ความคิดเห็นที่ 1 นี่ไม่ใช่อะไรนอกจาก หนีประเด็น ละหมาดจากกระทู้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7497398/Y7497398.html เพราะกระทู้นั้นแสดงให้เห็นว่าถ้ามุสลิมไม่เอาฮะดีษ ย่อมเรียกว่ามุสลิมไม่ได้ ตอบไปก็มั่วตามเคย ดังนั้น กระทู้นี้ ตั้งก็ตั้งไป ถ้าตอบคำถามเรื่องละหมาดไม่ได้ ที่แมทท์พูดมาก็ไร้ค่าทั้งสิ้น ทำไมถึงไร้ค่าเพราะแมทท์เป็นคนปลิ้นปล้อน ตลบแตลงไงครับ พอมีหลักฐาน มาจับได้ แมทท์ก็จะหนีประเด็นไปเรื่อยๆ เรื่องหินดำถ้ามีหลักฐานหรือ หลักการมาคุย เต็มที่ จะประกันได้อย่างไรว่าคนอย่างแมทท์จะไม่หนีอีก คนเราเมื่อเป็นคนปลิ้นปล้อนสนทนาไปมันจะได้สาระเหรอครับ? จากคุณ : Carroth - [ 19 ก.พ. 52 09:16:02 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เอ่อ ผ่านมา - -" ... ตอนแรกเห็นหัวข้อก็ว่าจะเข้ามาอ่านหาความรู้หน่อยครับ จากคุณ : งั้นมาทักทายคุณ Carroth ละกัน (DigiTaL-KRASH!!!) - [ 19 ก.พ. 52 10:49:16 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ก่อนที่จะดำเนินเรื่องผมต้องการที่จะให้สมาชิกมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมได้เข้าใจ คุณลักษณะของศาสดามูฮัมมัด ที่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ทั้ง ทางฝ่าย มุสลิม และ ชาวยุโรป และอเมริกัน ซึ่งสามารถที่จะสรุปคุณลักษณะ ของท่านศาสดามูฮัมมัด ได้ดังต่อไปนี้        เราทราบว่า การสอนของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด นั้นใช้ อัลกุรอานเท่านั้น เป็นบรรทัดฐาน ในการสอน มวลมนุษย์,  โดยการบรรยายขยายความ  จากบัญญัติ ของพระเจ้าให้มวลมนุษย์ได้เข้าใจ,      ท่านเป็นบุคคลตัวอย่างที่ ประกอบด้วย คุณสมบัติที่ดีเลิศต่างๆ รวมเป็นบุคลิกภาพของตัวท่าน,  ท่านเป็นทั้งนักปรัชญาและผุ้ที่มีประสบการณ์และท่านใช้ชีวิตอยู่ ตามวิถีทางที่ท่านสอน  ตามบัญญัติ ในอัลกุรอาน,  ท่านเป็นทั้งรัฐบุรุษและนักรบที่ชาญฉลาด, เป็นทั้งผู้ร่างกฏหมายและอาจารย์แห่งจริยาธรรม,    ท่านรอซูลล์เป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดและผู้ที่แนะแนวทางทางศาสนาที่ เคร่งครัด ท่านมีวิสัยทัศน์ ในการมองเห็นกาลไกล และเข้าใจ  ชีวิตมนุษย์ในทุกๆแง่ของชีวิตไม่มีสิ่งใดที่ท่านจับต้องและให้ความสนใจ แล้วไม่เกิดผลที่สง่างาม     คำสั่งข้อบังคับของท่านควบคุมไปหมดทุกๆแขนงตั้งแต่การทูตและการคมนาคมระหว่างประเทศ ไปจนถึง  มรรยาทและ จรรยาธรรม  ซึ่งเป็นนิสัย ของบุคคลในการกินอยู่, เช่นการรัปประทานอาหาร, การทำความสะอาดร่างกาย ในโอกาสต่างๆ ฯลฯ   จากพื้นฐาน ของนโยบายของท่านในการเสริมสร้างความเจริญ และวัฒนธรรมให้กับสังคม, นโยบายนั้นได้สร้างให้เกิดความสมดุลย์, ทำให้เกิดความเสมอภาคของความแตกต่างของชีวิตมนุษย์ ในสังคม   ซึ่งไม่อาจจะเห็นร่องรอยของข้อขัดแย้ง และ ความไม่สมบูรณ์ ในสภาวะสังคมในขณะที่ท่าน ยังมีขีวิตอยู่     ซึ่งยากที่จะหาผุ้ที่มีความเพรียบพร้อม ไปทุกๆด้าน ในการเป็นผุ้นำ ทั้งทางด้านศีลธรรมและจริยาธรรมตลอดทั้งทางด้านการเมืองและ การปกครอง     เมื่อท่านสมาชิกได้ทราบ คุณลักษณะของท่านศาสดามูฮัมมัดแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ถ้าเป็นความจริงในเรื่องนี้ เมื่อท่านศาสดามูฮัมมัด จะก้มลงจูปก้อนหิน จะด้วยวัตถุประสงค์อะไรก็ตาม   ภาพนั้นจะทำให้ผู้ที่มีประสบการณ์  หมดความเลื่อมใส ในคำสอนของท่าน ที่ได้รับมาจากพระเจ้า     ในกรณีของผุ้ที่ไม่เชื่อในเรื่องเล่าจาก อะหะดีษ จะไม่มีปัญหาในเรื่องนี้เลย เพราะเขาเหล่านั้น จะไม่ เชื่อว่าท่านศาสนทูตผู้ทรงเกียรติจะไม่ปฏิบัติสิ่งใด ให้เกิดเป็นที่กำกวม ต่อความศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว  ตามที่ท่านสอน   แต่ปัญหาอยู่ที่ผู้เชื่อเรื่องเล่าจาก อะหะดีษเท่านั้น ที่จะต้องพยายามหาข้อแก้ตัว อย่างมั่วนิ่ม มาอธิบายแก้ตัว เพื่อรักษา เรื่อง เล่าที่ทำให้ท่านศาสดาเสื่อมเสียเกียรติ นั้น เป็นเรื่องจริง และ ในทำนองเดียวกัน ก็ พยายามที่จะ อธิบายให้เห็นว่า  การกระทำตามเรื่องเล่านั้นเป็นความจริง  เช่นเดียวกับเรื่อง “เมี๊ยะราจ/อิศรา”  ต้นกำเนิดของการทำละหมาด 5 เวลา ของ มุสลิม    ผมรับรองว่าถ้าการสนทนาด้วย Logic of reality  แล้ว จะได้รับความรู้ได้ไม่มากก็น้อย.....    รูปข้างล่างนี้มาจากการกระทำชิริกที่เกิดจาก Logic of fairy tales ..ซึ่งเป็นตำนานของ การละหมาด 5 เวลา ตามความเชื่อของมุสลิมที่งมงายบางท่าน....   และ เรื่องการจูบหินดำของมุสลิมก้เป็นการกระทำเช่นเดียวกับเรื่อง ข้างล่างนี้ “เมี๊ยะราจ/อิศรา” จากคุณ : แมทท์ - [ 19 ก.พ. 52 12:01:45 ]

ความคิดเห็นที่ 4 รูปนี้เป็นรูปของ "กะบะฮ์"  หมายถึง  สิ่งก่อสร้างที่เป็นสี่เหลี่ยมทั้งสี่มิติ "CUBE" แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 52 12:14:54 จากคุณ : แมทท์ - [ 19 ก.พ. 52 12:13:35 ]

ความคิดเห็นที่ 5 รูปนี้เป็นรูปหินดำ ซึ่ง มีตำนานว่า พระเจ้าส่งมาจากฟากฟ้า ซึ่งแท้จริง อาจจะเป็น  "อุกาบาต"   แต่ไม่อาจจะพิสูจน์ได้ เพราะ กลายเป็น "วัตถุที่เกี่ยวข้องกับพิธีการทางศาสนาซึ่งจะต้องให้เกียรคิ"  เราจะเห็นว่า ก้อนหินธรรมดาได้รับเกียรติ จากมุสลิมบางกลุ่มไปเสียแล้ว        คือว่ามีเกียรติสูงกว่าก้อนหินธรรมดา ทั้งนี้เพราะว่า มีส่วนเกี่ยวขอ้งกับพิธีการทางศาสนา  เช่นเดียวกับ ก้อนหินที่ มุชริก เมกกะ ให้เกียรติ ก่อน ที่ ท่านรอซูล จะสั่งให้ทำลายทั้งหมดที่มีอยู่ ใน "กะบะห์" แห่งนี้     แต่ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบ มุชริกเมกกะ สามารถ เอาหินก้อนนี้มาวางไว้บนแท่น  ให้ผู้คน มุสลิมที่หลงผิด  พยายามที่จะ สัมผัส และขอพร จากหินก้อนนี้ จากคุณ : แมทท์ - [ 19 ก.พ. 52 12:25:09 ]

ความคิดเห็นที่ 6 รูปข้างล่างนี้เป้นการรุมกันจับกำแพงที่ล้อมรอบ ก้อนหิน เพื่อความเป้นศิริมงคล ตามความเชื่อ ของมุสลิมที่งมงาย ไม่มีในหลักการทำฮัจจฺ  และหลักการของอิสลาม ที่ให้สัมผัสกำแพงเช่นนี้   การกระทำเช่นนี้ ผิดหลักการของศาสนาอิสลาม และการทำฮัจจฺ......คำอธิบายและเหตุผลในความเชื่อเหล่านี้  มาจากเรื่องเล่า และการใช้ Logic of fairy tales  อธิบาย (Abraham) said, "Do ye then worship, besides Allah, things that can neither be of any good to you nor do you harm?[Yusufali 21:66] แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 52 12:36:47 จากคุณ : แมทท์ - [ 19 ก.พ. 52 12:30:52 ]

ความคิดเห็นที่ 7 มุสลิมที่เชื่อในเรื่องเล่าจากอะหาดีษ พยายามที่จะเชื่อว่า ก้อนหินก้อนนี้ มีความศักสิทธิ์ เขาเชื่อว่า ก้อนหิน ดำนี้ตกมาจาก ฟากฟ้า ในสมัย  นบีอดัมและสามารถที่จะล้างบาปมุสลิมโดย ดูดซึมเอาบาปกรรมต่างๆจากมนุษย์เข้าไปในก้อนหิน     มุสลิมบางท่านถึงกับเล่าว่า แต่ก่อนนี้ก้อนหินนี้มีสีขาว แต่ที่กลายเป็นสีดำนั้นก็เพราะว่า ดูดซึมเอา ความบาปของผู้ที่ไปจูบและสัมผัสก้อนหินนั้น เพื่อเป็นการล้างบาป.......       การคิดเช่นนั้น ไม่มีในหลักการของอิสลาม และ ถือ ว่า เป็น “ชิริก” จากคุณ : แมทท์ - [ 19 ก.พ. 52 12:52:34 ]

ความคิดเห็นที่ 8 หินดำนั้นเคยมีสีขาว เชื่อหรือไม่? การที่มุสลิมจับกำแพงที่ล้อมรอบเพื่อความเป็นสิริมงคลนั้นผิด เชื่อหรือไม่? การจูบหินดำนั้นถ้าคุณเข้าไปจูบโดยทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนนั้นเป็นบาป เชื่อหรือไม่? การจูบหินดำแล้วไม่ได้นึกถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้านั้น ก็ไม่สมควรที่จะจูบหินดำ ใช่หรือไม่? จากคุณ : trp@v - [ 19 ก.พ. 52 14:14:48 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ศา่สนาคุณแมทท์ก็คือศาสนาของคุณแมทท์ ศาสนาอิสลามก็คือศาสนาอิสลาม เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน.. แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 52 14:57:03 จากคุณ : ลมหนาวกับดาวเดือน - [ 19 ก.พ. 52 14:56:00 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เเมทท์เอ้ย เเมทท์ เเก่ตัวเปล่าๆเลย ชอบเหลือเกินนะเอารูปจากเว็บที่โจมตีอิสลาม มาด่ามุสลิมด้วยกัน ข้อมูลก็สงสัยในสิ่งที่คนทั้งประชาชาติเค้าไม่เหลือที่จะสงสัย  ดุจดั่งเปลี่ยนของ ฮาลาล เป็นฮารอม ทำของฮารอมให้เป็นฮาลาล ทุรยศจริงๆๆๆ เอาเป็นว่าผมขอพูดกับเเมทท์เหมือน อิมามอะห์มัด อิบนุ ฮัมบัล พูดกับ พวกอะลุ้ลบิดอะฮฺว่า  ฉันกับเเกไว้ดูกันตอนตาย ผมก็จาดูเเมทท์ตอนตายว่า จาตายในสภาพไหน  ขออัลลอฮฺทรงเปิดให้เรา ทั้งหลายเห็นสภาพเเมทท์ในวันที่พระองค์ทรงรับเราทั้งหลายเป็นมรดก ด้วยเถิด จากคุณ : dhean - [ 19 ก.พ. 52 15:56:57 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ผมไม่ทราบว่าคุณๆ ทั้งหลายที่อ้างว่า เป็นผุ้มีความรู้แตกฉาน ในหลักการ ของอิสลาม  จะต้องโกรธเคือง ในเรื่อง  ที่เป็น บิดะอะห์ หรือการต่อเติมศาสนา จากผู้ที่ขาดความเข้าใจ ในหลักการ ของความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว ซึ่งเป็นหลักการที่สำคัญของ ศาสนาอิสลาม  นอกเสียจากว่า คุณๆ จะเห็นว่า เรื่องราวที่ผมนำมาแสดง เป็นตัวอย่าง เหล่านี้ เป็นเรื่องที่ถูกต้อง       จากความคิดเห็นที่3 ของผมซึ่งบรรยายคุณลักษณะของท่านรอซูล ไว้นั้น มีหลักฐานอยู่ในอัลกุรอาน และ จากผู้เขียน ประวัติศาสตร์อิสลาม ซึ่งเป็น มุสลิมที่มีความรู้  ทั้ง ชาวยุโรป, อเมริกัน และ ตะวันออกกลาง  และเวบของมุสลิมไทยเรา จากคุณ : แมทท์ - [ 19 ก.พ. 52 19:22:11 ]

ความคิดเห็นที่ 12 การที่มีความจำเป็นต้องแนะนำพี่น้องมุสลิมและสมาชิกอื่นๆ ให้รู้จักคุณลักษณะที่แท้จริง ของ ท่านรอซูลล์ ก็เพื่อ ให้ผู้อ่าน  สามารถเข้าใจได้ว่า  เมื่อไปอ่าน พบเรื่อง ราว ใน “อะหะดีษ" หรือ ข้อเขียนใดๆก็ตาม ที่เกี่ยวกับการปฏิบัติ การกระทำ และการสอน ของท่ารอซูล ที่ขัดต่อ บุคลิกลักษณะของท่านรอซูลแล้ว   มุสลิมจะต้องไตร่ตรองว่าเรื่องเช่นนั้น จะเป็นไปได้หรือไม่?  และจะต้องไม่ใช่เรื่องจริงที่น่าเชื่อถือได้ จากคุณ : แมทท์ - [ 19 ก.พ. 52 19:24:20 ]

ความคิดเห็นที่ 13 จากความคิดเห็น ของคุณtrp@v 1. หินดำนั้นเคยมีสีขาว เชื่อหรือไม่?      เรื่องนี้ ไม่มีหลักฐานว่า  “จากสีขาว และ กลาย เป็นสีดำ เพราะการดูดซึมความบาป   การเชื่อเช่นนี้ ไม่ใช่หลักการของอิสลาม 2.   การที่มุสลิมจับกำแพงที่ล้อมรอบเพื่อความเป็นสิริมงคลนั้นผิด เชื่อหรือไม่?  ผิดอย่าง แน่นอน เพราะเป็นการ ยกสิ่งอื่นเทียบเคียงพระเจ้า 3.  การจูบหินดำนั้นถ้าคุณเข้าไปจูบโดยทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนนั้นเป็นบาป เชื่อหรือไม่?    ไม่ว่าการจูบหินดำ จะทำให้ผู้ใด เดือดร้อนหรือไม่เดือดร้อน เป็นคนละเรื่องกับ การทำบิดะอะห์,   มีหินตามท้องถนนอยู่เป็นจำนวนมาก ทำไม มุสลิมเราไม่ไปเดินจูบ แล้วนึกถึงพระเจ้า  “เป็นชิริก “ ตามบัญญัติในอัลกุรอานอย่างแน่นอน 4. การจูบหินดำแล้วไม่ได้นึกถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้านั้น ก็ไม่สมควรที่จะจูบหินดำ ใช่หรือไม่?    ทำไมเราจึงไม่เอา “หินดำหรือ ลูกอุกาบาต” หรือเศษหินที่สกัดจาก ดวงจันทร์ หรือตามถนน, มาห้อยคอ เพื่อเตือนสติ เราใน ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า,การกระทำเช่นนั้นเป็น “ชิริก” ที่แจ้งชัดที่สุด ในการกลับไปกระทำเยียง มุชริกเมกกะ จากคุณ : แมทท์ - [ 19 ก.พ. 52 19:28:19 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ความคิดเห็นที่ 9จากคุณ ลมหนาวกับดาวเดือน “ศาสนาคุณแมทท์ก็คือศาสนาของคุณแมทท์ ศาสนาอิสลามก็คือศาสนาอิสลามเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน.” เนื่องจากผมเป็นมุสลิม คือ ผู้ ที่เชื่อและศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว ตามบัญญัติในอัลกุรอาน คุณน้องลมหนาวจะเรียกศาสนา ของผู้ที่ สวามิภักดิ์ ต่อพระเจ้าองค์เดียว  เช่นนี้ว่าอย่างไร นั้น  เป็นความเข้าใจของคุณเอง สำหรับผมเรียกว่า  “ศาสนาอิสลาม”         ศาสนาอิสลาม  ไม่มีส่วนสัมพันธ์ ทางความศรัทธา เกี่ยวกับ ก้อนกรวดก้อนทราย และ การขอพรจากกำแพง หรือ การจูบก้อนหินเพื่อ รำลึกถึง พระเจ้า หรือ ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว จากคุณ : แมทท์ - [ 19 ก.พ. 52 19:30:39 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ความคิดเห็นที่ 10จากคุณdhean   ผมเชื่อว่าความตายเป็นอำนาจสูงสุดจากพระเจ้าผมว่าคุณกับผมคงมีอายุต่างกันไม่เท่าใด   ในหัวใจคุณเต็มไปด้วยความงมงายขาดเหตุและผล,  ตามที่คุณกล่าวว่า “ชอบเหลือเกินนะเอารูปจากเว็บที่โจมตีอิสลาม มาด่ามุสลิมด้วยกัน ข้อมูลก็สงสัยในสิ่งที่คนทั้งประชาชาติเค้าไม่เหลือที่จะสงสัย  ดุจดั่งเปลี่ยนของฮาลาล เป็นฮารอม ทำของฮารอมให้เป็นฮาลาล”     ผมอธิบายให้ฟังแล้วว่า ภาพเหล่านั้น  เป็นตัวอย่างของการทำ “ชิริก” ชนิดหนึ่ง” โดยฝีมือมุสลิมเอง  ซึ่ง เป็นเหตุให้  ผู้ที่เกลียดชังอิสลาม นำเอามาล้อเลียน  รวมทั้ภาพการ์ตูนต่างๆ  เป็นสิ่งที่ผิด  แต่ก็ยังมีมุสลิมเช่นคุณเชื่อถือเรื่องราวเช่นนี้,  แม้แต่ว่าการเชื่อเรื่องราว เช่นนี้ ก็จัดว่าเป็นการทำ “ชิริกเช่นกัน”      ถ้าคุณเชื่อเรื่องราวเช่นนี้ “เป็นการทุรยศต่อพระเจ้า จริงๆๆๆๆ”  เมื่อตายไปคุณและผมจะต้องอยู่คนละที่อย่างแน่นอน,   คุณdhean ลองคิดดูให้ดีว่า “ผู้ที่ทรยศต่อพระเจ้าโดยการทำ "ชิริก" จะอยู่ที่ใด? ผมอยากแนะนำให้คุณอ่านเวบนี้  เพื่อความเข้าใจอิสลามให้ถูกต้อง http://www.quran-islam.org/168.html The Hajj (Pilgrimage) The Quranic Way . The reader of the Quran will note that all the rites of Hajj that are decreed by God Almighty are to be found in the Quran.  Sadly, many idolatrous rituals have crept into the Hajj that is practised today.   These corrupted rituals, not only have no Quranic basis, but they also clearly violate the concept of Hajj as given in the Quran. ผมหวังว่าคุณคงเข้าใจภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี, ถ้าไม่เข้าใจผมจะช่วยอธิบายให้ โปรดกรุณาแจ้งให้ผมทราบด้วย   การรักษาอิสลามให้บริสุทธิไม่ใช่พล่ามแต่ว่า มีความรู้จาก “อะฮาดีษมาก เท่าใด”  และเสแสร้งทำเป็นรัก ท่านรอซูลล์ เพือหวังเข้าสวรรค์เพียงอย่างเดียว,   แต่ไม่เข้าใจในคุณลักษณะของท่าน , ซึ่งแสดงออกมาด้วย การเชื่อถือในเรื่องราวที่ทำลายบุคลิกภาพและเกียรติยศของศาสดาที่ยิ่งใหญ่ของโลก จากคุณ : แมทท์ - [ 19 ก.พ. 52 19:40:31 ]

ความคิดเห็นที่ 16 นี่คือความเชื่อของแมทท์เกี่ยวกับอัลกุรอ่าน จากคุณ : Carroth - [ 19 ก.พ. 52 21:34:22 ]

ความคิดเห็นที่ 17 แมทท์บอกว่า กุรอ่านถูกปลอมแปลง แต่เมื่อรู้ว่าการพูดแบบนี้ มันเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะกุรอ่านได้รับการปกป้องจากอัลลอฮฺ การบอกว่ากุรอ่านถูกปลอมแปลง นั้นจึงเป็นการปฏิเสธอัลลอฮฺอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แมทท์จึงเปลี่ยนแนวมาโจมตีฮะดีษแทน แต่ช้าไปแล้วเพราะ หลักฐานได้รับการบันทึกไว้ว่า แมทท์มีสันดานอย่างไร นี่คือกุรอ่าน ในสายตาแมทท์ จากคุณ : Carroth - [ 19 ก.พ. 52 21:37:37 ]

ความคิดเห็นที่ 18 แมทท์อ้างว่า ท่านนบี ได้อ้างคำสอนของท่านนบีอิบรอฮีม เพื่อรวบรวม ชายฉกรร เป็นทหาร ย้ำนะครับ แมทท์ใช้คำว่าอ้าง ซึ่งจริงๆ แล้วนบีได้รับโองการจากอัลลอฮฺไม่ได้รับมาจาก คัมภีร์ของท่านนบีอิบรอฮีมแต่อย่างใด และสอนเพื่อให้มนุษย์นั้น ได้อยู่ในหนทางของอัลลอฮฺไม่ใช่เพื่อ มาเป็นทหาร นะครับ นี่คือธาตุแท้ของแมทท์ จากคุณ : Carroth - [ 19 ก.พ. 52 21:40:49 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เพราะฉะนั้น ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหละครับว่า "แมทท์เป็นคนปลิ้นปล้อน ตลบแตลงไงครับ พอมีหลักฐาน มาจับได้ แมทท์ก็จะหนีประเด็นไปเรื่อยๆ เรื่องหินดำถ้ามีหลักฐานหรือ หลักการมาคุย เต็มที่ จะประกันได้อย่างไรว่าคนอย่างแมทท์จะไม่หนีอีก คนเราเมื่อเป็นคนปลิ้นปล้อนสนทนาไปมันจะได้สาระเหรอครับ?" เรื่องนี้ผู้รู้มีตอบเยอะครับ แต่ตอบไป คนอย่างแมทท์พอจนแต้ม ก็หนี เหมือนกระทู้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7497398/Y7497398.html ไงล่ะครับ ตั้งเอง จนแต้มเอง หนีเอง นี่คือสันดานแมทท์จอมมั่วนิ่มไงล่ะครับ เรื่องพื้นฐานยังตอบไม่ได้หนีแล้วหนีอีกไม่รู้กี่รอบ หางจุกตูดมา 5 ปี กับคำถามเดิม แล้วจะมาตั้งกระทู้ใหม่ เพื่ออะไร คำตอบเดียวครับ เพื่อที่แมทท์จะหนีประเด็นเรื่องละหมาดไงล่ะครับ จากคุณ : Carroth - [ 19 ก.พ. 52 21:45:43 ]

ความคิดเห็นที่ 20 คุณ Carroth ผมนึกไว้แล้วว่า คุณจะ ดิสเครดิตผมโดยการนำคำถามที่ผมถามในเรื่อง การสาบานของ พระเจ้าในอัลกุรอาน  เนื่องด้วย ผมไม่เข้าใจว่า ชาว อรับ เขา พูดคำ สาบานคำ มาอ้างอีกเช่นเคย...แต่ไม่ได้ผลหรอกครับ ..อัลลอฮ์สอนเราให้หาเหตุผล ไม่ใช่ทำตามกันโดยไร้เหตุผลเช่นฝูงวัวฝูงควาย มีอยู่ในอัลกุรอาน    แต่เมื่ออาจารย์อาซัน เวบมรดก อธิบายให้ผมเข้าใจ ผมก็ไม่ได้มีข้อสงสัย  แต่กลับมีความเชื่อมั่นในพระเจ้าองค์เดียว ยิ่ง ขึ้น และเมื่อเห็นการกระทำ "มั่วนิ่ม" ในการต่อเติมศาสนา ถึงกับ  จูบก้อนหิน ผมจึงจำเป็นต้องชี้แจงว่าไม่ถูกต้อง และ ไม่เป็นความจริง เนื่องจาก ไม่ตรงกับคุณลักษณะ ของท่านรอซูล  ที่ใช้อัลกุรอานเป็นบรรทัดฐาน ในการสอน   ศาสนาอิสลามไม่มีการบังคับ ในความศรัทธา แต่เมื่อเราสาบานตนว่าจะยึดถือพระเจ้าองค์เดียวแล้ว, มันเป็นการสาบานต่อ อัลลอฮ์  เราจะไปยึดถือสิ่งอื่นใดเทียบเท่าพระองค์ไม่ได้ ซึ่งจะเป็นการปฎิเสธพระเจ้า       การตั้งคำถามต่างๆ เกี่ยวกับคำสอนใน คัมภีร์มีอยู่ในทุกๆศาสนา  ถ้าไม่ถามให้เข้าใจแล้ว  จะโง่ดักดาน เข่นคุณ และที่ ยืน จูบลูบคลำกำแพง อิฐปูน อย่างที่เห็นในภาพ    การตั้งคำถามและตั้งเงื่อนไขในข้อสงสัยด้วยความสุจริตใจ  ไม่ใช่เป็นเรื่องท้าทาย ความไม่สมบูรณ์ของบัญญัติของพระเจ้า เช่นบรรดาผู้ที่ปฏิเสธ อัลกุรอานในเรื่องการละหมาด และ เปรียบเทียบ เจว็ด (อะหะดีษ) ว่า มีรายละเอียดที่ดีและเหนือกว่า อัลกุรอาน ในเรื่องการละหมาด 5 เวลา  ซึ่งเป็นเรื่อง ราวมาจาก  เทพนิยายของชาวอรับมุชริกเมกกะ ที่คุณนับถือและศรัทธาอยู่   คุณบอกว่า มุสลิมจะต้องใส่ใจในเรื่องที่เป็น ชิริก "เมี๊ยะราจ/อิศรอ" คือท่านรอซูล พบปะกับพระเจ้าและสนทนาต่อรองกันเรื่องทำละหมาด 50 เวลา ลงมาเหลือเพียง วันและ 5 เวลา   ถึงแม้ว่าผมอาจจะตั้งคำถามที่เสี่ยงต่อ “อีมานต่อพระเจ้า”  ซึ่งต่างจากคุณผู้ซึ่ง สนับสนุน และเตือนใจมุสลิมให้ใส่ใจต่อเรื่อง "ชิริก"  คุณลองเปรียบเทียบดูซิ ว่า "ใครเลวกว่าใคร" ในฐานะที่เรียกตนเองว่า มุสลิมที่แท้จริง “คุณเข้าใจคำว่ามุสลิมหรือไม่? “    และสิ่งที่ผมกำลังเขียนในกระทู้นี้ เป็นการชี้แสดงให้ ยุวมุสลิมเห็นว่า การเชื่อถือในพระเจ้าองค์เดียวอย่างบริสุทธิ์นั้น  ต้องไม่มีสิ่งใด ที่เป็นการกระทำ ที่เป็น ชิริก มาเจือปน ในพิธีกรรมทางศาสนา,  และเป็นข้อเขียนที่มีประโยชน์ต่อตัวคุณเอง ในเรื่องความเข้าใจ ในการศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว เนื่องจากผมชอบ อ่าน ความคิดต่างๆ ของ คนระดับอาจารย์ ทางศาสนาอิสลามที่ไม่งมงาย   เมื่อผมเห็นเรื่อง http://www.quran-islam.org/168.html The Hajj (Pilgrimage) The Quranic Way . The reader of the Quran will note that all the rites of Hajj that are decreed by God Almighty are to be found in the Quran.  Sadly, many idolatrous rituals have crept into the Hajj that is practised today.   These corrupted rituals, not only have no Quranic basis, but they also clearly violate the concept of Hajj as given in the Quran  ........ ผมจึงนำมาตั้งเป็นกระทู้เพื่อการศึกษาไม่ใช่เพื่อเอามาเถียงเอาแพ้เอาชนะกัน   หรือคุณเห็นว่า  “การจูบหิน เกาะกำแพง “  เพื่อแสวงบุญนึกถึงพระเจ้านั้น เป็นคำสอนของท่านรอซูลล์ และเป็นตัวอย่างที่มุสลิมควรทำ  ผมว่าถ้าท่านรอซูลล์ สามารถ มาเห็น มุสลิมเช่นคุณยืนจูบหิน, เกาะกำแพงเป็น  แถวๆ เช่นนั้น ท่านคง “ลมจับ” แน่ๆ    “การศึกษาหาความรู้เป็นการเสริมสร้างอุปนิสัย”   ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณควรจำใส่ใจไว้ด้วย จากคุณ : แมทท์ - [ 20 ก.พ. 52 01:18:07 ]

ความคิดเห็นที่ 21 นี่แหละครับ นอกจากมั่วนิ่มโดยสันดานแล้ว ก็ไม่รู้จักอ่านไม่รู้จักใช้ปัญญาในการคิด และไตร่ตรองด้วยว่า ตัวเองพูดอะไรออกมาและพิมพ์อะไรออกมา คุณอ้างว่าคุณเป้นมุสลิมตั้งแต่เกิด จนแก่ แต่ไม่เคยได้คำตอบเรื่องการสาบาน จนมาเข้าใจ เมื่อเจอผมเอาข้อนี้มาประจานน่ะเหรอครับ เรามาอ่านกันอีกทีครับว่าคนอย่าแมทท์สันดานเป็นอย่างไร จากคุณ : Carroth - [ 20 ก.พ. 52 09:56:15 ]

ความคิดเห็นที่ 22 นี่แหละครับสันดานแห่งความปลิ้นปล้อนตลบแตลงของแมทท์ แมทท์อ้างว่า การตั้งคำถามต่างๆ เกี่ยวกับคำสอนใน คัมภีร์มีอยู่ในทุกๆศาสนา  ถ้าไม่ถามให้เข้าใจแล้ว  จะโง่ดักดาน เข่นคุณ และที่ ยืน จูบลูบคลำกำแพง อิฐปูน อย่างที่เห็นในภาพ แต่ มาอ่านดีดีครับว่านี่คือคำถาม หรือว่า การฟันธง ผมจะสรุปใหม่ครับ  และขอขอบคุณที่ช่วยกรูณานำสถิติ ในการ สาบานของชาวอรับ มาแสดงให้ดู ซึ่งจะ เป็นประโยชน์ต่อการสรุปขั้นสุดท้าย ในการตึความหมายเรื่องการสาบานของอัลลออ์ ในอัลกุรอานนั้น  เป็น การ พยายามแก้หน้าของมุสลิม เรา เสียมากกว่า ที่เราไม่ยอมรับ ข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดจากการ  ปลอม แปลง ของ ผู้รวบรวมอัลกุรอานที่  ยังติดความเคยชินหรือ นิสัยในการสาบาน นี่แหละครับ สันดานกลิ้งกลอก ของแมทท์จอมตลบแตลง ต้องให้ลากออกมาประจาน ต้องให้จับให้ดิ้นไม่ได้ หรือครับ ถ้าเมื่อก่อนผมคงถามหายางอาย ของแมทท์ แต่ตอนนี้ผมคิดว่าถามไปก็เท่านั้น เพราะคนอย่างแมทท์ คือคนไร้ยางอายไงล่ะครับ กระทู้เก่ายังไม่มีปัญญาตอบ มาตั้งกระทู้ใหม่ เพื่อหนีประเด็นเหมือนเดิม ทั้งๆที่ ไม่สามารถ ยืนยันได้เลยว่า ถ้าไม่เอาฮะดีษ มุสลิมละหมาดได้ยังไง กลับมาบอกว่า ฮะดีษนั้นเป็นการกุขึ้น เสียอีก นี่แหละครับพฤติกรรมของผู้บ่อนทำลายอิสลาม มันทำลายจากภายนอกไม่ได้ ก็พยายามจะบ่อนทำลายจากภายใน แต่ขอโทษนะครับ มันทำไม่ได้หรอกยิ่งคน โง่เขลาและหน้าด้านอย่างแมทท์ ฝันไปเถอะ จากคุณ : Carroth - [ 20 ก.พ. 52 10:04:01 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ที่คุณ แมทช์พูดมา น่าคิด ๆ  ... น่าจะตอบคำถาม มากกว่ามัวหาข้อมูลอื่นมาดิสเครดิต จากคุณ : นบนอบ - [ 20 ก.พ. 52 10:06:21 ]

ความคิดเห็นที่ 24 อัสลามุอะลัยกุม คุณ Carroth     ผมไม่ทราบว่า คุณมีความเข้าใจภาอังกฤษมากเท่าใด คุณลองอ่านบทความที่ผมแนะนำดูซิครับ คุณจะเข้าใจตัวคุณเองว่า คุณอยู่ในโลกมุสลิมที่แคบมาก จน กลาย เป็นคนใจแคบไม่ยอมรับฟังเหตุผล และใช้วิธีการแบบเด็กๆทะเลาะและเยาะเย้ย กัน ซึ่ง ความคิดของผม ได้ผ่าน จุดนี้ไปแล้ว ผมจึงไม่มีความรู้สึก ในคำถากทางของคุณ ๆ และ คณะ   แต่ต้องการจะสอนให้คุณเข้าใจมรรยาทในการ สนทนาในเชิงวิชาการครับ คุณลองศึกษา บทความนี้ แล้วตรวจตราความเข้าใจ ของคุณ คุณจะฉลาดขึ้น และมีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้น http://www.quran-islam.org/168.html The Hajj (Pilgrimage) The Quranic Way The reader of the Quran will note that all the rites of Hajj that are decreed by God Almighty are to be found in the Quran.  Sadly, many idolatrous rituals have crept into the Hajj that is practised today.   These corrupted rituals, not only have no Quranic basis, but they also clearly violate the concept of Hajj as given in the Quran  ........ วัสลาม จากคุณ : แมทท์ - [ 20 ก.พ. 52 10:27:26 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เรามาดูกันเรื่องหินดำบ้างดีกว่านะครับ ว่าแมทท์ มั่วแค่ไหน การทำรูปปั้นมาแล้วจูบรูปปั้นกับการจูบหินดำมันคนละเรื่องกันครับ เพราะหินดำนั้น เป็นสิ่งที่อัลลอฮฺให้ลงมาเองไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นเพื่อการบูชาแต่อย่างใด แค่เจตนาการเริ่มต้นก็ต่างกันแล้ว การทำรูปปั้นขึ้นมานั้น เจตนาก็เพื่อเป็นสื่อ กลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าซึ่ง อัลกุรอานห้ามไว้ชัดเจนอยู่แล้ว ตั้งแต่การสร้าง และบรรดารูปเคารพต่างๆ ที่เป็นตัวแทนหรือสื่อกลางระหว่างพระเจ้า ได้ถูกทำลายไปแล้วในสมัยท่านรอซู้ลและเหล่าซอฮาบะห์ แต่หินดำยังอยู่ แสดงว่า หินดำนั้นไม่ใช่สิ่งที่ถือว่าเป็น บรรดารูปเคารพ หรือเจว็ดที่มีไว้เป็นสื่อกลางถึงอัลลอฮฺแต่อย่างใด ดังนั้นไม่ใช่การจูบหินดำหรอกครับ ที่เป็นความโสมม แต่มันเป็นจิตใจที่สามานย์และกลับกลอกของแมทท์ต่างหากที่มันโสมม มันเป็นความโสมม ที่แปดเปื้อนกระดานสนทนาพันทิพมาเนิ่นนานแล้ว และมุสลิมกำลังทำการชำระมันอยู่ ถึงแม้มันจะเน่าเหม็นปานใดก็ตาม อ่อและมาดูครับ ว่านี่เป็นการชิริกหรือเปล่า? การฟาด คนตายด้วยบางส่วนของวัว ทำให้ คนตายฟื้นคืนชีพ นี่คือชิริกหรือเปล่า อัลลอฮฺให้เป็นอัลลอฮฺให้ตาย แล้วทำไม การฟาดด้วยลูกวัว ทำให้ฟื้นได้ 73. แล้วเราได้กล่าวว่า พวกเจ้าจงตีเขาด้วยบางส่วนของวัวตัวนั้น(*1*) ในทำนองนั้นแหละ อัลลอฮ์จะทรงให้ผู้ตาย(*2*) มีชีวิตขึ้นมา และจะทรงให้พวกเจ้าเห็นสัญญาณต่าง ๆ (*3*) เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้เข้าใจ   (1)  ตีผู้ที่ถูกฆ่าด้วยบางส่วนของวัวที่ถูกใช้ให้เชือด (2)  ให้ผู้ที่ถูกฆ่าตายฟื้นคืนชีพ เพื่อบอกว่าใครเป็นคนฆ่า (3)  สัญญาณแห่งเดชานุภาพของพระองค์ที่ได้ทรงให้ผู้ที่ตายมีชีวิตขึ้นมาได้ ซึ่งเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับพระองค์ จะบอกว่า นี่ไม่ใช่กุรอ่านเหรอครับ? นี่ชิริกหรือครับ เปล่าเลย ไม่ว่าสิ่งใดก็ตาม มันไม่สามารถมีอาณุภาพในตัวเองได้ นอกจากอัลลอฮฺจะให้มันเป็นสาเหตุหรือมีคุณสมบัติ ตามที่พระองค์ประสงค์ หินดำก็เช่นกัน จะล้างบาป หรือแม้แต่ ทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาก็ตาม นั่นก็มาจากคำสั่งของอัลลอฮฺครับ เรื่องแบบนี้มีในกุรอ่านมาแล้ว และไม่มีมุสลิมคนใด ของต่อหิน หรือกราบไหว้หินครับ นั่นมันเป็นความคิดอันต่ำทรามและโสมมของแมทท์ เอง คงเพราะ เห็นการกระทำอันน่าตลก อันน่าสมเพชของพวกยิวที่กำแพงร้องไห้ แล้วมาบอกว่าการที่มุสลิมจูบหินดำก็เหมือนกับยิว แต่ต่างกันครับ บรรดานบีของยิว เคยทำแบบนี้มั๊ย แต่ท่านนบีมุฮัมมัดเคยทำครับ และสิ่งใดที่นบีทำ สิ่งนั้นอัลลอฮฺย่อมอนุมัติให้มุสลิมทำตามได้ บรรดาพวกจอมบิดเบือนก็จะบอกว่าไม่มีในกุรอ่าน ผมก็ไม่แปลกใจครับก็เพราะคนอับปัญญา และหน้าหนาพวกนี้มันยังกล้าบอกเลยว่า มันใช้กุรอ่านอย่างเดียวในการละหมาด แต่มันตอบไม่ได้ว่าโองการไหนบทไหนมั่ง อ้างแต่ละอย่าง มั่วนิ่มอย่างที่สุด พอหนักเขา มันก็บอกว่ามันทำตามบรรพบุรุษซึ่งเป็นมนุษย์หน้าไหนก็ไม่รู้ เชื่อถือได้แค่ไหนก็ไม่ทราบ มาบอกว่า การจูบหินดำเป็นเรื่องของมุชริกมักกะห์ทั้งๆที่ ท่านนบีทำเอง แต่พอเรื่องละหมาดกับบอกว่าทำตามบรรพบุรุษ สงสัยไม่รู้ว่า พวกที่อ้างบรรพบุรุษมาก่อนนี่แหละ คือแบบอย่างพวก มุชริกมักกะห์ของแท้ แมทท์คือแมทท์พยายามพูดให้ดูดีอย่างไรมันก็คือแมทท์หางจุกตูดอยู่ดี เหมือนขยะโสมม เอาน้ำหอมฉีดกลบอย่างไร มันก็ยังสกปรกอยู่ดี จากคุณ : Carroth - [ 20 ก.พ. 52 10:29:40 ]

ความคิดเห็นที่ 26 แมทท์มีความพยายามอย่างมากนะครับ ที่จะอ้างว่าการจูบหินดำคือการชิริก ซึ่งการชิริกคืออะไร ท่านอิมามอันซะนูซีย์กล่าวว่า ชิริกมี 6 ประเภท 1. ภาคีแยกเป็นเอกเทศน์ เช่นยืนยันว่ามีพระเจ้าสององค์อย่างเอกเทศน์ เหมือนกับชิริกของพวกมะญูซีบูชาไฟ 2. ภาคีแบบแบ่งส่วน คือพระเจ้าองค์หนึ่งเป็นภาคส่วนของพระเจ้าขององค์หนึ่ง เช่นการชิริกของพวกนะซอรอ 3. ภาคีแบบสร้างความใกล้ชิด คือการอิบาดะฮ์สิ่งอื่นเพื่อสร้างความใกล้ชิดต่ออัลเลาะฮ์ ตะอาลา เช่นการชิริกของพวกญาฮิลียะฮ์ยุคแรก 4. ภาคีเลียนแบบ คืออิบาดะฮ์สิ่งอื่นจากอัลเลาะฮ์โดยตามผู้อื่นอีกที เช่นการชิริกของพวกญาฮิลียะฮ์รุ่นหลัง(ก่อนอิสลาม) 5. ภาคีจากมูลเหตุ คือการพาดพิงผลการกระทำที่เกิดขึ้นให้กับมูลเหตุแห่งกฏธรรมดา เช่นการชิริกของพวกปรัชญา พวกธรรมชาตินิยม และผู้เจริญรอยตามพวกเขา 6. ภาคีด้วยเป้าหมายต่าง ๆ คือกระทำอะมัลเพื่อคนอื่นจากอัลลอฮ์ ตะอาลา เหล่านี้ ไม่มีตรงไหนบอกว่า การจูบหินดำนั้น เป็นการทำชิริก เพราะการ 1. การจูบหินดำ ไม่ใช่การถือว่าหินดำเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮฺ 2. การจูบหินดำ ไม่ใช่การถือว่าหินดำเป็นพระเจ้าหนึ่งซึ่งแบ่งภาคส่วนมาจากอัลลอฮฺ 3. การจูบหินดำ ไม่ใช่การทำอิบาดะห์ หรือทำความเคารพภักดี กราบไหว้หินดำ เพื่อการใกล้ชิดอัลลอฮฺ แต่เป็นการแสดงความรัก ต่อสิ่งที่อัลลอฮฺประทานให้ เหมือนกับการจูบของรักซึ่งคนที่เรารักและเทิดทูนมอบมาให้เรา ไม่ใช่การกราบไหว้ ของสิ่งนั้น 4. การจูบหินดำ ไม่ใช่การทำอิบาดะห์ หรือทำความเคารพภักดี กราบไหว้หินดำ โดยเลียนแบบผู้อื่น หรือศาสนิกอื่นแต่อย่างใด 5. การจูบหินดำ ไม่ใช่การพาดพิงผลการกระทำที่เกิดขึ้นให้กับมูลเหตุแห่งกฏธรรมดา เช่นการชิริกของพวกปรัชญา พวกธรรมชาตินิยม และผู้เจริญรอยตามพวกเขา 6. การจูบหินดำ ไม่ใช่การภาคีด้วยเป้าหมายต่าง ๆ คือกระทำอะมัลเพื่อคนอื่นจากอัลลอฮ์ ตะอาลา เราจะพบว่า การจูบหินดำ ไม่ได้เข้าข่ายการชิริกแม้แต่น้อย แต่แมทท์ก็พยายามบอกว่าทำชิริกเพื่ออะไร ก็เพื่อที่จะลดความน่าเชื่อถือของฮะดีษไงล่ะครับ มันเป็นการแสดงความไม่เข้าใจของแมทท์ ในสิ่งที่ตนเองโพสต์แต่อย่างใด มันเป็นแค่การไปก๊อบเอามาจากเว็บไซต์โจมตีอิสลามเท่านั้น ซึ่งถ้าการจูบหินดำคือชิริก การที่ผมจูบลูกผม เพราะลูกผมคือของขวัญล้ำค่าจากอัลลอฮฺที่ประทานให้ก็ชิริกสิครับ? และถามหน่อย การไม่จูบหินดำบาปหรือไม่ครับ? ดังนั้นผู้ที่ควรถูกโยนทิ้งหรือเผาไฟไป ก็คงเป็นแมทท์นั่นแหละครับ นอกจากจะแถเรื่องละหมาด ไม่ยอมตอบให้ตรงประเด็นแล้ว ยังจะมั่วเรื่องชิริกอีก แสดงความไม่รู้เรื่องอะไรเลย ได้แต่ก๊อบข้อมูลจากเว็บโจมตีอิสลามมา เพื่อเอาตัวรอดก็เท่านั้น สุดท้าย แมทท์ก็ตอบเรื่องละหมาดไม่ได้อยู่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นการประจานแมทท์แล้วว่า แมทท์ไม่สามารถเป็นมุสลิมได้ และไม่สามารถตอบคำถามในเรื่องพื้นฐานของอิสลามได้ ถ้าไม่เอาฮะดีษ แมทท์เลยต้องเลี่ยงประเด็นต่อไปเพราะไม่มีปัญญาตอบนั่นเอง จากคุณ : Carroth - [ 20 ก.พ. 52 10:31:13 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ส่วนเรื่อง เมียะรอจ ที่แมทท์พยายามเอารูปมาเนี่ย มันเป็นการพยายามเบี่ยงประเด็นที่น่าขบขันมากครับ เพราะการวาดรูปของนบีเนี่ยผิดแบบไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องรูปตอนเมียะรอจครับ เอาตอนละหมาดก็ได้ ก็ห้ามอยู่ดี มันไม่เกี่ยวกับการเมียะรอจ เพราะการเมียะรอจไม่ได้มีการชิริกแต่อย่างใด ลองอ่าน การชิริกดูใหม่นะครับ ว่าการเมียะรอจเป็นการกราบไหว้สิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺไหม หรือมีการยกใครเทียบเท่าอัลลอฮฺหรือไม่? ถ้าไม่มีแล้วบอกว่าชิริกได้อย่างไหร ซึ่งจริงๆแล้ว ท่านนบีมูซา สามารถสนทนากับพระเจ้าได้เลยนะครับ และท่านนบีอีซา ก็ทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาได้ด้วยการอนุมัติจากอัลลอฮฺ แล้วการเมียะรอจ เป็นชีริกอย่างไร? นี่แหละครับแมทท์ มั่วอย่างเดียว สาระไม่มี ส่วนบทความ อะไรของคุณ นั่นมันขยะครับ ถ้าตอบเรื่องละหมาดไม่ได้ ข้อความเหล่านี้มันก็แค่คำแก้ตัว ของพวก บิดเบือนอิสลามเท่านั้น จากคุณ : Carroth - [ 20 ก.พ. 52 10:36:28 ]

ความคิดเห็นที่ 28 คุณนบนอบก็อ่านเรื่องละหมาด ที่แมทท์ตอบไม่ได้สิครับ แล้วจะรู้ว่า แมทท์มั่วครับ ตอบไม่เคยได้ แล้วก็หนี ซึ่งถ้า มุสลิมจะคุยเรื่องหินดำเนี่ย แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคนอย่างแมทท์จะไม่หนีอีก? หินดำไม่ใช่เรื่องตอบยากครับ ถ้ารู้จักคิดสักนิดเราจะพบว่า บรรดารูปปั้นถูกกวาดล้างไปหมดจาก วิหาร บัยตุลลอฮฺแล้วตั้งแต่สมัยนบี แต่ทำไมหินดำยังอยู่ ก็เพราะว่านั่นไม่ใช่ เจว็ดหรือสื่อในการชิริกไงครับ หินดำมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ครับ มีเกียรติเพราะอัลลอฮฺได้ประทานหินดำนี้มาเอง นบีได้จูบหินดำนี้ แสดงถึงความประเสริฐของหินดำ แต่ก็ไม่ได้ทำการวิงวอนขอจากหินดำ เพราะท่านอุมัร ก็ได้พูดไว้แล้วว่า ท่านอุมัรได้จูบหินดำและกล่าวกับหินดำว่า ?แท้จริงฉันรู้ว่าท่านคือหินก้อนหนึ่งที่ไม่มีภัยไม่มีประโยชน์ หากแม้นว่าฉันไม่เห็นว่าท่านร่อซู้ลฯจูบท่าน ฉันก็จะไม่จูบท่าน จึงเป็นการยืนยันแล้วว่า หินดำหินที่มีเกียรติครับ แต่ไม่ใช่วัตถุบูชา ต้องแยกแยะให้ออก หินดำเคยถูกขโมยไป มุสลิมก็ยังหันหน้าไปทางกิบลัตอยู่ดี และการทำฮัจญ์ ก็ยังทำเหมือนเดิมนะครับ ไหนล่ะครับคือ ชิริก จากคุณ : Carroth - [ 20 ก.พ. 52 10:45:43 ]

ความคิดเห็นที่ 29 มรรยาทที่ดีควรเริ่มจากการรับผิดชอบคำพูดตัวเองก่อนนะครับ แล้วค่อยมาสอนคนอื่น โตจนป่านนี้ ยังต้องให้ผมมาอบรมอีกเหรอครับ แล้วอันนี้เรียกว่า มารยาทหรือเปล่าล่ะครับ ผมไม่ได้สนใจกับคำพูดพล่อยๆ จากคนปลิ้นปล้อนอย่างคุณหรอกนะครับ แต่เมื่อคุณอยากจะสอนมารยาทผมก็อยากทราบว่านี่เป็นมารยาทของคุณหรือเปล่า? จากคุณ : Carroth - [ 20 ก.พ. 52 10:51:03 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เรื่องละหมาด แค่ถามว่าตรงไหนของกุรอ่านที่บอกว่า ละหมาด มี 5 เวลา ไม่ใช่ 7 9 11 ก็ยังไม่ยอมตอบ แล้วจะมาเรื่องนี้อีกน่ะเหรอ อย่างที่ผมบอก นั่นแหละครับ แมทท์ก็มีเท่านี้ จากคุณ : Carroth - [ 20 ก.พ. 52 10:52:24 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เข้ามาดูนายแมทท์ จากคุณ : Palmyra - [ 20 ก.พ. 52 10:59:43 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เราทราบว่า การสอนของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด นั้นใช้ อัลกุรอานเท่านั้น เป็นบรรทัดฐาน ในการสอน มวลมนุษย์,  โดยการบรรยายขยายความ  จากบัญญัติ ของพระเจ้าให้มวลมนุษย์ได้เข้าใจ,     ท่านเป็นบุคคลตัวอย่างที่ ประกอบด้วย คุณสมบัติที่ดีเลิศต่างๆ รวมเป็นบุคลิกภาพของตัวท่าน,  ท่านเป็นทั้งนักปรัชญาและผุ้ที่มีประสบการณ์และท่านใช้ชีวิตอยู่ ตามวิถีทางที่ท่านสอน  ตามบัญญัติ ในอัลกุรอาน,  ท่านเป็นทั้งรัฐบุรุษและนักรบที่ชาญฉลาด, เป็นทั้งผู้ร่างกฏหมายและอาจารย์แห่งจริยาธรรม,   ท่านรอซูลล์เป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดและผู้ที่แนะแนวทางทางศาสนาที่ เคร่งครัด ท่านมีวิสัยทัศน์ ในการมองเห็นกาลไกล และเข้าใจ  ชีวิตมนุษย์ในทุกๆแง่ของชีวิตไม่มีสิ่งใดที่ท่านจับต้องและให้ความสนใจ แล้วไม่เกิดผลที่สง่างาม    คำสั่งข้อบังคับของท่านควบคุมไปหมดทุกๆแขนงตั้งแต่การทูตและการคมนาคมระหว่างประเทศ ไปจนถึง  มรรยาทและ จรรยาธรรม  ซึ่งเป็นนิสัย ของบุคคลในการกินอยู่, เช่นการรัปประทานอาหาร, การทำความสะอาดร่างกาย ในโอกาสต่างๆ ฯลฯ  จากพื้นฐาน ของนโยบายของท่านในการเสริมสร้างความเจริญ และวัฒนธรรมให้กับสังคม, นโยบายนั้นได้สร้างให้เกิดความสมดุลย์, ทำให้เกิดความเสมอภาคของความแตกต่างของชีวิตมนุษย์ ในสังคม   ซึ่งไม่อาจจะเห็นร่องรอยของข้อขัดแย้ง และ ความไม่สมบูรณ์ ในสภาวะสังคมในขณะที่ท่าน ยังมีขีวิตอยู่     ซึ่งยากที่จะหาผุ้ที่มีความเพรียบพร้อม ไปทุกๆด้าน ในการเป็นผุ้นำ ทั้งทางด้านศีลธรรมและจริยาธรรมตลอดทั้งทางด้านการเมืองและ การปกครอง    เมื่อท่านสมาชิกได้ทราบ คุณลักษณะของท่านศาสดามูฮัมมัดแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ถ้าเป็นความจริงในเรื่องนี้ เมื่อท่านศาสดามูฮัมมัด จะก้มลงจูปก้อนหิน จะด้วยวัตถุประสงค์อะไรก็ตาม   ภาพนั้นจะทำให้ผู้ที่มีประสบการณ์  หมดความเลื่อมใส ในคำสอนของท่าน ที่ได้รับมาจากพระเจ้า    ในกรณีของผุ้ที่ไม่เชื่อในเรื่องเล่าจาก อะหะดีษ จะไม่มีปัญหาในเรื่องนี้เลย เพราะเขาเหล่านั้น จะไม่ เชื่อว่าท่านศาสนทูตผู้ทรงเกียรติจะไม่ปฏิบัติสิ่งใด ให้เกิดเป็นที่กำกวม ต่อความศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว  ตามที่ท่านสอน  แต่ปัญหาอยู่ที่ผู้เชื่อเรื่องเล่าจาก อะหะดีษเท่านั้น ที่จะต้องพยายามหาข้อแก้ตัว อย่างมั่วนิ่ม มาอธิบายแก้ตัว เพื่อรักษา เรื่อง เล่าที่ทำให้ท่านศาสดาเสื่อมเสียเกียรติ นั้น เป็นเรื่องจริง และ ในทำนองเดียวกัน ก็ พยายามที่จะ อธิบายให้เห็นว่า  การกระทำตามเรื่องเล่านั้นเป็นความจริง  เช่นเดียวกับเรื่อง “เมี๊ยะราจ/อิศรา”  ต้นกำเนิดของการทำละหมาด 5 เวลา ของ มุสลิม จากคุณ : แมทท์ - [ 20 ก.พ. 52 15:22:27 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ไหนบอกชิริก?ล่ะครับ ผมก็เอามาให้ดูแล้วนี่ ว่าอะไรคือชิริก แต่ ก็ไม่มีตรงไหนของ การจูบหินดำ หรือ เมียะรอจ จะเป็นชิริก เพราะฉะนั้น การที่ท่านจะจูบหินดำ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่มันเป็นเรื่องที่แมทท์ พยายามอ้างเพื่อ โจมตีฮะดีษ และบิดเบือนอิสลามก็เท่านั้น และผมก็ไม่เห็นว่า เรื่องนี้จะทำให้ท่านเสื่อมเสียเกียรติตรงไหน และเรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้ ผู้คนหมดความเลื่อมใสจากท่านนบีแต่อย่างใด ผู้คนก็ยังทะยอยเข้ารับอิสลาม อย่างล้นหลามอยู่เช่นเดิม ทั้งๆที่มีเรื่องการจูบหินดำอยู่นี่แหละครับ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่มุสลิมจะต้อง หาข้อแก้ตัวแต่อย่างใด เพราะนี่ไม่ใช้ทั้งชิริกและเป็นสิ่งที่ผิดปกติ แม้แต่นิดเดียว แต่ที่ต้องมั่วนิ่มคือแมทท์ไงล่ะครับ คำถามว่าตรงไหนของกุรอ่านที่บอกว่า ละหมาด มี 5 เวลา ไม่ใช่ 7 9 11 แมทท์ก็ยังมั่วอยู่เลย แล้วยังจะมามั่วเรื่องชิริกอีกเหรอครับ? เห้อ แมทท์มีเท่านี้จริงๆ แมทท์หางจุกตูดเอ๋ย จากคุณ : Carroth - [ 20 ก.พ. 52 17:59:50 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เข้ามาดู แขกกัดกัน จากคุณ : supanut01 - [ 20 ก.พ. 52 21:04:51 ]

ความคิดเห็นที่ 35 พยายามจับประเด็นนะ คำถามที่มีก็คือ 1. รู้ได้อย่างไรว่าหินดำเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานมาให้ ฝ่ายหนึ่งถือ ฮาดิษ อีกฝ่ายไม่ถือ ฮาดิษ แล้วจะตกลงกันอย่างไรเนี่ย 2.ศาสดาจูบหินดำหรือไม่ ก็เหมือนข้อที่หนึ่ง ข้ออื่น ๆ ก็เป็นผลพวงมาจากข้อแรกทั้งหมดแหละครับ สรุปว่า ใครถือฮะดิษ(เฉพาะบทเรื่องนี้) ก็จูบหินดำไป ใครไม่ถือฮะดิษ(เฉพาะบทเรื่องหินดำนี้) ก็ไม่ต้องจุบ ทำฮัจย์ไปเถอะ ใครจะเข้าใจผิดหรือเข้าใจถูกก็ตาม ถ้าการกระทำนั้นเป็นไปเพื่อพระเจ้าอย่างบริสุทธิ์ใจ เชื่ออย่างยิ่งว่าพระเจ้าเข้าใจในเจตนาของเราทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าอย่านำเรื่องทำนองนี้มาเป็นวาระแอบแฝงในการโจมตีกันเลย เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น แม้ว่าคุณพูดถูก พระเจ้าก็คงไม่ยินดีกับการกระทำของคุณแน่นอน เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ ผมไม่ใช่ผุ้รุ้ จากคุณ : น้องจั้ง (น้องจั้ง) - [ 21 ก.พ. 52 00:49:54 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เข้ามามุง จากคุณ : TheMATABA - [ 21 ก.พ. 52 09:29:29 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ผมไม่ใช่มุสลิมนะครับ แต่ผมชอบมุสลิม มีข้อวัตรปฏิบัติที่เป็นวิถี ผมติดตามอ่านการวิวาทะของทั้งสองท่าน Carroth และ แมทท์ มาตลอด ได้ทั้งความรู้ได้ทั้งความมัน นับว่าได้ความรู้จากท่านทั้งสอง มากมายเลยเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม เป็นประโยชน์ยิ่งสำหรับคน ที่ศึกษาอิสลามอย่างผม(ท่านอื่นไม่ทราบนะครับ) อย่างไรก็ตาม ผมก็ชอบที่คุณ น้องจั้ง คห.ที่ 35 ว่า "ฝ่ายหนึ่งถือ ฮาดิษ อีกฝ่าย ไม่ถือ ฮาดิษ แล้วจะตกลงกันอย่างไรเนี่ย" ... โดยทั่วไปผมก็อยากรู้ เหมือนคุณน้องจั้งว่าจะตกลงกันได้มั้ย...เพราะเกรงว่า ข้อถกเถียงจะ เหมือนพายเรือในอ่าง ไม่ไปไหนกันละและหลายคนก็จะพลอย เบื่อไปซะ... แต่มาคิดอีกที ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องตกลง...เพราะลงได้ว่า ยึดมั่นในจุดยืนของตัวเองทั้งสองข้างแล้ว ก็ยากละครับ มันก็เข้า ตำราน้ำแยกสายไผ่แยกกอ นิกายต่างๆเกิดขึ้นก็เพราะการแตกหน่อ แบบนี้แหละครับ ถามว่ามีประโยชน์ไหม? สำหรับผมแล้ว ผมได้ประโยชน์ ทำให้ผมมีความรู้ในอิสลามมากขึ้น ส่วน "คนใน" จะมองอย่างไรก้อ คงเป็นเรื่องของ "คนใน" ซึ่งคนนอกคงเกี่ยวข้องด้วยไม่ได้ หาทางออก ให้ไม่ได้ แม้แต่เสรือกก็ไม่ได้อย่างแน่นอน... ยืนยันสำหรับผม อยากให้การวิวาทะนี้อยู่ต่อไปนาน คุณแมทท์ก็อย่า เบื่อซะก่อน ซึ่งผมว่าคุณ Carroth หรือคุณ Palmyra ไม่เบื่อแน่นอน เพียงแต่มีข้อเสนอ (คงไม่ใช่การเสรือกนะครับ) ว่า อารมณ์แบบมันส์ มีได้นะ แต่ถ้าเว้นถ้อยคำเย้ยหยันก็จะดีเหมือนกันนะ อีกอย่างคุณแมทท์ ก็ตอบชัดๆไปเลยนะครับเรื่อง ละหมาด อะไรนี่ เพราะคุณ Carroth แกบ่น มานานแล้วนะครับว่าคุณแมทท์ไม่ตอบซักที มันก็เลยทำให้สงสัยว่า ท่าทางคุณแมทท์จะจนคำถามแล้วจริงๆ เนี่ยถ้าผมมีความรู้เรื่องนี้ผมตอบ คุณ Carroth แทนคุณแมทท์ไปแล้วนะครับนี่ ไม่ใช่อะไรหรอก คุณแมทท์ จะได้เปิดประเด็นอื่นได้แบบปลอดโปร่งน่ะครับ ซึ่งจะยังประโยชน์ต่อศาสนิก อื่นๆ ที่อาจจะเข้าใจอิสลามน้อยอยู่นะ่ครับ...ขอพระเจ้าอวยพรทั้งสองท่าน จากคุณ : เต๋านีโอ - [ 21 ก.พ. 52 12:45:59 ]

ความคิดเห็นที่ 38 คุณแมทท์ก็อย่าเบื่อซะก่อน ซึ่งผมว่าคุณ Carroth หรือคุณ Palmyra ไม่เบื่อแน่นอน ผมโคตรเบื่อนายแมทท์เลยฮ่ะ   จากคุณ : Palmyra - [ 22 ก.พ. 52 10:59:20 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ผมว่า ไม่ใช่แขกกัดกันหรอกครับ ผมว่า คุณแมทท์ ดูเหมือน ชีอะฮฺ ว่ะ หรือ ไม่ก็ พวกชอบบิดเบือนอิสลาม ผมเข้าใจคุณ Carroth   คงเหนื่อยพูดกับพวกที่ปลิ้นปล้อน  เพราะ พูดกับคนพวกนี้มีแต่เหนื่อยกับเหนื่อย คือ ฟังอะไรไม่ค่อยรู้เรื่อง แล้วมาบิดเบือนให้คนอื่นเข้าใจผิด มันก็เป็นสิทธิของ คุณแมทท์น่ะครับ ในการที่จะวิจารณ์ แต่การกลืนน้ำลายตัวเอง มันก็ไม่เหมาะสม ไม่มีคุณสมบัติ ของการ Mass ผู้อื่น มันจะทำให้คนอื่นๆมองคุณว่า เป็นคน "ลวงโลก" หรือ อาจจะเพราะ คุณไม่ใช่มุสลิมที่แท้จริงก็ได้ ไม่แน่อาจจะเป็นทั้ง สอง ประเด็น ปล.ไม่แปลกที่ในโลกปัจจุบันจะมีคนรุมกันโจมตี สิ่งที่ดีกว่า ตนคิด จากคุณ : Arsenal_Buen - [ 22 ก.พ. 52 12:35:33 ]

ความคิดเห็นที่ 40 "ผมโคตรเบื่อนายแมทท์เลยฮ่ะ " หมดกัน...หน้าแหกเป็นริ้วปลาแห้งเลยผม นึกว่าคุณ Palmyra ไม่เบื่อ เห็นร่วมแสดงความเห็นสม่ำเสมอ งั้นขอโทษนะครับ ที่เดาใจผิด หยั่งงี้ชักไม่แน่ใจ คุณ Carroth แล้วซี รึจะพาลเบื่อไปอีกคนซะแหล่ว? จากคุณ : เต๋านีโอ - [ 23 ก.พ. 52 03:04:16 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ไม่หน้าแหกหรอกน่า คุณเต๋านีโอคงมาที่นี่ไม่นาน เลยไม่รู้ว่า เค้าเบื่อแมทท์กันถ้วนหน้าล่ะครับ แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 52 09:46:27 จากคุณ : Carroth - [ 23 ก.พ. 52 07:36:07 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ขอบคุณครับ คุณ Carroth แต่การมีอยู่ขอ คุณ แมทท์  ทำให้คนอื่น ๆ ได้เข้าใจ ศาสนาอิสลามมากขึ้นครับ บางทีอาจเป็นที่การตีความที่ต่างมุมกันไปนะครับ .... จากคุณ : นบนอบ - [ 23 ก.พ. 52 10:22:55 ]

ความคิดเห็นที่ 43 อือ คุณแครอท และเพื่อนมุสลิม เนื่องจากผมหายไปนานมาก ก็เลยไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับคุณแมทท์ ก็เลยยังไม่เบื่อ อิ อิ ถ้าตัดคำเสียดสี และวาระแฝงเร้นอะไรออกไปบ้าง ข้อความของคุณแมทท์ก็น่าสนใจดี(ส่วนจะเห็นด้วยหรือคล้อยตามหรือไม่เป็นอีกเรื่อง) อีกเรื่องหนึ่งที่ผมสงสัยเกี่ยวกับคุณแมทท์และเคยตั้งกระทู้ถามคุณแมทท์โดยตรงเมื่อนานมากแล้ว ว่าทำไมคุณแมทท์นอกจากไม่เชื่อฮาดิษ(ซึ่งคุณแมทท์แจกแจงเหตุผลไปหลายครั้งแล้วว่าทำไม) ยังจะไม่เชื่ออัลกรุอ่านด้วยหรือ ? อันนี้ผมสงสัยเนื่องมาจากข้อความที่สมาชิกมุสลิมได้แคปเจอร์หน้าจอมาแปะ อยู่หลาย ๆ กระทู้ เป็นข้อความที่คุณแมทท์สงสัยในบางโองการของอัลกรุอ่าน ถ้าคุณแมทท์ว่างมาอ่านเจอ ช่วยอธิบายผมอีกครั้งได้ไหม ว่าทำไมจึงเกิดเหตุการณ์นี้ได้ 1. คุณแมทท์สงสัยและคลางแคลงใจ จนถึงขั้นตัดสินใจว่าอัลกรุอ่านมีการปลอมปนจริง ๆ ดังว่า 2. หรือข้อความที่เหล่าสมาชิกโชว์อยู่นั้น คุณแมทท์หมายถึงอย่างอื่น ? ถ้าว่าง ๆ ก็กรุณาตอบด้วยนะครับ จากคุณ : น้องจั้ง (น้องจั้ง) - [ 24 ก.พ. 52 00:14:50 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ก่อนอื่นต้องขอทำความเข้าใจ ต่อ ความคิดเห็นที่ 34 ของ คุณ supanut01 ที่เขียนว่า “เข้ามาดูแขกกัดกัน” .................      ในสังคมไทย และ ในสังคมทั่วๆไป  มีทั้งผู้ที่มีมรรยาท ดีและเลวในเรื่องของ     Minority & Racism.  ปะปนกันไป แต่ผู้ที่มีมรรยาทเลว ในห้องศาสนาในเรื่องนี้   มีเป็นส่วนน้อยมากทีเดียว  เพราะ ตามหัวข้อกระทู้ต่างๆที่ ที่เราสนทนากันนั้น  ส่วนมาก  แล้ว เราพยายาม ที่จะใช้มรรยาทที่สุภาพเท่า  ที่จะทำได้  ถึงแม้บางครั้ง  จะมีการล่วงเกินกันบ้าง ก็ตาม        ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ใช้มรรยาทเลวทราม ในเรื่อง Racism จึงเป็น Minority ของสังคมเสมอ ไป ไม่ว่า ในสังคมใดๆ ของโลกนี้     ผมมักจะไม่สนใจในความหยาบคายของบุคคลที่ เป็น Minority เช่นคุณ และจะให้อภัยเสมอ   แต่ ในกรณีนี้ ผมอยาก จะเตือนคุณด้วยความหวังดีว่า ถ้าคุณใช้มรรยาท เช่นนี้ เป็นประจำใน ซีวิตของคุณ อยู่เสมอแล้ว, การงานของ คุณจะไปไม่ได้ไกล และหางานทำยาก และ ถ้ามีงานที่ดี อยู่แล้ว คุณ ก็อาจจะถูกไล่ออกจากงานอย่างง่ายดาย ถึงแม้ว่าคุณจะเฉลียวฉลาดสักเพียงใด และมีความรู้มากเท่าใดก็ตาม    ทั้งนี้ เพราะว่า คุณอยู่ใน Minority ที่ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม ไม่ว่า จะเป็น สัง คม ของ ชนชาติ แขก, จีน หรือไทย หรือ เชื้อชาติ ใดๆก็ตาม ,  Racism เป็นสิ่งที่เลวและชั่วช้าที่สุด  ไม่ว่าในศรัทธาใดๆ ก็ตาม    ....................... ปล. สำหรับ ..คุณ : เต๋านีโอ, คุณน้องจั้ง (น้องจั้ง) และ คุณ : Arsenal_Buen รวมทั้ง คุณๆที่เบื่อหน้าผมทั้งหลาย ....     หลังจากเลิกงานแล้วผมจะมาตอบข้อข้องในของ เพื่อนๆ สมาชิกที่มีความข้องใจในความคิดเห็นของผม, ผมจะกลับมาคุยต่อ  ไม่เกิน 24 ชั่วโมง ครับ และขอบคุณมากที่ให้โอกาสผมอย่าง ยุติธรรม เพื่อ อธิบายเรื่องข้องใจ เหล่านี้,  รับรองว่าไม่หนีไปไหน  ถ้าเราคุยกันด้วยเหตุผล   การแสดงความ คิดเห็นไม่จำเป็น  ที่จะต้องหวังว่า ผู้อ่าน จะต้องเห็นด้วยกับเราเสมอไป จริงไหมครับ? จากคุณ : แมทท์ - [ 24 ก.พ. 52 02:27:05 ]

ความคิดเห็นที่ 45 คุณ น้องจั้ง (น้องจั้ง).... ตามที่คุณถามผมว่า.. 1.คุณแมทท์สงสัยและคลางแคลงใจ จนถึงขั้นตัดสินใจว่าอัลกรุอ่านมีการปลอมปนจริง ๆ ดังว่า 2. หรือข้อความที่เหล่าสมาชิกโชว์อยู่นั้น คุณแมทท์หมายถึงอย่างอื่น? ถ้าว่าง ๆ ก็กรุณาตอบด้วยนะครับ เมื่อตอนเด็กๆเราถูกสอนให้ท่องจำอัลกุรอานเพียงอย่างเดียว  แต่ ไม่มีการถามตอบข้อสงสัย ในความหมายของอัลกุรอาน ถ้าเราถามจะถูก ดุและ จะตกนรก  แต่เมื่อเติบโตขึ้น  โลกเจริญขึ้น ท่านผู้รู้เหล่านั้น ไม่อาจจะรักษาความลับ ในการเข้าใจและตีความหมาย เพื่อผลประโยชน์ ให้ตัวเอง ได้อีกต่อไป  เรื่องต่างๆในอัลกุรอานจึง ถุกเปิดเผยออกมา 1.อัลกุรอานเป็นบัญญัติของพระเจ้า สำหรับมนุษย์ทุกๆคนไม่ใช่แต่เฉพาะชาวอรับเท่านั้น 2.พระเจ้าได้อธิบายลักษณะของการเข้าใจอัลกุรอาน ว่า  ส่วนใดที่เป็นบัญญํติ, ส่วนใดที่เป็น ประวัติศาสตร์, ส่วนใดที่เป็น การจัดระเบียบของสังคม ฯลฯ  และ ส่วนที่สำคัญที่สุด คือ เรื่องการเปรียบเทียบและการอุปมาอุปมัย, ซึ่งเป็นสุภาษิตสอนใจ เพื่อให้ มนุษย์ได้เข้าใจท คำสอนของ พระเจ้า โดยการเปรียบเทียบกับสิ่งที่มนุษย์ เคยสัมผัสด้วยโสรตประสาททั้ง 5 มาแล้ว      ในเรื่องนี้พระเจ้าได้บัญญัติไว้อย่างชัดแจ้งว่า  ต้องระวังพวกทุจริต ที่จะนำเรื่องการเปรียบเทียบ หรือสุภาษิตสอนใจ  ที่มีอยู่ในอัลกุรอาน มาหลอกลวง มุสลิมว่า เป็น บัญญัติ ที่เราจะต้องปฏิบัติตาม เรื่อง เปรียบเทียบ นั้น 3.   การศึกษาอัลกุรอานให้ศึกษาโดยใช้เหตุผลและความเข้าใจของเราโดยไม่ต้องเกรงว่า จะผิดหลักการของศาสนา เพราะพระเจ้าพระองค์เอง จะ เป็นผุ้แนะนำแนวทางให้เราเข้าใจ   สำหรับบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อในรายละเอียดและท้าทายความ ไม่สมบูรณ์ ของ อัลกุรอานนั้น เป็นผู้เขลาที่ ปิด หูปิดตา ตัวเอง โดยไม่ฟังเหตุและผล หรือ ที่เรียกว่า ไม่เข้าใจ   Logic of reality   ......................... ตัวอย่าง ของการกล่าวเท็จ ...อัลกุรอานซูเราะห์อัลอังกะบูต อายะห์ที่ 46 กล่าวว่า.. “ และเจ้าจงอย่าโต้เถียง(หรือวิวาท) กับชาวคัมภีร์ (ยิว และ คริสเตียน), เว้นเสียแต่การใช้(การสนทนา)ด้วยวิธีการที่ดีกว่า(การโต้เถียงหรือการวิวาท), นอกเสียจากว่าพวกเขา(ยิว และ คริสเตียน) จะ(พาล)หาเรื่องกับเจ้า(ทำให้เกิดบาดแผลความเจ็บปวด): และให้กล่าวแก่เขา (ยิว และ คริสเตียน) ว่า,” พวกเรา (มุสลิม) เชื่อในบัญญัติ (อัลกุรอาน) ที่พระเจ้าประทานลงมาให้เราและที่พระองค์ทรงประทานให้แก่พวกท่าน (ยิว และ คริสเตียน), พระเจ้าของเราและพระเจ้าของท่าน ก็เป็นพระเจ้าองค์เดียวกันและด้วยความศรัทธาต่อพระองค์เรายอมสวามิภักดิ์ต่อพระองค์” เราจะเห็นว่า พระเจ้าสอนท่านศาสดามูฮัมมัด ไว้อย่างชัดเจน ในเรื่อง มรรยาทในการสนทนาทางศาสนากับผู้ต่างศรัทธา.....      แต่มีนักปราชญ์อิสลาม ที่มีชื่อเรียกว่า “ท่านกอตาดะห์” และคนอื่นๆ กล่าวว่า อายะห์ที่ให้โต้เถียงกับอะห์ลุลกิตาบด้วยวิธีที่ดีกว่านี้ได้ถูกยกเลิกข้อบัญญัติไปแล้ว ด้วยกับอายะห์ที่สั่งให้ต่อสู้กับพวกเขา นั่นคือ ถ้าเขาไม่รับอิสลาม ก็ให้จ่ายญิซยะห์ (ภาษีคุ้มครองภายใต้การปกครองของรัฐอิสลาม) หรือไม่ก็ให้ต่อสู้กับพวกเขา  การที่ท่านกอตาดะห์ ผุ้นี้ เป็นใครที่ไหนผมไม่รู้จัก พยายามที่จะ ให้มุสลิม เป็นศัตรูกับยิวและคริสเตียน ต่อไป ...จึงกล่าวเท็จเป็น ฮาดีษ  ว่า บัญญัติ ดังกล่าวถูกยกเลิกไป แล้ว.....แต่ในที่สุดยังมีปราชญ์ท่านอื่นๆยังคงยืนยันว่า ข้อบัญญัติให้โต้เถียงกับพวกเขาด้วยวิธีที่ดีกว่านี้มิได้ถูกยกเลิกข้อบัญญัติ เพราะยังมีอายะห์อื่นที่อธิบายความในประเด็นนี้อยู่ เช่น ซูเราะห์อัลนะอ์ อายะห์ที่ 125   และซูเราะห์ตอฮา อายะห์ที่ 44    นี่เป็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ที่  ถูกนำมาใช้ในการยุยงให้มุสลิมทำการประท้วง เดินขบวน ก่อความวุ่นวาย   การกระทำดังกล่าว เป็นการบิดเบือนอัลกุรอานโดย ปราชญ์อิสลามที่ยังมีผู้นับถืออยู่ในปัจจุบัน    สำหรับความสงสัยในเรื่องเหตุผลของการสาบาน ของพระเจ้า ต่อสิ่งต่างๆ ที่พระองค์สร้างขึ้น นั้น เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ต้องการใช้สติปัญญาในการเข้าใจศาสนาเพื่อความ ศรัทธาอย่างแท้จริง ไม่ใช่ศรัทธาศาสนาอิสลามโดยกำเนิด     ด้วยเหตุนี้ผมจึงมีความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว(อัล- ละฮุ) อย่าง แท้จริง และด้วยความเข้าใจ,  ไม่ว่าพระองค์จะส่ง ศาสดาใดๆ หรือประทาน คัมภีร์ใดๆ รวมทั้งอัลกุรอานด้วย หรือไม่ ก็ตาม  ผมก็ยังมีความเชื่อในพระเจ้าโดยเหตุผลจาก การพยายาม เข้าใจ สิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเรา       เมื่อเราเข้าใจ ความบริสุทธ์ ของพระเจ้าอย่างแท้จริง  และได้ศึกษา  ข้อความของข่าวสารที่สำคัญที่พระองค์ส่งผ่านท่านศาสนทูตต่างๆ และ คัมภีร์ ต่างๆ จนถึงอัลกุรอานซึ่ง เป็นบัญญัติสุดท้าย  นั้นก็คือ “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นที่สมควรต่อการ กราบเคารพบูชา” ซึ่งภาษาอรับเรียกว่า “อัลลอฮ์” ซึ่งเป็นสามัญนาม ในความหมายว่าพระเจ้าของ อรับคริสเตียนเช่นกัน          ด้วยเหตุนี้การเอาข้อสงสัยของผมในเรื่องการสาบานของพระเจ้า มาอ้างว่าผมขาดจากการเป็นมุสลิมจึง ฟังไม่ขึ้น    ด้วยเหตุผลอันนี้ ผมจึงจำเป็นต้องนำ คุณลักษณะของ ท่านรอซูลมาเตื่อน ใจ บรรดาผู้ที่เชื่อเรื่องเหลวไหลเกี่ยวกับท่านรอซูล เพื่อให้มุสลิมเห็นว่า ผู้ที่เป็นศาสดาเช่นท่านรอซูล ย่อมไม่ปฏิบัติสิ่งใดที่เหลว ไหล นอกเหนือไปจาก คำสอนในอัลกุรอาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำ “ชิริก” และ “บิดะอะห์”  ต่างๆ จากคุณ : แมทท์ - [ 24 ก.พ. 52 14:26:41 ]

ความคิดเห็นที่ 46 สมมติว่าคุณ Tiger Woods เป็นมุสลิมผุ้ไม่เคยศึกษาการทำละหมาดจาก อะหะดีษ     ถ้ามีผุ้สั่งให้คุณTiger Woods ว่า “You may not improve your lie by moving, breaking, or bending growing vegetation”    คุณ Tiger Woods ก็จะเข้าใจได้ทันทีและทำตามคำสั่งนั้น   แต่ คุณ Carroth อาจจะไม่เข้าใจ ว่าเขาพูดเรื่องอะไรกัน และต้องไปค้นหาความหมายของ คำสั่งนั้น โดยอาศัย Logic of reality คือกฏเกณฑ์ ในการเล่นกอล์ฟ   แต่ถ้ามีผู้สั่งคุณ Carroth  ให้ใส่ใจในเรื่อง ละหมาด 5 เวลา จาก  “เมี๊ยะราจและ/หรือ อิศรอ”  คุณ Carroth  จะทำตามและเข้าใจได้อย่างดี เพราะเคยได้ยินเขาเล่าเรื่องนี้มาแล้ว,  แต่คุณ Tiger Woods จะงงเป็นไก้ตาแตก ว่าเขาสั่งให้เราทำอะไรเราไม่เคยรู้มาก่อน....เช่นเดียวกันกับคุณ Carroth,   คุณ Tiger Woods จะต้องไปค้นหา  อ่านเรื่อง ประวัติการทำละหมาด  5 เวลา จาก อะฮาดีษ ซึ่งเป็นเรื่องเล่า ประกอบด้วยเหตุผลต่างๆ จากเรื่องบอกเล่าเช่นกัน  โดยอาศัย Logic of fairy tales แล้วคุณTiger Woods ก็จะกล่าวว่า  “อ้อเรื่องราวเป็นเช่นนี้เอง เรา มุสลิมถึงทำการละหมาดวันละ 5 เวลา     ถ้าเราอ่านอัลกุรอานแล้วพบว่า พระเจ้าสั่งกำชับ ให้มุสลิมทำละหมาดวัน ละ 5 เวลา  นั้นหมายความว่า  พระองค์ทรงเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า  การละหมาด 5 เวลา เป็นสิ่งที่ มนุษย์ในสมัยนั้น มีประสบการณ์มาแล้ว และพระองค์ได้ ย้ำและ เตือน ถึงเวลาในการละหมาด ไว้ในอายะต่างๆในการทำละหมาด ไว้ในอัลกุรอาน อย่างชัดเจน ซึ่งผู้ที่ ศึกษาอัลกุรอาน ทุกๆชาติ ทุกๆภาษา  ได้เขียน อธิบายเรื่อง การละหมาด 5 เวลา ในอัลกุรอาน ไว้เป็นจำนวนมาก  ถ้าเราศึก ษาอัลกุรอาน ในเรื่องการทำละหมาด วันละ 5 เวลาของมุสลิม แล้ว จะมีเหตุผล ที่เชื่อถือได้ มากกว่า  ประวัติการทำละหมาด ตามอะหะดีษ ซึ่งเป็น Logic of fairy tales จากคุณ : แมทท์ - [ 24 ก.พ. 52 15:54:17 ]

ความคิดเห็นที่ 47 จากความวามคิดเห็นที่ 26 นั้นผมอธิบายได้ดังนี้   ทีผมกล่าวว่า ไม่เชื่ออะหะดีษนั้น เพราะเป็นเรื่องเล่าที่ขัดต่ออัลกุรอานและ อะหะดีษเป็นจำนวนมาก ที่ทำให้  เกียรติยศของท่านรอซูล เสื่อมเสียโดยที่ ท่านรอซูลไม่มีส่วนรับรู้ด้วย,   สำหรับฮาดีษดีๆที่มีการสอนตรงกับอัลกุรอาน  ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องมากล่าวซ้ำในหนังสือนิทาน ควรจะ เก็บไว้ให้เป็นเรื่องราวและบัญญัติของอัลกุรอานเท่านั้น,  ด้วยเหตนี้ จึงทำให้การเข้าใจ หลักการของอิสลามผิดเพี้ยนไป  เช่นหลักในการทำสิ่งที่เป็น “ชิริกมีอะไรบ้างนั้น”       จากความวามคิดเห็นที่ 26   เป็นหลักการที่ มนุษย์เขียนขึ้นมาเพื่อความสดวกและหลบหลีกเลี่ยงการกระทำที่เป็น “ชิริก”“ซึ่งไม่ตรงกับความหมายในอัลกุรอานซึ่งเป็นบัญญัติของพระเจ้า,  ด้วยเหตุนี้  คำสั่งหรือบัญญัติใน อะหะดีษ จึงไม่อาจจจะลบล้าง บัญญัติของพระเจ้าได้ หลักการเหล่านั้น จึงเป็นโมฆะ      ถ้า มุสลิมยึดหลักการเช่นนั้น อีกไม่ช้านาน   คุณๆจะเห็น ว่า “มุสลิมมีก้อนหิน, ก้อนกรวด , ก้อนดิน จาก มะกะฮ์ ” ห้อยคอกันเป็นแถว ซึ่งเป็นการแสดงความรัก ท่านรอซูล และพระเจ้า แต่ไม่ได้ใช้เคารพบูชา ,  พอนึกถึงพระเจ้าก็ดึงก้อนหินมาจูบ  “ซึ่งเป็นชิริกตามอัลกุรอาน”  แต่ไม่เป็น ชิริกตาม “อะหะดีษ” จากคุณ : แมทท์ - [ 24 ก.พ. 52 15:57:48 ]

ความคิดเห็นที่ 48 จากอัลกุรอาน การละหมาดมีอยู่  5 เวลา  เวลาเหล่านั้นมี ดังนี้ 1.การละหมาด ซุบฮิ  มีใน บทที่ 24  อายะที่ 58 2.การละหมาด    ซุฮฺริ มีใน บทที่ 24  อายะที่ 58  และ   17: 78   3.การละหมาด อัศริ  มีใน บทที่ 2  อายะที่238   และ     17: 78   4.การละหมาด   มัฆริบ มีใน บทที่  17  อายะที่ 78     5.การละหมาด  อีชา  มีใน บทที่ 24  อายะที่ 58   ผมขอตอบเท่านี้ก่อน แต่อยากจะให้คุณตอบคำถามผมบ้างไม่ใช่หาทางหลีกเลี่ยง และ เสแสร้งว่าคำถามผมไม่มีคุณค่า  ผมได้ให้ จุดเริ่มต้นในการอธิบายการละหมาดตามคำสั่งจากอัลกุรอานไว้แล้วและในทำนองเดียวกัน..ผมขอถามคำถามข้างล่างนี้โดยตรงต่อคุณCarroth ว่า...   " จุดเริ่มต้นในการละหมาด 5 เวลา ตาม อะหะดีษที่คุณว่านั้น มีอยู่ที่ใด หมวดใด และ หมายเลข อะไร? และเป็น “ฮาดีษ” ระดับใด?"  ทั้งนี้ เพื่อที่เราจะได้ เปรียบเทียบกันไปตามลำดับ เพื่อ ผู้สนใจในที่นี้ โดยเฉพาะ  "คุณเต๋านีโอ" ที่ให้ความคิดเห็นในเรื่องนี้ไว้อย่างยุติธรรมจะได้เข้าใจควบคู่กันไป       ถ้าคุณไม่ทำตามกติกาโดยตอบคำถามผมแล้ว เราก็ไม่มีความจำเป็น จะต้องคุยต่อไป เพราะคุณไม่อาจจะหาหลักฐานทางอะฮาดีษมาแสดงให้ผม และ ท่านสมาชิกที่สนใจ ได้เห็นเช่นกัน แต่ผมมีหลักฐานจากอัลกุรอานเตรียมไว้ให้คุณแล้ว     คุณ เต๋านีโอ...คุณคิดว่าเป็นความยุติธรรมหรือไม่?  สำหรับผมเห็นว่าถ้า คุณ Carroth  ไม่ตอบคำถามผมแล้ว  ผมจะไม่ได้ความเข้าใจที่ถูกต้องในความศรัทธาต่อ อิสลามจาก คุณ Carroth   เลย และ ไม่มีความจำเป็นต้องสนทนาเรื่องนี้อีกต่อไป จากคุณ : แมทท์ - [ 24 ก.พ. 52 16:05:06 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ผมรอแมทท์มาคุยเรื่องนี้ซะนานแสนนานเลยนะครับนึกว่าจะไม่ตอบซะแล้ว เอาล่ะเรามาดูกันดีกว่า ว่า ฮะดีษเรื่องละหมาดมี 5 เวลา ท่านนบีบอกกับเราไว้ว่าอย่างไร? อิบนิอับบาสรายงานว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม ได้แต่งตั้งมุอาซไปยังเมืองยะมัน ท่านสั่งว่า เจ้าจงเรียกร้องเชิญชวนพวกเขาสู่คำปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และฉัน(มุฮัมมัด)เป็นรอซูลของพระองค์ ถ้าพวกเขาเชื่อฟังตามนี้ก็จงสอนให้พวกเขารู้ว่าอัลลอฮฺได้ทรงกำหนดเป็นฟัรฎูแก่พวกเขาให้ละหมาดในแต่ละวันกับคืนหนึ่ง 5 เวลา ถ้าพวกเขาเชื่อฟังตามนี้ก็จงสอนให้พวกเขารู้ว่าอัลลอฮฺได้ทรงกำหนดการจ่ายทานบังคับจากทรัพย์สินของพวกเขาที่เก็บจากคนมั่งมีในพวกเขานำมาคืนแก่คนยากจนในพวกเขา ( บันทึกโดย บุคอรี : อัซฺซฺะกาฮฺ ) อบูฮุร็อยเราะฮฺรายงานว่า เขาได้ยินท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า พวกท่านเห็นเป็นอย่างไร ถ้าหากว่ามีลำธารไหลผ่านหน้าประตูบ้านคนใดคนหนึ่งในพวกท่าน ที่เขาได้อาบน้ำในลำธารนั้นทุกวันวันละ 5 ครั้งท่านว่ามันยังจะเหลือสิ่งสกปรกที่ตัวเขาอยู่หรือไม่ บรรดาเศาะหาบะฮฺตอบว่า ไม่เหลือสิ่งสกปรกที่ตัวเขาเลยสักสิ่ง ท่านกล่าวต่อไปว่า นั่นก็เปรียบเสมือนการละหมาด 5 เวลานี่แหละ ที่อัลลอฮฺจะทรงลบล้างความผิดต่างๆให้แก่เขา ( บันทึกโดย บุคอรี : มะวากีตุศเศาะลาฮฺ ) นี่เป็นตัวอย่างครับ แล้วผมจะหามาให้อีก ผมบอกแล้วว่า ผมไม่ใช่ผู้รู้ แต่ถ้าถามผมจะพยายามหาคำตอบมาให้ครับ ชัดเจน 5 เวลา ไม่ต้องมามั่วกันเหมือนที่แมทท์ เอามาอ้าง จากคุณ : Carroth - [ 24 ก.พ. 52 17:45:24 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ทีนี้เรามาดูคำตอบแบบโมเมของแมทท์บ้างว่า ละหมาด 5 เวลา นั้น มีในกุรอ่าน แบบไหนกันแน่ แมทท์บอกว่า จากอัลกุรอาน การละหมาดมีอยู่  5 เวลา  เวลาเหล่านั้นมี ดังนี้ 1.การละหมาด ซุบฮิ  มีใน บทที่ 24  อายะที่ 58 2.การละหมาด    ซุฮฺริ มีใน บทที่ 24  อายะที่ 58  และ   17: 78   3.การละหมาด อัศริ  มีใน บทที่ 2  อายะที่238   และ     17: 78   4.การละหมาด   มัฆริบ มีใน บทที่  17  อายะที่ 78     5.การละหมาด  อีชา  มีใน บทที่ 24  อายะที่ 58 ครับ ดูเผินๆ เหมือนตอบได้นะครับ ว่า ละหมาด มี 5 เวลา ครบเป๊ะแต่ไม่ใช่ครับ อยากเรียนให้ทุกท่านทราบนะครับว่า ละหมาดนั้นน่ะ มุสลิมมี 5 เวลาครับ ที่ต้องรักษาให้ครบ ซึ่งมุสลิมทั่วโลกรู้ดีอยู่แล้ว ไม่ใช่ 6 หรือ 7 หรือ 8 หรือ 9 เวลา แต่จริงๆ แล้วถ้าเราอ่านแต่กุรอ่านโดยไม่เอาคำสั่งที่ว่า ให้ทำตามนบี หรือที่เราเรียกว่าฮะดีษนั้น จะพบว่า มีมากกว่า 5 เวลาครับ ดังนี้ 238. พวกเจ้าจงรักษาบรรดาละหมาดไว้ และละหมาดที่อยู่กึ่งกลาง(*1*) และจงยืนละหมาดเพื่ออัลลอฮ์โดยนอบน้อม กุรอ่านบอกไว้ครับว่า จงรักษาบรรดาละหมาดไว้ และละหมาดที่อยู่กึ่งกลางด้วย บรรดาละหมาดมีเวลาใดบ้าง มีแค่ 5 เวลาเหรอครับ ถ้าจะอ้างแบบแมทท์ เปล่าเลย เรามาดูว่า เวลาในกุรอ่านมีอะไรบ้าง อ่ะ ผมสมมุตินะครับ ว่าให้กึ่งกลางระหว่างวันเป็น ดุฮริ แล้วกัน แต่ก่อนจะกึ่งกลางมีอะไร และจงสดุดีด้วยการสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าก่อนการขึ้นของดวงอาทิตย์ และก่อนมันตก (50:39) ให้สดุดีสรรเสริญก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น .... มันตรงกับละหมาดศุบห์นี่นา แล้วสดุดีสรรเสริญก่อนดวงอาทิตย์ตก .... ก็ตรงกับละหมาดอัศร์ ใช่เหรอ??????? ก่อน พระอาทิตย์ตกมี แค่อัศร์เหรอครับ? ไม่ใช่ครับ ซูเราะฮฺ อัฎฎุฮา อายะห์ที่ 1. ขอสาบานด้วยเวลาสาย นี่ก็เวลา หนึ่ง จาก เวลา ก่อนพระอาทิตน์ตก และจงรำลึกถึงพระเจ้าของเจ้ามาก ๆ และจงกล่าวสดุดีในความบริสุทธิ์ของพระองค์ ทั้งในเวลาอะชีย์และเวลาอิบการ์ (3:41) และจงแซ่ซ้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้าทั้งในเวลาอะชีย์และเวลาอิบการ์ (40:55) กึ่งกลางระหว่าง วัน ให้เป็น ดุฮริ แล้วก่อน แต่ก่อนจะกึ่งกลางมีอะไร มี : อิบการ์(อิบการ์คือเวลาเช้า) ฎุฮา แล้วหลังกึ่งกลางมีอะไร มี : อะชีย์(อะชีย์ ก็ เวลาช่วงเย็นๆ) อัศริ 5 แล้ว ครับ มีอีก 58. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ! จงให้บรรดาผู้ที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง (*1*) และบรรดาผู้ที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะในหมู่พวกเจ้า ขออนุญาตพวกเจ้าสามเวลาคือ ก่อนเวลาละหมาดฟัจญริ และเวลาพวกเจ้าเปลื้องเสื้อผ้าในเวลากลางวัน (*2*) และหลังจากเวลาละหมาดอิชาอฺ (*3*) ทั้งสามนี้เป็นเวลาส่วนตัวสำหรับพวกเจ้า (*4*) หลังจากนี้แล้วไม่เป็นที่น่าตำหนิแก่พวกเจ้าและแก่พวกเขา เพราะพวกเขาวนเวียนรับใช้บางคนในหมู่พวกเจ้า เช่นนั้นแหละอัลลอฮฺทรงชี้แจงโองการทั้งหลายให้เป็นที่ชัดแจ้งแก่พวกเจ้า และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ มีเวลา ฟัจญริ และ อิชา ด้วย กี่เวลาแล้ว จากคำว่าบรรดา ละหมาด และนับกึ่งกลางอีก 1 ฟัจญริ อิบการ์ ฎุฮา ดุฮริ อะชีย์ อัศริ อิชา 7 แล้ว ยังนะครับ ซูเราะห์อัซ-ซุมัร  โองการ 9  ซึ่งมีใจความว่า  :  “หรือว่าพวกเจ้า  (โอ้ชนชาวมุชริก)  จะดีกว่าผู้ที่มีความภักดีที่ทำการกราบนมัสการและตื่นขึ้นในเวลากลางคืน  โดยมีความหวั่นกลัว (อันตรายของ) โลกหน้า  และมุ่งหวังความเมตตาแห่งองค์อภิบาลของเขา   จงประกาศเถิด ! บรรดาผู้รู้กับผู้ไม่รู้นั้นจะเท่าเทียมกันหรือ ?  อันที่จริงบรรดาผู้มีวิจารณญาณทั้งหลายย่อมสำนึกแน่” มีแบบกลางคืนอีก กี่เวลาแล้ว ฟัจญริ อิบการ์ ฎุฮา ดุฮริ อะชีย์ อัศริ อิชา นี่ก็ 8 แล้วครับ 17:78 จงดำรงการละหมาดไว้ตั้งแต่ตะวันคล้อยจนพลบค่ำ และการอ่านยามรุ่งอรุณจริงการอ่านยามรุ่งอรุณนั้นเป็นพยานยืนยันเสมอ พลบค่ำก็ มัฆริบ ตอนนี้มีเวลาอะไรบ้าง ศุบฮ์ อิบการ์ ฏุฮา ดุฮริ อะชีย์ อัศริ มัฆริบ อิชา และเวลา ที่ตื่นขึ้นกลางดึก คือ ตะฮัจญุดนะครับ 9 แล้วนะครับ จากคุณ : Carroth - [ 24 ก.พ. 52 18:08:47 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เพราะฉะนั้น เนี่ย จึงไม่ใช่ 5 เวลาแบบที่แมทท์ลักไก่แต่อย่างใด เพราะถ้าไม่เอาฮะดีษ เราจะนับ เวลาละหมาดได้ อย่างน้อยๆ ก็ 9 แล้วครับ ไม่ใช่ ส่วนที่แมทท์บอกว่า มี 5 ในกุรอ่าน ก็เพราะแมทท์รู้ว่ามุสลิม ละหมาด 5 เวลา อยู่แล้ว จึงพยายามอ้าง ตามเวลาที่รู้ๆกันอยู่ แต่ถ้าแมทท์ไม่รู้มาก่อนว่า มุสลิมละหมาดกัน 5 เวลา ก็จะ ไม่ได้ 5 เวลาครับ อาจจะ 9 หรือ ได้เป็นสิบด้วยซ้ำ และแมทท์มักอ้างเสมอว่า ถ้าเราอ่านอัลกุรอานแล้วพบว่า พระเจ้าสั่งกำชับ ให้มุสลิมทำละหมาดวัน ละ 5 เวลา  นั้นหมายความว่า  พระองค์ทรงเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า  การละหมาด 5 เวลา เป็นสิ่งที่ มนุษย์ในสมัยนั้น มีประสบการณ์มาแล้ว และพระองค์ได้ ย้ำและ เตือน ถึงเวลาในการละหมาด ไว้ในอายะต่างๆในการทำละหมาด ไว้ในอัลกุรอาน อย่างชัดเจน ซึ่งผู้ที่ ศึกษาอัลกุรอาน ทุกๆชาติ ทุกๆภาษา  ได้เขียน อธิบายเรื่อง การละหมาด 5 เวลา ในอัลกุรอาน ไว้เป็นจำนวนมาก  ถ้าเราศึก ษาอัลกุรอาน ในเรื่องการทำละหมาด วันละ 5 เวลาของมุสลิม แล้ว จะมีเหตุผล ที่เชื่อถือได้ มากกว่า  ประวัติการทำละหมาด ตามอะหะดีษ ซึ่งเป็น Logic of fairy tales แมทท์อ้างว่ามนุษย์สมัยนั้นคุ้นเคยอยู่แล้ว คุ้นเคยกับอะไรครับละหมาด 5 เวลาเหรอ คุ้นเคยจากสมัยไหน ก่อนอิสลามหรือไง ตั้งแต่สมัย นบีอิบรอฮีมเหรอครับ? โกหกชัดๆ การอ้างแบบนี้เป็นการอ้าง ที่มั่วที่สุดครับเพราะอะไร เพราะ นบีอิบรอฮีม หรือ อับราฮัมนั้น เชื้อสายของท่าน แตกเป็น ยูดาย หรือยิว และคริสต์ และไม่เคยปรากฎว่า มีคริสต์หรือยิว คนไหน กลุ่มไหนละหมาด 5 เวลานะครับ ถ้ามีหาหลักฐานมาด้วย แล้วจะมาอ้างได้อย่างไรว่า คุ้นเคย กับ 5 เวลาอยู่แล้ว? มั่วสิ้นดี ใครๆ ก็รู้ว่า สมัย ก่อนอิสลาม บริเวณ วิหารกะบะห์ ที่มุสลิมไปทำฮัจญ์ปัจจุบันนั้นน่ะ เต็มไปด้วย เทวรูปครับ เขากราบไหว้เทวรูปกัน ไม่มี หลักฐานว่ามีการละหมาด 5 เวลาแต่อย่างใด ถ้าจะมี กล่าวไว้ ก็เพียงสองเวลาด้วยซ้ำ ไม่ใช่ 5 เวลา การอ้างว่าคุ้นเคยมาก่อนจึงเป็นการมั่วนิ่มอย่างมาก เพราะถ้านับจริงๆ ในกุรอ่านล่ะก็ ได้ 9 เวลาอย่างน้อยครับ จากคุณ : Carroth - [ 24 ก.พ. 52 18:15:14 ]

ความคิดเห็นที่ 52 จากการที่ผมคุยประเด็นละหมาด เนี่ย จริงๆ แล้วคำถามของผมก็เพียงพอแล้วล่ะครับว่า มุสลิมจะไม่ละหมาด 5 เวลาอย่างปัจจุบัน ถ้าไม่มีฮะดีษ เพราะการใช้กุรอ่านอย่างเดียวโดยปฏิเสธแบบอย่างท่านนบีนั้น เราก็จะได้ละหมาด อย่างน้อยๆ ก็ 9 เวลาเข้าไปแล้ว คำว่า 5 เวลา จึงมาจาก แบบอย่างท่านนบีครับ แมทท์บอกว่า ถ้าเราอ่านอัลกุรอานแล้วพบว่า พระเจ้าสั่งกำชับ ให้มุสลิมทำละหมาดวัน ละ 5 เวลา อันนี้ ก็มั่วอีกเหมือนกัน ไม่มีตรงไหนบอกนะครับว่า จงละหมาดวันกับคืนหนึ่ง 5 เวลา บอกแบบนี้ไม่มี แต่อัลลอฮฺกำชับให้รักษาละหมาดครับ ดังนี้ 238. พวกเจ้าจงรักษาบรรดาละหมาดไว้ และละหมาดที่อยู่กึ่งกลาง(*1*) และจงยืนละหมาดเพื่ออัลลอฮ์โดยนอบน้อม บรรดาละหมาด ไม่ได้บอกสักนิดว่า 4 หรือ 5 แต่เราจริงๆ กุรอ่านสั่งให้มุสลิมได้ละหมาด ครบ 5 เวลาจากโองการนี้ต่างหากครับ (3:132) " และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา " (4:80) " ผู้ใดเชื่อฟังรอซูล แน่นอนเขาก็เชื่อฟังอัลลอฮฺแล้ว และผู้ใดผินหลังให้ เราก็หาได้ส่งเจ้าไปในฐานะเป็นผู้ควบคุมพวกเขาไม่ " (24:56) " และพวกเจ้าจงดำรงละหมาด และจงบริจาคอัซซะกาฮ์ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามรอซูล เพื่อพวกเจ้าจะได้รับควาเมตตา " (26:108) " ดังนั้นพวกท่านจงยำเกรงอัลลอฮฺ และเชื่อฟังฉัน" (นบีนุฮฺ) (4:59) " ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไปที่สวยยิ่ง " (4:69) " และผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮฺ และรอซูลแล้วชนเหล่านี้จะอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺทรงกรุณาเมตตาแก่พวกเขา อันได้แก่บรรดานบี บรรดาผู้ที่เชื่อโดยดุษฏี บรรดาผู้ที่เสียชีวิตในสงคราม และบรรดาผู้ที่ประพฤติดี และชนเหล่านี้แหละเป็นเพื่อนที่ดี " (33:71) " พระองค์จะทรงปรับปรุงการงานของพวกเจ้าให้ดีขึ้นสำหรับพวกเจ้า และจะทรงอภัยโทษความผิดของพวกเจ้าให้แก่พวกเจ้าและผู้ใดเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ แน่นอนเขาได้รับความสำเร็จใหญ่หลวง " คือโองการให้ทำตามแบบอย่างของท่านนบี ซึ่งเราจะหาแบบอย่างท่านนบีได้จากไหน ถึงจะมี ละหมาด 5 เวลา ก็คือฮะดีษไงล่ะครับ ซึ่งบอกไว้ดังนี้ อิบนิอับบาสรายงานว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม ได้แต่งตั้งมุอาซไปยังเมืองยะมัน ท่านสั่งว่า เจ้าจงเรียกร้องเชิญชวนพวกเขาสู่คำปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และฉัน(มุฮัมมัด)เป็นรอซูลของพระองค์ ถ้าพวกเขาเชื่อฟังตามนี้ก็จงสอนให้พวกเขารู้ว่าอัลลอฮฺได้ทรงกำหนดเป็นฟัรฎูแก่พวกเขาให้ละหมาดในแต่ละวันกับคืนหนึ่ง 5 เวลา ถ้าพวกเขาเชื่อฟังตามนี้ก็จงสอนให้พวกเขารู้ว่าอัลลอฮฺได้ทรงกำหนดการจ่ายทานบังคับจากทรัพย์สินของพวกเขาที่เก็บจากคนมั่งมีในพวกเขานำมาคืนแก่คนยากจนในพวกเขา ( บันทึกโดย บุคอรี : อัซฺซฺะกาฮฺ ) สรุปแล้ว ถ้าไม่มีฮะดีษ ยังไงก็ละหมาดไม่ได้ คำตอบของแมทท์ก็ประจานตัวเองแล้วว่า การใช้กุรอ่านโดยปฏิเสธแบบอย่างนบี เนี่ย ไม่สามารถ ละหมาดได้หรอกครับ การที่แมทท์ถามผมเรื่องฮะดีษ หรือให้เอามายืนยันเนี่ย จึงไม่ใช่อะไรนอกจาก การเลี่ยงความมั่วของตัวเองเท่านั้น แต่ไม่เป็นไรผมก็เอามาให้อ่านแล้วล่ะครับ ว่าฮะดีษน่ะบอกเรื่องละหมาด 5 เวลาชัดๆ เต็มๆ จากคุณ : Carroth - [ 24 ก.พ. 52 19:14:25 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ทีนี้เรามาดูกันดีกว่าครับ ว่าแมทท์แค่สงสัย หรือแมทท์ โจมตีอิสลาม และเป็นมุนาฟิกกันแน่? แมทท์บอกว่า กุรอ่านถูกปลอมแปลง แต่เมื่อรู้ว่าการพูดแบบนี้ มันเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะกุรอ่านได้รับการปกป้องจากอัลลอฮฺ การบอกว่ากุรอ่านถูกปลอมแปลง นั้นจึงเป็นการปฏิเสธอัลลอฮฺอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แมทท์จึงเปลี่ยนแนวมาโจมตีฮะดีษแทน แต่ช้าไปแล้วเพราะ หลักฐานได้รับการบันทึกไว้ว่า แมทท์มีสันดานอย่างไร นี่คือกุรอ่าน ในสายตาแมทท์ จากคุณ : Carroth - [ 24 ก.พ. 52 19:23:36 ]

ความคิดเห็นที่ 54 นี่แหละครับสันดานแห่งความปลิ้นปล้อนตลบแตลงของแมทท์ แมทท์อ้างว่า การตั้งคำถามต่างๆ เกี่ยวกับคำสอนใน คัมภีร์มีอยู่ในทุกๆศาสนา  ถ้าไม่ถามให้เข้าใจแล้ว  จะโง่ดักดาน เข่นคุณ และที่ ยืน จูบลูบคลำกำแพง อิฐปูน อย่างที่เห็นในภาพ แต่ มาอ่านดีดีครับว่านี่คือคำถาม หรือว่า การฟันธง ผมจะสรุปใหม่ครับ  และขอขอบคุณที่ช่วยกรูณานำสถิติ ในการ สาบานของชาวอรับ มาแสดงให้ดู ซึ่งจะ เป็นประโยชน์ต่อการสรุปขั้นสุดท้าย ในการตึความหมายเรื่องการสาบานของอัลลออ์ ในอัลกุรอานนั้น  เป็น การ พยายามแก้หน้าของมุสลิม เรา เสียมากกว่า ที่เราไม่ยอมรับ ข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดจากการ  ปลอม แปลง ของ ผู้รวบรวมอัลกุรอานที่  ยังติดความเคยชินหรือ นิสัยในการสาบาน นี่แหละครับ สันดานกลิ้งกลอก ของแมทท์จอมตลบแตลง ต้องให้ลากออกมาประจาน ต้องให้จับให้ดิ้นไม่ได้ หรือครับ ถ้าเมื่อก่อนผมคงถามหายางอาย ของแมทท์ แต่ตอนนี้ผมคิดว่าถามไปก็เท่านั้น เพราะคนอย่างแมทท์ คือคนไร้ยางอายไงล่ะครับ จากคุณ : Carroth - [ 24 ก.พ. 52 19:28:28 ]

ความคิดเห็นที่ 55 แล้วจะบอกผมได้ยังอ่ะครับ ว่า การจูบหินดำ และการเมียะรอจเป็นชิริกอย่างไร?อธิบายด้วยนะครับ แต่ขอหลักฐานหน่อยนะ ไม่ใช่มั่วเอาตามใจ ผมว่าชิริกสำหรับแมทท์ก็คงเป็นอะไรก็ตามที่มันไม่สบอารมณ์แมทท์นั่นแหละครับไม่ใช่อย่างอื่น แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 52 20:39:09 จากคุณ : Carroth - [ 24 ก.พ. 52 19:29:15 ]

ความคิดเห็นที่ 56 โอย ข้อมูลเยอะ อะ ผมสรุปประเด็นนิดหนึ่ง ไม่ทราบว่าตรงไหมนะ สรุปคุณแมทท์บอกว่า 1. อัลกรุอ่านบอกว่าให้ละหมาด 5 เวลา คุณแครอทบอกว่า อัลกรุอ่านระบุไว้มากกว่า 5 เวลา และใช้ฮาดิษกำกับอีกครั้งว่า 5 เวลานั้นเป็นอย่างน้อย ที่เหลือนั้น(จะเป็น6 9 11) แล้วแต่กำลังศรัทธา คำถามคือ แล้วเวลาที่เหลือจาก 5 หละครับคุณแมทท์ เรารู้ได้อย่างไรว่า ที่เหลือจาก 5 นั้น ไม่ใช่สิ่งที่เป็นเวลาที่ "จำเป็น" โดยไม่อาศัยฮาดิษ 2. การละหมาดมีมาก่อนนบีมูหัมหมัดหรือไม่ ส่วนตัวผมคิดว่ามี แต่อาจจะเลือนหายไป และรูปแบบรวมถึงจำนวนอาจจะไม่เหมือนกับที่ชาวมุสลิมปฏิบัติหลังจากที่นบีมูหัมหมัดมาถึงแล้ว คุณแมทท์และคุณแครอทคิดว่าอย่างไรครับ 3. คุณแมทท์อธิบายข้อความที่คุณเคยโพสต์ในทำนองว่าอัลกรุอ่านมีสิ่งปลอมปนหรือไม่ ในทำนองว่า เป็นการตั้งคำถามและข้อสังเกตต่ออัลกรุอาน ด้วยความคิดอิสระ เป็นกระบวนการตั้งคำถาม เพื่อให้สิ้นข้อสงสัยต่ออัลกรุอ่าน แบบนี้ใช่ไหมครับ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้หละครับคุณแมทท์ ได้หายสงสัยหรือได้คำตอบหรือยัง ในข้อสงสัยที่ต่ออัลกรุอ่านในทำนองดังกล่าว คือ คุณแมทท์เหมือนกับสงสัยว่ามีบางส่วนเป็นฝีมือของมนุษย์เติมลงไปด้วยข้อสังเกตของสำนวนการสาบาน อยากถามว่าข้อนี้คุณแมทท์หายสงสัยหรือยัง ถ้าหายแล้ว หายได้อย่างไรครับ หรือได้คำตอบว่าอย่างไรบ้าง 4. เรื่องฮาดิษ คุณแมทท์ชัดเจนว่าไม่เชื่อ คล้ายกับจะบอกว่า ฮาดิษคือเอกสารทางโบราณคดีชนิดหนึ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อบันทึกความทรงจำที่มีต่อศาสดา แล้วส่งต่อบันทึกที่ว่านี่เป็นระยะเวลานับพันปี เอกสารบันทึกความทรงจำนี้ มนุษย์รับรองกันเอง และมนุษย์(ไม่ว่าจะเก่งกาจปานใด) ก็มีโอกาสที่จะผิดพลาดได้ ดังนั้นคุณแมทท์จึงเชิญชวนให้หันกลับมาอ้างอิงอัลกรุอ่านเพียงอย่างเดียว พูดอีกแบบก็คือ ฮาดิษ คือเอกสารที่ว่าด้วยศาสดา แต่ไม่ใช่ศาสดาเอง การปฏิเสธ ฮาดิษ ไม่ใช่การปฏิเสธศาสดา เพียงแต่ปฏิเสธระบบเอกสารที่อ้างว่าได้บันทึกจริยวัตรของศาสดา โดยผู้รู้หรือปราชญ์ รุ่นก่อน ๆ ผมสรุป ไอเดียของคุณแมทท์แบบนี้ถูกหรือเปล่าครับ ถ้าผมสรุปถูก คำถามก็คือว่า เราจะเข้าถึงจริยวัตรของศาสดาได้อย่างไรโดยที่ปฏิเสธเอกสารบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับศาสดา(ที่เรียกว่าฮาดิษ) ทั้งหมด จากคุณ : น้องจั้ง (น้องจั้ง) - [ 24 ก.พ. 52 23:06:50 ]

ความคิดเห็นที่ 57 น้องจั้งลองพิจารณาดูเองนะครับ แมทท์บอกว่า 2.การละหมาด    ซุฮฺริ มีใน บทที่ 24  อายะที่ 58  และ   17: 78   3.การละหมาด อัศริ  มีใน บทที่ 2  อายะที่238   และ     17: 78 โองการ ที่ 17:78 บอกว่าอะไร 78. จงดำรงการละหมาดไว้ตั้งแต่ตะวันคล้อยจนพลบค่ำ และการอ่านยามรุ่งอรุณ(*1*)จริงการอ่านยามรุ่งอรุณนั้นเป็นพยานยืนยันเสมอ ตั้งแต่ตะวันคล้อยจนพลบค่ำ ไม่เคยบอกว่า เวลาไหนกันแน่ ซึ่งระหว่างนี้ มี อย่างน้อย 3 เวลา ดุฮริ อะชีย์ อัศริ แล้วอยู่ๆ แมทท์ทำไมบอกว่าคือ ดุฮริ กับอัศริ เท่านั้น? และทำไมบอกว่าพลบค่ำ มีอิชาด้วย เพราะอิชา คือเลยพลบค่ำไปแล้ว แมทท์บอกแบบนี้เพราะว่า มีคำบรรยายเพิ่มครับดังนี้ 78. จงดำรงการละหมาดไว้ตั้งแต่ตะวันคล้อยจนพลบค่ำ และการอ่านยามรุ่งอรุณ(*1*)จริงการอ่านยามรุ่งอรุณนั้นเป็นพยานยืนยันเสมอ   (1)  ที่ใช้สำนวน “การอ่านยามรุ่งอรุณ” ก็เพราะว่าการละหมาดเวลาฟัจรนั้นชอบให้อ่านต้นยาวๆ ในอายะฮนี้เป็นการชี้แนะถึงเวลาละหมาดที่ถูกกำหนดไว้ คือละหมาดตั้งแต่วันละคล้อย หมายถึงอัลดุฮร และอัลอัศร พลบค่ำหมายถึงเวลามักริบและอิชาอ ยามรุ่งอรุณหมายถึงละหมาดศุบฮ ซึ่งที่ขีดเส้นใต้ นี้ เป็นคำอธิบายตัฟซีรครับ ซึ่งก็มาจากฮะดีษนั่นแหละ สรุปแมทท์ก็รู้มาจากแหล่งอื่น ไม่ใช่กุรอ่านอยู่ดี เพราะที่เป็นตัวอัลกุรอ่านเน้นไ นั่นคือ ที่ไม่ได้ขีดเส้นใต้นะครับ นี่แหละ แมทท์ล่ะ จากคุณ : Carroth - [ 24 ก.พ. 52 23:47:30 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ผมว่า คุณ น้องจั้ง (น้องจั้ง)  เป็น ผู้มีเหตุผล ไม่ใช่เพราะ  สรุปความเห็นให้ผม,  "พูดอีกแบบก็คือ ฮาดิษ คือเอกสารที่ว่าด้วยศาสดา แต่ไม่ใช่ศาสดาเอง การปฏิเสธ ฮาดิษ ไม่ใช่การปฏิเสธศาสดา เพียงแต่ปฏิเสธระบบเอกสารที่อ้างว่าได้บันทึกจริยวัตรของศาสดา โดยผู้รู้หรือปราชญ์ รุ่นก่อน ๆ" ผว่าถุกต้องครับ....   อย่างเช่นตัวอย่างที่สำคัญที่สุดที่ผมยกมาให้เห็น ว่า การตีความของ นักปราชญ์อิสลามนั้น เป็นการบิดเบือนอัลกุรอานอย่างร้ายแรง โดยการโกหกว่า "บัญญัติในอัลกุรอานถูยกเลิกไปแล้ว เพียงด้วยเหตุผลที่จะ ยุยงให้มุสลิม เป็นศึตรูกับยิวและคริสเตียนต่อไป ดดยไม่คำนึงถึงคำเตือนของอัลลอฮ์ ว่า ยิว, คริสเตียน และ มุสลิม ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวกัน"    แต่มุสลิมด้วยกันกลับไม่มีใครตำหนิหรือ ตัดออกจากความเป็นมุสลิม .................. นี่คือตัวอย่าง..  แต่มีนักปราชญ์อิสลาม ที่มีชื่อเรียกว่า “ท่านกอตาดะห์” และคนอื่นๆ กล่าวว่า อายะห์ที่ให้โต้เถียงกับอะห์ลุลกิตาบด้วยวิธีที่ดีกว่านี้ได้ถูกยกเลิกข้อบัญญัติไปแล้ว ด้วยกับอายะห์ที่สั่งให้ต่อสู้กับพวกเขา นั่นคือ ถ้าเขาไม่รับอิสลาม ก็ให้จ่ายญิซยะห์ (ภาษีคุ้มครองภายใต้การปกครองของรัฐอิสลาม) หรือไม่ก็ให้ต่อสู้กับพวกเขา การที่ท่านกอตาดะห์ ผุ้นี้ เป็นใครที่ไหนผมไม่รู้จัก พยายามที่จะ ให้มุสลิม เป็นศัตรูกับยิวและคริสเตียน ต่อไป ...จึงกล่าวเท็จเป็น ฮาดีษ  ว่า บัญญัติ ดังกล่าวถูกยกเลิกไป แล้ว.....แต่ในที่สุดยังมีปราชญ์ท่านอื่นๆยังคงยืนยันว่า ข้อบัญญัติให้โต้เถียงกับพวกเขาด้วยวิธีที่ดีกว่านี้มิได้ถูกยกเลิกข้อบัญญัติ เพราะยังมีอายะห์อื่นที่อธิบายความในประเด็นนี้อยู่ เช่น ซูเราะห์อัลนะอ์ อายะห์ที่ 125   และซูเราะห์ตอฮา อายะห์ที่ 44 .........................   คุณจะเห็นว่า พอการสนทนาเริ่มจะใช้เหตุผล  ก็มีการด่า จาบจ้วงกันเสียแล้ว แล้วจะเรียกว่าตามซุนนะห์ได้อย่างไร? จากคุณ : แมทท์ - [ 25 ก.พ. 52 03:52:55 ]

ความคิดเห็นที่ 59 คุณCarroth.. การสนทนากับคุณผมมีความรู้สึกถึงเรื่องราวที่ ท่านรอซูล พยายามจะ แนะนำ มุชริกเมกกะ ให้รู้จักพระเจ้า(อัลลอฮ์) และ แนะนำให้เชื่อว่า "อัลกุรอาน" เป็นบัญญัติ ของพระเจ้า.... ผมจึงอยากเตือนความจำของคุณในเรื่องคุณลักษณะของท่านรอซุล อยู่เสมอ ทุกๆครั้งที่คุณ ขาดสติ และ ด่าจาบจ้วง คู่สนทนา..... ........................     เราทราบว่า การสอนของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด นั้นใช้ อัลกุรอานเท่านั้น เป็นบรรทัดฐาน ในการสอน มวลมนุษย์,  โดยการบรรยายขยายความ  จากบัญญัติ ของพระเจ้าให้มวลมนุษย์ได้เข้าใจ,     ท่านเป็นบุคคลตัวอย่างที่ ประกอบด้วย คุณสมบัติที่ดีเลิศต่างๆ รวมเป็นบุคลิกภาพของตัวท่าน,  ท่านเป็นทั้งนักปรัชญาและผุ้ที่มีประสบการณ์และท่านใช้ชีวิตอยู่ ตามวิถีทางที่ท่านสอน  ตามบัญญัติ ในอัลกุรอาน,  ท่านเป็นทั้งรัฐบุรุษและนักรบที่ชาญฉลาด, เป็นทั้งผู้ร่างกฏหมายและอาจารย์แห่งจริยาธรรม,   ท่านรอซูลล์เป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดและผู้ที่แนะแนวทางทางศาสนาที่ เคร่งครัด ท่านมีวิสัยทัศน์ ในการมองเห็นกาลไกล และเข้าใจ  ชีวิตมนุษย์ในทุกๆแง่ของชีวิตไม่มีสิ่งใดที่ท่านจับต้องและให้ความสนใจ แล้วไม่เกิดผลที่สง่างาม    คำสั่งข้อบังคับของท่านควบคุมไปหมดทุกๆแขนงตั้งแต่การทูตและการคมนาคมระหว่างประเทศ ไปจนถึง  มรรยาทและ จรรยาธรรม  ซึ่งเป็นนิสัย ของบุคคลในการกินอยู่, เช่นการรัปประทานอาหาร, การทำความสะอาดร่างกาย ในโอกาสต่างๆ ฯลฯ  จากพื้นฐาน ของนโยบายของท่านในการเสริมสร้างความเจริญ และวัฒนธรรมให้กับสังคม, นโยบายนั้นได้สร้างให้เกิดความสมดุลย์, ทำให้เกิดความเสมอภาคของความแตกต่างของชีวิตมนุษย์ ในสังคม   ซึ่งไม่อาจจะเห็นร่องรอยของข้อขัดแย้ง และ ความไม่สมบูรณ์ ในสภาวะสังคมในขณะที่ท่าน ยังมีขีวิตอยู่     ซึ่งยากที่จะหาผุ้ที่มีความเพรียบพร้อม ไปทุกๆด้าน ในการเป็นผุ้นำ ทั้งทางด้านศีลธรรมและจริยาธรรมตลอดทั้งทางด้านการเมืองและ การปกครอง ......................... จากคุณ : แมทท์ - [ 25 ก.พ. 52 04:01:59 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เรื่องเกี่ยวกับการตีความศาสนา และเป็นตัวอย่างที่ดีว่า คนที่มีความรู้กับไม่มีความรู้ต่างกันอย่างไร? คุณสมบัติของผู้ทำการอรรถาธิบาย อัลกุรอาน มีอะไรบ้าง ------------------------------------------------------------------------------- คุณสมบัติของนักตัฟสีร 1. มีความเป็นอิสระในด้านอะกีดะฮ หมายถึง ไม่ยึดเอาความเห็นของตนหรือมัซฮับของตนเป็นบรรทัดฐาน เมื่อการตัฟสีรของชาวสะลัฟไม่ตรงกับความเห็นหรือมัซฮับของตนก็พยายยามตีความและเบี่ยงเบนความหมายเพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่ตนต้องการ 2. มีความเป็นอิสระจากการตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ เพราะอารมณ์ใฝ่ต่ำจะนำพาให้เจ้าของของมันสนับสนุนมัซฮับของตนถึงแม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่ถูกต้อง และมันทำให้เขาเบี่ยงเบนสิ่งนั้นให้เป็นอย่างอื่น แม้ว่าสิ่งนั้นถูกต้องอยู่แล้วก็ตาม 3. นักอรรถาธิบายอัลกุรอ่านต้องรู้และเข้าใจวิชาหลักการอรรถาธิบายอัลกุรอ่าน 4. นักอรรถาธิบายอัลกุรอ่านต้องรู้และเข้าใจในวิชาหะดิษทั้งในด้านริวายะฮและด้านอัดดิรอยะฮ (1) วิชาหะดีษริวายะฮฺ คือวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับคำพูดการกระทำ การยอมรับ ลักษณะรูปร่างหน้าตา มารยาท และชีวประวัติของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และวิชาหะดีษดิรอยะฮฺ (2) คือวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ทำให้รู้ถึงสภาพของสายรายงาน(สะนัด) และตัวบทหะดีษ(มะตัน) ว่าสามารถรับได้หรือไม่ ท่านอิหม่ามชาฟิอีย์(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า   ทุกสิ่งที่รซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมตัดสิน มันมาจากสิ่งที่ท่านรซูลได้ทำความเข้าใจมันมาจากอัลกุรอ่าน- ดู อิบนุกะษีร เล่ม 1 หน้า 4 ท่านอิหม่ามอะหมัด(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า แท้จริงอัสสุนนะฮ นั้นมันได้อรรถาธิบายอัลกิตาบ(อัลกุรอ่าน)และอธิบายมัน – ดู เฏาะบะกอตอัลหะนาบะละฮ เล่ม 1 หน้า 253 5. นักอรรถาธิบายอัลกุรอ่านต้องรู้และเข้าใจในวิชาอุศูลุดดีนหรือวิชาเตาฮีด 6. นักอรรถาธิบายอัลกุรอ่านต้องรู้และเข้าใจในวิชาหลักนิติศาสตร์อิสลาม 7. นักอรรถาธิบายอัลกุรอ่านต้องรู้และเข้าใจในวิชาเกี่ยวกับภาษาอาหรับและศาสตร์สาขาต่างๆที่เกี่ยวกับภาษาอาหรับ เช่น วิชา นะฮู ,ศอรอฟ,อัลบะลาเฆาะฮ เป็นต้น ............................... รายงานจากมุญาฮิด(ฮ.ศ. 104)กล่าวว่า ไม่อนุญาตแก่คนหนึ่งคนใด ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮและวันสุดท้าย กล่าวในเรื่อง กิตาบุลลอฮ เมื่อเขาไม่มีความรู้ ภาษาอาหรับ (1) และรายงานจากยะหยา บิน สุลัยมาน กล่าวว่า "ข้าพเจ้าได้ยินมาลิก บุตร อะนัส ( ฮ.ศ. 179) กล่าวว่า " ชายหนึ่งจะไม่ถูกนำมาอรรถาธิบายคัมภีร์ของอัลลอฮ โดยไม่มีความรู้ภาษาอาหรับ นอกมันทำให้เขาได้รับการลงโทษ (2) ------------------------------------------------------------------------------- เหล่านี้คือความจำเป็นใน การอรรถาธิบายกุรอ่าน แล้วคนอย่างแมทท์ มีความสามารถ หรือมีความรู้อะไรในสิ่งเหล่านี้บ้าง เอาแค่ภาษาอาหรับ แมทท์มีความรู้แค่ไหนกัน? ขนาดเรื่องการละหมาด แมทท์ยัง เอาการอรรถาธิบาย ซึ่งเข้าใช้ฮะดีษมาเป็นส่วนประกอบในการอรรถาธิบาย มาใช้เลย นี่เหรอครับ คนที่บอกว่าจะตีความกุรอ่านด้วยตัวเอง การที่เราจะอธิบายหรือแปลผลงานหนังสือในภาษาต่างประเทศต่างๆ นั้นน่ะ เราต้องมีความรู้ในภาษานั้นเป็นอย่างดี มีความรู้ถึงวัฒนธรรมของคนในภาษานั้น รู้ถึงไวยกรณ์ การใช้สำนวน การเปรียบเทียบ ถึงจะแปลได้ นี่เป็นหนังสืออ่านเล่นนะครับ แต่กุรอ่าน แมทท์ผู้ไม่มีความรู้ภาษาอาหรับ อาศัยแต่เล่มที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเขาใช้ฮะดีษในการแปลและอธิบายด้วยมาใช้ กลับประกาศว่าไม่ต้องใช้ฮะดีษ แต่จะทำความเข้าใจกุรอ่านด้วยตัวเอง คำพูดแบบนี้มันใช้ได้เหรอครับ? การอธิบายกุรอ่านหรือการตีความของท่านกอตาดะห์ ท่านอาศัยกุรอ่านเองมาตีความว่า ได้ยกเลิกบัญญัติไปแล้ว ซึ่งไม่แปลกถ้าท่านจะเข้าใจอย่างนั้น เพราะท่านมีสิทธิ เนื่องจากท่านไม่ได้ตีความเอาตามใจ แต่ท่านใช้กุรอ่านในการอธิบายกุรอ่านเอง ซึ่งอาจจะผิดหรือถูก ต้องดูภาวะแวดล้อม แล้วคนอย่างแมทท์ ที่ไม่ได้มีความรู้อะไรเลย แค่ละหมาดยังอธิบายไม่ได้ มีสิทธิอะไรไปวิจารณ์ ท่านกอตาดะห์? ภาษาอาหรับยังมั่วเลย แต่ไปบอกว่า ท่านกอตาดะห์กล่าวเท็จ น่าขำมาก จากคุณ : Carroth - [ 25 ก.พ. 52 07:35:23 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เรามาดูกันนะครับว่า การอรรถาธิบาย กุรอ่านโดยใช้กุรอ่านเองนั้น มีหลักการอย่างไร หลักของการอธิบายอัลกุรอานซึ่งเป็นที่ยอมรับกันแพร่หลายในหมู่มุฟัซซีรีน (นักอธิบายอัลกุรอาน) คือ 1 – อัลกุรอานอธิบายอัลกุรอาน ในประเด็นนี้เราได้พบเห็นตัวอย่างมากมาย จากหนังสือตัฟซีรหลายๆ ชุด ซึ่งการนำเอาอายะห์อัลกุรอาน มาอธิบายความหมายในอีกอายะห์หนึ่งนั้น เป็นสิ่งที่ท่านนบีได้ให้แบบอย่างไว้ เช่น เมื่อ อายะห์ที่ 82 ในซเราะห์อัลอันอามได้ถูกประทานลงมาว่า “บรรดาผู้ศรัทธาที่ไม่นำความอธรรมมาเจือปนกับการศรัทธาของพวกเขา ชนเหล่านี้แหละที่ความปลอดภัยจะประสบแก่พวกเขา และพวกเขาคือผู้ที่ได้รับทางนำ” หลังจากบรรดาศอฮาบะห์ได้ฟังข้อความในอายะห์นี้ก็เกิดฉงน และต่างไต่ถามกันว่า มีหรือในหมู่พวกเราที่นำเอา คำว่า อธรรม(ภาษาอาหรับ) ไปปะปนกับการศรัทธา เพราะคำว่า อธรรม(ภาษาอาหรับ) เป็นคำที่มีความหมายกว้าง แต่ที่เข้าใจกันโดยทั่วไปก็คือ หมายถึง อธรรม พวกเขาจึงได้ถามท่านรอซูล และได้รับคำตอบว่า ความหมายของคำว่า อธรรมในอายะห์นี้คือ การตั้งภาคี(ภาษาอาหรับ) หมายถึงการนำสิ่งอื่นใดมาเป็นภาคีต่อพระองค์อัลลอฮ์ ดังเช่นถ้อยความที่พระองค์อัลลอฮ์ได้กล่าวถึงลุกมาน อัลฮะกีม ขณะที่เขาสอนลูกว่า “โอ้ลูกเอ๋ย เจ้าจงอย่าได้นำสิ่งใดเป็นภาคีต่อพระองค์อัลลอฮ์ แท้จริงการตั้งภาคีนั้นเป็นความอธรรมที่ยิ่งใหญ่” ซูเราะห์ลุกมาน อายะห์ที่ 13 (บันทึกรายงานฮะดีษของเหตุการณ์นี้จากศอเฮียะห์บุคคอรีและมุสนัดอิหม่ามอะห์หมัด) เพราะฉะนั้นความหมายของซูเราะห์อัลอันอามอายะห์ข้างต้นนี้ก็คือ “บรรดาผู้ศรัทธาที่ไม่นำการตั้งภาคีมาเจือปนกับการศรัทธาของพวกเขา ชนเหล่านี้แหละที่ความปลอดภัยจะประสบแก่พวกเขา และพวกเขาคือผู้ที่ได้รับทางนำ” นี่เป็นแบบอย่างที่ท่านรอซูล ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมได้แสดงให้เห็นถึงการนำเอาอัลกุรอานอายะห์หนึ่งมาอธิบายความหมายอีกอายะห์หนึ่ง อย่างไรก็ตาม การอธิบายอัลกุรอานด้วยอัลกุรอานนี้ ผู้อธิบายต้องรู้ภูมิหลังของแต่ละอายะห์ที่จะนำมาอธิบายซึ่งกันและกันว่ามีที่มาอย่างไร และมีความเกี่ยวพันธ์กันอย่างไร ไม่เช่นนั้นแล้วจะกลายเป็นการครอบคนละเรื่อง คนละประเด็น (อ่านเพิ่มเติมที่ http://www.moradokislam.org/modules.php?name=News&file=article&sid=190&mode=&order=0&thold=0 เนื่องจากที่ผมตัวหนานั้นเดิมเป็นภาษาอาหรับ แต่พันทิพไม่แสดงภาษาอาหรับจึงต้องเปลี่ยนเป็นภาษาไทย ซึ่งอาจจะทำให้ความหมายเพี้ยน จึงไปอ่านต้นฉบับได้ตามลิงค์ที่ให้) นี่แหละครับ สิ่งสำคัญในการใช้กุรอ่านอธิบายกุรอ่าน คือ ต้องมีความรู้ถึงภูมิหลังของแต่ละอายะห์ ว่ามีที่มาอย่างไร และเกี่ยวกันอย่างไรด้วย ซึ่งเราจะรู้ภูมิหลังของแต่ละอายะห์ได้อย่างไร ก็มาจากฮะดีษอยู่ดี ซึ่งคนอย่างแมทท์ มีความรู้อะไรล่ะครับถึงจะมีสิทธิอธิบายอัลกุรอ่าน? จากคุณ : Carroth - [ 25 ก.พ. 52 07:35:55 ]

ความคิดเห็นที่ 62 แมทท์ครับ เตือนตัวเองดีกว่ามั๊ยครับ ทำอะไรไว้ จำไม่ได้หรือไง? จากคุณ : Carroth - [ 25 ก.พ. 52 07:37:38 ]

ความคิดเห็นที่ 63 สรุป จากการสนทนาในกระทู้ทำให้ทราบว่า บางท่านไม่รู้จักแมทท์ และงงว่าแมทท์คือใคร ลัทธิไหนกันแน่ จริงๆ แล้ว แมทท์บอกว่าตัวเองเป็นพวกเอากุรอ่าน ไม่เอาฮะดีษ ซึ่งผมก็เพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ว่ามีกลุ่มนี้ด้วย จริงๆแล้วกลุ่มนี้มีมานานแล้วล่ะครับ เรียกว่าพวก กุรอานิยูน เป็นพวกปฏิเสธซุนนะห์ แต่เรามักไม่ค่อยได้ยินชื่อเสียง หรือพบว่ากลุ่มนี้มีบทบาทมากนัก เพราะอะไร ก็เพราะกลุ่มนี้ จะตายทันทีถ้าถามเรื่องละหมาด ดูจากที่ มุสลิมในที่นี้ถามเรื่องละหมาดกับแมทท์ดูได้ครับ เอาแค่เวลาละหมาด แมทท์ก็จนปัญญาแล้วล่ะครับ และการปฏิเสธฮะดีษ คือการปฏิเสธอัลกุรอ่าน ที่ใช้ให้ตามนบี และการปฏิเสธอัลกุรอ่านก็เท่ากับ ปฏิเสธอัลลอฮฺ และผู้ที่ปฏิเสธอัลลอฮฺ จะไม่เรียกว่ามุสลิมครับ ซึ่งจริงๆแล้วกลุ่มนี้ ตัวผมเองไม่คิดว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มมุสลิมที่ค้นหาความจริง แต่มักจะเป็นพวกที่ต้องการทำลายอิสลามมากกว่า เนื่องจากมุสลิมต้องปฏิบัติศาสนากิจอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่มีฮะดีษ จะไม่สามารถปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างถูกต้องเลย แถมยังมั่วและขัดแย้งกันอีกต่างหาก มุสลิมจริงๆ แทบไม่มีใครกลายเป็นกลุ่มนี้หรอกครับ หรือถ้ามีก็เป็นส่วนน้อย ไม่มีบทบาทอะไร เพราะกลุ่มนี้ ไม่มีหลักการ เหตุผล และตรรกะ ที่กินกับปัญญามากพอ คนกลุ่มนี้ ทำได้แค่หลอกคนที่ ไม่รู้เรื่องศาสนา ไม่เอาศาสนาเท่านั้นครับ ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความมั่วนิ่ม หรือความขัดแย้งในตรรกะของคนกลุ่มนี้คือ การถามเกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติศาสนกิจ เช่นการละหมาด เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดี ที่จะเป็นการอธิบายความเป็นไปของคนกลุ่มนี้ได้การละหมาดถือเป็นศาสนกิจสำคัญที่มุสลิมต้องปฏิบัติ ในอัลกุรอ่านนั้น ได้กำชับให้มุสลิมละหมาด ไว้ในหลายๆ ที่ด้วยกัน ตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการละหมาด และการละหมาดนี้ มุสลิมทั่วโลก ละหมาด 5 เวลา เท่ากัน และเวลาต่างๆ ก็มีเหมือนกัน กำหนดเวลาเหมือนกัน จำนวน รอกาอัต(น่าจะเรียกให้เข้าใจได้ว่ารอบการละหมาด) เท่ากัน แต่รายละเอียดทั้งหมดไม่ได้บอกไว้ในกุรอ่าน ชัดเจนนะครับ เรียกง่ายๆ ว่าถ้าไม่มีฮะดีษ เราจะไม่สามารถละหมาดได้เหมือนกันทั่วโลกได้ ที่มุสลิมละหมาดเหมือนกันทั่วโลกได้ ก็เพราะการทำตามแบบอย่างท่านนบี ที่มีในฮะดีษนั่นแหละครับ ดังนั้นเมื่อมีการปฏิเสธฮะดีษ คนที่ปฏิเสธฮะดีษจึงต้องอธิบายได้ว่า ละหมาดอย่างไร โดยอาศัยเฉพาะกุรอ่าน โดยปฏิเสธแบบอย่างนบี ซึ่งไม่เคยมี คนที่ปฏิเสธฮะดีษคนไหนตอบได้ครับ แต่มักจะมีคำอ้าง เสมอว่า เรื่องการปฏิบัติศาสนากิจหรือว่าละหมาดนั้น มีมานานแล้วก่อน ที่ท่านนบีมุฮัมมัดจะประกาศศาสนาอีกมีมาตั้งแต่สมัย อับราฮัม หรือนบีอิบรอฮีมแล้ว และคนสมัยนั้นก็คุ้นเคยกับการละหมาด 5 เวลา และขั้นตอนดี ซึ่งนี่เป็นจุดอ่อน และเป็นการปล่อยไก่ครั้งใหญ่ของกลุ่มกุรอานียูน หรือพวกปฏิเสธฮะดีษอย่างมาก เหตุผลคือ การอ้างถึงสมัยก่อนอิสลามแสดงว่าต้องเป็นการเล่าสืบมาอีกที หรือมีคนบอกไว้ หรือเดาเอา ซึ่งเหล่านี้เป็นฮะดีษทั้งสิ้น แต่เป็นฮะดีษที่ไม่มีที่มาที่ไป ตรวจสอบไม่ได้ ไม่น่าเชื่อถือ แย่กว่า ฮะดีษที่พวกนี้ปฏิเสธเองเป็นไหนๆ แต่ต้องอ้าง เพราะว่าไม่มีเหตุผลอื่นจะให้แล้ว อีกเหตุผลก็คือ ถ้าอ้างว่าการละหมาดหรือการปฏิบัติศาสนกิจอื่นๆ นั้นมีการคุ้นเคยมานานแล้วตั้งแต่ก่อนอิสลามเลยมีการสืบทอดมาเนี่ย ยิ่งขัดกับความจริงที่เกิดขึ้น เพราะการละหมาด 5 เวลา นั้น ไม่เคยปรากฎในที่ใดเลยนอกจากอิสลามปัจจุบัน ท่านนบีอิบรอฮีมหรืออับราฮัมมีเชื้อสายแตกออกไปเป็นคริสต์และยิวด้วย แต่ปรากฎว่า ไม่มีการละหมาด 5 เวลาปรากฎ ทั้งในคัมภีร์เองและการปฏิบัติ ดังนั้นการตกทอดที่อ้างมันจึงเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลด้วยประการทั้งปวง เมื่อเราประมวลข้ออ้างต่างๆ ของกลุ่มผู้ปฏิเสธฮะดีษ โดยเริ้มตั้งแต่การหาคำตอบจากอัลกุรอ่านไม่ได้ มาถึงการอ้างที่ไม่สมเหตุสมผลแล้ว ทำให้เราทราบว่า กลุ่มที่ไม่เอาฮะดีษเนี่ย ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเลย ไม่มีสาระ เขาถึงไม่ยอมตอบคำถามมุสลิมเรื่องการปฏิบัติศาสนกิจไงครับ ต้องแถ ต้องเบี่ยงประเด็นไปเรื่อยๆ สังเกตมั๊ยครับ ทำไมเขาถึงต้องถามกลับเรื่องฮะดีษ ทั้งๆที่ถ้าเขาตอบเคลียร์ หาหลักฐานชัดเจนจากอัลกุรอ่านได้ ก็จบแล้ว มุสลิมก็ไม่ถามเรื่องเวลาละหมาดจากอัลกุรอ่านแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมตอบ เน้นจะถามกลับอย่างเดียว เพราะอะไร เพราะเขาตอบไม่ได้ไงครับ มันเป็นแบบนี้มานานแล้ว มันจะเป็นต่อไปก็ไม่แปลกจริงมั๊ย? จากคุณ : Carroth - [ 25 ก.พ. 52 07:40:26 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ถ้านายแมทท์มีหลักฐานการละหมาดจากท่านนบีอิบรอฮีมจริง รีบเอามาเปิดเผยเลยครับ โลกต้องจารึกเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน งานนี้ดังใหญ่แน่นายแมทท์ จากคุณ : เข้ามาป่วน (Palmyra) - [ 25 ก.พ. 52 09:42:58 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ตั้งคำถามต่อผม  แต่ไม่ให้ โอกาสผมได้อธิบาย  แล้วจะมาถามกันทำไมครับ ?      ถามเองตอบเอง ไปขนข้อมูลอะไรต่ออะไรมา  แต่ทำไมไม่พยายามใช้สติปัญญาคิดบ้างละครับ ผมเห็นมีอยู่ลูกเล่น อยู้ลูกเดียว เท่านั้น คือ "การ โหลดข้อมูลมาเป้นตันๆ ซึ่งเป้นเรื่องเล่าทั้งนั้น"    ถ้าคุณตัฟซีรอัลกุรอาน กันถูกต้อง และ เก่งภาษาอรับอย่างที่ว่าแล้ว  คงไม่  "อธิบายว่าพระเจ้า คุยกับอสุจิก่อนที่มนุษย์จะเริ่ม ปฏิสนธิ  และเป้นที่ล้อเลียนอยู่เป็นปีๆ  มันน่าอายไหมครับ  สมาคมนักเรียนเก่าอรับ อธิบายอัลกุรอานในทำนองนั้น    ภาอรับนั้นง่ายกว่าภาษาอังกฤษและภาษาไทยมากครับ?  ไม่เชื่อถามสมาคมนักเรียนเก่าอรับดูซิครับ   ถ้าไม่ง่าย ผมไม่อาจจะเรียนด้วยตนเองได้หรอก   ถ้าภาษาอรับยากผมว่าพวกคุณไม่มีทางเรียนภาษาอรับได้หรอก ถ้ามันยากเกินความเข้าใจของมนุษย์,   ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงประทานคัมภีร์ ด้วยภาษาอรับ ซึ่งเข้าใจง่าย,  เพราะถ้าประทานมาเป็นภาษาจีน  แล้ว พวกคุณไม่มีปัญญาจะเข้าใจได้หรอก  นอกจากผม เพราะผม เรียนภาษาแมนดาลิน และ พูดแต้จิ๋วได้..ว่าไปนั้น.....ลื้อจายบ๋วย?^^ จากคุณ : แมทท์ - [ 25 ก.พ. 52 10:46:47 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ภาษาอาหรับยากหรือง่ายไม่เกี่ยว แต่อยู่ที่แมทท์รู้ภาษาอาหรับมากแค่ไหน แล้วมีสิทธิ์อะไรไปแปลกุรอ่าน ตามใจตัวเอง มุสลิมในที่นี้เคยเหรอครับ ที่จะไม่เปิดโอกาสให้ตอบ ถามแล้วก็ถามอีก รอแล้วก็รออีก แมทท์ก็ไม่ตอบ ตอบมาก็มั่ว จับได้คาหนังคาเขาหลายรอบแล้ว จะให้บอกมั๊ยครับว่ากระทู้ไหนมั่ง แมทท์ครับ คุณบอกว่า ข้อมูลที่มุสลิมเอามาเป็นเรื่องเล่า แล้วข้อมูลคุณมันอะไรล่ะครับ ยิ่งกว่าเรื่องเล่าอีกนะครับ เพราะมีทั้งมั่ว ไร้สาระ ผิดตรรกะ ทั้งสิ้น มีสาระอะไรบ้าง เอาแค่เรื่องละหมาด ถามง่ายๆ ว่าละหมาดวันกับคืนนึง  5 เวลา บอกไว้ตรงไหนบ้าง คุณก็ไม่ยอมตอบแล้ว แถมยังแถไปเรื่องอื่นอีก ไม่ใช่มุสลิมไม่ยอมให้ตอบหรอกครับ แต่คุณไม่ยอมตอบเอง อย่ามาโทษคนอื่น คำถามง่ายๆ ตอบมาซะก็จบ แล้วไหนล่ะคำตอบ? ส่วนเรื่องคุยกับอสุจิ นั้น อัลลอฮฺจะคุยกับอะไรก็ย่อมได้ครับ ไม่ใช่แค่อสุจิ มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยครับ การหัวเราะเยาะมันเป้นอาการของคนปฏิเสธศรัทธา ต่างหากซึ่งผมไม่แปลกใจถ้า กาเฟรฺจะคิดแบบนี้ ก็แล้วไงล่ะครับ จะเก่งภาษาอาหรับไม่เก่งภาษาอาหรับ แล้วคุณน่ะ ตอบคำถามง่ายๆ เรื่องละหมาดได้หรือยัง จะตอบไม่ตอบก็บอกมาอย่าแถ ตอบมาบ้างสิครับอย่าหนีอย่างเดียว จนคนศาสนาอื่นเขายังพูดเองเลยว่า ถ้าผมรู้เรื่องละหมาดผมก็ตอบแทนแมทท์ไปแล้ว เที่ยว โยงประเด็นนู้น แถประเด็นนี้ เบี่ยงประเด็นนั้น แล้วเรื่องละหมาดล่ะเมื่อไหร่จะตอบ คำถามง่ายๆ ไม่ยากไม่เย็น 5-6 ปี ทำอะไรอยู่ เก่งนักเก่งหนาภาษาอาหรับง่าย ไม่ยากเกินเข้าใจ ก็ตอบมาซะทีสิ ฮะดีษที่คุณถามหาผมก็เอามาให้แล้ว แล้วทำไมไม่ตอบมุสลิมเรื่องละหมาดล่ะ? แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 52 12:16:13 จากคุณ : Carroth - [ 25 ก.พ. 52 11:59:53 ]

ความคิดเห็นที่ 67 อ่า คุณแมทท์ครับ สรุปแล้ว เราจะเข้าถึงจริยวัตรของศาสดาได้อย่างไร ถ้าเราปฏิเสธฮาดิษทั้งหมด ลักษณะและบุคลิกภาพของศาสดาที่คุณแมทท์บรรยายมานั้น มาจากฐานข้อมูลอะไร ครับ ผมคิดว่าก็น่าจะมาจากฐานข้อมูลทางประวัติศาสตร์และฮาดิษ ก็เป็นหนึ่งในฐานข้อมูลนั้นแหง ๆ เลย ไอเดียของคุณแมทท์ ผมรับได้อย่างมากที่สุดคือ การพิจารณาฮาดิษด้วยเหตุ ด้วยผล ทีละบท ทีละตอน ไม่ใช่รับทั้งหมด หรือ ปฏิเสธทั้งหมด ผู้รู้สมัยก่อน ท่านอาจจะตีความจากบริบทของท่าน ถูก ผิด ดีเลว อย่างไรก็ว่ากันไป ในยุคสมัยของเรา เมื่อมีข้อมูลมากขึ้น ก็พิจารณาได้ด้วยสติปัญญาของเราเอง ว่าฮาดิษบทนั้นเราจะรับ หรือไม่รับ ถ้าจะเหมาไม่รับหมดเลย ผมคิดว่าเป็นไปได้ยากมากในทางปฏิบัติ จากคุณ : น้องจั้ง (น้องจั้ง) - [ 25 ก.พ. 52 15:24:54 ]

ความคิดเห็นที่ 68 น้องจั้ง (น้องจั้ง)  คุณเข้าใจได้ถูกต้อง แต่ ที่มุสลิมไม่เข้าใจ นั้นคือ "ถ้าฮาดีษที่ถูกต้องตรงตามอัลกุรอานแล้วไม่จำเป็นที่จะต้องนำมาจัดรวมอยู่ในอะหะดีที่เหลวไหล" ซึ่งจะทำให้เกิดการเข้าใจผิด ว่า สิ่งที่อยู่รวมกันอาจจะเป็นสิ่งที่ มาจากแหล่งเดียวกัน  และเป็นเหตุที่ผุ้ทุจจริต จะนำมาใช้หลอกลวงมุสลิมให้ทำ "ชิริก" อย่างไม่รู้ตัว ด้วยเหตุผลที่ผมนำมาเสนอว่าท่านรอซุลสอนตามหลักการของอัลกุรอานเท่านั้น ก็เพื่อเตือนใจมุสลิมว่า สิ่งใดที่ผิดไปจาก อัลกุรอานแล้ว เป็นเรื่องเหลวไหลทั้งนั้นในหลักศรัทธาของอิสลาม  และสิ่งที่เป้นบัญญัติในอิสลามควรปล่อยไว้ในอัลกุรอาน" คุณลักษณะของท่านรอซูลนั้น มีอยู่ในอัลกุรอาน ซึ่งเราจะเห็นว่า ในอัลกุรอานประกอบไปด้วยหลัการสอนที่มีครบทุกๆอย่างไม่ใช่แต่เพีบง หลักศรัทธาต่อพระเจ้าเท่านั้น ส่วนที่เป้นประวัติศาสตร์เป็นเรื่องราวที่เตือนสติให้มีความระวังในอนาคต เพื่อที่จะได้ไม่ทำให้เกิดสงครามอีก ส่วนการปกครองและการครอบครัวเป็นหลักการที่เป็นพื้นฐานของตำราต่างๆ "แม่ของหนังสือ"  ซึ่งมุสลิมสามารถที่จะนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสังคมในปัจจุบัน  ภายในกรอบและหลักการของอิสลาม โดยที่ไม่ผิดกฎหมาย และ ระ เบียบแบบแผนของสังคมสังคมปัจจุบัน ที่เราอาศัยอยู่    ในขณะเดียวกันมุสลิมจะต้องอยู่ในหลักการที่สำคัญของอิสลามโดยเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "การศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว"  คือการไม่ทำ "ชิริก" และ จะต้องมีการทำ อิบาดะห์ อย่างสม่ำเสมอ   มุสลิมจะตองละเว้นการกระทำที่ผิดหลักปฏิบัติของสังคม  คือการทำลายชีวิตผู้อื่น, การทำการ มั่วสุมและผิดหลักศีลธรรมทางกามรมณ์, การพนัน, การดื่มสุรา, การกล่าวเท็จไม่ว่าด้วยเหตผลใดๆก็ตาม, การลักขโมย   สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในหลักการสอนของอิสลาม, อิสลามสอนให้เราก้าวหน้าภายในกรอบแห่งความศรัทธา ไม่ได้สอนให้เราเดินสวนทางกับสังคม หันหลังให้กับความเจริญ  ผู้ทีสอนให้เดินสวนทางกับความเจริญ เป้น "มูนาฟิก" เพราะการปฎิบัติของเขาไม่ตรงตามที่เขาสอน  การที่เอาคุณลักษณะของท่านรอซูลมาเตือนใจและแสดงให้เห็นนั้น เพื่อให้เข้าใจว่า ถ้าเราอ้างว่าเราทำตาม "อะหะดีษและซุนนะห์ของท่านรอซูลแล้ว" ขอให้เรา ลองมองดูตัวเราซิว่า เรามี ลักษณะและบุคลิกเช่นนั้นหรือไม่  และเป็นสิ่งที่เราควรจะตั้งเป็นเป้าหมาย ในชีวิตเราให้  เราสามารถเข้าถึง คุณลักษรณะ ของท่านรอซูลให้มากที่สุด   ตัวอย่างเช่น..การทำตามซุนนะห์ไม่ใช่ ทำตาม ท่าทางและ ท่าละหมาด ว่า ท่านนั่งอย่างไรกระดิกนิ้วหรือไม่กระดิกนิ้ว ก้มและเงยอย่างไร?     ซึ่งสิ่งเหล่านี้บางทีสรีระและกายภาพของมุสลิมทุกๆท่านไม่อาจจะทำได้ ตามท่าทางของท่าน   ความหมายในการทำตามซุนนะนะห์ของท่านรอซุลล์คือ เรื่องของความเที่ยงตรงและแน่วแน่ต่อ หลักการสอนของท่านและคำสอนที่ขยายความมาจากอัลกุรอาน และปฏิบัติสืบทอดต่อๆกันมาจนถึงมุสลิมรุ่นเรา ตามหลักการที่กล่าวแล้ว คือ "อัลกุรอาน" จากคุณ : แมทท์ - [ 25 ก.พ. 52 19:16:26 ]

ความคิดเห็นที่ 69 คุณ Carroth ผมจะมีทางตอบได้อย่างไร ในเมื่อ่ คุณไม่ยอมหยุดด่า ทอ ผม หยุดจาบจ้วงผม  ความจริงผมตอบไปจนหมดแล้ว แต่คว้ยความดื้อด้านของคุณมัวแต่หลับหูหลับตาด่า สาด ทุกๆครั้ง แล้ว เราจะคุยกันได้อย่างไร? ละ มองดูนิสัยใจคอของคุณวิครับ มุสลิมที่ดีและมีความรู้ในเรื่องประวัติ (ผมย้ำว่าประวัติในเรื่องละหมาดนั้นมาจากทีใด) นั้นเขาไม่มานั่งรอคำตอบจากผมหรอกครับ เพราะเขา เบื่อการสน ทนา ในรูปแบบที่คุณกระทำอยู่ ผมไม่ได้หลีกเลี่ยงอะไร  พยายามอย่างยิ่งที่จะตอบ   แต่ถ้าคำตอบไม่ถูกใจคุณ และตรงกับความคิดเห็นของคุณ  คุณก็ด่าผม  ที่ผมทนอยู่ได้ ก็เพราะ อยากให้เพื่อนๆสมาชิก ได้รู้จักสังคมมุสลิมไทย ที่แท้จริง ว่า เขาใช้เหตุผลในการสนทนากันอย่างไร? ผมจะลองอีกที นะครับ จะเริ่มจาก ฮาดีษที่คุณยกมา แต่อยากจะย้ำเตือนคุณให้อ่านข้อความนี้ ให้เข้าใจเสียก่อน คือ.... .................. เราทราบว่า การสอนของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด นั้นใช้ อัลกุรอานเท่านั้น เป็นบรรทัดฐาน ในการสอน มวลมนุษย์,  โดยการบรรยายขยายความ  จากบัญญัติ ของพระเจ้าให้มวลมนุษย์ได้เข้าใจ,    ท่านเป็นบุคคลตัวอย่างที่ ประกอบด้วย คุณสมบัติที่ดีเลิศต่างๆ รวมเป็นบุคลิกภาพของตัวท่าน,  ท่านเป็นทั้งนักปรัชญาและผุ้ที่มีประสบการณ์และท่านใช้ชีวิตอยู่ ตามวิถีทางที่ท่านสอน  ตามบัญญัติ ในอัลกุรอาน,  ท่านเป็นทั้งรัฐบุรุษและนักรบที่ชาญฉลาด, เป็นทั้งผู้ร่างกฏหมายและอาจารย์แห่งจริยาธรรม,  ท่านรอซูลล์เป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดและผู้ที่แนะแนวทางทางศาสนาที่ เคร่งครัด ท่านมีวิสัยทัศน์ ในการมองเห็นกาลไกล และเข้าใจ  ชีวิตมนุษย์ในทุกๆแง่ของชีวิตไม่มีสิ่งใดที่ท่านจับต้องและให้ความสนใจ แล้วไม่เกิดผลที่สง่างาม   คำสั่งข้อบังคับของท่านควบคุมไปหมดทุกๆแขนงตั้งแต่การทูตและการคมนาคมระหว่างประเทศ ไปจนถึง  มรรยาทและ จรรยาธรรม  ซึ่งเป็นนิสัย ของบุคคลในการกินอยู่, เช่นการรัปประทานอาหาร, การทำความสะอาดร่างกาย ในโอกาสต่างๆ ฯลฯ จากพื้นฐาน ของนโยบายของท่านในการเสริมสร้างความเจริญ และวัฒนธรรมให้กับสังคม, นโยบายนั้นได้สร้างให้เกิดความสมดุลย์, ทำให้เกิดความเสมอภาคของความแตกต่างของชีวิตมนุษย์ ในสังคม ซึ่งไม่อาจจะเห็นร่องรอยของข้อขัดแย้ง และ ความไม่สมบูรณ์ ในสภาวะสังคมในขณะที่ท่าน ยังมีขีวิตอยู่     ซึ่งยากที่จะหาผุ้ที่มีความเพรียบพร้อม ไปทุกๆด้าน ในการเป็นผุ้นำ ทั้งทางด้านศีลธรรมและจริยาธรรมตลอดทั้งทางด้านการเมืองและ การปกครอง จากคุณ : แมทท์ - [ 25 ก.พ. 52 19:34:33 ]

ความคิดเห็นที่ 70 สรุปก็อย่างที่ผมบอก ไม่เอาฮะดีษ แต่บอกไม่ได้ว่าละหมาดอย่างไรถ้าไม่เอาฮะดีษ ปากบอกว่าใช้แต่กุรอาน แต่กลับเอาบรรพบุรุษมาอ้างซึ่งนั่นก็เป็นฮะดีษชนิดหนึ่งที่ไม่มีที่มาที่ไปและไม่น่าเชื่อถือแต่อย่างใดนั่นเอง ซึ่งความเชื่อแบบนี้จะนำมาซึ่งหายนะแก่มวลหมู่มุสลิม ซึ่งถ้ามุสลิมทำแบบที่แมทท์ว่า มุสลิมจะพากันลงเหวกันหมด อย่าว่าแต่ ละหมาด 5 เวลาเลย การขลิบเองที่การแพทย์เพิ่งค้นพบว่า มีประโยชน์ก็จะถูกทอดทิ้งเพราะมันไม่กินกับปัญญาของคนสมัยนั้นนั่นเอง นี่คือความบกพร่อง ของการตัดหรือพิจารณาฮะดีษโดยอาศัยสติปัญญาอันน้อยนิดของมนุษย์เป็นหลัก ถ้ายังอาศัยหลักการเช่นนี้ต่อไป อิสลามก็จะตามก้นตะวันตกต่อไป อิสลามก็จะไม่ต่างกับ ศาสนาเก่าๆ ที่โดนตัดทอนบิดเบือนไปตามอารมณ์ เพราะ กุรอ่านเองนั้น การตีความกุรอ่านโองการนึงโดยอาศัยกุรอ่านอีกโองการนึง ก็ต้องรู้ที่มาที่ไปของการประทานโองการด้วย และรู้ว่า โองการนั้นมีที่มาอย่างไร ประทานมาเพื่อการใด เกี่ยวโยงกับโองการใดหรือไม่ เพราะถ้าไม่รู้ ก็จะเกิดการตีความแบบมั่วนิ่มตามใจตัวเอง แล้วเราจะรู้ข้อมูลแวดล้อมที่มาที่ไปของการประทานกุรอ่านในแต่ละโองการได้อย่างไร คำตอบก็มาจากฮะดีษอีกนั่นล่ะครับ ไม่มีข้ออ้างใดๆ ในการยกเลิกฮะดีษโดยเด็ดขาด และตั้งแต่คุยมา ผมก็ไม่ทราบว่า การจูบหินดำหรือ การเมียะรอจ เป็นชิริกหรือขัดกับกุรอ่านตรงไหน จะขัดก็คือขัดใจ ของคนบางคน ที่ไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับอิสลามเท่านั้นแหละครับ และคนพวกนี้ก็ตอบคำถามพื้นๆ จากกุรอ่านยังไม่ได้เลย ทั้งๆที่อ้างนักอ้างหนาว่า กุรอ่านคือหลักที่ยึดไว้ ดังนั้นไม่ต้องว่ายังไงล่ะครับ ไปๆมาๆ ก็ไม่มีอะไร นอกจากพูดลอยๆ หาสาระไม่ได้เหมือนเดิม จากคุณ : Carroth - [ 25 ก.พ. 52 19:43:09 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ด่าทอเหรอครับ ผมเพียงแต่ขุดเอา สิ่งที่อยู่ในกมลสันดานคุณ ออกมาให้คนในห้องได้ดูว่าแท้จริงแล้วคนอย่างคุณเป็นเช่นใด ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าคุณตอบมา ซะ ให้ผมด่าอย่างไร คำด่านั้น มันก็ทำให้ผมแย่เองครับ แต่ที่คุณคิดว่าผมด่า หรือ อ้างว่าไม่ทันได้ตอบเพราะผมเอาแต่ด่า ก็เพราะคำพูดของผม มันดักทางคนอย่างคุณไงครับ มันแทงใจดำคนอย่างคุณไงล่ะครับ ดูนิสัยใจคอตัวเองดีกว่าครับ ถ้าคุณมีความรู้ที่จะตอบมุสลิมในห้องนี้จริง มีหลักฐานจริง มีตรรกะและเหตุผลจริง ทำไมคุณจะตอบผมไม่ได้? คุณบอกว่าตอบไม่ถูกใจผมเหรอครับ คำตอบน่ะ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความถูกใจใคร แต่มันขึ้นอยู่กับความถูกต้อง ก็ดูที่คุณตอบสิครับ มันถูกต้องหรือมั่วนิ่ม คุณบอกว่ากุรอ่านบอกว่า มุสลิมต้องละหมาด 5 เวลา ผมก็แค่ถามว่าตรงไหน แต่คำตอบของคุณมันมั่ว และผมไม่ได้กล่าวหาลอยๆ ผมอธิบายด้วยว่ามั่วอย่างไร แบบนี้จะเรียกด่าเหรอครับ? ผมจะบอกให้ ที่คุณรู้สึกว่ามันเป็นคำด่า ก็เพราะคุณ ย่อมรู้สึกตัวอยู่แล้วว่า คำตอบของคุณมันมั่วจริงๆ ไร้สาระจริงๆ ถ้าคิดว่าคำตอบคุณมันถูก ก็แย้งมาได้เลยครับ มันถูกอย่างไร จากคุณ : Carroth - [ 25 ก.พ. 52 20:28:28 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ส่วนข้อความที่คุณก๊อบมาแล้วก๊อบมาอีกนั่นน่ะ บอกตรงๆ ไร้สาระครับ เดิมๆ ไม่มีอะไรใหม่ ไม่ตรงประเด็น ไม่ก่อประโยชน์ อ่านนี่ดีกว่า สรุป จากการสนทนาในกระทู้ทำให้ทราบว่า บางท่านไม่รู้จักแมทท์ และงงว่าแมทท์คือใคร ลัทธิไหนกันแน่ จริงๆ แล้ว แมทท์บอกว่าตัวเองเป็นพวกเอากุรอ่าน ไม่เอาฮะดีษ ซึ่งผมก็เพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ว่ามีกลุ่มนี้ด้วย จริงๆแล้วกลุ่มนี้มีมานานแล้วล่ะครับ เรียกว่าพวก กุรอานิยูน เป็นพวกปฏิเสธซุนนะห์ แต่เรามักไม่ค่อยได้ยินชื่อเสียง หรือพบว่ากลุ่มนี้มีบทบาทมากนัก เพราะอะไร ก็เพราะกลุ่มนี้ จะตายทันทีถ้าถามเรื่องละหมาด ดูจากที่ มุสลิมในที่นี้ถามเรื่องละหมาดกับแมทท์ดูได้ครับ เอาแค่เวลาละหมาด แมทท์ก็จนปัญญาแล้วล่ะครับ และการปฏิเสธฮะดีษ คือการปฏิเสธอัลกุรอ่าน ที่ใช้ให้ตามนบี และการปฏิเสธอัลกุรอ่านก็เท่ากับ ปฏิเสธอัลลอฮฺ และผู้ที่ปฏิเสธอัลลอฮฺ จะไม่เรียกว่ามุสลิมครับ ซึ่งจริงๆแล้วกลุ่มนี้ ตัวผมเองไม่คิดว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มมุสลิมที่ค้นหาความจริง แต่มักจะเป็นพวกที่ต้องการทำลายอิสลามมากกว่า เนื่องจากมุสลิมต้องปฏิบัติศาสนากิจอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่มีฮะดีษ จะไม่สามารถปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างถูกต้องเลย แถมยังมั่วและขัดแย้งกันอีกต่างหาก มุสลิมจริงๆ แทบไม่มีใครกลายเป็นกลุ่มนี้หรอกครับ หรือถ้ามีก็เป็นส่วนน้อย ไม่มีบทบาทอะไร เพราะกลุ่มนี้ ไม่มีหลักการ เหตุผล และตรรกะ ที่กินกับปัญญามากพอ คนกลุ่มนี้ ทำได้แค่หลอกคนที่ ไม่รู้เรื่องศาสนา ไม่เอาศาสนาเท่านั้นครับ ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความมั่วนิ่ม หรือความขัดแย้งในตรรกะของคนกลุ่มนี้คือ การถามเกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติศาสนกิจ เช่นการละหมาด เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดี ที่จะเป็นการอธิบายความเป็นไปของคนกลุ่มนี้ได้การละหมาดถือเป็นศาสนกิจสำคัญที่มุสลิมต้องปฏิบัติ ในอัลกุรอ่านนั้น ได้กำชับให้มุสลิมละหมาด ไว้ในหลายๆ ที่ด้วยกัน ตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการละหมาด และการละหมาดนี้ มุสลิมทั่วโลก ละหมาด 5 เวลา เท่ากัน และเวลาต่างๆ ก็มีเหมือนกัน กำหนดเวลาเหมือนกัน จำนวน รอกาอัต(น่าจะเรียกให้เข้าใจได้ว่ารอบการละหมาด) เท่ากัน แต่รายละเอียดทั้งหมดไม่ได้บอกไว้ในกุรอ่าน ชัดเจนนะครับ เรียกง่ายๆ ว่าถ้าไม่มีฮะดีษ เราจะไม่สามารถละหมาดได้เหมือนกันทั่วโลกได้ ที่มุสลิมละหมาดเหมือนกันทั่วโลกได้ ก็เพราะการทำตามแบบอย่างท่านนบี ที่มีในฮะดีษนั่นแหละครับ ดังนั้นเมื่อมีการปฏิเสธฮะดีษ คนที่ปฏิเสธฮะดีษจึงต้องอธิบายได้ว่า ละหมาดอย่างไร โดยอาศัยเฉพาะกุรอ่าน โดยปฏิเสธแบบอย่างนบี ซึ่งไม่เคยมี คนที่ปฏิเสธฮะดีษคนไหนตอบได้ครับ แต่มักจะมีคำอ้าง เสมอว่า เรื่องการปฏิบัติศาสนากิจหรือว่าละหมาดนั้น มีมานานแล้วก่อน ที่ท่านนบีมุฮัมมัดจะประกาศศาสนาอีกมีมาตั้งแต่สมัย อับราฮัม หรือนบีอิบรอฮีมแล้ว และคนสมัยนั้นก็คุ้นเคยกับการละหมาด 5 เวลา และขั้นตอนดี ซึ่งนี่เป็นจุดอ่อน และเป็นการปล่อยไก่ครั้งใหญ่ของกลุ่มกุรอานียูน หรือพวกปฏิเสธฮะดีษอย่างมาก เหตุผลคือ การอ้างถึงสมัยก่อนอิสลามแสดงว่าต้องเป็นการเล่าสืบมาอีกที หรือมีคนบอกไว้ หรือเดาเอา ซึ่งเหล่านี้เป็นฮะดีษทั้งสิ้น แต่เป็นฮะดีษที่ไม่มีที่มาที่ไป ตรวจสอบไม่ได้ ไม่น่าเชื่อถือ แย่กว่า ฮะดีษที่พวกนี้ปฏิเสธเองเป็นไหนๆ แต่ต้องอ้าง เพราะว่าไม่มีเหตุผลอื่นจะให้แล้ว อีกเหตุผลก็คือ ถ้าอ้างว่าการละหมาดหรือการปฏิบัติศาสนกิจอื่นๆ นั้นมีการคุ้นเคยมานานแล้วตั้งแต่ก่อนอิสลามเลยมีการสืบทอดมาเนี่ย ยิ่งขัดกับความจริงที่เกิดขึ้น เพราะการละหมาด 5 เวลา นั้น ไม่เคยปรากฎในที่ใดเลยนอกจากอิสลามปัจจุบัน ท่านนบีอิบรอฮีมหรืออับราฮัมมีเชื้อสายแตกออกไปเป็นคริสต์และยิวด้วย แต่ปรากฎว่า ไม่มีการละหมาด 5 เวลาปรากฎ ทั้งในคัมภีร์เองและการปฏิบัติ ดังนั้นการตกทอดที่อ้างมันจึงเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลด้วยประการทั้งปวง เมื่อเราประมวลข้ออ้างต่างๆ ของกลุ่มผู้ปฏิเสธฮะดีษ โดยเริ้มตั้งแต่การหาคำตอบจากอัลกุรอ่านไม่ได้ มาถึงการอ้างที่ไม่สมเหตุสมผลแล้ว ทำให้เราทราบว่า กลุ่มที่ไม่เอาฮะดีษเนี่ย ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเลย ไม่มีสาระ เขาถึงไม่ยอมตอบคำถามมุสลิมเรื่องการปฏิบัติศาสนกิจไงครับ ต้องแถ ต้องเบี่ยงประเด็นไปเรื่อยๆ สังเกตมั๊ยครับ ทำไมเขาถึงต้องถามกลับเรื่องฮะดีษ ทั้งๆที่ถ้าเขาตอบเคลียร์ หาหลักฐานชัดเจนจากอัลกุรอ่านได้ ก็จบแล้ว มุสลิมก็ไม่ถามเรื่องเวลาละหมาดจากอัลกุรอ่านแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมตอบ เน้นจะถามกลับอย่างเดียว เพราะอะไร เพราะเขาตอบไม่ได้ไงครับ มันเป็นแบบนี้มานานแล้ว มันจะเป็นต่อไปก็ไม่แปลกจริงมั๊ย? ************************************************ ท่านนบีเป็นบุคคลที่มีมารยาทดีงาม และมีบุคลิกที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้วล่ะครับ และการกระทำของท่าน เป็นแบบอย่างให้กับมุสลิม ที่สำคัญ คำพูดของท่าน การกระทำของท่าน หรือแม้แต่การนิ่งของท่าน คือหลักที่นำมาวินิจฉัยศาสนาครับ เพราะฉะนั้น จะไปตัดทอน หรือเพิ่มเติมการกระทำของท่านเองตามใจชอบไม่ได้ เพราะการพูดการกระทำของท่าน บางครั้ง ก็เป็นการอธิบายโองการแต่ละโองการในกุรอ่าน เวลาที่ท่านรับโองการ สภาพแวดล้อม สถานการณ์แวดล้อม ล้วนมีความสำคัญต่อศาสนา ดังนั้นพวกที่ปฏิเสธฮะดีษจึงไม่อาจจะเรียกว่าเป็นมุสลิมได้หรอกครับ เพราะ พวกนี้จะไม่สามารถ ปฏิบัติศาสนกิจได้ตามที่ผมบอกไปแล้ว ตอบมาเร็วๆนะครับ อย่าลีลา จากคุณ : Carroth - [ 25 ก.พ. 52 20:33:18 ]

ความคิดเห็นที่ 73 จาก ความคิดเห็นที่ 48   ผมเสนอมาย่อๆว่า... จากอัลกุรอาน การละหมาดมีอยู่  5 เวลา  เวลาเหล่านั้นมี ดังนี้ 1.การละหมาด ซุบฮิ  มีใน บทที่ 24  อายะที่ 58 2.การละหมาด    ซุฮฺริ มีใน บทที่ 24  อายะที่ 58  และ   17: 78   3.การละหมาด อัศริ  มีใน บทที่ 2  อายะที่238   และ     17: 78   4.การละหมาด   มัฆริบ มีใน บทที่  17  อายะที่ 78     5.การละหมาด  อีชา  มีใน บทที่ 24  อายะที่ 58  ผมขอตอบเท่านี้ก่อน แต่อยากจะให้คุณตอบคำถามผมบ้างไม่ใช่หาทางหลีกเลี่ยง และ เสแสร้งว่าคำถามผมไม่มีคุณค่า ผมได้ให้ จุดเริ่มต้นในการอธิบายการละหมาดตามคำสั่งจากอัลกุรอานไว้แล้วและในทำนองเดียวกัน..ผมขอถามคำถามข้างล่างนี้โดยตรงต่อคุณCarroth ว่า... " จุดเริ่มต้นในการละหมาด 5 เวลา ตาม อะหะดีษที่คุณว่านั้น มีอยู่ที่ใด หมวดใด และ หมายเลข อะไร? และเป็น “ฮาดีษ” ระดับใด?"   ทั้งนี้ เพื่อที่เราจะได้ เปรียบเทียบกันไปตามลำดับ เพื่อ ผู้สนใจในที่นี้ ............................ ตามที่คุณCarroth  ตอบผมมาว่า เอาล่ะเรามาดูกันดีกว่า ว่า ฮะดีษเรื่องละหมาดมี 5 เวลา เขาเล่าว่า ท่านนบีบอกกับเราไว้ว่าอย่างไร? อิบนิอับบาสรายงานว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม ได้แต่งตั้งมุอาซไปยังเมืองยะมัน ท่านสั่งว่า เจ้าจงเรียกร้องเชิญชวนพวกเขาสู่คำปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และฉัน(มุฮัมมัด)เป็นรอซูลของพระองค์ ถ้าพวกเขาเชื่อฟังตามนี้ก็จงสอนให้พวกเขารู้ว่าอัลลอฮฺได้ทรงกำหนดเป็นฟัรฎูแก่พวกเขาให้ละหมาดในแต่ละวันกับคืนหนึ่ง 5 เวลา ถ้าพวกเขาเชื่อฟังตามนี้ก็จงสอนให้พวกเขารู้ว่าอัลลอฮฺได้ทรงกำหนดการจ่ายทานบังคับจากทรัพย์สินของพวกเขาที่เก็บจากคนมั่งมีในพวกเขานำมาคืนแก่คนยากจนในพวกเขา ( บันทึกโดย บุคอรี : อัซฺซฺะกาฮฺ ) ............................... ขอบคุณครับที่เริ่มต้นด้วยดี .... จากฮาดีษที่คุณยกมานี้ แสดงให้เห็นว่า เมื่อชาว เมืองยะมันยอมรับเข้านับถือศาสนาอิสลามแล้ว ก็ได้รับทราบว่า “การละหมาดเป็นฟัรฎู หรือข้อบังคับในการปฏิบัติ การกราบเคารพบุชาพระเจ้า เป็นเวลา 5 ครั้ง ใน เวลา 24 ชั่วโมง ของทุกๆวัน” คำถามของผมก็คือท่านรอซูล ทราบมาได้อย่างไรว่า “ชาวเมืองยะมัน” ทราบวิธีการละหมาด และถ้า “ชาวเมืองยะมัน” ไม่ทราบวิธีละหมาดมาก่อน หน้าที่จะมีอัลกุรอานแล้ว, “พระองค์อัลลอฮ์” จะออกเป็นกฏข้อบังคับได้อย่างไร, ว่า การละหมาดจะต้องเป็นฟัรฎู  ถ้าเราอ่านอัลกุรอานแล้วพบว่า พระเจ้าสั่งกำชับ ให้มุสลิมทำละหมาดวัน ละ 5 เวลา  นั้นหมายความว่า  พระองค์ทรงเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า  การละหมาด 5 เวลา เป็นสิ่งที่ มนุษย์ในสมัยนั้น มีประสบการณ์มาแล้ว และพระองค์ได้ ย้ำและ เตือน ถึงเวลาในการละหมาด ไว้ในอายะต่างๆในการทำละหมาด ไว้ในอัลกุรอาน อย่างชัดเจน และอัลกุรอาน มีมาก่อน “อะหะดีษ”   ซึ่งผู้ที่ ศึกษาอัลกุรอาน ทุกๆชาติ ทุกๆภาษา  ได้เขียน อธิบายเรื่อง การละหมาด 5 เวลา ในอัลกุรอาน ไว้เป็นจำนวนมาก  ถ้าเราศึกษาอัลกุรอาน ในเรื่องการทำละหมาด วันละ 5 เวลาของมุสลิมว่ามาจากอัลกุรอาน แล้ว จะมีเหตุผล ที่เชื่อถือได้ มากกว่า ทั้งนี้เพราะว่า “ท่านรอซูลใช้อัลกุรอานเป็นพื้นฐานในการสอนศาสนา” คำถามของผมถามคุณว่า.. “การกำหนดว่าการทำละหมาด 5 เวลา “ตามฮาดีษ” นั้น มีประวัติการเริ่มต้นมาอย่างไร? อยู่ ในฮาดีษหมวดใด? เลขที่เท่าใด? และ แต่ละเวลานั้น มีอยู่ใน  “อาดีษบทใด”,  หมวดและหมายเลขอะไร?   หมายเหตุ.. ผมไม้ได้ถามคุณCarrothว่า  “ท่านรอซูลมีคำสั่งต่อเจ้าเมืองและประชาชนชาว เมืองยะมันว่าอย่างไร?  และไม่ได้ถามว่า “การละหมาดคืออะไร? เปรียบเสมือนอะไร? ถ้าท่านสมาชิกผู้ใดเข้าใจ คำถามของผมแล้ว คุณ ช่วยกรุณาขยายความให้คุณ Carroth  เข้าใจคำถามของผมด้วย  และผมขอร้องให้คุณCarroth ตอบให้ตรงคำถามด้วย  ให้สั้นๆ และ เข้าใจง่ายๆ... นะครับ โดยยกตัวอย่าง, ตัวบทฮาดีษมาให้ผม และ สมาชิก ทุกๆท่านได้ เห็นด้วย    ซึ่งเปรียบกับคำสังว่าการทำละหมาด  เสมือนว่า  มีผุ้ออกคำสั่ง ให้คุณไปเล่นกอล์ฟ ทั้งๆที่คุณไม่ทราบว่า “กอล์ฟ” คืออะไร?  ซึ่งไม่ถูกตาม Logic of reality แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 52 21:11:44 จากคุณ : แมทท์ - [ 25 ก.พ. 52 21:07:43 ]

ความคิดเห็นที่ 74 นี่แหละครับ แมทท์หาทางเลี่ยงจะตอบคำถามเรื่องละหมาด ว่า มีตรงไหนของกุรอ่านที่บอกว่าละหมาดต้องมีอ 5 เวลา ซึ่งคำตอบนี้ ไม่จำเป็นต้องถามผมเรื่องฮะดีษเลย แมทท์ก็ สามารถตอบได้ ถ้าคำตอบมันมีอยู่จริง และคำตอบของแมทท์ในคคหที่ 48 ผมก็ แฉความมั่วของแมทท์ไว้ใน คคหที่ 50 แล้วล่ะครับ เอาล่ะ ตอบคำถามเรื่อง ละหมาดในฮะดีษนะครับ เอาเรื่องฮะดีษ ละหมาด กับชาวยะมันก่อนนะครับ การตั้งขอสังเกตว่า ชาวยะมันต้องรู้จักละหมาดมาก่อนเป็นอย่างดี อัลลอฮฺจึงสั่งให้ ละหมาดเป็นฟัรฎู เพราะไม่มีความจำเป็นใดๆ ทั้งสิ้นครับที่ต้องรู้จักก่อน เพราะสมัยเด็กๆ เมื่อใครเรียนละหมาด ก่อนที่จะรู้ว่าละหมาดอย่างไร เราก็รู้ว่า การละหมาดมีความจำเป็นแล้ว จากนั้นค่อยเรียนก็ได้ว่า ละหมาด อย่างไร มีกี่เวลา ตรรกะนี้ ไม่มีเหตุผลเพียงพอครับ ในเมื่อ มีคำสั่งว่าละหมาดเป็นฟัรฎูแล้ว ถ้าชาวยะมันไม่รู้ว่า ละหมาดทำอย่างไร ก็สอนวิธีละหมาด เวลาละหมาด และท่วงท่าการละหมาดต่อไป ก็ย่อมได้ครับ เหมือนกับ ที่ชาวมุสลิมมาสอนชาวจีน ชาวอินเดีย ชาวมาเลย์ละหมาด ถามว่าคนพวกนี้ มีละหมาดในศาสนาดั้งเดิมของเขาหรือเปล่าครับ? จำเป็นต้องรู้เหรอครับว่าละหมาดเป็นยังไง ก่อนจะบอกว่า ละหมาดจำเป็น? ไม่เลย บรรดากลุ่มเผยแผ่ศาสนา ก็สอนละหมาดแก่เขา โดยที่เขาไม่รู้จักละหมาดนั่นแหละครับ ไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่ต้อง รู้จักการละหมาดก่อน ท่านนบีถึงส่งคนให้ไปบอกว่า ละหมาดเป็นฟัรฎู ไม่ต้องกอล์ฟหรอกครับ ตอนเด็กๆ หลายคนก็ได้รับการปลูกฝังให้เป็นหมอ เป็นครู เป็นทหาร โดยไม่รู้ว่า การเป็นครู เป็นทหาร เป็นหมอ คืออะไร ทำอย่างไร เรียนอะไร ปฏิบัติยังไงด้วยซ้ำ logic ที่ว่า ต้องรู้จักละหมาดก่อนถึงจะบังคับให้เป็นฟัรฎูได้จึงไม่สมเหตุสมผลด้วยประการทั้งปวงครับ เพราะถ้าชาวยะมันละหมาดไม่เป็น กลุ่มผู้เผยแผ่ศาสนาก็สอนครับ แล้วค่อยละหมาดก็ย่อมได้ไม่ใช่เรื่องแปลก จากคุณ : Carroth - [ 25 ก.พ. 52 21:52:46 ]

ความคิดเห็นที่ 75 คำพูดแมทท์ ถ้าเราอ่านอัลกุรอานแล้วพบว่า พระเจ้าสั่งกำชับ ให้มุสลิมทำละหมาดวัน ละ 5 เวลา  นั้นหมายความว่า  พระองค์ทรงเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า  การละหมาด 5 เวลา เป็นสิ่งที่ มนุษย์ในสมัยนั้น มีประสบการณ์มาแล้ว และพระองค์ได้ ย้ำและ เตือน ถึงเวลาในการละหมาด ไว้ในอายะต่างๆในการทำละหมาด ไว้ในอัลกุรอาน อย่างชัดเจน และอัลกุรอาน มีมาก่อน “อะหะดีษ” ไม่มีนะครับ กุรอ่านที่บอกมา ว่า ต้องละหมาด วันละ 5 เวลา แต่มีคำสั่งให้รักษาละหมาด ซึ่งเรามาทราบว่า ละหมาด มี 5 เวลาจากแบบอย่างนบีครับ เรื่องนี้ แมทท์ได้พูดเท็จอย่างชัดแจ้ง และตรรกะที่ว่าสั่งให้มนุษย์ละหมาด นั้นเพราะพระองค์รู้ว่ามนุษย์คุ้นเคยกับการละหมาดแล้ว นั้นก็ไม่จำเป็นครับ เพราะเมื่อมีคำสั่งว่าต้องละหมาด หรือให้รักษาละหมาด แล้วมนุษย์ไม่รู้จักละหมาด ท่านนบีเองก็จะสอนให้ ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่มนุษย์ต้องรู้จักละหมาดก่อนครับ ตรรกะที่บกพร่องเช่นนี้ไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานทางศาสนาได้เลยครับ และเป็นเรื่องน่าตลกด้วย ส่วนเรื่องที่มา ของละหมาดจากฮะดีษนั้น ผมจะไปรวบรวมข้อมูลมาตอบแน่ครับ แต่ เรื่องนี้ มันไม่จำเป็นต่อการตอบคำถามของแมทท์ครับ เพราะผมบอกเสมอว่า กุรอ่าน สั่งให้มุสลิมละหมาด แต่รายละเอียดไม่ได้ลงไว้ทั้งหมด ดังนั้นรายละเอียดเรื่องการละหมาด มุสลิมหาได้จากแบบอย่างของท่านนบีครับ นั่นคือ ฮะดีษ จึงไม่จำเป็นต้องหาว่า จุดเริ่มต้น ของฮะดีษเรื่องละหมาด 5 เวลานั้น มีอยู่ที่ฮะดีษ ใด หมายเลขใด เพราะเมื่อละหมาด ไม่ได้บอกว่า ละหมาด วันกับคืน เป็น ฟัรฎู มี 5 เวลาแล้ว เราก็ต้องหาจากฮะดีษครับ และฮะดีษ ชาวยะมันนั้นก็เพียงพอแล้ว ผมจะหามาตอบครับ แต่รู้ไว้เลยว่าวิธีเบี่ยงประเด็นของคุณมันใช้ไม่ได้ผลหรอกครับ แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 52 22:11:00 จากคุณ : Carroth - [ 25 ก.พ. 52 22:02:32 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ว่าแต่เรื่องละหมาดที่อ้างว่าตอบเถอะครับว่าละหมาด มี 5 เวลา เป็นฟัรฎูในกุรอ่านอยู่ตรงไหน เพราะคำตอบของคุณ มันไม่ใช่คำตอบครับ เพราะ ที่คุณอ้างมานั่นน่ะ นับได้ 9 ครับ ไม่ใช่ 5 กรุณาอย่าโมเม จากคุณ : Carroth - [ 25 ก.พ. 52 22:11:35 ]

ความคิดเห็นที่ 77 อ่า ๆ งั้นขอถามสรุปสั้น ๆ ว่า 1. อัลกรุอ่าน มีระบุเวลาละหมาดมากกว่า 5 เวลา เราทราบได้อย่างไรถ้าไม่อาศัยฮาดิษว่า ข้อบังคับนั้นคือ 5เวลา นอกเหนือจากนั้นเป็นละหมาดที่ไม่บังคับ 2.ชาวอาหรับโดยทั่วไป ทราบรูปแบบ จำนวนครั้ง ของการละหมาดก่อนการมาถึงของอิสลามแล้วจริงหรือ? 3. อันนี้เป็นคำถามตกค้างครับคุณแมทท์ คุณแมทท์ได้เคยอธิบายและตั้งคำถามเรื่องสำนวนของการสาบานในอัลกรุอ่าน นั้นเป็นสิ่งผิดปรกติ คุณแมทท์บอกว่าเป็นการตั้งถามเพื่อหาคำตอบ (เป็นกระบวนการในการทำให้สิ้นข้อสงสัย) ถามว่าตอนนี้คุณแมทท์ได้คำตอบหรือยัง ? ถ้าได้แล้วจะอธิบายว่าอย่างไร หรือยังคิดว่านั่นเป็นส่วนปลอมปนของกรุอ่านเหมือนเดิม รอคำตอบนะครับ โดยเฉพาะข้อที่ 3 เพราะสองข้อแรก รู้สึกบทสนทนามันจะวน ๆ แล้ว ต่างคนก็ต่างแสดงทัศนะแล้ว สมาชิกทุกท่านก็ใช้วิจารณญาณกันต่อแล้วกัน ว่าจะเห็นด้วยกับฝั่งไหน หรือไม่เห็นด้วยกับทั้งสองฝั่งนั่นแหละ จากคุณ : น้องจั้ง (น้องจั้ง) - [ 25 ก.พ. 52 22:25:42 ]

ความคิดเห็นที่ 78 อ่อ มีอีกคำถามที่ยังไม่เคลียร์คือ แล้วเราจะเข้าถึงจริยวัตรของศาสดาได้อย่างไรโดยไม่อาศัยเอกสารทางประวัติศาสตร์(ความจริงฮาดิษก็ถือว่าเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ชนิดหนึ่ง) และคุณแมทท์จะระบุถึงรายละเอียดของศาสดาได้อย่างไร โดยไม่อาศัยเอกสารทางประวัติศาตร์ที่ว่านั้น (ไม่ว่าเราจะเรียกมันว่าฮาดิษหรือไม่อย่างไร) จากคุณ : น้องจั้ง (น้องจั้ง) - [ 25 ก.พ. 52 22:27:54 ]

ความคิดเห็นที่ 79 อันนี้ คร่าวๆ ก่อนนะครับ เท่าที่หาได้ หากวิเคราะห์จากประวัติการละหมาดในยุคเริ่มต้นของอิสลามนั้น นักประวัติศาสตร์อิสลามบางส่วน  ได้กล่าวว่า  “การใช้ให้ละหมาดและทำการอาบน้ำละหมาดนั้น  เกิดขึ้นในช่วงเวลาได้ลงมาหาท่านร่อซูลุลลอฮ์  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  เพื่อแจ้งข่าวว่า  อัลเลาะฮ์ทรงเลือกท่านให้เป็นศาสนทูตแห่งมวลมนุษย์ชาติทั้งหมด  และถูกส่งมายังญินและมนุษย์  และนักประวัติศาสตร์ได้กล่าวว่า  แท้จริงญิบรีลได้ทำการสอนท่านร่อซูลุลลอฮ์  กับเรื่องการอาบน้ำละหมาดและการละหมาด  ดังนั้นญิบรีบจึงทำการอาบน้ำละหมาด  และท่านร่อซูลก็ทำการอาบน้ำละหมาดพร้อมกับญิบรีล  หลังจากนั้นญิบรีลก็ทำการละหมาดและท่านร่อซูลก็ทำการละหมาดพร้อมกับญิบรีล  ขณะที่วะฮีได้หายไป  ท่านร่อซูลก็ไปหาท่านหญิงค่อดีญะฮ์  และทำการสอนนางให้ทำการอาบน้ำละหมาดตามที่ได้เรียนมาจากญิบรีล  และได้ทำการละหมาดพร้อมกับนาง  เหมือนกับการละหมาดที่ท่านร่อซูลได้ละหมาดพร้อมกับญิบรีล" (ซีเราะห์อิบนุฮิชาม 1/155 , อัซซีเราะฮ์อัลฮะละบียะฮ์ 1/252 , ตารีค อัลกามิล ของอิบนุอะษีร 2/22 , ตารีค อัฏฏ่อบะรีย์ 2 /304) จากประวัติศาสตร์ตรงนี้  ปรากฏว่าท่านญิบรีลได้สอนการอาบน้ำละหมาดและวิธีการละหมาดแบบ 2 ร่อกะอัต  และหลังจากอิสรออฺแล้วท่านญิบรีลก็ลงมาสอนการละหมาด 5 เวลาแบบสอง , สาม , และสี่ ร่อกะอัต  ดังนั้นการละหมาดก่อนอิสรออฺก็คือวิธีการละหมาดที่เราทราบกันดีนั่นเองครับ มีประเด็นปัญหาหนึ่งได้ถามกับอิมามอันนะวาวีย์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า   คำถาม : ได้รับการยืนยันไว้หรือไม่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้(นำ)ละหมาดพร้อมกับบรรดานบีในคืนอิสรออฺที่บัยตุลมักดิสหรือไม่?  และการละหมาดนั้นวายิบหรือไม่?  และการละหมาดนี้เป็นที่รู้กันดูหรือว่าเป็นการขอดุอา....? ตอบ : ใช่แล้ว  ได้รับการยืนยันว่า  นบีของเราได้ทำการละหมาดพร้อมกับบรรดานบีในคืนอิสรออฺ  ณ  บัยตุลมักดิส  หลังจากนั้นมีการตีความกันว่าการละหมาดนั้นก่อนที่จะขึ้นไปสู่ฟากฟ้าหรือหลังจากที่ลงฟากฟ้ามาแล้ว  และบรรดานักปราชญ์ได้ขัดแย้งกันเกี่ยวกับละหมาดนี้  บางทัศนะกล่าวว่า : มันเป็นการละหมาดในเชิงภาษา  ยคือการขอดุอาและการซิกิร   และบางทัศนะกล่าวว่า  มันคือละหมาดที่รู้กันดี (คือมีการยืน , ร่อกั๊วะ , สุยูด , นั่งตะฮียะฮ์ , และให้สลาม  เป็นต้น) ซึ่งทัศนะนี้  ชัดเจนยิ่งกว่า เพราะถ้อคำ(ละหมาด)นั้น  ถูกตีความอยู่บนความหมายตามหลักแก่นแท้ของ(ฟิกห์)นิติศาสตร์อิสลาม(คือหมายถึงละหมาดที่เรารู้จักกันดี)ก่อนหลักภาษา(ที่อยู่ในความหมายดุอาและซิกิร)  แต่ทว่าแท้จริงเราจะทำการตีความตามหลักภาษาก็ต่อเมื่อมีอุปสรรค์ในการตีความตามแก่นแท้ของหลักนิติศาสตร์อิสลาม  แต่ ณ ที่นี้ก็ไม่มีอุปสรรค์อันใด  ดังนั้นจึงวายิบต้องตีความการละหมาดให้อยู่บนความหมายตามหลักนิติศาสตร์อิสลาม  และการละหมาดนั้นวายิบก่อนคืนอิสรออฺ  คือการวายิบนั้นในการละหมาดบางส่วนของคืนเหมือนกับที่อัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ระบุไว้ในซูเราะฮ์ อัลมุซซัมมิล และการวายิบละหมาดครั้งแรกนั้น  ก็ได้ระบุไว้ในช่วงแรกของซูเราะฮ์ดังกล่าว  ซึ่งพระองค์ได้ทรงตรัสว่า  "โอ้ผู้ห่มผ้า (หมายถึงนบีมุฮัมมัดซึ่งกำลังห่มผ้า) - 1 - เจ้าจงตื่นกลางคืน(เพื่อทำละหมาด)เถิด  ยกเว้นเพียง(เวลา)เล็กน้อย (เพื่อใช้ในการพักผ่อน) - 2 - (นั่นคือ) ครึ่งคืน  หรือจงลดลงจากนั้นลงมาสักเล็กน้อย - 3 - หรือจงเพิ่งขึ้นกว่านั้นอีก  และเจ้าจงอ่านอัลกุรอานให้ถูกต้องชัดเจน - 4 - " ซูเราะฮ์อัลมุซัมมิล  หลังจากหนึ่งปีอัลเลาะฮ์ก็ทรงยกเลิกสิ่งดังกล่าว  ด้วยคำตรัสของพระองค์ในท้ายซูเราะฮ์ที่ว่า "ดังนั้นพวกเจ้าจงอ่านส่วนที่ง่ายสำหรับพวกเจ้า" อัลมุซัมมิล 20  หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงยกเลิกการละหมาดในยามค่ำคืนในคืนอิสรออฺ  และได้กำหนดละหมาดฟัรดูในคืนนั้น..."  ดู  ฟะตาวาอิมามอันนะวาวีย์  หน้า 83 - 84 ตีพิมพ์ ดารุลอิชร็อก ฮ.ศ. 1422 -  ค.ศ. 2001 โดยท่าน al-azhary นี่ครับ เรื่องเกี่ยวกับการละหมาด เราจะพบว่า ครั้งแรกนบีได้รับการสอนเรื่องละหมาดจากญิบรออีลครับ ไม่มีตรงไหนบอกว่า ละหมาด 5 เวลา คนสมัยนั้นคุ้นเคยมาก่อน และที่สำคัญ ที่ผม ทำตัวหนาไว้ช่วงหลังๆนั้น จะพบว่ากุรอ่านเองได้ระบุการละหมาด ที่เป็นวายิบไว้ ครั้งแรกคือช่วงกลางคืนครับ แล้วจึงมีการละหมาด 5 เวลาทีหลัง ไม่ใช่ละหมาด 5 เวลากันมานานก่อนการลงกุรอ่านอย่างที่แมทท์ว่าแต่อย่างใด จากคุณ : Carroth - [ 25 ก.พ. 52 22:46:25 ]

ความคิดเห็นที่ 80 อิอิอีตาแมทมาปล่อยไก่อีกแล้ว.....เข้ามาดูเฉยๆๆลุงแมท...เอาเวลาไปดูแลร้าน..ดีกว่ามั้ง...ดีกว่าเอาเรื่องโกหดพกลม.มาเล่า...ตรรกปัญญาอ่อนนน...พี่น้องมุสลิมในบอร์ดนี้อย่าไปให้ความสนใจเลย...คุณแมทอ่ะ..เสียเวลาเปล่า..เพราะว่าศาสดาของเขาไม่รู้ท่านนบีมูฮำมัดหรือเปล่า...อ่นแล้วพูดกันคนตำรา..เอาว่าไว้ดูกันตอนตายดีกว่า(สำหรับศาสนาของท่านท่านก็นับถือ..ศาสนาของเราเราก็นับถือ)..ป.ล.ไม่เคยเห็นแมทพูดเรื่องยิงกับปาเลสไตเลยทำไมหว้าหรืว่ามีอะไรในกอไผ่ จากคุณ : chanonhad - [ 26 ก.พ. 52 12:21:43 ]

ความคิดเห็นที่ 81 แมทท์ปล่อยทั้งเป็ดทั้งไก่ทีละหลายเล้ามา 5-6 ปีแล้วครับ และผมไม่สนนะครับ คำขู่ของแมทท์ประเภทที่ว่า ถ้าคุณไม่ทำตามกติกาโดยตอบคำถามผมแล้ว เราก็ไม่มีความจำเป็น จะต้องคุยต่อไป เพราะคุณไม่อาจจะหาหลักฐานทางอะฮาดีษมาแสดงให้ผม และ ท่านสมาชิกที่สนใจ ได้เห็นเช่นกัน แต่ผมมีหลักฐานจากอัลกุรอานเตรียมไว้ให้คุณแล้ว เพราะคำพูดที่ว่า ถ้าไม่ทำตามกติกา ก็ไม่จำเป็นต้องคุยอีกต่อไปนั้น มันเป็นคำอ้าง เพื่อที่แมทท์จะได้ไม่ต้องคุยเรื่องละหมาด ที่แมทท์ตอบไม่เคยได้อีกต่อไปไงครับ ซึ่งถ้าแมทท์จะไม่ตอบ ก็ไม่มีใครว่าครับ แต่มันจะเป็น การประจานตัวแมทท์เองว่าคนอย่างแมทท์ ไร้สาระ ไม่มีหลักฐาน ไม่มีเหตุผล เก่งแต่แถ และเบี่ยงประเด็นอย่างเดียว ผมไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงและไม่ได้เสแสร้งว่าคำถามของคุณไม่มีคุณค่าหรอกครับ เพราะคำถามของคุณ มันไร้ค่าจริงๆ เนื่องจากมันไม่เกี่ยวกับการหาคำสั่ง ให้มุสลิมละหมาด 5 เวลา ในกุรอ่านเลย เพราะที่คุณเอามา มันนับได้อย่างน้อยๆ 9 เวลาครับ ไม่ใช่ 5 ที่คุณถามมาก็เพื่อให้ผมไปเสียเวลาหามาก็เท่านั้น เพราะถ้าคนเรามีหลักฐานพอ ที่จะตอบล่ะก็ ตอบได้เลยครับ ไม่จำเป็นต้องถามผมกลับแต่อย่างใด และผมก็ไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องเวลาละหมาดมาคุยต่ออีก เนื่องจากหลักฐานในคำตอบแน่นหนาพอ ก็เหมือนกับผมถามคนคนนึงว่าไหนเอาหลักฐานมาหน่อยซิว่า ในหนังสือฟิสิกส์เล่มนี้ มีเนื้อหาเกี่ยวกับ วิธีการผลิตระเบิดรถยนตร์อยู่ คนถูกถามก็แค่บอกว่า อยู่บทไหน หน้าไหน วรรคไหน แค่นั้นเอง ปัญหาก็จบแล้ว แต่คนตอบดันตอบว่า มันอยู่กลางๆ เล่ม หาเอง คนถามก็บอกว่าหาแล้วไม่เจอ มันอยู่หน้าไหน คนตอบก็บอกว่าผมตอบคุณแล้วถ้าจะถามต่อ ต้องตอบผมมาก่อนว่า คนแต่งหนังสือเล่มนี้ ชื่ออะไร เกิดวันที่เท่าไหร่ มีลูกกี่คนถึงจะยอมตอบต่อ ทุกท่านคิดว่า คนที่ตอบคำถามแบบนี้ มันเป็นคนน่าเชื่อถือมั๊ย แถหรือเปล่า เบี่ยงประเด็นหรือไม่ ก็เช่นกัน ผมแค่ถามว่าตรงไหนของอัลกุรอ่าน มีบอกว่ามุสลิมต้องรักษาละหมาดวันกับคืนนึง 5 เวลา แทนที่แมทท์จะบอกมาให้ถูกต้องถ้ามีอยู่ แต่แมทท์กลับบอกโองการบางโองการมา ซึ่งผมก็ไปตรวจสอบพบว่า มันนับได้เกิน 5 ครับ ไม่ใช่ 5 เวลาอย่างที่ถามหาแต่อย่างใด จึงไปถามหา ละหมาด 5 เวลา แมทท์ไม่ยอมตอบกลับให้ผมไปหาฮะดีษ มา แบบนี้คืออะไรครับ มันคนละเรื่องแล้วล่ะครับ นี่มันแถชัดๆ แล้วถ้าถามไปถามมาแบบนี้ อยู่ๆ ให้ผมไปหาว่า คนบันทึกฮะดีษหน้าตาเป็นไง มีขนกี่เส้น มีไฝกี่เม็ด ค่อยมาตอบเรื่องละหมาด แล้วจะได้คำตอบมั๊ยครับ? ทั้งๆที่ถ้าแมทท์บอกโองการในกุรอ่านที่ระบุ ว่า วันนึงมุสลิมต้อง ละหมาด 5 เวลา มาก็จบแล้ว แต่ก็เอาเถอะครับ ผมก็หาฮะดีษมาให้ แต่ผมบอกไว้ก่อนเลยนะครับ นี่ไม่ใช่เงื่อนไขในการตอบคำถามเรื่องละหมาดของคุณ เพราะผมถามคุณเรื่องอัลกุรอ่าน ไม่เกี่ยวกับฮะดีษ ว่า มีตรงไหนบอกว่า มุสลิมต้องละหมาด วันกับคืนนึง 5 เวลา? ไม่ใช่ 7 9 11 ถ้าคุณไม่ตอบ มันก็เป็นการประจานตัวคุณเองครับว่ามั่ว ไม่เกี่ยวอะไรกับผม จากคุณ : Carroth - [ 26 ก.พ. 52 13:43:49 ]

ความคิดเห็นที่ 82 คุณchanonhad   ถ้าคุณอ่านข้อเขียนของผมแล้วคุณจะรู้จักศาสนาอิสลาม และ ท่าน ศาสดามูฮัมมัด และจะฉลาดขึ้น อีกมาก  ผมไม่ทราบว่าคุณถือศาสนาอะไร? ศาสดาของคุณจึงแตกต่างไปจากที่ อัลกุรอานอธิบายไว้   ถ้าศาสดาคุณอยุ่ในเรื่องนิยาย "เมี๊ยะราจ/อิศรอ"  ก็เป็นคนละคนกับ ท่านรอซูลมูฮัมมัดแน่ๆ   ที่คุณว่า..  "สำหรับศาสนาของท่านท่านก็นับถือ..ศาสนาของเราเราก็นับถือ"  ใครเป็นผู้กล่าวครับและกล่าวต่อผู้ใด?  ผมนะนับถือศาสนาอิสลามอย่างแน่นอน เพระสักการะและศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว   แล้วคุณchanonhad, ละ คุณนับถือศาสนาอะไร?  ถึงมีการ จูบก้อนหิน และ ยืนเกาะกำแพง กันเป็นแถวเช่นนั้น,     ศาสนาอิสลามที่พระเจ้าประทานมา  สอนว่าอย่านำก้อนหินมาเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา หรือใช้เป็นเครื่องหมายแห่งการแสดงความรัก และ ระลึกถึงผู้ใด การกระทำเช่นนั้น เป็น "ชิริก" ในศาสนาอิสลามที่ผมนับถืออยู่ ห้ามไว้อย่างเด็ดขาด    คุณทราบหรือไม่ว่า เวลานี้  "มีบุคคลที่เชื่ออะหะดีษ ได้ไปตามเวบต่างๆ เชิญชวน ให้ "ละหมาดตามแมทท์" แล้ว  แสดงว่า คำอธิบายของผม มีผู้สนใจ    คุณ chanonhad เข้าใจผิด ผมมาต้อนไก่ และ เป็ด ต่างหาก, ผู้ที่ เคยแต่ ไล่ถาม ต้องการคำตอบจากผู้อื่น  แต่พอถูกถามบ้าง โมมะโมเม หาคำตอบไม่ได้ ไปโวยวายขอความช่วยเหลือจากพรรคพวกเดียวกัน ..ตื่นตระหนก ตกใจ ไปประกาศให้ "ละหมาดตามแมทท์" ดัน  ไปเข้าเวบ ผิด เวบถูก   ไปเข้าเวบ "ซุนนีย์" ที่เขา กำลัง  ด่า โจมตีและ ทะเลาะกันเรื่องความรู้ ใน "การตีความหมายทางฮาดีษและอัลกุรอาน" ซึ่งยังตกลงกันไม่ได้  ว่า "พระเจ้าคือใคร? นั่งอยู่บนบัลลังก์ มี เทวดาหามอยู่ 8 ทิศ หรือ 4 ทิศ หรือว่า "พระเจ้าไม่มีตัวตน, ไม่มีทิศทาง, ไม่มีน้ำหนัก ?    ถ้าคุณต้องการพบผมตอนตายก็รีบตายเร็วๆซิครับ ผมอายุปาเข้าไป เกือบ 82 แล้ว  แก่เหลาเหย่เลย  คุณไปรอผมให้ถูกที่แล้วกัน   แต่ถ้า ยืนเกาะกำแพง และ จูบก้อนหินอยู่ และ ไม่สนใจในรายละเอียดของอัลกุรอานแล้ว  คุณจะไปอยู่ผิดที่แน่ๆเลย  แต่ผมจะแวะไปเยี่ยมได้  เพราะเมื่อถึงสวรรค์แล้ว  ผมจะมีอายุกำลังวังชาประมาณ ชาย อายุ 32  (ตามคำบอกเล่า) ฮิฮิๆๆๆ จากคุณ : แมทท์ - [ 1 มี.ค. 52 01:03:43 ]

ความคิดเห็นที่ 83 คุณ Carroth  คุณอย่าพยายามเทไถซิครับ ถ้าการละหมาดไม่ว่าจะกี่เวลาก็ตามไม่มีมาก่อน ท่านรอซูลและไม่มีสอนไว้หรือบัญญัติไว้ใน อัลกุรอาน  "มันก็จะต้องมีที่มาสักแห่งหนึ่ง"  ตามที่คุณต้องการ 5 เวลา ผมก็หามาให้  และถ้าคุณต้องการ,  การละหมาดพิเศษ ที่เป็น วายิบ ไม่ถึงขั้น ฟัรฎู ผมก็จะชี้ให้เห็นว่า อยู่ในบทใด อายะใด ในอัลกุรอาน  แต่ที่คุณไม่ทราบ เพราะคุณไม่เคยอ่าน อัลกุรอาน อย่างละเอียด   คำถามของผมถามคุณว่า.. “การกำหนดว่าการทำละหมาด 5 เวลา “ตามฮาดีษ” นั้น มีประวัติการเริ่มต้นมาอย่างไร? อยู่ ในฮาดีษหมวดใด? เลขที่เท่าใด? และ แต่ละเวลานั้น มีอยู่ใน  “อาดีษบทใด”,  หมวดและหมายเลขอะไร?   หมายเหตุ.. ผมไม้ได้ถามคุณCarrothว่า  “ท่านรอซูลมีคำสั่งต่อเจ้าเมืองและประชาชนชาว เมืองยะมันว่าอย่างไร?  และไม่ได้ถามว่า “การละหมาดคืออะไร? เปรียบเสมือนอะไร? ถ้าท่านสมาชิกผู้ใดเข้าใจ คำถามของผมแล้ว คุณ ช่วยกรุณาขยายความให้คุณ Carroth  เข้าใจคำถามของผมด้วย  และผมขอร้องให้คุณCarroth ตอบให้ตรงคำถามด้วย  ให้สั้นๆ และ เข้าใจง่ายๆ... นะครับ โดยยกตัวอย่าง, ตัวบทฮาดีษมาให้ผม และ สมาชิก ทุกๆท่านได้ เห็นด้วย   ซึ่งเปรียบกับคำสังว่าการทำละหมาด  เสมือนว่า  มีผุ้ออกคำสั่ง ให้คุณไปเล่นกอล์ฟ ทั้งๆที่คุณไม่ทราบว่า “กอล์ฟ” คืออะไร?  ซึ่งไม่ถูกตาม Logic of reality ............... เรื่องนี้สำคัญครับ เพราะ ไม่มีอธิบายไว้ในอะหะดีษในหมวดการละหมาด ผมพยายามค้นหามาให้คุณดู แต่ไม่พบ  ค้น จาก ตั้งแต่หัวจดหาง หาไม่พบว่าการละหมาด ตามอะฮาดีษอยู่ที่ไหน ว่า มีประวัติ์มาอย่างไร?   ท่านรอซูลมีคำสั่งให้ละหมาดตามท่านจากเรื่องเล่าที่เป็นความจริงเพราะเป็นคำบัญชาของพระเจ้า นั้นก็คือ  ทุกๆคนในสมัยนั้นทราบว่า การละหมาดคืออะไร?    การละหมาดคืออะไรและมีระบบที่ให้ผลครอบคลุมอย่างไรในสังคมมุสลิม นั้น มุสลิมในสมัยนี้ไม่มีใครทราบมากเท่าใด นอกจาก รู้ว่า ก้มๆ เงยๆ เท่านั้น แต่ผลและวัตถุประสงค์ในการละหมาดนั้น มีอย่างกว้างขวางต่อ สังคม ซึ่งถ้าต้องการฟังผมจะอธิบายให้ฟัง  เมื่อคุณกำลังเรื่ม เถไถไปเข้าเรื่อง "เมี๊ยะราจ/อิศรอ และ กล่าวว่า ท่าน รอวูล เพิ่งเริ่มการทำละหมาด โดยการสอนของ ญิบลีล  นั้นก็แสดงว่า คุณไม่มีหลักฐานอะไร นอกจาก อาศัยเรื่อง เล่าเทพนิยาย จาก  มุชริกเมกกะที่เข้ามารับศาสนาอิสลาม แต่งเรื่องมาตามความศรัทธาของเขา เพราะการละหมาด(การกราบบูชาพระเจ้า) เป็นพิธีการกราบไหว้ บูชา เทพเจ้า และเทวรูปต่างๆมาก่อนอิสลาม, ก่อนท่านนบีอิบรอฮิม ในลักษณะ ก้มคำนับ บ้าง และ กราบไหว้ บ้าง ฯลฯ   กฎต่างๆที่คุณยกมา เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่จะตัฟซีร หรือ อธิบายอัลกุรอานได้นั้น ไม่ใช่กฏบัญญัติของพระเจ้าที่ตั้งไว้  กฏเหล่านั้น เป็นกฏที่มนุษย์วางไว้เพื่อ หาทางทำมาหากิน จากลูกศิษย์   พระเจ้าให้ทุกๆคนศึกษาอัลกุรอานและพระองค์จะเป็นผู้สอน คุณเคยอ่านพบในอัลกุรอานหรือไม? พระองค์ประทาน อัลกุรอารมาอย่างที่เข้าใจได้ง่ายๆ และพระองค์อธิบายไว้ด้วยว่า "อัลกุรอานนั้น จะต้องอ่านและเข้าใจความหมายอย่างไร?"   สมัยก่อน ปราชญือิสลาม ไม่มีวิศัยทรรศน์ที่จะทราบล่วงหน้าถึงความเจริญของโลก ที่จะทำให้การเข้าใจอัลกุรอาน ง่ายขึ้นอย่างในปัจจุบัน  จึงใช้อำนาจพระเจ้าและ ชื่อของศาสดามูฮัมมัด  มาเขียนเป็นตำรา(อะฮาดีษ) หลอก ขู่ ไม่ให้ผู้ใด จับต้อง อัลกุรอาน และ หรือ ทำการเข้าใจอัลกุรอาน นอกจากพวกเขา      คุณก็เช่นกัน ตกเป็นเหยื่อถูกล้างสมองมาจนเชื่อว่า ตัวอสุจิเข้าใจ คำสอน ของพระเจ้า แม้แต่มนุษย์ที่สมบูรณ์แล้ว ยังดื้อด้านไม่ยอมเชื่อ "อัลกุรอาน" ว่ามี ความสมบูรณ์ ที่ใช้เป็น รากฐาน แม่บท ในการ ประยุกต์ ใช้กับชีวิตประจำวันได้ทุกๆสมัย ให้ถูกต้องตามกาละเทศะ,    แล้ว เจ้า ตัวอสุจิที่คุณปล่อยลงในโถส้วม จำนวนล้านๆตัว เป็นบางครั้งบางคราวนั้นมันจะเข้าใจได้อย่างไร?   อย่าลืมตอบคำถามที่ผมถามมานะครับว่า "ประวัติการละหมาดตามฮาดีษมีมาว่าอย่างไร?"     ผมไม่ได้ขู่อะไรคุณหรอกครับ...คุณจะสนใจหรือไม่สนใจ ต่อคำถามคำอธิบายของผม ไม่มีความหมายต่อเป้าหมายของผมในเรื่องการ อธิบายความจริงของหลักการศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว ตามหลักการอิสลาม     ผม จะไม่วิวาทกับคุณ นอกจากจะให้ ความเข้าใจและความรู้ที่ถูกต้อง ในเรื่อง ของอิสลาม ต่อคุณ  "แต่ผมไม่มีเจตนาจะเปลี่ยนความเชื่อถือของนิกายซุนนีย์"  ที่ชาวซุนนีย์ยังตกลงกันไม่ได้ว่าอะไรคือความถูกต้องเกี่ยวกับการตีความหมายจากอะฮาดีษ และ หลักความศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว    คุณอย่าทะเล่อทะล่าเข้าไปในเวบซุนนีย์ที่กำลังโจมตีกันอย่างรุนแรงนะครับ ผมจะเตือนให้ เพราะความเห็นของผม ส่วนมาก ตรงกับเวบ สติวเด้น ในเรื่อง ความศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว (แต่เขาอาจจะไม่เห็นด้วยกับผม)   ที่ผมทราบแน่ๆคือ ทั้งสองเวบที่คุณเข้าไป หาเสียงให้ผมนั้น "ด่ากันปากจัดทั้ง สองฝ่ายเลย" ..ซึ่งไม่ได้แสดงลักษณะของผู้ที่ประกาศตัวว่าทำตามซุนนะห์ของท่านรอซูล.แม้แต่น้อย ขอย้ำคำถามอีกครั้งว่า...    "ประวัติการทำละหมาดใน อะฮาดีษ มีอยู่ในหมวดใด หมายเลขอะไร? และ มีเรื่องราวว่า อย่างไร? ปล.    ในขณะที่คุณกำลังหาคำตอบผมจะเล่าเรื่องท่าน นบีอิรอฮิม ทั้งจาก ใน อัลกุรอาน และคัมภีร์ที่มาก่อน อัลกุรอานที่ มุสลิมระดับ มารตฐานยอมรับ ไปพลางๆก่อน "ในกระทู้ใหม่ถ้าคุณสนใจตามไปอ่านได้" จากคุณ : แมทท์ - [ 1 มี.ค. 52 02:14:32 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ผมก็บอกแล้วว่า ถ้าจะแถไปแถกับเด็กอมมือเถอะครับ อย่ามามั่วนิ้มกับผมเพราะผมบอกแล้วว่า ละหมาดแบบที่มุสลิมละหมาดอยู่ในปัจจุบันนั้นน่ะ ไม่จำเป็นต้องมีมาก่อนครับ เพราะท่านญิบรออีลได้มาสอนท่านเอง ******************************************************* นักประวัติศาสตร์อิสลามบางส่วน  ได้กล่าวว่า  “การใช้ให้ละหมาดและทำการอาบน้ำละหมาดนั้น  เกิดขึ้นในช่วงเวลาได้ลงมาหาท่านร่อซูลุลลอฮ์  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  เพื่อแจ้งข่าวว่า  อัลเลาะฮ์ทรงเลือกท่านให้เป็นศาสนทูตแห่งมวลมนุษย์ชาติทั้งหมด  และถูกส่งมายังญินและมนุษย์  และนักประวัติศาสตร์ได้กล่าวว่า  แท้จริงญิบรีลได้ทำการสอนท่านร่อซูลุลลอฮ์  กับเรื่องการอาบน้ำละหมาดและการละหมาด  ดังนั้นญิบรีบจึงทำการอาบน้ำละหมาด  และท่านร่อซูลก็ทำการอาบน้ำละหมาดพร้อมกับญิบรีล  หลังจากนั้นญิบรีลก็ทำการละหมาดและท่านร่อซูลก็ทำการละหมาดพร้อมกับญิบรีล  ขณะที่วะฮีได้หายไป  ท่านร่อซูลก็ไปหาท่านหญิงค่อดีญะฮ์  และทำการสอนนางให้ทำการอาบน้ำละหมาดตามที่ได้เรียนมาจากญิบรีล  และได้ทำการละหมาดพร้อมกับนาง  เหมือนกับการละหมาดที่ท่านร่อซูลได้ละหมาดพร้อมกับญิบรีล" (ซีเราะห์อิบนุฮิชาม 1/155 , อัซซีเราะฮ์อัลฮะละบียะฮ์ 1/252 , ตารีค อัลกามิล ของอิบนุอะษีร 2/22 , ตารีค อัฏฏ่อบะรีย์ 2 /304) ******************************************************* ซึ่งแหล่งที่มานี้เป็นแหล่งที่น่าเชื่อถือ และดีกว่า คำกล่าวอ้างลอยๆ ของคุณนะครับที่บอกว่า คนสมัยนั้นรู้เรื่องละหมาด 5 เวลา จากกุรอ่าน เพราะ ทั้งยิวและคริสต์ ในปัจจุบัน ไม่มีการสืบทอดละหมาด 5 เวลาแต่อย่างใดครับ คำว่า ถ้าการละหมาดไม่ว่าจะกี่เวลาก็ตามไม่มีมาก่อน ท่านรอซูลและไม่มีสอนไว้หรือบัญญัติไว้ใน อัลกุรอาน  "มันก็จะต้องมีที่มาสักแห่งหนึ่ง" มันจึงเป็นคำอ้างที่ไร้สาระ จากคนที่ไม่รู้ทั้งประวัติศาสตร์ และไม่เข้าใจกุรอ่านนั่นแหละครับ จากคุณ : Carroth - [ 1 มี.ค. 52 11:10:59 ]

ความคิดเห็นที่ 85 แมทท์บอกว่า ตามที่คุณต้องการ 5 เวลา ผมก็หามาให้  และถ้าคุณต้องการ,  การละหมาดพิเศษ ที่เป็น วายิบ ไม่ถึงขั้น ฟัรฎู ผมก็จะชี้ให้เห็นว่า อยู่ในบทใด อายะใด ในอัลกุรอาน  แต่ที่คุณไม่ทราบ เพราะคุณไม่เคยอ่าน อัลกุรอาน อย่างละเอียด ------------------------------------------------------------------------------- แมทท์ครับ มียางอายบ้างมั๊ยครับ ผมถามคำถามแค่ง่ายๆ นะครับ ว่า ตรงไหนของกุรอ่าน บอกว่า มุสลิมต้องรักษาละหมาด วันกับอีกคืนหนึ่ง 5 เวลา ที่คุณเอามา มันนับได้ 9 อย่างน้อยครับ ไปอ่านได้ที่ คคหที่ 50 ครับ อย่ามามั่วว่าผมอ่านไม่ละเอียด เพราะผมเอามาตีแผ่และเอามาให้ดูกันจะจะ ครับ ว่า 9 เวลาอย่างไร และแมทท์มั่วอย่างไร และถ้าคนอย่างแมทท์บอกได้จริงๆ ว่า ตรงไหน วาญิบ ตรงไหนไม่วาญิบ ล่ะก็ คนอย่างแมทท์ เอามา บอกแล้วล่ะครับ ผมบอกแล้วล่ะครับ ว่า ผมน่ะ ไม่สนคำขู่ของคุณหรอก เพราะผมรู้ว่า มันเป็นคำอ้าง เพื่อที่แมทท์จะได้ไม่ต้องคุยเรื่องละหมาด ที่แมทท์ตอบไม่เคยได้อีกต่อไปไงครับ ซึ่งถ้าแมทท์จะไม่ตอบ ก็ไม่มีใครว่าครับ แต่มันจะเป็น การประจานตัวแมทท์เองว่าคนอย่างแมทท์ ไร้สาระ ไม่มีหลักฐาน ไม่มีเหตุผล เก่งแต่แถ และเบี่ยงประเด็นอย่างเดียว จากคุณ : Carroth - [ 1 มี.ค. 52 11:16:47 ]

ความคิดเห็นที่ 86 แล้วไปอ่านดีดีนะครับ ผมไม่ได้ เอามาแค่เรื่องของ ชาวยะมันครับ ผมเอามาแล้วเรื่อง เริ่มต้นการละหมาด ******************************************************* นักประวัติศาสตร์อิสลามบางส่วน  ได้กล่าวว่า  “การใช้ให้ละหมาดและทำการอาบน้ำละหมาดนั้น  เกิดขึ้นในช่วงเวลาได้ลงมาหาท่านร่อซูลุลลอฮ์  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  เพื่อแจ้งข่าวว่า  อัลเลาะฮ์ทรงเลือกท่านให้เป็นศาสนทูตแห่งมวลมนุษย์ชาติทั้งหมด  และถูกส่งมายังญินและมนุษย์  และนักประวัติศาสตร์ได้กล่าวว่า  แท้จริงญิบรีลได้ทำการสอนท่านร่อซูลุลลอฮ์  กับเรื่องการอาบน้ำละหมาดและการละหมาด  ดังนั้นญิบรีบจึงทำการอาบน้ำละหมาด  และท่านร่อซูลก็ทำการอาบน้ำละหมาดพร้อมกับญิบรีล  หลังจากนั้นญิบรีลก็ทำการละหมาดและท่านร่อซูลก็ทำการละหมาดพร้อมกับญิบรีล  ขณะที่วะฮีได้หายไป  ท่านร่อซูลก็ไปหาท่านหญิงค่อดีญะฮ์  และทำการสอนนางให้ทำการอาบน้ำละหมาดตามที่ได้เรียนมาจากญิบรีล  และได้ทำการละหมาดพร้อมกับนาง  เหมือนกับการละหมาดที่ท่านร่อซูลได้ละหมาดพร้อมกับญิบรีล" (ซีเราะห์อิบนุฮิชาม 1/155 , อัซซีเราะฮ์อัลฮะละบียะฮ์ 1/252 , ตารีค อัลกามิล ของอิบนุอะษีร 2/22 , ตารีค อัฏฏ่อบะรีย์ 2 /304) จากประวัติศาสตร์ตรงนี้  ปรากฏว่าท่านญิบรีลได้สอนการอาบน้ำละหมาดและวิธีการละหมาดแบบ 2 ร่อกะอัต  และหลังจากอิสรออฺแล้วท่านญิบรีลก็ลงมาสอนการละหมาด 5 เวลาแบบสอง , สาม , และสี่ ร่อกะอัต  ดังนั้นการละหมาดก่อนอิสรออฺก็คือวิธีการละหมาดที่เราทราบกันดีนั่นเองครับ ******************************************************* และ ไม่แค่เท่านั้นครับ ผมเอามาจากกุรอ่านเลยว่า การละหมาด 5 เวลา ไม่ได้มีมาตั้งแต่สมัย นบีอิบรอฮีมแต่อย่างใด อันนี้คือหลักฐาน ******************************************************* อัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ระบุไว้ในซูเราะฮ์ อัลมุซซัมมิล และการวายิบละหมาดครั้งแรกนั้น  ก็ได้ระบุไว้ในช่วงแรกของซูเราะฮ์ดังกล่าว  ซึ่งพระองค์ได้ทรงตรัสว่า  "โอ้ผู้ห่มผ้า (หมายถึงนบีมุฮัมมัดซึ่งกำลังห่มผ้า) - 1 - เจ้าจงตื่นกลางคืน(เพื่อทำละหมาด)เถิด  ยกเว้นเพียง(เวลา)เล็กน้อย (เพื่อใช้ในการพักผ่อน) - 2 - (นั่นคือ) ครึ่งคืน  หรือจงลดลงจากนั้นลงมาสักเล็กน้อย - 3 - หรือจงเพิ่งขึ้นกว่านั้นอีก  และเจ้าจงอ่านอัลกุรอานให้ถูกต้องชัดเจน - 4 - " ******************************************************* ครั้งแรก ที่เป็นการลงวาญิบเรื่องละหมาด เป็นการ ตื่นขึ้นในเวลากลางคืนและละหมาดอย่างยาวนานนะครับ นั่นคือเวลาตะฮัจญุดไม่ใช่อิชา และไม่ใช่ การละหมาด 5 เวลาด้วย แมทท์เองนะครับ ที่ไม่ได้อ่านกุรอ่านอย่างละเอียด คุณเองที่ไม่รู้อะไรเลย ก็แค่อ้างว่ารู้เท่านั้นเอง นี่แหละครับ แมทท์ คนอย่างแมทท์ก็มีเท่านี้ จากคุณ : Carroth - [ 1 มี.ค. 52 11:28:59 ]

ความคิดเห็นที่ 87 แมทท์ครับ ผมถามคุณเรื่องเวลาละหมาดครับ คุณอ้างว่า กุรอ่านมี บอกว่า มุสลิมต้องรักษาเวลาละหมาด 5 เวลา โดยไม่ต้องอาศัย แบบอย่างนบีเลย ใช้แต่กุรอ่านล้วนๆ ก็ละหมาดได้ ผมก็ถามว่าตรงไหน คุณก็ตอบมา แบบขอไปที และคำตอบนั้น มันคือ 9 เวลา อย่างน้อยครับ ไม่ใช่ 5 เวลาอย่างที่คุณอ้าง และคุณบอกว่า การละหมาด 5 เวลา นั้น มีมาตั้งแต่สมัยนบีอิบรอฮีม หรือสมัยก่อนการลงกุรอ่าน ยิ่งเป็นเรื่องโกหกอย่างน่ารังเกียจและน่าอับอายที่สุด เพราะในขณะที่แมทท์อ้างว่าตัวเองเอาแต่กุรอ่าน กลับไม่รู้ว่า กุรอ่านนั่นล่ะ ได้บอกไว้อย่างชัดเจนว่า การลง วาญิบละหมาดครับแรกนั้น ไม่ใช่ละหมาด 5 เวลา ด้วย แต่เป็นละหมาด ตะฮัจญุด หรือการตื่นขึ้นละหมาดในเวลากลางคืน นั่นเอง นี่เป็นการประจานแมทท์อย่างชัดเจนนะครับว่า การละหมาด 5 เวลานั้น นอกจากจะได้ไม่ได้มีใครรู้มาก่อนการลงกุรอ่าน อย่างที่แมทท์ว่าแล้ว จริงๆ ละหมาด 5 เวลา ถูกกำหนดไว้หลังจาก มีโองการอัลกุรอ่านมาแล้วระยะเวลาหนึ่งต่างหาก นี่เป็นบทความจากกุรอ่าน และบันทึกในตำราประวัติศาสตร์ ที่น่าเชื่อถือครับ ไม่ใช่ คำพูดไร้สาระของแมทท์ ที่ไม่มีที่มาที่ไปแต่อย่างใด ซึ่งแมทท์อ้างว่า การละหมาด 5 เวลานั้นเป็นที่รู้กันอยู่แล้ว แต่ไม่เคยหาหลักฐานมายืนยันเลยว่ารู้ได้อย่างไร น่าเชื่อถือแค่ไหน และทำไม ยิวและคริสต์ไม่มีละหมาด 5 เวลา จากคุณ : Carroth - [ 1 มี.ค. 52 11:38:11 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ส่วนเรื่องกฎของการ ตัฟซีร หรือแปลอัลกุรอ่านนั้น เป้นเรื่องที่เราทำความเข้าใจได้ครับ เพราะว่า ถ้าคนอย่างแมทท์ ที่ไม่ได้ เข้าใจภาษาอาหรับ เท่าไหร่เลย และจะเคยอ่านกุรอ่าน อย่างละเอียด แมทท์คงไม่เคย (ไม่เช่นนั้นแมทท์คงไม่ปล่อยไก่ว่า ละหมาด 5 เวลา นั้นคนสมัยนั้นรู้แต่แรกแล้ว หรอกครับ) มาแปลกุรอ่านแล้วล่ะก็ ความมั่วมันจะบังเกิดมากแค่ไหน ซูเราะห์อะไรอธิบาย ซูเราะห์ไหน เกี่ยวกันอย่างไร เชื่อมโยงกันแบบใด แมทท์ก็ไม่รู้ แมทท์ก็มั่วนิ่มอาศัย สันดานดิบ และอารมณ์ใฝ่ตาม อธิบายไปด้วยความเขลาของตัวเองเท่านั้น แมทท์บอกว่า พระเจ้าให้ทุกๆคนศึกษาอัลกุรอานและพระองค์จะเป็นผู้สอน คุณเคยอ่านพบในอัลกุรอานหรือไม? พระองค์ประทาน อัลกุรอารมาอย่างที่เข้าใจได้ง่ายๆ และพระองค์อธิบายไว้ด้วยว่า "อัลกุรอานนั้น จะต้องอ่านและเข้าใจความหมายอย่างไร?" อัลลอฮฺบอกว่าให้อ่านกุรอ่าน ครับ และ ในกุรอ่านมีโองการนี้ด้วย (4:59) " ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไปที่สวยยิ่ง " ถ้ามีการขัดแย้งก็จงนั้นสิ้งนั้นกลับไปยังอัลลอฮฺ และรอซู้ลครับ ถ้าเอาแต่กุรอ่าน ก็ต้องกลับยังอัลลอฮฺเท่านั้นสิครับ ซึ่งนี่เป็นการชัดเจนแล้วว่ากุรอ่านบอกให้ไปหาท่านรอซู้ลครับ นั่นคือ ให้ดูซุนนะฮ์ ว่าซุนนะฮ์ว่างอย่างไร อธิบายอย่างไร ตัวอย่างของคนที่ ไม่ปฏิบัติตามกุรอ่านโองการนี้ ก็คือ แมทท์นี่แหละครับมั่วเอาเอง จนสุดท้าย ก็ไม่รู้เลยว่า ละหมาดนั้น มี 5 เวลาอย่างไร และก่อนหน้าละหมาด 5 เวลา มีอะไร ได้แต่มั่วเอาเอง แบบไร้สาระ จากคุณ : Carroth - [ 1 มี.ค. 52 11:54:01 ]

ความคิดเห็นที่ 89 จากที่ผมได้ ทำการประจานความมั่วของแมทท์ออกมา ซึ่งผมก็ไม่คิดว่า คนหน้าหนา สัญชาติมุนาฟิกอย่างแมทท์จะมีความอายอะไรหรอกครับ เพราะหน้าด้านมา 5-6 ปี ก็ยังไม่ตอบ จะหน้าด้านไปอีก สักสิบปี ผมก็ไม่แปลกใจ แต่ผมไม่กังวล เพราะคำถามที่มุสลิมถามไปก็เป็นการประจาน แมทท์อยู่ในตัวอยู่แล้วล่ะครับ และผมก็ได้พิสูจน์ให้ทุกท่านทราบแล้วว่า ปราชญ์มุสลิมสมัยก่อน ไม่จำเป็นต้องแต่งเรื่องฮะดีษ มาเพื่อไม่ให้คนอื่นทำความเข้าใจกุรอ่าน หรือจับต้องกุรอ่าน นอกจากตัวเขาเองหรอกครับ เพราะคนเราถ้าไม่มีความสามารถ หรือ มั่วนิ่ม หรือความรู้ไม่ถึง แล้วสะเออะจะตีความกุรอ่าน มันก็ต้อง รับความอับอายด้วยตัวเอง อย่างแมทท์นี่ไงล่ะครับ พูดมาได้ว่า ละหมาด 5 เวลา คนสมัยนั้นคุ้นเคยอยู่แล้ว ก่อนการลงโองการอัลกุรอ่าน แต่ กุรอ่านเองนั่นแหละ บอกเองว่า ก่อนละหมาด 5 เวลา มีการวาญิบหรือเป็น เรื่องจำเป็นที่ต้องตื่นขึ้นละหมาดในยามกลางคืน จนครึ่งค่อนคืน เรื่องเหล่านี้ แมทท์ไม่รู้ แต่อ้างว่า ใช้กุรอ่านเท่านั้นในการปฏิบัติศาสนกิจ เพราะฉะนั้น นักปราชญ์จึงไม่มีเหตุผลอะไรต้องแต่ง ฮะดีษมาเองเพื่อป้องกันคนอื่นไม่ให้อ่าน จับต้อง หรือทำความเข้าใจกุรอ่าน และในความเป็นจริงแล้ว มุสลิมต้องอ่านกุรอ่าน และทำความเข้าใจ อยู่ทุกวันครับ อย่างน้อยในละหมาด ก็ 5 ครั้ง และสมควรต้องอ่านให้จบ ปี ละ 2 ครั้ง อย่างน้อยด้วยซ้ำไม่ว่าหญิงหรือชาย (นี่ก็ฮะดีษนะครับ) และทราบไว้ด้วยนะครับว่า คนอย่างผม ไม่ตกเป็นเหยื่อ ใครง่ายๆ หรอกครับ เพราะผมคือผู้ศรัทธา ไม่ใช่พวกที่ ยืนร้องไห้อย่างน่าสมเพช ข้างๆ กำแพงหรอกครับ อิสลาม รัดกุมชัดเจนอยู่แล้ว จะบิดเบือน มันทำไม่ได้ โดยเฉพาะ คนที่เป็นมุนาฟิกอย่างแมทท์ ดังนั้นเรื่องอสุจินั้น ถ้าอัลลอฮฺจะทรงตรัสกับสิ่งใด ย่อมทำได้ครับ พระองค์ตรัสกับชั้นฟ้าและแผ่นดิน ก็ได้ ดังนี้ 41:11 แล้วพระองค์ทรงมุ่งสู่ฟากฟ้าขณะที่มันเป็นไอหมอก พระองค์จึงตรัสแก่ชั้นฟ้าและแผ่นดินว่า เจ้าทั้งสองจงมาจะโดยเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม มันทั้งสองกล่าวว่า ข้าพระองค์มาอย่างเต็มใจแล้ว ดังนั้นไม่ใช่เพียงแค่อสุจิ ที่ออกมาจากบรรพบุรุษ(ซึ่งก็ไม่รู้ว่าใครหน้าไหนที่ชอบอ้างถึงบ่อยๆ เวลาโดนต้อนเรื่องละหมาด)ของคุณเวลากระสันต์หรอกครับ แต่สิ่งใด ก็ย่อมได้ ทั้งนั้น อ่อและไม่ต้องมาสนใจ หรอกครับว่าผมจะไปเว็บไหน เพราะผมไม่ใช่พวกมุนาฟิก ที่คนเขารังเกียจกันไปทั่วเหมือนคุณหรอกครับ ผมจะไปเว็บไหน ก็ไม่มีใครด่าหรอกนะ อย่าเอา ตัวเอง ที่เปรียบเสมือนอุจจาระ เมื่อผ่านไปที่ไหนคนก็อุดจมูกหนีกันหมด (ยกเว้นพวกชอบสิ่งโสโครกบางกลุ่มที่ชอบของเหม็นเท่านั้น) อย่างคุณ มาเป็นหลักสิครับ และที่สำคัญ คนที่จะประกาศศาสนานั้น ที่สำคัญ ที่สุด ต้องไม่เป็นมุนาฟิกนะครับ จะปากจัดอย่างไร มันก็เรื่องของเขา เพราะเขาก็ยังเป็นมุสลิม แต่บางคน จิตใจโสมม ต่ำช้า โง่เขลาเบาปัญญา และมีสัญชาติของผู้ปฏิเสธศรัทธาอยู่เต็มเปี่ยม แบบนี้สิครับ จะเสร่อ มาแสร้งทำตัวเป็น ผู้อธิบายอิสลามได้อย่างไร มันน่าสมเพชนะครับ จากคุณ : Carroth - [ 1 มี.ค. 52 12:12:25 ]

ความคิดเห็นที่ 90 และย้ำอีกทีว่า ผมไม่สนนะครับ คำขู่ของแมทท์ประเภทที่ว่า ถ้าคุณไม่ทำตามกติกาโดยตอบคำถามผมแล้ว เราก็ไม่มีความจำเป็น จะต้องคุยต่อไป เพราะคุณไม่อาจจะหาหลักฐานทางอะฮาดีษมาแสดงให้ผม และ ท่านสมาชิกที่สนใจ ได้เห็นเช่นกัน แต่ผมมีหลักฐานจากอัลกุรอานเตรียมไว้ให้คุณแล้ว เพราะคำพูดที่ว่า ถ้าไม่ทำตามกติกา ก็ไม่จำเป็นต้องคุยอีกต่อไปนั้น มันเป็นคำอ้าง เพื่อที่แมทท์จะได้ไม่ต้องคุยเรื่องละหมาด ที่แมทท์ตอบไม่เคยได้อีกต่อไปไงครับ ซึ่งถ้าแมทท์จะไม่ตอบ ก็ไม่มีใครว่าครับ แต่มันจะเป็น การประจานตัวแมทท์เองว่าคนอย่างแมทท์ ไร้สาระ ไม่มีหลักฐาน ไม่มีเหตุผล เก่งแต่แถ และเบี่ยงประเด็นอย่างเดียว ผมไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงและไม่ได้เสแสร้งว่าคำถามของคุณไม่มีคุณค่าหรอกครับ เพราะคำถามของคุณ มันไร้ค่าจริงๆ เนื่องจากมันไม่เกี่ยวกับการหาคำสั่ง ให้มุสลิมละหมาด 5 เวลา ในกุรอ่านเลย เพราะที่คุณเอามา มันนับได้อย่างน้อยๆ 9 เวลาครับ ไม่ใช่ 5 ที่คุณถามมาก็เพื่อให้ผมไปเสียเวลาหามาก็เท่านั้น เพราะถ้าคนเรามีหลักฐานพอ ที่จะตอบล่ะก็ ตอบได้เลยครับ ไม่จำเป็นต้องถามผมกลับแต่อย่างใด และผมก็ไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องเวลาละหมาดมาคุยต่ออีก เนื่องจากหลักฐานในคำตอบแน่นหนาพอ ก็เหมือนกับผมถามคนคนนึงว่าไหนเอาหลักฐานมาหน่อยซิว่า ในหนังสือฟิสิกส์เล่มนี้ มีเนื้อหาเกี่ยวกับ วิธีการผลิตระเบิดรถยนตร์อยู่ คนถูกถามก็แค่บอกว่า อยู่บทไหน หน้าไหน วรรคไหน แค่นั้นเอง ปัญหาก็จบแล้ว แต่คนตอบดันตอบว่า มันอยู่กลางๆ เล่ม หาเอง คนถามก็บอกว่าหาแล้วไม่เจอ มันอยู่หน้าไหน คนตอบก็บอกว่าผมตอบคุณแล้วถ้าจะถามต่อ ต้องตอบผมมาก่อนว่า คนแต่งหนังสือเล่มนี้ ชื่ออะไร เกิดวันที่เท่าไหร่ มีลูกกี่คนถึงจะยอมตอบต่อ ทุกท่านคิดว่า คนที่ตอบคำถามแบบนี้ มันเป็นคนน่าเชื่อถือมั๊ย แถหรือเปล่า เบี่ยงประเด็นหรือไม่ ก็เช่นกัน ผมแค่ถามว่าตรงไหนของอัลกุรอ่าน มีบอกว่ามุสลิมต้องรักษาละหมาดวันกับคืนนึง 5 เวลา แทนที่แมทท์จะบอกมาให้ถูกต้องถ้ามีอยู่ แต่แมทท์กลับบอกโองการบางโองการมา ซึ่งผมก็ไปตรวจสอบพบว่า มันนับได้เกิน 5 ครับ ไม่ใช่ 5 เวลาอย่างที่ถามหาแต่อย่างใด จึงไปถามหา ละหมาด 5 เวลา แมทท์ไม่ยอมตอบกลับให้ผมไปหาฮะดีษ มา แบบนี้คืออะไรครับ มันคนละเรื่องแล้วล่ะครับ นี่มันแถชัดๆ แล้วถ้าถามไปถามมาแบบนี้ อยู่ๆ ให้ผมไปหาว่า คนบันทึกฮะดีษหน้าตาเป็นไง มีขนกี่เส้น มีไฝกี่เม็ด ค่อยมาตอบเรื่องละหมาด แล้วจะได้คำตอบมั๊ยครับ? ทั้งๆที่ถ้าแมทท์บอกโองการในกุรอ่านที่ระบุ ว่า วันนึงมุสลิมต้อง ละหมาด 5 เวลา มาก็จบแล้ว แต่ก็เอาเถอะครับ ผมก็หาฮะดีษมาให้ แต่ผมบอกไว้ก่อนเลยนะครับ นี่ไม่ใช่เงื่อนไขในการตอบคำถามเรื่องละหมาดของคุณ เพราะผมถามคุณเรื่องอัลกุรอ่าน ไม่เกี่ยวกับฮะดีษ ว่า มีตรงไหนบอกว่า มุสลิมต้องละหมาด วันกับคืนนึง 5 เวลา? ไม่ใช่ 7 9 11 ถ้าคุณไม่ตอบ มันก็เป็นการประจานตัวคุณเองครับว่ามั่ว ไม่เกี่ยวอะไรกับผม จากคุณ : Carroth - [ 1 มี.ค. 52 12:15:45 ]