ความคิดเห็นที่ 1 และอีกอย่างครับ ทำไมอิสลามถึงได้เคร่งต่อคำสอนและคำภีร์มากถึงเรื่องการกีดกันศาสนาอื่นว่าเคร่งน้อยกว่าเข้าร่วมครอบครัว ศรัทธาน้อยกว่า ทั้งๆที่ ยิว อิสลาม คริสต์ก็พระเจ้าองค์เดียวกัน แค่วิธีปฏิบัติต่างกันแค่นั้นเอง พระเจ้าชอบวิธีการปฏิบัติของใครแน่ครับ ? ขอโทษด้วยนะครับจริงๆ ผมก็ไม่ใช่คนอิสลามอยู่ละและข้อสงสัยมันก็เยอะเหลือเกิน เขียนๆ ไปก็เรียบเรียงไม่ค่อยถูก ผมรู้สึกว่าควรถามเพราะผมไปให้เพื่อนคนนึงฟังเพลงเข้า แล้วมาอ่านในหนังสือนี้ เลยรู้สึกว่า มันค่อนข้างกีดกันกันนิดหน่อย (ไม่ได้ถามเขาหรอกว่าเคร่งเรื่องนี้รึเปล่า) จากคุณ : Phoenixle - [ 7 เม.ย. 52 03:13:47 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ผมจะตอบเท่าที่ตอบได้นะครับ โดยพยายามรวบรวมบทความต่างๆ มาเพื่อตอบ เพราะผมเองไม่ได้มีความรู้ทางศาสนาเท่าใดนัก เลยขอตอบคร่าวๆ ก่อน เรื่องนักบวชนะครับ มีผู้ถามว่า ในศาสนาอื่น ๆ นั้น จะมีนักบวช หรือพระสงฆ์ ทำพิธีกรรมทางศาสนา ...แต่ทางศาสนาอิสลาม (ถ้าเข้าใจไม่ผิด) คือมุสลิม ทุกคนสามารถทำพิธีกรรมเหล่านั้นได้เองใช่มั้ยครับ ดังนั้น 1.ตกลงว่า อิสลามไม่มีนักบวช หรือว่า มุสลิมทุกคนคือนักบวชครับ 2.ถ้าเราจะใช้ชีวิตแบบ นักบวชอื่น ๆ เช่น ถือพรหมจรรย์ ทานมังสวิรัติ รำลึกถึงพระเจ้าตลอดเวลา เช่นนี้ จะทำให้เราได้บุญมากกว่าเดิม หรือป่าวครับ 3.ในภาษาอาหรับเรียกนักบวชว่าอะไรครับ ...เห็นคนอาหรับเรียกว่า เชค นี่ใช่รึป่าวครับ... 4.มีหะดิษหรือกุรอานที่กล่าวเกี่ยวกับเรื่อง นักบวช นักพรตในศาสนาอิสลามมั้ยครับ 5.มีธีกรรมใดมั้ยครับ ที่เราต้องอาศัยผู้อื่นทำให้...(แบบว่า มุสลิมทั่วไปทำกันเองไม่ได้ ต้องให้โต๊ะครู หรือ ผู้รู้เป็นคนประกอบพิธีให้) ...................... ตอบ ในอิสลามไม่มีนักบวชโดยเฉพาะ แต่มุสลิมทุกคน จะเป็นฆราวาสและเป็นนักบวชในคนคนเดียวกัน หมายถึง เมื่อถึงเวลา ประกอบศาสนกิจที่เป็นข้อบังคับ เขาก็จะต้องปฏิบัติ ให้ลุล่วงไป แต่ในขณะเดียวกัน หน้าที่ในการแสวงหาปัจจัยในการดำรงชีวิต หน้าที่ต่อสังคม เขาก็จะต้องไม่ละเลย ดังที่อัลลอฮตรัสว่า [62.10] ต่อเมื่อการละหมาดได้สิ้นสุดลงแล้วก็จงแยกย้ายกันไปตามแผ่นดิน และจงแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮ์ และจงรำลึกถึงอัลลอฮ์ให้มาก ๆ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ .................... โองการข้างต้นสอนให้รู้ว่า เมื่อเสร็จสินจากการประกอบศาสนากิจแล้ว ก็ให้แยกย้ายกันไปแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮ อันหมายถึง การแสวงหาปัจจัยยังชีพนั้นเอง และอัลลอฮ(ซ.บ)ได้ตรัสไว้อีกว่า   [28.77] และจงแสวงหาสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ประทานแก่เจ้าเพื่อปรโลกและอย่าลืมส่วนของเจ้าแห่งโลกนี้และจงทำความดีเสมือนกับที่อัลลอฮ์ได้ทรงทำความดีแก่เจ้า และอย่าแสวงหาความเสียหายในแผ่นดินแท้จริง อัลลอฮ์ไม่ทรงโปรดบรรดาผู้บ่อนทำลาย ............... โองการข้างต้น สอนให้มนุษย์แสวงหาปัจจัยเพื่อโลกหน้า แต่ในขณะเดียวกัน ห้ามไม่ให้ตัดขาดจากส่วนที่เขาพึงได้รับในโลกนี้ กล่าวคือ ให้เดินสายกลางระหว่างทางโลกและทางธรรม ไม่ตัดขาดด้านใดด้านหนึ่ง ส่วนคำถามที่ว่า 2.ถ้าเราจะใช้ชีวิตแบบ นักบวชอื่น ๆ เช่น ถือพรหมจรรย์ ทานมังสวิรัติ รำลึกถึงพระเจ้าตลอดเวลา เช่นนี้ จะทำให้เราได้บุญมากกว่าเดิม หรือป่าวครับ ตอบ ไม่หรอกครับ ความดีงามที่เขาจะได้รับมากน้อยขึ้นอยู่กับการที่เขาปฏิบัติตามแบบอย่างของท่านนบี ศอลฯ ที่ท่านได้สอนและทำแบบอย่างเอาไว้ เพราะการถือ พรหมจรรย์ การทานมังสวิรัต ไม่มีในคำสอนอิสลาม ..................................... 3.ในภาษาอาหรับเรียกนักบวชว่าอะไรครับ ...เห็นคนอาหรับเรียกว่า เชค นี่ใช่รึป่าวครับ... 4.มีหะดิษหรือกุรอานที่กล่าวเกี่ยวกับเรื่อง นักบวช นักพรตในศาสนาอิสลามมั้ยครับ 5.มีธีกรรมใดมั้ยครับ ที่เราต้องอาศัยผู้อื่นทำให้...(แบบว่า มุสลิมทั่วไปทำกันเองไม่ได้ ต้องให้โต๊ะครู หรือ ผู้รู้เป็นคนประกอบพิธีให้) .................... ตอบ 3. ในภาษาอาหรับ คำว่านักบวช เรียกว่า "รุฮบาน"ส่วนคำว่า "เช็ค" นั้น มักจะใช้นำหน้าผู้ที่มีอวุโส ทางด้านคุณวุฒิ เช่น คุณวุฒิทางด้านศาสนา ความหมายตามรูปศัพท์ แปลว่า หัวหน้า คนชรา หัวหน้า 4. ในอัลกุรอ่านและหะดิษพูดถึงนักบวชในศาสนาอื่น แต่ ในศาสนาอิสลาม นั้นไม่มี 5. ก็มีบ้างเหมือนกัน เช่น พิธีนิกะห เจ้าบ่าว หรือ เจ้าสาวจะทำเองไม่ได้ ส่วนคำว่า"โต๊ะครู เป็นตำแหน่งที่ สังคมสมมุติขึ้นมา เรียกผู้รู้ทางด้านศาสนาเท่านั้นเอง ไม่ใช่ตำแหน่งที่ถูกบัญญัติ ไว้เพื่อทำพิธีทางศาสนาแทนคนอื่น หรอกครับ จาก http://www.muslimzikung.com/zikung_forum/index.php?topic=912.0 โดยรวมแล้ว ก็สรุปได้ว่า อิสลามไม่จำเป็นต้องมีนักบวช เพราะหน้าที่ของนักบวช คือสืบทอดศาสนา เรียนรู้เรื่องศาสนา เผยแผ่ศาสนา ทำพิธีกรรมต่างๆ ทางด้านศาสนา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มุสลิมทั่วไปทำได้โดยไม่ต้องบวช และยังประกอบอาชีพ มีครอบครัวตามปกติด้วย จึงมีคำว่า อิสลามไม่มีนักบวช แต่มุสลิมทุกคนคือนักบวชในศาสนา เพราะทำหน้าที่ ของนักบวชไปด้วย เพียงแต่ ไม่มีการบวชหรือยกระดับฐานะเหนือกว่า มุสลิมทั่วไปนั่นเอง ส่วนเรื่องเคร่งหรือไม่นั้น เป็นหลักศาสนาอยู่แล้วที่ต้องปฏิบัติ และหลักปฏิบัตินั้นก็เท่าเทียมกันหมด เคร่งครัดเหมือนกันหมด ดังนั้น ไม่ใช่แค่ดูหนังฟังเพลง หลักการทุกอย่างก็ต้องเคร่งครัดเท่ากันครับ ใครฝ่าฝืนก็ผิดทั้งสิ้น จากคุณ : Carroth - [ 7 เม.ย. 52 06:34:20 ]

ความคิดเห็นที่ 3 อีกข้อ ถามว่าทำไมอิสลามต้องก่อการร้าย ในนั้นเขียนว่า ในเมื่อตำรวจถือปืนแล้วเป็นผู้พิทักษ์สันติราช... คำสอนสอนไว้ว่าผู้ใดมาทำร้ายเรา เรามีสิทธิตอบโต้ ทั้งๆ ที่ข้างบนบอกว่าอิสลามทั้งหมดเป็นนักบวชเปรียบได้ดังพระสงฆ์ แต่อิสลามทั้งหมดมีสิทธิฆ่าคน ? ขัดกับศาสนาอื่นที่นักบวชไม่ว่าจะพระสงฆ์ บาทหลวง และอื่นๆ ที่แสดงตัวว่าเป็นนักบวช จะไม่ทำเรื่องแบบนั้น (อย่างน้อยก็ในปัจจุบัน) - เรื่องการก่อการร้าย และการป้องกันตัวเองตามหลักศาสนานะครับ อะไรคือข้อเท็จจริงของการญิฮาดในอิสลาม? 1.  ในภาษาอังกฤษ  ได้แปลความหมายคำว่า ญิฮาด กันอย่างแพร่หลายว่า  สงครามศักดิ์สิทธิ์  ทั้งที่อิสลามไม่รู้จักคำว่า "สงครามศักดิ์สิทธิ์"  เพราะว่าอิสลามมีเพียงสงครามที่ถูกต้องตามบทบัญญัติและสงครามที่ไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติ  และบางครั้งความหมายของคำว่า ญิฮาด ถูกเข้าใจอย่างอคติ  ดังนั้น  การญิฮาด  หมายถึง  การทุ่มเทความพยายาม  ซึ่งใน ณ ที่นี้  ได้แบ่งออกเป็นสองประเภท หนึ่ง  การญิฮาดทางจิตใจ สอง   การญิฮาดที่อยู่ในความหมายของการสู้รบที่ถูกต้องตามบทบัญญัติ เป็นที่ทราบกันดีในหลักของศาสนาอิสลามว่า  การญิฮาดประเภทแรก  ใช้เรียกว่า  การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่กว่า (อัลญิฮาดอัลอักบัร) ที่ถูกวางขึ้นมาเพื่อให้มนุษย์ทำการต่อสู้กับสภาวะจิตใจอันชั่วร้าย  เอาชนะอารมณ์ใฝ่ต่ำของตน  ขัดเกลาจากทุก ๆ คุณลักษณะที่น่าตำหนิ  ขจัดความอิจฉาริษา และความรังเกียจต่อผู้อื่น  ด้วยเหตุดังกล่าวนี้แหละ เขาก็จะเป็นผู้มีคุณสมบัติใกล้ชิดต่ออัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮุวะตะอาลา  สำหรับการญิฮาดประเภทที่สอง  จะใช้เรียกกับการต่อสู้ที่เล็กกว่า (อัลญิฮาดอัลอัศฆ๊อร)  ที่หมายถึง  สงครามที่ถูกต้องตามบทบัญญัติ 2. สงครามที่ถูกต้องตามบทบัญญัติในอิสลามหรือการญิฮาดนั้น  คือการทำสงครามเพื่อปกป้องตนเอง  เป้าหมายคือ  เพื่อปกป้องความเป็นศัตรูเท่านั้น  และบรรดาอายะฮ์ต่าง ๆ  ได้ระบุชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้   ดังนั้น  แท้จริงอัลเลาะฮ์ได้ทรงอนุมัติให้บรรดามุสลิมีนทำการสู้รบกับบรรดาศัตรูของพวกเขาที่ทำการล่วงละเมิด ในคำตรัสของพระองค์  ความว่า "ได้รับอนุญาตแก่มวล(มุสลิม) ผู้ถูกรุกราน(ให้ทำการต่อสู้) ทั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาถูกฉ้อฉล" (1) "และพวกเจ้าทั้งหลายจงต่อสู้ในทางของอัลเลาะฮ์กับบรรดาผู้ที่ทำการรบกับพวกเจ้า  แต่พวกเจ้าทั้งหลายจงอย่าละเมิด(พวกนั้นด้วยการรุกรานหรือไม่ทำตามสัญญา) แท้จริงอัลเลาะฮ์ไม่รักบรรดาผู้ละเมิด" (2) ดังนี้  ได้ประจักษ์ชัดแก่เราว่า  ทั้งที่อนุญาตให้มีการสู้รบเพื่อปกป้องตนเอง  แต่อัลกุรอานได้ย้ำเตือนถึงเรื่องการละเมิดขอบเขตในสิ่งดังกล่าวที่จะชักนำไปสู่การล่วงละเมิด  ดังนั้น  อัลเลาะฮ์ทรงไม่รักบรรดาผู้ล่วงละเมิด "ดังนั้น  บุคคลใดก็ตามที่ละเมิดพวกเจ้า(ด้วยการรุกรานก่อน) พวกเจ้าก็จง(ตอบโต้การ) ละเมิดของพวกเขาเถิด  ให้เหมือนที่เขาได้ละเมิดพวกเจ้า" (3) อิสลามรังเกียจสงครามและการนองเลือด  ซึ่งนับว่าเป็นอุดมการณ์หลัก  แต่กรณียกเว้นคือการรบเพื่อป้องกันศัตรู "การรบได้ถูกบัญญัติพวกเจ้าทั้งหลาย  ทั้ง ๆ สิ่งนั้นเป็นที่รังเกียจสำหรับพวกเจ้า" (4) การเริ่มต้นเป็นศัตรูต่อผู้อื่นนั้น  เป็นสิ่งที่ถูกปฏิเสธและไม่มีหลักการใดในอิสลาม 3.  เมื่อการญิฮาดหมายถึงการรบเพื่อป้องกันตนเอง  ดังนั้น  สิ่งดังกล่าวก็ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การสู้รบเท่านั้น  แต่ยังหมายถึงการญิฮาดด้วยทรัพย์สิน , ชีวิต , ความคิด , และไม่ว่าสื่อใด ๆ ก็ตามที่สามารถสนับสนุนการป้องกันศัตรูในทุก ๆ รูปแบบและสภาพการณ์   จุดมุ่งหมาย ก็คือ เพื่อรักษาความสงบสุขและปกป้องสังคมอิสลาม และป้องกันอะกีดะฮ์ที่ให้การศัทธาเชื่อมั่น   ดังนี้  ย่อมเป็นสิทธิโดยชอบธรรมสำหรับทุกชนชาติ  และในยุคปัจจุบัน  การทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศได้ตอกย้ำในสิ่งดังกล่าวอีกด้วย 4.  เมื่อศัตรูของบรรดามุสลิมีนมีความปรารถนาที่จะสงบศึกและยุติเป็นรุกรานนั้น  อิสลามได้บัญญัติใช้ให้พวกเขาตอบรับในสิ่งดังกล่าว "และหากพวกเขามีแนวโน้มที่จะประนีประนอม  เจ้าก็จงโน้มเอียงไปทางนั้นเถิด (ด้วยการทำสัญญาสงบศึก) และจงมอบหมายต่ออัลเลาะฮ์" (5) และนอกเหนือจากสิ่งดังกล่าว  อิสลามยังเรียกร้องไปสู่การดำเนินชีวิตที่สงบสุขพร้อมกับบุคคลอื่น  สร้างความสัมพันธไมตรีอันดีกับพวกเขาตราบใดที่ไม่มีการละเมิดต่อบรรดามุสลิมีน   ณ ตรงนี้  เราจะพบว่าอัลกุรอานได้ส่งเสริมบรรดามุสลิมีนทำการคบค้าสมาคมกับพวกเขา  ที่อยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม  ความเป็นธรรม และปฏิบัติดีต่อกัน   "อัลเลาะฮ์ไม่ห้ามพวกเจ้าที่จะกระทำดีและแสดงความยุติธรรม  กับพวกที่ไม่รบราพวกเจ้าในศาสนาและไม่ขับพวกเจ้าออกจากบ้านเมืองของพวกเจ้า  แท้จริงอัลเลาะฮ์ทรงรักผู้ที่แสดงความยุติธรรม" (6) ดังนี้  ได้อธิบายแก่เราว่า  เป้าหมายของอิสลามคือการแผ่ความสันติและความปรองดองระหว่างมนุษย์  และมีความเกลื้อกูลระหว่างพวกเขาเพื่อให้เป็นมนุษย์ที่ดี  มีความวาสนา และมั่นคง แต่ ณ ที่นี้  สื่อระหว่างประเทศบางสื่อได้ทำการประโคมข่าวกันว่า  อิสลามเป็นศาสนาที่ยุยงให้เกิดความเป็นศัตรู  ความเลยเถิด  ความมานะทิฐิ  การฆ่า  และก่อการร้าย  ซึ่งเป็นความมุสาอย่างอธรรมที่ไม่มีรากฐานใด ๆ ในคำสอนต่าง ๆ ของอิสลาม  ดังนั้น  ศาสนาอิสลามย่อมตรงข้ามกับสิ่งดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง  เพราะอิสลามเป็นศาสนาแห่งความเมตตาและความสงบสุข ----------------------------------- (1) อัลฮัจญ์ 39 (2) อัลบะกอเราะฮ์ 190 (3) อัลบะกอเราะฮ์ 193 (4) อัลบะกอเราะฮ์ 216 (5) อัลอันฟาล 61 (6) อัลมุมตะฮินะฮ์ 8 อ้างอิง จากหนังสือ "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอิสลาม ในการเผชิญต่อการสร้างความสงสัย" ของท่าน ศาสตราจารย์ มะหฺมูด หัมดีย์ ซักซูก หน้า 57 - 60  ตีพิมพ์โดย สภาสูง เกี่ยวกับกิจการอิสลาม  ประเทศอียิปต์  ปี ฮ.ศ. 1422 - ค.ศ. 2001 จาก http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?topic=242.0 ------------------------------------------------------------------------------- ดังนั้น การญิฮาดกับการก่อการร้าย นี่คนละเรื่องกันนะครับ มุสลิมมีสิทธิป้องกันตนเองจากการรุกรานได้ ครับ แต่สิทธิในการฆ่าศัตรูนั้นมีได้ก็ต่อเมื่อ เป็นสงครามปกป้องตนเอง ไม่ใช่มีสิทธิฆ่าได้ตามอำเภอใจ ซึ่งนี่ไม่เกี่ยวกับนักบวชหรือไม่นักบวช เพราะคำสอนไม่เหมือนกันนะครับ ซึ่งผมก็ได้บอกเรื่องการเปรียบเทียบกับนักบวชแล้ว น่าจะพอเข้าใจ จากคุณ : Carroth - [ 7 เม.ย. 52 06:51:28 ]

ความคิดเห็นที่ 4 อีกข้อครับ เขาเขียนว่าศาสนาเนี้ยเราเลือกไว้ใช้ชีวิตหลังความตาย โดยบอกว่าเราจะมีประตูให้เลือก คือศาสนาต่างๆ โดยเราจะรู้ว่าเลือกผิดหรือไม่ก็เวลานั้นๆ ทำไมเราต้องเลือกศาสนาด้วยครับ... - อันนี้ก็เป็นการเลือกหนทางที่ถูกต้องนะครับ เพราะ พระเจ้าให้ สติปัญญา ให้อิสระมาแล้ว ถ้าเลือกที่จะเดินไปสู่ประตูนรก เลือกที่จะไปหนทางที่ผิด นั่นก็เป็นความรับผิดชอบของผู้เลือกเอง เพราะอิสลามบอกแล้วว่า มนุษย์เป็นมัคลูก (สิ่งถูกสร้าง) ที่มีสติปัญญา มีเป้าหมายแห่งชีวิต เป็นมัคลูกที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ถูกกำหนดไว้ มนุษย์มีสถานะและบทบาทอันทรงเกียรติยิ่ง เขาจะต้องถูกสอบสวนในการปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้นในวันอาคีเราะฮฺ(โลกหน้า) มนุษย์มีสิทธิ์เลือกที่จะกระทำหรือไม่กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มนุษย์มีความพร้อมที่จะกระทำสิ่งดีและไม่ดี มนุษย์จึงไม่ใช่มะลาอิกะฮฺ (เหล่าเทวทูต) ที่อัลลอฮฺทรงสร้างขึ้นเพื่อให้กระทำแต่เพียงความดี เนื่องจากมะลาอิกะฮฺเป็นมัคลูกที่ไม่มีอารมณ์และปราศจากความต้องการ แต่ในขณะเดียวกัน มนุษย์ก็มิใช่ชัยฏอน (เหล่ามารร้าย) ที่หมกมุ่นปฏิบัติแต่เพียงความชั่วร้ายและสิ่งอบายมุขทั้งมวล อัล ลอฮฺได้ทรงทำให้มนุษย์รู้จักกำหนดวิถีชีวิตด้วยอาศัยการเรียนรู้และการพัฒนา อัลลอฮฺทรงแนะนำและส่งเสริมให้มนุษย์กระทำคุณงามความดี พระองค์ทรงตักเตือน และห้ามปรามมิให้มนุษย์จมปลักในความชั่วร้าย อัลลอฮฺทรงกล่าวไว้ว่า ความว่า : และเราได้ชี้แนะทางแห่งความดี และความชั่วแก่เขาแล้ว (90 /10) อัล ลอฮฺจึงให้มนุษย์มีความรับผิดชอบต่อผลของการเลือกของเขา ทั้งนี้เพราะความรับผิดชอบเป็นส่วนหนึ่งของเสรีภาพ หากปราศจากเสรีภาพ ความรับผิดชอบก็จะไร้ความหมาย ด้วยเหตุที่มนุษย์มี อิสรภาพ รู้จักแสวงหาและสะสมความรู้และประสบการณ์ มีศักยภาพในการตัดสินว่าสิ่งใดถูกและสิ่งใดผิด ตลอดจนมีโอกาสในการแก้ตัว ปรับปรุงและขอลุแก่โทษในความผิดพลาดทั้งปวง มนุษย์จึงมีฐานะที่สูงส่งกว่าสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย และสิ่งเหล่านี้คือ เหตุผลสำคัญที่ทำให้บรรดามะลาอิกะฮฺ (เหล่าเทวทูต) ยอมสุญูด (ก้มคารวะ) เพื่อแสดงความเคารพนับถือต่ออาดัม ดังปรากฏในประวัติศาสตร์ที่บันทึกโดยอัลกุรอาน[1] จาก http://www.iqraforum.com/forum2/index.php?topic=1239.0 จากคุณ : Carroth - [ 7 เม.ย. 52 06:57:17 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ผมเคยคิดว่า สาเหตุที่อิสลามเคร่งมากๆ ทุกคนในศาสนาต้องเคร่งกฏทุกอย่าง เพราะตอนสงครามครูเสด(เข่นฆ่ากัน) ศาสนาคริสต์ ก็เหมือนกันที่มีการสั่งให้คนในศาสนาทำทุกอย่างเพื่อให้ศาสนายิ่งใหญ่ (ค.ต้องการส่วนตัวของ pope) ทั้งสองศาสนาเท่าเทียมกัน มีศาสนาเป็นจุดมุ่งหมาย ทำทุกอย่างเพื่อศาสนา แต่เวลาผ่านไป คนทางยุโรป รู้มากขึ้นรู้ว่าศาสนาหลอกใช้คนในการขยายดินแดน ก็มีโปแตสแตนท์เกิดขึ้น อาศัยแค่หลักคำสอนของพระเจ้า ยึดมั่นในคำสอนและปฏิบัติตาม อย่างในศาสนาพุทธ แต่ของอิสลามยังคงเหมือนเดิม ทุกคนยังเคร่งในศาสนาอยู่จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่พระเจ้า ของคริสต์และอิสลามก็องค์เดียวกันแท้ๆ แต่คนละทูต (เข้าใจผิดป่าวหว่า ?) - คุณเข้าใจผิดนะครับ หรือสิ่งที่คุณเคยคิดนั้นผิดครับ เพราะ อิสลามนั้น เคร่งครัดมาตั้งแต่เริ่มต้นศาสนาแล้ว เนื่องจาก อิสลามเป็นศาสนาที่สมบูรณ์แล้ว ไม่มีการต่อเติมเพิ่มเติม บทบัญญัติต่างๆ จึงต้องปฏิบัติอย่างเต็มที่ เพราะนั่นเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์เอง ไม่ได้เกี่ยวกับสงครามใดๆ ทั้งสิ้น อิสลามยิ่งใหญ่อยู่แล้ว ถ้าคนไม่ยอมเชื่อ อิสลามก็ยังยิ่งใหญ่อยู่ดี ที่มุสลิมเคร่งครัดเรื่องศาสนา นั้นก็เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง ไม่ใช่ศาสนา เพราะอิสลามไม่มีสถาบันนักบวช ไม่มีโป๊ป การอ้างว่าถูกหลอกใช้เพื่อขยายดินแดนจึงเป็นเรื่อง น่าขบขันสำหรับอิสลาม เพราะ ถึงมุสลิมจะขยายดินแดนไปมากเท่าใด ศาสดาก็ไม่ได้ร่ำรวยขึ้น ไม่มีนักบวชมาคอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากเรื่องนี้ ดังนั้น การบัญญัติ กฎต่างๆ ทางศาสนา จึงไม่เกี่ยวข้องกับการหลอกใช้ ทั้งสิ้น คุณฟีนิกส์ต้องทราบก่อนว่า อิสลามไม่มีการบัญญัติกฎขึ้นใหม่ หลักการศาสนาสมบูรณ์แล้วไม่มีการต่อเติม การอ้างว่าบัญญัติกฎหรือมีการหลอกใช้เพื่อขยายดินแดนจึงเป็นไปไม่ได้สำหรับอิสลามนะครับ มุสลิมก็ยังคง ยึดมั่นที่คำสอนและเน้นการปฏิบัติตามหลักการศาสนาต่อไป และการเคร่งครัดเป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้วในอิสลามไม่เกี่ยวข้องกับการอ้างเพื่อขยายดินแดน อะไรทั้งสิ้น จากคุณ : Carroth - [ 7 เม.ย. 52 07:09:14 ]

ความคิดเห็นที่ 6 จะว่าไปผมเข้าใจมาก็เทียบได้ว่าสมัยครูเสด ทุกคนไม่มีจุดมุ่งหมาย ถ้าไม่มีศาสนาก็ถือว่านอกศาสนา ต้องเข้าศาสนา พอเชื่อในศาสนา ก็ทำทุกอย่างเพื่อศาสนาเพราะตัวเองไม่เชื่ออะไรแล้ว ถ้าทำแล้วไม่บาป ทำแล้วบาป ก็เชื่อหมด (อย่างเช่นสงคราม) จนเวลาเปลี่ยนไป คนบางส่วนเริ่มเชื่อแค่อย่างเดียวแล้วไตร่ตรองในสิ่งที่ทำว่าควรทำหรือไม่ (เว้นแต่ยิวที่เชื่อในคำสอนและคำภีร์เริ่มต้นเท่านั้น ไม่มีผู้นำจริงจัง) - ทุกยุคทุกสมัย ผู้คนต่างค้นหาสัจธรรมและเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตครับ ไม่ใช่เฉพาะสมัยสงครามครูเสดเท่านั้น และไม่มีการบังคับให้เชื่อหรือรับศาสนาด้วย จะมีหรือไม่มีศาสนา อิสลามก็ไม่ไปบังคับ ไม่ทำร้าย ไม่กดขี่ เพราะเรื่องศาสนา แต่ละบุคคลต้องรับผิดชอบตัวเอง ดังนั้น คนในทุกยุค ก็ต้องไตร่ตรองเสมอนั่นแหละครับว่า สิ่งไหนควรทำหรือไม่ และมุสลิมก็ไตร่ตรองแล้วว่า คำสอนทุกคำสอน ข้อห้ามทุกข้อห้าม เป็นสิ่งที่มุสลิม ต้องปฏิบัติตาม มุสลิมก็ทำตามนั้น อย่าคิดไปเองว่าคนสมัยก่อนจะถูกบังคับ อิสระภาพมีอยู่ในทุกยุคทุกสมัยนั่นแหละครับ คุณอาจจะอ่านเรื่อง berserk มากไป (ถ้าเดาผิดก็ขออภัย) หรือเรื่องที่เกี่ยวกับ ผู้คนในยุคมืด เลยคิดว่า มุสลิมจะถูกบังคับ ในแบบเดียวกัน ซึ่งจริงๆแล้ว ในยุคมืดของยุโรปนั้น ทางฝั่งของอิสลามไม่มีการห้ามเรื่องศรัทธา ไม่มีการบังคับ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แนวคิด ความเชื่อ ปรัชญาต่างๆ เติบโตอย่างมาก ในรัฐอิสลาม และในปัจจุบัน ก็ยังไม่มีการบังคับให้มารับอิสลามอยู่ดี บอกให้ทราบไว้ครับ เผื่อคุณเข้าใจผิดมาตลอด อันนี้คือคำสอนของอิสลามนะครับ บรรดา นักวิชาการมุสลิมต่างเห็นพ้องว่า สงครามระหว่างมุสลิมกับชนต่าง ศาสนิกนั้นเกิดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขัดขวางความอยุติธรรมและตอบโต้การ รุกราน มิใช่เพราะชนต่างศาสนิกไม่นับถืออิสลามหรือไม่ศรัทธาในพระเจ้า นอกจากนั้นสงครามในอิสลามมีเป้าหมายเพื่อปลดปล่อยมวลมนุษย์ให้หลุดพ้นจากการ กดขี่ข่มเหง เรียกร้องศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ตลอดจนสร้างบรรยากาศการเผยแผ่อิสลามให้ดำเนินไปในภาวะที่ไร้ความกดดัน ด้วย เหตุดังกล่าว มุสลิมต้องมีภารกิจในการรังสรรค์บุคลิกภาพมุสลิมให้มีความอิสรเสรีในการ เลือกศรัทธาตามความเชื่อของแต่ละคน เปิดโอกาสให้มีการเผยแผ่อิสลามแก่มวลมนุษย์ ให้เกียรติเพื่อนมนุษย์ด้วยการสร้างบรรยากาศแห่งความอิสรเสรีในการกำหนดทาง เลือกของชีวิต เผยแผ่ความเมตตาแก่สากลจักรวาลด้วยการธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ตอบโต้ความอยุติธรรมและการสร้างความหายนะตลอดจนการล่วงละเมิดทั้งปวง พร้อมทั้งยอมรับความแตกต่างของสังคมมนุษย์ ดังที่อัลลอฮฺได้กล่าวว่า ความว่า : และ หากพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์ แน่นอนพระองค์จะทรงให้ปวงมนุษย์เป็นประชาชาติเดียวกัน (โดยการทำให้มนุษย์ทั้งหมดศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และอยู่ในแนวทางอิสลาม) แต่พวกเขาก็ยังคงแตกแยกกัน (11/ 118) มุสลิม ทุกคนต้องลุกขึ้นปฏิบัติภารกิจในการแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่างของมวลมนุษย์ หลีกเลี่ยงการทุ่มเทความพยายามพละกำลังและศักยภาพ เพียงเพื่อสร้างความแตกแยกและจุดชนวนสงคราม สู่การใช้ชีวิตร่วมกันบนรากฐานแห่งการสร้างความรู้จักความเข้าใจ ความช่วยเหลือ เอื้ออาทร สานเสวนา ดังที่อัลกุรอานได้กล่าวไว้ว่า ความว่า : โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงเราสร้างพวกเจ้าจากเพศชายและเพศหญิง และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่าและตระกูลเพื่อจะได้สร้างความรู้จักกัน (49/13) ทั้ง นี้เนื่องจากความอิสรเสรี การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีตลอดจนการสานเสวนานับเป็นการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อ การแผ่ขยายของสาสน์อิสลาม และเปิดโอกาสให้มีการนำใช้สติปัญญาอันบริสุทธิ์ ความแตกต่างและความหลากหลายแทนที่จะเป็นชนวนแห่งความขัดแย้ง กลับกลายเป็นบ่อเกิดแห่งความโปรดปราน เป็นเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเพิ่มพูนศักยภาพของมนุษยชาติใน ดำเนินชีวิตร่วมกันอย่างมีประโยชน์และคุ้มค่า จาก http://www.iqraforum.com/forum2/index.php?topic=1239.0 แก้ไขเมื่อ 07 เม.ย. 52 07:20:50 จากคุณ : Carroth - [ 7 เม.ย. 52 07:17:46 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ผมเลยยังสงสัยว่าทำไมอิสลามถึงห้ามฟังเพลง ห้ามดูหนัง ???????? เรื่องทำกิจวัตรธรรมดา ไม่แปลกใจอยู่ละมีทุกศาสนา - เรื่องฟังเพลง ก็ไปอ่านจากอันนี้ก็แล้วกันนะครับ เพราะ เรื่องนี้มีรายละเอียดเยอะ ขอความสันติสุขจงมีแด่มุสลิมทุกท่าน หลักฐานที่1. พระองค์อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ว่า “ และในหมู่มนุษย์นั้นมีผู้ซื้อคำพูดที่ไร้สาระเพื่อทำให้ผู้คนหลงไปจากทางของอัลลอฮฺ และถือเอาเป็นเรื่องขับขัน สำหรับพวกเหล่านี้คือการลงโทษอันอัปยศยิ่ง “ (สูเราะฮฺที่31 : 6) หลักฐานที่ 2. ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า “ จะมีกลุ่มหนึ่งจากประชาชาติของฉันโดยพวกเขาจะทำให้เรื่องการทำซินา, ผ้าไหม, สุรา และอัลมะอฺาซิฟกลายเป็นสิ่งหะลาล (สิ่งซึ่งศาสนาอนุมัติให้กระทำ) “ บันทึกโดยบุคอรีย์ หมายเหตุ คำว่า “ อัลมะอฺาซิฟ “ ในภาษาอฺรับหมายถึง 1. เครื่องดนตรี 2. เสียงของเครื่องดนตรี (หรือเสียงเพลงนั่นเอง) 3. การร้องเพลงประกอบเครื่องดนตรี หลักฐานที่ 3. ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า “ แท้จริงอัลลอฮฺทรงห้ามประชาชาติของฉันในเรื่องสุรา, การพนัน, มิซร์ (เครื่องดื่มที่หมักจากข้าวโพด), กูบะฮฺ (กลอง), และกินนีน (กีต้าร์อฺรับชนิดหนึ่ง) โดยพระองค์ยังเพิ่มการนมาซวิตร์ให้แก่ฉันอีก “ (บันทึกโดยอะหฺมัด เชคอัลบานีย์ ถือว่าหะดีษข้างต้นเศาะหี้หฺ) หลักฐานที่ 4. ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวไว้ว่า “ แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺทรงห้ามสุรา, การพนัน, อัลกูบะฮฺ และทุกๆ สิ่งที่ทำให้มึนเมา ถือว่าหะรอม, ท่านสุฟยานเล่าว่า ฉันถามท่านอฺลีย์ บุตรของบะซีมะฮฺว่า กูบะฮฺคืออะไร ? เขาตอบว่า กลอง “ (บันทึกโดยอะหฺมัด) เพลง.... เพลงที่มีเนื้อความไม่เหมาะสม เช่น ขาดเธอไม่มีแรงหายใจ เพราะมีเธอ ทำให้ฉันมีวันนี้   เช่นนี้ ระวัง ชิริก ตั้งภาคีโดยไม่รู้ตัวนะคะ  หรือ สาบานต่อหน้า(ใดๆ)   และเนื้อหาหยาบคายทะลึ่ง การร้องบทกลอน อานาชีด ถ้าเป็นบทกลอนเกี่ยวกับศาสนา ไม่มีดนตรี เช่นนี้ได้ค่ะ แต่ถ้าเป็นกลอนศาสนา แต่มีเสียงดนตรีประกอบด้วย เช่นนี้ ไม่ได้ค่ะ เอา ของฮะลาล กับฮะรอม มารวมกัน  สมการที่ได้ออกมา ก็ ฮะรอมค่ะ ดนตรีเป็นเสียงของชัยฏอน เคยสังเกตไหมคะ เวลาที่ฟังเพลงรักมากๆ ใจเราจะตามไปด้วย - ยิ่งเศร้าๆมา อารมณ์ยิ่งเข้าไปเพลง ไปกันใหญ่ จะร้องไห้บ้าง   - ยิ่งเศร้า,เหงารักคุด,อกหักมา จะยิ่งจมดำดิ่งสู่ห้วงเหวของอารมณ์ - บางเพลง ฟังแล้ว มาตืบกันเลยดีกว่า จะตอกย้ำซ้ำเติมกันไปถึงไหนนนนน - บางเพลงรักฟังไปมาดันฮึกเฮิม จะไปแย่งคู่เขามาอีก เพราะเพลงดันบอกว่า จะขอเป็นตัวสำรองก็ยังดี   - บางเพลงสนุกคึกคัก  อยากดิ้นอยากโดดบ้าง  โดดไปมากระทบชาวบ้านเข้าก็ชกต่อยกันตามเวทีต่างๆ นั่นเพราะชัยฏอน กำลังกระซิบกระซาบในหัวใจเรา วิ่งเข้ามาในสายเลือดของเรา เข้ามาในสมองเรา   ชัยฏอนทำงาน วันละ 24 ชม. ไม่มีวันหยุด ส่วนมนุษย์ วันศุกร์ทีนึงถึงจะได้รับการตักเตือนจากกุฏบะฮฺ   อีหม่านของเราต้องสะสมเรื่อยๆถึงจะห่างไกลจากมารร้ายได้ค่ะ ยิ่งไม่มีเพื่อนที่เป็นมุมินอฺ ยิ่งไปกันใหญ่ จาก http://www.annisaa.com/forum/index.php?topic=411.0 จากคุณ : Carroth - [ 7 เม.ย. 52 07:29:49 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ทำไมทุกชีวิตที่เกิดมาในมุมมองของอิสลามถึงมองว่าพระเจ้าลิขิตครับ เราเลือกทางเดินตัวเองได้นิครับ ? มันทำให้ดูเหมือนว่า การใช้ชีวิตในปัจจุบันของคนอิสลาม ไม่มีความหมายเลยสุดท้ายต้องการแค่ไปอยู่กับพระเจ้า ที่มีชีวิตอยู่บนโลก เพียงแค่ทำทุกอย่างให้พระเจ้าพอใจ หวังกับชีวิตโลกหน้ามากมาย โลกหน้ามีจริงหรอครับ ? (ถึงได้มีการฆ่าตัวตายเพื่อศาสนา ?) - พระเจ้าคือผู้ยิ่งใหญ่ครับ ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงอยู่ภายใต้อำนาจของพระองค์ แต่พระเจ้าก็ให้อิสระมนุษย์ในการเลือกนะครับ ดังโองการนี้ และ หากพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์ แน่นอนพระองค์จะทรงให้ปวงมนุษย์เป็นประชาชาติเดียวกัน (โดยการทำให้มนุษย์ทั้งหมดศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และอยู่ในแนวทางอิสลาม) แต่พวกเขาก็ยังคงแตกแยกกัน (11/ 118) นี่เป็นหนึ่งในคำตอบที่คุณถามว่าทำไมต้องให้เลือก ก็เพราะมนุษย์มีอิสระ มีความรับผิดชอบ และชีวิตมนุษย์มีความหมาย สามารถเลือกทางเดินตัวเองได้ ว่าจะไปสู่หนทางที่ผิด หรือกลับสู่หนทางที่ถูกต้อง และเมื่อมุสลิมเลือกหนทางแห่งสัจธรรมแล้ว ทุกนาที มีความหมายครับ เพราะมุสลิมได้รู้เป้าหมายแล้วว่า มุสลิมต้องทำสิ่งใด ควรทำสิ่งใด หันห่างจากสิ่งใด นี่คือการทำสิ่งที่ถูกต้องครับ และในเมื่อพระผู้เป็นเจ้าคือผู้สร้างแล้ว การทำทุกอย่างเพื่อให้พระเจ้าพึงพอพระทัยย่อมมีความหมายชนิดประเมินไม่ได้อยู่แล้ว ลองคิดให้ดีครับ ถ้าเราไม่ทำในสิ่งที่พระเจ้าประสงค์ ไม่ทำตามหลักศาสนา ไม่เดินในหนทางแห่งสัจธรรม เราจะทำอะไร? เราก็ทำตามความต้องการ หรือความอยากของตัวเอง อ้างว่าทำความดี เพื่ออะไร? ก็เพราะตัวเองอยากทำ อยากปฏิบัติธรรมให้ตัวเองหลุดพ้น เพื่ออะไร ก็เพื่อตัวเองไม่ใช่หรือ? สิ่งเหล่านี้ มีความหมายมากกว่า การทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทำในสิ่งที่เป็นสัจธรรม ทำในสิ่งที่ผู้สร้าง กำหนดไว้ให้ผู้ถูกสร้าง ตรงไหนเหรอครับ? สำหรับผม ผมกลับมองว่า การมีชีวิตเพื่อสนองความอยาก สนองอารมณ์ตัวเอง นั่นต่างหากล่ะครับที่ไร้ความหมาย โลกหน้ามีจริงหรือไม่ สำหรับผม มีครับ มีอย่างแน่นอน แต่คุณอาจจะเชื่อว่าไม่มี หรือไม่แน่ใจ ซึ่งมันไม่ใช่ประเด็น เพราะประเด็นจริงๆ คือ ใช้ชีวิตเพื่ออะไร เพื่อสนองตัณหาตัณหาตัวเอง หรือทำในสิ่งที่ถูกต้อง และเอาสิ่งที่เป็นสัจธรรมที่แท้จริงมาไว้เหนือความอยากของตัวเอง จากคุณ : Carroth - [ 7 เม.ย. 52 07:41:59 ]

ความคิดเห็นที่ 9 และอีกอย่างครับ ทำไมอิสลามถึงได้เคร่งต่อคำสอนและคำภีร์มากถึงเรื่องการกีดกันศาสนาอื่นว่าเคร่งน้อยกว่าเข้าร่วมครอบครัว ศรัทธาน้อยกว่า ทั้งๆที่ ยิว อิสลาม คริสต์ก็พระเจ้าองค์เดียวกัน แค่วิธีปฏิบัติต่างกันแค่นั้นเอง พระเจ้าชอบวิธีการปฏิบัติของใครแน่ครับ ? - หมายถึงเรื่องการแต่งงานกับคนนอกศาสนาหรือเปล่า? ถ้าใช้ก็ กระทู้นี้ก็แล้วกันนะครับ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7696243/Y7696243.html จากคุณ : Carroth - [ 7 เม.ย. 52 07:45:25 ]

ความคิดเห็นที่ 10 สงสัยอะไรก็ถาม มุสลิมท่านอื่นต่อละกันนะครับ หุหุ จากคุณ : Carroth - [ 7 เม.ย. 52 07:46:00 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณครับ เดี๋ยวขออ่านก่อนนะครับ จากคุณ : Phoenixle - [ 7 เม.ย. 52 09:27:33 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ถือว่าไขความเข้าใจผิดๆ ได้ระดับหนึ่งนะครับ จริงๆ ยุคมืดไม่ได้อ่านจากกาตูนหรอกครับ แฮะๆ บังเอิญผมชอบอ่านเกี่ยวกับประวัติศาสตร์นะครับ คนเขียนก็เขียนออกแนวคริสต์แน่นอน (wiki ก็ด้วย) ไม่บรรยายฝั่งอิสลามแน่นอน ตอนนี้ผมยังอยากหาเนื้อหาประวัติศาสตร์ของประเทศด้านล่างของ jerusalem นะครับประเทศที่เป็นอิสลามหลังจากจบครูเสดช่วง 15xx พอทราบแหล่งที่เขียนไว้บ้างมั้ยครับ แต่จริงๆ เคยอ่านหนังสือยิวของ มรว.คึกฤทธ์ คำภีร์ของยิวมีแต่รวบรวมขึ้นมาใหม่เท่านั้นนิครับ ไม่แต่งเติมขึ้นมาเหมือนกันแล้วก็เคร่งมากๆ ศาสนานึงด้วย เรื่องที่ว่าไม่ว่าจะอยู่แห่งใดในโลก ยิวก็จะมีจิตใจที่สื่อถึงกัน ปฏิบัติต่อพระเจ้าเหมือนกัน จากคุณ : Phoenixle - [ 7 เม.ย. 52 09:43:56 ]

ความคิดเห็นที่ 13 มีคำกล่าวว่า "เริ่มต้นของศาสนาคือการรู้จักอัลลอฮ" ผมว่า ความสงสัยของคุณจะน้อยลงนะ จากคุณ : itoursab (itoursab) - [ 7 เม.ย. 52 10:19:10 ]

ความคิดเห็นที่ 14 คุณ Phoenixle คุณ ไปเอาอะไรที่ไหนมาถามไม่ทราบ ในเรื่อง ดูหนัง ฟัง เพลง ไม่มีข้อ ห้ามใน หลัการของอิสลามแม้แต่น้อย,  ในอเมริกามี CD, DVD และ TV รายการ TV , ใน ซาอุดิอารเบีย ประเทศหลักของมุสลิม มีเพลง สอน ในชั้นเรียนอนุบาล ให้ เกลียด ยิว และ กาเฟร จำหน่าย, ถ้าคุณไปประเทศปากีสตาน คุณจะหาซื้อ DVD ได้ทุกๆ ชนิด, จอมโจรเบนลาดิน ออกอากาศทาง  TV อยู่เสมอๆ อิสลามไม่มีนักบวช แต่มีผู้นำทางพิธีการทาง ศาสนา แล้วแต่ ลัทธิต่างๆ สิ่งที่ มุสลิมในปัจจุบันทำผิดพลาดก็คือ ....  อ้างหลักการปฏิบัติที่สวยงามต่อ ผู้ต่างศาสนา แต่จากการปฏิบัติที่ พวกคุณเห็นกันอยู่ทั่วโลก  มุสลิมส่วนใหญ่หันหลังให้กับการสอนของท่านรอซูล ในเรื่องต่างๆ แต่ยึดถือสิ่งอื่นที่ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดไม่เคยปฏิบัติ  และเคยสอน  แต่เป็นหลักการของชาวอรับที่ยังติดวัฒนธรรมอรับ มาปะปนกับหลักการของอิสลาม  โดยที่นักปราชญ์ ทางอิสลาม กลุ่มต่างๆประชุมและตัดสินใจ ในการปฏิบัติศาสนกิจ ตามความต้องการของ แต่ลัทธิและนิกายที่ตนเป็นสมาชิกอยู่  ที่คุณเห็นส่วนมากในเมืองไทย และในประเทศต่างๆ จะเป็นลัทธิซุนนีย์ ซึ่งจะยึดอยู่กับประเพณีอรับ มากกว่า บัญญัตฺจากคัมภีร์ อัลกุรอาน  โดยให้เหตุผลว่าอัลกุรอานเป็น กฏหมายสูงสุด ที่ขาด รายละเอียด    ด้วยเหตุนี้ ลัทธิซุนนีย์ รวม ทั้งลัทธิต่างๆ ซึ่งแตกออกมาจาก อิสลาม จึงได้ สร้างบัญัติรายละเอียดต่างๆ โดยอาศัยหลักการตามอัลกุรอาน มาตีความตามความต้องการของ กลุ่มต่างๆ  แม้แต่มุสลิม ซุนนีย์ ในเมืองไทย  ในลัทธิเดียวกัน ยังแตกกันเป็นกลุ่มต่างๆ  ดดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเมืองไทย มุสลิม ไทยชีอะต์  จะไม่ได้ถูกยอมรับจาก ซุนนีย์ว่า เป็นมุสลิมเช่นเดียวกัน  อิสลามไม่มีลัทธิ หรือ แนวคิดที่แตกแยกจากบัญญัติในอัลกุรอาน  อิสลาม ที่สอน โดยท่านศาสนทูตมูฮัมมัด  สอนให้มุสลิมทุกๆคนสามัคคีกัน และยึดอัลกุรอานเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต  เท่านั้น ผู่ที่รักและเชื่อฟังท่านศ่าสนทูตมูฮัมมัด คือ ผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอนของท่านโดยเคร่งครัด  คือ ยึดอัลกุรอาน เท่านั้น เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตประจำวัน ด้วยเหตุนี้คุณจึงเห็นข้อความตามกระทู้ของคุณขัดกันในหลักการบางอย่าง.....ผมเห็นด้วยที่กล่าวกันว่า   "โดยรวมแล้ว ก็สรุปได้ว่า อิสลามไม่จำเป็นต้องมีนักบวช เพราะหน้าที่ของนักบวช คือสืบทอดศาสนา เรียนรู้เรื่องศาสนา เผยแผ่ศาสนา ทำพิธีกรรมต่างๆ ทางด้านศาสนา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มุสลิมทั่วไปทำได้โดยไม่ต้องบวช และยังประกอบอาชีพ มีครอบครัวตามปกติด้วย    จึงมีคำว่า อิสลามไม่มีนักบวช แต่มุสลิมทุกคนคือนักบวชในศาสนา เพราะทำหน้าที่ ของนักบวชไปด้วย เพียงแต่ ไม่มีการบวชหรือยกระดับฐานะเหนือกว่า มุสลิมทั่วไปนั่นเอง"     จากคำกล่าวนี่แหละครับที่เป็นเหตุผลที่สำคัญ ที่ทำให้มุสลิม ไม่ว่าจะอยู่ในลัทธิใดที่แตกแยกออกจาก, อิสลามที่แท้จริงตามคำสอนของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด  สามารถที่จะ ปฏิบัติศาสนกิจที่เป็นหลักศรัทธาที่สำคัญของ อิสลาม มาจนถึงทุกๆวันนี้     โดยเหตุนี้ การปฏิศาสนกิจประจำวัน เช่น การ เคารพพระเจ้า(ละหมาด) 5 เวลา, การถือศีลอด, การบริจาคทาน และการทำพิธีกรรมที่ นครเมกกะ(ฮัจจฺ) ฯลฯ   จึงตกถ่ายทอดมาถึงมุสลิมในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเวลานานกว่า1400ปีมาแล้ว  โดยไม่ต้องอาศัยหลักการอื่นใดนอกจากหลักบัญญํติจากอัลกุรอานเท่านั้น ....................... จากคุณ : แมทท์ - [ 8 เม.ย. 52 12:45:25 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ตามที่คุณสงสัยว่า, ทำไมทุกชีวิตที่เกิดมาในมุมมองของอิสลามถึงมองว่าพระเจ้าลิขิตครับ เราเลือกทางเดินตัวเองได้นิครับ ? มันทำให้ดูเหมือนว่า การใช้ชีวิตในปัจจุบันของคนอิสลาม ไม่มีความหมายเลยสุดท้ายต้องการแค่ไปอยู่กับพระเจ้า ที่มีชีวิตอยู่บนโลก เพียงแค่ทำทุกอย่างให้พระเจ้าพอใจ หวังกับชีวิตโลกหน้ามากมาย โลกหน้ามีจริงหรอครับ ? (ถึงได้มีการฆ่าตัวตายเพื่อศาสนา ?) ...................... หลักศรัทธาของอิสลาม ไม่มีคำว่า "พระเจ้าลิขิตชะตาชีวิตมนุษย์ไว้ล่วงหน้า"  หรือ ที่คุณเรียกว่า "พรหมลิขิต" ตามที่ที่อัลลอฮฺได้ให้บัญญัติมาว่า.... "....และ หากพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์ แน่นอนพระองค์จะทรงให้ปวงมนุษย์เป็นประชาชาติเดียวกัน (โดยการทำให้มนุษย์ทั้งหมดศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และอยู่ในแนวทางอิสลาม) แต่พวกเขาก็ยังคงแตกแยกกัน (11/ 118) มีบัญญัติในอัลกุรอานจะต้อง ทำความเข้าใจ สองอายัต ของ ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ คือ 4:79 และ 4:80 English (Yusuf Ali): 4:79 Whatever good, (O man!) happens to thee, is from Allah. but whatever evil happens to thee, is from thy (own) soul. and We have sent thee as an apostle to (instruct) mankind. And enough is Allah for a witness. English (Yusuf Ali): 4:80 He who obeys the Messenger, obeys Allah. But if any turn away, We have not sent thee to watch over their (evil deeds).     จากสองอายัตนี้ทำให้มนุษย์เห็นตัวอย่าง ได้ สองสิ่งคือ 1.พระเจ้าแสดงให้เห็นถึงความมีอิสระในการตัดสินใจของมนุษย์ ที่จะเลือกวิถีทางที่ดีของพระองค์ แม้แต่ตัวท่านศาสนทูตมูฮัมมัดเอง  พระองค์อัลลอฮ์ กล่าวว่า  สิ่งใดที่ดีที่เกิดขึ้นแก่ตัวเจ้า (มูฮัมมัด) เป็นผลมาจาก แนวทางที่พระองค์ทรงมอบให้ (Whatever good, (O man!) happens to thee, is from Allah มาจากพระองค์),  และสิ่งใดที่เป็นความชั่วความเลวนั้นมาจากตัวของเจ้า เอง (. but whatever evil happens to thee, is from thy (own) soul), ทั้งนี้เพราะว่าเนื่องมาจากการมีอิสระในการตัดสินใจของมนุษย์ ที่จะไม่เชื่อ แนวทางของพระเจ้า โดย ความตั้งใจของมนุษย์เอง,       ทั้งนี้เพราะว่า พระเจ้าไม่ได้ “ลิขิต” ให้มนุษย์ทำชั่ว แต่พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้า, ดังนั้นถ้าหากมนุษย์ ผู้ใดก็ตามจะทำชั่วหรือทำดีเนื่องจากการตัดสินใจของตนเอง ไม่ใช่เป็นการกระทำ เนื่องจากพระเจ้ากำหนดให้กระทำ (4:79) 2. ในความเป็นจริงท่าน “รอซูลมูฮัมมัด” ผู้ซึ่งเป็น ผู้  “เปล่งคำสั่ง หรือ บัญญํติ ของพระเจ้า คือ อัลกุรอาน”, ชึ่งเป็นสิ่งที่มุสลิมจะต้อง เชื่อและศรัทธา อย่างไม่มีเงื่อนไข นั้นก็คือ ถ้าเราเชื่อฟัง ท่านรอซูล ในบัญญัติอัลกุรอาน ที่ ท่านรอซูล เปล่งถ้อยคำเหล่านั้นออกมา ก็เท่ากับว่าเราเชื่อฟังคำสั่งของ “พระเจ้า” เพราะว่า มุสลิม เชื่อฟัง คำสั่งของพระเจ้าไม่ใช่คำสั่งของมนุษย์  ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงกล่าวให้ มุสลิมทั้งหลายให้เข้าใจ ว่า, ” สิ่งใดที่ดีที่เกิดขึ้นแก่ตัวท่านรอซูล เป็นผลมาจาก แนวทางที่พระองค์ทรงมอบให้ (มาจากพระองค์), และสิ่งใดที่เป็นความชั่วความเลว ที่เกิดขึ้นต่อตัวท่านรอซูลนั้นมาจาก การตัดสินใจในการกระทำของท่านรอซูลเอง”   ไม่ใช่เป็นการลิขิตของพระองค์ และไม่สิ่งที่เราจะต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตาม ถ้าพระเจ้าไม่ให้อิสระในการเลือกทางดี และ ทางเลวแล้ว  มุสลิมจะใช้การกระทำต่างๆของตนเองที่ ขาดการรับผิดชอบเป็นข้อแก้ตัว ในความเลวของตนเองว่า “เป็นเพราะพระเจ้าลิขิตมาเช่นนั้น พระเจ้า ลิขิตมาให้เขาเป็นคน เกียจคร้าน, เป็นโจรผู้ร้าย, เป็นผู้ระเบิดพลีชีพ      ด้วยเหตุนี้ผมจึงกล่าวว่า ถ้ามุสลิมเชื่อในการลิขิตของพระเจ้าในการทำดีและทำชั่วแล้ว ก็เท่ากับ ทำลายพื้นฐานหลักศรัทธาของอิสลาม  ในเรื่อง วันตัดสิน, นรก, สวรรค์, เทวทูต และทุกๆครั้งที่ ทำความชั่ว, มนุษย์ก็จะโยนความรับผิดชอบให้กับพระเจ้า      ความเชื่อที่ถูกต้องคือจะต้องเชื่อว่าพระเจ้าได้ให้แนวทางในการดำเนินชีวิต “อัลกุรอาน” ไว้แล้ว และให้อิสระในการตัดสินใจของมนุษย์ว่า จะเลือกวิถีทางของพระเจ้าหรือวิถีทางของ ไซตอน ด้วยเหตุนี้มุสลิมทุกๆคนจึงต้องกล่าว ขอความเมตตาจากพระเจ้า ให้แนะแนวทางของพระองค์ที่พระองค์ทรงโปรดปราณ และให้ห่างไกลจากวิถีทางแห่งความชั่วของไซตอน วันละ 5 เวลา เพื่อการตัสินใจที่ถูกต้อง ของมนุษย์ คำว่า “อินชาอัลลอฮ์”  นั้นหมายถึง  “ถ้าพระเจ้าทรงพระประสงค์”  เป็นคำอุทานเพื่อเตือนใจมุสลิมถึง พระประสงค์ของพระเจ้าในแนวทางของพระองค์ที่มีบัญญัติไว้ในอัลกุรอาน     ในการที่เราตั้งใจจะทำอะไรก็ตามในอนาคตเราควรจะตระหนักถึงความเป็นผู้รอบรู้ของพระเจ้าในทุกๆสรรพสิ่ง และแนวทางที่ดี, ที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ในอัลกุรอาน โดยการกล่าวว่า, อินชา- “อัลลอฮ์” ดังจะเห็นได้จากบัญญัติที่23  ซูเราะฮฺ อัลกะฮฺฟฺ English (Yusuf Ali): 18:23 Nor say of anything, "I shall be sure to do so and so tomorrow"- คำอธิบาย...คืออย่ากล่าวสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เราจะทำในอนาคตอย่างมั่นใจ, เว้นไว้แต่ว่าให้เราขอความพิจารณา ในความสำเร็จ ของการกระทำนั้นๆต่อพระเจ้าอยู่เสมอ นั้นก็คือในการที่เราจะกระทำชั่วหรือกระทำความเลวนั้น เราจะต้องรำลึกถึงบัญญัติและแนวทางของพระองค์ที่พระองค์ทรงโปรดปราณ ไม่ใช่ในแนวทางของไซตอน ตัวอย่างเช่น , ถ้ามุสลิมผู้หนึ่งตั้งใจไว้อย่างแน่วแน่ ว่าจะข่มขืนหญิงผู้ใดก็ตาม ในวันพรุ่งนี้ , แล้วกล่าวว่า “อินชา-อัลลอฮ์”  ถ้าข่มขืนสำเร็จก็เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ถ้าทำไม่สำเร็จก็เนื่องจากพระประสงค์ของพระเจ้า,     การกระทำการข่มขืนสำเร็จ นั้นไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้า แต่เป็นทางเลือกของมุสลิมผู้นั้น โดยใช้วิถีทางของไซตอนล่อหลอกเหยื่อกามรมณ์ของเขา โดยขัดต่อบัญญัติและแนวทางของพระเจ้า  จากตัวอย่างนี้ เป็นการใช้คำว่าว่า, “อินชา-อัลลอฮ์” หรือ “ถ้าพระเจ้าประสงค์” ในทางที่ผิด ทั้งนี้เพราะว่าการข่มขึนเด็กหรือผุ้ใดก็ตาม เป็นหนทางของไซตอน   ด้วยเหตุมุสลิมควรจะเข้าใจว่าคำว่า “อินชา-อัลลอฮ์” นั้น ใช้สำหรับการกระทำในสิ่งดีตามแนวทางที่พระเจ้าวางไว้ในอัลกุรอาน ที่ท่านรอซูลนำมาสั่งสอนเท่านั้น    ด้วยเหตุผลนี้ การเชื่อว่า “ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่มนุษย์กระทำนั้น เป็นเพราะว่าพระเจ้าได้ลิขิตไว้แล้ว”  ความศรัทธาเช่นนี้จึงเป็นการทำลายหลักการพื้นฐานของ รุกุ่นอีมาน ของอิสลามทั้งหมด ถ้าคุณจะสงสัยว่าถ้าผมเป็นมุสลิมทำไมจึงมีความคิดเห็นเช่นนี้    ผมเป็นมุสลิมที่ถืออิสลาม ไม่อยู่ใน ลัทธิใดๆ ไม่ว่าจะเป็น กอดยานีย์ ซูฟีย์ ชีอะห์ หรือซุนนะห์  คือ ไม่ใช้หมดเลย..ละครับ ผมจึงสามารถมองเห็นสิ่งต่อเติม และการไม่สามัคคี กันของมุสลิม ไม่ใช่แต่ในประเทศไทยเท่านั้น แม้แต่ในภาคตะวันออกกลาง และแม้กระทั่งใน ประเทศซาอุดิอารเบียเอง    ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่ถูกล้างสมองให้สังกัดในลัทธิหนึ่งลัทธิใด หรือนิกายใดๆดังกล่าวแล้ว  ซึ่ง การแบ่งแยกนิกายหรือสังกัดในนิกายหนึ่งนิกายใดตาม หัวหน้ากลุ่ม นอกเหนือไปจาก บัญญัติของ พระเจ้า(อัลลอฮ์) และ คำสอนของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ที่ให้ใช้อัลกุรอารเท่านั้น เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของมุสลิม,  การแบ่งนิกายเป็นการฝ่าฝืนบัญญัติของพระเจ้าโดยตรงอย่างไม่มีคำแก้ตัวใดๆทั้งสิ้น     "พระเจ้าทรงบัญญัติว่า ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ไม่มีส่วนยุ่ง เกี่ยว กับพวกแบ่งอิสลามออกเป็นนิกายต่างๆ" เช่น นิกาย กอดยานีย์ ซูฟีย์ ชีอะห์ หรือซุนนะห์  ฯลฯ แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 52 13:07:32 จากคุณ : แมทท์ - [ 8 เม.ย. 52 12:57:17 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ต้องทำความเข้าใจนะครับ ท่านเจ้าของกระทู้ ว่าคำถามนี้ เป็นคำถามเกี่ยวกับอิสลาม และคำตอบก็ควรได้รับคำตอบจากมุสลิม และแมทท์ไม่ใช่มุสลิมนะครับ แมทท์เป็นเพียงคนที่บิดเบือนหลักการอิสลาม เท่านั้น พยายามทำให้มุสลิม และคนที่ไม่ใช่มุสลิมเกิดความไขว้เขว นี่คือผลงาน การหลีกเลี่ยง และหมดท่าในการตอบคำถามเพื่อยืนยันความเป็นมุสลิมของแมทท์เอง http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/02/Y7541721/Y7541721.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/02/Y7497398/Y7497398.html นี่เป็นเพียงบางส่วนนะครับ แมทท์คนเดียวกันนี่แหละที่บอกว่า กุรอ่านถูกปลอมแปลง ซึ่ง มุสลิมได้กระชากหน้ากาก และไล่ต้อนแมทท์จนมุม มาตลอด แต่แมทท์ก็ทำเหมือนเดิมคือ หนี หนี และ หนี ดังนั้น รบกวนท่านเจ้าของกระทู้ กรอง ได้เลยครับ เพราะคำตอบเรื่องอิสลาม ควรถามมุสลิมไม่ใช่ถามคนนอกศาสนาที่ต้องการบิดเบือหลักการอิสลาม จากคุณ : Carroth - [ 8 เม.ย. 52 15:01:19 ]

ความคิดเห็นที่ 17 จริงๆ ผมไม่อยากจะอธิบายมากมายนะครับ เพราะกลัว เจ้าของกระทู้ และเพื่อนต่างศาสนิกท่านอื่นงุนงงสงสัยหนักขึ้น แต่ถ้าไม่อธิบาย แล้วไปอ่านการบิดเบือนของแมทท์ อาจจะทำให้เข้าใจอิสลามผิดไปได้ ผมจึงขออธิบายคร่าวๆ ง่ายๆ ก็แล้วกัน แมทท์อ้างว่า มุสลิมได้หันหลังให้กับคำสอนของท่านศาสดา ไปยึดถือสิ่งอื่นเช่น วัฒนธรรมอาหรับ หรือมีการสร้างบัญญัติรายละเอียดต่างๆ หรือตีความตามความต้องการของตัวเอง ซึ่งสิ่งที่ แมทท์อ้างเป็นเรื่องโกหกล้วนๆ เป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น เพราะหลักการของอิสลามนั้น มีรากฐานจากกุรอ่าน และแบบอย่างของท่านศาสดาอยู่แล้ว ไม่มีคำว่าตีความตามใจหรือใช้ประเพณีแต่อย่างใด เพราะเรื่องนี้เป็นสิ่งต้องห้ามอยู่แล้ว การที่จะอธิบายหลักการศาสนาจากกุรอ่าน ต้องมีความรู้ภาษาอาหรับแตกฉาน มีความรู้ด้านประวัติศาสตร์ ฯลฯ รวมๆ แล้วถ้าจำไม่ผิด ต้องรู้ถึง 15 วิชา ดังนั้นการตีความตามใจตัวเองจึงไม่สามารถทำได้ อย่างที่แมทท์โกหก และที่สำคัญที่สุด แมทท์ชอบอ้างว่า ท่านศาสดาให้ยึดกุรอ่านเท่านั้น ในการดำเนินชีวิต แต่จริงๆแล้ว กุรอ่านเอง บอกให้ทำตามท่านศาสดา ทำตามแบบอย่างท่านศาสดา ซึ่ง แบบอย่างและกิจวัตรของท่านศาสดานั้น ได้มีการจดบันทึกไว้ และมีการคัดกรองอย่างมีระบบระเบียบ ถึงขนาดที่ว่า ถ้าใครที่มีส่วนในรายงานแบบอย่างท่านศาสดาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เป็นคนโกหก หรือมีความจำไม่ดี แม้แต่คนเดียว แบบอย่างเรื่องนั้นก็จะไม่ได้รับความเชื่อถือครับ แต่แมทท์ก็ปฏิเสธแบบอย่างของท่านศาสดา โดยพยายามบอกว่าให้ใช้แต่กุรอ่านเท่านั้น ทั้งๆที่กุรอ่านเองนั่นแหละที่บอกให้ตามท่านศาสดา มันเป็นความลักลั่น ในตรรกะ ของแมทท์ ที่แมทท์พยายามบิดเบือน นอกจากนี้ ในคำถามเรื่องศาสนกิจ เช่นการละหมาด ซึ่ง กุรอ่านสั่งใช้ให้ละหมาด และให้ทำตามท่านศาสดา ดังนั้นวิธีการละหมาด มุสลิมจึงละหมาดได้โดยอาศัยแบบอย่างของท่านศาสดา แต่ในเมื่อ แมทท์ปฏิเสธแบบอย่างท่านศาสดา มุสลิมก็ถามว่า แมทท์ละหมาดอย่างไร คำตอบของแมทท์ เป็นคำตอบที่ น่าขบขัน อย่างยิ่งนั่นคือ ละหมาดตามบรรพบุรุษครับ หรือพูดง่ายๆ ว่าตามประเพณีนั่นเอง ซึ่ง ถ้าเราอ่านแต่แรก จะพบว่าแมทท์ อ้างถึงการที่มุสลิมทำผิดโดยการหันหลังให้อิสลาม แล้วไปตามประเพณีอาหรับ แต่จริงๆแล้ว แมทท์นั่นแหละ ที่ทำตามประเพณี ไม่ใช่คนอื่น อย่างที่แมทท์ใส่ความ และเป็นประเพณี ที่ไม่มีที่มาที่ไปด้วย เราไม่รู้ว่า บรรพบุรุษแมทท์เป็นใคร มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน โกหกมดเท็จเก่งหรือไม่ มีความจำดีหรือแย่ ดังนั้น คำอ้างของแมทท์ ในเรื่องของอิสลาม จึงเป็นคำอ้างที่ปราศจากความน่าเชื่อถือโดยสิ้นเชิง เพราะมุสลิม ตั้งแต่ไหนแต่ไรก็ปฏิบัติตามหลักศาสนา ดั้งเดิมครับ ตั้งแต่สมัยท่านศาสดาไม่ได้มีการเพิ่มเติมหรือลดทอน เอาตามใจชอบ ทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานศาสนาทั้งสิ้น เช่น บุหรี่ สมัยก่อนไม่มี แต่อิสลามห้ามการทำร้ายตัวเอง กานสูบบุหรี่ย่อมไม่ใช่เรื่องดีอยู่แล้ว เป็นต้น หวังว่าคงเข้าใจนะครับ แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 52 15:37:54 จากคุณ : Carroth - [ 8 เม.ย. 52 15:37:04 ]

ความคิดเห็นที่ 18 อ่อแล้วอยากให้ลองคิดดูสักนิดนะครับ คำอ้างที่ว่า ผมไม่สังกัด นิกายหรือลัทธิใดนั่นน่ะ จริงๆ แล้ว แมทท์สังกัดลัทธิ นึงครับ นั่นคือลัทธิ แมทท์ ที่มีตัวเองเป็นทั้งศาสดาและสาวก และพยายาม ตีความกุรอ่านตามใจชอบ ทั้งๆที่แทบไม่มีความรู้ เรื่องภาษาอาหรับเลย นี่แหละครับถ้าไม่ตามศาสดา ก็ตามอารมณ์ฝ่ายต่ำของตัวเอง เพลงน่ะ ผมเองก็เคยฟังครับ ผมไม่ใช่คนที่ปฏิบัติได้ครบร้อย แต่ผมก็พยายาม และไม่บอกว่ามันถูกตามใจตัวเอง แต่คนอย่างแมทท์อะไรถูกใจก็ทำไม่ถูกใจก็ไม่ทำ เอาอารมณ์ฝ่ายต่ำของตัวเองเป็นใหญ่ ตีความแบบไม่มีหลักการใดๆ นอกจาก อารมณ์ตัวเอง คนแบบนี้จะมาอ้างว่าไม่มีลัทธิก็อย่าไปเชื่อครับ เพราะลัทธิ ของแมทท์ แย่ละต่ำกว่าลัทธิใดๆ เพราะนั่นคือ ลัทธิแห่งอารมณ์ฝ่ายต่ำของตัวเอง แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 52 21:22:45 จากคุณ : Carroth - [ 8 เม.ย. 52 15:48:35 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้าแค่เรื่องศาสนกิจพื้นฐาน อย่างละหมาดยังตอบไม่ได้ ก็อย่าหวังเลยว่า คำพูดตัวเองจะมีค่า เพราะมันก็แค่ คำโกหก เพื่อเลี่ยงประเด็นไปวันๆ เท่านั้น ไม่มีคุณค่าทางวิชาการแต่อย่างใด ผมไม่จำเป็นต้องพิมพ์อะไรยาวมาก เพราะมันก็ข้อมูลเดิมที่แมทท์หนีแล้วหนีอีก ตามไปอ่านกระทู้เก่าๆ กันได้ครับ 5-6 ปี แล้ว ก็ยังมั่วไม่เลิก ประจานตัวเองต่อไปตามสบาย ถ้าอารมณ์ดีๆ จะมาช่วยประจานต่อ จากคุณ : Carroth - [ 8 เม.ย. 52 21:43:38 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ถ้าการเชื่อและศรัทธาต่อพระเจ้าและศรัทธาต่อการรับบัญญัติจากพระเจ้าของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด อย่างถูกต้องของผม  เป็นความศรัทธาที่ แย่ละต่ำกว่าลัทธิใดๆ เพราะนั่นคือ ลัทธิแห่งอารมณ์ฝ่ายต่ำของตัวเอง  แล้ว ลองมองภาพข้างล่างและไตร่ตรองเอาเองว่าผมนับถือศาสนาอิสลามอย่างศรัทธาต่อพระเจ้าหรือเชื่อในความงมงายที่ปราศจาก เหตุผล   ภาพสองภาพข้างล่างต่างกันหรือไม่  แม้แต่ผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อพระเจ้ายังเห็นความ  ไขว้เขวและงมงายของผู้ที่ขาดการศรัทธาต่อศาสนาของเขาเองได้อย่างชัดเจน ที่มุสลิมที่สังกัดนิกายไม่ต้องการอธิบายต่อเพราะเกรงว่าผมจะนำการปฏิบัติที่ออกนอกลู่นอกทาง ต่อการศรัทธาต่อ "อัลลอฮ์"  หรือ พระเจ้าองค์เดียว ซึ่งเป็นหลักการของอิสลาม ของเขาเหล่านั้นมาเปิดเผย ลองเปรียบเทียบภาพข้างล่างดู... แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 52 21:47:40 จากคุณ : แมทท์ - [ 8 เม.ย. 52 21:46:16 ]

ความคิดเห็นที่ 21 การจูบลูกอุกาบาตที่เชื่อว่าเป็น "ก้อนหินหรือ วัตถุที่พิเศษกว่าวัตถุอื่นที่พระเจ้าส่งมาจากสวรรค์" จากคุณ : แมทท์ - [ 8 เม.ย. 52 21:50:47 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ความงมงายที่ไข้วเขวไปจากหลักการของพุทธศาสนา ซึ่งขัดต่อคำสอนของ พระพุทธเจ้า จากคุณ : แมทท์ - [ 8 เม.ย. 52 21:53:14 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อีกประการหนึ่งจากเหตุผลที่กล่าวว่าที่กล่าวกันว่า  "โดยรวมแล้ว ก็สรุปได้ว่า อิสลามไม่จำเป็นต้องมีนักบวช เพราะหน้าที่ของนักบวช คือสืบทอดศาสนา เรียนรู้เรื่องศาสนา เผยแผ่ศาสนา ทำพิธีกรรมต่างๆ ทางด้านศาสนา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มุสลิมทั่วไปทำได้โดยไม่ต้องบวช และยังประกอบอาชีพ มีครอบครัวตามปกติด้วย   จึงมีคำว่า อิสลามไม่มีนักบวช แต่มุสลิมทุกคนคือนักบวชในศาสนา เพราะทำหน้าที่ ของนักบวชไปด้วย เพียงแต่ ไม่มีการบวชหรือยกระดับฐานะเหนือกว่า มุสลิมทั่วไปนั่นเอง"    จากคำกล่าวนี่แหละครับที่เป็นเหตุผลที่สำคัญ ที่ทำให้มุสลิม ไม่ว่าจะอยู่ในลัทธิใดที่แตกแยกออกจาก, อิสลามที่แท้จริงตามคำสอนของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด  สามารถที่จะ ปฏิบัติศาสนกิจที่เป็นหลักศรัทธาที่สำคัญของ อิสลาม มาจนถึงทุกๆวันนี้    โดยเหตุนี้ การปฏิศาสนกิจประจำวัน เช่น การ เคารพพระเจ้า(ละหมาด) 5 เวลา, การถือศีลอด, การบริจาคทาน และการทำพิธีกรรมที่ นครเมกกะ(ฮัจจฺ) ฯลฯ   จึงตกถ่ายทอดมาถึงมุสลิมในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเวลานานกว่า1400ปีมาแล้ว  โดยไม่ต้องอาศัยหลักการอื่นใดนอกจากหลักบัญญํติจากอัลกุรอานเท่านั้น ...................  ผมรอความเข้าใจจากมุสลิมในการเข้าใจตามข้อสรุปนี้มานานแล้ว เพราะเมื่อเข้าใจได้ถึงจุดนี้แล้ว, การเข้าใจในเรื่องการตกทอดหลักการปฏิบัติศาสนกิจของมุสลิม, ก็จะตามมาเองตามกาลเวลาซึ่งขึ้นอยู่กับความรู้ในทางศาสนาที่ถูกต้องและสติปัญญาของมุสลิมแต่ละท่าน   จากความเข้าใจเหตุผลข้างบนนี้  ผมจึงไม่จำเป็นต้อง อธิบายเรื่อง ประวัติการทำละหมาดต่อหรือ ข้อสงสัยในหลักการของอิสลาม ของผม ต่อจาก กระทู้ต่างๆ ที่ผ่านมา     เนื่องจากมุสลิมต้องถือหลักการปฏิบัติตามหลักการของศาสนาต่อเนื่องกันมา  และด้วย ความคุ้มครองจากพระเจ้า มุสลิมถึงมีความสามารถที่จะรักษา การปฏิบัติศาสนกิจ สืบต่อเนื่องกันมา นานกว่า1400 ปี จนถึงปัจจุบันนี้   ซึ่งอย่างแน่นอน อาจจะมีความผิดเพี้ยนกันบ้าง ระหว่าง นิกายหนึ่งๆ ทีแยกออกจาก หลักการของอิสลามและคำสอนของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ที่สอนให้มุสลิมยึดอัลกุรอานเท่านั้นเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตประจำวันของมุสลิม  นิกายต่างๆดังกล่าว ได้แก่  นิกาย กอดยานีย์ ซูฟีย์ ชีอะห์  และนิกายซุนนีย์ ซึ่งเป็นนิกายใหญ่ที่สุด ของอิสลาม    อย่างไรก็ตามการปฏิบัติศาสนกิจและความศรัทธาของนิกายใหญ่ ไม่ได้ยืนยันถึงความถูกต้องตามหลักการของอิสลามเสมอไป  ซึ่งไม่ต่างจากนิกายย่อยๆ แม้แต่น้อย  และสมาชิกของแต่ละนิกายก็ ยังคงตำหนิติเตียน การปฏิของกันและกัน ซึ่งคุณๆอาจจะหาความจริง ได้จาก เวบ มุสลิมไทย หรือต่างประเทศ ไม่ยากเลย    ด้วยเหตุนี้บรรดาผู้ทีแยกตัวเป็นนิกายจึงไม่นับผมว่าเป็นมุสลิมในทัศนของเขา  แต่เขาลืมไปว่า "ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดไม่ได้ ตั้งนิกายเหล่านี้ขึ้นมา  กับทั้งท่านศาสดามูฮัมมัด ตัวท่านเองไม่ได้สังกัดอยู่ในนิกายใดๆ ตามบัญญํติของพระเจ้า(อัลลอฮ์)"    "พระเจ้าทรงบัญญัติว่า ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ไม่มีส่วนยุ่ง เกี่ยว กับพวกแบ่งอิสลามออกเป็นนิกายต่างๆ"   บรรดาผู้ที่แบ่งแยกอิสลามออกเป็นนิกายหรือสังกัดอยู่ในนิกายต่างๆดังกล่าว  ควรจะตระหนักได้ว่า การนับถืออิสลามของเขาเหล่านั้นถูกต้องแล้วหรือ?   สำหรับตัวผม มองมุสลิมทุกๆท่านเป็นมุสลิม คือผู้ที่ มีความศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว และ ปฏิบัติตามบัญญัติของพระองค์ (อัลกุรอาน)ที่ ประทานให้แก่ "ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดและนำมาประกาศต่อมวลมนุษย์ในโลกนี้" แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 52 04:47:11 แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 52 00:33:05 แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 52 00:13:52 จากคุณ : แมทท์ - [ 9 เม.ย. 52 00:02:35 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ถ้าจะอ้างว่าถูกต้อง ก็ ตอบคำถามเรื่องการปฏิบัติศาสนกิจ ง่ายๆเช่นละหมาดให้ได้ดีกว่า อย่าพยายามเลี่ยงคำตอบเลย เพราะมันไม่ช่วยให้คำตอบโผล่มาเองหรอกนะครับ เมื่อแมทท์ตอบไม่ได้ การที่แมทท์อ้างตัวว่าเป็นมุสลิม มันเป็นแค่คำอ้างที่ไร้ค่า คำโกหก ที่น่าขบขัน การอ้างว่าศรัทธาต่อพระเจ้า ใครก็อ้างได้แต่อ้างแล้ว กลับปฏิเสธคำสั่งของพระเจ้าอย่างหน้าตาเฉยและหาว่างมงาย ทั้งๆที่ ความคิดนี้มาจากความเขลาส่วนตัวของแมทท์เอง มุสลิมอธิบายมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว และก็ได้ถามว่ามันงมงายและชิริกอย่างไร ทั้งจากกุรอ่านและฮะดีษ ไม่ปรากฎว่าการจูบหินดำเป็นการงมงายจะมีก็แต่คนที่มีจิตใจโสมม สกปรกอย่างแมทท์เท่านั้น ที่จะมองว่านี่เหมือนกับการกราบไหว้วัตถุ ภาพที่แมทท์เอามาลงเนี่ย ผมอยากให้ดูว่า คนในภาพข้างล่างเขากำลังบูชาวัตถุ ที่เขาจูบหรือไม่ จากคุณ : Carroth - [ 9 เม.ย. 52 06:04:48 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เอาล่ะ ถ้ายังไม่พอใจ ก็มีคำยืนยันจากท่านอุมัรฺ สาวกชั้นแนวหน้าของท่านศาสดามุฮัมมัด กล่าวอย่างไรเกี่ยวกับหินดำ เกี่ยวกับหินดำ ฮัจญเราะตุลอัสวัดนั้นมีคำกล่าวของสหายที่มีชื่อเสียง ของท่านนบีฯ ท่านคืออุมัรเราะฎิยัลลอฮุอันฮู) ตามที่ปรากฏอยู่ในเศาะฮีฮฺบุคอรีย์ เล่มที่ 2 บทว่าด้วยเรื่องฮัจญ์ บาบที่56 ฮะดีษหมายเลข 675 อุมัรฺ(เราะฎิยัลลอฮุอันฮู) กล่าวว่า “ฉันรู้ว่าเจ้าเป็นเพียงหินที่ไม่อาจให้คุณหรือให้โทษใดๆ ถ้าไม่เป็นเพราะฉันเห็นท่านนบีฯลูบเจ้า(และจูบเจ้า) ฉันก็จะไม่ลูบ(และจูบ)เจ้าเป็นอันขาด” ครับ ไม่มีใครกราบไหว้ หรือบูชาหินดำครับ แต่หินดำเป็นหินที่มีค่าทางประวัติศาสตร์ และมีแบบอย่างของท่านศาสดา อยู่ เห็นได้จากคำพูดของสาวกของท่านศาสดาเอง ก็ไม่มีใครกราบไหว้หินดำแต่อย่างใด และจริงๆแล้ว หินดำเคยถูกขโมยไป ในเทศกาลฮัจย์ปี ฮ.ศ.317 กลุ่มผู้มาทำฮัจย์ได้ถูกปล้นสะดมและถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหด หนึ่งในสิ่งของที่ถูกปล้นก็คือหินดำ การบุกปล้นและสังหารอย่างนองเลือดในครั้งนี้นำโดยอบีฏอเฮร จากเผ่าอัลก็อรมาฏีย์  ในการปล้นครั้งนี้มีคนตายไปจำนวนมาก เผ่าอัลก็อรมาฏีย์ได้อ้างว่าฮัจย์ได้ถูกเปลี่ยนมายังมัสญิดกูฟะห์แล้ว เนื่องจากพวกเขาต้องการกอบโกยทรัพย์สินในช่วงฮัจย์ หินดำยังคงอยู่กับนายฏอเฮร จนกระทั้งอบูอัลกอเซ็มมาขอซื้อด้วยราคาสามหมื่นดินาร และเขาก็ได้นำกลับมาไว้ที่เดิมของมันในปี ฮ.ศ.339 ถึงจะถูกขโมย การละหมาด การทำฮัจญ์ก็ดำเนินต่อไป เรื่องนี้มุสลิมก็อธิบายไปหลายรอบ หลักฐานก็มีให้เห็นชัดๆ มีแต่คนจิตใจต่ำทราม เท่านั้น ที่จะมองว่า การจูบหินดำคือความงมงาย แล้วเอาไปเปรียบกับการกราบไหว้บูชารูปปั้น นี่แหละครับแมทท์ จากคุณ : Carroth - [ 9 เม.ย. 52 06:14:55 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ส่วนคำพูดของผม เกี่ยวกับนักบวช ที่แมทท์เอามาสรุปเอาเองแบบ ไร้หลักการและเหตุผลนั้น ไม่ได้บ่งบอกเลยว่า มุสลิมปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ ตามประเพณีตกทอดมา 1,400 ปี พูดง่ายๆ ว่า แมทท์สรุปเอาเองแบบหน้าด้านๆ สรุปแบบไร้ยางอายที่สุด เพราะการที่มุสลิมไม่มีนักบวช แต่มุสลิมทุกคนทำหน้าที่ สืบทอด ศาสนา และผมยังบอกว่าด้วยว่า เรียนรู้ศาสนา ซึ่งนี่คือสิ่งสำคัญในการสืบทอด ไม่ใช่สืบทอดกันแบบงมงาย ตามประเพณี แต่สืบทอดด้วยการเรียนรู้ศึกษา ทั้งกุรอ่าน ประวัติศาสตร์ และแบบอย่างของท่านศาสดา การอ้าง การละหมาดหรือปฏิบัติศาสนกิจเป็นการตกทอดแบบรุ่นสู่รุ่น เป็นการอ้างที่ ไร้เหตุผล และไร้ความคิดเป็นอย่างมาก เพราะการที่มุสลิมทำละหมาด 5 เวลา กันหมดทั่วโลก นั่นเพราะใช้ แบบอย่างท่านนบี ที่บันทึกในฮะดีษครับ ไม่ใช่ทำตามบรรพบุรุษ เพราะถ้าทำตามบรรพบุรุษ การละหมาดทั่วโลก จะไม่ใช่ 5 เวลาเหมือนกันอย่างทุกวันนี้ แต่จะมีการต่อเติมไปเรื่อยๆ อาจจะ 6 เวลา หรือเหลือ 2 เวลา ตามแต่ความคิดตัวเอง เพราะการอ้างบรรพบุรุษ นั้นไม่มีหลักฐาน จะอ้างว่า 6 4 8 ก็ไม่มีใครยืนยันได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ถ้าแมทท์บอกว่าแมทท์ละหมาด วันละ 2 เวลา ตามบรรพบุรุษ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า บรรพบุรุษแมทท์ไม่มั่ว บรรพบุรุษแมทท์ ไม่ใช่คนโกหก บรรพบุรุษแมทท์ ไม่ใช่ผู้มีปัญหาทางความจำ แล้วถ้าบรรพบุรุษ ของอีกคนนึง มาบอกว่า ละหมาดมี 7 เวลาต่างหาก เพราะบรรพบุรุษผมบอกแบบนี้ จะยืนยันกันอย่างไร? นี่แหละครับ ตรรกะอันไม่สมเหตุสมผลของแมทท์ การเข้าใจของมุสลิมเรื่องนักบวชและการสืบทอดศาสนานั้น เป็นการสืบทอดโดยปราศจากนักบวชครับ แต่ไม่ใช่ปราศจากแบบอย่างท่านศาสดา แล้วมาตีความเอาตามอารมณ์ฝ่ายต่ำของตัวเอง มุสลิมเรียนเรื่องศาสนา จากกุรอ่านและฮะดีษครับ ไม่ใช่เรียนศาสนา จากอารมณ์ตัวเอง และประเพณีของบรรพบุรุษ การอ้าง ไม่มีใครอ้างบรรพบุรุษตัวเอง แต่เขาจะอ้าง จากกุรอ่านและ ฮะดีษ ดังนั้น อย่าใช้คำพูดของผม เพื่อเลี่ยงการตอบคำถามเรื่องละหมาดครับ เพราะ คำถามเบื้องต้น นี้ มันยืนยันว่าคุณ เป็นคนไม่มีหลักการ ไม่มีคุณค่าทางวิชาการ เป็นเพียงแค่คนที่พยายามบิดเบือน หลักการอิสลาม เท่านั้น (ผมคิดว่าได้รับการจ้างวานมา เพราะหน้าด้านหน้าทนเหลือกำลัง) ข้ออ้างที่มุสลิมปฏิบัติสืบทอดกันมา ตามประเพณี โดยไม่อาศัยฮะดีษนั้น เป็นการอ้างที่บิดเบือนและโกหก ทั้งสิ้น เพราะมุสลิม สืบทอดศาสนากันมา โดยอาศัยกุรอ่านและฮะดีษครับ ไม่ใช่ บรรพบุรุษ ซึ่งการผิดแผกแตกต่างกัน ของแต่ละสำนักคิด ในอิสลามนั้น ไม่ใช่การแยกออกจากหลักการอิสลามหรือแบบอย่างของท่านศาสดา แต่เป็นการใช้หลักการของศาสนา มาพิจารณา ตามความเข้าใจและความรู้ของตนเอง เช่น บทขอพรในละหมาด ท่านศาสดาไม่ได้ขอพรบทเดียว ดังนั้น แต่ละสำนัก อาจจะมี บทขอพร ต่างๆ ในละหมาดที่ต่างกันออกไป เป็นต้น ซึ่งแต่ละบท ก็มาจากท่านศาสดาทั้งสิ้น เพียงแต่ ผู้พิจารณาได้พิจารณาต่างกันว่า บทใด ที่สมควรอ่านบ่อยๆ หรืออ่านประจำในละหมาด ความต่างนี้ มีแบบอย่างจากท่านศาสดาครับ ไม่ใช่การคิดเองเออเอง หรือแต่งเติมศาสนา อย่างที่แมทท์โกหกเลย สิ่งเหล่านี้ เป็นข้ออ้าง ที่แมทท์พยายามบอกว่า นิกายต่างๆ นั้นผิดหมด หรือไม่ถูกต้อง เพื่อที่จะบอกว่า ตัวเอง ถูกต้องที่สุด ซึ่งเป็นการอ้างที่น่าสมเพชอย่างยิ่ง เพราะแค่เรื่องละหมาด แมทท์ยังไม่มีความสามารถจะตอบ เป็นเวลา 5-6 ปีแล้ว แมทท์ก็ตอบไม่ได้ การอ้างเรื่องหินดำ หรือเรื่องอื่นๆ ก็เพื่อ เบนเป้าหมายไปโจมตีกลุ่มอื่นๆ แทนที่ตัวเอง เพราะถ้าเป้าหมายมันจับมายัง ลัทธิตัวเองคือลัทธิแมทท์แล้วล่ะก็ จะใบ้กินแล้วต้องหนีจากกระทู้ทันที จริงๆแล้ว การอ้างว่า ท่านศาสดา ไม่ได้ตั้งนิกายไหนขึ้นมานั้น ก็ใช่ครับ และ มุสลิมก็ไม่ได้ตั้งนิกาย ใดๆ ขึ้นมา เพียงแต่มีความเข้าใจในแบบอย่างของท่านนบีแตกต่างกันไปบ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ย่อมเกิดมีรากฐานมาจาก กุรอ่านและแบบอย่างของท่านนบี ทั้งสิ้น ไม่ใช่คิดเองเออเอง ตัดเอง ต่อเอง แบบลัทธิแมทท์ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องถามหรอกครับว่าการแบ่งแยกนิกายของใครต่อใครมันถูกต้องหรือไม่ เพราะพวกเขาไม่ได้แยกนิกาย พวกเขาทำตามกุรอ่านและแบบอย่างของท่านนบี สิ่งที่เขาทำนั้น อยู่บนหนทางอิสลามครับ ถึงจะเข้าใจบางอย่างพลาดไป เขาก็ยังอยู่บนหนทางอันถูกต้อง แต่แมทท์สิครับ อยู่บนลัทธิอะไร หลักการต่างๆ ก็ไม่มี นอกจาก บิดเบือน โกหก หลอกลวง หนีปัญหา และมั่วประเด็น แบบนี้ถูกต้องเหรอครับ? จากคุณ : Carroth - [ 9 เม.ย. 52 06:46:54 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ไม่มีแมท มาสะเหร่อ ในกระทู้อิสลามสักกระทู้จะได้ไหม ขยะทั้งนั้นไม่เคยคิดจะอ่านที่แมทพิมพ์เลยจริงๆ จากคุณ : fowleres - [ 9 เม.ย. 52 11:05:21 ]

ความคิดเห็นที่ 28 การตอบปัญหาหรืออธิบายเพื่อเข้าใจในเรื่องศรัทธา เป็นเรื่องของเหตผล และหลักการปฏิบัติ แต่การทำลาย บุคลิคภาพของบุคคลไม่ใช่เป็นการ อธิบาย ข้อสงสัยต่างๆ   เรื่อง การจูบหินดำ หรือลุกอุกาบาตนั้น เป็นเรื่องเล่า  และหลักฐานต่างๆก็มาจากเรื่องเล่าเช่นกัน แต่สิ่งที่ ชาวอรับเชื่อถือในสมัยก่อนอิสลามนั้นเชื่อกันว่า  อะไรก็ตาม ถ้ามาจากเบื้องบน อวกาศ จะต้องมาจากพระเจ้า   ซึ่งแม้แต่ในเรื่องเล่า หรือความ เข้าใจของชาวอรับที่เข้ารับหลักการ ของ อิสลามแล้ว ก็ยังมี แบ่งออกเป็น สองกลุ่ม กลุ่มหนึ่ง  เมื่ออ่าน บัญญัติในอัลกุรอาน ที่เป็นเรื่องของการเปรียบเทียบ ก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องจริง   แต่อีกกลุ่มหนึ่งที่มีการศึกษา และความเข้าใจอัลกุรอานได้เป็นอย่างดี ก็เข้าใจเรื่องราวของการเปรียบเทียบได้  กลุ่มแรกเชื่อว่าพระเจ้ามีตัวตนและทิศทาง, และพระองค์ทรงประทับอยู่บนบัลลังก์ และมีเทวดาแบกบัลลังก์  กลุ่มที่สองเข้าใจถึงพระเจ้าในพลานุภาพซึ่งไม่มีตัวตนน้ำหนักหรือทิศทาง และไม่ได้ประทับอยู่บนบัลลังก์ เป็นอาการนามซึ่งอยู่นอกเหนือการจินตนาการ ถึงรูปร่างลักษณะของพระเจ้าได้   ซึ่งสองกลุ่มนี้ยังคงถกเถียงกันอยู่ ในเรื่องพระเจ้า....คืออะไร?  จากเหตุผลที่ว่า มุสลิม รักษาการละหมาดและการปฏิบัติศาสนกิจต่างๆมาจนปัจจุบันนี้ได้อย่างไร?  คำตอบอยู่ใน ความคิดเห็นที่ 2 และ ความคิดเห็นที่ 23 ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง และผมไม่มีความจำเป็นจะต้องกล่าวซ้ำกล่าวซากอีก  คำถามไม่ได้อยู่ที่ผมทำละหมาดเป็นและถูกต้องหรือไม่?  ซึ่งผมให้รายละเอียดไปหมดแล้ว       ถ้าในสมัยที่คนเราไม่เข้าใจอัลกุรอานอย่างแพร่หลายเนื่องจาก การโกหก และการผูกขาดการเข้าใจ อัลกุรอาน อยู่เฉพาะชนกลุ่มเดียว, ซึ่งทำให้ มุสลิมมีความรู้ถุกจำกัดเกี่ยวกับการเข้าใจอัลกุรอานตามที่ ชนกลุ่มนั้น อธิบายเท่านั้น     ด้วยเหตุนี้ คำถามที่ว่าถ้าไม่มี “หะดีษ” แล้วจะละหมาดอย่างไร? จึงทำให้ผู้ที่ไม่เข้าใจอัลกุรอานตอบอย่างมีเหตุผลไม่ได้. เพราะขาดความรู้ ,   ขอย้ำอีกครังหนึ่ว่าเหตุผลที่แท้จริง อยู่ที่ ความคิดเห็นที่ 2 และความคิดเห็นที่ 23 ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ทีกล่าวว่า "โดยรวมแล้ว ก็สรุปได้ว่า อิสลามไม่จำเป็นต้องมีนักบวช เพราะหน้าที่ของนักบวช คือสืบทอดศาสนา เรียนรู้เรื่องศาสนา เผยแผ่ศาสนา ทำพิธีกรรมต่างๆ ทางด้านศาสนา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มุสลิมทั่วไปทำได้โดยไม่ต้องบวช และยังประกอบอาชีพ มีครอบครัวตามปกติด้วย  จึงมีคำว่า อิสลามไม่มีนักบวช แต่มุสลิมทุกคนคือนักบวชในศาสนา เพราะทำหน้าที่ ของนักบวชไปด้วย เพียงแต่ ไม่มีการบวชหรือยกระดับฐานะเหนือกว่า มุสลิมทั่วไปนั่นเอง"   จากคำกล่าวนี่แหละครับที่เป็นเหตุผลที่สำคัญ ที่ทำให้มุสลิม ไม่ว่าจะอยู่ในลัทธิใดที่แตกแยกออกจาก, อิสลามที่แท้จริงตามคำสอนของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด  สามารถที่จะ ปฏิบัติศาสนกิจที่เป็นหลักศรัทธาที่สำคัญของ อิสลาม มาจนถึงทุกๆวันนี้” ............   แต่ในสมัยนี้ ความเจริญและการศึกษาช่วยให้มุสลิมเข้าใจอัลกุรอาน มากขึ้น  จึงหันกลับมาดู  การใช้หะดีษของมุสลิม และ เข้าใจว่า  เป็นสิ่งที่ไม่ถุกต้องในการเชื่อถือเรื่องบอกเล่า ซึ่งทำให้ มุสลิมหลงทางจาก บัญญัติในอัลกุรอาน   เนื่องจาก ใน อะหะดีษมี ทุกสิ่งที่มนุษย์ สร้างเป็นกฏข้อบังคับ โดยอ้าง พระเจ้า และ ศาสดา โดยที่ไม่มีการยืนยันจากบัญญัติ ในอัลกุรอาน  แต่ในทางตรงกันข้ามใช้เรื่องเล่าที่เหลวไหล เหล่านั้น มาตีความในอัลกุรอาน  และอธิบายตามบัญญัตของมนุษย์  ซึ่งต่างนิกาย ก็ ให้เหตุผลที่แตกต่าง กันออกไป  เช่น จากหลักฐานที่เห็นได้ชัด  ซุนนีย์ที่แท้ จริงไม่ยอมรับ  มุสลิมชีอะต์ว่าเป็นมุสลิม   “นี่ไม่ใช่เรื่องโกหกพกลม”   ไปอ่านได้จากเวบ “มรดกอิสลาม”  ถ้ามุสลิมในที่นี้ที่ยอมรับ ชีอะต์เป็นมุสลิม จะขัดกับหลักการสอนของลัทธิ ซุนนีย์    ด้วยเหตุนี้มุสลิมเช่นผมจึงไม่จำเป็นต้องตกอยู่ใต้บัญญํติ ของผู้นำนิกายหนึ่งนิกายใด, จึงสามารถจะมองเห็นความจริงจากอัลกุรอาน ด้วยความเข้าใจและเหตุผล ภาพที่เห็นใน ความคิดเห็นที่ 24,  ต่างกับภาพ ที่เห็นความคิดเห็นที่ 21 และ ความคิดเห็นที่ 22 ภาพที่เห็นใน ความคิดเห็นที่ 24 เป็นการจูบเป็นการแสดงความดีใจชั่วขณะไม่เกี่ยวกับความศรัทธาหรืออยู่บนแท่น ซึ่งอยู่ในส่วนหนึ่งของ สถานที่ประกอบศาสนกิจ,    ภาพ ที่เห็นความคิดเห็นที่ 21 และ ความคิดเห็นที่ 22 ที่เกี่ยวกับความศรัทธาของบุคคล สำหรับมุสลิมการจูบลูกอุกาบาตในสถานที่ที่สักการะเคารพ "อัลลอฮ์"  เป็นการกระทำที่เป็น "ชริก" ที่จูบด้วยการเกี่ยวเนื่องต่อความศรัทธาต่อพระเจ้า, เพื่อแสดงถึงความเมตตากรุณาของพระเจ้าและหรือ ความรักในตัวท่านศาสดามูฮัมมัด เนื่องจากเชื่อเรื่องเล่าที่ว่าท่านจูบลูกอุกาบาตนั้น ว่าเป็นความจริง    ภาพที่เห็นความคิดเห็นที่ 21 และ ความคิดเห็นที่ 22 เป็นภาพของ การงมงายในความศรัทธา และขัดต่อหลักการของอิสลาม ในการศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว โดยที่การจูบหินเพื่อแสดงความรักและความรู้สึกในบุญคุณของพระเจ้า ที่ประทานลูกอุกาบาตมาเพื่อบอก ตำแหน่งสถานที่ในการสร้าง "กะบะห์"  (ซึ่งผมจะอธิบายให้ฟังโดยละเอียด)  เป็นเรื่องเล่าที่อยู่ใน "หะดีษ"   เนื่องจากบุคคลในสมัยนั้นยังไม่เข้าใจว่า "อุกาบาต" และ/หรือ "ดาวตก", "ผีพุ่งใต้" คืออะไร?  และไม่เข้าใจว่า อุกาบาตที่เผาไหม้ไม่หมดในอวกาศนั้น, มีตกอยู่เกลื่อนกราด ในส่วนต่างๆของโลก  ถ้ามุสลิมเชื่อว่า พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่ง แล้ว ก้อน หิน กรวด ทราย เป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างทั้งนั้น  ไม่มีอะไรพิเศษที่พระจ้าประทานให้ ต่อมวลมนุษย์ ที่สมควรจะกราบไหว้, จูบ,กอดด้วยความซาบซึ้งในบุญคุณของพระองค์, ซึ่งการตอบแทนบุญญคุณของพระองค์ทำได้โดยการ กราบเคารพบูชา พระองค์ (การละหมาด) อย่างสม่ำเสมอ เท่านั้น  ไม่ว่าผมจะถูกโจมตีในบุคลิกภาพอย่างไรก็ตาม, ถ้ามุสลิมเชื่อศรัทธาว่าการจูบลูกอุกาบาต ซึ่งเป็นก้อนหิน เป็นส่วนหนึ่งของ การขอบคุณต่อพระเจ้าและรำลึกถึงท่านศาสดามูฮัมมัด ด้วยความรักและศรัทธาต่อท่านแล้ว, นั้นก็คือ การยอมรับว่า "ลูกอุกาบาต" หรือก้อนหินดำนั้น เป็น สัญญาลักษณ์ แทนพระเจ้าหรือไม่ก็ท่านศาสดามูฮัมมัด จากเรื่องที่เล่าและอธิบายตาม หะดีษ แล้ว มันก็ยังคงเป็นการกระทำที่เป็น "ชริก" อยู่อย่างแน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ภาพที่เห็นในความเห็นที่ 21, ก็เป็นส่วนหนึ่งของเศษขยะที่เปรอะเปื้อนอยู่ในหลักการของอิสลาม ที่ผมนำมาลงในกระทู้นี้ ก็เพื่อที่มุสลิมบางท่านจะได้เข้าใจและช่วยกัน ทำศาสนาอิสลามให้ หมดมลฑิลจากเศษขยะเหล่านั้น แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 52 12:16:09 แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 52 12:16:05 จากคุณ : แมทท์ - [ 9 เม.ย. 52 11:57:27 ]

ความคิดเห็นที่ 29 การอ้างว่าการจูบหินดำเป็นเรื่องเล่านั้น เป็นคำพูดของคนที่พยายามบิดเบือนอิสลามครับ เพราะฮะดีษเรื่องหินดำไม่ใช่เป็นเรื่องเล่าประเภทหาที่มาที่ไปไม่ได้ แต่เป็นการบันทึกและคัดกรองอย่างดี โดยวิธีการตรวจสอบที่ละเอียดรัดกุมอย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่แรกนั่นแหละครับ ซึ่งไม่ใช่แค่สิ่งที่มาจากฟ้าเท่านั้นที่อาหรับจะเอามาบูชา แค่ดินที่ปั้นอาหรับก็บูชาหมดนั่นแหละครับในสมัยนั้น แต่สิ่งที่ทำให้เราแยกแยะและใช้เหตุผลได้ว่า หินดำต่างจากวัตถุบูชาด้วยความงมงาย ก็คือ หินดำยังอยู่ที่มักกะห์ ไม่ได้สูญหายไปเหมือนกับบรรดารูปปั้น เพราะเมื่อมีอิสลามแล้ว บรรดารูปปั้นที่งมงาย ทั้งหลาย ได้ถูกกำจัดไปจนหมดสิ้น นี่เป็นสิ่งที่ยืนยันได้อย่างนึงครับว่า หินดำนั้น ไม่ใช่วัตถุบูชา และพาไปสู่การกราบไหว้ก้อนหินแต่อย่างใด ถ้ารู้จักคิดสักนิด จะไม่มีใครกล้าพูดว่า หินดำนั้นเป็นความงมงายหรือเป็นส่วนหนึ่งจากความงมงาย ด้วยเหตุผลง่ายๆ ก็คือ ตั้งแต่สมัยท่านศาสดา จนถึงปัจจุบัน ไม่มีการทุบทำลาย หรือเอาหินดำออกจากมักกะห์แต่อย่างใด จะมีก็เหตุการที่ถูกขโมยเท่านั้น และไม่มีประวัติศาสตร์ใด บันทึกว่า มีคนอื่นหรือ ชนกลุ่มใด ขนหินดำเอาไปไว้ในมักกะห์ หลังจากท่านศาสดา จากไป แต่หินดำนั้น มีมาอยู่แล้ว นี่แสดงว่า ทั้งประวัติศาสตร์ และบันทึกฮะดีษ หรือที่ไหนก็ตาม หินดำอยู่ที่นั่นแล้วในสมัยท่านศาสดายังมีชีวิตอยู่ หินดำก็ยังอยู่อย่างนั้น การบอกว่าเรื่องหินดำคือเรื่องงมงาย มันเป็นความเขลา และการอ้างที่เลื่อนลอย ปราศจากหลักฐาน ปราศจากหลักการ ปราศจากตรรกะและเหตุผลโดยสิ้นเชิง จะมีก็เพียงแต่การ "เดา" ตามอารมณ์ฝ่ายต่ำ ก็เท่านั้น ส่วนเรื่องละหมาดที่พยายามอ้างความเห็นที่สองของผมนั้น ผมได้อธิบายไปแล้วครับในความคิดเห็นที่ 26 และผมจะเน้นอีกครั้งๆ คร่าวๆ เพื่อไม่ให้แมทท์เอาคำพูดของผมไปบิดเบือนและตีความอย่างหน้าด้านๆ เพราะแมทท์ไม่เคยเลยที่จะตอบคำถาม เรื่องละหมาดได้ และเรื่องละหมาดนี้ ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ประจานความโง่เขลา เบาปัญญา และความหน้าด้านหน้าทน ไร้ยางอาย ของแมทท์อยู่ต่อไป ผมบอกไปในความคิดเห็นที่ 26 ว่า "ส่วนคำพูดของผม เกี่ยวกับนักบวช ที่แมทท์เอามาสรุปเอาเองแบบ ไร้หลักการและเหตุผลนั้น ไม่ได้บ่งบอกเลยว่า มุสลิมปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ ตามประเพณีตกทอดมา 1,400 ปี พูดง่ายๆ ว่า แมทท์สรุปเอาเองแบบหน้าด้านๆ สรุปแบบไร้ยางอายที่สุด เพราะการที่มุสลิมไม่มีนักบวช แต่มุสลิมทุกคนทำหน้าที่ สืบทอด ศาสนา และผมยังบอกว่าด้วยว่า เรียนรู้ศาสนา ซึ่งนี่คือสิ่งสำคัญในการสืบทอด ไม่ใช่สืบทอดกันแบบงมงาย ตามประเพณี แต่สืบทอดด้วยการเรียนรู้ศึกษา ทั้งกุรอ่าน ประวัติศาสตร์ และแบบอย่างของท่านศาสดา การอ้าง การละหมาดหรือปฏิบัติศาสนกิจเป็นการตกทอดแบบรุ่นสู่รุ่น เป็นการอ้างที่ ไร้เหตุผล และไร้ความคิดเป็นอย่างมาก เพราะการที่มุสลิมทำละหมาด 5 เวลา กันหมดทั่วโลก นั่นเพราะใช้ แบบอย่างท่านนบี ที่บันทึกในฮะดีษครับ ไม่ใช่ทำตามบรรพบุรุษ เพราะถ้าทำตามบรรพบุรุษ การละหมาดทั่วโลก จะไม่ใช่ 5 เวลาเหมือนกันอย่างทุกวันนี้ แต่จะมีการต่อเติมไปเรื่อยๆ อาจจะ 6 เวลา หรือเหลือ 2 เวลา ตามแต่ความคิดตัวเอง เพราะการอ้างบรรพบุรุษ นั้นไม่มีหลักฐาน จะอ้างว่า 6 4 8 ก็ไม่มีใครยืนยันได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ถ้าแมทท์บอกว่าแมทท์ละหมาด วันละ 2 เวลา ตามบรรพบุรุษ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า บรรพบุรุษแมทท์ไม่มั่ว บรรพบุรุษแมทท์ ไม่ใช่คนโกหก บรรพบุรุษแมทท์ ไม่ใช่ผู้มีปัญหาทางความจำ แล้วถ้าบรรพบุรุษ ของอีกคนนึง มาบอกว่า ละหมาดมี 7 เวลาต่างหาก เพราะบรรพบุรุษผมบอกแบบนี้ จะยืนยันกันอย่างไร? นี่แหละครับ ตรรกะอันไม่สมเหตุสมผลของแมทท์" รายละเอียดที่แมทท์อ้างว่าให้ มันคือขยะครับ พอผมซักไซร้ไล่เลียง ก็ปรากฎว่าแมทท์ หนี ตามสัญชาติญาณของแมทท์เหมือนเดิม แมทท์มักอ้างเสมอว่า มีการผูกขาดการเข้าใจกุรอ่านนั้น อ่านแล้วเหมือนเป็นคำพูดที่จริงจัง และกำลังเกิดอยู่ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย ผู้รู้ในอิสลามทุกยุคทุกสมัยส่งเสริมให้มุสลิมศึกษาและทำความเข้าใจกุรอ่านอยู่ตลอด และพยายามให้ มุสลิมทุกคนได้เรียนรู้ ศาสนาอย่างเต็มที่ แต่บางคนที่ ขี้เกียจ หรือมีความรู้เพียงเล็กน้อย ไม่รู้ภาษาอาหรับ ไม่ได้ใช้ภาษาอาหรับ แล้วอ้างตัวว่าเป็นผู้รู้ ตีความ กุรอ่านตามอารมณ์ต่ำๆ ของตัวเอง นี่แหละครับ ที่มันก่อปัญหา และอ้างว่ากุรอ่านถูกผูกขาดความเข้าใจ ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้มีความรู้อะไร ไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ คนแบบนี้เหรอครับ ที่คิดจะทำความเข้าใจกุรอ่านเอง แค่เรื่องละหมาด คนพวกนี้ ก็ไม่มีปัญญาไม่มีความสามารถจะตอบแล้ว และตั้งแต่คุยมา 5-6 ปี แมทท์และพวกที่ไม่มีความรู้แต่ทำตัวเป็นผู้รู้ ก็ไม่เคยตอบมุสลิมอย่างมีเหตุผลได้เลยสักครั้ง ย้ำเลยนะครับ แม้เพียงสักครั้ง เรื่องการละหมาดโดยไม่อาศัยฮะดีษ หรือการละหมาดโดยอาศัยกุรอ่านอย่างเดียว ที่แมทท์ ทำได้คือหนี เท่านั้น หนีเท่านั้นจริงๆ ครับ ถ้าใครอยากอ่านผมจะทำลิ้งค์ให้ จะได้รู้เลยว่า แมทท์ มันความสามารถแค่ไหน และนิสัยเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ๆ แมทท์ชอบบิดเบือนครับ คำพูดผม ยังถูกบิดเบือนอย่างหน้าด้านๆ จากคุณ : Carroth - [ 9 เม.ย. 52 13:55:21 ]

ความคิดเห็นที่ 30 การอ้างว่าฮะดรษนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างกฎขึ้นมาเอง โดยอ้างพระเจ้าและศาสดานั้น เป็นเพียงแค่การอ้างที่ปราศจากที่มาที่ไปและเหตุผล ตามนิสัยของแมทท์ เหมือนเดิมเพราะอะไร เพราะฮะดีษนั้น ไม่สามารถกุขึ้นได้ครับ เนื่องจากการตรวจสอบที่เข้มงวด และสายรายงายที่ชัดเจน น่าเชื่อถือยิ่งกว่าบันทึกประวัติศาสตร์ใดๆ เพราะบันทึกประวัติศาสตร์นั้น บางครั้ง เราจะพบว่า คนบอกเล่า ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เอง และไม่สามารถอ้างได้ว่า พบกับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ประวัติศาสตร์นั้น เพียงแต่ ได้ยินมา สืบสาวไปไม่ถึง คนที่ร่วมกับเหตุการณ์ แต่ฮะดีษ นั้น ถ้ามีคนอ้างว่าทราบเรื่องนี้มาจากอีกคนหนึ่ง จะต้องตรวจสอบด้วยว่า คนสองคนนี้ ทั้งผู้เล่าและผู้ฟัง เคยพบกันหรือไม่ มีโอกาสพบกันหรือไม่ ถ้าผู้ฟังยังไม่เกิด แต่ผู้เล่าที่อ้างถึงได้ตายไปแล้ว จากบันทึกประวัติศาสตร์ แสดงว่ารายงานนี้ ขาดความน่าเชื่อถือ แล้วยังต้องดูจริยธรรม จนถึงความสามารถในการจำของผู้เล่าและผู้ฟังอีกด้วย นี่แค่เบื้องต้น แต่แมทท์กลับบอกว่า บันทึกที่ละเอียดขนาดนี้ เป็นเรื่อง เหลวไหล และสร้างกันเอง แต่พอถามว่าแมทท์ละหมาดอย่างไร ก็ได้คำตอบอันน่า สมเพชว่า ละหมาดตามบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นใครมาจากไหน มีนิสัยยังไง ก็ตรวจสอบไม่ได้ นี่แหละครับ คือความ ตลบแตลง และความกลับกลอกของแมทท์ สิ่งที่ตรวจสอบได้อย่างเต็มที่ กับสิ่งที่ตรวจสอบไม่ได้เลย แมทท์เลือกสิ่งที่ไม่สามารถตรวจสอบได้แล้วบอกว่ามันจริง แต่กับสิ่งที่ตรวจสอบได้ แมทท์กลับบอกว่า เหลวไหล คนแบบนี้เหรอครับ ที่จะมีคุยเรื่องศาสนา คำพูดแต่ละอย่าง ไม่ได้มีหลักการอะไรทั้งสิ้น อ้างอิงจาก อารมณ์ฝ่ายต่ำของตัวเองล้วนๆ คนแบบแมทท์นี้ ที่อ้างว่ามองเห็นความจริงจากกุรอ่าน ด้วยความเข้าใจและเหตุผล แต่ตอบเรื่องการละหมาดจากกุรอ่านไม่ได้ เรียกว่าโกหกกันหน้าด้านๆ โกหกแบบไม่มีความละอายในจิตใจแม้แต่น้อย จากคุณ : Carroth - [ 9 เม.ย. 52 14:07:27 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เรามาดูกันเลยดีกว่าครับ ว่า ภาพที่ 21 นั้น เป็นการศรัทธาหรือบูชา หรือเคารพสักการะ หินดำอย่างไร ที่ผมเอารูป ที่ 24 ที่จูบถ้วยบอล มาให้ดูเพื่อให้เห็นว่า นี่เป็นการจูบ ครับไม่ใช่การกราบไหว้ ไม่ว่าจะจูบด้วยเหตุผลใดก็ตาม และการจูบที่ความคิดเห็นที่ 21 ผมก็ได้ยกเอา คำพูดของสาวกชั้นแนวหน้าของท่านศาสดา มาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วนะครับว่า นี่เป็นการ สักการะ หรือกราบไหว้หินดำหรือเปล่า อ่านกันอีกทีนะครับ เกี่ยวกับหินดำ ฮัจญเราะตุลอัสวัดนั้นมีคำกล่าวของสหายที่มีชื่อเสียง ของท่านนบีฯ ท่านคืออุมัรเราะฎิยัลลอฮุอันฮู) ตามที่ปรากฏอยู่ในเศาะฮีฮฺบุคอรีย์ เล่มที่ 2 บทว่าด้วยเรื่องฮัจญ์ บาบที่56 ฮะดีษหมายเลข 675 อุมัรฺ(เราะฎิยัลลอฮุอันฮู) กล่าวว่า “ฉันรู้ว่าเจ้าเป็นเพียงหินที่ไม่อาจให้คุณหรือให้โทษใดๆ ถ้าไม่เป็นเพราะฉันเห็นท่านนบีฯลูบเจ้า(และจูบเจ้า) ฉันก็จะไม่ลูบ(และจูบ)เจ้าเป็นอันขาด” อ่านแล้วดู รูปในความคิดเห็นที่ 22 ครับ ว่ามันต่างกันแค่ไหน การจูบหินดำในรูปคคหที่ 21 นั้นไม่ได้มีความศรัทธาใดๆ เลยว่า หินดำจะบันดาลคุณ บันดาลโทษให้มนุษย์ได้ หรือแม้แต่ เป็นสื่อกลางแทนพระเจ้าเลย แต่ความคิดเห็นที่ 22 นั้น เชื่อเต็มๆ ว่า รูปปั้นนั้นศักดิ์สิทธิ์ ให้คุณให้โทษได้ ใครที่บอกว่า รูป คคหที่ 21 และ 22 เหมือนกัน เนี่ย ก็บอกหน่อยซิครับ ว่า มันเหมือนกันได้ยังไง ในเมื่อสิ่งหนึ่งถูกกราบไหว้ เพราะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเพื่อให้คุณหรือโทษ กับสิ่งหนึ่ง ที่จูบเพื่อแสดงความรัก หรือเพื่อทำตามแบบอย่างท่านศาสดา? และถ้าบอกว่า ภาพในคคหที่ 21 นั้นเป็นความงมงายและขัดต่อหลักการของอิสลาม ล่ะ ก็ บอกหน่อยครับว่า ขัดกับหลักการอะไร? เอากุรอ่านมาทั้งเล่มเลยครับ ถ้าคุณคิดว่าคุณมีความรู้ บอกมาเลยว่า ขัดกับกุรอ่านข้อไหน? เพราะมุสลิมไม่เคยคิดว่า หินดำคือพระเจ้า มุสลิมไม่เคยคิดว่า หินดำจะแทนพระเจ้า หรือแม้แต่แทนบุญคุณของพระเจ้าเลย นี่แหละครับแมทท์ไม่มีหลักการ ไม่มีเหตุผล นึกจะพ่นอะไรออกมาก็พ่น อยู่ๆจะบอกว่า การจูบหินดำขัดต่อหลักการอิสลาม แต่ขัดกับหลักการอิสลามข้อไหน กุรอ่านบทใด? และมาดูการสรุปที่เรียกได้ว่า ไร้ยางอายสุดๆ คือบอกว่า ถ้ามุสลิมเชื่อศรัทธาว่าการจูบลูกอุกาบาต ซึ่งเป็นก้อนหิน เป็นส่วนหนึ่งของ การขอบคุณต่อพระเจ้าและรำลึกถึงท่านศาสดามูฮัมมัด ด้วยความรักและศรัทธาต่อท่านแล้ว, นั้นก็คือ การยอมรับว่า "ลูกอุกาบาต" หรือก้อนหินดำนั้น เป็น สัญญาลักษณ์ แทนพระเจ้าหรือไม่ก็ท่านศาสดามูฮัมมัด นี่แหละครับ ที่เรียกว่า การสรุปแบบหน้าด้านๆ คือถ้าผมจูบลูกผม เพื่อขอบคุณพระเจ้า ที่ให้ลูกกับผม เพื่อแสดงความทะนุถนอม ของขวัญที่พระเจ้าประทานให้ นั่นหมายถึงผมเอาลูกแทนพระเจ้าหรือ อย่างไร? การที่ผมจูบกุรอ่าน วางไว้ในที่สูง ไม่เหยียบย่ำกุรอ่านด้วยเท้า เพื่อให้เกียรติแก่สิ่งที่พระเจ้าประทานมา นี่แปลว่าผม เอากุรอ่านแทนพระเจ้าหรือไงครับ การจูบหินดำคือการทำตามแบบอย่างนบีครับ ไม่ใช่การกราบไหว้ การบอกว่า ชิริกนั้น ชิริกคือการตั้งภาคี คือการนำสิ่งหนึ่งมาเทียบเคียงพระเจ้า หรือกราบไหว้สิ่งอื่นเพื่อให้ใกล้ชิดพระเจ้า นั่นคือการทำชิริก การจูบหินดำ ไม่ใช่การกราบไหว้ หินดำแทนพระเจ้า เทียบเคียงพระเจ้า หรือยกหินดำเสมอพระเจ้า หรือเอาหินดำเป็นสื่อเพื่อกราบไหว้ แทนพระเจ้า การที่คุณบอกว่า การจูบหินดำเป็นการชิริกหรืองมงาย มันเป็นความโง่เขลา และเป็นความสกปรกโสมมในจิตใจคุณเอง ไม่มีหลักการใดๆ ในอิสลามทั้งสิ้น ที่บอกว่า การจูบหินดำคือการทำ ชิริก หรือการยกหินดำเทียบเทียพระเจ้า ทั้งจากกุรอ่านและฮะดีษ ดังนั้น กรุณาอย่ามั่วครับ ทุกท่านดูเอาไว้เลยครับ นี่แหละแมทท์ อยู่ๆ คิดจะกุ หลักการอะไรขึ้นมา ก็กุขึ้นมาซะอย่างนั้น ไม่มีที่มาที่ไปอะไรทั้งสิ้น จากคุณ : Carroth - [ 9 เม.ย. 52 14:31:56 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เอาล่ะ เพื่อไม่ให้ คนที่ไม่ใช่มุสลิมงง ผมจะ เอาเรื่องการชิริก มาลงนะครับว่าคืออะไร ท่านอิมามอันซะนูซีย์กล่าวว่า ชิริกมี 6 ประเภท 1. ภาคีแยกเป็นเอกเทศน์ เช่นยืนยันว่ามีพระเจ้าสององค์อย่างเอกเทศน์ เหมือนกับชิริกของพวกมะญูซีบูชาไฟ 2. ภาคีแบบแบ่งส่วน คือพระเจ้าองค์หนึ่งเป็นภาคส่วนของพระเจ้าขององค์หนึ่ง เช่นการชิริกของพวกนะซอรอ 3. ภาคีแบบสร้างความใกล้ชิด คือการอิบาดะฮ์สิ่งอื่นเพื่อสร้างความใกล้ชิดต่ออัลเลาะฮ์ ตะอาลา เช่นการชิริกของพวกญาฮิลียะฮ์ยุคแรก 4. ภาคีเลียนแบบ คืออิบาดะฮ์สิ่งอื่นจากอัลเลาะฮ์โดยตามผู้อื่นอีกที เช่นการชิริกของพวกญาฮิลียะฮ์รุ่นหลัง(ก่อนอิสลาม) 5. ภาคีจากมูลเหตุ คือการพาดพิงผลการกระทำที่เกิดขึ้นให้กับมูลเหตุแห่งกฏธรรมดา เช่นการชิริกของพวกปรัชญา พวกธรรมชาตินิยม และผู้เจริญรอยตามพวกเขา 6. ภาคีด้วยเป้าหมายต่าง ๆ คือกระทำอะมัลเพื่อคนอื่นจากอัลลอฮ์ ตะอาลา เหล่านี้ ไม่มีตรงไหนบอกว่า การจูบหินดำนั้น เป็นการทำชิริก เพราะการ 1. การจูบหินดำ ไม่ใช่การถือว่าหินดำเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮฺ 2. การจูบหินดำ ไม่ใช่การถือว่าหินดำเป็นพระเจ้าหนึ่งซึ่งแบ่งภาคส่วนมาจากอัลลอฮฺ 3. การจูบหินดำ ไม่ใช่การทำอิบาดะห์ หรือทำความเคารพภักดี กราบไหว้หินดำ เพื่อการใกล้ชิดอัลลอฮฺ แต่เป็นการแสดงความรัก ต่อสิ่งที่อัลลอฮฺประทานให้ เหมือนกับการจูบของรักซึ่งคนที่เรารักและเทิดทูนมอบมาให้เรา ไม่ใช่การกราบไหว้ ของสิ่งนั้น 4. การจูบหินดำ ไม่ใช่การทำอิบาดะห์ หรือทำความเคารพภักดี กราบไหว้หินดำ โดยเลียนแบบผู้อื่น หรือศาสนิกอื่นแต่อย่างใด 5. การจูบหินดำ ไม่ใช่การพาดพิงผลการกระทำที่เกิดขึ้นให้กับมูลเหตุแห่งกฏธรรมดา เช่นการชิริกของพวกปรัชญา พวกธรรมชาตินิยม และผู้เจริญรอยตามพวกเขา 6. การจูบหินดำ ไม่ใช่การภาคีด้วยเป้าหมายต่าง ๆ คือกระทำอะมัลเพื่อคนอื่นจากอัลลอฮ์ ตะอาลา เราจะพบว่า การจูบหินดำ ไม่ได้เข้าข่ายการชิริกแม้แต่น้อย แต่แมทท์ก็พยายามบอกว่าทำชิริกเพื่ออะไร ก็เพื่อที่จะลดความน่าเชื่อถือของฮะดีษไงล่ะครับ มันเป็นการแสดงความไม่เข้าใจของแมทท์ ในสิ่งที่ตนเองโพสต์แต่อย่างใด มันเป็นแค่การไปก๊อบเอามาจากเว็บไซต์โจมตีอิสลามเท่านั้น ซึ่งถ้าการจูบหินดำคือชิริก การที่ผมจูบลูกผม เพราะลูกผมคือของขวัญล้ำค่าจากอัลลอฮฺที่ประทานให้ก็ชิริกสิครับ? และถามหน่อย การไม่จูบหินดำบาปหรือไม่ครับ? ถ้าอะไรจะเป็นขยะในอิสลาม ผมก็คงต้องบอกว่า แมทท์นั่นแหละครับ ขยะโสโครก น่ารังเกียจ และเป็นมลพิษในกระดานสนทนาแห่งนี้ เพราะแมทท์ ไม่มีคุณค่าทางวิชาการใด แถมยังมีพิษ เพราะบิดเบือนหลักการศาสนา ตามใจตัวเอง และมุสลิมก็พยายามกำจัด ขยะที่ชื่อว่าแมทท์ อยู่ตลอดนั่นแหละครับ จากคุณ : Carroth - [ 9 เม.ย. 52 14:35:45 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ผมขอขึ้นต้นคำอธิบาย ข้อสรุปความเห็น    ในการตอบคำถามของคุณ  Phoenixle เจ้าของกระทู้นี้ โดยอ้างถึง ข้อความสำคัญ และ   เหตุผลที่แท้จริงว่า,   อยู่ที่ ความคิดเห็นที่ 2 และความคิดเห็นที่ 23 ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง มีความดังนี้..    "โดยรวมแล้ว ก็สรุปได้ว่า อิสลามไม่จำเป็นต้องมีนักบวช เพราะหน้าที่ของนักบวช คือสืบทอดศาสนา เรียนรู้เรื่องศาสนา เผยแผ่ศาสนา ทำพิธีกรรมต่างๆ ทางด้านศาสนา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มุสลิมทั่วไปทำได้โดยไม่ต้องบวช และยังประกอบอาชีพ มีครอบครัวตามปกติด้วย จึงมีคำว่า อิสลามไม่มีนักบวช แต่มุสลิมทุกคนคือนักบวชในศาสนา เพราะทำหน้าที่ ของนักบวชไปด้วย เพียงแต่ ไม่มีการบวชหรือยกระดับฐานะเหนือกว่า มุสลิมทั่วไปนั่นเอง"   จากคำกล่าวนี่แหละครับที่เป็นเหตุผลที่สำคัญ ที่ทำให้มุสลิม ไม่ว่าจะอยู่ในลัทธิใดที่แตกแยกออกจาก, อิสลามที่แท้จริงตามคำสอนของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด  สามารถที่จะ ปฏิบัติศาสนกิจที่เป็นหลักศรัทธาที่สำคัญของ อิสลาม (การละหมาด, การถือศีลอด,การบริจาคทาน ฯลฯ) มาจนถึงทุกๆวันนี้”        เหตุผลที่มุสลิมทุกๆท่านถือศีลเท่ากันหมดและไม่มีนักบวช ในศาสนาอิสลาม  ดังนั้น หน้าที่ของ มุสลิม คือสืบทอดศาสนา เรียนรู้เรื่องศาสนา เผยแผ่ศาสนา ทำพิธีกรรมต่างๆ ทางด้านศาสนา  ตกทอดต่อกันมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน โดยเหตุนี้ การทำละหมาด จึง เป็นการ ทำตามคำสั่งของพระเจ้าตามอัลกุรอานโดยไม่ต้องคอย หรือ เพื่อ รอเรียนรู้จาก “อะหะดีษ” ซึ่ง มีการรวบรวมภายหลังอัลกุรอาน นานประมาณ 300 กว่าปี        แม้กระนั้น “อะหะดีษ” ก็ไม่มีหลักฐานใน วิธีการละหมาด อย่างละเอียดและแน่นอน  เป็นการอธิบาย โดย เอาเรื่องบอก เล่าต่างๆ  เกี่ยวกับการละหมาด มาประติดประต่อกัน โดยที่เรื่องที่มาประติดประต่อนั้น มีการเล่าที่มีเวลาต่างๆกันเป็นร้อยๆปี        ถ้าถามว่า “การทำละหมาด 5 เวลาประจำของมุสลิม อยู่ในส่วนไหนของอะหะดีษ จะไม่มีผู้ใดหามาได้ ในรูปแบบที่ทำกัน อยู่ ตามนิกายต่างๆในศาสนาอิสลาม เพราะยังตกลงกันไม่ได้ว่า การละหมาดของนิกายต่างๆนั้นนิกายใดถูกต้องมาก กว่าของนิกายใดๆ, หรือแม้ว่าในนิกายเดียวกัน (หาอ่านได้ที่ เวบอนุรักษ์มรดกอิสลามและ เวบ mureed.com)   .................................................... จากคุณ : แมทท์ - [ 10 เม.ย. 52 05:31:53 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เนื่องจากเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของผมกับสมาชิกท่านใด  ผมจึงจะไม่มีการตอบโต้ ประณามผู้ที่มีความคิดเห็นและความเข้าใจที่ไม่ตรงกับผมและหลักการ “เชื่อพระเจ้าองค์เดียว” ของศาสนาอิสลาม แต่ผมจะให้คำอธิบายเพิ่มเติมดังนี้:         สถานที่ที่เรียกว่า “กะบะห์” นั้นเป็นสิ่งก่อสร้าง รูป สี่เหลี่ยมจัตตุรัส ถูกสร้าง แล้วสร้างอีก หลายครั้ง โดยใช้หินซึ่งเป็นวัสดุในการก่อสร้าง แต่ดั้งเดิม เพื่อแสดงจุดกลางของโลกนี้, ในการเดินเวียนรอบๆ “กะบะห์” นี้ มีข้อห้ามในการ ถูก ต้องหรือจับ ก้อนหิน กำแพง เพื่อหลีกเลี่ยง จากการ ยึดถือสิ่งใด ที่อยู่ในรูปแบบของการ ยกระดับ วัตถุต่างๆดังกล่าว เทียบเท่าพระเจ้า (การทำ “ชริก”)          การห้ามนี้เป็นการห้ามอย่างเด็ดขาด เนื่องจากศาสนาอิสลาม ไม่ยอมให้มีสิ่งใดมาเกี่ยวของในการมี ความศรัทธาต่อพระเจ้า “อัลลอฮ์” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ห้ามการ เคารพบูชา บุคคล(ไม่ว่าจะเป็นหรือตายไปแล้ว),  หลุมศพ, สถานที่เก็บศพ, ตัวอาคารของ มัสยิด (สุเหร่า) เพราะสิ่งเหล่านี้  ทำให้ จิตใจอ่อนไหวไปจากพระเจ้า “อัลลอฮ์”  ได้อย่างง่ายดาย        กะบะห์นี้มีชือเรียกว่า “อัลบัยต์อัลหะรอม”  คือหมายถึงบ้านหรือสถานที่ๆมุสลิมจะฝ่าฝืนกฏบัญญัติไม่ได้อย่าง เด็ดขาด ,  โดยเหตุนี้ ตามข้อห้ามต่าง ในการ พิธีกรรมทำฮัจจฺ  เป็นการสอนมุลิมผู้ศรัทธาในการนับถือพระเจ้าองค์เดียว(อัลลอฮ์) อย่างสูงสุด คือไม่มีการทำ “ชริก” ใดๆทั้งสิ้น (การกราบเคารพ หรือ สัมผัส วัตถุ สิ่งใดในขณะที่ ทำพิธีกรรมทางศาสนา ตามบัญญัติของพระเจ้า         มุสลิมจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งในการกระทำที่อาจจะเป็นการ ฝ่าฝืนข้อห้ามดังกล่าว  เพื่อความยึดมั้นต่อพระเจ้าองค์เดียวอย่างเที่ยงตรง,  ทั้งนี้รวมทั้ง การยกย่อง ตัวโครงสร้างของ, ”กะบะห์”และ ก้อนหินต่างๆที่ อยู่ในบริเวณกะบะห์ เป็นพิเศษและเป็นสิ่งศักสิทธิ์         โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  “ลูกอุกาบาต” หรือก้อนหินดำที่อยู่ในกรอบแท่นซึ่งเป็นเครื่องหมายตรงมุมในการเริ่มต้นของการเดิน รอบๆ เป็นจำนวน 7 รอบ (ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ที่แท้จริง ของ การวาง, “ลูกอุกาบาต” หรือก้อนหินดำ ไว้ตรงจุดนั้นใน “กะบะห์)   ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ มุสลิมจะต้องฝ่าฝืน  กฏ ไปจูบ กอด หรือ รูปคลำ“ลูกอุกาบาต” หรือก้อนหินดำ ดังที่เห็นอยู่ใน ภาพที่21,   การจูบหินดำที่ “กะบะห์” จึงถือว่าเป็นการกระทำที่เป็น “ชริก ในทางศาสนาอิสลาม      เนื่องจาก“อัลบัยต์อัลหะรอม” เป็นสถานที่ๆผู้ใดจะฝ่าฝืน บัญญัติในการศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียวไม่ได้อย่างเด็ดขาด ในรูปแบบใดๆก็ตาม, ดังนั้น เรื่อง เล่า จาก อัลหะดีษ ที่ว่า “มีผู้เห็นท่านศาสนทูตก้มลงจูบก้อนหินดำนั้น จึงเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะศาสนทูตจะไม่ ฝ่าฝืนบัญญัติของพระเจ้าในการ “บับถือพระเจ้าองค์เดียวอย่างสูงสุด” เป็นเด็ดขาด        การจูบลูกเมียเพื่อแสดงความรักและซาบซึ้งในความเมตตากรุณา ทีเราได้รับจากพระเจ้า “นั้นเป็นอิบาดะห์” อย่างหนึ่ง,  ส่วนการจูบ, “ลูกอุกาบาต” หรือก้อนหินดำ นั้นเป็น “บิดะอะห์” ซึ่งมีข้อห้ามอยู่ในอัลกุรอานเกี่ยวกับ “ก้อนหินดังนี้” “O ye who believe! Intoxicants and gambling, (dedication of) stones, and (divination by) arrows, are an abomination,- of Satan's handwork: eschew such (abomination), that ye may prosper.”  (5:90 Yusuf Ali)     เนื่องจากผมได้ให้คำอธิบายไว้อย่างพอเพียงแล้ว เพื่อให้ทุกๆท่านเก็บไปพิจารณา ความเห็นของผมในกระหทู้นี้ และวันหนึ่ง ในภายหน้าคุณๆก็คงจะเข้าใจอิสลามได้ถูกต้อง กว่าเดิม     ความคิดเห็น ข้อนี้จะเป็นความเห็น สุดท้ายของผมสำหรับกระทู้นี้ ....เนื่องจากผมจะนำเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ที่มีสมาชิกหลายท่านมีข้อสงสัยเกี่ยวกับ หลักการของอิสลาม..คือเรื่อง ที่ มีผู้กล่าวอยู่เสมอว่าศาสนาอิสลามสอนให้ “สามีมีสิทธิในการเฆี่ยนตีภรรยาได้” ...มุสลิมเข้าใจเรื่องนี้อย่างถูกต้องแล้วหรือ?, .....โปรดติดตามอ่านและแสดงความคิดเห็นได้ครับ จากคุณ : แมทท์ - [ 10 เม.ย. 52 05:36:13 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เรื่องการ เอาคำพูดของผมมาบิดเบือนและสรุปไปเองอย่างหน้าด้านๆ ยังไม่จบอีกนะครับ ไม่เป็นไร ถ้าอยากประจานตัวเองนักผมจะช่วยก็แล้วกัน ผมบอกไปแล้วล่ะครับว่า ส่วนคำพูดของผม เกี่ยวกับนักบวช ที่แมทท์เอามาสรุปเอาเองแบบ ไร้หลักการและเหตุผลนั้น ไม่ได้บ่งบอกเลยว่า มุสลิมปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ ตามประเพณีตกทอดมา 1,400 ปี พูดง่ายๆ ว่า แมทท์สรุปเอาเองแบบหน้าด้านๆ สรุปแบบไร้ยางอายที่สุด เพราะการที่มุสลิมไม่มีนักบวช แต่มุสลิมทุกคนทำหน้าที่ สืบทอด ศาสนา และผมยังบอกว่าด้วยว่า เรียนรู้ศาสนา ซึ่งนี่คือสิ่งสำคัญในการสืบทอด ไม่ใช่สืบทอดกันแบบงมงาย ตามประเพณี แต่สืบทอดด้วยการเรียนรู้ศึกษา ทั้งกุรอ่าน ประวัติศาสตร์ และแบบอย่างของท่านศาสดา การอ้าง การละหมาดหรือปฏิบัติศาสนกิจเป็นการตกทอดแบบรุ่นสู่รุ่น เป็นการอ้างที่ ไร้เหตุผล และไร้ความคิดเป็นอย่างมาก เพราะการที่มุสลิมทำละหมาด 5 เวลา กันหมดทั่วโลก นั่นเพราะใช้ แบบอย่างท่านนบี ที่บันทึกในฮะดีษครับ ไม่ใช่ทำตามบรรพบุรุษ เพราะถ้าทำตามบรรพบุรุษ การละหมาดทั่วโลก จะไม่ใช่ 5 เวลาเหมือนกันอย่างทุกวันนี้ แต่จะมีการต่อเติมไปเรื่อยๆ อาจจะ 6 เวลา หรือเหลือ 2 เวลา ตามแต่ความคิดตัวเอง เพราะการอ้างบรรพบุรุษ นั้นไม่มีหลักฐาน จะอ้างว่า 6 4 8 ก็ไม่มีใครยืนยันได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ถ้าแมทท์บอกว่าแมทท์ละหมาด วันละ 2 เวลา ตามบรรพบุรุษ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า บรรพบุรุษแมทท์ไม่มั่ว บรรพบุรุษแมทท์ ไม่ใช่คนโกหก บรรพบุรุษแมทท์ ไม่ใช่ผู้มีปัญหาทางความจำ แล้วถ้าบรรพบุรุษ ของอีกคนนึง มาบอกว่า ละหมาดมี 7 เวลาต่างหาก เพราะบรรพบุรุษผมบอกแบบนี้ จะยืนยันกันอย่างไร? นี่แหละครับ ตรรกะอันไม่สมเหตุสมผลของแมทท์ เราจะเห็นได้ว่าการเรียนรู้ศาสนาของมุสลิมนั้น เป็นเรียนรู้ครับ ไม่ใช่การทำกันตามประเพณีโดยไม่มีหลักการ เพราะการทำตามๆกันมาแบบนั้น จะไม่สามารถตอบคำถามหรือตัดสินได้ เมื่อเกิดความขัดแย้ง ในจำนวนละหมาด หรือวิธีละหมาดเกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้แมทท์ไม่สามารถตอบได้และไม่เคยตอบได้ครับ และฮะดีษนี่แหละครับ ที่บอกเวลาละหมาด จำนวนรอบในการละหมาด การอ่านกุรอ่านบทต่างๆ ในละหมาด ท่วงท่าต่างๆ สิ่งเหล่านี้มีในฮะดีษครับ ใครบอกว่าไม่มีคนนั้นโกหกครับ แมทท์บอกมั่วๆว่า ถ้าถามว่า “การทำละหมาด 5 เวลาประจำของมุสลิม อยู่ในส่วนไหนของอะหะดีษ จะไม่มีผู้ใดหามาได้ ในรูปแบบที่ทำกัน อยู่ ตามนิกายต่างๆในศาสนาอิสลาม เพราะยังตกลงกันไม่ได้ว่า การละหมาดของนิกายต่างๆนั้นนิกายใดถูกต้องมาก กว่าของนิกายใดๆ, หรือแม้ว่าในนิกายเดียวกัน (หาอ่านได้ที่ เวบอนุรักษ์มรดกอิสลามและ เวบ mureed.com) แล้วมาดูฮะดีษ นี้กันนะครับ ฮาดิสที่รวมเวลาละหมาดทั้งห้า ก็คือฮะดีสที่มุสลิม (614) และผู้อื่นได้รายงาน จากอบีมูซา อัลอัชอารีย์ (ร.ด) จากท่านนบี (ซ.ล) ว่า ได้มีผู้หนึ่งมาถามท่านนบี (ซ.ล) ถึงเรื่องเวลาละหมาด แต่ท่านไม่ได้ตอบอะไรเขาผู้นั้น  เขาได้กล่าวว่า ได้มีผู้อิกอมะห์ละหมาดซุบฮิ์ขณะที่แสงอรุณจริงขึ้น ในสภาพที่มนุษย์บางส่วนกับอีกบางส่วนเกือบไม่รู้จักกัน (คือยังคงมืดอยู่) ต่อมาท่านได้ใช้เขาให้อิกอมะห์ละหมาดดุฮ์รี่ขณะที่ตะวันคล้อย และมีผู้กล่าวขึ้นว่า ความจริงเป็นเวลาเที่ยงวัน โดยที่ท่านนบี(ซ.ล) รู้ดียิ่งกว่าใคร หลังจากนั้นท่านได้ใช้พวกเขา จึงได้มีผู้อิกอมะห์ละหมาดอัสริ์ขณะที่ตะวันยังอยู่สูง หลังจากนั้นท่านได้ใช้เขา เขาจึงได้อิกอมะห์ละหมาดมัฆริบขณะที่ตะวันตก ต่อมาท่านได้ใช้เขา เขาจึงได้อิกอมะห์ละหมาดอิชาอ์ ขณะที่แสงหายไปจากขอบฟ้า จากนั้นท่านได้ละหมาดซุบฮิ์ล่ากว่าเมื่อวานนี้ จนท่านเสร็จละหมาด มีผู้กล่าวว่า ตะวันขึ้นแล้วหรือว่าตะวันเกือบขึ้น ต่อจากนั้นท่านได้ละหมาดดุฮริ์ล่า จนเกือบเข้าเวลาอัสริ์ของเมื่อวานนี้ ต่อมาท่านก็ละหมาดอัสริ์ล่า จนท่านเสร็จละหมาด มีผู้กล่าวว่า ตะวันเป็นสีแดงแล้ว ต่อมาท่านได้ละหมาดมัฆริบล่า จนเกือบเป็นขณะเดียวกับที่แสงที่ขอบฟ้าหายไป จากนั้นท่านได้ละหมาดอิชาอ์จนเกือบถึงหนึ่งในสามส่วนแรกของเวลากลางคืน (ประมาณสี่ทุ่ม) หลังจากนั้นก็ถึงเวลาซุบฮิ์ ท่านจึงได้เรียกผู้ถามมา แล้วกล่าวว่า “เวลาละหมาดนั้นอยู่ระหว่างทั้งสองนี้” ฮะดีษนี้นอกจากจะบอกเวลาละหมาดแล้วยังบอกระยะเวลาของละหมาดแต่ละเวลาด้วย ซึ่งแต่ละสำนักคิดจะละหมาดต่างกันบ้าง ก็ดูตัวอย่างฮะดีษนี้ก็จะทราบว่า แต่ละเวลา ท่านรอซูล ละหมาดให้เราเห็นทิ้งระยะห่างกัน บางคนจึงอาจจะมีการละหมาด เร็วหรือล่าช้ากว่ากัน บ้าง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เขาทำผิด หรือบัญญัติกฎขึ้นมาเองอย่างที่แมทท์โกหก จากคุณ : Carroth - [ 10 เม.ย. 52 06:09:29 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ทุกท่าน ดูเอาเองนะครับ ผมท้าแมทท์แล้วว่าการ จูบหินดำนั้นผิดหลักการข้อไหนของอิสลาม ทั้งจาก กุรอ่าน หรือฮะดีษก็ได้ แต่แมทท์ก็ไม่ได้เอาข้อห้ามทั้งจากกุรอ่านหรือฮะดีษมาอ้างเลย ผมถามคุณตรงๆ ไม่ได้ ถามกำกวม หรือเข้าใจยากตรงไหนเลยนะครับ ว่า การจูบหินดำผิดหลักการอิสลามตรงไหนครับ? จะมาอ้างว่า ห้ามจับ หรือถูกต้องกำแพง ก้อนหินใดๆ เนี่ย หลักการห้ามนี้ อยู่ตรงไหนของอิสลาม ถ้าคุณอ้างว่า คุณใช้กุรอ่านเท่านั้น ปฏิบัติศาสนกิจ งั้นบอกมาตรงนี้เลยว่า กุรอ่าน ห้ามการจูบหินดำ ตรงไหน? กุรอ่านที่คุณยกมานั้น ผมจะเอาคำแปลมาให้ครับ 90. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! ที่จริงสุราและการพนันและแท่นหินสำหรับเชือดสัตว์บูชายัญ และการเสี่ยงติ้วนั้นเป็นสิ่งโสมมอันเกิดจากการกระทำของชัยฏอน ดังนั้นพวกเจ้าจงห่างไกลจากมันเสียเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ ไม่เกี่ยวกับหินดำครับ และไม่เกี่ยวกับการจูบหินดำแต่อย่างใด นี่เป็นเรื่องการบูชายัญ สุรา การพนัน และการเสี่ยงติ้ว เห็นหรือไม่ครับทุกท่าน มั่วจริงๆ มั่วตั้งแต่ต้นจนจบ และอย่ามาเทียบกับการ เคารพกราบไหว้หลุมศพ บุคคล สถานที่เก็บศพ ตัวอาคาร เพราะไม่มีมุสลิมคนไหน กราบไหว้อะไรนอกจากอัลลอฮฺอยู่แล้ว และการ จูบหินดำก็ไม่ใช้การ กราบไหว้ เคารพ สักการะ หรืออิบาดะห์ใดๆ ทั้งสิ้น คุณมาอ้างว่า การจูบหินดำเป็นการทำชิริก ผมก็ถามว่า การจูบหินดำ ทำชิริกตรงไหน อย่างไร เมื่อไหร่ คุณวงเล็บว่า ชิริกคือ การกราบเคารพ หรือสัมผัสวัตถุ? สิ่งใดในขณะที่ทำพิธีกรรมทางศาสนา คุณก็ต้องอธิบายว่ากฎของคุณข้อนี้คุณเอามาจากไหน? อิสลามบัญญัติไว้ตรงไหน เพราะวัตถุที่ถูกจับต้อง ในขณะทำฮัจญ์ มีตั้งแต่ รถเข็น ไปจนถึง อุปกรณ์ต่างๆ บางคนอาจจะต้องพิงกับกำแพง มัสยิด บางคนก็โดนเบียดไปติดกำแพงอีกมุม แล้วกฎที่คุณว่าห้ามสัมผัสวัตถุใดเนี่ย อยู่ตรงไหนของอิสลาม? ยิ่งเรื่องการยกย่องตัวโครงสร้างของ กะบะห์ หรือหินดำ ในบริเวณนั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งไม่มีมุสลิมคนไหนทำ การอะซาน มุสลิมก็ปีนไปเหยียบกะบะห์เพื่ออะซานก็มีมาแล้ว หรือการปีนไปเปลี่ยนผ้า ไปทำความสะอาดก็ทำมาแล้ว ไม่มีใครยก หินดำเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ครับ กรุณาอย่าโมเม ดังนั้นจะมาอ้างว่า การที่มุสลิมไปจูบ หินดำในภาพคคหที่ 21 นั้น เป็นการฝ่าฝืนกฎ ผมถามได้ถามว่า ฝ่าฝืนกฎอะไรไม่ทราบ กฎที่คุณว่าอยู่ตรงไหนของอิสลาม อยู่ตรงไหนของกุรอ่าน หรือฮะดีษ และยิ่งมาอ้างว่าเป็นการชิริก คุณต้องบอกให้ได้ว่า ชิริกอย่างไร เพราะการชิริกคือการยกย่องสิ่งใดสิ่งหนึ่งเทียบเทียมพระเจ้า หรือเป็นพระเจ้า แต่การจูบหินดำ ไม่ใช่การยกหินดำเทียบเทียมพระเจ้าหรือทำอิบาดะห์ต่อหินดำแทนพระเจ้าเลย ดังนั้นการที่ท่านศาสดาจะจูบหินดำจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแม้แต่น้อย เพราะท่านเองเป็นผู้นำหินดำไปประดับไว้ที่ วิหารนี้ และท่านก็ไม่ได้เอาหินดำนี้ออกไป ทั้งๆที่ ถ้ามันเสี่ยงต่อการ เป็นสิ่งบูชาแล้วล่ะก็ ท่านไม่ใช้หินดำเป็นตัวบอกจุดเริ่มต้นการเวียนรอบวิหารก็ได้ เพียงแค่ทำให้มุมนั้นโดดเด่นกว่าเดิม ด้วยการ ทำสัญลักษณ์ด้วยสี แทนก็ได้ ถ้าหินดำทำให้เกิดชิริก การสรุปว่า การจูบหินดำเป็นชิริกหรือเป็นการกราบไหว้บูชาหินดำ นั้นเป็นการสรุปเอางเอาโดยไม่มีหลักการ ไม่มีหลักฐานทางศาสนา ไม่ตรงกับตรรกะ เลย มันเป็นการ มั่วเอาเองของแมทท์ทั้งสิ้น ลองอ่านได้เลยครับ สิ่งที่เรียกได้ว่าหลักฐานนั้น มีโองการของกุรอ่านโองการเดียว ซึ่งเมื่ออ่านแล้วก็พบว่าไม่เกี่ยวกับหินดำ นอกนั้น ไม่มีหลักการอะไรทั้งสิ้น นอกจากคิดเองเออเอง และผมจะเซฟกระทู้นี้ไว้ เพื่อให้ทุกท่านได้เห็น ความตบแตลง กลับกลอก ปลิ้นปล้อน และไม่มีสาระใดๆ ของแมทท์ นี่จะเป็นหลักฐานอย่างดี ในการอ้างอิงครับ ว่าคนอย่างแมทท์ ไม่ได้มีคุณค่าทางวิชารอะไรเลย จะสรุปอะไรให้มันมีหลักการหน่อยครับ อย่ามั่วประเด็น อย่าจับนู่นผสมนี่แบบไม่มีหลักการ จากคุณ : Carroth - [ 10 เม.ย. 52 06:40:23 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เรื่องการเฆี่ยนตีภรรยานั้น มุสลิมได้อธิบายไปแล้วครับ อย่างมีหลักการและความรู้ ไม่จำเป็นต้องรอให้ คนอย่างแมทท์มาตอบหรอกครับ เพราะข้อสงสัยของอิสลามก็ต้องให้มุสลิมตอบ ไม่ใช่เอาเศษขยะ จากกองขยะที่ชื่อแมทท์ มาตอบคำถามเรื่องอิสลาม คำตอบเรื่อง การเฆี่ยนตี http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=ali-wasal&date=10-07-2007&group=4&gblog=3 ซึ่งโดยสรุป ถ้ามีแม้แต่บาดแผลในการตีภรรยา สามีก็จะได้รับโทษเท่าเทียมกัน และ สามารถฟ้องหย่าได้ จากการถูกทุบตีนะครับ กองขยะอย่างแมทท์ ตอบเรื่องละหมาดให้ได้ก่อนดีกว่า สำเนียกตัวเองบ้าง ว่ามีความรู้อะไรจะไปคุยเรื่องศาสนาอิสลามในประเด็นต่างๆ เพราะแค่เรื่องละหมาด ยังเอาตัวไม่รอดเลย จากคุณ : Carroth - [ 10 เม.ย. 52 06:52:34 ]