ความคิดเห็นที่ 1 “และเมื่อเขา (มูซา/Moses) บรรลุความเป็นหนุ่มและเติบโตเต็มที่แล้วเราได้ให้ความเข้าใจและความรู้แก่เขา และเช่นนั้นแหละ เราจะตอบแทนแก่บรรดาผู้กระทำความดี (14) และเขา (มูซา) ได้เข้าไปในเมือง ขณะที่ชาวเมืองกำลังพักผ่อนเขาได้เห็นชายสองคนต่อสู้กันอยู่ในนั้น คนหนึ่งมาจากพวกพ้องของเขาและอีกคนหนึ่งมาจากฝ่าย (ที่เป็น) ศัตรูของเขา ดังนั้น คนที่มาจากพวกพ้องของเขาได้ร้องขอความช่วยเหลือ เพื่อให้ปราบฝ่ายที่เป็นศัตรูของเขา มูซาได้ต่อยเขาแล้วได้ฆ่าเขา เขากล่าวว่า “นี่มันเป็นการกระทำของชัยฏอน แท้จริงมันเป็นศัตรูที่ทำให้หลงผิดอย่างแจ้งชัด (15) เขาจึงกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์ได้อธรรมต่อตนเอง ดังนั้นขอพระองค์ทรงอภัยให้แก่ข้าพระองค์ด้วย  แล้วพระองค์ก็ได้อภัยให้เขา แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ (16) เขาได้กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ การที่พระองค์ได้ทรงโปรดปรานแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่เป็นผู้สนับสนุนผู้กระทำผิดอีกต่อไป” (17)  (อัลกอศ็อศ 28 : 14-17)          ทั้งๆ ที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เมื่อครั้นที่มูซายังไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นนบี  และนบีมูซาก็เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมตั้งเจตนารมณ์ว่าจะไม่สนับสนุนผู้กระทำผิดเยี่ยงตนเองอีกแล้ว คล้ายกับเป็นการส่งสัญญาณอะไรบางอย่างให้กับชาวยิว แต่ชาวยิวก็ดัดแปลงคำสอน และหยิบยกเหตุการณ์นี้เพื่อสร้างความชอบธรรมและเป็นต้นแบบสำหรับการฆ่าคนอื่นได้อย่างไม่ละอายฟ้าดิน          บนพื้นฐานแนวคิดนี้ ยิวจึงสามารถขโมยทรัพย์สินผู้อื่น หลอกลวง โกหกมดเท็จ กินดอกเบี้ย ผิดประเวณี ปฏิบัติตนต่อมนุษย์ด้วยวิธีการที่ฝ่าฝืนคุณธรรมและจริยธรรมอันดีงาม หรือแม้กระทั่งการเข่นฆ่าชีวิตที่บริสุทธิ์ก็ตาม จึงไม่เห็นแปลกที่เราพบว่ายิวได้ปฏิบัติต่อชาวโลกที่ทารุณโหดเหียมเช่นใด และสร้างความเจ็บแค้น เอือมระอาให้กับชาวโลกตามปรากฏในประวัติศาสตร์อันมากมายแค่ไหน เมื่อมีการนึกถึงความสุดยอดของความชั่วร้ายของคนๆ หนึ่งซึ่งประกอบด้วยความอิจฉาริษยา การหลอกลวง ชอบยุแหย่ผู้คนเข้าทำนองยุให้รำตำให้รั่ว เอารัดเอาเปรียบ ตระหนี่ขี้เหนียว เจ้าเล่ห์เพทุบาย เป็นคนร้อยลิ้นกะลาวน  ลิ้นกระด้างคางแข็ง  เกือบทุกสังคมในโลกนี้จะต้องนึกถึงและชี้หน้าไปที่ชาวยิว พวกเขาจึงเป็นตำนานแห่งความชั่วร้ายที่ยังมีชีวิตที่สามารถพิสูจน์ได้ตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน และอัลลอฮ์ ได้เปิดโปงสันดานโฉดนี้ในอัลกุรอาน ให้ผู้ศรัทธาได้ทบทวนอ่านเพื่อจำไว้เป็นบทเรียนจนกระทั่งวันกิยามะฮ์          ชาวยิวถูกขับไล่ออกจากประเทศปอร์ตุเกสและสเปน ยิวถูกไล่ออกจากประเทศอังกฤษเมื่อปี คศ.1290 และจากประเทศฝรั่งเศสสองครั้งคือครั้งแรกในปีคศ. 1306 และครั้งที่สองในปีคศ.1394  พวกเขาถูกเนรเทศจากเบลเยี่ยมเมื่อคศ.1370 จากเชคโกสโลวาเกียในคศ.1380  ฮอลแลนด์ขับไล่พวกยิวออกจากประเทศเมื่อคศ.1444  อิตาลีขับไล่ออกมาเมื่อคศ.1540 พวกเขาถูกขับจากเยอรมันในคศ.  1551 ส่วนรัสเซียเนรเทศออกมาเมื่อปีคศ.1510  การถูกเนรเทศกลายเป็นธรรมเนียมชีวิตของชาวยิวมาตั้งแต่ต้นแล้ว และถ้าเรามองดูประวัติศาสตร์ของยิวตอนต้นๆ ก็จะพบว่าพวกเขาได้พบชะตาชีวิตอย่างเดียวกันมาตลอด มันเป็นโทษทัณฑ์และคำสาปแช่งของพวกเขา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเรียกตัวเองว่าอย่างหลอกตัวเองว่า “ประชาชาติที่พระเจ้าทรงเลือก” ก็ตามที          การที่พวกเขาถูกเนรเทศและได้รับการดูถูกเหยียดหยามจากประชาคมโลกนี้ เป็นเพราะพวกเขาปฏิเสธคำสอนของอัลลอฮ์ สร้างศัตรูกับมวลมนุษย์และเข่นฆ่าบรรดาศาสดา มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮ์ ซึ่งได้กล่าวในอัลกุรอานว่า ความว่า   "ความต่ำช้าได้ถูกฟาดลงบนพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเขาถูกพบ นอกจากด้วยสายเชือกจากอัลลอฮฺ (พวกเขาจะพ้นจากความต่ำช้าได้ก็ต่อเมื่อพวกเขายึดมั่นคำสอนของอัลลอฮ์ เท่านั้น)และสายเชือกจากมนุษย์(การมีชีวิตความเป็นอยู่ร่วมกับผู้ศรัทธาด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่ตั้งตนเป็นศัตรูและบ่อนทำลาย) และพวกเขาจะนำความกริ้วโกรธจาก อัลลอฮฺกลับไป และความขัดสนก็จะถูกฟาดลงบนพวกเขา นั่นก็เพราะว่าพวกเขาเคยปฏิเสธบรรดาโองการของอัลลอฮฺ และฆ่าบรรดานบีโดยปราศจากความเป็นธรรม นั่นก็เนื่องจากการที่พวกเขาดื้อดึง และเคยทำการละเมิด" (อาละอิมรอน 3 : 112) จากคุณ : ASTB - [ 12 มี.ค. 52 17:31:47 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เพื่อให้ท่านผู้อ่านเข้าใจเข้าถึงธาตุแท้ถึงสันดานยิว ขอให้ท่านผู้อ่านศึกษา   อัลกุรอานในอายะฮฺที่จะกล่าวนี้ ความว่า             และเราได้แจ้งแก่วงศ์วานของอิสรออีลในคัมภีร์ว่า พวกเจ้าจะก่อการเสียหายในแผ่นดินสองครั้ง  และแน่นอน พวกเจ้าจะโอหังยโสยิ่ง (4)              ดังนั้น เมื่อสัญญาหนึ่งในสองครั้งได้มาถึง เราได้ส่งบรรดาบ่าวของเราผู้มีอำนาจเข้มแข็งเข้าครอบครองพวกเจ้า แล้วพวกเขาได้บุกเข้าค้นตามบ้านเรือนและมันเป็นสัญญาที่ได้เกิดขึ้นแล้ว(5)             และเราได้ให้พวกเจ้ากลับมีอำนาจเหนือพวกเขา และเราได้ให้พวกเจ้ามีทรัพย์สินและบุตรหลาน และเราได้ทำให้พวกเจ้ามีรี้พลมากมาย (6)             หากพวกเจ้าทำความดี พวกเจ้าก็ทำเพื่อตัวของเจ้าเอง และหากว่าพวกเจ้าทำความชั่วก็เพื่อตัวเองดังนั้น เมื่อสัญญาอีกข้อหนึ่งได้มาถึง เพื่อพวกเขาก่อความอับอายขายหน้าแก่พวกเจ้า และเพื่อเข้าไปในมัสยิดเช่นที่พวกเขาได้เข้าไปแล้วในครั้งแรก และเพื่อทำลายสิ่งที่พวกเขาได้ชัยชนะอย่างหมดสิ้น(7)              หวังว่าพระเจ้าของพวกเจ้าจะทรงเมตตาแก่พวกเจ้า และหากพวกเจ้ากลับมา (ก่อกวน)อีกเราก็โต้กลับ และเราได้ให้นรกเป็นที่คุมขังสำหรับผู้ปฏิเสธศรัทธา (8) (อัลอิสเราะอฺ 17 : 4-8)          อัลกุรอานจำนวน 5 อายะฮฺดังกล่าวข้างต้น ได้อธิบายให้เราทราบว่า วงศ์วานของอิสรออีล ซึ่งได้แก่ยิวผู้เป็นลูกหลานของนบียะกู๊บเป็นผู้ก่อความเสียหายบนแผ่นดิน ทุกครั้งที่พวกเขามีอำนาจ ก็จะเหิมเกริม ยโสโอหัง และสร้างความวุ่นวายบนผืนแผ่นดิน หลังจากนั้น อัลลอฮ์  ก็จะส่งบ่าวของพระองค์ที่เข้มแข็งเข้าไปปราบปรามพวกเขา จนพวกเขาต้องกระจัดกระจายบนพื้นแผ่นดิน ดังที่      อัลกุรอานกล่าวว่า ความว่า   " และเราได้แยกพวกเขาออกเป็นกลุ่มๆ ในแผ่นดิน (คือให้กระจัดกระจายไปอยู่ทุกประเทศในแผ่นดิน)" (อัลอะร็อฟ7 : 168)          หลังจากนั้น พวกเขาก็กระจัดกระจายทั่วทุกมุมโลก แต่ด้วยความฉลาดแกมโกงของพวกเขา จึงสามารถกลับมีอำนาจขึ้นมาใหม่พร้อมด้วยทรัพย์สินเงินทอง และเหล่าบริวารรี้พลอันมากมาย พวกเขาก็จะหวนกลับกระทำความเดือดร้อนแก่ชาวโลกอีกครั้ง แต่อัลลอฮ์ ก็สัญญามั่นว่า  หากพวกเขากลับมาก่อกวนอีก อัลลอฮ์ ก็โต้กลับด้วยการลงโทษทัณฑ์พวกเขาจากพระองค์เช่นเดียวกัน    อัลลอฮ์ ได้กล่าวไว้ว่า           ความว่า "และจงรำลึกขณะที่พระเจ้าของเจ้าได้แจ้งให้ทราบว่า แน่นอนพระองค์จะส่งมาให้มีอำนาจเหนือพวกเขาจนถึงวันกิยามะฮฺ ซึ่งผู้ที่จะบังคับขู่เข็ญพวกเขา ด้วยการทรมานอันร้ายแรง แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น ทรงเป็นผู้รวดเร็วในการลงโทษและแท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเอ็นดูเมตตา" (อัลอะร็อฟ 7 : 167) นอกจากนี้อัลกุรอานได้เปิดโปงนิสัยประจำตัวของยิว ส่วนหนึ่งได้แก่ 1. ชอบละเมิดสัญญา              อัลลอฮ์ กล่าวว่า  ความว่า "และคราใดที่พวกเขาได้ให้คำมั่นสัญญาใด ๆ ไว้ กลุ่มหนึ่งในพวกเขาก็เหวี่ยงสัญญานั้นทิ้งเสียกระนั้นหรือ ? หามิได้ส่วนมากของพวกเขาไม่ศรัทธาต่างหาก"   ( อัลบะเกาะเราะฮ 2 : 100)   2. ไม่มีความซื่อสัตย์ คดโกง โกหก:-)   อัลลอฮ์ กล่าวว่า ความว่า  "และเจ้าก็ยังคงมองเห็นอยู่ในการคดโกงจากพวกเขานอกจากเพียงเล็กน้อยในหมู่พวกเขาเท่านั้น" (อัลมาอิดะฮ 5 :13) 3. บิดเบือนคัมภีร์         อัลลอฮ์  กล่าวว่า    ความว่า" จากบางคนในหมู่ผู้เป็นยิวนั้น พวกเขาบิดเบือนบรรดาถ้อยคำให้ออกจากที่ของมัน "(อันนิสาอฺ 4: 46)       4. ฆ่าบรรดาศาสดา      อัลลอฮ์   กล่าวว่า      ความว่า "แท้จริงนั้นเราได้เอาสัญญาแก่วงศ์วานอิสราอีล และเราได้ส่งบรรดารอซูลมายังพวกเขา ทุกครั้งที่  รอซูลคนใดนำสิ่งที่จิตใจของพวกเขาไม่ชอบมายังพวกเขาแล้ว กลุ่มหนึ่ง พวกเขาก็ปฏิเสธ และอีกกลุ่มหนึ่งพวกเขาก็ฆ่าเสีย"  ( อัลมาอิดะฮ 5: 70) 5. ฆ่าบรรดาผู้เชิญชวนสู่อัลลอฮ   อัลลอฮ์  ได้กล่าวว่า                    ความว่า  "และพวกเขาฆ่าบรรดาผู้ที่ใช้ให้มีความยุติธรรม จากหมู่ประชาชนนั้น"  (อาลิอิมรอน 3 : 21)     6. แสดงมารยาททรามต่ออัลลอฮ์         อัลลอฮ์ กล่าวว่า               ความว่า "แน่นอนยิ่ง อัลลอฮทรงได้ยินคำพูดของบรรดา(พวกยิว)ผู้ที่  กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ ยากจน และพวกเรานั้นเป็นผู้มั่งมี เราจะจารึกสิ่งที่พวกเขาได้กล่าวไว้ "(อาลิอิมรอน3:181)   7. จิตใจแข็งกระด้าง       อัลลอฮ์ กล่าวว่า                                  ความว่า "แล้วหลังจากนั้น หัวใจของพวกเจ้าก็แข็งกระด้าง มันประดุจหิน หรือแข็งกระด้างยิ่งกว่า " (อัลบะเกาะเราะฮ 2 :74)   8. เคียดแค้นและเป็นศัตรูมุสลิมอย่างรุนแรง      อัลลอฮ์ กล่าวว่า ความว่า "แน่นอนเจ้าจะพบว่า หมู่ชนที่เป็นศัตรูอันรุนแรงแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธานั้นคือชาวยิว และบรรดาผู้ที่ให้มีภาคีแก่อัลลอฮ์" (อัลมาอิดะฮฺ 5 : 82 ) จากคุณ : ASTB - [ 12 มี.ค. 52 17:33:35 ]

ความคิดเห็นที่ 3 นี่คือส่วนหนึ่งของคุณสมบัติประจำตัวชาวยิวที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ถึงแม้วันเวลาผ่านไป แต่ประวัติศาสตร์มักหวนกลับเข้าสู่วงจรเดิมอยู่เสมอ มาตรการ กลยุทธและผู้แสดงอาจแตกต่างกันบ้างตามยุคสมัย แต่เค้าโครงเรื่องก็มาจากต้นฉบับอันเดียวกัน มีเป้าหมายและวัตถุประสงค์อันเดียวกันซึ่งได้รับการตกผลึกมาจากพฤติกรรมทางสังคม ความเชื่อพื้นฐานและทัศนคติอันเดียวกัน มีคำตอบที่คล้ายคลึงกัน และท้ายสุดแล้วก็จะได้รับการโทษทัณฑ์จากอัลลอฮ์ ในลักษณะเช่นเดียวกัน เพราะนี่คือวิถีแห่งอัลลอฮ์ ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงและไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งวันกิยามะฮ์    (วันสิ้นโลก)                 ที่มา : จากหนังสือ"ปาเลสไตน์ แผ่นดินที่ไร้ประชาชน เพื่อทรชนผู้ไม่มีแผ่นดิน" ผู้เขียน : มัสลัน มาหะมะ ____________________________________ อ่านเพื่อความรู้นะครับ จากคุณ : ASTB - [ 12 มี.ค. 52 17:35:48 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ผู้อ่านบทความนี้ควรท่องไว้ให้มั่นว่า การเอ่ยอ้างถึงยิวนั้น หมายเจาะจงถึงยิวบางกลุ่ม บางคน มุสลิมที่อ่าน แล้วไม่อาจก้าวให้พ้นมิติของบทความทำนองนี้ได้ ก็จะถูกชะงักอยู่กับเจตคติของผู้เขียนบทความนี้ จากคุณ : Zeitgeist aka bAdkArmA - [ 12 มี.ค. 52 23:17:21 ]

ความคิดเห็นที่ 5 1.ศาสนาของยิวนั้นเกิดมากว่า 4.5พันปี 2.ศาสนาคริสต์มีอายุกว่า 2พันปี 3.ศาสนาอิสลามเกิดมา พันกว่าปี สมัยอาณาจักรโรมันรุ่งเรืองออกล่าอาณานิคม บ้านเมืองใดไม่อยากตกเป็นเมืองขึ้น ก็ต้องต่อสู้ทำสงครามกัน พวกยิวก็ไม่รอดพ้นจากสภาวะนี้ พวกยิวสู้รบไม่ว่าแพ้หรือชนะ ศาสนสถานซึ่งเป็นสวดมนต์และศูนย์รวมทางจิตใจก็ถุกทำลายทุกครั้ง พวกยิวคิดว่า หากเอาศาสนาไปยึดติดกับอาคารหรือวัตถุ หากถูกทำลายไปอาจทำให้ศาสนาเสื่อมสูญไปแน่ พวกยิวจึงเปลี่ยนวิธีใหม่เป็นการเอาคัมภีร์ของศาสนายิวใส่กระเป๋าพกติดตัวไป ไปที่ใหน ก็แค่เอากระเป๋าคัมภีร์มาวางที่เหมาะสม ก็สามารถทำพิธีทางศาสนาได้ ไม่ต้องยึดติดกับอาคารสถานที่คัมภีร์ทางศาสนาที่ส่งออกแบบนี้ กระจายไปทั่วที่พวกยิวไปถึง ศาสนาคริสต์และอิสลาม แตกแขนงมาจากศาสนาของยิวอีกที ศาสนาคริสต์ได้ยกเลิกข้อปฏิบัติของศาสนายิวบางส่วนออกเช่นเรื่อง การขลิบปลายอวัยวะเพศชายหรือข้อห้ามเรื่องอาหารการกิน ที่กำหนดใว้ในศาสนาของยิว เช่น ข้อห้ามการไม่กินหมู การไม่กินปลาไม่มีเกล็ด การไม่กินนกไม่มีขน การไม่กินสัตว์ที่ตายเอง ไม่กินสัตว์ที่ไม่มีกีบเท้า ไม่กินสัตว์ที่ไม่เคี้ยวเอื้อง ศาสนายิวมีข้อปฏิบัติคล้ายคลึงกับศาสนาอิสลามมากที่สุด แต่ศาสนายิวเกิดก่อนอิสลาม ตั้งหลายพันปี ผู้ชายในศาสนาอิสลามต้องทำการขลิบปลายอวัยวะเพศ... พวกศาสนายิวก็ต้องขลิบเหมือนกัน ..และทำแบบนี้มานานกว่า 4 พันปีแล้ว ชาวมุสลิมไม่กินหมู....พวกศาสนายิวก็ไม่กินเหมือนกัน . .และทำแบบนี้มานานกว่า 4 พันปีแล้ว มุสลิมไม่กินหมูเพราะว่าหมูสกปรก.....ยิวไม่กินหมูเพราะหมูไม่เคี้ยวเอื้อง...แค่เหตุผลต่างกัน ชาวมุสลิมไม่กินสัตว์ที่ถูกฆ่าโดยไม่เอ่ยนามพระเจ้า.....เมื่อก่อนพวกยิวก็ทำแบบนี้เหมือนกัน ชาวมุสลิมไม่กินเลือด ...ชาวยิวก็ไม่กินเลือดเช่นเดียวกัน จากบทความข้างบนที่กล่าวว่า ชาวยิวได้บิดเบือนศาสนาคริสเตียนนับตั้งแต่ยุคแรกๆ ของคริสตร์ศตวรรษด้วยการดัดแปลงตัดต่อเพิ่มเติมศาสนาคริสเตียนจนไม่เหลือ เนื้อความเดิม และพวกเขาได้ใช้ความพยายามในการบิดเบือนศาสนาอิสลามในยุคแรก ของฮิจเราะ ฮฺศักราชเช่นเดียวกัน หากให้เป็นจริงตามที่กล่าวนี้ ก็แสดงว่า อารยธรรมยิวโบราณอายุ 4 พันปีก่อน เกิดขึ้นเพราะ ลอกเลียน ดัดแปลง อารยธรรมที่มีอายุแค่พันกว่าปี... มันเป็นไปได้หรือนี่ จากคุณ : zakai - [ 14 มี.ค. 52 17:09:38 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ผมว่าคุณ zakai เข้าใจไปคนละเรื่องแล้วล่ะครับ จากคุณ : Carroth - [ 14 มี.ค. 52 22:10:31 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เพื่อความเข้าใจอิสลามให้ถุกต้อง      เรื่องราวในอัลกุรอานมีทั้งประวัติศาสตร์สงคราม  ความขัดแย้ง และ การปรองดอง ระหว่างศัตรูของ “มุสลิม” ส่วนมากแล้ว นักเขียน อย่างที่ เห็นในกระทู้เช่นนี้ มักจะยกเอาข้อความ ประวัติศาสตร์ ในอัลกุรอาน ส่วนที่แสดงความเลวของศัตรูของอิสลามในประวัติศาสตร์ มาอ้างอิง        แต่ในส่วนที่ อัลกุรอานรับรองทั้งยิว,คริสเตียน และมุสลิม, ว่าเป็นผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียวกันจะต้องปรองดองกันนั้น เรื่องเช่นนั้น,  อุลมาที่มีใจ อยุติธรรมมักจะไม่เอามา เขียน เพื่อให้ มุสลิม รุ่นหลัง มีความสามัคคี กันได้กับ ยิว และ คริสเตียน เพื่อให้อยู่ ร่วมกันอย่าง สงบสุข    เรื่อง ในปาเลสไตน์ ก็เช่นเดียวกัน   พอจะตกลงกันได้   มุสลิมที่มีใจติดค้างอยู่ใน ประวัติศาสตร์ก็พยายามที่จะ ยุยง โดย อาศัย อัลกุรอาน ซึ่งเป็นบัญญัติของพระเจ้ามาบิดเบือน เพื่อให้มุสลิม รุ่นหลัง มีใจจองล้างจองผลาญ ทั้งยิวและคริสเตียน      และในทำนองเดียวกัน   ชาวยิว และคริสเตียน ที่เลว พอๆกัน กับมุสลิมจำพวกนี้   ก็ยุยงสั่งสอนให้  เป็นศัตรู กับมุสลิม กันจนถึงทุกวันนี้     มีมุสลิมบางท่านตั้งคำถามๆผมว่าทำไม ผมจึง ชอบ พูด อะไร ขวาง กับ มุสลิมในเรื่องเช่นนี้?         เหตุผลก็คือผมต้องการให้  สมาชิกที่นี้และผู้ที่เข้ามาอ่าน เห็นว่า “ศาสนาอิสลาม” ไม่ได้สอนเลวๆเช่นนั้น  ถึงแม้จะอ้างอัลกุรอานมาเป็นหลักฐาน ก็ตาม แต่การอ้าง ประวัติศาสตร์  แล้ว ไม่ กล่าวให้จบ ถึง เหตุผลและ การที่พระเจ้าสอนให้มุสลิมปรองดองกับยิวนั้น,   เป็นการ   อ้างบัญญัติอัลกุรอาน  เพื่อผลในด้านการเมือง  แต่ไม่ได้อ้าง  เพื่อเหตุผลใน เรื่องของความศรัทธา ตามหลักการของอิสลาม      แต่เป็นการอ้างตามความตั้งใจของนักปราชญ์อิสลามที่ อยุติธรรมบางท่าน  ที่ต้อง การ จะให้มุสลิมรุ่นหลัง ยังคงคิดที่จะเป็นศัตรูของยิวและคริสเตียนอีกต่อไป            ในเรื่องของความศรัทธา  พระเจ้าสอนให้  มุสลิมเข้าใจว่า   มุสลิม ยิว และ คริสเตียน นั้น  ถือพระเจ้า องค์เดียวกัน  และจะต้องมีความสามัคคีร่วมกัน   ตัวอย่างเช่น ...อัลกุรอานซูเราะห์อัลอังกะบูต อายะห์ที่ 46 กล่าวว่า.. “ และเจ้าจงอย่าโต้เถียง(หรือวิวาท) กับชาวคัมภีร์ (ยิว และ คริสเตียน), เว้นเสียแต่การใช้(การสนทนา)ด้วยวิธีการที่ดีกว่า(การโต้เถียงหรือการวิวาท), นอกเสียจากว่าพวกเขา(ยิว และ คริสเตียน) จะ(พาล)หาเรื่องกับเจ้า(ทำให้เกิดบาดแผลความเจ็บปวด): และให้กล่าวแก่เขา (ยิว และ คริสเตียน) ว่า,” พวกเรา (มุสลิม) เชื่อในบัญญัติ (อัลกุรอาน) ที่พระเจ้าประทานลงมาให้เราและที่พระองค์ทรงประทานให้แก่พวกท่าน (ยิว และ คริสเตียน), พระเจ้าของเราและพระเจ้าของท่าน ก็เป็นพระเจ้าองค์เดียวกันและด้วยความศรัทธาต่อพระองค์เรายอมสวามิภักดิ์ต่อพระองค์”      เราจะเห็นว่า พระเจ้าสอนท่านศาสดามูฮัมมัด ไว้อย่างชัดเจน ในเรื่อง มรรยาทในการสนทนาทางศาสนากับผู้ต่างศรัทธา... ..แต่มีนักปราชญ์อิสลาม ที่มีชื่อเรียกว่า “ท่านกอตาดะห์” และคนอื่นๆ   กล่าวเท็จว่า อายะห์ที่ให้โต้เถียงกับอะห์ลุลกิตาบด้วยวิธีที่ดีกว่านี้ได้ถูกยกเลิกข้อบัญญัติไปแล้ว ด้วยกับอายะห์ที่สั่งให้ต่อสู้กับพวกเขา นั่นคือ ถ้าเขาไม่รับอิสลาม ก็ให้จ่ายญิซยะห์ (ภาษีคุ้มครองภายใต้การปกครองของรัฐอิสลาม) หรือไม่ก็ให้ต่อสู้กับพวกเขา,  การกล่าวอ้างเช่นนี้เป็นการบิดเบือนบัญญัติในอัลกุรอานและเป็นการกล่าว เท็จ  การที่ท่านกอตาดะห์ ผุ้นี้ เป็นใครที่ไหนผมไม่รู้จัก พยายามที่จะ ให้มุสลิม เป็นศัตรูกับยิวและคริสเตียน ต่อไป ...จึงกล่าวเท็จเป็น ฮาดีษ  ว่า บัญญัติ ดังกล่าวถูกยกเลิกไป แล้ว .....แต่ในที่สุดยังมีปราชญ์ท่านอื่นๆ ที่มีใจ ยุติธรรมและมั่นคงในอิสลาม ยังคงยืนยันว่า ข้อบัญญัติให้โต้เถียงกับพวกเขาด้วยวิธีที่ดีกว่านี้มิได้ถูกยกเลิกข้อบัญญัติ เพราะยังมีอายะห์อื่นที่อธิบายความในประเด็นนี้อยู่ เช่น ซูเราะห์อัลนะอ์ อายะห์ที่ 125   และซูเราะห์ตอฮา อายะห์ที่ 44    ที่กล่าวมานี้เป็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ที่  ถูกนำมาใช้ในการยุยงให้มุสลิมทำการประท้วง เดินขบวน ก่อความวุ่นวาย   การกระทำดังกล่าว เป็นการบิดเบือนอัลกุรอานโดยอาศัยความคลุมเคลือของการอธิบายของ ปราชญ์อิสลาม ที่กล่าวเท็จต่อ ผู้ศรัทธา  แต่ก็ยังมีผู้นับถือ ท่านปราชญ์ผู้บิดเบือนอัลกุรอาน ผู้นั้นอยู่ในปัจจุบัน      ส่วนบัญญัติที่สอนให้เห็นว่า  ในเรื่องความศรัทธาแล้ว ทั้ง ยิวและ คริสเตียน เป็นที่ยอมรับของพระเจ้า (อัลลอฮ์) ด้วยกันทั้งนั้นถ้าเขาเหล่า (ชาวยิว และ ชาว คริสเตียน)นั้นใช้ชีวิตประจำวัน ตามแนวทางของพระเจ้า  จากQuran 2:62, 5:69 บัญญัติไว้ว่า Surely, those who believe, those who are Jewish, the Christians, and the converts; anyone who (1) believes in GOD, and (2) believes in the Last Day, and (3) leads a righteous life, will receive their recompense from their Lord; they have nothing to fear, nor will they grieve.     ในการเข้าใจอัลกุรอานให้ถูกต้อง พระเจ้ามีบัญญัติ 3:7 English (Yusuf Ali):   "He it is Who has sent down to thee the Book: In it are verses basic or fundamental (of established meaning); they are the foundation of the Book: others are allegorical. But those in whose hearts is perversity follow the part thereof that is allegorical, seeking discord, and searching for its hidden meanings, but no one knows its hidden meanings except Allah. And those who are firmly grounded in knowledge say: "We believe in the Book; the whole of it is from our Lord:" and none will grasp the Message except men of understanding."     บัญญัติที่ 3:7 นี้เป็นบัญญัติที่ พระเจ้า(อัลลอฮ์) ทรงเตือนมุสลิมในการเข้าใจอัลกุรอานว่าให้ระวัง ผู้ชั่วฉลที่จะนำเอาบัญญัตในอัลกุรอานเพียงบางส่วน ในเรื่อง ที่เป็นนัย ในการเปรียบเทียบต่างๆ มาแอบอ้างบิดเบือนเพื่อ ก่อให้เกิดความวุ่นวายในหมู่ผู้ศรัทธา  ให้เฉออกไปจากความเป็นจริง เพื่อประโยชน์ของตัวเองและพรรคพวกอย่างเช่น ชาวปาเลสไตน์ที่ ที่เขียนเรื่องในหัวข้อกระทู้นี้,     ซึ่ง คุณzakai  มิได้เข้าใจผิดแต่อย่างใด แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 52 11:28:43 จากคุณ : แมทท์ - [ 15 มี.ค. 52 11:20:38 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ชาวมุสลิมในปัจจุบันมีน้อยคนมากที่ไม่เกลียดยิว เท่าทีรู้คือเป็นเพราะมี ผู้นำศาสนามุสลิมทีชื่อ Amin al-Husayni ได้เพาะเชื้อแห่งความเกลียดชังชาวยิวใว้ให้ เวลาผ่านไป 80 ปี ความเกลียดชังชาวยิว ได้เจริญงอกงาม ขึ้นในจิตใจชาวมุสลิมส่วนมาก นับเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของเขาเลย ถัดจากนี้ไปอีก 50ปี เด็กมุสลิมคงเกิดพร้อมกับความเกลียดชาวยิว ที่ฝังอยู่ในสายเลือด พร้อมที่ห้ำหั่นกับชาวยิวได้ทันที สมัยที่พวกยิวบ้านแตกสาแหรกขาด กระจายไปทั่วยุโรป และอาหรับ ศาสนาอิสลามรุ่งเรืองขึ้นในอาหรับ พวกยิวซึ่งเป็นคนส่วนน้อยก็ยังอาศัยอยู่อาหรับ ได้อย่างสงบสุข ยังเป็นพี่น้องเพื่อนบ้านกันได้ ถึงตอนที่พวกยุโรบขับไล่ชาวยิว เพราะความอิจฉาตาร้อน แต่มุสลิมซึ่งเป็นคน ส่วนใหญ่ในอาหรับ ก็ยังมีเมตตา ไม่ได้ขับใส่ส่งพวกยิวไปใหน นับว่ามุสลิมในสมัยนั้น มีจิตใจสูงส่งกว่าชาวยุโรปมาก หากว่ามุสลิมยุคโราณมีจิตใจเหมือนมุสลิมบางกลุ่ม บางคนในสมัยนี้ ระยะเวลาพันปีผ่านมานี้ เขาคงล้างผลาญชาวยิวสูญพันธ์ไปจากอาหรับ ได้ไม่ยาก โชคดีที่ Amin al-Husayni ไม่เกิดในสมัยนั้น ส่วนปัญหาปาเลสไตน์ เป็นเรื่องการเมือง นักการเมือง(บางคนเท่านั้นน่ะ) ทำเรื่องการเมือง ตราบใดที่เขาทำเรื่องให้เป็นการเมือง เขาย่อมไดัรับ ผลประโยชน์ ยัสเซอร์ อาราฟัส ตอนเขาตาย ยัง ทิ้งสมบัติ เงินทองใว้ให้เมียกว่า 3 หมื่นล้าน ขณะที่ชาวปาเลสไตน์ ยังต้องแบ่งขนมปังกันกิน แต่คนชาวปาเลสไตน์คิดไรไม่ออก เพราะเขาไม่ว่าง ต้องไปนั่ง....เกลียดยิวต่อ จากคุณ : zakai - [ 15 มี.ค. 52 13:02:51 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คคห6.. ผมเข้าใจไปตามทีว่านั่นแหละ..คุณCarroth.. จากคุณ : zakai - [ 15 มี.ค. 52 13:08:09 ]

ความคิดเห็นที่ 10 มุลิมมีใจจองล้างจองผลาญคริสเตียนกับยิวที่ไหน ถ้ามียิวคงไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในอาณาจักรมุสลิมในอดีต และทุกวันนี้อาหรับที่เป็นคริสเตียนคงอยู่อย่างสงบสุขในตะวันออกกลางไม่ได้ ในกุรอ่านบอกเสมอว่า ยิวกับคริสเตียนคือพี่น้องชาวคัมภีร์ แต่สำหรับยิวนั้นกุรอ่านได้เตือนไว้ เพราะอัลเลาะห์นั้นทราบดีถึงอุปนิสัย และสิ่งที่ฝังอยู่ในความคิดของเขาเป็นอย่างดี ส่วนความรู้สึกที่มีของมุสลิมต่อยิวนั้นเป็นเพราะการกระทำของยิวล้วนๆ ถ้าอยากรู้ว่ายิวเขาคิดอย่างไรไปดูข้อความในคัมภีร์ตัลมูดของเขาสิจะทราบมุมมองของชาวยิวที่มีต่อคนต่างเชื้อชาติอย่างไรได้ชัดเจน แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 52 14:55:18 จากคุณ : ghanee.s - [ 15 มี.ค. 52 14:51:31 ]

ความคิดเห็นที่ 11 บางส่วนจากคำสอนของคัมภีร์ตัลมูด ยิวมีความเชื่อว่า "พวกเขานั้นคือประชาชาติของอัลลอฮฺที่ถูกเลือกเฟ้นมา และพวกเขาก็คือลูกหลานและคนรักของอัลลอฮฺ" ด้านหลักศรัทธา 1. กลางวันนั้นมี 12 ชั่วโมง สามชั่วโมงแรกอัลลอฮฺจะนั่งอ่านบัญญัติ และสามชั่วโมงที่สองพระองค์จะทรงพิพากษา และสามชั่วโมงส่วนที่สามพระองค์จะทรงให้อาหารแก่โลกนี้ ส่วนสามชั่วโมงสุดท้ายพระองค์จะทรงนั่งเล่นกับปลาวาฬ ซึ่งเป็นเจ้าแห่งปลาทั้งหลาย ...!! 2. อัลลอฮฺผู้ทรงไม่มีความผิดพลาด ความโกรธเคือง และการโกหก 3. วิญญานของชาวยิวนั้นมาจากวิญญานของอัลลอฮฺ ส่วนวิญญานของาชนชาติอื่นๆนั้นมาจากวิญญานที่สกปรก 4. มนุษย์ที่ไม่ใช่ชาวยิวนั้นถูกสร้างมาจากอสุจิของม้า และที่อัลลอฮฺทรงสร้างประชาชาติอื่นๆมาในรูปมนุษย์นั้นก็เพื่อให้เหมาะสมกับการรับใช้ชาวยิว ซึ่งโลกนี้สร้างมาเพื่อพวกเขา ...!! 5. ชาวยิวได้รับความสนใจ ณ ที่พระองค์อัลลอฮฺมากกว่ามวลเทวทูตหรือมะลาอิกะฮฺ 6. หากว่ายิวไม่ได้ถูกสร้างขึ้นม แน่นอน ความศิริมงคลบนโลกนี้จะไม่เกิดขึ้น และดวงอาทิตย์กจะไม่ถูกบันดาลขึ่นอีกเช่นกัน ด้านทรัพย์สมบัติ 1. พระเจ้าของชาวยิวนั้น จะไม่อภัยโทษแก่ผู้ส่งเงินหรือทรัพย์สินที่เก็บได้คืนสู่เจ้าของทรัพย์ที่ไม่ใช่ยิว 2. การลักขโมยนั้นไม่เป็นที่อนุญาตในหมู่ชาวยิวด้วยกัน แต่ถ้าเป็นประชาชาติอื่นนั้นอนุญาตให้ขโมยได้ 3. ดอกเบี้ย เป็นสิ่งต้องห้ามในหมู่ชาวยิวด้วยกัน แต่เป็นที่อนุมัติที่จะเอามันจากประชาชาติอื่น 4. เป็นที่เปิดเผยแก่ชาวยิวว่า พวกเขาจะให้ลูกหลานกู้ยืมเงินโดยกินดอกเบี้ย เพื่อฝึกฝนพวกเขาให้ได้ลิ้มรสแห่งความหวานชื่นของดอกเบี้ย แล้วพวกเขาจะได้ปฏิบัติมันต่อประชาชาติอื่นๆ 5. ชีวิตของประชาชาติอื่นๆ คือ กรรมสิทธิ์ของชาวยิว ดังนั้นนับประสาอะไรเล่ากับทรัพย์สินของประชาชาติอื่นๆ ?! มุมมองชาวยิวต่อมนุษยชาติอื่นๆ 1. ประชาชาติอื่นๆที่ไม่ใช่ชาวยิวนั้นเปรียบเสมือนสุนัขทั้งหลาย 2. ประชาชาติที่ไม่ยึดถือศาสนาของยิวนั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่สุนัข แต่ยังเป็นลาโง่อีกเช่นเดียวกัน 3. บ้านของคนอื่นจากชาวยิวคือคอกสัตว์ 4. การทำให้คนหนึ่งคนใดจากประชาชาติอื่นรอดพ้นนั้นคือข้อห้ามต่อชาวยิว 5. ชาวยิวที่ฆ่าประชาชนอื่นๆ จะได้อาศัยอยู่ในสรวงสวรรค์ตลอดกาล ในด้านสัญญาและข้อตกลงต่างๆ 1. การสาบานของยิวกับประชาชาติอื่นๆนั้นไม่มีคุณค่าใดๆ และชาวยิวก็ไม่จำเป็นต้องเคารพมันด้วย เพราะไม่มีการสาบานใดๆระหว่างยิวกับสัตว์ทั้งหลาย 2. อณุญาติให้ชาวยิวเป็นพยานเท็จได้ 3. อนุมัติ.. ยิ่งไปกว่านั้น จำเป็นที่จะต้องคดโกงต่อประชาชาติอื่นๆ 4. หากมีคนที่ไม่ใช่ยิว และชาวอิสราเอล (ยิว) มายังท่านเพื่อฟ้องร้องให้ตัดสิน หากท่านสามารถที่จะทำให้ชาวยิวนั้นเป็นผู้ได้กำไร ท่านก็จงทำเถิด! ในด้านศีลธรรม 1. การผิดประเวณีกับประชาชาติอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ตามเป็นที่อนุมัติ 2. ผู้หญิงชาวยิวไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้องสามีของนาง หากว่าเขาได้ผิดประเวณีแม้จะบนเตียงของเขาทั้งสอง 3. การร่วมประเวณีทางประตูหลัง (ทวารหนัก) กับภรรยา นั้นเป็นที่อนุมัติ เพราะภรรยาเมื่อเทียบกับสามีแล้ว นางก็เปรียบดั่งก้อนเนื้อก้อนหนึ่ง ที่สามีซื้อมาจากคนขายเนื้อ ฉนั้น เขาก็มีสิทธิ์ที่จะทานมัน ไม่ว่าจะการต้มหรือย่างตามความต้องการของเขา 4. ชาวยิวคนใดที่ฝันเห็นว่าเขาได้ร่วมประเวณีกับมารดาของเขานั้น เขาก็จะได้รับวิทยปัญญาและความรอบรู้ยิ่ง ส่วนใครที่ฝันว่าเขาได้ร่วมประเวณีกับคู่หมั้น เขาก็คือผู้พิทักษ์บทบัญญัติ ส่วนคนที่ฝันว่าร่วมประเวณีกับพี่สาวหรือน้องสาวของเขา เขาจะได้รับรัศมีแห่งสติปัญญา และใครที่ฝันว่าร่วมประเวณีกับญาติใกล้ชิดแล้วนั้น เขาจะมีชีวิตอยู่ตราบชั่วนิรันดร์ .......................................................................................... credit:http://www.muslimthai.com/main/1428/printable.php?category=48&id=181 จากคุณ : ghanee.s - [ 15 มี.ค. 52 14:57:41 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ผิดกับของมุสลิมครับ อัลลอฮฺ ได้กล่าวว่ากับท่านนบีไว้เกี่ยวกับชาวยิวและชาวคริสต์ว่า “ดังนั้น เพื่อการนี้แหละเจ้าจงเรียกร้องเชิญชวนและดำรงอยู่ในแนวทางที่เที่ยงธรรมดังที่เจ้าได้รับบัญชา และอย่าได้ปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของพวกเขา และจงกล่าวว่า ฉันได้ศรัทธาในสิ่งที่มีอยู่ในคัมภีร์ตามที่อัลลอฮฺทรงประทานลงมา และฉันได้รับบัญชาให้ตัดสินระหว่างพวกท่านด้วยความเที่ยงธรรม อัลลอฮฺคือพระเจ้าของฉันและพระเจ้าของพวกท่าน(การตอบแทน)การงานของฉันก็จะได้แก่ฉันและ(การตอบแทน)การงานของพวกท่านก็จะได้แก่พวกท่าน ไม่มีการโต้แย้งใดๆระหว่างพวกเรากับพวกท่าน อัลลอฮฺจะทรงรวบรวมพวกเราทั้งหมด และยังพระองค์คือการกลับไป” (อัช ชูรอ15) “ และจงอย่าให้การเกลียดชังพวกหนึ่งพวกใดทำให้พวกเจ้าไม่ยุติธรรม จงยุติธรรมเถิด มันเป็นสิ่งที่ใกล้กับความยำเกรงยิ่งกว่า...” (อัล-มาอิดะฮฺ 8) ท่านนบีได้กล่าวอีกว่าว่า “คำวิงวอน(ที่มีต่ออัลลอฮฺ) ของผู้ถูกกดขี่ข่มเหง แม้ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา(ต่างศาสนิก) จะไม่มีสิ่งใดขวางกั้นคำวิงวอนนั้น” (รายงานโดยอิมาม อะหฺมัด) จากคุณ : ghanee.s - [ 15 มี.ค. 52 15:09:42 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ในเรื่อง ของคัมภีร์ตัลมูด ของยิวนี้ ก็ไม่ต่างไปจาก "อะหะดีษไ ของมุสลิม ที่มุสลิมระดับอาจารย์ ในเวบมรดก ถือว่าเป็นคัมภีร์เล่ม ที่สอง รองจากอัลกุรอาน  เช่นเดียวกับยิว ใช้คัมภีร์ตัลมูด เป้นหลักปฏิบัติและสอนศาสนาแทนที่จะใช้ "คัมภีร์เตารอด" ของพระเจ้าเป็นหลัก   และในฮะดีษมีอยู่เป็นจำนวนมากที่มีการสอนเช่นเดียวกับ คัมภีร์ตัลมูด   ทั้งยิวและมุสลิมที่ไม่ปฏิบัติตามบัญญัติของพระเจ้า(อัลลอฮ์) องค์เดียวกัน แต่กลับไปใช้หลักปฏบัติ ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษยืประดิษฐืขึ้นเป็นหลักในการสอนอนุชนรุ่นหลังๆ   เรื่องนี้ จะโทษใครไม่ได้นอกจากบุคคลผุ้ที่มีใจชั่วช้าเลวทรามสอดแทรกคำสอนเข้าไปในบัญญัติของพระเจ้าเช่นนักปราชญ์อิสลาม ที่มีชื่อเรียกว่า “ท่านกอตาดะห์”  ในความเห็นที่ 7 การอ้างคัมภีร์ตาลมูดเป็นข้อแก้ตัวจากมุสลิมที่ยังยึดสิ่งที่สอนเช่นเดียวกับ คัมภีร์ตาลมูด แสดงถึงความไม่เข้าใจตัวเอง ทั้งขาดความรู้ใน คัมภีร์ตาลมูด ของชาวยิว และ "อะหะดีษ" ของมุสลิม เช่นกันมีมุสลิเป็นจำนวนมากที่ตั้งถิ่นฐานทำมาหกินอยุ่ในอิสราเอล และอยุ่ย่างเป็นสุข มีบางครอบครัวที่ต้องเสียชีวิตจาก ระเบิดของมุสลิมปาเลสไตน์  แม้กระนั้นก็มี มุสลิมปาเลสไตน์จำนวนมาก ก้ยังมีโอกาส เข้าไปทำมาหากิน ในอิสราเอล.....ไปมั่วอยู่กับเรื่อง โรแมนติคที่เหลวไลจนไม่ลืมตาดูความจริงบ้าง แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 52 18:39:21 จากคุณ : แมทท์ - [ 15 มี.ค. 52 18:24:04 ]

ความคิดเห็นที่ 14 คัมภีร์ตัลมูดเทียบเท่าอัลฮาดิษ มั่วแล้ว ตอบเรื่องละหมาดอย่างไรไม่ใช้ฮาดิษ ให้ได้ซะก่อนเถอะครับ มีปาเลสไตน์ที่เป็นคริสเตียนที่เจ็บช้ำน้ำใจและเสียชีวิตจากระเบิดของยิวเยอะแยะ และพร้อมที่จะโต้ตอบยิวอยู่เช่นกัน และเรื่องโรแมนติกในอิสลามก็แสดงให้เห็นถึงความกว้างขวางของศาสนาที่ครอบคลุมทุกบริบทในชีวิตมนุษย์ไม่เว้นแม้แต่เรื่องศิลปในการใช้ชีวิตครอบครัว ผมยังยืนยัมเหมือนเดิมนะครับ ว่าคนที่รังเกียจเรื่องโรแมนติกกับภรรยา รังเกียจการมี sex ยังไงให้ภรรยาชอบ มีแต่ตุ้ด กับเกย์ ที่แอบแบ้ว เท่านั้นละครับ จากคุณ : ghanee.s - [ 15 มี.ค. 52 21:40:39 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คุณ :ghanee.s     ในกระทู้นี้ผมยังไม่อยากจะกล่าวถึงเรื่องการละหมาด 5 เวลา ว่ามีมาอย่างไร ? ทั้งนี้ผมได้สอนให้คุณได้ทราบแล้วว่า การละหมาดที่มุสลิม ในลัทธิต่างๆ กระทำอยู่ในปัจจุบันนี้นั้น จะ2-5 เวลาก็ตาม มีอยุ่ในอัลกุรอานและ ตกถ่ายสืบทอดกันมาเรื่อยๆ  จาก ยิว และ คริสเตียน  โดยเฉพาะจากยิว ซึ่งยังมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์เห็นได้อย่างชัดเจน   แต่เนื่องจาก คุณมี ความเชื่อของการละหมาดมาจากนิทานว่า  ท่านรอซูลไปต่อรองกับพระเจ้า จากวันละ 50 เวลาลงมาถึงวันละ 5 เวลา, และมีชีปะขาวมาสอนท่านรอซูลให้ทำการละหมาดนั้น  ผมจะปล่อยให้คุณเขลา ไปสักพักหนึ่งก่อน แล้ว เมื่อผม มีเวลาจะ อธิบายให้เข้าสมองคุณอีกครั้งหนึ่ง     ส่วนเรื่องความรักในครอบครัวผมทั้งภรรยาและลูกๆนั้นเป็นความรักที่ตามแบบฉบับในอัลกุรอานที่มุสลิมไทยทั่วๆไปถือปฎิบัติอยุ่ อย่าง ผัวเดียว เมียเดียว   ซึ่งเป็นความตั้งใจของผมต่อพระเจ้า ในขณะ นีก๊ะ ลูกๆทุกๆคนของผมได้รับการศึกษาทั้งทาง วิทยาการและทางศาสนา เป็นอย่างดี ในเรื่องของ การศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว,    ตามแบบฉบับของไทยมุสลิมเราไม่มีการเอาความรักและอารมเซ็กซ์  ซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัว มารำพึงรำพันเป็นนิยายน้ำเน่าในที่สาธารณะ อย่างที่คุณghanee.s ชอบกระทำ  อยุ่เสมอๆ ในเวบศาสนา เกี่ยวกับท่านรอซูล   การแสดงอารมณ์ของคุณเช่นนี้ ทางจิตวิทยาทางแพทย์ถือว่าเป็น “โรคกามรมณ์วิตถาน” อย่างเบาๆ คือชอบ เรื่องราวเกี่ยวกับกามรมณ์รักเบาๆ ของผุ้อื่น ซึ่งไม่เคยได้รับจากภรรยาตนเอง  เลยแสดงออกมาอย่างผุ้ที่มีความสุขสดชื่นเมื่อเห็นบุคคลผุ้อื่นทั่วๆไป กระทำกัน ไม่ใช่แต่เฉพาะ ท่านรอซุลแต่ผุ้เดียว เท่านั้น        อารมณ์ทางเซ็กซ์นี่ตามหลักอิสลามมีขอบ เขตจำกัด ตามแนวทางในอัลกุรอาน โดยเฉพาะเรื่อง  เกย์ และ เลสเบียน  ที่นิสัยคุณชอบแสดงออกไปในทาง อารมณ์ของเพศหญิง ที่ผมสังเกตุ อ่านเรื่องของคุณตลอดมา ผมมองคุณอย่างเป็นผุ้ที่ชอบมีอารมณ์ ฝันกลางวัน ในเรื่อง กามรมณ์ และชอบสนใจในเรื่องกามรมณ์รักของเพศอื่น   พอกันทีสำหรับเรื่องอารมณ์กามรมณ์ ผิดปกติของคุณ ....การใช้คัมภีร์ตาลมูด กับการใช้ คัมภีร์ อะหะดีษนั้น เป็นสิ่งที่คล้ายกัน คุณลองศึกษาดู  ซิครับ แก้ไขเมื่อ 16 มี.ค. 52 06:42:45 จากคุณ : แมทท์ - [ 16 มี.ค. 52 06:38:32 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เรามาดูกันดีกว่า ว่าคนอย่างแมทท์ สอนเรื่องละหมาด อะไรบ้าง http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7590132/Y7590132.html กระทู้นี้แมทท์สอนว่า เรื่องละหมาดแมทท์ไม่ยุ่งแมทท์จะหนี อย่าพูดเรื่องละหมาดนะ แมทท์กลัว http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7579245/Y7579245.html กระทู้นี้แมทท์สอนว่า เรื่องละหมาดนั้น แมทท์จะต้องบิดเบือนแม้แต่คำพูดตัวเองเท่านั้น แมทท์ถึงจะเอาตัวรอดได้ แต่สุดท้ายแล้วแมทท์ก็ไปไม่รอด หนีอีกตามเคย http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7579038/Y7579038.html กระทู้นี้แมทท์สอนว่า ถ้าถามเรื่องละหมาดจากกุรอ่าน แมทท์จะทำเหมือนรู้ทันที ชี้โบ๊ชี้เบ๊ ทำท่าตีความเหมือนเก่ง แต่ปรากฎว่า ไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับกุรอ่านเลย มั่วตลอด อ่อแล้วแมทท์เฉลยในกระทู้นี้แล้วว่า จริงๆแล้ว แมทท์เป็น ตุ๋ยครับ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7541721/Y7541721.html กระทู้นี้แมทท์สอนว่า ถ้าไม่อาศัยฮะดีษ แมทท์จะพูดเรื่องละหมาดไม่ได้ นอกจากแถไปแถมา แล้วก็หนี อันนี้เอาเบาะๆ ก่อน เรื่องคำสอนของแมทท์ เพราะฉะนั้น เวลาแมทท์พูดอะไร ก็โปรดตามไปอ่าน ในกระทู้เหล่านี้ครับ แล้วจะทราบว่า คนอย่างแมทท์ คนเยี่ยงแมทท์ คนเช่นแมทท์ ไม่ได้มีความน่าเชื่อถือทางวิชาการอะไรทั้งสิ้น ตอบคำถาม แบบมั่วไปตามใจแค่นั้นเอง ดังนั้นทุกท่านอย่าไปหวังว่าแมทท์จะมาสอนอะไรให้เข้าหัวคนดีดีอย่างพวกเราได้ เพราะแม้แต่ตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด คำพูดทำนองว่าเดี๋ยวมาสอน หรือสอนไปแล้ว มันก็จึงมีแค่เอาไว้ปัด ความรับผิดชอบเท่านั้นเอง ยิ่งเรื่อง คำสอนหรือแบบอย่างเกี่ยวกับรักและเซ็กส์นั้น มันเป็นเรื่องปกติที่มนุษย์เราต้องรู้ และจริงๆแล้ว ปัจจุบัน ก็มีการส่งเสริมให้พ่อแม่ได้สอนลูก ให้ได้รู้ เกี่ยวกับเรื่องเซ็กส์อย่างถูกต้อง เพื่อเด็กๆ จะได้รู้จักระวังตัว และวางแผนชีวิตตัวเองได้ แต่พอมาเป็นอิสลามซึ่งนบีสอนเอง กลับทำตัวรับไม่ได้ แสดงถึงความกลับกลอกและจิตใจอันโสมมที่มีต่อนบีนั่นเอง กระทู้นี้น่าเซฟไว้นะครับ เพราะแมทท์พอถามเรื่องละหมาดปุ๊บ แมทท์จะแต๋วแตก เริ่มวีน เริ่ม ด่าคนอื่นกามวิตถารซะแล้ว ทั้งๆที่คำสอนเรื่องนี้จำเป็น และการนำมาแสดงก็เพื่อ ให้ทุกท่านได้นำไปเป็นแบบอย่าง เพื่อปฏิบัติกับครอบครัวตัวเอง แต่ก็ไม่แน่แมทท์ อาจจะพยายามปัดสวะให้พ้นตัว พยายามยัดเยียดอารมณ์ของการเบี่ยงเบนไปทางเพศหญิงให้กับคนอื่น เพื่อให้กลบเกลื่อนอาการตุ๋ยของตัวเอง เพราะถ้าเราตามอ่านกันจะพบว่า แมทท์เองนั่นแหละครับ ที่ไม่มีความเป็นลูกผู้ชาย หนีตลอด หน้าด้านหน้าทน แล้วกระทู้ที่ผมตั้ง เพิ่งแสดงอาการตุ๋ยออกมา ให้เห็นชัดๆ เห้ออ แมทท์เอ๋ย จะวีน ก็ให้มันเนียนๆ หน่อยนะ เขารู้กันหมดแล้ว ว่าแมทท์นะ คือแมทท์ตุ๋ย เอาล่ะต่อไปนี้ ผมว่าผมจะเรียกแมทท์ว่าแมทท์ตุ๋ยก็แล้วกัน จากคุณ : Carroth - [ 16 มี.ค. 52 09:55:01 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เอ่อ แค่จะบอกว่ากำลังอ่านเรื่องยิวอย่างได้ความรู้นะครับ แง่บๆ จากคุณ : itoursab (itoursab) - [ 16 มี.ค. 52 10:08:35 ]

ความคิดเห็นที่ 18 Dearest Honey Carroth: จาก ความคิดเห็นที่ 5 เป็นข้อคิดง่ายๆยังไม่เข้าใจ เรื่องการละหมาด วันละ 5 เวลาก้ยังตอบไม่ได้ว่ามีสอน อยู่ใน หะดีษบทใด  แล้วยังมาทำแจ๋นๆ ปากจัด  มาเถียงความจริงจากประวัติในอัลกุรอาน  ไปอ่านข้อความที่ผมเขียนไว้ทุกๆกระทู้จะได้เป้นมุสลิมที่ฉลาดขึ้นบ้าง น้องรัก ความโง่เง่าของคนบางคนจะให้ความรู้เช่นใดก้ไม่ยอม รับ เรื่องประวัติศาสตร์ ของ ยิวและอิสลามยังสับสนแล้วน้องแต๋ว ยังมาแจ๋นๆ อีก กลับ ไปอ่านสังข์ทองตอน ตีคลีก่อน เถอะ  Honey! จากคุณ : แมทท์ - [ 16 มี.ค. 52 10:13:53 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ^ ^ ^ 55555 วีนแตกแล้วพี่เก็บอาการหน่อย โดนแหย่หน่อยเดียว ด่ากราดไปทั่ว จุจุจุ เดี๋ยวเสียอิมเมจพี่หมดน่า อุตส่าห์แอ้บแบ้วอยู่ตลอด^^ จากคุณ : ghanee.s - [ 16 มี.ค. 52 10:26:43 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เออ ผมจุบๆเมีย กับ ลูกๆ ก่อนออกจากบ้าน และ ทุกครั้งที่เข้าบ้านนะ ท่านนบีทำอะไร ผมก็พยายาม ทำตาม ไม่ต้องเป็น ห่วงว่าผมจะไม่ได้รับความรักความเอาใจใส่จากภรรยาหรอก เชื่อผมเต้อะลองมาแล้ว เวิร์คๆ ถึงมาแบ่งปันให้เพื่อนๆไง จากคุณ : ghanee.s - [ 16 มี.ค. 52 10:35:51 ]

ความคิดเห็นที่ 21 น้อง ghanee.s   ฮิๆๆๆๆๆ ไม่แตกหรอก แต่พี่ชอบแหย่เล่นกับ น้องแต่ว เพราะรุ้สึกว่าแกเป็นคน ขี้โมโห ชอบเขียน ยาวๆ ยกเรื่อง เก่าๆมา พี่ยังมี เรื่อง โรแมนติกอีกมาก ระหว่างความรัก ของ มุสลิมในประวัติศาสตร์ จะนำมาลงให้ดุ  และในขณะเดียวกันก็พยายามหาวิธีอธิบายง่ายๆ เกี่ยวกับการ ละหมาด 5 เวลาจากอัลกุรอานให้น้องแต๋วเข้าใจอยู่ แก้ไขเมื่อ 16 มี.ค. 52 11:58:23 จากคุณ : แมทท์ - [ 16 มี.ค. 52 11:56:16 ]

ความคิดเห็นที่ 22 อ้าว ไหงบอกเรื่องโรแมนติกไร้สาระ กลับมีเรื่องโรแมนติกตุนไว้มาก เอยังไง ส่วนเสียงหัวเราะ "ฮิๆๆๆๆๆ" ผมมักได้ยินจาก ถ้าไม่ผู้หญิง ก็ตุ้ดนะ จากคุณ : ghanee.s - [ 16 มี.ค. 52 12:01:57 ]

ความคิดเห็นที่ 23 น้อง ghanee.s  ทราบหรือไม่ว่า มุสลิมะ หรือ ผู้หญิงมุสลิมอาจจะมีสามีที่เป็นผู้ที่ไม่เชื่อหรือศรัทธาต่อพระเจ้า?    เรื่องนี้มีตัวอย่างในประวัติศาสตร์ เรื่องมีอยู่ว่า “นางซัยนับ บุตรีของท่านรอซูลมูฮัมมัด, เธอแต่งงานกับ เครือญาติของเธอ ชื่อ อาบู อัล-อะสะ บิน อัลราบี, ตัวเธอรับอิสลามขณะที่ สามีของนางยัง ไม่ยอมรับศรัทธาต่อ พระเจ้า(อัลลอฮ์) อยู่กินกันมาจนถึงสงคราม “บะดัร” สามีของนางถูกจับเป็น เชลยศึก,     นางซัยนับจ่ายเงินค่าไถ่ตัวให้ปลดปล่อยสามีเธอ ตามข้อตกลงว่าเมื่อ สามีนาง ได้รับการปลดปล่อยแล้วจะต้องให้นางเป็นอิสระ หลังจากนั้นสามีของนางซัยนับ ก็เดินทางไป อยู่ที่กรุงมะกะฮ์ ส่วนนางซัยนับก็เดินทางไปอยู่มี่เมืองมะดีนะ,      ต่อมาอีกไม่นาน นายอาบู อัล-อะสะ บิน อัลราบี ก็ตกเป็นเชลยศึกของ มุสลิม, ในคราวนี้ นางซัยนับได้ช่วยเหลือให้สามีนางลี้ภัยทางการเมืองมาอยุ่ภายใต้ ความคุ้มกันของนางซึ่งนางเป็นมุสลิม และต่อมาอีกไม่นาน นายอาบู อัล-อะสะ บิน อัลราบี ก็ย้ายกลับไปอยู่ที่นครเมกกะฮ์และในที่สุดก็ยอมรับนับถือศาสนาอิสลาม   เห็นไหมว่า ...ความรักที่แท้จริงนั้น มันอยู่ที่ความเห็นใจและให้อภัยกันในที่สุด ผุ้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าก้กลับมารับอิสลามด้วยความศรัทธา ....และด้วยความรักของภรรยา....เล่าโดย Dr. Hassan al-Turabi ปล.  พี่ว่าน้องแต๋ว ขี้โมโห คงชอบเรื่องนี้ เพราะมาจาก การโรแมนติกตามหลักการของ อรับ จากคุณ : แมทท์ - [ 16 มี.ค. 52 12:10:08 ]

ความคิดเห็นที่ 24 บอกจริงๆว่า "ศัพท์ ตุ๊ดนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน" เพิ่งพอจะเดาได้นี่เอง  ไอ้เรื่อง หัวเราะนี้นะ  "ฮิๆๆ" นะถ้าเป้นผุ้หญิงละก้ คงมี ตุ๊ด มากเลย ในเวบต่างๆ  หลังไมค์ พี่ มี ฮิๆๆ เยอะเลยละ สงสัยผุ้ถามเป็นผุ้หญิง...ฮ้า , ฮ้า ๆๆๆๆ จากคุณ : แมทท์ - [ 16 มี.ค. 52 12:16:19 ]

ความคิดเห็นที่ 25 จูบภรรยาเช้าเย็นนะมันธรรมเนียมตะวันตกนะน้อง ธรรมเนียมอรับนี่นะเขาทำกันอย่างนี้... จากคุณ : แมทท์ - [ 16 มี.ค. 52 12:34:58 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ในเรื่องคัมภีร์ตาลมุตนั้น การแปลความหมายของภาษายิวโบราณ ก็แล้วแต่ว่าใครเป็นผู้แปล  หากคนที่ไม่ชอบยิว ก็แปลหรือตีความได้แบบหนึ่ง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ของเขาเอง แม้แต่คำเพียงคำเดียวก็แปลได้หลากหลาย   ตัวอย่างเช่นที่คุณ ghanee.s ยกมาข้างบนใน คคห. 10 ที่ว่า "1. ประชาชาติอื่นๆที่ไม่ใช่ชาวยิวนั้นเปรียบเสมือนสุนัขทั้งหลาย" มาจากคำว่า "The Akum  is like a dog." คำว่า The Akum พวกแอนตี้ยิวทั้งหลาย จะแปลว่า คนอื่นที่ไม่ใช่คนยิว แต่ยิวแปลคำว่า  The Akum หมายถึง พวกเคารพรูปปั้น ข้อบัญญัติศาสนาของยิวนั้น ห้ามยิวสร้างรูปหรือสิ่งอื่นไว้สักการะแทนพระเจ้า เพราะพระเจ้าของยิวเป็นพระเจ้าที่ไม่มีรูปกาย ผู้ใดทำแบบนั้นถือว่าผิดหลักศาสนา คัมภีร์ตาลมุตที่พวกแอนตี้ยิวตีความออกมาเพื่อให้คนอ่านๆแล้วเกลียดยิวนั้น มีมากมาย ไม่ใช่เพิ่งมี มีมานานแล้ว แม้แต่คริสเตียนบางคนยังเชื่อ แล้วก็ร่วมวงเกลียดยิวไปด้วยก็มี ..มันเป็นเช่นนั้นเอง.. จากคุณ : zakai - [ 16 มี.ค. 52 13:20:34 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ข้างล่างนี้คือ คุตบะฮ์ โดย   Sheikh Muhammed Abd al Hadi La'afi, quoted in the official P.A. newspaper Al-Hayat Al-Jadida (May 18, 2001), and Dr. Muhammed Ibrahim Madi, delivering the main Friday sermon on Palestinian TV (April 13, 2001), the Hadith itself states: วันปรโลกจะไม่มาถึงจนกว่ามุสลิมจะทำสงครามกับชาวยิว และตามสังหารชาวยิวจนกระทั้งชาวยิวต้องหลบซ่อนอยู่ หลังก้อนหินและต้นไม้, และต้นไม้และก้อนหินเหล่านั้นจะกล่าวว่า, "โอบรรดามุสลิมทาสของอัลลอฮ์, ยังมีพวกยิวหลบซ่อนอยู่ข้างหลังฉัน, จงมาหาและฆ่ามันเสีย"  ฮาดีษที่สอนเช่นนี้ขัดกับหลักบัญญัติของอิสลามที่สอนให้มุสลิม ยิว และ คริสเตียน สามัคคีกัน       มุสลิมที่ดี แล ฉลาด ปฏิบัติตามคำสอนของอัลกุรอานแล้วจะเห็นว่า พระเจ้า(อัลลอฮ์)  ไม่ได้สอนให้มุสลิมเกลียดยิว หรือ คริสเตียน ด้วยเหตุนี้ผมถึงกล่าวว่า ถ้ายิวปฏิบัติตาม คัมภีร์ตาลมูด ก็ไม่ต่างจากการที่ มุสลิมปฏิบัติตาม “อะฮาดีษ”  ซึ่งสอนตรงกันข้ามกับอัลกุรอาน และเตารอด จากบัญญัตข้างล่างนี้    English (Yusuf Ali): 2:62 Those who believe (in the Qur'an), and those who follow the Jewish (scriptures), and the Christians and the Sabians,- any who believe in Allah and the Last Day, and work righteousness, shall have their reward with their Lord; on them shall be no fear, nor shall they grieve. ด้วยการเรียนจากฮาดีษมุสลิมจึงได้จงเกลียดจงชัง "ชาวยิว"  อย่างโง่เขลา จากคุณ : แมทท์ - [ 16 มี.ค. 52 14:12:38 ]

ความคิดเห็นที่ 28 อ่อผมไม่ได้บอกเหรอครับว่ามันเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ และผมก็บอกชื่อหนังสือพร้อมผู้แต่งไปแล้ว และคุณบอกเองว่าไม่เอาแล้วด้วยสิ หรือจะเอาผมจะได้ไปหามาให้ แต่คุณล่ะครับแมทท์ 5-6 ปีแล้วที่ไม่มีปัญญาตอบเรื่องละหมาด กระทู้ ที่ผมให้ทุกคนได้ดูเนี่ยแหละครับ ประจานความมั่วของแมทท์ ก็ประวัติกุรอ่าน บอกชัดๆว่า ในสมัยนบีเอง และกุรอ่านก็ลงมาแล้วช่วง นึง ละหมาดไม่ได้ มี 5 เวลาอย่างที่เรารู้ในปัจจุบัน แต่แมทท์ดันบอกว่า ละหมาด 5 เวลาเป็นที่รู้จักมาก่อนแล้ว คือถ้าคิดจะเถียงเรื่องกุรอ่าน ก็เคลียร์ตัวเองในกระทู้ ที่ผมโพสต์สิครับ หนีมาทำไม ก็คุณหนีมาเอง แสดงอาการของคนไร้คำตอบเอง ประจานตัวเองว่าไม่มีปัญญาคุยอย่างมีสาระ แล้วยังมา แต๋วแตกในกระทู้นี้อีก หึหึ นี่แหละครับแมทท์ ทั้งกลับกลอก หน้าด้าน ไร้ยางอาย แมทท์ก็ทำได้แค่นี้แหละครับ คือไม่ต้องไล่ผมไปอ่านหรอกครับเพราะผมตอบคุณทุกคำตอบที่เกี่ยวกับละหมาด และคุณก็หมดปัญญาจะใช้หลักฐานและเหตุผลสู้กับผมทุกกระทู้ ทุกท่านไปตามอ่านดูได้ นอกจากตอบไม่ได้ แล้วยังตอบมมั่วอีก ความรู้ของแมทท์ ถ้ามันมีสาระ ก็คงไม่สามารถที่จะแย้งได้หรอกครับ แต่เผอิญ มันทั้งมั่ว และทั้งไร้สาระ ก็เลยทำให้แมทท์ต้องหนีทุกกระทู้ไง พูดน่ะพูดได้ครับว่า บอกแล้วสอนแล้ว แต่ความจริงที่ปรากฎคือคนอย่างแมทท์ หนีมุสลิมทุกกระทู้ จนคนต่างศาสนาต้องบอกว่าถ้าผมมีความรู้เรื่องละหมาดผมจะตอบแทนแมทท์ ความจริงนี้แถยังไง มันก็ยังคงอยู่ประจานแมทท์แต๋วอยู่นั่นเอง จากคุณ : Carroth - [ 16 มี.ค. 52 14:31:54 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ท่าน ghanee.s ไปดูกระทู้นี้ได้ครับ แมทท์ แสดงตัวว่าเป็นแต๋วให้เราได้เห็นกัน ชัดๆเอง ปฏิเสธไม่ได้หรอก มันเป็นคำตอบว่า ทำไม แมทท์ถึง ไม่มีความเป็นลูกผู้ชาย หน้าด้าน และกลับกลอก ก็เขาคือ แมทท์แต๋ว แมทท์ตุ๋ย แมทท์ฮ่ะนี่ครับ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7579038/Y7579038.html ลองดู แมทท์แต๋วแตก สงสัยสามีแมทท์ไม่ให้ตุ๋ย เลยเริ่มตาลายพยายามให้ผมเป็นภรรยาเขา ฮ่าๆ น่าสมเพช จากคุณ : Carroth - [ 16 มี.ค. 52 14:34:24 ]

ความคิดเห็นที่ 30 จาก คคหที่ 24 (บอกจริงๆว่า "ศัพท์ ตุ๊ดนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน" เพิ่งพอจะเดาได้นี่เอง  ไอ้เรื่อง หัวเราะนี้นะ  "ฮิๆๆ" นะถ้าเป้นผุ้หญิงละก้ คงมี ตุ๊ด มากเลย ในเวบต่างๆ  หลังไมค์ พี่ มี ฮิๆๆ เยอะเลยละ สงสัยผุ้ถามเป็นผุ้หญิง...ฮ้า , ฮ้า ๆๆๆๆ ) พี่แมทท์เสียจริตไปแล้ว^^ จากคุณ : ghanee.s - [ 16 มี.ค. 52 14:41:52 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เห้อ น่าสมเพชแมทท์ตุ๋ย ที่พยายามปกปิดความ แต๋วของตัวเองด้วยการยัดเยียดให้คนอื่นซะจริงๆ ทั้งๆที่ กระทู้ที่ตัวเองหลุด แต๋วออกมาก็ยังอยู่ไม่ได้ออกไปไหนๆ เห้อ นี่แหละน๊า สันดานแต๋วมุนาฟิก ถึงว่าเวลาสนทนากับแมทท์ มันถึงได้รู้สึกสะอิดสะเอียน ก็เพราะแมทท์คิดชั่วกับ ผู้ชายด้วยกันอยู่นี่เอง มุสลิมมีนทุกคนระวังตัวไว้ให้ดีนะครับ ถ้าแมทท์เถียงไม่ได้ แมทท์อาจจะจ้อง ลวนลามท่านได้ทุกเมื่อ เรามาดูเรื่องการ ใส่ร้ายอิสลาม ดีกว่า วันปรโลกจะไม่มาถึงจนกว่ามุสลิมจะทำสงครามกับชาวยิว และตามสังหารชาวยิวจนกระทั้งชาวยิวต้องหลบซ่อนอยู่ หลังก้อนหินและต้นไม้, และต้นไม้และก้อนหินเหล่านั้นจะกล่าวว่า, "โอบรรดามุสลิมทาสของอัลลอฮ์, ยังมีพวกยิวหลบซ่อนอยู่ข้างหลังฉัน, จงมาหาและฆ่ามันเสีย" นี่เป็นการบ่งบอกถึงสิ่งที่จะเกิดในอนาคตไม่ได้บอกว่า สิ่งที่ทำนั้นเกิดขึ้นจากอะไร สงครามที่เกิด มาจากเหตุใด ยิวเหล่านั้น ทำบาปใด ถึงต้องถูกลงโทษ ด้วยเหตุการณ์ เช่นนั้น ซึ่งมันก็ไม่ได้มีสิ่งใดขัดกับหลักการของอัลกุรอ่านแม้แต่นิดเดียวเพราะ ตัวฮะดีษเอง ยังไม่ได้บอกว่า การกระทำที่ว่าผิดหรือถูก และชาวยิวนั้น เฉพาะ เหล่าทหาร หรือประชาชนด้วย การกล่าวหาว่าฮะดีษบทนี้ ขัดกับหลักการอิสลาม ก็เกิดขึ้นจากความคิดต่ำๆ ของแมทท์ตุ๋ย เท่านั้น ทั้งที่จริงๆแล้ว กุรอ่านก็บอกไว้ว่า "แน่นอนยิ่ง อัลลอฮทรงได้ยินคำพูดของบรรดา(พวกยิว)ผู้ที่  กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ ยากจน และพวกเรานั้นเป็นผู้มั่งมี เราจะจารึกสิ่งที่พวกเขาได้กล่าวไว้ "(อาลิอิมรอน3:181) "แน่นอนเจ้าจะพบว่า หมู่ชนที่เป็นศัตรูอันรุนแรงแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธานั้นคือชาวยิว และบรรดาผู้ที่ให้มีภาคีแก่อัลลอฮ์" (อัลมาอิดะฮฺ 5 : 82 ) ยิวที่ถูกจัดการในช่วงใกล้วันสิ้นโลกอาจจะเป็นยิวประเภท ที่กล่าวไว้ในอัลกุรอ่านก็ได้ เพราะ ไม่ได้ผิด กุรอ่าน อายะห์ 2:62. แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธา และบรรดาผู้ที่เป็นยิว และบรรดาผู้ที่เป็นคริสเตียน และอัศ-ซอบิอีน (*1*) ผู้ใดก็ตามที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก และประกอบสิ่งที่ดีแล้ว พวกเขาก็จะได้รับรางวัลของพวกเขา ณ พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา และไม่มีความหวาดกลัวใด ๆ แก่พวกเขา และทั้งพวกเขาก็จะไม่เสียใจ ได้บอกไว้ชัดเจนนะครับ และประกอบสิ่งดี ซึ่งไม่ได้หมายถึงยิวทุกคน และคุตบะห์ก็ไม่ได้บอกถึงยิวทุกคนอีกด้วย ทั้งหมดมันจึงเป็นความสับสนของแมทท์ตุ๋ยเอง อันอาจจะเนื่องมาจาก ภรรยาหนุ่ม ไม่ยอมนอนด้วย หรือเพราะอารมณ์ปกติของคนแต๋วแตกเมื่อถูก ถามเรื่องละหมาดแล้วตอบไม่ได้ นี่จึงเป็นความมั่วอีกครั้งของแมทท์นั่นเอง จากคุณ : Carroth - [ 16 มี.ค. 52 14:50:10 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เตือนมุสลิมีน และชายทุกท่าน ที่ใช้กระดานสนทนา ระวังหลังไว้ให้ดีนะครับ ท่านอาจจะโดนหมายปองอยู่ก็ได้ เพราะวันดีคืนดี แมทท์จะเริ่มมองคุณเป็นภรรยาเขา ผมเตือนด้วยความหวังดี เพราะผม โดนเล็งมาแล้วครับ นี่ถ้าไหวตัวไม่ทัน ผมอาจจะโดนลวนลามหนักกว่านี้ ดูเองแล้วกัน http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7579038/Y7579038.html ผมว่าอาการหนัก จริงๆ ภรรยาหนุ่มของแมทท์น่าจะดูแลสามีตัวเองดีดีกว่านี้หน่อย มิน่าล่ะครับ พอเห็น แบบอย่างการทำดีกับภรรยา (ซึ่งต้องเป็นผู้หญิงอยู่แล้ว) แมทท์ถึงออกอาการแต๋วแตกให้ได้เห็น คงเพราะรับไม่ได้ ที่ชายหญิงจะรักกันน่ะครับ อินเตอร์เน็ตนี่น่ากลัวนะ มีคนแปลกๆ แบบนี้มาแฝงตัวด้วย แก้ไขเมื่อ 16 มี.ค. 52 14:55:42 จากคุณ : Carroth - [ 16 มี.ค. 52 14:55:05 ]

ความคิดเห็นที่ 33 "1. ประชาชาติอื่นๆที่ไม่ใช่ชาวยิวนั้นเปรียบเสมือนสุนัขทั้งหลาย" มาจากคำว่า "The Akum  is like a dog." คำว่า The Akum พวกแอนตี้ยิวทั้งหลาย จะแปลว่า คนอื่นที่ไม่ใช่คนยิว แต่ยิวแปลคำว่า  The Akum หมายถึง พวกเคารพรูปปั้น จากคุณ : zakai zakai นี่โง่ให้ยิวมันหลอกซ้ำซากจริงๆแหะ ที่แปลออกมาแบบนั้นเพราะยิวมันจนแต้มเวลาเถียงกับพวกคริสเตียนหรือมุสลิม มันก้อจะแถว่าเป็นพวกเคารพรูปปั้น ถ้าแปลว่าพวกเคารพรูปั้น zakai ก้อลองแปลมาสิ ก้อจะได้เนื้อความว่า ....เปรียบเสมือนสุนัขทั้งหลาย  แล้วพวกไหนหล่ะที่เคารพรูปปั้น เหมือน zakai ภูมิใจแหะ ที่โดนยิวมันหลอกด่า ประเด็นที่ยิวมองว่าคนไม่ใช่ยิวไม่ใช่มนุษย์ ก็มาจาก Talmud บท Baba mezia, 114b นั่นแหละ zakai อ่านดูดีดี "Only ye are designated as 'men.'" This Ezekiel verse is a popular quotation in the Talmud, always misused to infer that Talmudists are men but non-Talmudists are on the level of mere beasts or cattle. http://www.come-and-hear.com/dilling/p_chapt04.html ไม่น่าเอาคำพูดยิวมันแถ มาด่าตัวเองเลยอ่ะ zakai มาแก้ตัวแทนยิว แต่กลับมาด่าตัวเองซะง้าน   ..zakaiมันเป็นเช่นนั้นเอง..     แก้ไขเมื่อ 16 มี.ค. 52 17:04:23 จากคุณ : Palmyra - [ 16 มี.ค. 52 16:56:18 ]

ความคิดเห็นที่ 34 โธ่เอ๋ย ปามมี่ มันก็แปลตรงๆอยู่แล้ว ยิวมันว่าถึงพวกยิวที่เคารพรูปปั้น เราไม่ได้เป็นยิวนี่ จะไปถือสาหาความทำไม หรือจะถือสาว่ายิวด่าเรา หรือปามมี่ด่าเรา ก็ไม่เป็นไร มิโกรธเคือง... เวปที่ยกมานั่น ก็รู้อยู่ว่าเอามาจากการเขียนของยาย Elizabeth Dilling มา เธอเป็นคริสเตียนที่ไม่ชอบยิว ไม่ชอบพวกคอมมิวนิสต์ แล้วเธอก็เหมาเอาว่า พวกยิวเป็นรูปแบบหนึ่งของระบบคอมมิวนิสต์ด้วย คิดดูแล้วกันว่า พวกไม่ชอบยิว แล้วมาแปลคัมภีร์ให้ยิว มันจะระทึกขนาดใหน ยายดิลลิ่งแกเขียนหนังสือตั้งหลายเล่ม ต่อมาภายหลังพบว่า ข้อมูลของแกผิดไปจากความเป็นจริงมาก พวกแอนตี้ยิวเวลาจะอ้างอิง คัมภีร์ตาลมุดนี่ ก็จะลิงค์มาข้อมูลของยายดิลลิ่งนี่แหละ เพราะข้อมูลมันถูกใจดี.. มันเป็นเช่นนั้นเอง... แก้ไขเมื่อ 16 มี.ค. 52 19:33:34 จากคุณ : zakai - [ 16 มี.ค. 52 19:33:08 ]

ความคิดเห็นที่ 35 แหม zakai ยังจะกล่าวหาว่าผมด่าอีก zakai ด่าตัวเองทั้งนั้น   หากว่ายิวมันไม่ได้ดูถูกชนชาติอื่น ผมขอถาม zakai ว่า จากTalmud บท Baba mezia, 114b "Only ye are designated as 'men.'" This Ezekiel verse is a popular quotation in the Talmud, always misused to infer that Talmudists are men but non-Talmudists are on the level of mere beasts or cattle. มันจะแปลได้ว่าอย่างไรล่ะ zakai ยังมีอีกหลายที่ที่ยิวได้ดูถูกชนชาติอื่นไว้ จากคุณ : Palmyra - [ 16 มี.ค. 52 22:02:24 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เออ zakai ผมไม่ได้ anti ยิวทั้งหมดนะ แต่ผม anti ยิวบางกลุ่มโดยเฉพาะพวก Zionist ออกตัวไว้ก่อน ถ้าจะต่อยอดเรื่องยิวในทู้นี้ จะได้โฟกัสถูกจุด จากคุณ : Palmyra - [ 16 มี.ค. 52 22:12:32 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ไม่เป็นไรน้องghanee.s พี่คุยเล่นสนุกๆเท่านั้น  พีไม่เคยอ่านข้อความยาวๆ   พี่ทราบว่าน้องเป็นคนดี  (พี่ไม่ได้หาเสียงอะไร?)  ถ้าคุยกับ น้องพี่ไม่ได้คิดอะไรมาก สนุกๆๆเท่านั้น  ล้อเล่นหรือ กล่าวความจริงได้ ตามสบาย, วัยพี่ ผ่านเรื่องเหล่านี้มามาก แล้ว ....เอาเรื่องสนุกๆมาเล่าอีก และ พี่อาจจะขัดคอบ้าง ตามธรรมดา   น้องghanee.s  จะเห็นว่า เวลา หนู ลมหนาว กล่าวว่าพี่ไม่ว่ากรณีใดๆ พี่ไม่เคย ต่อล้อต่อเถียงเลย เพราะว่า เขามีอีมานที่เที่ยงตรงเช่นเดียวกับน้อง..... พี่ว่าการคุยของน้องทำให้พี่ไม่เบื่อที่จะเย้าแหย่เล่น จากคุณ : แมทท์ - [ 16 มี.ค. 52 23:24:41 ]

ความคิดเห็นที่ 38 คัมภีร์ตัลมูด แปลกดี ทำไมมันผิดกับ หลักคำสอน บัญญัติ 10 ประการขนาดนั้น จากคุณ : ลำชี - [ 17 มี.ค. 52 15:54:55 ]

ความคิดเห็นที่ 39 เพราะเป้นหนังสือที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อเป็นกฏใช้หลอกผู้ที่ไม่เข้าใจบัญญัติของพระเจ้า เช่นเดียวกับ หนังสือ "ฮาดีษ" ที่มุสลิมส่วนใหญ่ถือปฏิบัติตามกันอยู่ในปัจจุบัน  ทั้ง ตัลมูด และ "ฮาดีษ"  ไม่ใช่บัญญัติจากพระเจ้า ไม่มีการรับรองจากศาสดาท่านใดหรือมีบอกในคัมภีร์ เกี่ยวกับ ให้เชื่อเรื่องเล่า เหล่านั้น จากคุณ : แมทท์ - [ 18 มี.ค. 52 00:04:38 ]

ความคิดเห็นที่ 40 จริงๆแล้วคัมภีร์ของยิว ทั้งตัลมูลและคัมภีร์หลักในปัจจุบัน ล้วนเป็นหนังสือที่ถูกมนุษย์ต่อเติมนะครับ เพราะไม่มีที่มาที่ไป ไม่สามารถหาตัวผู้บันทึก ไม่มีสายรายงาน ไม่มีการตรวจสอบ ความถูกต้อง ซึ่งต่างกับฮะดีษ คุณ ลำชี ครับ ถ้าจะถามเรื่องอิสลามให้ถามมุสลิมครับ ในนี้มีบางคนพยายามแอบอ้างตัวเองว่าเป็นมุสลิม แต่เขาไม่ใช่ และมาบอกว่า ฮะดีษนั้น เป็นกฎที่ใช้หลอกผู้ที่ไม่เข้าใจบัญญัติของพระเจ้า ซึ่งนี่เป็นการโกหกคำโต เพราะ อัลกุรอ่านคัมภีร์ที่มาจากพระเจ้า สั่งให้ทำตามท่านศาสดา แล้วเราจะหาแบบอย่างของท่านศาสดาได้จากไหน แน่นอครับ หาได้จากฮะดีษ ซึ่ง มีที่มาชัดเจน มีการสืบสายรายงาน มีการตรวจสอบหลายขั้นตอน ซึ่งถ้าใครปฏิเสธไม่เอาฮะดีษ คนนั้นเรียกว่ามุสลิมไม่ได้หรอกครับ เพราะเขาจะปฏิบัติศาสนกิจของอิสลามไม่ได้ และตอบคำถามเกี่ยวกับศาสนกิจไม่ได้ด้วย ตัวอย่างของคนที่ไม่เอาฮะดีษแต่กลับอ้างตัวว่าเป็นมุสลิม ก็จะมีจุดจบแบบนี้ครับ ลองไปอ่านดูได้คร่าวๆ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7590132/Y7590132.html http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7579245/Y7579245.html http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7579038/Y7579038.html http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7541721/Y7541721.html ต้องระวังให้ดีครับ พวกพยายามบิดเบือนศาสนามีตลอด ถ้าให้แน่ใจต้องถามมุสลิมครับ แก้ไขเมื่อ 18 มี.ค. 52 06:59:36 จากคุณ : Carroth - [ 18 มี.ค. 52 06:56:36 ]

ความคิดเห็นที่ 41 สวัสดีชาวพุทธ และสลามมุสลิมทุกคนครับ จริงๆแล้ว มันเป็นความผิดผมเอง ผมตั้งกระทู้นี้ไว้ตั้งแต่วันที่ 12 เพื่อกะว่าจะเอามาแบ่งปันให้อ่านกันเป็นความรู้ และมีเรื่องตั้งมายเกี่ยวกับยิวที่อยากจะนำมาต่อเพิ่มอีก และจริงๆ แล้วผมเห็นว่าท่าไม่ดีตั้งแต่ ค.ห.บนๆ แล้ว ว่ามันต้องมีปัญหาแน่ๆ เลยพยายามแจ้งเวปมาสเตอร์ให้ลบออกตั้งแต่วัน13 แต่ไม่ยอมลบออกซักที หลังจากที่ผมไม่อยู่3วัน  เมื่อกลับมา บอร์ดก็ยังไม่ถูกลบ และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ที่เหตุการณ์ต้องบานปลายๆกลายมาเป็นเรื่องความขัดแย้งและโย้งเข้าไปเกี่ยวกับอากีดะห์อีกจนได้ เพราะความฐิติที่บางคนที่คิดว่ายังไงตนคงเป็นนักฟัตวาแห่งบอร์ดพันทิพไปแล้ว และจะคอยฟัตวาว่าคนอื่นผิดเสมอ โดยที่ตัวเองแทบจะไม่รู้อะไรในอิสลามเลย อย่างเช่นในบอร์ดที่พูดถึงปอเนาะ นั้น คำพูดที่สอนให้มุสลิมอยู่บนดุนยาเสมือนคนแปลกหน้า ถ้าไปถามเด็กประถมมุสลิมตัวเล็กๆ ก็คงตอบได้แทบทุกคนว่าคำพูดนี้หมายถึงอะไร ต้องขอมาอัฟจริงๆครับ จริงๆผมไม่น่านำเสนอเรื่องยิวเลย และคงไม่ต่อเรื่องยิวแล้วครับ เพราะเห็นว่าคงเป็นช่องโหว่ที่จะให้กับคนที่พยายามโจมตีศาสนา ทำให้หลายคนเข้าใจผิดกันใหญ่ อีกอย่างเรื่องพวกนี้มันเรื่องเล็กๆ ถ้าเทียบกับการสั่นคลอนในเรื่องอากีดะห์ อัลเลาะห์ตรัสว่า แน่นอนเจ้าจะพบว่า หมู่ชนที่เป็นศัตรูอันรุนแรงแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธานั้นคือชาวยิว และบรรดาผู้ที่ให้มีภาคีแก่อัลลอฮ์ (อัลมาอิดะห์ : 82) ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงอย่าได้ยึดเอาชาวยิวและชาวคริสต์เป็นมิตร บางส่วนของพวกเขาคือมิตรของอีกบางส่วน  (คือยิวนั้นต่างรักใคร่ซึ่งกันและกัน และคริสต์เช่นเดียวกัน ในขณะเดียวกันทั้งหมดนั้นเป็นศัตรูของมุสลิมีน ด้วยเหตุนี้ถ้าคบพวกเขาเป็นมิตรแล้วพวกเขาก็ย่อมจะล่วงรู้ในความเร้นลับอขงฝ่ายมุสลิม แล้วรายงานให้พวกเขาทราบ และอีกประการหนึ่ง ยิวกับคริสต์นั้นแม้ว่าพวกเขาจะไม่ศรัทธาต่อนะบีของกันและกัน แต่พวกเขาก็ให้ความช่วยเหลือกันในการเป็นศัตรูกับมุสลิม ดังนั้นในสองพวกนี้จึงไม่เป็นที่ไว้วางใจแก่มุสลิมีนได้ )  และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเอาพวกเขามาเป็นมิตรแล้วไซร้ แน่นอนผู้นั้นก็เป็นคนหนึ่งในพวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงแนะนำกลุ่มชนที่อธรรม (อัลมาอิดะห์: 51) . และบรรดาชาวยิว และชาวคริสต์ได้กล่าวว่า พวกเราคือบุตรของอัลลอฮ์ และเป็นที่รักใคร่ของพระองค์ จงกล่าวเถิด (มุฮัดมัด) แล้วไฉนเล่าพระองค์จึงทรงลงโทษพวกท่าน เนื่องด้วยความผิดทั้งหลายของพวกท่าน มิใช่เช่นนั้นดอกพวกท่านเป็นสามัญชนในหมู่ผู้ที่พระองคืทรงบังเกิดมาต่างหาก ซึ่งพระองค์จะทรงอภัยโทษแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอำนาจแห่งบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสองนั้น เป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้น และยังพระองค์นั้นคือการกลับไป (อัลมาอิดะห์ :18) มีอายะห์มากมายอยากจะนำเสนออีก แต่อยากให้คุณแมทท์ นำมาเสนอบ้างครับในเรื่องการสมานฉันท์ระหว่างของมุสลิมกับยิวและคริสต์ คุณเองก็รู้ว่า ยิว ปัจจุบัน กับในอดีตนั้นต่างกัน และเหมือนที่บางคนพูดไว้ ยิวบางคนก็ดีมีเฉพาะเป็นบางกลุ่มเท่านั้น แต่ยังไงยิวก็ยังคือยิว ที่ถูกสอนมาในแบบฉบับของยิวอยู่วันยังค่ำ จริงๆ แล้ว ผมอยากขอร้องให้เรื่องยิวจบนี้นะครับ เรื่องใหญ่กว่ามีอีกมาก เช่น  คำพูดหลายอย่างนั้นสร้างความเข้าใจผิดได้มากเหลือเกิน โดยเฉพาะการเอาคัมภีร์โตราห์มาเปรียบกับฮะดีษ ผมก็ไม่เข้าใจเลยครับ ว่าคุณศรัทธาในอัลกุรอานอย่างไร และคุณอรรถาธิบายอย่างไรกัน คุณไม่แน่ใจในฮะดีษ แล้วทำไมคุณแน่ใจอัลกุรอาน ผมอยากจะทราบจริงๆครับ ว่าตรรกะในการทำความเข้าใจอัลกุรอานคืออะไร ผมว่าอย่างคุณคงแปลภาษาอาหรับได้ หลายคำถามมากมาย จากกระทู้ที่ผ่านมา คุณไม่เห็นตอบคำถามของคนอื่นๆ และผมเลย ตอบเพียงบางคำถามบางคำถามเท่านั้น อินชาอัลลอฮฺ ผมจะพยายามหาเรื่องที่สร้างสรรค์มานำเสนอให้มากกว่านี้ครับ พี่น้องมุสลิมครับ ขอดุอาอฺกับอัลเลาะห์กันเยอะๆนะครับ ขอให้เรารอดพ้นจากการหลงทาง จากคุณ : ASTB - [ 18 มี.ค. 52 13:46:30 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ขอเสริมอายะห์อีกนิดนะครับ ที่คุณ แมทท์ยกมา ในค.ห. 7 อัลเลาะห์ตาอาลาตรัสว่า : และพวกเจ้าอย่าโต้เถียงกับพวกอะฮ์ลุลกิตาบเว้นแต่ด้วยวิธีที่ดีกว่า(*1*)นอกจากบรรดาผุ้อธรรมในหมู่พวกเขา(*2*)และพวกเจ้าจงกล่าวว่า เราศรัธาในสิ่งที่ถูกประทานแก่เราและสิ่งที่ได้ถูกประทานแก่พวกเจ้า(*3*)และพระเจ้าของเราและพระเจ้าของพวกเขาเป็นเอกะ (*4*) และเราเป็นผู้นอบน้อมต่อพระองค์   (1)  คืออย่าเรียกร้องหรือโต้เถียงพวกอะฮุลุกิตาบ(คือพวกนะศอรอและพวกยิว) ไปสู่อิสลาม ในเรื่องของศาสนาเว้นแต่ด้วยวิธีการที่ดีกว่า เช่น การนำสัญญาณต่าง ๆ และหลักฐานที่ชัดแจ้งมาแถลง (2)  คือเว้นพวกอธรรม พวกต่อสู่เพื่อเป็นศัตรูกับพวกท่าน พวกเหล่านี้จงโต้แย้งกับพวกเขาด้วยวิธีรุนแรงได้ (3)  คือเราศรัทธาต่ออัลกุรอานที่ถูกประทานมาแก่เรา และต่ออัลเตารอฮ์และอัลอินญีล ที่ถูกประทานมาแก่พวกท่านมีรายงานจากอะบูฮุรอยฮ์เราะฮ์กล่าวว่า พวกอะฮุลุลกิตาบได้อ่านคำภีร์อัตเตารอฮ์ ด้วยภาษาฮิบรู (ภาษาของพวกยิว) และได้อธิบายออกมาเป็นภาษาอาหรับแก่พวกมุสลิมีน ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า พวกท่านอย่าไปเชื่ออะฮ์ลุลกิตาบและอย่าไปปฏิเสธพวกเขา และจงกล่าวว่าเราศรัทธาต่อที่ถูกประทานมาแก่พวกท่าน (4)  พระเจ้าของเราและพวกท่านนั้นเป็นองค์เดียวกัน ไม่มีพระเจ้าอื่นใดคู่เคียงกับพระองค์ เรานอบน้อมและยอมจำนนต่อข้อชี้ขาดและคำบัญชาของพระองค์   ( อัลอังกะบูต : 46) ผมก็คิดว่าตรงนี้คุณแมทท์ก็น่าจะเคลียร์นะครับ 125. จงเรียกร้องสู่แนวทางแห่งพระเจ้าของสูเจ้าโดยสุขุม และการตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่า(*1*) แท้จริงพระเจ้าของพระองค์และพระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงบรรดาผู้ที่อยู่ในทางที่ถูกต้อง(*2*)   (1)  คือด้วยเหตุผลและหลักฐาน ด้วยความอ่อนโยนและสุภาพ (2)  เจ้าไม่มีหน้าที่ฮิดายะฮ์พวกเขา หน้าที่ของเจ้าคือเรียกร้องเชิญชวน และเรา(พระองค์) มีหน้าที่สอบสวนและลงโทษพวกเขา   (อันนะหฺล : 125) ตรงนี้คุณก็น่าจะเข้าใจด้วยนะครับว่า เรียกร้องสู้ศาสนา กับคำว่ารักษาศาสนา ป้องกันศาสนา นั้นต่างกัน 43เจ้าทั้งสองจงไปหาฟิรเอาน์ แท้จริงเขายะโสโอหังมาก 44. แล้วเจ้าทั้งสองจงพูดกับเขาด้วยคำพูดที่อ่อนโยน บางทีเขาอาจจะรำลึกขึ้นมา(*1*) หรือเกิดความยำเกรงขึ้น ( ตอฮา : 43-44) และชาวยิวและชาวคริสต์นั่น จะไม่ยินดีแก่เจ้า (มุฮัมมัด) เป็นอันขาด จนกว่าเจ้าจะปฏิบัติตามศาสนาของพวกเขา จงกล่าวเถิด แท้จริงคำแนะนำของอัลลอฮ์เท่านั้น คือ คำแนะนำ(*1*) แน่นอนถ้าเจ้าปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังแล้ว ก็ย่อมไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใด ๆ สำหรับเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้   (อัลบะกอเราะห์ : 120) แยกให้ออกด้วยนะครับระหว่างคำว่า เชิญชวนสู่ศาสนา  สมานฉันท์ระหว่างศาสนา ปกป้องรักษาศาสนา จากคุณ : ASTB - [ 18 มี.ค. 52 14:59:13 ]