ความคิดเห็นที่ 1 อิสลามไม่มีนักบวชคับแต่ทุกคนคือนักบวช คัมภีร์ อัลกุรอานไม่ใช่แค่เป็นเพียงคัมภีร์เอาไว้ให้อ่าน แต่มันคือแนวในทางในการดำเนินชีวิตของมนุษยชาติ ในอัลกุรอานมีเรื่องราวของสิ่งที่พระผู้เป้นเจ้าบอกไว้ ทั้งในอดีตและปัจจุบันและอนาคต ถ้ามีปัญหาเรื่องศาสนาผมยินดีตอบคำถามให้ได้นะคับ ปล....แต่ผมจะไม่ค่อยได้เข้ามาใน BP เท่าไหร่วันนี้เอะใจยังไม่ไม่ทราบถ้า MSN ยังออนได้บ้างคับ emai...torliban@hotmail.com จากคุณ : Issy-Islandman (bang_bha) - [ 26 เม.ย. 52 16:33:28 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ขอความสันติจงมีแด่ท่าน เรื่องการดำเนินชีวิตนั้น มุสลิมผู้นับถืออิสลาม จะใช้หลักศาสนาในการดำเนินชีวิตตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน ไม่ว่าจะเป็น....... - การใจเย็น การอภัย การไม่ลักขโมย ไม่โกหก - การซื่อสัตย์สุจริต การไม่นินทา ไม่ใส่ร้าย ไม่อิจฉา และมีน้ำใจกับเำื่พื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน เพื่อนฝูง - การรักษาความสะอาด - การดำรงไว้ซึ่งอิบาดะฮฺ(สิ่งที่ศาสนาสั่งใช้ให้ทำเป็นประจำขาดไม่ได้ เช่น ละหมาด การบริจาคทาน การถือศีลอด การประกอบพิธีฮัจย์) มารยาทต่างๆ เช่น การทานอาหารต้องทานมือขวา ก่อนทานต้องล้างมือ - มารยาทในการแต่งกาย - มารยาทต่อเพื่อนบ้าน - มารยาทต่อเพื่อนต่างศาสนา - หลักการแต่งงานและหน้าที่ของสามีภรรยา - หน้าที่ของบุตร และหน้าที่ของพ่อแม่ - หน้าที่ในการเป็นผู้นำ เป็นต้น แต่ถ้าหากถามว่าทำไมยังมีมุสลิมที่ยังไม่ปฏิบัติตามหลักศาสนา นั่นก็อยู่ที่การเรียนรู้ ความเข้าใจและนำไปปฎิบัติใช้ได้ทุกเหตุการณ์ หลายคนรู้แต่ไม่ได้ทำ  การมีเพื่อนและสังคมไม่ดี ครอบครัวไม่มีอิสลาม คือใช้ศาสนาตามใจฉัน ก็ทำให้เขวจากสิ่งดีงามได้ อิสลามเข้าใจความเป็นมนุษย์ บางเรื่องอนุโลม บางเรื่องปล่อยปะละเลยไม่ได้ เพราะจะยิ่งทำให้สังคมย่ำแย่ และตกต่ำ เนื่องจากมนุษย์ชอบกระทำตามลำเพอใจนั่นเอง ดังนั้นหากต้องการเรียนรู้อิสลามทุกขั้นตอนการใช้ชีวิต ลองแวะไปเยี่ยมเยียนได้ที่ www.annisaa.com/forum ก็ได้ค่ะ เพราะที่นั่นทุกอย่างนำอิสลามมาใช้ในการดำเนินชีวิต แม้กระทั่งข่าวสารอิสลามยังสอนให้มีการวิเคราะห์ เชื่อในข้อเท็จจริง ก่อนที่จะตัดสินใคร แม้กระทั้ง ปัญหาชีวิตอิสลามก็ยังมีแนวทางแก้ไข ลองแวะไปได้นะคะ ;) ด้วยความเคารพค่ะ จากคุณ : นะ(รก) - [ 26 เม.ย. 52 18:12:55 ]

ความคิดเห็นที่ 4 คุณหัวหอมกะซาวครีม...      ผมเป็น ผู้ที่ เชื่อศรัทธาในความเป็น “หนึ่งเดียวของพระเจ้า” อย่างบริสุทธิ์,  ซึ่งเป็นสภาวะ ที่ไม่ตรงกับ ลักษณะต่างๆ ตามที่ มนุษย์ สามารถ จะจินตนาการได้     เป็นอำนาจ ที่ให้กำเนิด จักรวาล,  ควบคุมสภาวะต่างๆของระบจักรวาล รวมทั้งการ จัดระบบ ธรรมชาติ,รวมทั้ง สิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของอำนาจที่สูงสุดนี้.      การเกิด,แก่,  ความป่วยไข้ และความตาย ของสิ่งมีชีวิต และ การเปลี่ยนแปลง สภาวะการของธรรมชาติต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งแวดล้อมเป็น สภาวะที่อยู่ในระบการควบคุมของ พระองค์ อำนาจลึกลับที่เกินกว่า การที่มนุษย์ จะจินตนาการได้นี้        พลานุภาพนี้สามารถที่จะติดต่อและเข้าใจถึง  ความรู้สึกของ  มนุษย์แต่ละคนได้ โดยตรง โดยไม่ต้องมี คนกลาง มาเป็น ผู้เชื่อม โยงระหว่างมนุษย์ กับพระองค์      ในการที่เรานิยมใช้สรรพนามเรียก อำนาจที่ยิ่งใหญ่นี้ว่า “พระเจ้า”  และใช้ คำ “ประธาน” ว่า พระองค์ นี้ ไม่ ตรงทีเดียว เพราะ คำศัพท์ที่มนุษย์ กำหนดขึ้นนี้ ทำให้อำนาจหรือ อนุภาพที่ยิ่งใหญ่นี้ ถูกจำกัด อยู่ใน ลักษณะ “บุคคล”        แม้กระนั้นยังไม่ มีศัพท์ คำใดที่ เหมาะสม กว่า  คำว่า “พระเจ้า”, และคำ “สรรพนาม ว่า พระองค์” ที่จะใช้ในการอธิบายถึง  อนุภาพที่ยิ่งใหญ่ในความรู้สึกของ มนุษย์ผู้ศรัทธา ใน “พระเจ้า” ได้  หลักที่สำคัญ และความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าในศาสนาอิสลาม  ก่อนอื่น คุณต้องเข้าใจว่า  คำว่าอิสลามคืออะไร?     คำว่าอิสลามคือ “หลักการคำสอนที่จัดระบบไว้สำหรับ มวลมนุษย์ให้มีความเชื่อว่าพระเจ้าหรือพลานุภาพในการควบคุณสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตในโลกนี้ นั้นมี จริง, และมนุษย์จะต้องปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ทุกๆอย่างที่พระเจ้าให้ไว้เป็นแนวทางด้วยความเชื่อมั่น ทั้ง กายวาจาและใจ,  โดยที่ไม่มีจิตใจ อ่อนไหว ยกสิ่งอื่นใดขึ้น เทียบเคียง และมีฐานะเสมอภาคเท่าพระองค์ หรือ มีใจรำลึกถึงพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์โดย การกระทำผ่านบุคคลหรือ วัตุ ไม่ว่าจะอยู่ ในรูปแบบใดๆทั้งสิ้น                                                                                                     คือ มีความสวามิภักดิ์  ศรัทธาต่อ อำนาจ ดังกล่าว ทั้ง กาย วาจา ใจ และจะต้องรำลึก ว่าอำนาจที่ยิ่งใหญ่นี้  ติดอยู่ภายใจจิตใจของเราประดุจ เส้นเลือด ใหญ่ ที่ลำคอของ เรา ตลอดเวลา,   ไม่มีสิ่งอื่นใดไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือมนุษย์จะเสมอเหมือน หรือ เทียบเท่า พลานุภาพที่ยิ่งใหญ่นี้, ที่สมควรที่จะได้รับการสดุดีและสรรเสริญ จากผู้ศรัทธาต่อพระเจ้า พระองค์เดียวนี้, องค์เดียวเท่านั้น   ผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียวนี้ เรียกว่า “มุสลิม”     การนับถือศาสนาหรือมีความศรัทธาต่อพระเจ้าที่แท้จริงนั้น  จะต้อง เข้าใจให้ถูกต้องว่า , การจะนับถือต่อศาสนานั้น จะนับถือศาสนาแบบ “Cult” หรือ ตาม “Religion”ที่แท้จริง?    การถือศาสนา แบบ “Cult” คือสมาชิกของ “Cult” หรือ นิกาย ต้องอยู่ภายใต้อำนาจความเชื่อตามหัวหน้า “CULT”, ผู้ที่ตกเป็นสมาชิกของ Cult หรือ นิกายจะไม่มี ความเป็นตัวเองและตัดสินใจในความศรัทธา ได้ตาม ความต้องการและสติปัญญาของตนเองได้  การปฏิบัติพิธีกรรม ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างจะ เป็นไปตาม แบบแผนและกฏเกณฑ์, ประเพณี ตาม ทางและเป้าหมายของ หัวหน้า “Cult” โดย หัวหน้า “CULT”, อาศัย การอ้างถึง คำสอนของศาสดา และการบิดเบน ความ จริงที่กำกวม จาก บัญญัติ ของพระเจ้าโดย การแปลความหมาย บัญญัติของพระเจ้าไปตามความต้องการของหัวหน้า“CULT”     กลุม “CULT” ของ”อิสลาม” หรือ นิกาย ในอิสลามมีเป็นจำนวนมาก ซึ่งขัดกับหลักการใหญ่ที่สำคัญ อย่างหนึ่งคือ “การแตกแยกหรือแบ่งศาสนาอิสลาม ออกเป็น กลุ่ม เป็น นิกาย”     ซึ่ง แต่ละกลุ่มและนิกาย มีความศรัทธา ที่มีลักษณะ คล้าย “CULT” หรือ ไม่ก็เป็น “PURE CULT”     ด้วยเหตุนี้ถ้าคุณสนใจจะศึกษา ศาสนาอิสลามแล้ว ใช้พิจารณาญาณ ว่า, อะไรคือ ศาสนาอิสลามที่แท้จริง และ อะไร คือ กลุ่มหรือ นิกาย ที่ ใช้ ระบบ “CULT” ที่อาศัยการแอบบอ้าง คำสอนของศาสดา และ บัญญัติของพระเจ้ามาหลอกล่อสมาชิก   ลักษณะของสมาชิก“CULT” ที่เห็นได้ชัดคือ 1.“ตอลิบาล”  เป็น กลุ่มของ “CULT”  ในนามของอิสลาม ที่อยู่ใน ชายแดนของ อาฟกานิสถาน และ ปากีสตาน 2. บรรดาสมาชิก“CULT”  ผู้ที่ “จูบหินดำ” และ “ขว้างปา เสาหินที่สร้างไว้เป็นสัญญาลักษณ์ว่าเป็น “ปีศาจ”ที่ ที่นครเมกกะ” 3.บรรดากลุ่มที่จำกัด สิทธิและ กดบังคับ สมาชิกหญิง ให้ต่ำต้อย กว่า “สมาชิกชาย”    โดยบิดเปือน บัญญัติของพระเจ้า  เช่น “อ้างว่า พระเจ้าบัญญัติให้ สามีตีภรรยาได้, ”  และขู่ว่า “ มีสตรีในนรกมากกว่าผู้ชาย,  เนื่องจากเธอ ไม่เอาใจสามี และ ปฏิบัติศาสนากิจไม่ครบ (เนื่องจากมีประจำเดือน),  และหญิงไม่อาจจะจับต้อง ศึกษาอัลกุรอานได้ขณะมีประจำเดือน     ลักษณะดังกล่าวขัดต่อการศรัทธาในการเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้า ตามหลักการของ “อิสลาม”   ถ้ามีอะไรสงสัยถามต่อได้ครับ จากคุณ : แมทท์ - [ 27 เม.ย. 52 06:34:56 ]

ความคิดเห็นที่ 5      คุณถามคำถามที่คุณสงสัยเกี่ยวกับอิสลามได้โดยไม่ต้อง เกรงกลัว หรือ มีความเกรงใจ         ผมจะอธิบายให้ โดยเฉพาะ เรื่อง สิทธิของสตรี ที่ ปฏิบัติ อย่างแท้จริง ในสังคม มุสลิม แม้ แต่ สตรีมุสลิมเอง  ก็ยัง ไม่เข้าใจ  เนื่องจาก  "ผู้รู้ มุสลิม" บางท่าน  ล้างสมองเธอ จนเชื่อว่านั้นคือการสอนที่ถูกต้อง......จากพระเจ้า แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 52 06:42:30 จากคุณ : แมทท์ - [ 27 เม.ย. 52 06:35:29 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณทุกๆท่านนะคะ ขอถามเพิ่มเติมนิดนึงว่า ถ้าต้องการจะศึกษาอิสลามอย่างแท้จริง ควรเริ่มจากอัลกุรอานก่อนเลยรึเปล่าคะ อีกอย่างคือ เรื่องของกฎชาเรีย นี่มีการกำหนดตายตัวเลยหรือเปล่าคะ ว่าผู้ปฏิบัติจะต้องทำอย่างไรบ้าง หรือ เป็นคำสอนในเชิงวิถีปฏิบัติ เราชื่นชมและสนใจอิสลามค่ะ แต่เห็นว่ามีผู้ศรัทธาจำนวนไม่น้อยที่ดู ออกจะเคร่งครัดไปหน่อย และอีกมากที่เหมือนไม่ได้นับถืออิสลาม เลยค่อนข้างสับสนน่ะค่ะ จากคุณ : หัวหอมกะซาวครีม - [ 27 เม.ย. 52 14:04:32 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะครับ ผมกะแล้วต้องมีคนมาป่วนกระทู้ login ที่ชื่อว่า แมทท์ ไม่ใช่มุสลิมนะครับ เขากำลังพยายามบิดเบือน และทำให้คนที่ไม่ใช่มุสลิมสับสน กับหลักการอิสลาม ด้วยหลักการปลอมๆ ที่เขา พยายามยัดเยียดให้ ถ้ามีเวลาแนะนำให้อ่านกระทู้เหล่านี้ครับ แล้วจะทราบว่าแมทท์ไม่ใช่มุสลิม แต่พยายามแอบอ้างตัวว่าเป็นมุสลิมเท่านั้น http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7711101/Y7711101.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/02/Y7541721/Y7541721.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/02/Y7497398/Y7497398.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/12/Y7312016/Y7312016.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/03/Y7619533/Y7619533.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/01/Y7478463/Y7478463.html ดังนั้นถ้าสงสัยอะไรในเรื่องอิสลามให้ถามมุสลิมครับ ถ้าไปถามคนที่แอบอ้างว่าเป็นมุสลิมแล้วล่ะก็ นอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้ว ยังจะได้ข้อมูลที่บิดเบือนผิดพลาดด้วยนะครับ จากคุณ : Carroth - [ 27 เม.ย. 52 14:59:29 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ซึ่งถ้า คุณ หัวหอมกะซาวครีม ได้อ่านข้อความของ login แมทท์แล้ว จะพบว่า แมทท์อ้างถึง กลุ่มต่างๆ ของ อิสลามว่าทำ ตามหัวกลุ่ม ที่อ้างถึงคำสอนศาสดา และตีความคำสอนเอาเองตามใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น เนื่องจากการตีความคำสอน และความหมายของคัมภีร์ในศาสนานั้น มีหลักการที่แน่นอนและมั่นคงอยู่แล้ว ไม่สามารถตีความได้ตามใจ เพราะภาษาอาหรับที่ใช้บันทึกคำสอน นั้นเป็นภาษาที่คนใช้อยู่ สำนวนต่างๆ คำพังเพย สุภาษิต การเปรียบเทียบต่างๆ ยังเป็นที่เข้าใจ ไม่จำเป็นต้องมานั่งเดา หรือ แปลให้ยุ่งยาก ดังนั้น การบิดเบือนหรือการ บิดเบน หรือการตีความเข้าข้างตัวเองจึงเป็นไปไม่ได้ แต่ที่แมทท์ กล่าวอ้างเช่นนี้ ก็เพื่อ ดิสเครดิตอิสลามว่ามุสลิม (ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม) ปัจจุบัน ไม่ได้ทำตามคำสอนที่แท้จริงของศาสนา แต่กลับไปทำตาม คำสั่งของหัวหน้า กลุ่มแทน ซึ่งคำอ้างนี้ เป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น และพยายามยกตัวเองว่าเป็นผู้เชื่อและศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง ทั้งๆที่ตัวแมทท์เอง เป็นผู้ที่ โจมตีอัลกุรอ่านคัมภีร์ของศาสนา อิสลามว่า มีการบิดเบือน หรือแต่งเติมขึ้นภายหลัง หลักฐานเหล่านี้ยังมีอยู่ ผมสามารถนำมาให้อ่านได้ คำพูดที่ดูเหมือนจะสวยหรู ถึงการไม่แบ่งแยกนิกาย การเข้าใจถึงคำสอนที่แท้จริง แล้วโจมตีอิสลามว่า เป็นคำสอนที่ เป็นระบบ cult ถูกแต่งเติม เพิ่มเสริม เพื่อหลอกล่อ ผู้อื่น นั้น ถ้าคุณ "หัวหอมกะซาวครีม" อ่านกระทู้ที่ผมนำมาแล้วล่ะก็จะทราบได้เลยว่า ผู้ที่หลอกล่อ และแต่งเติมเสริม หรือ ใช้ระบบ cult นั้นคือแมทท์เอง ที่ไม่มีหลักฐานอะไรในศาสนามาใช้ในการอ้างคำพูดของตัวเองเลย บางครั้งถ้า คุณถามเขาว่า ปฏิบัติศาสนกิจอย่างไร เขาก็จะบอกคุณว่า ทำตามบรรพบุรุษ ซึ่ง มุสลิมจะไม่อ้างแบบนี้ครับ เพราะคำสอน เรื่องศาสนกิจ เราจะไม่อ้างบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นแหล่งอ้างอิง ที่ยืนยันไม่ได้ พิสูจน์ไม่ได้ คัดกรองไม่ได้ อย่างเด็ดขาด แต่เราจะ อ้างถึงบันทึกคำสอนของท่านศาสดา ที่ได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดแล้วเท่านั้น ยกตัวอย่าง เรื่องนี้ ก็คือ มุสลิมนั้นละหมาดวันละ 5 เวลา ทั่วโลกครับ ไม่ขาดไม่เกิน แล้วคุณ หัวหอมกะซาวครีม ลองถามแมทท์ดูก็ได้ว่า ถ้า มีใครอ้างว่า ละหมาดมี 7 เวลาแล้ว แมทท์จะยืนยันอย่างไรว่า ละหมาดในอิสลาม มี 5 เวลา ไม่ใช่ 7 มุสลิมยืนยันได้ครับจากหลักฐานคำสอนของอิสลาม แต่แมทท์ไม่สามารถยืนยันได้ นั่นเพราะแมทท์ ไม่ใช่มุสลิมนั่นเอง จากคุณ : Carroth - [ 27 เม.ย. 52 15:22:44 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อันนี้คือเรื่องเกี่ยวกับชาริอะฮฺนะครับ เชิญ ท่าน จขกท อ่านได้เลยครับ ตั้งแต่ที่มาถึงความสำคัญของชาริอะฮฺ ----------------------------------------------------------- ชะรีอ๊ะฮฺ=กฎหมายอิสลาม            ในช่วงหลังๆ ที่ผ่านมา คำว่า “ชะรีอ๊ะฮฺ” เป็นที่ได้ยินและได้เห็นตามสื่อมวลชนแขนงต่างๆซึ่งไม่เป็นที่กระจ่างแก่คนทั่วไป ยิ่งถ้าได้ยินจากสื่อตะวันตก คำนี้จะถูกอธิบายว่าเป็นสิ่งที่ขัดกับคุณค่า ของตะวันตกหรือถูกมองในแง่ลบ ดังนั้น ผมจึงขอใช้หน้ากระดาษตรงนี้ทำความเข้าใจแก่ท่านผู้อ่านถึงความหมายของคำนี้            คำว่า “ชะรีอ๊ะฮฺ” โดยภาษาแล้วหมายถึง “ทางที่ตรงไปยังสายน้ำใหญ่ที่อาศัยดื่มกิน” และ “ทางที่ถูกต้องเที่ยงตรง”              จากความหมายดังกล่าว คำว่า “ชะรีอ๊ะฮฺ” จึงได้ถูกนำมาใช้เพื่อหมายถึงทางที่จะนำไปสู่เป้าหมาย บางอย่างที่ตั้งใจไว้            ส่วนในทางวิชาการ ชะรีอ๊ะฮฺ หมายถึง กฎ ระเบียบ คำสอน และคุณค่าสำหรับการดำเนินชีวิตของมุสลิม ผู้ที่มิใช่มุสลิมอาจมองว่าชะรีอ๊ะฮฺก็คือกฎหมายนั่นเอง แต่ความจริงแล้วขอบเขตของชะรีอ๊ะฮฺกว้างกว่ากฎหมายในความคิดของคน สมัยใหม่ เพราะชะรีอ๊ะฮฺจะมีบทบัญญัติที่ครอบคลุมพฤติกรรมของมนุษย์ในทุกๆด้าน ตั้งแต่เรื่องความศรัทธา ศีลธรรม การปฏิบัติศาสนกิจ ครอบครัว สังคม เศรษฐกิจ กฎระเบียบในการทำศึกและบทลงโทษด้วย ที่มาของชะรีอ๊ะฮฺ            ชะรีอ๊ะฮฺมีที่มาจากพระเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์และทรงรู้ดีว่ามนุษย์จำเป็นต้องมีกฎระเบียบในการดำเนินชีวิตเช่นเดียวกับสังคมของหมู่ดาวในจักรวาลที่ต้องการกฎในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบและมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย            ชะรีอ๊ะฮฺถูกประทานแก่มนุษย์ผ่านทางบรร-ดานบีที่ถูกพระเจ้าเลือกสรรขึ้นมาจากหมู่มนุษย์ตามชุมชนต่างๆในอดีตซึ่งมีลักษณะและเงื่อนไขทางสังคมที่ต่างกัน ดังนั้น ชะรีอ๊ะฮฺที่ถูกประทานมายังนบีต่างๆจึงมีลักษณะสำคัญที่คล้ายกันและมีรายละเอียดแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ของสังคมในเวลานั้น การที่ชะรีอ๊ะฮฺมีลักษณะสำคัญคล้ายกันก็เพราะว่ามีแหล่งที่มาจากพระเจ้าองค์เดียวกันและพื้นฐานสันดานของมนุษย์ล้วนเหมือน กันในทุกยุคสมัย แต่เพราะสถานการณ์บางอย่างในสังคมเปลี่ยนแปลงไป รายละเอียดบางอย่างของ ชะรีอ๊ะฮฺจึงต่างกัน  ตัวอย่างของชะรีอ๊ะฮฺที่พระเจ้าประทานแก่โมเสสก็คือบัญญัติสิบประการซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ปกครองลูกหลานของอิสราเอลและพระเยซูก็ยังคงถือปฏิบัติต่อมาในสมัยของท่าน              เมื่อสังคมพัฒนาไปจนคล้ายกับสังคมมนุษย์ในปัจจุบัน การประทานชะรีอ๊ะฮฺที่สมบูรณ์จึงเกิดขึ้นในสมัยของท่านนบีมุฮัมมัดเมื่อประมาณ 1,400 ปีก่อนหน้านี้ในแผ่นดินอารเบีย            ดังนั้น ชะรีอ๊ะฮฺจึงมีที่มาจาก            1) คัมภีร์กุรอาน ซึ่งเป็นวจนะของพระผู้เป็น เจ้าและเป็นธรรมนูญสูงสุดของมุสลิม หากจะเปรียบไปแล้วก็เหมือนกับรัฐธรรมนูญของประเทศ จะแตกต่างกันก็ตรงที่คัมภีร์กุรอานมิได้เป็นสิ่งที่มนุษย์ สร้างขึ้นและก็ไม่เคยถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือสังคายนาเหมือนกับรัฐธรรมนูญของบางประเทศ            2) คำสอนและแบบอย่างของท่านนบีมุฮัมมัด (หรือที่เรียกกันในภาษาทางวิชาการว่า “ซุนนะฮฺ”)  หากเปรียบไปแล้วก็เหมือนกับพระราชบัญญัติที่ออกมารองรองรับและกำหนดวิธีปฏิบัติในรายละเอียด เพราะท่านนบีมุฮัมมัดเป็นผู้ได้รับอภิสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวจากพระเจ้าให้ทำหน้าที่ ขยายรายละเอียดวิธีการปฏิบัติคำสอนของพระเจ้า ในคัมภีร์กุรอาน และคำสอนของท่านจะต้องไม่ขัดต่อเจตนารมณ์ของพระผู้เป็นเจ้าด้วย            3) มติเอกฉันท์ของปวงปราชญ์อิสลาม (หรือที่เรียกกันในทางวิชาการว่า “อิจญ์มาอ์”) หากจะเปรียบก็เหมือนกับคำวินิจฉัยหรือคำตัดสินของคณะกรรมการกฤษฎีกาหรือผู้พิพากษาในกรณีที่ต้องมีการตีความรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติในประเด็นที่มีความขัดแย้งกันหรือเกิดความสงสัย อันเนื่องมาจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป หรือประเด็นนั้นไม่เคยเกิดขึ้นในสมัยของนบีมุฮัมมัด  อย่างไรก็ตาม มติของปวงปราชญ์อิสลามจะต้องไม่ขัดแย้งกับบทบัญญัติของคัมภีร์กุรอานและคำสอนของท่านนบีมุฮัมมัด  แน่นอนเมื่อมนุษย์มองปัญหาเรื่องเดียวกันจากมุมมองที่ต่างกัน จึงย่อมเกิดความเห็นที่แตกต่างกันบ้างในบางประเด็น วัตถุประสงค์ของชะรีอ๊ะฮฺ            มนุษย์ต้องการกฎหมายเพื่อจัดระเบียบสังคม  ให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบและมีความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินเป็นพื้นฐาน ชะรีอ๊ะฮฺก็มีวัตถุประสงค์เช่นเดียวกัน            วัตถุประสงค์สำคัญของชะรีอ๊ะฮฺก็คือ            1) เพื่อรักษาสติปัญญา ทั้งนี้ เนื่องจากสติปัญญาเป็นสิ่งที่แยกมนุษย์ออกจากสัตว์ ดังนั้น  ชะรีอ๊ะฮฺจึงห้ามทุกสิ่งที่จะทำลายสติปัญญามนุษย์            2) เพื่อรักษาชีวิต เพราะชีวิตเป็นของพระเจ้า ดังนั้น ชะรีอ๊ะฮฺจึงห้ามการฆ่า ยกเว้นในกรณีที่พระเจ้าผู้เป็นเจ้าของชีวิตอนุมัติ เช่น การตัดสินประหารชีวิตฆาตกรโดยผ่านกระบวนการยุติธรรม            3) เพื่อรักษาทรัพย์สิน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตมนุษย์ ดังนั้น ชะรีอ๊ะฮฺจึงยอม รับการมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและห้ามการเอาทรัพย์สินของคนอื่นมาโดยไม่เป็นธรรม            4) เพื่อรักษาเกียรติยศและศักดิ์ศรี ดังนั้น ชะรีอ๊ะฮฺจึงห้ามการใสร้ายป้ายสีหรือกล่าวเท็จต่อผู้อื่น            5) เพื่อรักษาเชื้อสาย ดังนั้น ชะรีอ๊ะฮฺจึงห้ามการผิดประเวณีและการมีชู้            6) เพื่อรักษาศาสนา เพราะศาสนาคือแก่นสารของชีวิต ดังนั้น ชะรีอ๊ะฮฺจึงกำหนดให้มุสลิมต้องปฏิบัติศาสนา ทำไมชะรีอ๊ะฮฺจึงสำคัญสำหรับมุสลิม?            สำหรับมุสลิมแล้ว ชีวิตมิได้เริ่มต้นเมื่อตอนที่คลอดออกมาจากท้องแม่และสิ้นสุดลงตรงความตาย  แต่วิญญาณซึ่งเป็นชีวิตที่แท้จริงเริ่มมีมาตั้งแต่ก่อนที่สเปิร์มในน้ำอสุจิจะปฏิสนธิกับไข่ในครรภ์ของมารดาเสียด้วยซ้ำ และวิญญาณนั้นรับรู้ถึงการมีอยู่ของพระเจ้าแล้วเพราะมันมาด้วยการอนุมัติของพระองค์และรู้ดีว่ามันจะกลับไปหาพระเจ้าอีกครั้งหนึ่งในวันที่ได้ถูกกำหนดไว้  ช่วงชีวิตตั้งแต่เกิดจนถึงตายเป็นแค่เพียงเส้นทางสั้นๆ ที่วิญญาณได้มาอาศัยร่างมนุษย์เดินทางในโลกใบนี้ที่เต็มไปด้วยการทดสอบทุกย่างก้าว  หลังจากสิ้นวาระบนโลกนี้ใบนี้แล้ว ชะตากรรมของวิญญาณแต่ละดวงจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับว่าจะเชื่อฟังหรือจะฝ่าฝืนคำบัญชาของพระเจ้า ทั้งนี้ เพราะตามคัมภีร์กุรอาน มนุษย์มิได้ถูกสร้างมาเพื่ออื่นใดนอกจากเพื่อการเคารพภักดีพระองค์            เมื่อมนุษย์จำเป็นต้องมีทางเดินไปสู่แหล่งน้ำเพื่อความอยู่รอดของชีวิตบนโลกนี้ฉันใด การมีชะรีอ๊ะฮฺเป็นแนวทางสำหรับความรอดพ้นทางด้าน จิตวิญญาณก็มีความสำคัญสำหรับมุสลิมฉันนั้น กฎหมาย ศาสนา และชะรีอ๊ะฮฺ             ความแตกต่างระหว่างกฎหมายสมัยใหม่กับชะรีอ๊ะฮฺก็คือ กฎหมายมาจากน้ำมือของมนุษย์ มิได้วางพื้นฐานหรือมีที่มาจากคำสอนของศาสนา  ดังนั้น มนุษย์จะออกกฎหมายอย่างไรก็ได้ตามความต้องการและผลประโยชน์ของมนุษย์  เมื่อออกกฎหมายได้ก็ยกเลิกได้ แต่ชะรีอ๊ะฮฺมิใช่เช่นนั้น            ส่วนความแตกต่างระหว่างศาสนากับชะรีอ๊ะฮฺก็คือ ศาสนาเป็นคำสอนทางศีลธรรมที่ห้ามการทำชั่วและส่งเสริมให้ทำความดี แต่ไม่มีบทลงโทษ              ดังนั้น ในสังคมที่แยกศาสนาออกจากการเมือง คนดีจึงได้แต่เฝ้ามองคนมีอำนาจทำชั่วได้อย่างลอยหน้าลอยตาโดยที่กฎหมายทำอะไรไม่ได้ เช่น ในกรณีของการพนัน และน้ำเมา เป็นต้น แต่ชะรีอ๊ะฮฺจะมีบทลงโทษสำหรับการฝ่าฝืนคำสั่งทางศีลธรรมด้วย โดย  อาจารย์บรรจง  บินกาซัน จากคุณ : Carroth - [ 27 เม.ย. 52 15:31:24 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เรื่องการเฆี่ยนตีภรรยานั้น มุสลิมได้อธิบายไปแล้วครับ อย่างมีหลักการและความรู้ ไม่จำเป็นต้องรอให้ คนอย่างแมทท์มาตอบหรอกครับ เพราะข้อสงสัยของอิสลามก็ต้องให้มุสลิมตอบ   คำตอบเรื่อง การเฆี่ยนตี http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=ali-wasal&date=10-07-2007&group=4&gblog=3 ซึ่งโดยสรุป ถ้ามีแม้แต่บาดแผลในการตีภรรยา สามีก็จะได้รับโทษเท่าเทียมกัน และ สามารถฟ้องหย่าได้ จากการถูกทุบตีนะครับ จากคุณ : Carroth - [ 27 เม.ย. 52 15:36:13 ]

ความคิดเห็นที่ 11 บัญญัติให้ เฆี่ยนตีภรรยาได้ นะมีอยู่ในอัลกุรอานเล่มใดครับ และอายะที่เท่าใด ?   ถ้าบอกว่า อายะที่ 4:34 แล้ว  คำไหนที่บอกว่าให้เฆี่ยน   เห็นอธิบายกันอ้อมแอ้ม ว่า "ตีเบาๆด้วยความรัก" ซึ่งความจริงแล้วตีความหมายกันเอง โดยไม่ใช้หลัก ไวยกรณ์ อรับมา อธิบายกัน  มีที่ไหนที่พระเจ้าสอนให้ "ตีเมีย"    และไอ้เรื่องที่ว่าผมไม่ใช่มุสลิมนะเลิกเสียที คุณนะไม่มีความรู้ทางไวย กรณ์ อรับเลย เพียงแต่ รุ้ตามหะดีษเท่านั้น การตีความอัลกุรอานจึง ล้าหลัง อย่าง จูงไม่ขึ้นเลย  ไปเรียนไวยกรณ์อรับมาใหม่แล้วค่อยมา ด่าผมดีกว่า  คุณได้ความรู้จากผมไปมากทีเดียว แต่ ความดื้อ รั้น ของคุณมีมาก จึง ไม่ เข้าใจ ว่า " ลาอิลาฮาอิลลัลลอฮฺ" หมายความว่าอย่างไร? จากคุณ : แมทท์ - [ 27 เม.ย. 52 17:29:24 ]

ความคิดเห็นที่ 12 แมทท์ไม่ต้องมาเบี่ยงประเด็นครับ ไม่ต้องมาอ้างไวยากรณ์อาหรับ ไม่ต้องมาอ้าง เรื่องอื่น คุณน่ะ ถ้ามีความรู้จริง บอกได้หรือยังว่า ละหมาด 5 เวลาน่ะมีในกุรอ่าน บทใด จะมาอ้างเรื่องไวยากรณ์ แต่ดันตอบเรื่องละหมาดในกุรอ่านไม่ได้ คนอย่างคุณไม่ต้องมาอ้างถึงไวยากรณ์อาหรับหรอกครับ เอาเรื่องอิสลามพื้นฐาน คุณก็หมดสภาพที่จะตอบ ต้องหนีแล้วหนีอีก มา ตลอดระยะ เวลา 5-6 ปี แล้วกระทู้ไหนบ้างครับ ที่ผมไปได้ความรู้จากคนอย่างคุณ แค่เรื่องพื้นฐาน คุณยังตอบไม่เคยได้แม้แต่กระทู้เดียว ย้ำว่า 5-6 ปี ที่ผ่านมาคุณไม่เคยตอบคำถามเรื่อง พื้นฐานเช่นละหมาดเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วจะมาอ้างว่า ผมได้ความรู้จากคุณอีกเหรอครับ เห้อนอกจากจะบิดเบือนแล้ว คุณยังเป็นคนหน้าด้าน ไร้ยางอาย และตลบแตลงปลิ้นปล้อนจริงๆ นะครับ เอ้า ประเด้นเหล่านี้ ในกระทู้ คุณเคลียร์ให้มุสลิมได้หรือยัง http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7711101/Y7711101.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/02/Y7541721/Y7541721.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/02/Y7497398/Y7497398.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/12/Y7312016/Y7312016.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/03/Y7619533/Y7619533.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/01/Y7478463/Y7478463.html หนี กันหน้าด้านๆ หนีกันแบบไม่อายใคร หนีกันแบบไม่มีศักดิ์ศรี แล้วมาบอกว่า ผมได้ความรู้จากคุณเหรอครับ แค่คำว่าชิริกคุณยังไม่เข้าใจเลย เคลียร์ตัวเองก่อนดีกว่าครับก่อนจะ มาตอบเรื่องอิสลาม และผมบอกไว้เลยนะครับ เรื่องคุณไม่ใช่มุสลิมนะ คุณประจานตัวเองอยู่ตลอดเวลา ถึงความเป็นคนนอกศาสนา ถึงการปฏิเสธพระเจ้า ปฏิเสธโองการของพระองค์ ปฏิเสธศาสนฑูตของพระองค์ ผมพูดไปตามความจริง จะให้ผมโกหก ว่าคุณเป็นมุสลิมเหรอครับ? แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 52 17:46:06 จากคุณ : Carroth - [ 27 เม.ย. 52 17:43:37 ]

ความคิดเห็นที่ 13 สิ่งที่คุณเรียนรู้จากผมในเรื่องการเชื่อถือพระเจ้าองค์เดียว    1. ประวัติการทำละหมาดคุณก็ได้เข้าใจแล้วว่า มีตกทอดมาได้อย่างไร?    2. พระเจ้าไม่มีการตุญกับตัวอสุจิ    3. พระเจ้าไม่มีบัญญัติให้มุสลิมตีภรรยา    4. พระเจ้าไม่ มีอารมณ์เช่น มนุษย์    5. พระเจ้าไม่นั่งอยู่บนบะลลังก์    6. การจูบหินดำ เป็น "ชิริก"    7. การละหมาด มุสลิมจะต้องเข้าใจ คำความหมายของอัลกุรอานทุกๆอายะอย่าชัดเจน  ถ้าละหมาดเป้นภาอรับแล้วไม่เข้าใจ ข้อความเหล่านั้น เป้น  การขัดโองการของพระเจ้า และการละหมาดจะไม่ได้ผล   ซึ่งไม่ต่างจากคนที่เมาเหล้า และมาทำละหมาด      มีกี่เปอร์เซนต์ของมุสลิมในประเทศไทยและ ประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอรับ ที่ เข้าใจทุกๆความหมายในการอ่านบัญญัติในอัลกุรอาน ขณะละหมาด   คุณเข้าใจ ไหมว่า  เพราะเหตุใด มุสลิมจึงละทิ้งอิสลาม  การที่มุสลิมละทิ้งอิสลาม เนื่องจากว่า " เจอคนทีมีความรู้ในศาสนาเช่นคุณ ที่ขาดความเข้าใจในสังคมรอบด้าน แถมยัง สร้าง เกราะหุ้ม สมองไม่ยอมมองโลกที่กำลังก้าวหน้าไปอย่างรวดเร้ว  และมองดูมุสลิมในประเทศที่เจริญแล้ว เป็นกาเฟรไปหมด   เข้าไปอ่าเวบที่เปิดใหม่หรือยัง "สั่งตรงมาจาก ซาอุดิอารเบียเลย  "ผู้ชาย จะผุก เนคไทด์ ไม่ได้ ถ้าเป้น เนคไทด์ ผ้าไหม 100 เปอร์เซนต์ แล้ว  มุสลิมห้ามใช้ เด็ดขาด   คุณลองใช้สมอง คิดดูซิ ว่า มุสลิมไทยบางท่าน และอรับมุสลิมนั้น โง่เขลา แค่ไหน?   เป็นสิ่งที่ห้ามอย่างไม่มีตรรกะทางศาสนาเลย       ยังมีอีกมากที่ผมจะนำมาสอนคุณ ที่ผมเขียนในกระทู้นี้ ก้เนื่องจากคุณ หลบหน้าไป จากกระทู้ "สามีตีภรรยาได้ด้วยความรัก"   การอธิบาย อย่างอ้อมแอ้ม ไม่ได้ก่อให้เกิด ความรูได้เลย "มีอยู่ว่า ตีหรือไม่ตีเท่า นั้น...^^^ " ผมดีใจที่กระทู้นี้ดึงเอาคุณเข้ามาได้ ผมต้องการให้คุณเข้ามาแสดงความ เขลา ในเรื่องศาสนา ผมจะได้อธิบายแก้ให้ สมาชิกทุกๆท่านทราบ ความจริง เกี่ยวกับ หลักการของอิสลามที่ถูกต้อง ในการเชื่อ "ศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว" อย่างถูกต้อง จากคุณ : แมทท์ - [ 27 เม.ย. 52 17:53:13 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ซึ่งเรื่องนี้ ไม่ใช่อะไรนอกจาก พยายามโชว์ภูมิซึ่งก็ไม่รู้ว่าไปลอกเว็บไซต์ไหน มาลงอีกตามเคย เพื่อเป็นการปลอมตัว ยกตัวเองว่า รู้ศาสนา แต่มันก็ไม่ช่วยอะไรหรอกครับ เพราะเรื่องที่แมทท์ ปฏิเสธกุรอ่าน นั้นผมบันทึกไว้ การตอบเรื่องพื้นฐานของอิสลามไม่ได้ และ การมั่วเรื่องละหมาดในกุรอ่าน แมทท์ได้แสดงถึงความไม่รู้ศาสนาออกมาอย่างต่อเนื่อง แค่การโชว์ภูมิ เรื่องการโองการกุรอ่านเกี่ยวกับการเฆี่ยนตีภรรยา นั้นมันไม่สามารถทำให้คนนอกศาสนา เป็นมุสลิมได้หรอกครับ ถ้าเขายังปฏิเสธ โองการของอัลลอฮฺซึ่งนั่นคือกุรอ่านอยู่ จากคุณ : Carroth - [ 27 เม.ย. 52 17:59:45 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ผมจะดีใจยิ่งกว่านั้นอีกนะครับ ถ้าคุณไม่หนีผม เหมือนที่คุณเคยทำตามสัญชาติญาณเหมือนกระทู้ที่แล้วๆมา คุณบอกว่าสิ่งที่ผมเรียนรู้จากคุณคือ 1. ประวัติการทำละหมาดคุณก็ได้เข้าใจแล้วว่า มีตกทอดมาได้อย่างไร? - แต่ความจริงคือ คุณไม่เคยตอบเรื่องนี้ กับผมหรือมุสลิมท่านใดได้เลย อ่ะเอาใหม่ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7711101/Y7711101.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/02/Y7541721/Y7541721.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/02/Y7497398/Y7497398.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/12/Y7312016/Y7312016.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/03/Y7619533/Y7619533.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/01/Y7478463/Y7478463.html ทุกท่านไปอ่านได้ครับ กระทู้เหล่านี้ แมทท์หนีตลอดไม่เคยตอบ ผมและมุสลิมได้เลย หนี หนี และหนี อย่างไม่มีศักดิ์ศรีด้วย คำอ้างที่ว่า 1. ประวัติการทำละหมาดคุณก็ได้เข้าใจแล้วว่า มีตกทอดมาได้อย่างไร? แมทท์ได้ ตอบด้วยพฤติกรรมเดียวนั่นคือหนีครับ อ่อแล้วยังมีอีกอย่างครับ คือแมทท์ ละหมาดด้วยวิธีการที่ ไม่มีมารตรฐานที่สุดนั่นคือ จากคุณ : Carroth - [ 27 เม.ย. 52 18:03:44 ]

ความคิดเห็นที่ 16 หะดีษเรื่องการละหมาด 5 เวลา ที่คุณยกมาอ้างนั้น มีอยู่ในอัลกุรอานทั้งนั้น  และ ฮะดีษที่เหลวไหลว่า ท่าน รอวูลไปเรียนละหมาดบนสวรรค์นั้น ก็เหลวไหลอีก  แล้จะไม่ให้ผม เบื่อหน่ายอย่างไร? คุณไม่เชื่อว่ามีในอัลกุรอาน ก็ไปหา และศึกษาอัลกุรอานให้มากขึ้น  จะได้มีความรู้ เข้า มาตรฐาน มุสลิม ที่เจริญแล้วบ้าง ไม่ใช่แต่ เที่ยว ด่าสาด ว่าคน โน้น คนี้  หน้าด้าน ไร้ ยาง อาย  ทำให้ผม อดขำไม่ได้ จากคุณ : แมทท์ - [ 27 เม.ย. 52 18:08:32 ]

ความคิดเห็นที่ 17 2. พระเจ้าไม่มีการตุญกับตัวอสุจิ - ผมกลับได้คำตอบว่า ส่วน เรื่องคุยกับอสุจิ ผมเห็นพี่เน้นย้ำอยู่เสมอ ว่าคนที่เชื่ออายะห์นี้ไม่ใช้สติปัญญา ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะพระเจ้าอะไรคุยกับอสุจิได้ ผมก็ชี้ให้เห็นว่าอัลเลาะห์ตะอาลานั้นมีความสามารถ ซึ่งเป็นหนึ่งในซีฟัตของพระเจ้า และพระองค์ทรงมีซีฟัตยาอิส พระองค์จะทำสิ่งใดก็ได้ที่พระองค์ทรงประสงค์ ดังนั้นพระองค์ประสงค์จะคุยกับอสุจิก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ประการใด ลองพี่ปฏิเสธดูสิว่าพระองค์ไม่มีความสามารถ พระองค์ไม่สามารถทำในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ ผมอยากรู้ว่าพี่ยังจะเป็นมุสลิมอยู่หรือเปล่า จากท่าน ghanee ซึ่ง ถ้าปฏิเสธเรื่องนี้เท่ากับแมทท์ สงสัยใน ความสามารถของพระผู้เป็นเจ้าว่าพระองค์ทรงทำสิ่งใดก็ย่อมได้ ไม่ว่าจะ สนทนากับสิ่งใด แม้แต่พระองค์ ทรงตรัสกับ ฟ้า ก็ได้ครับ ดังนี้ 11.แล้วพระองค์ทรงมุ่งสู่ฟากฟ้าขณะที่มันเป็นไอหมอก พระองค์จึงตรัสแก่ชั้นฟ้าและแผ่นดินว่า เจ้าทั้งสองจงมา จะด้วยเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม มันทั้งสองกล่าวว่า ข้าพระองค์มาอย่างเต็มใจแล้ว พระองค์ตรัสกับ ฟ้า แล้วฟ้าก็ตอบ มันเป็นความไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องกุรอ่านของคุณเองนะครับ ข้อสองนี่ ผมดีใจที่คุณยกมา เพื่อประจาน ความเขลาและความไม่รุ้เรื่องของคุณเอง จากคุณ : Carroth - [ 27 เม.ย. 52 18:09:16 ]

ความคิดเห็นที่ 18 หะดีษเรื่องการละหมาด 5 เวลา ที่คุณยกมาอ้างนั้น มีอยู่ในอัลกุรอานทั้งนั้น  และ ฮะดีษที่เหลวไหลว่า ท่าน รอวูลไปเรียนละหมาดบนสวรรค์นั้น ก็เหลวไหลอีก  แล้จะไม่ให้ผม เบื่อหน่ายอย่างไร? คุณไม่เชื่อว่ามีในอัลกุรอาน ก็ไปหา และศึกษาอัลกุรอานให้มากขึ้น  จะได้มีความรู้ เข้า มาตรฐาน มุสลิม ที่เจริญแล้วบ้าง ไม่ใช่แต่ เที่ยว ด่าสาด ว่าคน โน้น คนี้  หน้าด้าน ไร้ ยาง อาย  ทำให้ผม อดขำไม่ได้ คำถามง่ายๆ ครับ ตรงไหน ที่กุรอ่านบอกว่า ละหมาด วันกับคืนนึงมี 5 เวลา ไม่เกิน ไม่ขาด คุณก็บอกมาสิครับ 5-6 ปี คุณบอกว่ามีแต่คุณหาไม่ได้ คุณมันก็แค่คน ตระบัดสัตย์ กลับกลอก และโกหกเท่านั้นเอง จากคุณ : Carroth - [ 27 เม.ย. 52 18:10:42 ]

ความคิดเห็นที่ 19 3. พระเจ้าไม่มีบัญญัติให้มุสลิมตีภรรยา - เรื่องนี้ ผมไม่จำเป็นต้องหาความรู้กับคนตระบัดสัตย์ กลับกลอก และเป็นจอมโกหกอย่างแมทท์เลยนี่ครับ ผมรู้จากมุสลิมจากเว็บ http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=ali-wasal&date=10-07-2007&group=4&gblog=3 นี้ว่า เรื่องการที่สามีตบตีภรรยานั้น อิสลามห้ามอย่างชัดเจน และหากมีร่องรอย หรือได้รับบาดเจ็บ ท่านนบี(ซ.ล) ได้เคยสั่งใช้ให้มีการเสียสินไหมเพื่อร่องรอยนั้นๆด้วย ... อ่านซะนะครับ คนอย่างคุณน่ะ ไม่มีค่า และความรู้พอให้ผมเรียนหรอกครับแมทท์ จากคุณ : Carroth - [ 27 เม.ย. 52 18:12:49 ]

ความคิดเห็นที่ 20 4. พระเจ้าไม่ มีอารมณ์เช่น มนุษย์ - กรุณารับผิดชอบด้วยครับว่า ผมเรียนรู้เรื่องนี้ จากกระทู้ไหนของคุณเหรอครับ เพราะ มุสลิมก็รู้เรื่องนี้มานานแล้ว หึหึ หน้าด้านจริงจริ๊ง ผมเองก็ไมได้มีความรู้อะไรหรอกนะครับ แต่เรื่องของอิสลาม ผมไม่ลดตัวไปเรียนรู้จาก คนตลบแตลงแบบแมทท์หรอกครับ มันไร้ค่า จากคุณ : Carroth - [ 27 เม.ย. 52 18:14:00 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ทุกสิ่งทุกอย่างผมลอกมาจากอัลกุรอานทั้งนั้น  เนื่องจากคุณอาน หะดืษมากไปเลยไทราบว่า อัลกุรอานมีความรู้ต่างๆ ให้มุสลอมลอก เรียนอยู่อย่างมากมาย ถ้าอ่านแล้วเข้าใจ  คุณลองอ่านกุรอานให้ทมากกว่า หะดีษ คุณจั มีความเข้าใจอย่างผม จากคุณ : แมทท์ - [ 27 เม.ย. 52 18:15:05 ]

ความคิดเห็นที่ 22 5. พระเจ้าไม่นั่งอยู่บนบะลลังก์ - อันนี้ ผมก็ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้จากคุณเช่นกันครับ เว็บ www.sunnahstudent ก็มีครับ 6. การจูบหินดำ เป็น "ชิริก" - http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/02/Y7541721/Y7541721.html กระทู้นี้ คุณก็หนีผม แล้วยังมาบอกว่าผมเรียนจากคุณอีกเหรอครับ เห้ออออ จินตนาการสู้งจริงๆ 7. การละหมาด มุสลิมจะต้องเข้าใจ คำความหมายของอัลกุรอานทุกๆอายะอย่าชัดเจน  ถ้าละหมาดเป้นภาอรับแล้วไม่เข้าใจ ข้อความเหล่านั้น เป้น  การขัดโองการของพระเจ้า และการละหมาดจะไม่ได้ผล   ซึ่งไม่ต่างจากคนที่เมาเหล้า และมาทำละหมาด   - เรื่องนี้ ยิ่งแล้วใหญ่ เรื่องนี้เรียนมาตั้งแต่เด็กแล้วครับว่าต้องเข้าใจความหมายแต่ไม่ได้เลยเถิดว่า เหมือนคนเมาเหล้าเหมือนที่คุณจินตนาการนะครับ การละทิ้งอิสลาม หรือไม่นั้น มันอยู่ที่ความอ่อนแอของตัวเองครับ ซึ่งคุณก็ใช้ข้อนี้ พยายามบิดเบือนอิสลาม ตั้งแต่ ผู้หญิงไม่ต้องคลุมฮิญาบ หรือ การจูบหินดำเป็นชิริก ดูหนังฟังเพลง ตามสบาย เหล่านี้ มันล้วนตอบสนองกิเลสตัณหาของตัวเองเท่านั้น การบิดเบือนของคุณ มันเพื่อสนองอารมณ์ฝ่ายต่ำ ทั้งสิ้นไม่ได้มีสาระ อะไรที่เป็นการอุทิศตนเพื่อพระผู้เป็นเจ้า ต่างกับมุสลิมที่ พยายามเต็มที่ เพื่อศาสนา ตามหลักการ ที่เคร่งครัด ไม่มีการบิดเบือนตามใจเหมือนคุณ แค่เรื่องละหมาด ก็แสดงถึง ความต่ำช้าของคุณแล้วล่ะครับ ที่อ้างว่า ละหมาดตามบรรพบุรุษ เป็นการอ้างโง่ๆ ที่คนเขาไม่อ้างกันเพราะมันตรวจสอบไม่ได้ แต่มุสลิมละหมาด ตามคำสอนที่บันทึก และตรวจสอบอย่างเคร่งครัด เท่านี้ก็รู้แล้วว่า ใครของจริง ใครโกหกบิดเบือน แล้วกรุณาอย่าหนี ตามสัญชาติญาณเหมือนเคยนะครับ มีความเป็นลูกผู้ชายหน่อยนะ แมทท์ จากคุณ : Carroth - [ 27 เม.ย. 52 18:29:55 ]

ความคิดเห็นที่ 23 สรุปตอบเรื่องละหมาดในกุรอ่านได้หรือยังครับ อ้างว่ามีแต่เอามาให้ดูไม่ได้ ถ้าหาไม่ได้ผมจะได้หามาให้คุณดูว่า มุสลิมละหมาด 5 เวลา จากตรงไหนของกุรอ่าน ว่าไงครับ แมทท์จอมโกหก จากคุณ : Carroth - [ 27 เม.ย. 52 18:30:47 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ยังไงต้องขอบคุณทั้งสองคนนะคะที่เข้ามาให้ความรู้เพิ่มเติม จากคุณ : หัวหอมกะซาวครีม - [ 27 เม.ย. 52 22:13:59 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ข้ามประเด็นนอกเรื่องไปก็ได้ครับ อ่านเฉพาะเรื่อง ชาริอะฮฺที่ คุณ จขกท ถามได้เลย แล้วก็แนะนำ หนังสือนะ ครับ เรื่อง มาเข้าใจอิสลามกันเถิด โดย ซัยยิด อบุล อะอฺลา อัล เมาดูดียฺ แปลโดย อาจารย์บรรจง บินกาซัน เป็นหนังสือที่อ่านง่าย เหมาะสำหรับผู้สนใจอิสลาม หรือจะลองไปเว็บ www.sunnahstudent.com หรือ เว็บ มุสลิมต่างๆ ก็ได้ครับ ตั้งกระทู้ภามได้เลย มีมุสลิมยินดีให้คำตอบ จากคุณ : Carroth - [ 28 เม.ย. 52 06:15:11 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เรื่องทุกๆความเห็นที่อธิบายมาในความเห็น ของ คุณ Carroth นั้น เป็นความเห็นตามความศรัทธานั้น มาจาก "อิสลามนิกายซุนนีย์"  ซึ่งเป็นนิกายที่ เชื่อถือใน ปะเพณีอรับ และ ปฏิบัติตาม เริ่อง เล่าต่างๆ จาก "อะหะดีษ" อย่าง ไม่พิจารณาว่า สิ่งใดที่ควรจะเชื่อ หรือนำมาปฏิบัติในชีวิตจริงของมนุษย์ ในสมัยนี้ได้   ส่วนใหญ่ กฏหมายอิสลามที่คุณ Carroth ผู้รู้, ท่านผู้นี้อธิบายมา เป็นกฏหมายที่ บัญญัติมาจากประเพณีอรับ "ซาอุดีอารเบีย" โดยการอ้างอิงบางบัญญัติ ในอัลกุรอาน แต่ ส่วนมากของตัวบท มาจาก อะหะดีษเรื่องบอกเล่า และ ความคิดเห็นของ นักปราชญ์ มุสลิมชาว อรับ ซาอุดิอารเบีย    ลองศึกษา "ซุนนีย์มุสลิมจาก เวบอนุรักษ์มรดกอิสลามดู" แล้วจะเห็นว่า "ชาวซุนนีย์" ไม่ยอมรับผู้ใดเลยที่ ปฏิบัติต่างจากการสอนของซุนนีย์  แม้แต่ มุสลิมในนิกายซีอะต์ ก็ถูก ด่า อย่าง หยาบคาย เช่นเดียวกับวาจาของคุณเCarroth ผู้รู้ ที่ใช้กับผม,  นื่อง จาก มีความอาฆาต แค้น ความแตกร้าวกันมาตั้ง แต่ ประวัติศาสตร์  โดยไม่มี การให้อภัยเลย   ผมอ่านแล้ว คิดว่าผู้ที่ศรัทธาในลัทธิซุนนี่ นี้ จะเป็นมุสลิมที่ไปสวรรค์ เป็นกลุ่มเดียวเท่านั้น   ส่วนเวบ SA นั้น เป็นเวบ ที่ ถูก ซุนนีย์มุสลิมจาก เวบอนุรักษ์มรดกอิสลาม ดูถูกหลักวิชาทางด้าน หะดีษ อย่าง ย่อยยับ ถึงกับมีการด่าสาปแช่งกัน อย่างเห็นได้ชัด  เวบทั้งสองนี้มีความเชื่อต่างกัน ในการตีความหมาย "อะหะดีษ" ผมไม่ทราบว่า คุณ Carroth  ทำไมไม่แนะนำ "ให้ศึกษาอิสลามจากเวบมรดก"   ผมว่าการจูบหินดำ, เกาะกำแพงร้องห่มร้องไห้, การปาก้อนหิน,ปารองเท้า ที่เสาหิน เพื่อเป็นการไล่ผีนั้น  ซึ่งแสดงความไม่เข้าใจ หลัก "ศรัทธาต่อพระเจ้องค์เดียว,   แล้วการทำละหมาดตามหะดีษจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อ ยังมีความศรัทธาไข้วเขวไปจากพระเจ้าองค์เดียวอยู่ การสอนของลัทธิซุนนีย์นี้จะไม่ยอมให้สมาชิกถามปัญหาใดๆทั้งสิ้นที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับ คำสอน ทั้งนี้เขื่อว่า ถ้าสมาชิกหาคำตอบได้จะละทิ้ง "ความศรัทธาตามกฏอิสลามลัทธิซุนนีย์"      คุณCarroth ผู้รู้ นี้ จัดว่าเป้น ผู้ที่บ้าคลั่ง ความศรัทธา มากกว่า การเป็นผู้ศรัทธา เนื่องจากมรรยาทและอารมณ์ ที่แสดงออกมาจาก การเขียน ซึ่งไม่ได้แสดงออกของผู้ที่มีความเข้าใจ อิสลาม และ แบบฉบับ ของท่านศาสนทูตมูฮัมมัดเลย จากคุณ : แมทท์ - [ 29 เม.ย. 52 21:45:57 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ก็เหมือนเดิมนะครับ ที่แมทท์ทำได้ ในการบิดเบือนอิสลามก็คือ มาใส่ร้าย แล้วก็หนี ไม่มีอะไรแปลกใหม่มากไปกว่านี้ และการใส่ร้ายของแมทท์นั้น ก็ไม่ได้มีเรื่องใหม่ไปกว่าการบอกว่า มุสลิมนั้นใช้ประเพณี อาหรับ และปฏิบัติตาม หลักศาสนา โดยไม่พิจารณา ทั้งที่ความจริงแล้ว การใช้ฮะดีษนั้น มุสลิมได้พิจารณาและตรวจสอบ อย่างถี่ถ้วนแล้วว่า ฮะดีษไหน คำสอนไหนมาจากท่านศาสดา และคำสอนไหนกุขึ้นเอง ซึ่งการที่แมทท์อ้างว่ากฎหมายส่วนใหญ่ ที่ ผมเอามาลงเป็น กฎหมายจากประเพณี อาหรับนั้นเป็นเรื่องที่ พิจารณาได้ทันทีเลยว่าแมทท์โกหก เพราะอะไร นั่นเพราะ มุสลิมไม่มีการ ปฏิบัติศาสนจากประเพณี หรือบรรพบุรุษ ครับ แต่มุสลิมจะปฏิบัติศาสนา ตามหลักการอิสลาม ที่มาจากกุรอ่าน และแบบอย่าง ท่านศาสดาเท่านั้น และอันที่จริงแล้ว ในคคหที่ 15 ของผม ในรูปภาพที่ผม cap ไว้เราก็จะพบว่า ผู้ที่นับถือศาสนาตามประเพณี แบบไม่มีที่มาที่ไป นั่นก็คือแมทท์ ที่พยายามอ้างว่า ละหมาดตามบรรพบุรุษ ทั้งๆที่ การอ้างว่าตามบรรพบุรุษนั้น คือประเพณี ที่ไม่สามารถใช้อ้างอิงได้เลย การที่แมทท์ พยายามโจมตีว่า เว็บอนุรักษ์มรดกอิสลาม หรือ เว็บอื่นๆ ไม่ยอมรับผู้ใดเลย ที่ปฏิบัติต่างจากการสอนของซุนหนี่ เป็นการพยายามบิดเบือน อย่างน่ารังเกียจครับ เพราะความจริงแล้ว อิสลามไม่มีนิกาย หรือ ลัทธิ ถ้ามี คำสอนใดที่เอาศาสนาไปบิดเบือน แล้วแตกแขนงออกไปเราจะเรียกว่านิกายไม่ได้ และมุสลิม ย่อมไม่อาจจะยอมรับคำสอนนั้นครับ ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่เรื่องของนิกาย แบบที่แมทท์อ้างแต่นี่คือเรื่องการ รักษาคำสอนของอิสลามไว้ไม่ให้ถูกบิดเบือนไป ตามกาลเวลา และเรื่องการคุยกันเรื่องวิชาการ ของทั้งสองเว็บนั้น ทั้ง sunnahstudent และ เว็บ มรดกอิสลาม นั้น เป็นการ ใช้ วิชาการมา สนทนาการ ซึ่งแน่นอน ผู้ที่ มีวุฒิภาวะ ไม่มาก หรือ ใจร้อน อาจจะมีการโจมตีกันอย่างรุนแรง แต่นั่นเป็นเรื่องบุคคลครับ ไม่ได้มาจากคำสอน ของศาสนาแต่อย่างใด และผมก็ไม่ยังไม่พบว่า มีเว็บได้ มีความย่อยยับ อย่างที่ แมทท์ พูดจาใส่ความทั้งสิ้น ซึ่งที่ผมไม่แนะนำเว็บ มรดกอิสลามให้ เพราะ เว็บมรดกอิสลามนั้น นานๆ จะมีคนมาตอบทีนึง บุคลากรในที่ตอบเรื่องศาสนา มีไม่มาก แต่เว็ล sunnahstudent จะมีการตอบ พื้นที่เฉพาะสำหรับการตั้งคำถามและให้ผู้รู้ตอบโดยเฉพาะ ซึ่งง่ายต่อการศึกษา ส่วนการอ้างว่า ผมว่าการจูบหินดำ, เกาะกำแพงร้องห่มร้องไห้, การปาก้อนหิน,ปารองเท้า ที่เสาหิน เพื่อเป็นการไล่ผีนั้น  ซึ่งแสดงความไม่เข้าใจ หลัก "ศรัทธาต่อพระเจ้องค์เดียว,   แล้วการทำละหมาดตามหะดีษจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อ ยังมีความศรัทธาไข้วเขวไปจากพระเจ้าองค์เดียวอยู่ นั้น ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึง ลักษณะของแมทท์ ที่โจมตี ใส่ร้าย และบิดเบือนศาสนา โดยไม่พื้นฐานทางวิชาการอะไรทั้งสิ้น ใช้แค่คำว่า ผมว่า ผมว่า และผมว่า แต่เหตุผล และหลักการรองรับนั้น ไม่มี นี่คือลักษณะของแมทท์ ที่เมื่อเจอมุสลิมถามหาหลักฐานทางวิชาการอย่างหนักหน่วงแล้ว แมทท์ จะบอกว่ามุสลิม หยาบคาย ชอบด่าทอ แล้วก็หนีไป โดยไม่ตอบอะไร เป็นกิจลักษณะเลย ยิ่งคำโกหก คำโตของแมทท์ที่ว่า การสอนของลัทธิซุนนีย์นี้จะไม่ยอมให้สมาชิกถามปัญหาใดๆทั้งสิ้นที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับ คำสอน ทั้งนี้เขื่อว่า ถ้าสมาชิกหาคำตอบได้จะละทิ้ง "ความศรัทธาตามกฏอิสลามลัทธิซุนนีย์" แล้ว เราจะได้เห็นถึง พื้นฐาน ความเป็นคนชอบโกหกของแมทท์ ที่เจ้าตัวเองคงทำจนชินเป็นนิสัย และแก้ไม่หาย เพราะ การตั้งคำถามหรือ ข้อสงสัยนั้น สามารถไปตั้งถามได้ใน เลย ลองไปเว็บที่ผมแนะนำแล้วถามดูครับ จะพบว่า คุณสามารถถามได้และได้คำตอบด้วย ไม่มีการเบียงประเด็น และมาหลอกด่าคนอื่นเหมือนที่แมทท์ทำแน่นอนครับ จากคุณ : Carroth - [ 30 เม.ย. 52 06:14:46 ]

ความคิดเห็นที่ 28 คุณCarroth ผู้รู้ นี้ จัดว่าเป้น ผู้ที่บ้าคลั่ง ความศรัทธา มากกว่า การเป็นผู้ศรัทธา เนื่องจากมรรยาทและอารมณ์ ที่แสดงออกมาจาก การเขียน ซึ่งไม่ได้แสดงออกของผู้ที่มีความเข้าใจ อิสลาม และ แบบฉบับ ของท่านศาสนทูตมูฮัมมัดเลย ที่ผมเอาคำพูดนี้ มา ไว้ ต่างหาก ไม่ใช่เพราะผมแค้นเคืองแมทท์ที่ด่าผม เพราะคนอย่างแมทท์ พร้อมด่า ว่า ดูถูกทุกคนที่เห็นไม่ตรงกับตัวเองอยู่แล้ว แต่ที่ผมเน้น ก็เพื่อให้เห็นว่า จริงๆ แล้ว แมทท์ เป็นคนอย่างไร นี่เป็นการพยายามเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น เพื่อแสดงภาพพจน์ที่ดีของตัวเอง จะได้ง่ายต่อการบิดเบือนอิสลาม ต่อผู้ที่ไม่รู้จักแมทท์มาก่อน เรามาดูดีกว่าว่า จริงๆ แล้วแมทท์ที่ชอบด่าคนอื่นว่าหยาบคาย ตัวเอง มีลักษณะนิสัยอย่างไร จากคุณ : Carroth - [ 30 เม.ย. 52 06:33:42 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ด่าคนอื่นว่าชอบหยาบคาย แต่ถ้าสบช่อง ก็พร้อมจะด่าคนอื่นเลวทันที จากคุณ : Carroth - [ 30 เม.ย. 52 06:34:22 ]

ความคิดเห็นที่ 30 อันนี้ เป็นนิสัยพื้นฐานของแมทท์เลยครับเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น แล้วชอบบอกว่าคนอื่นไม่มีความรู้ จากคุณ : Carroth - [ 30 เม.ย. 52 06:35:26 ]

ความคิดเห็นที่ 31 นี่แหละครับ นิสัย แมทท์ พื้นฐานลักษณะนิสัยของแมทท์ คือชอบดูถูกคน ชอบด่า และมักปิดมันไม่มิดเมื่อ ถูกถามมากๆ เกี่ยวกับหลักการศาสนา เมื่อแมทท์ตอบไม่ได้ แมทท์จะด่าคนอื่นทันที แต่แมทท์ก็มีนิสัยติดตัวอีกอย่างคือ ชอบสร้างภาพ จะแสร้งทำสุภาพ กับคนที่เพิ่งสนทนาด้วย แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามคุณเริ่ม ไม่คล้อยตามเขา เขาจะเริ่มดูถูกคนว่าโง่ ไม่มีความรู้ ไม่เข้าใจ รู้ไม่เท่าเขา (ทั้งๆที่ตัวแมทท์เองไม่ได้มีความรู้อะไรเลย อาศัยไปเอาบทความตามเว็บโจมตีอิสลามมาลง แล้วก็มั่วประเด็นเอง) แล้วก็ ชิงด่าว่าคุณหยาบคาย สุดท้ายก็ด่ว่าคุณเลว นี่เป็นนิสัยของแมทท์ จากคุณ : Carroth - [ 30 เม.ย. 52 06:38:20 ]

ความคิดเห็นที่ 32 อ่อแล้วมาดูนี่ครับ เป็นการประจานตัวเองของแมทท์ ได้อย่างดี แมทท์มักชอบอ้างว่า นักปราชญ์ของอิสลาม ตั้งข้อบังคับขึ้นเอง เพื่อให้คนอื่นตาม และไม่ยอมรับ แนวทางผู้อื่น และดูเหมือนจะมีแต่กลุ่มตัวเองที่ไปสวรรค์ แมทท์ชอบว่า มุสลิมและบรรดาปราชญ์มุสลิมแบบนี้ แต่ ตัวแมทท์เองนั่นแหละครับ ที่ชอบ ยัดเยียดนรกให้คนอื่น เพียงแต่แมทท์ ขี้ขลาดเกินกว่า จะบอกว่า คนอื่นต้องไปนรก แต่จะใช้คำอื่นแทน โดยที่การยัดเยียดนรกให้คนอื่นนั้น ทำโดยที่ใช้ความเห็นตัวเอง ไม่มีหลักการ ไม่มีหลักฐานทางวิชาการอะไรมายอมรับทั้งสิ้นอีกต่างหาก มาลองอ่านกันให้ดีนะครับ คำนี้เลย จากคุณ : Carroth - [ 30 เม.ย. 52 06:44:04 ]

ความคิดเห็นที่ 33 แมทท์ เคยบอกว่า สำหรับตัวผม มองมุสลิมทุกๆท่านเป็นมุสลิม คือผู้ที่ มีความศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว และ ปฏิบัติตามบัญญัติของพระองค์ (อัลกุรอาน)ที่ ประทานให้แก่ "ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดและนำมาประกาศต่อมวลมนุษย์ในโลกนี้" แต่แมทท์กลับบอกว่า มุสลิมทำชิริกด้วยการจูบหินดำ ชิริกคืออะไร การชิริก   คือ การตั้งภาคีกับอัลลอฮฺและไม่ยอมรับในเอกภาพ ไม่อาศัยพึ่งพากับพระองค์ในทุกสภาพการณ์ จะไม่มีโทษทัณฑ์ที่ร้ายกาจรุนแรง ยิ่งไปกว่าการปฏิเสธการศรัทธา "แท้จริงอัลลอฮจะมิทรงอภัยโทษต่อการที่พระองค์ถูกตั้งภาคี และจะอภัยโทษแก่สิ่ง(ความผิด)อื่นจากนั้น แก่ผู้ที่พระอง๕ทรงประสงค์" - อันนิสาอ/48 ครับ คราวนึงแมทท์บอกว่า สำหรับตัวผม มองมุสลิมทุกๆท่านเป็นมุสลิม คือผู้ที่ มีความศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว และ ปฏิบัติตามบัญญัติของพระองค์ (อัลกุรอาน)ที่ ประทานให้แก่ "ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดและนำมาประกาศต่อมวลมนุษย์ในโลกนี้" แต่ คราวนึงก็บอกว่ามุสลิมทำชิริก ซึ่งเป็นบาปใหญ่หลวง คือตกศาสนา นี่แหละครับ คนแบบแมทท์ ที่ชอบ เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น คนอย่างแมทท์ก็มีเท่านี้แหละครับ จากคุณ : Carroth - [ 30 เม.ย. 52 06:58:06 ]