ความคิดเห็นที่ 1 ตอบ 1. จากคุณ : ทวนทอง - [ 12 ก.พ. 52 04:25:59 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ตอบ 2. จากคุณ : ทวนทอง - [ 12 ก.พ. 52 04:26:47 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ตอบ 3. จากคุณ : ทวนทอง - [ 12 ก.พ. 52 04:27:53 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ตอบ 4. จากคุณ : ทวนทอง - [ 12 ก.พ. 52 04:28:52 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ตอบ 5. จากคุณ : ทวนทอง - [ 12 ก.พ. 52 04:29:54 ]

ความคิดเห็นที่ 6 วิปัสสนาจารย์วิชชาธรรมกาย  ทุก ๆ สาย  เข้ามาแลกเปลี่ยนความเห็นในกระทู้นี้ได้เลยนะครับ เพราะอยากรู้เหมือนกันว่า วิชชาธรรมกาย สายไหนเป็นของแท้ดั้งเดิมกันแน่ ในเวบไซต์นั้น  ก็ยังยืนยันว่า วิชชาธรรมกายเป็นวิชชาของพระพุทธเจ้า ที่ศูนย์หายไปเมื่อราว 500 ปีหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ลองเข้าไปศึกษากันดู http://forum.wisdominside.org/index.php?topic=528.0 จากคุณ : ทวนทอง - [ 12 ก.พ. 52 05:57:50 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ถ้างั้น  ลูกศิษย์สายอาจารย์การุณย์  ได้โปรดเดินวิชชา 18 กาย เพื่อ "ปราบมาร" ที่ ดร.มนัสกล่าวตอบปัญหาข้อ 1 ดั่งใน คห.#1 ปราบมารในคราบอลัชชีให้แล้วเสร็จก่อน  จึงค่อยตามต้นธาตุต้ธรรมไปปราบมาร/พญมารภายหลัง "มาร"  ที่มีสภาพกายเนื้อเป็นมนุษย์นั้น   น่าปราบได้ง่ายกว่า มาร/พญามารที่วิชชาธรรมกายกล่าวถึงอยู่เป็นประจำ จากคุณ : ทวนทอง - [ 12 ก.พ. 52 07:22:56 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ผมคือนักข่าวคนหนึ่ง เป็น บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ “พิมพ์ไทย” ที่เข้าข้าง ทำมะโกย มาโดยตลอด            วันนี้ผมต้องขอสารภาพบาปกับชาวพุทธทุกท่านว่า สิ่งที่ผมทำลงไปเกี่ยวกับเรื่อง ทำมะโกย นั้น เป็นเพราะผมเคยบวชที่ วัดเขาพระ จ.เพชรบุรี หลวงพ่อวัดเขาพระเป็นอาจารย์ของผม ท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ            ในฐานะที่ผมเป็นลูกศิษย์ เคยศึกษา วิชชาธรรมกายมาก่อน และปฏิบัติได้ถึง ดวงปฐมมรรค ผมก็ไม่ต้องการให้ใครมาด่าครูบาอาจารย์ของผม โดยที่ผมไม่เคยแยกแยะว่า คำสอนของครูผม คือ หลวงพ่อวัดเขาพระ จ.เพชรบุรี แตกต่างจาก ลัทธิทำมาโกย มากมายหลายเท่านัก เรื่องนี้ทำให้ผมออกมาปกป้อง ทำมาโกยอย่างเต็มรูปแบบ เพราะคิดว่าเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน            แต่ทว่า หลวงพ่อวัดเขาพระท่านสอนในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ไม่ได้สอนแบบพวก ทำมาโกย เลยแม้แต่น้อย            ท่านบอกกับผมเองว่า วิชชาธรรมกาย เป็น “แว่นส่องทางพระนิพพาน” ไม่ใช่ว่าคนสำเร็จวิชชาธรรมกายแล้ว จะบรรลุอรหัตผล            เปรียบเหมือนเราขึ้นภูเขาทอง (สมัยก่อน) เราย่อมเห็นกรุงเทพฯทั้งหมด เห็นหนทางทั้งหมด ถ้าเราจะเดินไป ณ จุดหนึ่ง เราก็ต้องเดินทางไปด้วยตัวเราเอง ซึ่งก็ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก กว่าจะถึง            หลวงพ่อวัดเขาพระท่านยังบอกอีกว่า สำหรับ อรหัตผลของท่าน คงต้องตัดสินกันตอนตาย    ความ หมายของท่านก็คือ ท่านจะบำเพ็ญต่อไปในชาติหน้า ด้วยการสร้างบารมีต่อไปแบบไม่มีสิ้นสุด  หรือว่าตัดกิเลสด้วย “วิปัสสนาญาน” ในชาตินี้ ท่านกำลังชั่งใจอยู่ (ตรงนี้ผมตีความเอง)    ทั้งหมดที่ผมเล่ามานี้เป็นความสัตย์จริงทุกประการ…..    ครับ… ผมขอสารภาพผิด ในสิ่งที่ทำลงไป เพราะบาปที่ผมทำในระยะที่ผ่านมานั้น มันคงทำให้ผมลงสู่นรกอเวจี เพราะผมปกป้อง อลัชชี ซึ่ง หลวงพ่อวัดเขาพระก็บอกกับผมเองว่า ทำมะชะโย เป็น “มาร” ทำลายแม้กระทั้งหลวงพ่อวัดปากน้ำ ซึ่งผมมารู้ทีหลัง อันนี้หลวงพ่อวัดเขาพระท่านบอกผมทีหลังครับ เพราะทนที่ผมขยั้นขยอถามหลายครั้งหลายหนไม่ไหว    คือผมถามว่า ลัทธิธรรมโกย เป็นอย่างไร เพราะผมรู้สึกแปลกๆ มาโดยตลอด ผมถามบ่อยครั้ง จนหลวงพ่อทนไม่ไหว จึงเอ่ยปากสั้นๆ ว่า “มาร” แค่นั้นจริงๆ    ในตอนที่ผม ลุยถล่มทางข้อคิดข้อเขียนกับ พระธรรมปิฎก คุณเสถียรพงษ์ วรรณปก หลวงพ่อพยอม และคนอื่นๆ อีกหลายท่าน ในตอนนั้น ผมคิดว่า ท่านเหล่านี้ โจมตีวิชชาที่ผมเล่าเรียนมา โดยไม่ได้คิดว่าเรากำลังปกป้องลัทธิ ทำมาโกย คือสู้กันยิบตา สู้กันทุกรูปแบบ เพื่อให้วิชชาของหลวงพ่อวัดปากน้ำคงอยู่ตลอดไป เพราะผมเห็นประโยชน์จากวิชชานี้จริงๆ ถ้าใช้เป็น    แต่แล้วผมก็ผิดถนัด เพราะ ทำมาโกย เอาวิชชาของหลวงพ่อไปดัดแปลงหากิน ทำมะชะโย เอาวิชชาของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ไปหลอกต้มชาวบ้านจนพุทธศาสนา แทบจะกลายเป็นศาสนา “ขอทาน” ตรงนี้ผมมารู้ภายหลัง    มีอีกหลายเรื่องที่ผม อยากสารภาพ คือ ตอนนั้น ลัทธิทำมะโกย โดนโจมตีจากสื่อมวลชนอย่างหนัก ลูกศิษย์ลัทธินี้ เห็นผมเข้าข้างก็พยายามมาดึงเป็นพวก แล้วก็มี ดร.เบญจ์ บาระกุล เขียนบทความมาลงใน พิมพ์ไทย ผมก็อนุมัติให้ลง ต่อมาก็เขียนเป็นเล่ม ใส่ความพระสงฆ์ผู้ประเสริฐหลายรูปหลายองค์ ซึ่งรวมถึงพระธรรมปิฎกด้วย    มีการบิดเบือนว่า พวกนอกศาสนา ต้องการล้มลัทธิทำมาโกย เพราะต้องการล้มพุทธศาสนา ซึ่งไม่มีเค้ามูลแห่งความเป็นจริง ซึ่งผมก็เล่นบทผู้ปกป้องพระศาสนาแบบเต็มๆ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวไปด้วย    ผม ได้แนะนำไปยังลัทธิ ทำมาโกย ว่า คุณชอบเหยียดหยามคนอื่น พวกคุณมีแต่เจี๊ยะไม่มีจ่าย ถ้าคุณอยากได้พวก คุณก็จะต้องจ่ายบ้างเพื่อซื้อใจคน    สุดท้ายก็เกิด กองบุญคุ้มครองโลก โดยมี นายผ่อง เป็นประธานกองบุญ แล้วเอาเงินนี้ไปบริจาคให้พระเณรเพื่อเป็นทุนการศึกษา    พวก คุณเชื่อหรือไม่ว่า คำที่ผมแนะนำกลับกลายเป็นผลร้ายต่อพระพุทธศาสนาขึ้นมาอีก เพราะ ทำมาโกย เขาใช้วิธีของผม ซื้อพระเข้าไปร่วมกิจกรรมของวัด แล้วก็ถ่ายรูปโปสเตอร์ว่ามีพระเข้ามาร่วมงานกับทางลัทธิ เป็นแสนรูป ทำให้ดูมีเพาเวอร์ เอาไว้ข่มชาวพุทธอื่นๆ อีก    สิ่งเหล่านี้เป็นบาปของผม ที่ก่อขึ้นกับมือโดยที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์โดยแท้ ผมคงต้อง “ขอขมา” กับชาวพุทธทั้งหลายว่า สิ่งที่ผมได้ทำลงไปนั้น ถือเป็นการกระทำผิดต่อพุทธศาสนาโดยรวม ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพียงเพราะต้องการปกป้องครูบาอาจารย์ของตนเท่านั้นเอง    สุดท้ายผมก็ตกเป็นเครื่องมือของ ทำมาโกย และต้องมานั่งทุกข์ใจอยู่ทุกวันนี้    สิ่ง ที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น ถ้าใครกล่าวหาว่าผมบิดเบือน ผมขอสาปแช่งให้มันผู้นั้นจงมืดบอด อย่าได้พบพระพุทธศาสนาไปตลอดกาล    ขอขมาโทษต่อพุทธศาสนิกชนทุกท่านครับ           จากคุณ : เทวัญ จงกลรอด [ 26 ต.ค. 2544 / 23:59:13 น. ] http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/003607.htm จากคุณ : Natty_TT - [ 12 ก.พ. 52 09:53:23 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เก็บข้อมูลไว้สำรองแล้ว............. จากคุณ : บุษกรจันทร์ - [ 12 ก.พ. 52 10:03:37 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้าเวบมาสเตอร์ Wisdom Inside ได้เข้ามาอ่าน รบกวนเอาคำตอบของ ดร.มนัส  โกมลทา กลับคืนสู่เวบบอร์ดอย่างเดิมเถอะครับ การที่ลบคำตอบของ ดร.มนัสฯ  ออก  เสมือนว่า ท่านเวบมาสเตอร์ฯ ไม่ยอมรับการเดินวิชชา 18 กายของ ดร.มนัส ฯ หรือคุณเวบมาสเตอร์ WI เดินวิชชา 18 กายได้  แต่ ดร.มนัสฯ เดินวิชชา 18 กายไม่ได้ ? อะไรคือจริง  อะไรคืเท็จ ? หรือว่า วิชชาธรรมกายยังไม่เที่ยงแท้  แต่ละคนเดินวิชชา  จึงได้รับรู้ไม่เหมือนกัน ธรรมกายสายวัดปากน้ำอย่างนึง  ธรรมกายสายดำเนินสะดวกอย่างนึง  ธรรมกายสายอาจารย์การุณย์อย่างนึง  ธรรมกายสายคลองสามก็อีกอย่างนึง  โดยเฉพาะธรรมกายสายคลองสามน่าจะห่างไกลจากสายอื่น ๆ การที่ผมถามที่นี่   เพราะที่เวบบอร์ด Pantip มีสมาชิกที่เป็นชาวธรรมกายจำนวนมาก  โดยเฉพาะวิปัสสนาจารย์นามว่า สมถะ  ก็เป็นธรรมกายสายอาจารย์การุณย์ฯ เหมือนกัน  คงนำคำถามผมไปบอกกล่าวได้  ผมไม่สามารถตั้งคำถามที่เวบบอร์ดโน้นได้  เพราะผมไม่ได้เป็นสมาชิกครับ  จึงถามที่นี่แทน จากคุณ : ทวนทอง - [ 12 ก.พ. 52 10:30:04 ]

ความคิดเห็นที่ 11 สอนมั้ง จิ   18 กาย อ่ะ อยากทำด้ายยยอ่ะ จากคุณ : cattym - [ 12 ก.พ. 52 10:53:26 ]

ความคิดเห็นที่ 12 วิชานี้คล้าย 18 ฝ่ามือสยบมังกรหรือเปล่าอ่ะ? จากคุณ : Colour by Numbers - [ 12 ก.พ. 52 14:07:34 ]

ความคิดเห็นที่ 13 จิ้มไปที่ คห.12 นั่นมันมังกรหยกแล้ว 55 จากคุณ : ณัฐกร - [ 12 ก.พ. 52 15:57:36 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เยี่ยมมากครับ จากคุณ : zakai - [ 12 ก.พ. 52 17:09:54 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อีกมุมมอง..จากท่านหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ในขณะที่นักปฏิบัติมากำหนดบริกรรมภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่ง บางท่านอาจจะเกิดมีนิมิตมองเห็นพระพุทธเจ้าเข้ามา เช่นอย่างในสำนักวัดปากน้ำ ซึ่งเขาสอนกัน สอนให้บริกรรมว่า สัมมาอรหัง แล้วก็ให้น้อมจิตนึกอาราธนาเอาพระพุทธเจ้าให้เสด็จเข้ามาหาเรา เมื่อจิตสงบเคลิ้มๆ ลงไปเป็นอุปจารสมาธิ ด้วยความแน่วแน่ของจิต จะปรากฏนิมิตเห็นว่าพระพุทธเจ้าเสด็จดำเนินมา ส่วนอาจารย์ ผู้ให้การอบรมก็จะคอบซักถามอยู่เสมอว่า เห็นพระพุทธเจ้าแล้วหรือยัง พระพุทธเจ้าเสด็จมาแล้วหรือยัง ถ้าหากพระพุทธเจ้าเสด็จมาแล้ว อาจารย์จะบอกให้อาราธนาพระพุทธเจ้าขึ้นเหยียบบนบ่าเบื้องขวา แล้วลูกศิษย์ก็จะทำการอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ขึ้นเหยียบบนบ่าเบื้องขวา เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นเหยียบบนบ่าเบื้องขวา นักปฏิบัตินั้นจำทำท่าเอียงลงไปข้างขวา เพราะหนักพระพุทธเจ้า แล้วอาจารย์จะบอกให้อาราธนาพระพุทธเจ้าเหยียบบ่าเบื้องซ้าย แล้วการของผู้นั้นจะตั้งตรง และก็ทำท่าหนักๆ พระพุทธเจ้า ต่อจากนั้นเขาจะให้อาราธนาเอาพระพุทธเจ้าเข้าไปไว้ที่ในดวงใจ แล้วก็ให้เด่งพระพุทธเจ้าจนกระทั่งใสเป็นแก้ว ใสจนไม่มีอะไรจะเปรียบเทียบ เพ่งพระพุทธรูปที่มองเห็นด้วยนิมิตนั้นให้เห็นกลายเป็นแก้วดวงที่ใสสะอาด เพ่งจนเกิดเป็นอุคคหนิมิตติดตา ในเมื่อทำแก้วให้ใสสะอาดจนไม่มีที่จะเปรียบเทียบแล้วเขาก็ถือว่าสำเร็จ ธรรมกาย ในเมื่อต้องการอยากรู้ อยากจะเห็นอะไร ก็ใช้ธรรมกายนั้นส่งไป แล้วก็เกิดนิมิตให้รู้ให้เห็น อาการทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาทั้งนั้น แต่ถ้าหากว่าผู้ที่มีปัญญา สามารถที่จะน้อมเอามาพิจารณาเป็นอารมณ์พระกรรมฐานได้ ก็ย่อมเกิดประโยชน์ได้เหมือนกัน อันนี้ขึ้นอยู่กับความฉลาดของนักปฏิบัติแต่ละท่าน จากคุณ : zakai - [ 12 ก.พ. 52 17:12:56 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ  นานๆจะเข้ามาสักที...ผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นเห็นเรา...เป็นธรรมะที่วิเศษสุดในใจของเราแล้ว จากคุณ : rattikorn - [ 12 ก.พ. 52 18:48:04 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ทำไมไม่มีพวก แถกแถ เถียง ปากดี เข้ามาชี้แจงหน่อยประไร!??! หึ!!!!! รอฟังอยู่ด้วยใจจดจ่อ! กล้าๆหน่อย จะได้รุ่ง จากคุณ : บุษกรจันทร์ - [ 12 ก.พ. 52 20:43:37 ]

ความคิดเห็นที่ 19 มาอธิบายความเพิ่มเติม ใน คห.#3 ของกระทู้นี้เป็น Reply #2 จากเวบลิงค์ WI ซึ่งตอบโดยคุณ Jeshda เป็นคำตอบที่ต่อจาก Reply #1 ที่ตอบโดย ดร.มนัส โกมลทา ใน คห.#4 ก็ยังคงเป็น Reply #2 ส่วนที่สองต่อจากส่วนแรกที่อยู่ใน คห.#3   ใน คห.#5 เป็น Reply #3 ตอบโดยคุณ Jeshda ที่เข้ามาเพิ่มเติมเรื่องสุขภาพของอาจารย์การุณย์ และมีการพูดคุยถึงทักทายถึงอาการของอาจารย์การุณย์ที่ ดร.มนัส กล่าวถึงใน Reply #1 ข้อ 8 ในกระทู้นี้ อยู่ใน คห.#2 ครับ ใน คห.#6 เป็น Reply #4 ตอบโดย ดร.มนัส  โกมลทา เดิมก่อนที่ความเห็นจะถูกลบไป  มีทั้งหมด 4 Reply แต่ปัจจุบัน เวบไซต์นั้นได้ลบ Reply #1 และ Reply #4 ที่ตอบโดย ดร.มนัส โกมลทาออกไปรวม 2 คำตอบ  คงเหลือคำตอบของคุณ Jeshda  2 คำตอบ  ที่ยังมีร่องรอยการทักทายกับ ดร.มนัส  โกมลทาหลงค้างอยู่ด้วย  เป็นการยืนยันว่า  ได้มีการลบคำตอบของ ดร.มนัส ออกไปจริง ๆ เวบไซต์นั้น  ไม่ได้รับการพัฒนาระบบการโพสต์ข้อความในเวบบอร์ด  จึงไม่มีการบันทึกว่า ได้มีการแก้ไขความเห็นในกระทู้นั้น ๆ อย่างไรบ้าง   สู้ของ Pantip เราไม่ได้  จะบันทึกทุกครั้งที่เข้าไปแก้ไขความเห็นต่าง ๆ เหล่านั้น จากคุณ : ทวนทอง - [ 12 ก.พ. 52 23:08:56 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ยาว จัง แหะ จากคุณ : sky-911 - [ 13 ก.พ. 52 00:47:52 ]

ความคิดเห็นที่ 21 วิชาบ้าบอแหกตา   สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เองและทรงเผยแพร่ธรรมแห่งการดับทุกข์ไว้แล้ว คือ อริยสัจ 4  พวกบ้ามาคิดวิชานู่นวิชานี่  ท่านมีดีอย่างไรเหรอครับถึงคิดวิชาใหม่ขึ้นมา จากคุณ : shimabukuro - [ 13 ก.พ. 52 15:26:48 ]

ความคิดเห็นที่ 22 วิชชาอะไรกัน ผมว่าสติปัฏฐาน 4 ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงให้ไว้นี่ล่ะครับที่เราสมควรจะมาปฏิบัติกันมากกว่า จากคุณ : Skalidis - [ 13 ก.พ. 52 18:39:14 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อย่ายึดติดกับคำว่าวิชชากันมากเลยครับ ถ้าเรายังไม่ได้เรียนรู้ทั้งหมดอย่างครบถ้วน เราก็ยังไม่รู้หรอกว่าอะไรที่มีจริง อะไรที่ไม่มีจริง สิ่งที่เราไม่เคยได้ยิน อาจจะมีจริง ๆ ก็ได้ จากคุณ : Nobody I am - [ 13 ก.พ. 52 22:29:56 ]

ความคิดเห็นที่ 24 มีจริงแล้วไง ถ้ามันเป็นวิชาที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นใบไม้นอกกำมือ รู้ไปก็เท่านั้น  ไม่สามารถทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้  ถ้าอยากสอนก็แยกศาสนาไป อย่าอ้างว่าเป็นศาสนาพุทธ จากคุณ : autumn whispers - [ 14 ก.พ. 52 08:57:13 ]

ความคิดเห็นที่ 25 บางคนก็ชอบการเป็นลูกนอกคอก งั้นก็ออกจากครอบครัวไปเลย เสียชื่อวงศ์ตระกูล.... เปรียบเทียบนะ!!!!! แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 52 15:19:46 จากคุณ : บุษกรจันทร์ - [ 14 ก.พ. 52 09:53:04 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เมื่อฮิตเล่อร์ ครองใจชาวเยอรมัน สามารถนำชาวเยอรมันไปสู่ความพินาศได้ เมื่อ"เจ๊ดาว"แห่งลำพูนครองใจคน ทำให้รุ่งเรืองจนขึ้นชั้นเจ้าอาวาส สามารถชวนเด็กหนุ่มๆมาต้มถั่วถึงในวัดได้ เมื่ออลัชชีครองใจคน ย่อมทำความเสียหายให้ศาสนาในวงกว้าง อนิจจา.. จากคุณ : zakai - [ 14 ก.พ. 52 17:12:54 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เอ่อ......อืม์......นี่...มันอวกาศ....เดี๋ยวต้องไปเปิดตาราว่าด้วยอวกาศก่อน...สักวันเราจะเป็นนักอวกาศไปสำรวจอวกาศให้ใด้(กลัวโดนนาซ่าหลอก)...ขี้เกียจจินตนาการ กลัวไปจริงแล้วไม่เหมือนที่จินตนาการ...ฝึก  ฝึกๆๆๆๆๆๆๆ เรียนๆๆๆๆๆๆ  อยากเหยีบอวกาศจัง  ........................  ในที่นี้ใครเป็นนักบิอวกาศบ้างครับ.............. จากคุณ : ยุทธกิจART - [ 15 ก.พ. 52 13:14:06 ]

ความคิดเห็นที่ 28 อะนูปะวาโท อะนูปะฆาโต จากคุณ : กบในกะลาแตก - [ 15 ก.พ. 52 14:56:19 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เอาอีกแล้วคุณทวนทอง การที่จ้องแต่จะทำให้คนอื่นเสียหาย แสดงว่าจิตใจของผู้นั้น..... คิดแต่จะสร้างความแตกแยกให้คนอื่น เรื่องจริงเป็นยังไงก็ไม่รู้ ก็ว่ากันไป คนเราจะถ้าเป็นคนดีจริง วัน ๆ คงไม่มานั่งหาข้อมูลเพื่อโจมตีอีกฝ่าย คุณเองก็อายุมากแล้ว  ควรที่มานั่งทบทวนตัวเองได้แล้ว กลับสิ่งที่ทำลงไป เพราะคนเราตายไปก็เอาไปได้แค่บุญกับบาป เรื่องกฏแห่งกรรมมีจริง เมื่อคุณทำร้ายคนอื่น โดยที่เขาไม่ได้ต่อสู้อะไร สักวันผลแห่งกรรมนั้นคุณก็จะโดนอย่างนี้บ้าง ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดวิบากกรรมกันเมื่อไหร่ ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น... ไม่มีใครจะหยุดคุณได้ นอกจากหยุดตัวคุณเอง ไม่มีใครจะรักคุณได้มากที่สุด เท่ากัยตัวคุณเอง และไม่มีใครจะทำร้ายคุณได้มากที่สุด เท่ากับตัวคุณเอง จากคุณ : คิดบวก (ทางสายกลาง) (paw_tankun) - [ 15 ก.พ. 52 16:53:29 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ผมเห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้นะครับ ภิกษุควรปฏิบัติตนให้น่าเลื่อมใส เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่ใช่มีเงินเป็นล้านๆจากการหลอกลวงชาวบ้าน โคตรอาบัติครับ ภิกษุมีเงินบาทเดียวก็อาบัติแล้วครับ คุณไปทำบุญแต่ได้บาป งมงาย ไม่ได้อยู่ในทางสายกลาง ไม่ได้เป็นไปเพื่อการดับทุกข์ มัวแต่ไปยึดลัทธิเถื่อน เป็นลัทธิที่ไม่ประกอบด้วยอริยมรรคมีองค์ 8 อย่างชัดเจนและไม่มีทางมีอริยสงฆ์อยู่ในลัทธินี้ จากคุณ : shimabukuro - [ 15 ก.พ. 52 19:27:11 ]

ความคิดเห็นที่ 31 พวกสมุนอลัชชี ไม่ต้องมาตอบอะไรที่มันมีเนื้อหาอยู่แค่ ระวังนะ ตายไปรู้เอง ด่าพระ ด่าวัด ให้ร้ายคนอื่น ระวังนะ บาป ตกนรก บลาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ทีอลัชชีทำเรื่องทุเรศๆก็ส่งเสริมกันเข้าไป นะจ๊ะ...นะจ๊ะ ทำตัวสบายๆ ผ่อนคลายๆๆๆ โดนสะกดจิตล้างสมองกันหมด เวรจริง......... แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 52 17:22:55 จากคุณ : บุษกรจันทร์ - [ 16 ก.พ. 52 14:42:33 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เมื่อครั้งพระพุทธองค์เริ่มประกาศพระศาสนาใหม่ ๆ มีสิกขาบท/พระวินัยบัญญัติหรือไม่     หากแต่เมื่อมีพระสังฆสาวกมากขึ้น ๆ ความหลากหลายแห่งพระสังฆสาวกย่อมมากขึ้นเป็นธรรมดา เป็นความหลากหลายจากผู้มาจากหลากหลายตระกูล เป็นความหลากหลายจากผู้มาจากหลากหลายชนชั้นวรรณะ เป็นความหลากหลายจากผู้มาจากหลากหลายในการอบรมสั่งสอนดูแลจากบุพการี และความหลากหลายอีกหลาย ๆ ประการ จึงเป็นที่มาแห่งการเรียนรู้และเข้าใจในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ที่แตกต่างกัน  จึงประพฤติปฏิบัติที่แตกต่างกัน พุทธศาสนิก/พุทธบริษัทสี่ ต่างก็เห็นความประพฤติที่แตกต่าง แล้วพิจารณาเห็นว่า สอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับพระธรรมของพระพุทธองค์ จากนั้นจึงทูลบอกเล่าเรื่องราวของพระสังฆสาวกต่าง ๆ แก่พระพุทธองค์ พระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติพระวินัยไว้มากถึง 227 ข้อ หากพุทธศาสนิก/เหล่าพุทธบริษัทสี่ทั้งหลายต่างพากันเพิกเฉยนิ่งดูดาย   ไฉนจะเกิดพระวินัยบัญญัติมากถึง 227 ข้อ ทั้ ง  2 2 7   ข้ อ     ล้ ว น แ ต่ เ ป็ น ก ร ณี ที่ เ ป็ น ตำ ห นิ ติ เ ตี ย น พ ร ะ สั ง ฆ ส า ว ก ทั้ ง นั้ น แล้วธัมมชโย เป็นเพียงอลัชชีที่เก้อ-ยากปลอมบวชเป็นพระ   ทำไม พุทธศาสนิกชนอย่างผม และพุทธบริษัทสี่ ทั้งหลายจึงจะตำหนิติเตียนบ้างไม่ได้   ทั้งคุณกบใต้จานบิน  และคุณคิดอกุศล (ทางสายกลวง) (paw_tankun)  ได้โปรดคิดทบทวนดูใหม่ พระวินัยบัญญัติก็มีระบุไว้ชัดเจนแล้ว   เรื่องคดีทางโลก  แม้จะยุติไปแล้ว แต่พระวินัยบัญญัติข้อปาราชิกนั้น  ขาดแล้วขาดเลย   ขาดจากการเป็นพระทันทีที่ล่วงละเมิด  ไม่มีข้อยกเว้น จากคุณ : ทวนทอง - [ 16 ก.พ. 52 18:53:56 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ฉะนั้น พวกเรา เหล่าพุทธบุตร  พุทธศาสนิกชน พุทธบริษัทสี่ ทั้งหลาย จงร่วมกันโจทก์ท้วงคนผิด จงร่วมกันตำหนิคนชั่ว คนผิด คนชั่ว เป็นอลัชชี  นามว่า ไชยบูลย์  ที่ปลอมบวชเป็นพระนามว่า ธัมมชโย ดั่งเช่น พระสารีบุตร อัครสาวก ผู้โจทก์ท้วงคนผิดและตำหนิคนชั่ว ดั่งเช่น พุทธบริษัทสี่เมื่อครั้งพุทธกาล ที่เป็นผู้โจทก์ท้วงคนผิดและตำหนิคนชั่ว จนกระทั่งเกิดพระวินัยบัญญัติ 227 ข้อสำหรับพระภิกษุสงฆ์ อย่านิ่งเฉย กับคนผู้เก้อ-ยาก ผู้นี้กันนะครับ Y5850177 พระสารีบุตร อัครสาวก ผู้โจทก์ท้วงคนผิด และตำหนิคนชั่ว http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2007/09/Y5850177/Y5850177.html จากคุณ : ทวนทอง - [ 16 ก.พ. 52 18:57:25 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เข้ามาแล จากคุณ : นักฆ่าดาบเดียว - [ 16 ก.พ. 52 20:40:59 ]

ความคิดเห็นที่ 35 โมทนาด้วยค่ะ คุณทวนทอง... จากคุณ : รักครูไม่ใหญ่ (au1000do) - [ 18 ก.พ. 52 03:47:42 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เห็นด้วยเรื่องวัดดังกล่าว พวกผมก็นับถือหลวงพ่อสด ถึงแม้จะไม่ได้ทำแบบของท่านแต่พวกเราชื่นชมผู้ปฏิบัติดีทุกคน ทั้งพระทั้งฆารวาส พระของขวัญของหลวงพ่อทุกรุ่น ผู้สัมผัสได้ขออนุญาตสัมผัสเมื่อใดก็สุขใจในพลังบารมีต่างๆที่มีอยู่ แต่วัตถุมงคลของอีกวัดนั้นไม่ว่าขนาดเล็กขนาดใหญ่ สัมผัสแล้วเฉยๆครับ ไม่ต้องพูดถึงบารมีของพระพุทธเจ้าองค์ต่างๆละครับ แค่ของหลวงพ่อสดก็ไม่มีแล้วครับ ขนาดหลวงพ่อสดยังไม่รับรองแผ่บารมีให้เลย แสดงว่าแนวทางที่ทำกันอยู่ต้องไม่เรียบร้อยแน่เลย ผู้มีปัญญาย่อมพิจารณาได้ ถ้ามีแต่ความเชื่อและศรัทธาแต่ขาดปัญญา โดนมารหลอกง่ายๆ คนเรามีกรรม กรรมก็พาไป แต่ว่าไปเจอกุศลหรืออกุศลล่ะครับก็คิดกันเอา คนมีปัญญาหลอกยาก คนด้อยปัญญาหลอกง่าย ก็ต้องเลือกกันเอาครับว่าท่านอยากเป็นแบบไหน อย่าเพิ่งคิดว่าอาจารย์เราสุดยอดแล้ว จะเป็นกุศลหรือเป็นมาร  ลองออกไปคุยแลกเปลี่ยนกับฝั่งของวัดปากน้ำบ้าง ของอ.การุณย์บ้าง ฯลฯ แล้วกลับมาพิจารณาตัวเอง การปฏิบัติของตัวเอง ใช้ปัญญาพิจารณา   ผมคนนอกสายไม่อยากพูดมาก พูดได้แค่ว่าอธิษฐานเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์แผ่บารมีให้วัตถุมงคลยังทำไม่ได้แล้วจะไปหวังทำอะไรที่มากกว่านั้นกันครับ (เป็นความเชื่อส่วนตัวโปรดพิจารณาในการอ่าน) จากคุณ : กรุงเก่าคนเดิม - [ 18 ก.พ. 52 16:59:12 ]

ความคิดเห็นที่ 38 จากคุณ : Natty_TT - [ 20 ก.พ. 52 22:43:34 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ห้อง ศาสนา และ ราชดำเนิน กรณีศึกษาของชนรุ่นหลัง จากคุณ : lucifer777 - [ 21 ก.พ. 52 10:18:18 ]

ความคิดเห็นที่ 40 มารเข้าสิงกายพรหม ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น มารใจบาป เข้าสิงกายพรหมปาริสัชชะผู้หนึ่ง แล้วกล่าวกับเราว่า ‘ท่านผู้นิรทุกข์ ถ้าท่านรู้อย่างนี้ ตรัสรู้อย่างนี้ ก็อย่าแนะนำ อย่าแสดงธรรม อย่าทำความยินดีกับพวกสาวกและพวกบรรพชิตเลย ภิกษุ ได้มีสมณพราหมณ์พวกก่อนท่านผู้ปฏิญญาว่า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลก สมณพราหมณ์เหล่านั้นแนะนำ แสดงธรรม ทำความยินดีกับพวกสาวกและพวกบรรพชิต หลังจากตายแล้ว ก็ไปเกิดในพวกที่เลว สมณพราหมณ์พวกก่อนท่านผู้ปฏิญญาว่า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลก สมณพราหมณ์เหล่านั้นไม่แนะนำ ไม่แสดงธรรม ไม่ทำความยินดีกับพวกสาวกและพวกบรรพชิต หลังจากตายแล้ว ก็ไปเกิดในพวกที่ดี เพราะฉะนั้น เราจึงกล่าวกับท่านว่า ‘ท่านผู้นิรทุกข์ ขอท่านอย่ากังวลไปเลย จงหมั่นประกอบธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบันอยู่เถิด เพราะการไม่พูดเป็นความดี ท่านอย่าสั่งสอนสัตว์อื่นๆ เลย’ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อมารกล่าวอย่างนี้แล้ว เราจึงกล่าวว่า ‘มาร เรารู้จักท่าน ท่านอย่าเข้าใจว่า ‘พระสมณะไม่รู้จักเรา’ ท่านเป็นมาร ท่านหามีความอนุเคราะห์ด้วยจิตเกื้อกูลไม่ จึงกล่าวกับเราอย่างนี้ ท่านไม่มีความอนุเคราะห์ด้วยจิตเกื้อกูลจึงกล่าวกับเราอย่างนี้ ท่านมีความดำริว่า ‘พระสมณโคดม จักแสดงธรรมแก่ชนเหล่าใด ชนเหล่านั้นจักล่วงวิสัยของเราไป’ สมณพราหมณ์เหล่านั้น (ที่มารว่าหลังจากตายแล้วไปเกิดในพวกที่เลว) มิได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิญญาว่า ‘เราทั้งหลาย เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า’ เราเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ย่อมปฏิญญาว่า ‘เราเป็นสัมมาสัมพุทธะ’ มาร ตถาคตแม้เมื่อแสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลาย ก็เป็นเช่นนั้น แม้เมื่อไม่แสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลาย ก็เป็นเช่นนั้น ตถาคตแม้เมื่อแนะนำสาวก ก็เป็นเช่นนั้น แม้เมื่อไม่ได้แนะนำสาวก ก็เป็นเช่นนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะตถาคตละอาสวะอันทำให้เศร้าหมอง ให้เกิดในภพใหม่ มีความกระวนกระวาย มีวิบากเป็นทุกข์ ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไปได้แล้ว ตัดรากถอนโคน เหมือนต้นตาลที่ถูกตัดรากถอนโคนไปแล้ว เหลือแต่พื้นที่ ทำให้ไม่มี เกิดขึ้นต่อไปไม่ได้ ต้นตาลที่ถูกตัดยอดแล้วไม่อาจงอกขึ้นอีกได้ แม้ฉันใด ตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน ละอาสวะทั้งหลายอันทำให้เศร้าหมอง ให้เกิดในภพใหม่ มีความกระวนกระวาย มีวิบากเป็นทุกข์ ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไปได้แล้ว ตัดรากถอนโคน เหมือนต้นตาลที่ถูกตัดรากถอนโคนไปแล้ว เหลือแต่พื้นที่ ทำให้ไม่มี เกิดขึ้นต่อไปไม่ได้” เวยยากรณภาษิตนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยมารมิได้เรียกร้อง และโดยที่พรหมเชื้อเชิญ ดังนี้ เพราะเหตุนั้น เวยยากรณภาษิตนี้ จึงมีชื่อว่า พรหมนิมันตนิกสูตร ดังนี้แล พรหมนิมันตนิกสูตรที่ ๙ จบ ------------- จากคุณ : อิทธิบาทสี่ - [ 22 ก.พ. 52 14:09:45 ]

ความคิดเห็นที่ 41 อถ โข ภิกฺขเว มาโร ปาปิมา อฺตร พฺรหฺมปาริสชฺช อนฺวาวิสิตฺวา แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น มารใจบาปเข้าสิงกายพรหมปาริสัชชะผู้หนึ่ง ถึงตรงนี้ต้องขออภัยที่จริงพรหมนั้นเป็น ‘พรหมปาริสัชชะ’ คือเป็นบริวารของมหาพรหมนั่นละครับ แต่แม้แค่บริวารพรหมก็ยังเหนือกว่า เทพชั้นฉกามาพจรอยู่ดี แล้วทีนี้ เทวบุตรมารซึ่งอยู่ในชั้น ฉกามาพจร จะเข้าสิงพรหมได้อย่างไร ตรงนี้ผมคิดว่า มารที่สิงพรหมนี้ คงไม่ใช่เทวบุตรมารธรรมดาละครับ ส่วนตัวผมแล้วคิดว่า ไม่เป็น ‘กิเลสมาร’ ก็น่าจะเป็น ‘พญามาร’ มาเองละครับ จากคุณ : อิทธิบาทสี่ - [ 22 ก.พ. 52 14:13:08 ]

ความคิดเห็นที่ 42 เรื่องมารสิงพระพรหม ที่ได้กล่าวไว้ว่าจะนำมาเล่าให้ฟัง พระสูตรนี้มีชื่อเต็มว่า ‘พรหมนิมันตสิกสูตร’ (ว่าด้วยการเชื้อเชิญของพรหม) ครับ อ้างอิงจากพระไตรปิฎก(มจร.แปล) เล่มที่ 12 ข้อที่ 501-505 หน้าที่ 537-545 ครับ ศึกษาแล้ว ใครมีความเห็นอย่างไร ลองเล่าให้ฟังบ้างนะครับ จากคุณ : อิทธิบาทสี่ - [ 22 ก.พ. 52 14:14:50 ]

ความคิดเห็นที่ 43 รูปงาน Vstar   ขอให้  ทุกท่าน  มีศรัทธา  ไม่มีท้อ   นะครับ จากคุณ : kraho - [ 23 ก.พ. 52 12:14:44 ]

ความคิดเห็นที่ 44 มีพระสงฆ์  มาร่วมงาน กันมากเลย  สาธุ จากคุณ : kraho - [ 23 ก.พ. 52 12:17:55 ]

ความคิดเห็นที่ 45 หลวงพ่อธัมมฯ  กตัญญู  ต่อหลวงพ่อสด  เป็นที่หนึ่งเลย แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 52 02:11:49 จากคุณ : kraho - [ 23 ก.พ. 52 12:20:14 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เอาหลวงพ่อเป็นต้นแบบ  กันนะครับ ทำความดี และ กตัญญู   ทาน  ศีล  ภาวนา   ท่านทำครบและยิ่งยวด เรื่องราวภายนอก  กับ  ความดี  ที่ท่านสร้าง ดูจากรูป  ของจริง  กันเลยครับ จากคุณ : kraho - [ 23 ก.พ. 52 12:24:03 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ดูงานทำบุญ  กันนะครับ  เราไปกันหรือ  ยังเอ่ย จากคุณ : kraho - [ 23 ก.พ. 52 12:39:10 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ความเกลียด  การทำความดี     ควรแล้วหรือ การยึดมั่นตนเองเป็นอัตตา   ควรแล้วหรือ การให้ร้ายกัน และ  ไม่เคยให้อภัย  กัน   ควรแล้วหรือ เราควร  ทำใจให้ผ่องใส   และ สั่งสม บุญ  ความดี โดย  ไม่ประมาท   บัณฑิต  ใคร่ ควรพิจารณา  และ ตั้งมั่นใน ตถาคตโพธิสัทธา จากคุณ : kraho - [ 23 ก.พ. 52 12:45:06 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ยกเรื่องมหาโจร ทั้ง ๕ ในพระไตรปิฎกให้ไปพิจารณา ด้วยความปรารถนาดี แด่ผู้ที่ติดภาพลักษณ์หรือในตัวตนบุคคล เกินไปจากพระธรรมวินัย                                        มหาโจร ๕ จำพวก          [๒๓๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหาโจร ๕ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก มหาโจร ๕ จำพวกเป็นไฉน               ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหาโจรบางคนในโลกนี้ ย่อมปรารถนาอย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอเราจักเป็นผู้อันบุรุษร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว ท่องเที่ยวไปในคามนิคมและราชธานีเบียดเบียนเอง ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ตัดเอง ให้ผู้อื่นตัด เผาผลาญเอง ให้ผู้อื่นเผาผลาญสมัยต่อมา เขาเป็นผู้อันบุรุษร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่ง แวดล้อมแล้วเที่ยวไปในคามนิคมและ ราชธานี เบียดเบียนเอง ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ตัดเอง ให้ผู้อื่นตัด เผาผลาญเอง ให้ผู้อื่นเผาผลาญฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแลย่อมปรารถนาอย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอ เราจึงจักเป็นผู้อันภิกษุร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้วเที่ยวจาริกไปในคามนิคมและราชธานี อันคฤหัสถ์และบรรชิต สักการะ เคารพ นับถือ บูชายำเกรง ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย เภสัชบริขาร สมัยต่อมา เธอเป็นผู้อันภิกษุร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว เที่ยวจาริกไปในคามนิคมและราชธานี อันคฤหัสถ์และบรรพชิตสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรงแล้ว ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขารทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๑ มีปรากฏอยู่ในโลก               ๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ เล่าเรียนธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว ย่อมยกตนขึ้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๒ มีปรากฏอยู่ในโลก               ๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ย่อมตามกำจัดเพื่อนพรหมจารี ผู้หมดจด ผู้ประพฤติพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์อยู่ด้วยธรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์อันหามูลมิได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๓ มีปรากฏอยู่ในโลก                ๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ย่อมสงเคราะห์เกลี้ยกล่อมคฤหัสถ์ทั้งหลาย ด้วยครุภัณฑ์ ครุบริขาร ของสงฆ์ คือ อาราม พื้นที่อารามวิหาร พื้นที่วิหาร เตียง ตั่ง ฟูก หมอน หม้อโลหะ อ่างโลหะ กะถางโลหะ กะทะโลหะมีด ขวาน ผึ่ง จอบ สว่าน เถาวัลย์ ไม้ไผ่ หญ้ามุงกะต่าย หญ้าปล้อง หญ้าสามัญ ดินเหนียว เครื่องไม้ เครื่องดิน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๔ มีปรากฏอยู่ในโลก                 ๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริงนี้จัดเป็นยอดมหาโจร ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะภิกษุนั้น ฉันก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น ด้วยอาการแห่งคนขโมย.                                     นิคมคาถา                ภิกษุใด ประกาศตนอันมีอยู่โดยการอื่น ด้วยอาการอย่างอื่น โภชนะนั้นอันภิกษุนั้น ฉันแล้ว ด้วยอาการแห่งคนขโมย ดุจพรานนกลวงจับนก ฉะนั้นภิกษุผู้เลวทรามเป็นอันมาก มีผ้ากาสาวะพันคอ มีธรรมทราม ไม่สำรวมแล้วภิกษุผู้เลวทรามเหล่านั้น ย่อมเข้าถึงซึ่งนรก เพราะกรรมทั้งหลายที่เลวทราม ภิกษุผู้ทุศีล ผู้ไม่สำรวมแล้วบริโภคก้อนเหล็กแดงดังเปลวไฟ ประเสริฐกว่า การฉันก้อนข้าวของชาวรัฐ จะประเสริฐอะไร. จากคุณ : P_vicha - [ 23 ก.พ. 52 17:06:56 ]

ความคิดเห็นที่ 50 เราควร   รักสามัคคี  กัน และกัน ถวายแด่  พระสัมมาสัมพุทธเจ้า   และ  ในหลวง ของเรา เรื่องนี้  ควรปฏิบัติ  จริงจัง จากคุณ : kraho - [ 23 ก.พ. 52 17:24:38 ]

ความคิดเห็นที่ 51 จากคุณ : Natty_TT - [ 23 ก.พ. 52 21:39:58 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ขอให้วัด  สู้ สู้  ต่อไป  นะคะ จากคุณ : mailmeja - [ 24 ก.พ. 52 00:56:36 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ถ้าตั้งเป็นศาสนา ธรรมกาย เมื่อไร คงไม่มีใครเข้าไปยุ่งหรอกครับ จากคุณ : Hualon - [ 24 ก.พ. 52 13:33:46 ]

ความคิดเห็นที่ 55 เรื่องของศีลมีผู้ที่ไม่เข้าใจ ยังไม่รู้มากนัก จึงมีแต่หลงเชื่อ ในตัวตนบุคคลเสียมากกว่า หาได้ตั้งมั่นอยู่ในพระธรรมวินัยกันเลย  นี้และกรรมของสัตว์ทั้งหลายทั้งผู้นำแลผู้ตาม ...  ต่อไปผมจะยกจุลศีล ที่มีในพระไตรปิฎก เล่มที่ 9 ในส่วนของพระวินัยให้ดู ดังนี้ ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 9.                                    จุลศีล         ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล?              ๑. ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะวางศาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ข้อนี้เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.              ๒. เธอละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.              ๓. เธอละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกลเว้นขาดจากเมถุนอันเป็นกิจของชาวบ้าน แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.              ๔. เธอละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์มีถ้อยคำเป็นหลักฐานควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.              ๕. เธอละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้วไม่ไปบอกข้างโน้นเพื่อให้คนหมู่นี้แตกร้าวกัน หรือฟังจากข้างโน้นแล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อให้คนหมู่โน้นแตกร้าวกัน สมานคนที่แตกร้าวกันแล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง ชอบคนผู้พร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคนผู้พร้อมเพรียงกัน กล่าวแต่คำที่ทำให้คน พร้อมเพรียงกัน แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.               ๖. เธอละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบกล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ เพราะหู ชวนให้รักจับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่ พอใจ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.               ๗. เธอละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำที่เป็นจริงพูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐาน มีที่อ้าง มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.               ๘. เธอเว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม.               ๙. เธอฉันหนเดียว เว้นการฉันในราตรี งดจากการฉันในเวลาวิกาล.               ๑๐. เธอเว้นขาดจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการเล่น อันเป็นข้าศึกแก่กุศล.               ๑๑. เธอเว้นขาดจากการทัดทรงประดับ และตบแต่งร่างกาย ด้วยดอกไม้ของหอมและเครื่องประเทืองผิว อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว.               ๑๒. เธอเว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่.               ๑๓. เธอเว้นขาดจากการรับทองและเงิน.               ๑๔. เธอเว้นขาดจากการรับธัญญาหารดิบ.               ๑๕. เธอเว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ.               ๑๖. เธอเว้นขาดจากการรับสตรีและกุมารี.               ๑๗. เธอเว้นขาดจากการรับทาสีและทาส.               ๑๘. เธอเว้นขาดจากการรับแพะและแกะ.               ๑๙. เธอเว้นขาดจากการรับไก่และสุกร.               ๒๐. เธอเว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา.               ๒๑. เธอเว้นขาดจากการรับไร่นาและที่ดิน.               ๒๒. เธอเว้นขาดจากการประกอบทูตกรรมและการรับใช้.               ๒๓. เธอเว้นขาดจากการซื้อการขาย.               ๒๔. เธอเว้นขาดจากการโกงด้วยตราชั่ง การโกงด้วยของปลอม และการโกงด้วยเครื่องตวงวัด.               ๒๕. เธอเว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวง และการตลบตะแลง.               ๒๖. เธอเว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจองจำ การตีชิงการปล้น และกรรโชกแม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.                           จบจุลศีล. ในที่นี้ผมขอเน้นให้เห็นเพียง 2 ข้อ  ก็น่าจะเข้าใจในธรรมวินัยกันได้แล้ว และควรเลิกเข้าใจผิดในธรรมวินัยกันได้แล้วเพราะความหลง ความเข้าใจผิด ความเชื่อ หรือความยึดติดในตัวตนบุคคล คือ. *********************               ๒๑. เธอเว้นขาดจากการรับไร่นาและที่ดิน.               ๒๕. เธอเว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวง และการตลบตะแลง. *********************   ดังนั้นเมื่อมีผู้ที่ศรัทธา ถวายเงินทองหรือไร่นาและที่ดิน กับพระภิกษุ พระภิกษุนั้นควรทำอย่างไร?     ความจริงแล้วเมื่อมีผู้ศรัทธาถวายไร่นาและที่ดิน ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของสงฆ์ตามธรรมวินัย ซึ่งพระภิกษุนั้นต้องสละให้ตกเป็นของสงฆ์ในทันที แต่ถ้าเป็นทรัพย์อย่างอื่นพระวินัยนั้นยังให้โอกาสให้เวลาในการสละให้แก่สงฆ์ ตามลำดับ. จากคุณ : P_vicha - [ 24 ก.พ. 52 14:39:41 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ทาน ศีล ภาวนา กตัญญู ก็เห็นดีด้วยอยู่ครับ ก็ขอให้พยายามทำกันให้ได้จริงๆด้วย กาย วาจา ใจ นะครับ แต่อย่าลืมนะ ทำแล้วให้เกิดปัญญา นำพาให้หลุดพ้น ที่ติงเพราะว่าร้อยทั้งร้อยถ้าทำวัตถุมงคลจัดพิธีอธิษฐานจิตขอบารมีพระท่านทำให้ แล้วยังไม่มีพุทธคุณนี่แสดงว่า ๑. เชิญไม่ถึง ถ้าคนเชิญคุยว่าติดต่อบารมีของหลวงพ่อสดได้หรือพระพุทธเจ้าได้ แสดงว่าที่เขาคุยด้วยไม่ใช่หลวงพ่อสด ไม่ใช่พระพุทธเจ้า (แต่เขาเข้าใจเอาเองว่าใช่ น่าสงสาร) ๒. วัตถุประสงค์ที่ทำนั้นข้างบนท่านไม่เห็นด้วย เช่นอาจจะมีอย่างอื่นแอบแฝงที่คนทั่วไปไม่รู้ แต่ข้างบนท่านรู้ ๓. วิธีดำเนินงานต่างๆ ที่คณะนั้นๆทำอยู่ ไม่ได้เป็นไปในแนวทางกุศลบริสุทธิ์เพื่อความหลุดพ้น ข้างบนท่านก็เลยไม่อำนวยการให้ ๔. ไม่ได้รับการอนุญาตอย่างถูกต้องจากเบื้องบน ๕. ไม่ต้องขออนุญาตใคร ฉันทำเอง ปลุกเอง บังเอิญไม่มีบารมีจะปลุกเสกเองได้ อันนี้ขั้นต่ำสุดแล้วคือเอาบารมีตัวเอง แต่จริงๆไม่ได้เรื่องหรอก สู้ข้างบนท่านมาทำให้ไม่ได้ ท่านทำเป็ปเดียว ๒ นาที ๓ นาที โอ๊ยมากมายกว่าพวกที่ทำพิธีใหญ่โต มีพระมานั่งปรก  ๘ ชั่งโมง ๙ ชั่วโมงอีกนะครับ ๖. วัตถุที่มาทำ สกปรก ไม่บริสุทธิ์ (จริงๆของทางไสย์ดำเขาก็มีพลังของเขานะ ถ้าเขาทำได้) ถ้าที่กล่าวมายังทำไม่ได้เลย ก็น่าสงสัยว่าการอำนวยการกองการกุศลที่มีญาติธรรมนำมาถวายนี่จะเป็นตัวเชื่อมให้สิ่งศักสิทธิ์นำไป สงเคราะห์เหตุตามเจตนาของผู้ถวายได้มากน้อยแค่ไหน จะเป็นโมฆะหรือไม่อย่างไร เอจะต่างจากหลวงตามี หลวงตามาทั่วไปที่เป็นสมมุติสงฆ์หรือไม่น่าคิด ถ้าไปเจอหลวงตามี หลวงตามาที่ศีลท่านบริสุทธิ์เป็นสงฆ์จริงๆไม่ใช่สมมุติสงฆ์นี่เอจะได้บุญมากกว่าไหมนะ อืม อืม น่าคิด อืม บารมีฝ่ายกุศลก็ทำให้เห็นได้ ช่วยเหลือการติดขัดทางโลกทางธรรมได้ที่ไม่เกินกุศลที่พึงจะช่วยได้ เกิดปัญญา เกิดมรรค เกิดผลได้ ช่วยแนะนำจนปฏิบัติหลุดพ้นได้ อืมบารมีฝ่ายมารก็ทำให้เห็นได้ ช่วยเหลือการติดขัดทางโลกได้ แก้การติดขัดทางธรรมไม่ได้ มีแต่งมงาย ไม่เกิดปัญญา ไม่ได้มรรค เรื่องหลุดพ้นลืมไปเลย เพราะหน้าที่มารคือเป็นอุปสรรค ให้ไปได้ช้าๆ ให้หลงผิด ทำแล้วดุเหมือนก้าวหน้า ด้วยความเข้าใจผิด พญามารฆ่าไม่ได้เพราะเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แต่ถ้ามีสติ ปัญญา เข้าใจเหตุและผล มารก็ทำไมเราไม่ได้ จิตพัฒนา มรรคก็มา ผลก็มา ผ่านระดับไปก็ไปเจอมารที่เก่งขึ้นไปอีกขั้นเป็นคู่ปรับกันไปกับผู้ปฏิบัติ  พระพุทธเจ้ามีปํญญาเป็นเลิศสมมุติว่านั่งบนบัลลังก์ ๙  พญามารก็บัลลังก์ ๘ นะครับเก่งมากๆ ถ้าคิดว่าของท่านดีแล้ว ตรงแล้วตามเส้นทางของอริยะเจ้าก็ทำต่อไป  ส่วนผมถ้ามีใครมาถามว่าอยากเรียนวิชาธรรมกายเพื่อหลุดพ้นผมจะแนะนำไปวัดปากน้ำ วัดหลวงพ่อสดฯ ที่ราชบุรี หรือไม่ก็คณะคุณลุงการุณย์ ดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา  บางที่เข้าไปง่าย แต่กว่าจะมีกุศลพอจนหลุดออกมาได้นี่มันไม่ง่าย ====ข้อความทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัว อาจจะผิด อาจจะถูก โปรดใช้ปัญญาในการอ่าน==== จากคุณ : กรุงเก่าคนเดิม - [ 24 ก.พ. 52 15:10:30 ]

ความคิดเห็นที่ 57 อย่ามาทำร้าย    วัดของเราเลยนะ   ขอร้องอีกครั้ง   โปรดให้เราได้ทำความดี ขอร้องละ  ! จากคุณ : mailmeja - [ 25 ก.พ. 52 02:06:59 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ถึงแม้พวกเราเป็นเยาวชนตัวเล็ก       เป็นเด็กก็มีหัวใจอย่าทำร้ายวัดเราเลย จากคุณ : mailmeja - [ 25 ก.พ. 52 02:09:59 ]

ความคิดเห็นที่ 59 จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี   ปาราชิก คือประเภทของโทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทประเภท ครุกาบัติที่เรียกว่า อาบัติปาราชิก พระภิกษุต้องอาบัติปาราชิกสี่ข้อใดข้อหนึ่ง แม้จะไม่กล่าวลาสิกขาบท ก็ถือว่าขาดจากความเป็นพระภิกษุทันที เมื่อความผิดสำเร็จ ปาราชิก มี 4 ข้อ อยู่ใน ศีล 227 ได้แก่ 1.เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์) 2.ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย) 3.พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน)หรือแสวงหาศาสตราอันจะนำไปสู่ความตายแก่ร่างกายมนุษย์ 4.กล่าวอวดอุตตริมนุสสธัมม์ อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง) [แก้]อ้างอิง พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เล่ม 1 ข้อที่ 10-300) ถ้ามีพระองค์ไหนบอกว่าตัวเองติดต่อบารมีหลวงพ่อสดได้ พระพุทธเจ้าในพระนิพพานได้ ทำวัตถุมงคลท่านทั้งหลายก็มาทำให้  แต่เมื่อตรวจสอบโดยคนกลางหลายฝ่ายแล้วปรากฏว่า ไม่มีพุทธคุณ บารมีของหลวงพ่อสดก็ไม่เคยอนุญาตหรือเห็นดีเห็นงามด้วยนี่ หากมีเหตุแบบนี้เกิดขึ้นพระองค์นั้นจะเข้าข่ายข้อ 4 ไหมครับ เพื่อนๆลองใช้ปัญญาพิจารณาดูนะครับ      =====เหมือนเดิมครับไม่เฉพาะเจอะจงพระองค์ไหน พูดรวมๆทั่วไป===== จากคุณ : กรุงเก่าคนเดิม - [ 25 ก.พ. 52 16:17:41 ]

ความคิดเห็นที่ 60 คุณ mailmeja ...... ..... ..... ..... .... .... .... .... ... เปิดใจให้กว้างครับ ฝากไปอ่านข้อความนี้ครับ ย้ำเปิดใจให้กว้าง ทำใจให้เป็นกลางจริงๆ ----------------------------------------------------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 2 ฝากไว้เท่านี้ครับ http://www.bangkokmap.com/pm/content/view/80/1/ แล้วคลิก Next ที่อยู่ด้านล่างของบทความไล่อ่านไปเรื่อยๆนะครับ มีทั้งหมด 7 ตอน ส่วนใครอ่านครบเข้าใจดีแล้ว ก็ขออนุโมทนาด้วยครับ ส่วนใครที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ หากไม่เห็นด้วย ก็ขอความกรุณาอย่านำข้อความในนั้นมาวิจารณ์ใดๆเพิ่ม และแนะนำว่าไม่ควรวิจารณ์ เสียดสี หรือดูแคลนผู้เขียนข้อความดังกล่าวครับ ..ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สุขส่วนตนทั้งในปัจจุบันและภายภาคหน้าครับ จากคุณ : He-Who-Must-Not-Be-Named - [ 20 ก.พ. 52 02:55:27 ] ------------------------------------------------------------------------------------------------ แนวทางที่พวกท่านเดินน่าสรรเสริญยิ่งนัก จากคุณ : Hualon - [ 26 ก.พ. 52 16:55:46 ]