บุญ แปลว่าการชำระ มีอาการคือการสละ มีผลเป็นอิสรภาพ มีรสเป็นความสุข มีผลต่อเนื่องเป็นฤทธิอำนาจ
ตาม กฎธรรมชาติ ทุกสิ่งมีปฏิภาวะและมีแนวโน้มปรับสู่สมดุล ดังนั้นใครสละสิ่งใดก็จะได้สิ่งนั้น ยิ่งสละมากก็ยิ่งได้โดยง่าย เช่น ในสมัยพุทธกาลมีคหบดีคนหนึ่ง เมื่อต้องการข้าวสารก็เพียงแต่ทำการวยยกขึ้นไปบนท้องฟ้า ข้าวสารก็จะไหลมาตามกรวยลงหม้อจนพอเพียง หรือเช่น บุคคลที่จะบวชกับพระพุทธเจ้า หากบุคคลใดมีจีวรทานโดยมาก พระพุทธเจ้าก็จะหยิบจีวรจากอากาศมาประทานให้ หากใครไม่ทำบุญด้วยจีวรทานมาก่อน พระพุทธองค์ก็จะให้ไปหาผ้าจีวรมาก่อนจึงจะบวชให้ เป็นต้น
ผู้ที่มี สิทธิ์ได้สิ่งใดโดยง่ายนั้นล้วนเป็นผู้เคยสละสิ่งนั้นมาก่อนโดยมาก นั่นเป็นไปตามกฎแนวโน้มแห่งดุลยภาพของปฏิภาวะที่ว่า การให้ย่อมก่อให้เกิดการได้
สิ่งที่ให้และได้นั้น มิได้หมายถึงเพียงสิ่งของเท่านั้น ยังหมายรวมถึงภาวะนามธรรมที่เป็นบุญรูปแบบต่างๆ ด้วย กล่าวคือ
1. บุญเกิดจากการให้ ทั้งให้สิ่งของ ทรัพย์ เวลา โอกาส สิทธิ การอภัย ล้วนเป็นบุญทั้งนั้น
2. บุญเกิดจากความมีวินัยในตนเอง คนจะมีวินัยในตนเองได้นั้นต้องสละกิเลส สละความเคยชิน และสละอารมณ์ที่กำเริบได้จึงจะบริหารตนให้อยู่ในวินัยได้ ความมีวินัยในตนเองจึงเป็นภาวะแห่งบุญประการหนึ่ง
3. บุญเกิดจากการฝึกอบรมจิตใจ คนจะฝึกอบรมจิตใจให้สงบ มั่นคง และเป็นสุขได้ ต้องกล้าสละความยึดถือ ผูกพันทางใจกับทุกสิ่งที่แปรปรวน และประคับประคองจิตด้วยสติอย่างต่อเนื่อง การภาวนาสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไปจนปรากฏความสงบสุขและมั่นคงจึงเป็นบุญ อย่างยิ่ง
4. บุญเกิดจากความอ่อนโยน คนจะอ่อนโยนได้นั้นต้องสละความหยิ่งทะนง การถือตัวและความกร้าวของตัวตน ความอ่อนโยนจึงเป็นลักษณะของบุญประการหนึ่ง
5. บุญเกิดจากการขวนขวายช่วยเหลือผู้อื่น คนจะช่วยเหลือผู้อื่นได้นั้นต้องสละความเห็นแก่ได้ ความหวงแหนในความเป็นส่วนตัว การช่วยเหลือผู้อื่นจึงเป็นไปได้ และเป็นบุญนำมาซึ่งความสุข
6. บุญเกิดจากการอุทิศความดีให้ผู้อื่น เมื่อทำความดีมาโดยมากแล้ว ความเลวร้ายประการหนึ่งของคนดีคือการติดดี ยึดถือว่าความดีเป็นของตน ตัวเป็นคนดีอย่างโน้นอย่างนี้ จนก่อให้เกิดตัวตน ความจองหอง ความประมาทและความหายนะตามมา แท้จริงแล้วความดีนั้นดี การทำดีโดยเหมาะสมย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่การติดดีนั้นเลว ด้วยเหตุนี้พระพุทธบรมครูเจ้าจึงทรงสอนให้สละความดีอีกชั้นหนึ่งจึงจะโปร่ง โล่งและเกิดบุญสมบูรณ์ นี่คือที่มาของธรรรมเนียมอุทิศส่วนกุศลเสมอเมื่อได้ทำความดีชุดหนึ่งๆ
7. บุญเกิดจากการยินดีในความดีของผู้อื่น เมื่อมีคนทำความดีหรือได้ดีจากการทำดี ถ้าใครอิจฉา จิตใจของผู้นั้นจะตกต่ำ ถูกกดอยู่ในความไม่พึงใจและความไร้ ประโยชน์ทันที แต่ถ้ายินดีกับความดีและผลดีของผู้อื่น จิตใจของผู้นั้นจะอยู่ในระดับเดียวกันหรือสูงกว่าความดีนั้นๆ การที่จะยินดีในความดีของผู้อื่นได้นั้นต้องสละความอิจฉา ริษยา และนิสัยมักเปรียบเปรยตนออกให้สิ้น ในวัฒนธรรมของผู้ดีจึงมีการแสดงความยินดีกับความดีของผู้อื่นเนืองๆ เพราะเป็นบุญประการหนึ่ง
8. บุญเกิดจากการศึกษาสัจจธรรม ชีวิตของคนจำนวนมากผิดพลาดและล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะไม่เข้าใจสัจจะ หรือเข้าใจแต่ไม่เคารพสัจจะ สร้างความปรารถนาขัดแย้งกับกฎธรรมชาติ ป่ายปีนไปในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือไม่เหมาะสมโดยโครงสร้าง การดำเนินชีวิตเช่นนี้เป็นชีวิตที่โง่ ดังนั้นการยอมสละปรารถนาแห่งความโง่และตัวโง่ออกจากชีวิต ยอมศึกษาและสำเหนียกสัจจะแท้ๆ แห่งธรรมจะทำให้สามารถบริหารชีวิตสู่ประโยชน์สูงสุดที่เป็นไปได้อย่างเป็น สุข การศึกษาสัจจธรรมให้ถ่องแท้จึงเป็นบุญประการหนึ่ง
9. บุญเกิดจากการแสดงสัจจะ เมื่อรู้ เข้าใจ และยอมรับสัจจะแล้ว การแสดงออกซึ่งสัจจะผ่านวิถีชีวิต พฤติกรรม คำพูด และผลงานรูปแบบต่างๆ ก็เป็นบุญประการหนึ่ง เพราะทุกขณะที่แสดงธรรมผ่านกิริยาอาการต่างๆ เป็นการกำกับตนให้อยู่ในครรลองธรรมและเป็นการเหนี่ยวนำให้ผู้อื่นรู้ เข้าใจและได้ประโยชน์จากความเป็นจริงแท้ที่ล้ำค่าด้วย ด้วยเหตุนี้พระพุทธบรมครูเจ้าจึงตรัสว่า "การให้ธรรมเป็นทานย่อมชนะการให้ทั้งปวง"
10. บุญเกิดจากการทำความรู้ความเห็นให้ตรงความเป็นจริง ในที่สุด การปรับแม้ทุกความนึกคิดให้ตรงสู่สัจจะสูงสุดได้นั่นคือบุญอันยอด เพราะเมื่อทำเช่นนั้นได้ นั่นหมายถึงการบรรลุธรรมสูงสุดด้วยปัญญาอันสมบูรณ์ ชีวิตจะไม่ผิดพลาดอีกต่อไป อยู่ในสารัตถะแท้โดยสมบูรณ์
จากคุณ :
Zhounat
- [
1 เม.ย. 52 15:53:19
]