเอง       ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ถ้ามุสลิมเขียนการ์ตูน ล้อเลียนท่านรอซูล จะด้วยเจตนาใดๆก็ตาม  จะปกปิดและแก้ตัวแทนกัน แต่ถ้า ผู้อื่นที่ไม่ใช่มุสลิมเขียนภาพที่ไม่เกี่ยวกับความศรัทธาและหลัก ปฏิบัติของมุสลิมเลย  และไม่ได้แสดงการลบหลู่พระเจ้า เมื่อ เทียบ กับการ์ตูน ในเรื่อง   “ Laylat-ul Mirage” เลย มุสลิม กับทำเป็นผิวบาง สะกิดไม่ได้  เดินขบวนกันวุ่นวาย ขัดกับคำสอนของอัลกุรอาน  แถมยัง “มั่วนิ่ม”  กล่าวว่า “อัลกุรอานที่สอนให้รักความสงบนั้นถูกยกเลิกไป ตัวอย่างเช่น... “และพวกเจ้าจงอย่าได้โต้เถียงกับชาวคัมภีร์นอกจากที่ดีกว่า ยกเว้นบรรดาผู้อธรรมในหมู่พวกเขา” ซูเราะห์อัลอังกะบูต อายะห์ที่ 46 “ท่านกอตาดะห์และคนอื่นๆ กล่าวว่า อายะห์ที่ให้โต้เถียงกับอะห์ลุลกิตาบด้วยวิธีที่ดีกว่านี้ได้ถูกยกเลิกข้อบัญญัติไปแล้ว ด้วยกับอายะห์ที่สั่งให้ต่อสู้กับพวกเขา นั่นคือ ถ้าเขาไม่รับอิสลาม ก็ให้จ่ายญิซยะห์ (ภาษีคุ้มครองภายใต้การปกครองของรัฐอิสลาม) หรือไม่ก็ให้ต่อสู้กับพวกเขา ผมไม่ทราบว่า นาย “กอตาดะห์”  คนนี้เป็นใครทีไหน, ที่บังอาจ บอกกว่า บัญญัติในอัลกุรอานถูกยกเลิกไป นำมาใช้ไม่ได้ นี่แสดง ให้เห็นว่า   ผู้รู้เหล่านี้ อาจจะแก้ไข หรือ อธิบายอัลกุรอานไปในรูปใดก็ได้แล้วแต่เขาชอบ นี่เป็นตัวอย่าง “มั่วนิ่ม” ใน “หะดีษที่เห็นได้ชัดแจ๋วที่สุด” ..................................... จากคุณ : แมทท์ - [ วันมาฆบูชา 06:23:30 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เนื่องจากปัญญหาเรื่องการละหมาด 5 เวลาในอัลกุรอานมีอยู่จริง, แต่คุณไม่อาจจะยอมรับได้ เพราะว่า ถ้าคุณยอมรับ ในเรื่อง ความจริงข้อนี้   การเชื่อถือ อะหะดีษของคุณจะหมดไปทันที, เพราะอัลกุรอาน ห้ามการนำเรื่อง เหลวไหล มายุ่ง เกี่ยวกับศาสนา อิสลาม     บัญญัติดังกล่าว จาก ซูเราะฮฺ อัลหากเกาะฮฺ อายะ 40-47 จึงมีความสำคัญในเรื่อง การเชื่อถือ”อะหะดีษว่าเป็น การกระทำหรือคำสอนของท่านรอซูล จริงหรือไม่?   ถ้าสิ่งที่กล่าวว่าท่านกระทำขัดต่ออัลกุรอาน จากบัญญํติต่างๆที่ว่า.. “ อัลกุรอานเป็นคำกล่าว  ของท่านศาสนทูตผู้ทรงเกียรติ(40), มันไม่ใช่บทกวีของนักกวี ที่พวกเจ้าอาจจะศรัทธาได้แม้แต่น้อย(41) ,  และไม่ทั้งเป็นคำพยากรณ์ของนักพยากรณ์ ที่พวกเจ้าจะศรัทธาได้แม้แต่น้อย เช่นกัน(42), (แต่)เป็นบัญญัติที่ถูกประทานมาจากพระเจ้าแห่งสากลโลก(43),และหาก เขา (มุฮัมมัด) เสกสรรกล่าวคำเท็จ (ที่เกี่ยวกับศาสนา)อะไรก็ตามที่อ้างอิงถึงเรา (อัลลอฮ์) แล้ว(44),  เรา(อัลลอฮ์) จะลงโทษเขา(มุฮัมมัด) อย่างรุนแรง(45), แล้วเราจะหยุดการประทานบัญญัติ(อัลกุรอาน) แก่เขา(ปลด หรือ ไล่ ออกจากการเป็นศาสนทูต) (46), ไม่มีผู้ใดในพวกเจ้าสามารที่จะป้องกันเขา(มูฮัมมัด) ได้(47)”    หะดีษต่างๆข้างล่างนี้ เป็น อะหะดีษที่ ผู้ที่ ไม่ศรัทธาต่ออิสลาม นำมา ตั้งคำถาม  เยาะเย้ยมุสลิม  ว่า  “แม้แต่ท่านรอซูล ก็ “ทำชิริก” จากคุณ : แมทท์ - [ วันมาฆบูชา 06:25:27 ]

ความคิดเห็นที่ 35 “ซึ่งความจริงแล้ว หะดีษที่ยกมาให้เห็นนี้ เป็นเรื่อง เหลวไหล และขัดกับอัลกุรอาน แต่มุสลิม ยังยึดถืออยู่ และ คิด ว่า การจูบหินดำ และสัมผัสหินดำ เป็นเพียง การบอกทิศทาง และการรำลึกถึง พระเจ้า ในด้านจิตตใจ แต่ ไม่ใช่เป็นการกราบบูชาก้อนหิน”    หะดีษเช่นนี้ รวมทั้งเรื่องต่างไที่ขัดต่อ อัลกุรอาน และ คุณลักษณะของท่าน รอ ซูล แล้ว ควรโยนทิ้ง หรือ เผา ทิ้งไป  เพราะเรื่อง เหล่านั้น ทำความ มัวหมอง ให้แก่ ศาสนาอิสลาม และ ท่านรอซูล    จากหะดีษที่ว่า ... Narrated ‘Abis bin Rabia: ‘Umar came near the Black Stone and kissed it and said, "No doubt, I know that you are a stone AND CAN NEITHER BENEFIT ANYONE NOR HARM ANYONE. Had I not seen Allah’s Apostle kissing you I would not have kissed you." (Sahih al-Bukhari, Volume 2, Book 26, Number 667) Narrated Zaid bin Aslam from his father who said: "Umar bin Al-Khattab addressed the Corner (Black Stone) saying, ‘By Allah! I know that you are a stone AND CAN NEITHER BENEFIT NOR HARM. Had I not seen the Prophet touching (and kissing) you, I would never have touched (and kissed) you.’ Then he kissed it and said, ‘There is no reason for us to do Ramal (in Tawaf) except that we wanted to show off before the pagans, and now Allah has destroyed them.’ ‘Umar added, ‘(Nevertheless), the Prophet did that and we do not want to leave it (i.e. Ramal).’" (Sahih al-Bukhari, Volume 2, Book 26, Number 675) Narrated Zaid bin Aslam that his father said: "I saw ‘Umar bin Al-Khattab kissing the Black Stone and he then said, (to it) ‘Had I not seen Allah’s Apostle kissing you, (stone) I WOULD NOT HAVE KISSED YOU.’" (Sahih al-Bukhari, Volume 2, Book 26, Number 679)   คำแก้ตัวของมุสลิม (Muslim apologists) ที่ไม่ยอมรับว่า เรื่อง ในหะดีษ ข้างบนนี้ เป็นเรื่อง เหลวไหล  และ เป็นเรื่อง ที่เชื่อถือไม่ได้ ทั้งนี้เพราะเขา เชื่อว่า “ซอเฮี๊ยะ หะดีษ เป็นเรื่องจริง”, จากคุณ : แมทท์ - [ วันมาฆบูชา 06:27:22 ]

ความคิดเห็นที่ 36 มุสลิม (Muslim apologists) ได้อธิบายหลีกเลี่ยง เพื่อรักษาหน้า “อิสลาม” และ ในทำนองเดียวกันก็ ป้องกันความเหลวไหลของ อะหะดีษเหล่านั้น โดยไม่เห็นว่า “อิสลาม และ ท่าน รอซูล” มีความ สำคัญยิ่งกว่า อะหะดีษ เหลวไหลเหล่านั้นซึ่งสมควรจะเผาทิ้งไป”     คำแก้ตัวก็คือ  “ในขณะที่ท่านรอซูล ก้มลงสัมผัส และ จูบก้อนหินนั้น เนื่องจาก ความรักและ เชื่อฟังพระเจ้าแต่ “จิตใจและความรู้สึก ของท่านอยู่ที่ พระเจ้าไม่ใช่ที่ก้อนหิน...เช่นเดียวกับเราจูบลูกเต้าของ เราด้วยความรักไม่ใช่เพราะเรา เคารพบูชาลูกเรา”    ด้วยเหตุนี้เราจะเห็นได้ว่า การ เกี่ยวข้องทางร่างกาย การจูป การสัมผัส  รูปปั้นของ บุคคลต่างๆหรือรูปจิตนาการต่างๆ ที่ผู้กระทำ ให้เหตุผลว่า รูปปั้นหรือ รูปภาพ เป็นแค่สื่อ ในการแสดงความเคารพรัก เท่านั้น แต่ไม่มีความหมายอะไรในความศรัทธาเลย จึงเป็นการขัดต่อหลักการของอิสลาม ซึ่งฟังไม่ขึ้น “Because Muslims kiss that stone, some observers hastily conclude that Muslims worship it. A kiss, however, is not an act of worship unless it is accompanied by an intention to worship. If you kiss your child, for instance, that does not mean you worship your child.” การแก้ตัวเช่นนี้ ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมากับภาพพจน์ ของ อิสลามและท่านรอซูลเลย ทั้งนี้ ไม่มีผู้ใดเข้าถึงจิตใจของผู้กระทำสิ่งนั้นได้, เช่นถ้า มุสลิม เอารูป บรรพบุรุษและรูปรอซูล( มาตั้งบนแท่นเช่นเดียวกับ “ก้อนหินดำ” นั้น แล้วก้มลงจูบ และ สัมผัส ด้วยจิตใจที่มีความรักต่อภาพนั้น เพื่อเป็นการให้เกียรติและรักรู้ซึ้งในบุญคุณของท่านบรรพบุรุษของเรา, การกระทำเช่นนั้น ต้องเป็น “ชิริกอย่างแน่นอน” ไม่ว่าเราจะตกแต่งคำอธิบายให้สวยงามอย่างไรก็ตาม เช่นในรูปนี้ จากคุณ : แมทท์ - [ วันมาฆบูชา 06:30:33 ]

ความคิดเห็นที่ 37 สิ่งที่ถูกต้องที่มุสลิมสมควรที่จะต้องทำคือ “ยอมรับว่า อะหะดีษเหล่านั้น เป็น เรื่องบอกเล่า ที่เชื่อถือไม่ได้” เพียงเท่านี้เอง เราก็สามารถที่จะป้องกันเกียรติ และ ชื่อเสียง ของ อิสลาม และ ท่าน รอ ซูล ในการสอนที่ให้เชื่อพระเจ้าองค์เดียว และคำสอนในการละเว้นจากการทำ “ชิริก” ด้วยเหตุนี้  ผมจึงจำเป็นต้องถามคุณว่า คุณให้แน่ใจว่า  คุณเชื่อเรื่อง Laylat-ul Mirage หรือไม่?   เพราะว่าถ้าคุณเชื่อว่า  “ท่านรอซูลได้พบกับพระองค์อัลลอฮ์ (พระเจ้า) ตัวต่อตัว เพื่อต่อรองในเรื่องการทำละหมาด และ เพื่อเรียนการละหมาดที่ถูกต้องแล้ว” ก็เท่ากับคุณขาดหลักการว่าการทำละหมาด ตามอะหะดีษ นั้นแตกต่างจากในอัลกุรอานอย่างไร?   ทั้งนี้ เพราะ เรื่องLaylat-ul Mi'raj  นั้น ตอบคำถามทุกสิ่งทุกอย่างในการ ละหมาดตาม อะหะดีษ ที่คุณเชื่อถืออยู่ ซึ่ง เป้นการขัดกับหลักการศรัทธาของอิสลาม จากคุณ : แมทท์ - [ วันมาฆบูชา 06:32:28 ]

ความคิดเห็นที่ 38 คุณพูดอยู่เสมอว่าผม หนี หรือ ไม่อาจจะ พิสูจน์ หาคำตอบ จากอัลกุร อานได้  แต่จากการอธิบาย ของคุณ ที่ตอบกับผม แสดงให้เห็นว่า คุณอ้าง เวลา ต่างๆ จาก อัลกุรอานทั้งนั้น  แต่คุณ ใช้ คำอธิบายจาก อะหะดีษซึ่งผู้อธิบายก็คือผู้ที่ตัฟซีร อัลกุรอาน ในเรื่อง Laylat-ul Mi’raj นั้นเอง     เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว  คุณจะมาอ้างได้อย่างไรว่า “ถ้าไม่อาศัยอะหะดีษแล้วมุสลิมจะละหมาดไม่เป็น”       ผมได้ทำให้คุณใช้ อัลกุรอาน มายืนยัน คำอธิบาย เวลาในการละหมาด 3 เวลา 5 เวลา หรือ ละหมาด พิเศษ ต่างๆ ที่เป็นการสดุดีและสรรเสริญพระเจ้า คุณ จะพบ หลัก ฐาน ในอัลกุรอานทั้งนั้น  จากอายะต่างๆที่คุณอ้างมา         คุณไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากมายเลยครับ เพราะผม ได้อ่านคำแก้ตัวของมุสลิมอย่างคุณมาตลอดเวลา ที่ผ่านมา 5 ปี ซึ่งผมไม่ได้หนีไปไหน? และ คำตอบ คำอธิบายเรื่องเวลาการทำละหมาด ของ "มุสลิม" มีอยู่ในอัลกุรอานแล้ว มาเป็นเวลานานกว่า 1400 ปีแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่ต้องอาศัยเรื่องราวจากเรื่อง Laylat-ul Mirage วึ่งเกิดขึ้น หลังจากที่มุสลิม ทำการละหมาดมานานแล้ว      รูปภาพที่เห็นในกระทู้นี้เป็นรูปภาพที่เกิดจาก การเชื่อในเรื่องราวจากอะฮาดีษ ถึงแม้จะมีผู้ออกมาอธิบายให้ผมเห็นว่า มุสลิมได้ ทำการ "ฟัตวา"  ว่าการเขียนรูปต่างๆเหล่านี้ เป็น "ชิริก"  แต่ ภาพเหล่านี้ ยัง ปรากฏในเวบ มุสลิมต่างๆ และ ยังป็นสิ่งประดับฝาบ้าน ของ มุสลิมในที่ต่างๆทั่วโลก ไม่มีมุสลิมผู้ใด ต่อต้านประท้วง แม้แต่น้อย  แม้แต่ตัวคุรเองก้กล่าวว่า.. "เพราะฉะนั้นเรื่องการละหมาด 5 เวลา จากการ มิรอจ นั้น เป็นเรื่องปกติและเป็นเรื่องที่มุสลิมต้องให้ความใส่ใจด้วย"   นี่หรือครับคือเหตุผลของการทำละหมาด 5 เวลา ของมุสลิมในปัจจุบัน  ถ้าคุณเชื่อเรื่องราวว่า "ท่านรอซูล พบกับพระองค์อัลลออ์ได้ ตัวต่อตัว"  แล้วความเป็นมุสลิมของคุณอยู่ที่ไหนครับ ในมื่อเรื่องทั้งเรื่องมันเป็น "ชิริก" จากคุณ : แมทท์ - [ วันมาฆบูชา 06:52:49 ]

ความคิดเห็นที่ 39 นี่แหละครับแมทท์ พยายามทุกวิถีทางและวิธีการเพื่อเลี่ยงประเด็นที่จะตอบคำถาม เพราะคำถามผมก็แค่คำถามง่ายๆ คือแมทท์ละหมาดอย่างไรถ้าไม่อาศัยฮะดีษ? คำถามเรื่อง เมียะรอจจึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ในการสนทนาถ้าแมทท์มีความสามารถในการตอบคำถามของมุสลิมได้จริง มีความรู้จริงในการตอบคำถามเรื่องละหมาด แต่ที่แมทท์ต้องยกเอาเรื่องอื่นๆ มาผสมปนเป ก็เพราะแมทท์ไม่สามารถ เอากุรอานมายืนยันได้ว่า ละหมาดนั้น ต้อง 5 เวลาไม่ใช่ 6 หรือ 7 หรือ 8 หรือ 9 เวลาอย่างที่แมทท์บอก เรามาดูตัวอย่างกันนะครับ แมทท์บอกว่า 1.  “วาอัสซอละติ อัลวุสตา” หมายถึงการละหมาด ในระหว่างกลาง 1 ครั้ง, และ 2.  “อัสซอละวาติ”  ซึ่งอยู่ในกรณีที่ 3,  หมายถึงการ ละหมาด ในจำนวน      สาม ครั้ง หรือมากกว่า  ไม่ได้หมายถึง  สองครั้ง   ด้วยเหตุนี้ จากความหมายทางภาษา  ในอายะนี้  กล่าวถึงการละหมาด 3 ครั้ง  หรือมากกว่า  และรวม กับ การ ละหมาด ระหว่างกลาง  และคำว่าระหว่างกลาง 1 ครั้ง เป็น จำนวน เลขคี่ ที่อยู่ระหว่างกลาง ของจำนวนเลขคู่ ที่มากกว่า 3 นั้นก็คือ 4 เมื่อรวมจำนวนจาก เวลาที่กล่าวในอัลกุรอานแล้ว เราจะได้จำนวน การละหมาด  5 ครั้ง (เวลา) ในวันหนึ่ง,  เราจะเห็นว่าเพียง แค่ อายะ 2:238  เพียงอายะเดียว ก็เพียงพอที่จะ แสดง ให้เห็นว่า “การ ละหมาด 5 เวลา”   มีกล่าว กล่าวไว้ใน อัลกุร อาน อย่างชัดแจ้ง  ซึ่งไม่มีความจำเป็นจะต้อง ดำเนินการถกเถียง ในเรื่อง นี้ให้เยิ่นเย้อต่อไป ที่ขีดเส้นใต้แมทท์ ได้แสดงความมั่วโดยธรรมชาติของแมทท์ออกมาด้วยการบอกว่า จำนวนเลขคู่ ที่มากกว่า 3 นั่นก็คือ 4 ? มาจากไหน 4 ทำไมไม่ 6 ไม่ 8 สรุปแบบไม่มีที่มาที่ไปว่าต้อง 4 ทั้งๆที่ ตัวบทไม่เคยบอกว่า 4 และที่ทำตัวหนาไว้ แมทท์สรุปแบบลักไก่ว่าเมื่อรวมเวลที่กล่าวไว้ในกุรอานแล้ว จะได้จำนวน ละหมาด 5 ครั้ง (เวลา) แมทท์ยิ่งแสดงความ โกหกมดเท็จ และถึงขั้นหน้าด้าน กันเลยทีเดียว เพราะไม่มีตรงไหน สามารถรวมได้แล้วจะเป็น 5 เพราะถ้าจะรวมเวลาจริงๆ รวมได้ไม่ต่ำกว่า 7 - 9 หรืออาจจะถึง 13 ด้วยซ้ำ สรุปแล้ว นี่แหละครับ เหตุผลที่ทำไม แมทท์ต้องยกเรื่องเมียะรอจ มา ก็เพราะแมทท์ไม่มีความเข้าใจเรื่องกุรอ่าน และฮะดีษแมทท์ต้องแถไปเรื่อยๆ เพื่อเบี่ยงประเด็น อ้างว่า เพื่อทดสอบความเข้าใจกุรอ่านของผม ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้มีความเข้าใจในกุรอ่านเลย และจริงๆ ไม่แม้แต่จะศรัทธาว่ากุรอ่านมาจากพระเจ้าด้วยซ้ำ นี่คือหลักฐาน จากคุณ : Carroth - [ วันมาฆบูชา 10:30:40 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับคำถามของตัวเองมากกว่าคำถามของคนอื่น โดยไม่มีที่มาที่ไปนะครับ แต่ผมเน้นคำถามที่ผมถามเพราะมันเป็นประเด็นหลักของการสนทนา กี่ปีแล้วล่ะครับ ที่มุสลิมถามแมทท์เกี่ยวกับละหมาดแล้วแมทท์ไม่ยอมตอบ จนกระทู้ที่แมทท์ตั้งมาเองเพื่อตอบคำถามเรื่องละหมาด แมทท์ไม่ยอมตอบอยู่ดี เอาเรื่องยั้นมาปน เรื่องนี้มาปน มีแต่ไร้สาระ แทบไม่มีเนื้อ เจอแต่น้ำซะเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้สำเนียกบ้างหรืออย่างไรครับ ว่าคนอื่นเขาเน้นเขาย้ำ เขาถามแล้วถามอีกเหมือนถามเด็กประถมเพราะอะไรก็เพราะ คุณคุยไม่รู้เรื่อง ไม่ยอมคุยตรงประเด็น ทั้งๆ ที่ถ้ามีเหตุผลพอและรู้จริงแล้วล่ะก็สามารถตอบได้ไปแล้ว แต่กลับไม่ยอมตอบ และคำถามที่ผมถาม ไม่จำเป็นต้องมีเรื่อง เมียะรอจ มายุ่งเกี่ยวแม้แต่น้อย เพราะเพราะต่อให้ฮะดีษโดยอ้างนั่นอ้างนี่เพื่อปฏิเสธฮะดีษอีก 108 ก็เท่านั้น ในเมื่อตอบคำถามพื้นฐานไม่ได้ ก็เท่ากับเป็นการประจานตัวเองว่า ถ้าปฏิเสธฮะดีษเมื่อ ก็จบสิ้นความเป็นมุสลิมเมื่อนั้นโดยไม่สามารถแก้ต่างอะไรได้เลย ยิ่งกว่านั้นแล้วมันก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงสาเหตุการแตกนิกายและสาเหตุของความตกต่ำของมุสลิมนั่นคือ มีคนที่คอยเลี่ยงประเด็นการตอบคำถามแบบแมทท์นี่แหละครับ ถามเรื่องละหมาดในกุรอ่าน พาไปเรื่องเมียะรอจใน ฮะดีษ ถามเรื่องละหมาด พาไปเรื่องวาดรูปล้อเลียน แมทท์ก็มีอยู่เท่านี้ ไม่มีสาระ หาข้อสรุปไม่ได้ เพราะแมทท์ตอบไม่ได้ แมทท์คิดอย่างเดียวว่า ทำอย่างไร จะไม่ต้องถูกถาม แต่เป็นฝ่ายถามเสียเองก็เท่านั้น!!!!! กรณีการที่มุสลิมเขียนรูปล้อเลียนท่านรอซู้ลแล้วปกปิดกัน ผมก็ไม่รู้ว่ากรณีไหนนะครับ เพราะถ้ามีเรื่องแบบนั้น ต้องจัดการ พิพากษาผู้ทำทันที หรือกรณี รูปบุร็อกนั่นยิ่งแล้วใหญ่ เพราะนั่นเป็นการกระทำที่ผิดหลักศาสนาชัดเจนครับ เราจะเห็นว่ามุสลิมไม่มีการติด รูปท่านนบีไว้ เพื่อทำการบูชา ถ้าจะมีติดก็เป็นบางคนที่ไม่มีความรู้ และนั่นเกิดจากความไม่รู้ ไม่ใช่จงใจลบหลู่ หรือด่าทอศาสดา เหมือนคนต่างศาสนาทำ แยกแยะให้ออกหน่อยครับ แมทท์จอมมั่ว อ่อแล้ว เรื่อง ท่ากอตาดะห์หรือคนอื่นๆ เนี่ย เอามาเองแต่ไม่อ่าน “ท่านกอตาดะห์และคนอื่นๆ กล่าวว่า อายะห์ที่ให้โต้เถียงกับอะห์ลุลกิตาบด้วยวิธีที่ดีกว่านี้ได้ถูกยกเลิกข้อบัญญัติไปแล้ว ด้วยกับอายะห์ที่สั่งให้ต่อสู้กับพวกเขา นั่นคือ ถ้าเขาไม่รับอิสลาม ก็ให้จ่ายญิซยะห์ (ภาษีคุ้มครองภายใต้การปกครองของรัฐอิสลาม) หรือไม่ก็ให้ต่อสู้กับพวกเขา ท่านกอตาดะห์จะผิดหรือถูกอย่างไร นั่นมันอีกเรื่อง แต่การพูดของเขา มีหลักฐานอ้างอิง และเป็นการอ้างการถึงการยกเลิกกุรอ่านบอกโองการ ด้วยกับอีกบางโองการ ไม่ใช่ยกเลิกด้วยตัวเองรู้ไว้ด้วย อย่ามั่วนิ่มครับ เวลาเอามาหัดอ่านด้วย เขาไม่ใช่แมทท์ครับ ที่พูดจาหาที่มาที่ไปไม่ได้ พูดถึงกอตาดะห์ว่าเป็นใคร เรามาดู คนหน้าด้าน ไร้ยางอาย จอมมั่วนิ่มกันดีกว่านะครับ ว่าคนอย่างนี้ คนแบบนี้ คนเยี่ยงนี้ มันเอาหลักฐานอะไร เอาความรู้อะไร เอาคำพูดสุนัขที่ไหนมาใส่ปากตัวเองแล้วบอกว่า กุรอ่านมีการปลอมแปลง นี่มันเป็นการแสดงถึงความมั่วนิ่มโดยสันดานอย่างแท้จริงครับ จากคุณ : Carroth - [ วันมาฆบูชา 10:46:42 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ในความคิดเห็นที่ 34 แมทท์ก็สรุปอย่างหน้าด้านๆ ตามเคยว่า เนื่องจากปัญญหาเรื่องการละหมาด 5 เวลาในอัลกุรอานมีอยู่จริง, แต่คุณไม่อาจจะยอมรับได้ เพราะว่า ถ้าคุณยอมรับ ในเรื่อง ความจริงข้อนี้   การเชื่อถือ อะหะดีษของคุณจะหมดไปทันที, เพราะอัลกุรอาน ห้ามการนำเรื่อง เหลวไหล มายุ่ง เกี่ยวกับศาสนา อิสลาม นี่เป็นคำตอบของแมทท์ที่อ้างว่าเรื่องละหมาด 5 เวลา มีอยู่จริงทั้งๆที่ตอบมาแบบนี้ ด้วยเหตุนี้ จากความหมายทางภาษา  ในอายะนี้  กล่าวถึงการละหมาด 3 ครั้ง  หรือมากกว่า  และรวม กับ การ ละหมาด ระหว่างกลาง  และคำว่าระหว่างกลาง 1 ครั้ง เป็น จำนวน เลขคี่ ที่อยู่ระหว่างกลาง ของจำนวนเลขคู่ ที่มากกว่า 3 นั้นก็คือ 4 สรุปกันแบบหน้าๆ ด้านๆว่า มากกว่า 3 คือ 4 ทั้งที่เพิ่งบอกเองว่า “อัสซอละวาติ”  ซึ่งอยู่ในกรณีที่ 3,  หมายถึงการ ละหมาด ในจำนวน     สาม ครั้ง หรือมากกว่า  ไม่ได้หมายถึง  สองครั้ง สรุปว่ามันคือ 4 ทำไมไม่ 6 หรือ 8? ตอบมามั่วๆ แบบนี้ ตอบมาแบบหาหลักฐานอ้างอิงไม่ได้ อย่างนี้ แต่แมทท์ ก็ยังกล้าพูดอย่างหน้าด้านไร้ยางอายว่า ละหมาด 5 เวลา กำหนดได้จากกุรอ่าน คือ ละหมาด 5 เวลา ได้บอกเวลาไว้ใน กุรอ่านครับ แต่เราไม่สามารถรู้ได้ว่า คือเวลาไหน และ มากกว่า 5 หรือน้อยกว่า 5 หรือ 5 เป๊ะๆ ถ้าไม่มีฮะดีษ ยิ่งเรื่อง ซูเราะห์ อัลหากเกาะฮฺ อายะ 40-47  แมทท์ยิ่งสรุปอย่างมั่วนิ่มเลยครับ เพราะว่า โองการเหล่านี้ไม่มีตรงไหนบอกเลยครับว่าฮะดีษไม่ถูกต้อง เพราะไม่มีใครบอกว่า ฮะดีษคือ อัล กุรอาน เทียบเท่า อัล กุรอาน และฮะดีษก็ไม่ใช่ บทกวี ของนักกวีด้วย และก็ไม่ใช่คำพยากรณ์ ของนักพยากรณ์ แต่เป็นบันทึกคำพูดและการกระทำของท่านนบีไว้ ไม่ใช่การบันทึกจากนักพยากรณ์แต่อย่างใด และก็ไม่ปรากฎว่า ท่านนบี นั้นถูกอัลลอฮฺลงโทษ และมีการหยุดประทาน อัล กุรอานให้ท่านแต่อย่างใด ดังนั้น คำพูดของท่านนบี เชื่อถือได้ 100% ครับ กลับกัน การอ้างบรรพบุรุษต่างหากที่สมควรได้รับการประณามเพราะมันเป็นการกระทำตามแบบพวกคนสมัยป่าเถื่อน สมัยญาฮีลียะห์ ซึ่งเป็นการกระทำของพวก มุชริกเดิม และตอนนี้ก็ยังมีบางคนครับ ที่มันไม่เอาฮะดีษมันก็ใช้กุรอ่านอย่างเดียว ปฏิบัติศาสนากิจไม่ได้อยู่ดี มันต้องอาศัยสิ่งอื่น แล้วมันอาศัยอะไร มันอาศัย บรรพบุรุษครับเหมือนพวกญาฮีลียะห์ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษเป็นใครมาจากไหน สืบสายไปถึง 10 รุ่นหรือเปล่าก็ไม่รู้ อย่าว่าแต่ไปถึง นบีเลย และไม่มีตรงไหนของ อัล กุรอาน ให้อ้างเรื่องศาสนา จากบรรพบุรุษ เหล่านี้แสดงให้เราเห็นถึงอะไร? แสดงให้เห็นถึงความ ลักลั่น ความไม่เข้าท่า ความไม่สมประกอบ ของคนที่ไม่เอาฮะดีษ จะอ้าง อัล กุรอานอย่างเดียวก็ไปไม่รอด จะอ้างบรรพบุรุษ ก็ไม่น่าเชื่อถือ ดังนั้นที่เขาทำได้ คืออะไร? คือการแถ การหนี การเลี่ยงประเด็นไงล่ะครับ ไม่งั้น มุสลิมไม่ตามถามแมทท์ ถึง 5 ปี หรอก ถ้าแมทท์ตอบได้ ตอบไปตั้งนานแล้ว นี่แหละครับ การกระทำแบบนี้แหละครับ ที่น่าอับอาย บอกว่าจะเอา อัล กุรอาน อย่างเดียวก็ไปไม่รอด จะบอกว่าเอาบรรพบุรุษด้วย มันก็ชิริกหนักเข้าไปอีก เพราะกุรอาน ไม่เคยสอนให้เอาบรรพบุรุษมาทำตาม สรุปแล้ว แถยังไงก็ไม่รอดครับ แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 52 11:00:15 จากคุณ : Carroth - [ วันมาฆบูชา 10:59:42 ]

ความคิดเห็นที่ 42 แมทท์มีความพยายามอย่างมากนะครับ ที่จะอ้างว่าการจูบหินดำคือการชิริก ซึ่งการชิริกคืออะไร ท่านอิมามอันซะนูซีย์กล่าวว่า ชิริกมี 6 ประเภท 1. ภาคีแยกเป็นเอกเทศน์ เช่นยืนยันว่ามีพระเจ้าสององค์อย่างเอกเทศน์ เหมือนกับชิริกของพวกมะญูซีบูชาไฟ 2. ภาคีแบบแบ่งส่วน คือพระเจ้าองค์หนึ่งเป็นภาคส่วนของพระเจ้าขององค์หนึ่ง เช่นการชิริกของพวกนะซอรอ 3. ภาคีแบบสร้างความใกล้ชิด คือการอิบาดะฮ์สิ่งอื่นเพื่อสร้างความใกล้ชิดต่ออัลเลาะฮ์ ตะอาลา เช่นการชิริกของพวกญาฮิลียะฮ์ยุคแรก 4. ภาคีเลียนแบบ คืออิบาดะฮ์สิ่งอื่นจากอัลเลาะฮ์โดยตามผู้อื่นอีกที เช่นการชิริกของพวกญาฮิลียะฮ์รุ่นหลัง(ก่อนอิสลาม) 5. ภาคีจากมูลเหตุ คือการพาดพิงผลการกระทำที่เกิดขึ้นให้กับมูลเหตุแห่งกฏธรรมดา เช่นการชิริกของพวกปรัชญา พวกธรรมชาตินิยม และผู้เจริญรอยตามพวกเขา 6. ภาคีด้วยเป้าหมายต่าง ๆ คือกระทำอะมัลเพื่อคนอื่นจากอัลลอฮ์ ตะอาลา เหล่านี้ ไม่มีตรงไหนบอกว่า การจูบหินดำนั้น เป็นการทำชิริก เพราะการ 1. การจูบหินดำ ไม่ใช่การถือว่าหินดำเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮฺ 2. การจูบหินดำ ไม่ใช่การถือว่าหินดำเป็นพระเจ้าหนึ่งซึ่งแบ่งภาคส่วนมาจากอัลลอฮฺ 3. การจูบหินดำ ไม่ใช่การทำอิบาดะห์ หรือทำความเคารพภักดี กราบไหว้หินดำ เพื่อการใกล้ชิดอัลลอฮฺ แต่เป็นการแสดงความรัก ต่อสิ่งที่อัลลอฮฺประทานให้ เหมือนกับการจูบของรักซึ่งคนที่เรารักและเทิดทูนมอบมาให้เรา ไม่ใช่การกราบไหว้ ของสิ่งนั้น 4. การจูบหินดำ ไม่ใช่การทำอิบาดะห์ หรือทำความเคารพภักดี กราบไหว้หินดำ โดยเลียนแบบผู้อื่น หรือศาสนิกอื่นแต่อย่างใด 5. การจูบหินดำ ไม่ใช่การพาดพิงผลการกระทำที่เกิดขึ้นให้กับมูลเหตุแห่งกฏธรรมดา เช่นการชิริกของพวกปรัชญา พวกธรรมชาตินิยม และผู้เจริญรอยตามพวกเขา 6. การจูบหินดำ ไม่ใช่การภาคีด้วยเป้าหมายต่าง ๆ คือกระทำอะมัลเพื่อคนอื่นจากอัลลอฮ์ ตะอาลา เราจะพบว่า การจูบหินดำ ไม่ได้เข้าข่ายการชิริกแม้แต่น้อย แต่แมทท์ก็พยายามบอกว่าทำชิริกเพื่ออะไร ก็เพื่อที่จะลดความน่าเชื่อถือของฮะดีษไงล่ะครับ มันเป็นการแสดงความไม่เข้าใจของแมทท์ ในสิ่งที่ตนเองโพสต์แต่อย่างใด มันเป็นแค่การไปก๊อบเอามาจากเว็บไซต์โจมตีอิสลามเท่านั้น ซึ่งถ้าการจูบหินดำคือชิริก การที่ผมจูบลูกผม เพราะลูกผมคือของขวัญล้ำค่าจากอัลลอฮฺที่ประทานให้ก็ชิริกสิครับ? และถามหน่อย การไม่จูบหินดำบาปหรือไม่ครับ? ดังนั้นผู้ที่ควรถูกโยนทิ้งหรือเผาไฟไป ก็คงเป็นแมทท์นั่นแหละครับ นอกจากจะแถเรื่องละหมาด ไม่ยอมตอบให้ตรงประเด็นแล้ว ยังจะมั่วเรื่องชิริกอีก แสดงความไม่รู้เรื่องอะไรเลย ได้แต่ก๊อบข้อมูลจากเว็บโจมตีอิสลามมา เพื่อเอาตัวรอดก็เท่านั้น สุดท้าย แมทท์ก็ตอบเรื่องละหมาดไม่ได้อยู่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นการประจานแมทท์แล้วว่า แมทท์ไม่สามารถเป็นมุสลิมได้ และไม่สามารถตอบคำถามในเรื่องพื้นฐานของอิสลามได้ ถ้าไม่เอาฮะดีษ แมทท์เลยต้องเลี่ยงประเด็นต่อไปเพราะไม่มีปัญญาตอบนั่นเอง จากคุณ : Carroth - [ วันมาฆบูชา 11:12:37 ]

ความคิดเห็นที่ 43 การทำรูปปั้นมาแล้วจูบรูปปั้นกับการจูบหินดำมันคนละเรื่องกันครับ เพราะหินดำนั้น เป็นสิ่งที่อัลลอฮฺให้ลงมาเองไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นเพื่อการบูชาแต่อย่างใด แค่เจตนาการเริ่มต้นก็ต่างกันแล้ว การทำรูปปั้นขึ้นมานั้น เจตนาก็เพื่อเป็นสื่อ กลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าซึ่ง อัลกุรอานห้ามไว้ชัดเจนอยู่แล้ว ตั้งแต่การสร้าง และบรรดารูปเคารพต่างๆ ที่เป็นตัวแทนหรือสื่อกลางระหว่างพระเจ้า ได้ถูกทำลายไปแล้วในสมัยท่านรอซู้ลและเหล่าซอฮาบะห์ แต่หินดำยังอยู่ แสดงว่า หินดำนั้นไม่ใช่สิ่งที่ถือว่าเป็น บรรดารูปเคารพ หรือเจว็ดที่มีไว้เป็นสื่อกลางถึงอัลลอฮฺแต่อย่างใด ดังนั้นไม่ใช่การจูบหินดำหรอกครับ ที่เป็นความโสมม แต่มันเป็นจิตใจที่สามานย์และกลับกลอกของแมทท์ต่างหากที่มันโสมม มันเป็นความโสมม ที่แปดเปื้อนกระดานสนทนาพันทิพมาเนิ่นนานแล้ว และมุสลิมกำลังทำการชำระมันอยู่ ถึงแม้มันจะเน่าเหม็นปานใดก็ตาม จากคุณ : Carroth - [ วันมาฆบูชา 11:18:26 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ด้วยเหตุผลและด้วยหลักฐานต่างๆ แล้ว สิ่งที่ถูกต้อง นอกจากมุสลิมจะไม่ทำลายฮะดีษ, ยกเลิกฮะดีษแล้ว หรือยอมรับว่าฮะดีษเชื่อถือไม่ได้แล้วล่ะก็ มุสลิมยังต้องปกป้องและรักษาฮะดีษเอาไว้ เพื่อป้องกันการมั่วนิ่ม และการบิดเบือนอิสลาม จากคนหน้าด้านอย่างแมทท์ด้วย นั่นเป็นการปกป้องเกียรติของอิสลาม และเกียรติของท่านนบี เพราะคนแบบแมทท์นี่แหละครับ ที่พยายามใส่ร้าย นบี และอิสลามอยู่เสมออย่างไม่ลดละ แต่การจะบิดเบือนอิสลามนั้นเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ สำหรับคนนอกศาสนา เพราะอิสลามไร้ซึ่งช่องโหว่ใดๆ ดังนั้น แมทท์จำต้องพยายามสร้างช่องโหว่จากภายใน นั่นคือ พยายาม ทำตัวเป็นมุสลิมและพยายามให้มุสลิมเลิก ใช้ฮะดีษหรือ แบบอย่างของท่านนบีซะ เริ่มด้วยการใส่ร้ายท่านนบีว่า นับถือดวงดาวมาก่อน แล้วประยุกต์หลักการอิสลาม จนถึงบอกว่า กุรอ่านมีการปลอมแปลง แต่มันไม่เนียนครับ เนื่องจากกุรอ่านเหมือนกันทุกเล่ม ไม่มีการปลอมแปลงแต่อย่างใดและอัลลอฮฺสัญญาว่าจะปกป้องกุรอ่านด้วยพระองค์เอง แมทท์ก็ต้องเปลี่ยนวิธี ใหม่เป็นการ โจมตีที่ฮะดีษ แทน อันนี้หลักฐานนะครับ พัฒนาการในการโจมตีอิสลามของแมทท์ที่มันไม่เข้าท่า แล้วต้องเปลี่ยนแนว จากคุณ : Carroth - [ วันมาฆบูชา 11:28:04 ]

ความคิดเห็นที่ 45 นี่อีก จากคุณ : Carroth - [ วันมาฆบูชา 11:29:10 ]

ความคิดเห็นที่ 46 แมทท์จึงต้องเปลี่ยนแนวมาโจมตีฮะดีษแทนแต่สุดท้ายแมทท์ก็ต้องสิ้นท่า เพราะแมทท์ไม่สามารถตอบคำถามเรื่องละหมาดได้เลย เลยต้องอ้างเรื่องจูบหินดำบ้าง เรื่องเมียะรอจบ้าง ทั้งๆที่ ถ้าแมทท์มีความรู้จริง สามารถหาหลักฐานจากกุรอ่านได้จริง แมทท์ ก็เอามาตอบนานแล้วล่ะครับ ผมและมุสลิมไม่ได้ ห่วงเรื่อง เวลาละหมาดเท่าไหร่หรอกครับ เพราะมันเป็นเรื่องเริ่มต้น ถ้าแมทท์ตอบมาอย่างถูกต้องได้ ผมจะได้ไปต่อเรื่อง จำนวนรอกะอัตในละหมาดซะที ไปเรื่องการอ่านฟาติฮะซะที ไปเรื่อง จำนวนการกราบ แต่ละครั้ง ในแต่ละรอกาอัตซะที มันยังมีรออีกเยอะครับ ไม่ใช่แค่เวลาละหมาด แต่ยังไปไหนไม่ได้เพราะแมทท์ยังคงแถ ยังคงเบี่ยงประเด็นไปเรื่อยๆ แบบนี้ อย่าพูดว่าคนตอบเบื่อเลย คนถามก็เบื่อเหมือนกัน แทนที่จะไปเรื่องที่รอคิวอยู่ ก็ติดอยู่เรื่องนี้ เพราะแมทท์ ตอบได้ห่วยมาก เหมือนไม่ได้ตอบ หลักการ เหตุผล หลักฐาน ไม่มี สักอย่าง มั่วตั้งแต่ต้นจนจบ ทำไมล่ะครับ ก็แค่ตอบว่า ละหมาด 5 เวลา มาจากโองการไหนบ้าง ให้มันเคลียร์ๆ เนี่ยมันยากนักหรือไง ตั้งกระทู้มาเอง แต่ดันไม่ตอบเรื่องที่ตัวเองตั้ง พาไปเรื่องจูบหินดำอีกแล้ว แมทท์ เป็นอะไรมากหรือเปล่า? ผมแค่อยากรู้ว่า ละหมาด ซุบฮฺ ดุฮริ อัศริ มัฆริบ อิชา อยู่ตรงไหนบ้าง แล้วรู้ได้อย่างไรว่ามันไม่ใช่ อิบการ์ อะชี ฎุฮา ตะฮัญุด หรืออิมซาก หรือ เวลา อิชรอก รีบๆ ตอบมาครับอย่าลีลา ถามมา 5 ปี เรื่องเดียว ตอบไม่ได้ เจาะจงมาแค่ เวลาละหมาด ถามกันข้ามปี ก็ยังตอบไม่ได้ อีกนี่มันอะไรกัน มุสลิมภาษาอะไรแค่เรื่องละหมาดยังตอบไม่ได้ ยังจะมาหน้าด้านบอกว่าตัวเองเป็นมุสลิมอีก ถ้าจะเอาจริงๆนะ แค่คำพูดที่ว่า กุรอานมีการปลอมแปลง คุณมันก็กาเฟรฺแล้วล่ะครับ คำพูดคุณมันประจานตัวเองอยู่แล้วว่าเป็นมุนาฟิก ที่กลับกลอกตลบแตลง มุสลิมให้โอกาสถามเรื่องละหมาด แมทท์ก็ไม่ยอมตอบ ยังประจานความเป็น มุนาฟิก ของตัวเองอยู่เรื่อยไป คงหมดทางเยียวยาแล้วกระมัง จากคุณ : Carroth - [ วันมาฆบูชา 11:40:48 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ครับผมพูดเสมอ และมุสลิมพูดเสมอมา 5 ปี ว่าคุณทั้งหนี ทั้งแถ ทั้งเลี่ยงประเด็น แล้วก็หน้าด้านอีกด้วยอันนี้ผมพูดเอง ก็เพราะคุณไม่สามารถ บอกได้ว่า ละหมาด 5 เวลานั้น มีตรงไหนในกุรอ่าน แน่นอนครับ เวลาต่างๆ ผมอ้างจากุรอ่านครับ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เราจะหาได้ละหมาด 5 เวลา แบบที่มุสลิมปฏิบัติกันในตลอด 1400 ปี ที่ผ่านมา จริงๆ แล้วผมและมุสลิมบอกตลอดว่ามุสลิมใช้กุรอ่านเป็นหลัก แต่ใช้ฮะดีษมาอธิบาย ครับว่า กุรอ่านหมายความว่าอย่างไรกันแน่ เพราะถ้าจะหาจริงๆ เราหา ละหมาดได้ 7-9-............ เวลา ดังนั้น ถ้าจะรู้ว่าละหมาด มี 5 เวลาแบบที่เรารู้จักกันมาตลอด 1400 ปี เนี่ย ต้องใช้ฮะดีษ ครับ ผมถึงถามไงครับว่า คุณละหมาด 5 เวลายังไง โดยไม่อาศัยฮะดีษ รู้ได้ไงว่า ไม่ใช่ 6 7 8 9 10 11 เวลา? ก็ถ้าคิดว่าผมอ้างไม่ได้ว่า "ถ้าไม่อาศัยฮะดีษแล้วมุสลิมจะละหมาดไม่เป็น" คุณก็บอกมาสิครับ ว่าละหมาด มีแค่ 5 เวลา ไม่ใช่ 6 7 8 9 10 โดยอาศัยกุรอ่าน คุณก็ยืนยันไม่ได้ เลย นอกจากอาศัยฮะดีษเท่านั้น มาจำกัดว่า 5 เวลา และถ้าละหมาด กันสะเปะ สะปะ 6มั่ง 7 มั่ง 8 มั่ง 9 มั่ว จะเรียกว่าละหมาดเป็นได้อย่างไร เพราะคนละหมาดเป็น เขาละหมาด 5 เวลากันหมด ตลอดเวลา 1400 ปี ถ้าละหมาด 7 มั่ง 9 มั่ง เค้าเรียกว่ามั่วครับ ไม่ใช่ละหมาด เป็น จากที่สนทนามา แมทท์ก็ตอบไม่ได้อยู่ดีว่า ละหมาด มี 5 เวลา โดยอาศัยแค่กุรอ่าน อย่างเดียว แล้วจะบอกได้อย่างไรว่า คำอธิบาย เรื่องละหมาด 5 เวลา มีอยู่ในกุรอ่าน มา 1400 ปี โดยไม่ใช้ฮะดีษ หรือแบบอย่างของท่านนบี ถ้าบอกว่าไม่จำเป็นต้องอาศัยฮะดีษ แมทท์แค่ยืนยันมาว่า กุรอ่านโองการไหนบอกว่าละหมาด มี 5 เวลา ไม่ใช่ 7 หรือ 9 หรือ 11 แค่นี้เอง แต่แมทท์ไม่เคยหาได้ แต่ดันมาบอกว่า ไม่ต้องใช้ฮะดีษ เหอะๆ น่าสมเพชจริงๆ แมทท์บอกว่า รูปภาพที่เห็นในกระทู้นี้เป็นรูปภาพที่เกิดจาก การเชื่อในเรื่องราวจากอะฮาดีษ ถึงแม้จะมีผู้ออกมาอธิบายให้ผมเห็นว่า มุสลิมได้ ทำการ "ฟัตวา"  ว่าการเขียนรูปต่างๆเหล่านี้ เป็น "ชิริก"  แต่ ภาพเหล่านี้ ยัง ปรากฏในเวบ มุสลิมต่างๆ และ ยังป็นสิ่งประดับฝาบ้าน ของ มุสลิมในที่ต่างๆทั่วโลก ไม่มีมุสลิมผู้ใด ต่อต้านประท้วง แม้แต่น้อย  แม้แต่ตัวคุรเองก้กล่าวว่า.. "เพราะฉะนั้นเรื่องการละหมาด 5 เวลา จากการ มิรอจ นั้น เป็นเรื่องปกติและเป็นเรื่องที่มุสลิมต้องให้ความใส่ใจด้วย" รูปภาพเหล่านั้น ไม่ต้องออกมาประท้วงครับเพราะมุสลิมจัดการกันเองอยู่แล้วไม่ใช่มีคนดื้อแพ่งมาบอกว่ามันไม่ผิดเหมือนกับ บรรดา พวกที่ลบหลู่อิสลาม และมีการฟัตวาแล้วว่ามันเป็นชิริกครับ ไม่มีการตีพิมพ์เผยแพร่ว่ามันเป็นหลักการอิสลาม และผมเอง ก็บอกว่ามุสลิมต้องให้ความใส่ใจกับเหตุการณ์เมียะรอจครับ ไม่ใช่ ให้มุสลิม บอกว่า รูปบุร็อกนั้นถูกต้อง เพราะการวาดรูปนั้นไม่ใช่วาดรูปอะไรมันเกี่ยวกับเมียะรอจเท่านั้นที่ผิด การวาดรูปนบี โดยไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์เมียะรอจก็ผิดอยู่ดีครับ อย่ามั่วครับแมทท์ การวาดรูปนบี ผิดอยู่แล้วครับ และมันไม่จำเป็นต้องเกิดการวาดจากเหตุการณ์เมียะรอจด้วย และการที่ท่านรอซู้ลพบกับอัลลอฮฺนั้นชิริกตรงไหนครับ เข้าข่ายชิริกอย่างไรครับ ในเมื่อการเข้าพบอัลลอฮฺนั้นไม่ใช่ความสามารถของผู้ใดนอกจาก เป็นการอนุญาต และคำสั่งของอัลลอฮฺเท่านั้น ถ้าเช่นนั้น การที่ นบีมูซา พูดกับอัลลอฮฺได้นั้น ไม่ยิ่งเป็นการชิริกเข้าไปอีกหรือครับ? แค่หลักการชิริกคุณยังไม่รู้แต่มาบอกว่าเป็นมุสลิม มุสลิมอย่างไรครับ ความเป็นมุสลิมของคุณมันอยู่ตรงไหน อย่าแต่เป็นมุสลิมเลย เป็นกาเฟรฺเฉยๆ ก็ยาก เพราะคุณมันเป็นมุนาฟิกครับ แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 52 16:51:53 จากคุณ : Carroth - [ วันมาฆบูชา 12:02:17 ]

ความคิดเห็นที่ 48 มุสลิมรอคำตอบเรื่องละหมาด 5 เวลา ในกุรอ่านอยู่นะครับ ว่า ละหมาด ซุบฮฺ ดุฮริ อัศริ มัฆริบ อิชา อยู่ตรงไหนบ้าง แล้วรู้ได้อย่างไรว่ามันไม่ใช่ เวลา อิบการ์ อะชี ฎุฮา ตะฮัญุด หรืออิมซาก หรือ เวลา อิชรอก หรือไม่รวมเป็นสิบๆ เวลา จะตอบได้หรือยังครับ จากคุณ : Carroth - [ วันมาฆบูชา 12:03:33 ]