ความคิดเห็นที่ 1 หากไม่ศรัทธา ก็เฉยไว้จะดีที่สุด จากคุณ : saisanan - [ 28 เม.ย. 52 05:09:03 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้า จขกท ไม่เชื่อก็อย่าไปลบหลู่ครับ ที่เขาเจิมให้ก็เพราะหวังดี คิดว่าคุณศรัทธา ว่าแต่ไม่ศรัทธา แล้วเข้าไปทำไมหรือครับ จากคุณ : PH_MiCK - [ 28 เม.ย. 52 09:18:10 ]

ความคิดเห็นที่ 3 สีแดงทำจากชาด ที่ผู้หญิงโบราณไว้ทาปากนั่นแหละครับ พราหมณ์ถือว่า หน้าผากคือเสน่ห์ที่ช่วยเสริมความน่ารัก น่าคบหา ทางพราหมณ์จึงแต้มจุดแดงที่หน้าผาก โดยเฉพาะผู้หญิง ในบทสวดมนต์ชินบัญชร ยังกล่าวถึง การอัญเชิญพระอรหันต์ 5 พระองค์สถิตย์เป็นเสน่ห์ที่หน้าผาก คือ พระปุณณะ พระอังคุลีมาล พระอุบาลี พระนันทะ พระสีวลี จากคุณ : threeS - [ 28 เม.ย. 52 09:43:32 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ความจริงทั้ง 2 พระองค์ที่คุณเอ่ยพระนามมานั้น ทรงถือเป็นมหาเทพทั้งคู่ ทรงแผ่ซ่านไปในทุกสิ่ง อาจเข้าถึงได้ฌามหรือสมาธิ ดังนั้นผมมั่นใจว่าทั้ง 2 พระองค์ ทรงหยั่งรู้ซึ่งอนาคตอยู่แล้วครับ ผมเห็นหลายๆคนที่นับถือพระพิฆเนศ และหรือมหาเทพท่านอื่นๆ มักหาเช่ารูปหล่อพระองค์หรือรูปภาพไปเคารพบูชาที่ห้อง แล้วต้องให้พรามหณืหรือผู้ทรงมนตราเจิมเบิกเนตรให้ (ซึ่งไม่ต่างอะไรกับะรัที่ปลุกเสกของอาคมสารพัดอย่างที่เห็นกันทั่วไป) เคยคิดไหมว่า? ... มีมนุษยผู้ใดสามารถเจิมเบิกเนตรให้มหาเทพได้ด้วยหรือ? คำตอบนั้นคือ เทพจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่ให้มนุษย์หรือพรามหมณ์มาบอกให้เชื่อ หรือบรรยาสรรพคุณ ท่านก็เป็นเทะอยู่อย่างนั้น หากแต่มนุษย์คิดกันไปเองว่าท่านเป็นแบบนั้น แบบนี้ได้ ต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ ถ้าจะบูชาเทพผมแนะนำให้ใช้จิตภายในบูชาจะดีที่สุดครับ พิธีกรรมนั้นเป็นเพียงน้ำจิ้ม จากคุณ : มิ้มเฒ่า - [ 28 เม.ย. 52 13:53:15 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เจ้าแม่กาลีกับพระพิฆเนศ องค์ไหนกันแน่คับมีดวงตาที่3มองเห็นอนาคตได้ ตาที่ ๓ หรือที่เรียกกันอย่างเป็นทางการ คือ อาชณะจักร (Ajna Chakra) คือจักรซึ่งสถิตอยู่ในตำแหน่งกลางหน้าผาก ระหว่างคิ้วทั้งสอง อาชณะจักร เป็นจักรแห่งการหยั่งรู้ หรือสัมผัสในเรื่องที่เหนือกว่าสัมผัสทั้ง ๕ ตามปกติของมนุษย์จะสัมผัสได้ รวมทั้งสามารถหยั่งรู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคต บุคคลใดที่เปิดจักรดังกล่าว หรือ เปิดตาที่สามได้ ก็เท่ากับมีญาณวิเศษเหนือคนธรรมดาแล้ว ป่วยการที่จะไปพูดถึงเทวะ ซึ่งท่านทรงมีเทวานุภาพ และ ญาณบารมีในการหยั่งรู้สิ่งต่างๆ มากมายเหนือมนุษย์ที่สามารถเปิดตาที่สาม จนเทียบกันไม่ได้ค่ะ ยังไงก็ตาม เจ้าแม่กาลีเป็นเทพปีศาจ มีกิเลสตัณหามากกว่าพระพิฆเนศ ญาณบารมีในการหยั่งรู้กาลทั้ง ๓ ตลอดจนสิ่งต่างๆ ย่อมไม่อาจเทียบเท่าพระพิฆเนศค่ะ แล้วเคยไปวัดแขก มีพราหมณ์จะเอาสีแดงๆมาเจิมหน้าผากให้ อยากรู้ว่าผงนั่นคืออะไร หาซื้อได้ที่ไหน เค้าเอามาผสมน้ำเหรอคับ แล้วทำไมจะต้องเอามาเจิมหน้าผากเราด้วยคับ เพื่ออะไรคับ สีแดงนั้นทำจากผงหญ้าฝรั่น (Saffron) ผสมกับสมุนไพรอินเดียอีกสองสามชนิดเจือกับน้ำ หาซื้อได้ในตรอกแขก พาหุรัดค่ะ เอามาเจิมหน้าผากเพื่อเป็นเครื่องหมายว่า เป็นผู้ได้รับพรจากการสักการะบูชาเทพเจ้า และเหตุที่เจิมบนหน้าผาก ก็คือเป็นการประจุมงคลที่ได้จากการสักการะบูชาเทพเจ้า ณ ตำแหน่งดวงตาที่สาม หรือ อาชณะจักร เพื่อให้ผู้ที่ได้รับเจิมนั้น บังเกิดญาณหยั่งรู้ เข้าถึงและใกล้ชิดกับองค์เทพได้มากขึ้นค่ะ การที่ได้รับเจิมหน้าผากจากพราหมณ์ ถือว่าเป็นมงคล บางท่านกลับมาบ้านแล้วอาบน้ำล้างหน้า ยังพยายามไม่ล้างออก ปล่อยทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วค่อยล้างออกในตอนเช้า ถือเคล็ดว่าจะได้ให้ความเป็นมงคลสถิตในตัวเองเต็มๆ ผงเจิมเหล่านี้เป็นสมุนไพรแท้ ไม่ระคายเคืองแม้สำหรับคนที่ผิวแพ้ง่ายค่ะ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 29 เม.ย. 52 01:54:41 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ยังไม่เคยเห็นรูปพระพิฆเนศมีดวงตาที่3เลย ใครมีช่วยเอามาลงให้หน่อยสิคับ ขอบคุณมากคับ จากคุณ : น้ำพริกลงเรือ - [ 29 เม.ย. 52 07:48:36 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขอเถียงคห5 นิดนึงพระแม่กาลีไม่ใช่ "เทพปีศาจ" นะครับ พระแม่กาลีนี้ได้แบ่งภาคจากการบำเพ็ญตบะของพระอุมาเทวี โดยทรงมีจุดประสงค์เพื่อปราบอสูรตรหนึ่ง นามว่า อสูรทารุณ ความเป็นมามีว่า อสูรทารุณนี้แม้ว่าจะถูกฆ่าสักกี่ครั้งก็ไม่มีวันตาย แล้วที่สำคัญกว่านั้นเมื่อเลือดตกลงพื้นเมื่อใดก็จะทวีขึ้นเรื่อยไปไม่หมดสิ้น ความที่คิดว่ามีอิทธิฤทธิ์มากมายฆ่าไม่ตายจึงทำให้อสูรทารุณเกิดหลงผิดในความเก่งกาจของตนนำมาใช้ในการกลั่นแกล้ง รังแกผู้คน เทวดาทั่วไป สุดท้ายก็คิดได้ว่าเมื่อมีอำนาจขนาดนี้แล้วครองโลกทั้งสามเลยดีกว่า เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วเหล่าเทวดา นางฟ้า ผู้ทรงศีลทั้งมวล จึงต้องนำเรื่องเข้าเฝ้าพระอิศวร เพื่อหาทางปราบอสูรทารุณ เหล่าเทวดาทั้งหลายเมื่อได้ฟังสรรพคุณของอสูรก็ไม่มีใครกล้าอาสาออกไปสู้รบเลย จนที่สุดจะทนองค์พระศรีมหาอุมาเทวี เทพสตรีแห่งสวรรค์ได้มีความประสงค์ที่จะออกปราบอสูรร้าย ซึ่งพระองค์ได้ขอพร ขอบารมีต่อองค์พระศิวะผู้เป็นเจ้า เพื่อให้ได้รับชัยชนะในครั้งนี้ แล้วจึงเสด็จเพื่อบำเพ็ญตบะทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ให้มีฤทธิ์อำนาจปราบอสูรร้ายได้ โดยได้กระทำพิธีในอุทยานเขตแดนป่าหิมพานต์ โดยพระศรีมหาอุมาเทวีได้ทรงมอบหมายให้องคพระขันธกุมาร (สะกันทะ) บางตำรากล่าวว่าเป็นพระคเณศ รับหน้าที่ดูแลไม่ให้ใครย่างกรายเข้าไปในบริเวณพิธีโดยเด็ดขาด   เมื่อเวลาผ่านไปพระศิวะจึงทรงเสด็จเข้าไปในอุทยานเพื่อให้รู้แน่ว่าที่นั้นเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วพระองค์ก็พบกับพระขันทกุมาร โอรสองค์เล็กของพระองค์จึงทรงสอบถามว่าพระอุมาเทวีอยู่ที่ใด และจะขอเข้าพบ โอรสขันทกุมารเมื่อได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวตอบไปด้วยความที่ได้ทรงรับคำสั่งจากพระอุมาเทวีก่อนเข้าบำเพ็ญตบะ ว่าไม่ให้ใครย่างกายเข้าสู่บริเวณพิธีโดยเด็ดขาดจึงทรงไม่สามารถให้องค์พระศิวรผ่านเข้าไปในพิธีได้ เมื่อเป็นดังนั้นจึงเกิดการโต้เถียงขั้น สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการต่อสู้ระหว่างองค์ขันทกุมารกับองค์พระอิศวร โดยฝ่ายพระอิศวรเป็นฝ่ายรุกไล่ และองค์ขันทกุมารเป็นฝ่ายล่าถอยและตั้งรับ เหตุการณ์ผ่านไปไม่นานนักก็ถึงเวลาที่พระอุมาเทวีทรงบำเพ็ญตบะจนเสร็จพิธีได้เสรด็จออกมา แต่สิ่งที่ปรากฏกลายเป็นรูปกายที่เปลี่ยนจากเดิมเป็นพระแม่กาลี ย้อนกลับถึงการต่อสู้เมื่อสู้จนผ่านมายังพระแม่กาลี องค์ขันทกุมารเมื่อเห็นพระแม่กาลีจึงตรงเข้าหาพระแม่ และเล่าถึงเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด โดยที่องค์ขันทกุมารเมื่อพบเห็นรูปกายพระแม่อุมาก็ทรงทราบได้ว่านี้คือพระแม่ของตน เมื่อได้ฟังคำจากโอรสองค์เล็กจึงเกิดอาการลืมตัวตาถลนออกนอกเบ้า หน้าตาดุดัน แลบลิ้นยาวน่าเกลียดหน้ากลัว ทำปากแบะกว้างเห็นเขี้ยวโง้ว มีเลือดไหลๆ ไหลจากมุมปากและตามมือและลำตัว ส่งกลิ่นคาวคลุ้งไปทั่ว ตรงเข้าหาพระอิศวรทันทีด้วยความโมโหนัก เมื่อพระอิศวรทรงเห็นถึงกับผงะและตกใจกลัววิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ส่วนพระแม่กาลีก็ทรงไล่ตามเรื่อยจนพระอิศวรทรงพ้นจากเขตอุทยานไป พระแม่กาลีจึงทรงย้อนกลับไปหาพระขันทกุมาร ด้วยเห็นถึงความซื่อสัตย์ จงรักภักดี ไม่ยอมผิดคำสัตย์ที่พระองค์ทรงมอบหมายให้ถึงแม้นว่าจะเป็นถึงพระบิดาของตนก็ตาม เหตุการณ์นี้จึงเป็นที่ชื่นชมและทรงพอพระทัยยิ่งในโอรสของพระองค์   จากนั้นพระแม่กาลีจึงรีบเสด็จออกจากอุทยานเพื่อตามล่าสังหารอสูรทารุณ ซึ่งไม่นานพระแม่กาลีก็ได้เผชิญหน้ากับอสูรทารุณ และด้วยฤทธิอำนาจของทั้ง 2 ฝ่าย การต่อสู้ที่ยาวนานจึงเกิดขึ้น ด้วยร่างกายที่แข็งแรงของพระแม่กาลีการต่อสู้จึงดำเนินไป และเป็นจังหวะที่พระแม่ทรงใช้ดาบฟันคอสูรขาด แต่แล้วเลือดของอสูรก็หยดลงพื้นแผ่นดินกลับกลายเป็นการกลับคืนชีวิตของอสูรร้ายตนนี้โดยไม่ว่าจะฆ่าฟันกี่ครั้งเลือดหยุดสู่พื้นก็บกลับเป็นอสูรเพิ่มทวีเรื่อยๆ เมื่อเป็นดังนี้ต่อไปคงไม่มีวันฆ่าอสูรตนนี้ให้ตายเป็นแน่ พระแม่กาลีจึงคิดกลอุบายเพื่อเอาชัยชนะในครั้งนี้ให้ได้ โดยการตัดหัวอสูรพร้อมทั้งทรงดูดกินเลือดอสูรก่อนที่เลือดจะตกลงสู่พื้น เมื่อกินจนกระทั่งหมดสิ้นแล้วรูปกายของพระแม่กาลีถึงกับพุงกางด้วยความอิ่ม ในมือนั้นถือหัวของอสูรที่ตัดร้อยเป็นพวงไว้จนที่สุดของที่สุด อสูรตนนั้นจึงสิ้นฤทธิ์ลงเพราะไม่มีหยดเลือดหยดลงพื้นแล้วจึงสิ้นสุดลงเพียงนี้   ด้วยความดีพระทัยในการได้รับชัยชนะในครั้งนี้ พระแม่กาลีจึงทรงเต้นรำอย่างสำราญฤทัยที่สุด จนลืมพระองค์ไป ทรงยกเท้าขึ้นสูงหมายจะกระทืบลงบพื้นโลก เหล่าเทวดาทั้งหลายเห็นแล้วก็กลัวว่าพระแม่กาลีจะกระทืบลงบนพื้นโลกเป็นแน่ จึงเข้าเฝ้าพระอิศวรเพื่อหาทางแก้ไขโดยทันการณ์ แล้วพระอิศวรจึงทรงตระหนักได้ว่าพระแม่กาลีที่รูปกายน่าเกลียดนั้นแท้จริงแล้วก็คือพระศรีมหาอุมาเทวี พระมเหสีแห่งพระองค์นั้นเอง เมื่อเป็นดังนี้พระแม่กาลีก็ย่อมต้องคิดตรงกับพระองค์เป็นแน่ว่าแท้จริงแล้วพระแม่กาลีก็ต้องทรงเกรงใจ และจดจำพระองค์ได้บ้างเป็นแน่ และแล้วพระอิศวรจึงเสด็จไปพบพระแม่กาลีและทรงลงไปนอนขวางพื้นโลกไว้ ในขณะที่พระแม่กาลีกำลังดีใจพร้อมจะกระทืบเท้าลงก็พรันต้องชะงักเมื่อมองเห็นพระอิศวรผู้สวามีลงไปนอนขวางแทนอยู่ พระแม่กาลีทรงมีความเกรงใจต่อพระอิศวรผู้เป็นสวามีอย่างที่สุดจึงไม่กล้ากระทืบลงพระอุระ และหยุดการกระทำนั้นลง เหล่าเทวดาทั้งหลายทั้งมวลจึงยกย่องพระอิศวร และแม่กาลี พากันศรัทธาในพระองค์ยิ่งขั้นจากการปราบอสูรร้าย และการแก้ไขเหตุการณ์ในครั้งนี้   เครดิตจากhttp://www.ganeshhimal.org/modules.php? จากคุณ : มิ้มเฒ่า - [ 29 เม.ย. 52 10:03:57 ]

ความคิดเห็นที่ 8 รูปนี้พอได้ไหมครับ ตาที่ 3 องค์พระพิฆเนศ (ปกติสัญลักษณืตรงกลางหน้าผากพระองค์ท่านใช่ไหมครับ) จากคุณ : มิ้มเฒ่า - [ 29 เม.ย. 52 10:13:47 ]

ความคิดเห็นที่ 9 สิ่งที่คุณมิ้มเฒ่าแย้งเรานั้น เป็นความเชื่อตามศาสนาฮินดูค่ะ แต่สิ่งที่เราโพสต์นั้น เป็นข้อเท็จจริงทางเทววิทยา และ มานุษยวิทยา ค่ะ รวมทั้งเป็นข้อเท็จจริงที่บรรดาฤาษีและโยคีในประเทศอินเดียที่สื่อจิตถึงเทพเจ้าต่างๆได้ในขณะนี้ ต่างเห็นพ้องต้องกันค่ะ คุณมิ้มเฒ่าคิดว่า เจ้าแม่กาลีท่านเป็นเทพในศาสนาฮินดูหรือเปล่าคะ? ถ้าใช่ คุณคิดว่ายังไงคะ กับหลักฐานทางโบราณคดีที่บอกชัดเจนว่า เจ้าแม่กาลีเป็นที่นับถืออยู่ในอินเดียตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ก่อนที่ศาสนาพราหมณ์จะเปลี่ยนเป็นศาสนาฮินดูนับพันๆ ปี คิดว่ายังไงคะ กับคติการนับถือเจ้าแม่กาลีซึ่งมีการประกอบพิธีกรรมดั้งเดิมที่ไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับศาสนาฮินดูเลย (เช่น การฆ่าคนบูชายัญ, การสังวาสเบื้องหน้าเทวรูป) และตอนนี้ยังคงมีผู้ศรัทธาเฉพาะเจ้าแม่กาลีโดยไม่สนใจเรื่องพระอุมา พระศิวะ และเทพนิยายในศาสนาฮินดูเลย และคิดยังไงคะ ที่นอกจากข้อมูลที่คุณเอามาโพสต์แล้ว ยังมี เทพนิยาย เกี่ยวกับเจ้าแม่กาลีในอินเดียอีกมากมาย ที่ไม่เหมือนเรื่องที่คุณเอามาโพสต์ หรือเหมือนกันแค่บางส่วน แต่แตกต่างกันในรายละเอียด ถ้าเป็นเรื่องจริง ทำไมถึงแตกต่างกันได้มาก ที่แตกต่างกันมากจนถึงขนาดขัดแย้งกัน คนถิ่นนึงเล่าไปอย่างนึง อีกถิ่นนึงกลับเล่าไปอีกอย่างนึง ก็เพราะมันเป็น "เทพนิยาย" ที่คนเราด้วยกันแต่งขึ้นไงคะ ^ ^ การนับถือเทพเจ้านั้น เค้าให้นับถือกันที่องค์ท่านโดยตรง โดยไม่ต้องไปสนใจว่าท่านเป็นภาคนึงของใคร เป็นครอบครัวเดียวกับใครค่ะ เพราะของพวกนั้นมันคือนิยายที่คนโบราณแต่งขึ้นมาเพื่อหวังผลทางการเมืองการปกครองทั้งนั้นแหละค่ะ ถ้าไปนับถือเทพนิยายก็เท่ากับไม่ได้นับถือองค์ท่านตามความเป็นจริง อย่างที่คนฮินดูส่วนมากเป็นกันอยู่ตอนนี้น่ะแหละค่ะ คุณอ้างข้อมูลได้เพียงแค่จากเว็บไทยซึ่งก็ไปลอกๆ หนังสือหลายๆ เล่มมา แต่เราศึกษาเทววิทยาจากฤาษีในอินเดียโดยตรงกว่าค่อนปี เรายืนยันข้อมูลเราได้เสมอค่ะ ข้อมูลในการทำเว็บนั้นก็ไปลอกจากหนังสือเล่มโน้นเล่มนี้มา หนังสือเล่มไหนบ้างเราบอกคุณได้ด้วยซ้ำค่ะ รูปใน ค.ห.๘ ก็ไม่ใช่ตาที่สามของพระคเณศค่ะ สิ่งที่อยู่กลางพระนลาฏของเทวรูปในภาพนั้นคือ ดิลก (Tilaka) รูปตรีศูล สัญลักษณ์ของไศวะนิกาย จะหาเทวรูปพระคเณศที่มีตาที่สาม ต้องไปดูที่เป็นศิลปะเนปาล-ทิเบตค่ะ แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 52 06:17:20 จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 29 เม.ย. 52 23:58:48 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ดารา+สื่อมวลชนไปถูกแขกหลอกไหว้ก้อนหินที่เป็นรูปคล้ายๆ พระพิฆเนศ ๘ แห่งในอินเดีย จากคุณ : หนอนดาวเรือง   - [ 29 เม.ย. 52 23:58:48 ] ............................................................................................. ผมเคยดูทีวีนะ อืม ประเด็นนี้  น่าเอาไปเปิดกระทู้ใหม่จัง จากคุณ : deepspace - [ 30 เม.ย. 52 23:18:46 ]

ความคิดเห็นที่ 11 จริงๆนะคับ ไม่เคยเห็นรูปพระพิฆเนศมีดวงตาที่3นอกจากรูปตรีศูลย์ตรงหน้าผาก จากคุณ : น้ำพริกลงเรือ - [ วันแรงงาน 00:23:36 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณ คห9 ครับ ยอมรับสารภาพแต่โดยดีครับว่าไปเอาข้อมูลมาจากเว็บอื่น +_+ แต่...อย่างไรก็ดี เนื่องจากผมก็เป็น "ลูกแม่" คนหนึ่ง ช่วงชีวิตหนึ่งที่บูชาองค์แม่มหากาลีมา สิ่งที่องค์แม่ท่านประทานให้ ท่านคุ้มครองนั้น ทำให้ผมไม่คิดเลยว่าท่านคือ "เทพปีศาจ" หากแต่พิธีการบูชายัญต่างๆที่เกิดขึ้น (ส่วนตัว)ผมคิดว่าทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่มนุษย์ปรุงแต่งกันขึ้นมาเอง จากปากต่อปาก จากรุ่นสู่รุ่น หาใช่ท่านไม่ (อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ ผมอาจด้อยปัญญา ยังไม่ลึกซึ้งในข้อมูลเท็จจริงเท่าที่ควรครับ) อย่างไรก็ขอขอบุณคห9 อีกทีครับ ได้รับคามรู้อีกเยอะเลย ขอบคุณครับ จากคุณ : มิ้มเฒ่า - [ วันแรงงาน 00:54:07 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณคุณมิ้มเฒ่าค่ะ และขออภัยถ้ามีบางถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมค่ะ คำว่า เทพปีศาจ (Devil God/Goddess) เป็นศัพท์งเทววิทยาที่เค้าใช้กำหนดประเภทของเทพต่างๆ ตามพื้นฐานความเป็นมา หรือการกำเนิดของเทพแต่ละองค์ค่ะ โดยหลักทางเทววิทยาทั่วโลกนั้น เทพที่มีตัวตนอยู่จริง เป็นเทพที่ล้วนแต่มีกำเนิดจากมนุษย์ และอมนุษย์ (ปรากฏการณ์ธรรมชาติ และ ดวงดาวต่างๆ มิได้เป็นเทพ แต่มีเทพที่แสดงอานุภาพผ่านปรากฏการณ์ธรรมชาติได้) ทั้งเทพเจ้า (ทั่วไป) และเทพปีศาจ ล้วนเกิดจากมนุษย์ที่ได้รับการนับถือมากในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ อาจจะเป็นหัวหน้าชนเผ่าต่างๆ เป็นนักรบที่มีชื่อเสียง เป็นหมอผี หรือผู้วิเศษ และปรมาจารย์ในสาขาวิชาต่างๆ เหมือนกันค่ะ เพียงแต่แบ่งกันด้วยระดับศีลธรรมเท่านั้น คือ คนที่เมื่อชีวิตอยู่เป็นคนดีมาก เมื่อเค้าตายไปก็เป็นผีที่ดี ผู้คนต่างบูชาด้วยความระลึกในพระคุณ เมื่อคนรุ่นหลังกราบไหว้บูชาผีที่ดีนั้นต่อเนื่องยาวนาน ผีที่ดีนั้นก็เพิ่มบารมี เพิ่มอานุภาพ จนเลื่อนฐานะทางวิญญาณขึ้นเป็นเทพ นี่คือเทพเจ้าทั่วๆ ไปค่ะ แต่ถ้าคนที่เมื่อมีชีวิตอยู่เป็นคนไม่ดี ดุร้าย แต่มีอำนาจสยบผู้คนให้เกรงกลัว เมื่อตายไปก็เป็นผีที่ดุร้าย ผู้คนต่างบูชาเพราะกลัวพระเดช เมื่อคนรุ่นหลังบูชาต่อๆ กันมา ผีที่ดุร้ายนั้นก็เพิ่มบารมี เพิ่มอานุภาพ จนเลื่อนฐานพะขึ้นเป็นเทพเหมือนกัน แต่เป็นเทพปีศาจค่ะ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่เรียกว่าเทพอสูร คือเป็นอสูรที่มีฤทธิ์มากเท่ากับเทวดา คุณมิ้มเฒ่าคงได้เห็นแล้วจากเทพนิยายฮินดูหลายเรื่องค่ะ พระแม่กาลี ก็อยู่ในกลุ่มเทพปีศาจ คติการบูชาพระนางตั้งแต่สมัยแรกๆ เน้นกันอยู่ ๒ อย่าง คือ กามารมณ์ กับ ความตาย เพราะเป็นสิ่งที่เทพปีศาจชอบ ไม่ใช่สิ่งที่เทพเจ้าโดยทั่วไปชอบ การบูชาในแง่กามารมณ์ ก็คือการเสพสังวาสกันในเทวสถาน เบื้องหน้าเทวรูป อย่างที่เล่าแล้ว ส่วนการบูชาในแง่ความตาย ก็คือการบูชายัญมนุษย์ ต่อมาเมื่อพราหมณ์นำคติการบูชาเจ้าแม่กาลีมารวมไว้กับพระอุมา ศาสนาฮินดูนั้นไม่อาจยินยอมให้มีการบูชาเจ้าแม่ด้วยการเสพสังวาสเบื้องหน้าเทวรูป และการฆ่ามนุษย์สังเวย จึงยกเลิกเสียทั้งหมด เหลือเพียงยินยอมให้ตัดคอแพะถวายเจ้าแม่แทน ซึ่งยังคงทำกันตามเทวสถานพระแม่กาลีในอินเดียทุกวันนี้ค่ะ อย่างไรก็ตาม การจับคนมาฆ่าสังเวยเจ้าแม่กาลีนั้น ยังคงกระทำกันอยู่ตามชนบทและภูมิภาคที่ห่างไกลจนถึงสมัยอังกฤษเข้าปกครองอินเดียค่ะ การที่พระแม่กาลีทรงเป็นเทพปีศาจ ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรค่ะ เพราะถ้าคุณมิ้มเฒ่าบูชาท่านมานาน แล้วรู้สึกดี ก็แสดงว่าท่านเป็นเทพที่เหมาะสมที่คุณจะบูชาอยู่แล้ว เพียงแต่อย่าไปสนใจเทพนิยาย อย่าไปสนใจว่าท่านเป็นภาคนึงของใคร เป็นชายาของใคร มุ่งบูชาที่องค์ท่านตรงๆ เท่านั้นคุณก็ย่อมจะประสบความสำเร็จในการบูชาอย่างสมบูรณ์ค่ะ  ^ ^ ถ้าไปคิดถึงท่านในแง่เทพนิยาย คุณจะสับสนเองค่ะเพราะเทพนิยายเกี่ยวกับท่านมีเยอะแยะมาก ขัดกันเองก็มาก ยิ่งศึกษาคุณจะยิ่งสงสัยว่าทำไมตำรานึงว่าอย่างนึง อีกตำรานึงว่าอีกอย่างนึง จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ วันแรงงาน 03:35:03 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผมคิดว่า เจ้าแม่กาลี ของคุณมิ้มเฒ่า บูชานั้น ไม่ใช่อย่างที่คุณหนอนดาวเรืองอธิบาย เพราะคุณมิ้มเฒ่า บูชา เจ้าแม่กาลี ในฐานที่เป็นพระอุมา และไปทำหน้าที่จึงแปลงกายอย่างนั้น และคุณมิ้มเฒ่าคิดว่าการบูชานั้น คนไปทำกันไปเอง แท้จริงแล้ว คุณ บูชา พระแม่อุมามากกว่ากระมัง ดังนั้น คุณมิ้มเฒ่า ก็อาจจะบูชาพระแม่อุมาต่อได้ เพราะคุณยึดถือว่าท่านคือพระแม่อุมามาตลอด ไม่ใช่หรือ คุณก็ค่อยเปลี่ยนมาบูชาพระแม่อุมา ปางอื่นๆให้มากขึ้น เท่านั้นเอง จากคุณ : จักรแก้ว - [ วันแรงงาน 11:40:53 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ข้อสงสัยของ ของคุณน้ำพริกลงเรือนะครับ การที่มีดวงตาที่ 3 ไม่ได้หมายความว่า เป็นเครื่องหมายของการรู้ถึงอนาคตหรอก ครับ การที่มีญาณอยู่ในระดับหนึ่ง ไม่ต้องถึงขั้นมีตาที่ 3 ก็สามารถรู้ถึงอนาคตได้แล้ว อย่างเช่น หมอดูบางคนก็สามารถรู้ถึงอนาคตได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ได้อาศัยศาสตร์ใด ๆ เลย ก็มี เรื่องพวกนี้เป็นอะไรที่ซับซ่อน จะบ่งชี้แน่ชัดไม่ได้ว่า มีได้เพราะตาที่ 3 ส่วนคุณมิ้มเฒ่า อาจจะเข้าใจผิดไปบ้างเรื่องนะ ครับ เรื่องการเจิมหน้าผากองค์เทพเจ้านั้น สามารถทำได้ครับ ตอนแรกเริ่มศึกษาผมก็คิดแบบคุณมิ้มเฒ่าครับ แต่พอมาเข้าศาสนาฮินดูแล้ว ถึงได้ทราบ การเจิมหน้าผากองค์เทพเจ้าเป็น ประเพณีที่ชาวฮินดูทำกันครับ แต่จะทำอย่างนั้นได้ ต้องมีขั้นตอนอื่น ๆ ที่ต้องทำมาก่อน เช่นการบูชาไฟ เพื่อในเนื้อกายของคนผู้บูชานั้นสะอาดและบริสุทธิ์ก่อนครับ ถึงจะทำการเจิมผงแดงหรือผงซานดูได้ ครับ และในเรื่องของพราหมณ์ สิ่งนี้สำคัญมากครับ ทางศาสนาฮินดู เราเชื่อกันว่า พราหมณ์คือปากของพรหม นั้นหมายความว่า พราหมณ์มีหน้าที่เป็นผู้สื่อระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า ดังนั้นพราหมณ์พูดอะไร นั้นคือคำที่เทพเจ้าได้ทรงตรัสนะครับ อันนี้เป็นหลักของศาสนาฮินดูเลยนะครับ อันต้องทำความเข้าใจใหม่ ส่วนเรื่องการประกาศสรรพคุณนั้น เราไม่เรียกว่าประกาศสรรพคุณนะครับ เราเรียกกันว่าพระเกียรติยศ ที่พระองค์ทรงทำเพื่อมนุษย์ ดังนั้นทางศาสนาอินดู ถึงมีการเรียนสิ่งต่าง ๆ ที่เทพเจ้าทำและคำกล่าวของพระองค์ที่ทรงสอนและทิ้งคำสอนเอาไว้นะ ครับผม ส่วนคุณหนอนดาวเรืองครับ พระแม่กาลี ไม่ได้มีกิเลสนะครับ พระแม่เป็นพระผู้เป็นเจ้าฝ่ายหญิงระดับแนวหน้าเลยนะครับจะมีกิเลสได้ยังไง พระองค์ทรงเป็นพระแม่ที่รักษาสมดุลนะครับ และเป็นผู้ครอบครองความมืดทั้งหมดทั้งมวลนะครับ แต่รูปลักษณ์ที่ออกมาที่ได้เห็นที่เหมือนปีศาจนั้น ท่านส่งแสดงถึงปรัชญาที่แฝงเอาไว้นะครับ ซึ่งชาวฮินดูเท่านั้นที่จะได้ศึกษานะครับ ส่วนที่มีการกล่าวว่าต้องมีของมาบูชายันต์ หรือว่ามีการเสพสังวาล ต่อหน้าเทวรูปนั้น ไม่อาจบ่งชี้แน่ชัดได้นะครับ ว่านั้นคือการบูชาที่แพร่หลายเพราะในศาสนาฮินดูที่อินเดียนั้นมีเป็น พัน ๆ นิกายเลยนะครับ ซิ่งมี 6 นิกายใหญ่ ก็ไม่มีการบูชาพระแม่กาลี แบบที่ว่าเลยนะครับ ขนาดนิกายศักติ ซึ่งเป็นนิกายใหญ่ใน 6 นิกาย ซึ่งเป็นนิกายบูชาเทพสตรีเป็นใหญ่ ก็ไม่มีการบูชาแบบนี้นะครับ ผมเองอยู่ในนิกาย คณะปัตยะ ก็ไม่มีนะครับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าไม่มี 100% นะครับ แต่สิ่งนีจะเอามาชี้ชัดเจนไม่ได้ครับ ว่าพระแม่กาลีเองท่านต้องการให้มนุษย์บูชาแบบนั้น ครับผม คุณมิ้มเฒ่าครับ อสูรที่พระแม่ท่านกำจัดนั้นชื่อ มาธู อสูร นะครับ แต่ต้องดูให้ดีนะครับ พระแม่ทรงกำจัดอสูร 2 ครั้งนะครับ และก็คนละยุคกันด้วยแต่ไม่ทราบว่า 2 ยุคนี้มีเวลาห่างกันกี่พันปีนะครับผม และลักษณะของการเป็นอมตะของอสูรที่พระแม่ทานกำจัดนั้น ก็คล้าย ๆ กันด้วยนะครับ สิ่งนี้ต้องดูดี ๆ ครับ ส่วนครั้งที่ 2 ไม่ค่อยมีให้หาอ่านจากหนังสือทั่วไปหรอกครับ ขอจบเพียงเท่านี้ก่อน ครับผม แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 52 00:31:31 แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 52 00:30:34 แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 52 00:28:30 จากคุณ : Asura666 (เอ็มฐ์พล) - [ 2 พ.ค. 52 00:26:55 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คุณ Asura666 (เอ็มฐ์พล) คะ ยินดีเสมอค่ะที่ได้สนทนากับผู้สนใจศึกษาศาสนาฮินดูจริงๆ ขอถามหน่อยค่ะ ๑) ที่คุณบอกว่าคุณอยู่ในนิกาย คณะปัตยะ (ที่จริงต้องเขียนว่า คาณปัตยะ Ganapatya) นั้น คุณได้รับการเจิมและการถือบวชเพื่อเข้านิกายดังกล่าวมาจากสำนักใด หรืออาศรมใดในอินเดียคะ? เพราะการที่จะแสดงตนได้ว่าอยู่ในคาณปัตยะนิกาย คุณต้องได้รับการเจิมจากสำนักหรืออาศรมในนิกายนั้นๆ ก่อน จึงจะอ้างได้นะคะ ถ้าเพียงแต่คุณนับถือพระคเณศเป็นเทพสูงสุด หรือเป็นเทพองค์เดียว ไม่ได้หมายความว่าคุณอยู่ในคาณปัตยะนิกายนะคะ ๒) ที่คุณบอกว่าคุณอยู่ในคาณปัตยะนิกาย และคุณใช้คำว่า "เข้าศาสนาฮินดูแล้ว" แสดงว่า คุณเป็นฮินดูแล้ว ถ้าอย่างงั้นคุณได้รับ วรรณาศรมหรือยังคะ และได้จากสำนักไหนคะ? ขอถามเพื่อเป็นความรู้ค่ะ ๓) ถ้าคุณเป็นฮินดู คุณควรรู้จักโยคะ และถ้าคุณรู้จักทั้งคำว่า โยคะ และญาณ คุณจะรู้ว่า คำว่า "มีญาณระดับหนึ่ง" กับคำว่า ตาที่สาม นั้นเป็นเรื่องเดียวกันค่ะ เพราะในทางโยคะนั้น การที่คุณจะเกิดมีญาณหยั่งรู้ใดๆ ก็ตาม ตาที่สามคุณต้องเปิดแล้ว เพียงแต่การเปิดของตาที่สามนั้นมีหลายระดับ คนที่เปิดน้อยก็มีญาณหยั่งรู้น้อย คนที่เปิดมากก็มีญาณหยั่งรู้มาก หมอดูที่เค้าหยั่งรู้อนาคต ไม่ว่าจะด้วยตัวของเค้าเอง หรือการใช้เครื่องมือใดๆ ก็คือตาที่สามของเค้าเปิดแล้วเช่นกันค่ะ เพราะการหยั่งรู้แม้จะผ่านไพ่ ผ่านการดูลักษณะคน ดูลายมือ หรือการผูกดวง ใช้แค่การท่องจำไม่ได้หรอกค่ะ ต้องใช้ sense ด้วยกันทั้งนั้น การใช้ sense ก็คือการใช้ตาที่สามน่ะแหละค่ะ แล้วคุณคิดว่าตาที่สามมีเอาไว้ทำอะไรเหรอคะ เอาไว้ปล่อยไฟเผาใครต่อมิใครแบบในหนังแขกเหรอคะ? ^ ^ ๔) ที่กล่าวว่าพระแม่กาลีเป็นผู้รักษาสมดุล ก็ใช่ค่ะ เพราะท่านเป็นพลังของเพศหญิง ทั้งในแง่บวกและลบ แล้วที่คุณบอกว่าท่านเป็นผู้ครอบครองความมืด ความมืดนั้นหมายถึงอะไรคะถ้าไม่ใช่กิเลสตัณหา? กิเลสตัณหา ความใคร่ กามารมณ์ ความดุร้าย ความตาย พวกนี้คือความมืดนะคะ ไม่ใช่ความสว่างนะคะ เป็นเรื่องของปีศาจนะคะ ไม่ใช่เรื่องของเทพนะคะ เรื่องการบูชาพระแม่กาลีแต่ดั้งเดิมที่เป็นเรื่องของการเสพสังวาสและฆ่าคนบูชายัญ ที่คุณบอกว่าไม่ใช่เรื่องแพร่หลาย เดี๋ยวคืนนี้เราจะค้นมาให้ค่ะว่าแพร่หลายแค่ไหน และมีหรือไม่มี ที่จริงการสนทนากับคุณให้เข้าใจตรงกันนั้น เป็นเรื่องลำบากค่ะ เพราะสิ่งที่คุณอ้างมานั้นเป็นความเชื่อตามแบบฮินดูแท้ ส่วนสิ่งที่เราตอบในกระทู้นี้ เป็นเทวศาสตร์ (Theology) ที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาไหนทั้งสิ้น และถ้าคุณจะศึกษาประวัติความเป็นมาของศาสนาฮินดูให้ดี คุณก็จะพบว่าสิ่งที่คุณกล่าวมานั้นเป็น "ศรุติ" ที่มาจากเทพเจ้าแท้ๆ หรือเป็นเพียงสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้น จากนักบวชที่พูดเองเออเองว่าพวกเค้าเป็นปากของพรหมค่ะ ก่อนจะแวะมาอีกครั้ง เราขอทิ้งท้ายไว้ว่าเรานับถือเทพเจ้าหลายองค์ในศาสนาฮินดู และนับถือโดยไม่มีความสนใจในเทพนิยายฮินดู หรือปรัชญาที่ปรุงแต่งขึ้นมาเมื่อไม่กี่ร้อยปีนี้โดยพราหมณ์ฮินดูค่ะ *แก้คำผิดค่ะ* แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 52 05:54:02 จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 2 พ.ค. 52 02:34:47 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เอาหละค่ะ กลับมาต่อเรื่องที่ค้างไว้ จาก ค.ห.๑๕ ค่ะ ส่วนที่มีการกล่าวว่าต้องมีของมาบูชายันต์ หรือว่ามีการเสพสังวาล ต่อหน้าเทวรูปนั้น ไม่อาจบ่งชี้แน่ชัดได้นะครับ ว่านั้นคือการบูชาที่แพร่หลายเพราะในศาสนาฮินดูที่อินเดียนั้นมีเป็น พัน ๆ นิกายเลยนะครับ ซิ่งมี 6 นิกายใหญ่ ก็ไม่มีการบูชาพระแม่กาลี แบบที่ว่าเลยนะครับ ขนาดนิกายศักติ ซึ่งเป็นนิกายใหญ่ใน 6 นิกาย ซึ่งเป็นนิกายบูชาเทพสตรีเป็นใหญ่ ก็ไม่มีการบูชาแบบนี้นะครับ ผมเองอยู่ในนิกาย คณะปัตยะ ก็ไม่มีนะครับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าไม่มี 100% นะครับ แต่สิ่งนีจะเอามาชี้ชัดเจนไม่ได้ครับ ว่าพระแม่กาลีเองท่านต้องการให้มนุษย์บูชาแบบนั้น ครับผม นิกายศักติตามที่คุณ Asura666 (เอ็มฐ์พล) อ้างว่าไม่มีการทำพิธีบูชาด้วยการเสพสังวาส และการบูชายัญมนุษย์นั้น เป็นนิกายศักติในปัจจุบัน ซึ่งได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจากนิกายศักติในสมัยแรกเริ่มมาก จนต่างกันลิบลับค่ะ มิพักจะต้องกล่าวถึงลัทธิบูชาเจ้าแม่กาลี ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ก่อนที่จะเกิดศาสนาฮินดู และก่อนที่จะเกิดนิกายศักตินับพันๆ ปีค่ะ และในการบูชาเจ้าแม่กาลีในประเด็นที่เรากำลังคุยกับคุณอยู่นี้ เป็นพิธีกรรมการบูชาแบบดั้งเดิม เป็นแบบโบราณแท้ ย้ำค่ะว่า แบบโบราณแท้ ซึ่งปัจจุบันก็ถูกยกเลิกอย่างเป็นทางการไปแล้ว แต่คุณกลับเข้ามาบอกว่า พิธีกรรมเช่นนี้ไม่ใช่การบูชาแบบแพร่หลายเพราะแม้นิกายศักติในปัจจุบันก็ไม่มี แล้วคุณก็อ้างไปถึงนิกายคาณปัตยะ (ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรเลยกับพระแม่กาลี) ว่าไม่มีเช่นกัน แต่พอถึงตอนท้ายคุณก็กลับปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มี ๑๐๐% เพราะคุณเองก็รู้อยู่แล้วว่าศาสนาฮินดูมีเป็นพันๆ นิกาย นิกายศักติไม่มีก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีในนิกายอื่น แล้วตกลงคุณจะเข้ามาแย้งเราด้วยเหตุผลอะไรเหรอคะ? งงมากค่ะ - -" และอีกอย่างหนึ่ง ที่คุณบอกว่า "สิ่งนี้จะเอามาชี้ชัดเจนไม่ได้ครับ ว่าพระแม่กาลีเองท่านต้องการให้มนุษย์บูชาแบบนั้น ครับผม" แล้วถ้าเราจะถามคุณบ้างล่ะคะ ว่า แล้วที่พราหมณ์อ้างว่าพระแม่กาลีท่านโปรดให้บูชาแบบที่คนฮินดูทำๆ กันอยู่ทุกวันนี้เนี่ย มันจะเอามาชี้ชัดเจนได้ยังไงคะ ว่าพระแม่กาลีเองท่านต้องการให้มนุษย์บูชาแบบนั้น? หรือว่าที่ชี้ชัดได้ เพียงเพราะมาจากปากของพราหมณ์ พราหมณ์คือปากของพรหม เป็นผู้สื่อระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า ดังนั้นพราหมณ์พูดอะไร นั้นคือคำที่เทพเจ้าได้ทรงตรัส? ส่วนลัทธิบูชาพระแม่กาลีแบบดั้งเดิม เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยที่พราหมณ์ยังไม่เกิด หรือยังไม่รู้จักพระแม่กาลี เลยชี้ชัดไม่ได้ เพราะพระแม่กาลียังไม่ได้ตรัสผ่านพราหมณ์ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 2 พ.ค. 52 05:09:06 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ที่ว่าคุยกันลำบากก็เพราะเราไม่ได้เป็นฮินดูน่ะค่ะ เลยไม่เคยคิดว่าพราหมณ์เป็นเทพเจ้าขนาดพูดแทนเทพเจ้าได้ ถ้าเราเชื่ออย่างงั้น เราไม่ต้องนับถือองค์เทพก็ได้แล้วสิคะ นับถือพราหมณ์อย่างเดียวเลย แล้วพราหมณ์จะพูดอะไรก็ก้มหน้าก้มตาเชื่อไป เกิดวันหนึ่งพระเป็นเจ้าเสด็จมาตรัสกับเราในสิ่งที่ในสิ่งที่ขัดกับพราหมณ์พูดไว้ ก็คงต้องเชื่อพราหมณ์มากกว่าเชื่อองค์เทพจริงๆ แล้วละมั้งคะ เผอิญ เราศึกษากับฤาษีหลายๆ ท่านซึ่งได้สื่อกับองค์เทพต่างๆ เป็นปกติ และขณะที่ตัวเราไม่ใช่นิกายอะไรเลย (เพราะเราไม่ได้เป็นฮินดู) เราก็ได้สัมผัสองค์เทพจริงๆ มาแล้ว ซึ่งแม้ว่าท่านจะเป็นเทพองค์เดียวกับที่คนฮินดูนับถือ แต่ท่านก็ทรงเป็นที่นับถือด้วยเช่นกันในหมู่คนที่ไม่ใช่ฮินดู รวมทั้งคนที่นับถือศาสนาอื่นอย่างมหายาน และเชนด้วย เพราะงั้น เทพแต่ละองค์ท่านก็ทรงเป็นตัวท่านเอง ไม่ได้สังกัดศาสนาไหนทั้งสิ้น และท่านก็ทรงมีเทวานุภาพอันไม่มีประมาณ มีมากเพียงพอที่จะตรัสสิ่งต่างๆ กับเรา กับคุณ หรือแม้แต่กับใครก็ได้ที่นับถือท่านโดยตรง ขอให้คนเหล่านั้นมีความศรัทธาท่านด้วยหนทางที่จริงและถูกต้องเท่านั้นเอง ท่านไม่จำเป็นต้องอาศัยปากใครเพื่อจะบอกอะไรกับคนที่นับถือท่าน พ่อแม่ลูกที่รักกันจริง ไม่จำเป็นต้องยืมปากคนอื่นมาบอกกันว่ารักกันค่ะ ดังนั้นเราก็เลยไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปเชื่อคำบอกเล่าของมนุษย์ด้วยกันซึ่งอุปโลกน์ตัวเองว่าเป็นปากของเทพเจ้าน่ะค่ะ เรื่องแบบนั้นให้คนที่เป็นฮินดูเอาไว้เชื่อกันไปเถอะค่ะ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 2 พ.ค. 52 05:10:21 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ทีนี้ ถ้าคุณเชื่อในคำบอกเล่าของพราหมณ์ซึ่งเป็นมนุษย์ปุถุชนเหมือนๆ กับคุณ (ไม่ใช่เทพ) และถ้าคุณลองไปค้นตำราเกี่ยวกับศาสนาฮินดูที่เขียนโดยมนุษย์ปุถุชน (เหมือนพราหมณ์) ท่านอื่น เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัยที่สอนทางด้านศาสนศาสตร์ คุณจะพบว่าแต่ละตำราก็จะกล่าวถึงพิธีบูชาพระแม่กาลี หรือนิกายศักติแบบดั้งเดิมที่มีขั้นตอน ๕ ประการ คือ ๑) ดื่มน้ำเมา (มัตยะ) ๒) บริโภคเนื้อสัตว์สดๆ (มางสะ) ๓) สาธยายมนตร์ปลุกกำหนัด (มนตร์) ๔) ร่ายรำด้วยลีลายั่วยวนเร่งเร้าความรู้สึกทางเพศ (มุทรา) ๕) ร่วมเพศ (ไมถุน) พิธีบูชาในลักษณะนี้ ทำกันตามเทวาลัยที่นิยมบูชาเจ้าแม่กาลีในเวลาเที่ยงคืนค่ะ บางพวกนิยมทำในที่ลับ บางพวกนิยมทำในที่เปิดเผย โดยคณะผู้จัดพิธีประจำเทวาลัย ได้แก่นักบวชชาย เรียกว่า สาธุ (Sadhu) และฝ่ายหญิง เรียกว่า เทวทาสี (Devadasi) ทั้งนี้ก็เพราะเชื่อกันว่า พระแม่กาลีทรงโปรดการบูชายัญและการเสพเมถุน ดังนั้นการประกอบกิจดังกล่าวจึงทำให้พระนางพอพระทัย และอีกจุดประสงค์หนึ่งก็เพื่อให้เบื่อหน่ายในกาม โดยสนองความต้องการให้เต็มที่ก็จะมาถึงจุดเบื่อหน่าย แบบหนามยอกเอาหนามบ่ง ซึ่งอย่างหลังนี่เป็นแนวคิดของตันตระ (Tantra) ค่ะ พวกที่ปฏิบัติโดยเน้นกามารมณ์มาก จนถึงขั้นเชื่อว่าการสังวาสของคนในครอบครัวเดียวกันถวายพระแม่กาลีจะได้บุญมาก เรียกว่า พวกวามาจารี ส่วนพวกปฏิบัติอย่างสุภาพก็เรียกว่า พวกทักษิณาจารี พิธีกรรมเหล่านี้แพร่หลายแค่ไหน ก็ถึงขนาดที่ว่าเมื่อพราหมณ์ฮินดูสามารถดึงเอาลัทธิบูชาพระแม่กาลีเข้ามารวมกับพระอุมาได้แล้ว ยังต้องใช้เวลาเป็นร้อยๆ ปีค่ะกว่าจะยกเลิกพิธีกรรมเหล่านี้ได้อย่างเป็นทางการ เป็นทางการ คือ ไม่ทำกันแล้วในเทวสถานใหญ่ๆ แต่ยังคงแอบทำกันอยู่จนทุกวันนี้ในเทวาลัยเล็กๆ ตามป่าเขาชนบทค่ะ โดยเฉพาะในกลุ่มชนที่นับถือพระแม่กาลีโดยไม่สนใจหรือให้ความสำคัญกับศาสนาฮินดูค่ะ และถ้าคุณจะเอาความรู้สึกส่วนตัวเป็นเกณฑ์ เรารู้จักคนที่บูชาพระแม่กาลีหลายคนที่เค้าทดลองบูชาท่านด้วยการเสพเมถุน นอกเหนือจากการบูชาในรูปแบบปกติธรรมดาอื่นๆ (ขอบอกด้วยค่ะว่าวิธีบูชาแบบดั้งเดิมนี้กำลังเป็น Trend ในหมู่ผู้นับถือพระแม่กาลีในยุโรปและอเมริกามาก) เค้ายืนยันค่ะว่าพระแม่โปรดมากจริงๆ คุณรับฟังไว้เฉยๆ ไม่ต้องเชื่อก็ได้ค่ะ เพราะไม่ใช่พราหมณ์พูด เอาแค่นี้ก่อนนะคะ สำหรับประเด็นเกี่ยวกับเรื่องการบูชาด้วยการสังวาส ^ ^ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 2 พ.ค. 52 05:16:16 ]

ความคิดเห็นที่ 20 อีกประเด็นหนึ่งค่ะ การบูชายัญมนุษย์ แพร่หลายไม่แพร่หลายไม่ต้องย้อนไปเอาหลักฐานที่ไหนไกลค่ะ เอาแค่ตอนที่อังกฤษยึดอินเดียเป็นอาณานิคมได้แล้ว ทางอังกฤษได้ค้นพบว่า ยังคงมีการประกอบพิธีบูชายัญมนุษย์ถวายพระแม่กาลีหลงเหลืออยู่ในอินเดียขณะนั้น (แม้ว่าตอนนั้นศาสนาฮินดูจะกล่าวว่าพระแม่กาลีทรงเป็นอวตารของพระอุมา และรณรงค์ให้บูชาพระนางอย่างที่คุณ Asura666 (เอ็มฐ์พล) กับคุณมิ้มเฒ่ารู้จักดีอยู่แล้วก็ตาม) และเมื่อทางอังกฤษเริ่มสืบสวนเรื่องดังกล่าว ก็พบข้อมูลที่น่าตกใจว่า จากปากคำของชาวอินเดียที่ให้การต่อผู้สืบสวนชาวอังกฤษ ประมาณว่ามีเหยื่อมนุษย์ที่ถูกนำไปบูชายัญถวายพระแม่กาลีทั่วประเทศอินเดียมากถึงราวๆ ปีละ ๔๐,๐๐๐ ราย ซึ่งนี่เป็นข้อมูลที่รวบรวมได้จากครอบครัวของเหยื่อ หรือผู้เห็นเหตุการณ์ รวมทั้งคำบอกเล่าที่เชื่อถือได้เฉพาะในระหว่างปีค.ศ. ๑๖๐๐ ถึง ๑๘๓๐ เท่านั้นเองค่ะ จนรัฐบาลอังกฤษต้องตัดสินใจแต่งตั้งนายทหารผู้บังคับการกรมทหารพื้นเมือง หรือ ทหารซีปอย ชื่อ วิลเลี่ยม เอช สลีแมน เป็นผู้ควบคุมการไล่ล่าปราบปรามพวกนับถือพระแม่กาลี ซึ่งเป็นพวกที่อยู่เบื้องหลังการบูชายัญมนุษย์ดังกล่าว ซึ่งนิยมเรียกกันว่าพวก ธัค (Dhag) สลีแมนต้องใช้เวลานานกว่า ๒๕ ปี จึงสามารถถอนรากถอนโคนพวกธัค และลัทธิบูชาพระแม่กาลีด้วยการบูชายัญมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ในปีค.ศ.๑๘๓๘ หลังจากนั้น พราหมณ์ผู้เป็นปากพระพรหม และคุณ Asura666 (เอ็มฐ์พล) จึงสามารถอ้างได้ว่าไม่มีพิธีกรรมดังกล่าวในนิกายศักติและนิกายใหญ่อีก ๕ นิกายในประเทศอินเดียปัจจุบัน อ่านบันทึกของทางอังกฤษแล้วก็ลองคำนวณดูง่ายๆ ค่ะ ถ้าแค่ภายในช่วง ๒๓๐ ปี มีการบูชายัญมนุษย์ถวายพระแม่ปีละ ๔๐,๐๐๐ คน จะว่าไม่แพร่หลายก็คงพูดไม่ได้เต็มปากหละค่ะ ว่าแต่ว่า ถ้าการบูชาด้วยการเสพสังวาส (ดังที่กล่าวไปแล้ว) กับการบูชายัญมนุษย์ปีละ ๔๐,๐๐๐ คนนี่ เป็นสิ่งที่พระแม่ไม่ต้องการ แล้วทำไมพระแม่ไม่ตรัสผ่านพราหมณ์ซะตั้งแต่ก่อนชาวอังกฤษจะเข้าไปยึดครองอินเดียล่ะคะ ว่า "ลูกเอ๋ย แม่ไม่ชอบให้ลูกทำอย่างงั้น เลิกเถอะลูก" ทำไมพระแม่กาลีในศาสนาฮินดู ซึ่งมีพราหมณ์เป็นปากเป็นเสียง จึงไม่ทรงดลบันดาลให้ลัทธิดังกล่าวถูกทำลายล้างไปด้วยน้ำมือพราหมณ์ และชาวฮินดูทั้งหลาย โดยไม่ต้องพึ่งการกวาดล้างของกองทหารอังกฤษ !?! จากประสบการณ์ที่เราไปอินเดียบ่อยๆ (ทุกเดือนในขณะนี้) พระแม่กาลีจะทรงชื่นชอบการบูชายัญมนุษย์ถวายหรือไม่ก็ตาม แต่ทุกวันนี้เทวสถานของพระแม่ยังคงต้องตัดหัวแพะถวายทุกวันค่ะ เพราะการตัดหัวคนถวายพระแม่เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายอินเดียปัจจุบันค่ะ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 2 พ.ค. 52 05:49:20 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ไม่นอนเลยเรอะครับ...คุณหนอนดาวเรือง ผมอ่านมาทั้งหมดนี้....สรุปได้ว่า ความจริงแล้ว  พระแม่อุมา  กับเจ้าแม่กาลี ไม่ใช่เทพองค์เดียวกัน แต่ฮินดูโมเม  มารวมกันเอง และในความรู้สึกของผม   เจ้าแม่กาลี  ไม่น่าจะใช่เทพด้วยซ้ำ การที่จะต้องบูชายัญ  ด้วย...ชีวิตมนุษย์ มันก็เกินไป...เกินไปมากครับ จำนวนที่คุณหนอนดาวเรืองแจ้งให้ทราบจากบัททึกชาวอังกฤษ มันน่าตกใจมาก แสดงว่า  ถ้ายิ่งถอยหลังไปพันๆปี คงจะบูชายัญกันมากมายมหาศาล  เมื่อเทียบกับจำนวนประชากร นี่ไม่ใช่...ศาสนาแล้วครับ จากคุณ : deepspace - [ 2 พ.ค. 52 07:15:21 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอนอกเรื่องนิดว่า ตาที่สาม...ที่คุยๆกัน ไม่ใช่เรื่องศาสนาอะไรทั้งนั้น แต่เป็นวิทยาศาสตร์   ที่มนุษย์ธรรมดา  มีขีดความสามารถที่จะทำได้ ถ้าใช้เป็น กล่าวคือ  ในสมองของเรานั้น  เราใช้กันไม่ได้ครบถ้วนตามศักยภาพของสมอง แต่ว่าที่เราๆทำกันไม่ได้   เพราะเราไม่รู้วิธีครับ แต่...พระบางรูป ฤาษี  บางรูป   ท่านรู้วิธีครับ จากคุณ : deepspace - [ 2 พ.ค. 52 07:21:36 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เคยเดินเข้าไปในปราสาทเขาพนมรุ้ง พอเดินไปถึงตรงกลางๆแล้วรู้สึกหวาดเสียว ไม่ค่อยชอบเลย ไม่รู้ว่าเค้าทำพิธีบูชายัญเทพแบบเดียวกันหรือเปล่า ... จากคุณ : นพมาร - [ 2 พ.ค. 52 07:29:35 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ได้ความรู้อีกเยอะเลยครับ กระทู้นี้มีคุณค่ามากสำหรับผม ขอบคุณทุกๆท่านมากครับ จากคุณ : มิ้มเฒ่า - [ 4 พ.ค. 52 13:42:20 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ตอบคุณนพมาร ในปราสาทพนมรุ้ง ไม่เคยมีการทำพิธีแบบเดียวกับการบูชายัญเจ้าแม่กาลีค่ะ เพราะปราสาทเขาพนมรุ้ง เป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู ไศวะนิกาย บูชาพระศิวะเป็นเทพสูงสุด พระศิวะท่านไม่โปรดการบูชาด้วยการสังวาส และสิ่งมีชีวิตค่ะ ที่น่ากลัวกว่า คือแก๊งล้วงกระเป๋าบริเวณร้านขายของที่ระลึกก่อนขึ้นตัวปราสาทค่ะ ............................. สำหรับคุณมิ้มเฒ่า ไม่ว่าทิพยภาวะของพระแม่กาลี หรือธรรมเนียมในการบูชาพระแม่กาลีจริงๆ แล้ว จะเป็นยังไง หรือว่าคุณเองได้บูชาท่านมายังไงก็ตาม แต่การที่คุณบูชามาตลอดแล้วได้รับสิ่งที่ดีมาตลอด ก็ขอให้คุณอย่าได้ท้อถอย หรือเปลี่ยนแปลงในการบูชา เคยบูชามายังไงก็ทำไปอย่างงั้นค่ะ พระแม่กาลีองค์จริงจะเป็นเทพปีศาจ หรือดุร้ายเพียงใด ท่านก็ยังเป็นแม่จริงๆ คือเป็นแม่ที่พร้อมจะปกป้องลูกของท่านเสมอ ท่านจะไม่ปล่อยให้ลูกของท่านได้รับอันตรายใดๆ ดังนั้นคุณจะบูชาท่านในรูปแบบที่ถูกใจหรือไม่ถูกใจท่านก็ตาม ท่านรับคุณเป็นลูกแล้วท่านก็มีแต่จะทำอะไรก็ได้เพื่อให้คุณอยู่เย็นเป็นสุขที่สุดค่ะ .......................... สำหรับคุณ deepspace ไม่ว่าจะต้องสังเวยชีวิตมนุษย์ไปมากมายแค่ไหนก็ตาม ในทรรศนะของผู้ที่นิยมในการฆ่าคนเพื่อบูชายัญเจ้าแม่นั้น เค้ามิได้เมามันหรือสนุกสนานกับการฆ่านะคะ เค้ากลับเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็น และเค้าคิดว่าเค้าทำเพื่อความอยู่รอดของตัวเค้า หรือชนเผ่า หรือบ้านเมืองของเค้าต่างหาก ที่จริงแล้ว มนุษย์เราจนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็ฆ่าและล้างผลาญสิ่งมีชีวิตอื่นมากมาย เพื่อความอยู่รอดของพวกเราเช่นกันค่ะ แนะนำหนังสือเล่มข้างล่างนี้ สำหรับคุณ deepspace และทุกท่านที่สงสัยว่า ทำไมต้องบูชาเจ้าแม่ด้วยการสังเวยชีวิตมนุษย์ ค่ะ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ วันฉัตรมงคล 01:24:46 ]

ความคิดเห็นที่ 26 จบกัน เราก็นึกว่ามีเรื่องตื่นเต้ลล ที่แท้เหม็นกลิ่นอับนี่เอง จากคุณ : นพมาร - [ วันฉัตรมงคล 08:19:59 ]