ความคิดเห็นที่ 1 ก่อนอื่นผมต้องขอให้คุณ Sanmal เข้าใจก่อนว่า       อิสลามสอนให้ ผู้ศรัทธา ใช้สติปัญญาและ เหตุผล ในการยอมรับอิสลาม, สำหรับผู้ที่ ศึกษา ด้วยความเข้าใจและสามารถที่จะ ประยุกต์หรือใช้เหตุผล ในหลักการของอิสลาม โดยที่ไม่หลอกตัวเองแล้ว จะเป็นมุสลิมที่แท้จริง (2:130), ทั้งนี้เพราะว่า ศาสนาอิสลามมีรากฐานมาจากความเชื่อมั่นในพระเจ้าองค์เดียว ของท่านศาสนทูต อิบรอฮิม      จากการศึกษาและเข้าใจด้วยเหคผล ผู้ที่ศรัทธาในศาสนาอิสลามเชื่อว่า ท่านศาสดาอิบรอฮิมเป็นผู้ให้กำเนิดของศาสนาอิสลามที่ ตกทอดมาถึงมุสลิมในปัจจุบันนี้ โดยได้รับการยืนยันจากโองการ ในอัลกุรอานที่ท่านศาสดามูฮัมมัด ได้รับมาจากพระเจ้าว่า ศาสนาอิสลามนี้ มีรากฐานมาจาก ความศรัทธาของท่านศาสดาอิบรอฮิม และเป็น ผู้ที่ขนานนามของ ผู้ที่ศรัทธาศาสนาของ ศาสนทูต อิบรอฮิมว่า “มุสลิม”    จากบัญญัตินี้ ได้อธิบายให้เราเข้าใจ ถึงการ ปฏิบัติ ศาสนกิจ, ต่างๆ ของมุสลิม ในปัจจุบัน ในเรื่อง การทำละหมาด, การให้ปัจจัยต่อผู้ขัดสน, การถือศีลอด, ตกทอดมาถึงมุสลิมในปัจจุบัน (22:78) ฯลฯ.   ซึ่งต่อมาภายหลัง หลักการปฏิบัติศาสนกิจดังกล่าวได้ถูกฟื้นฟูและจัดระเบียบ ให้กระชับเคร่ง ครัดยิ่งขึ้น โดยท่านศาสนทูตมูฮัมมัด  หลังจากที่ได้รับบัญญัติ(อัลกุรอาน) ซึ่ง เป็น บัญญัติ ฉบับสุดท้ายของพระเจ้า      ซึ่งผมก็คิดว่า ได้ให้คำอธิยายไว้ทุกอย่างแล้ว  แต่ก็ไม่เป็นที่เข้าใจ และพยายามที่จะศึกษาและและหาความ เข้าใจว่า  เกี่ยวกับการละหมาด และ เวลาในอัลกุรอานซึ่ง พระเจ้าได้ทรงกล่าวถึง การละหมาด ซึ่งเป็นสิ่งที่มุสลิมได้ปฏิบัติมาแล้ว และกำลังปฏิบัติอยู่ในขณะที่อัลกุรอานถูกประทานให้แก่ท่าน นบีมูฮัมมัด       แต่เนื่องจากคุณ Sanmal ถามผมด้วยความสุภาพ และ ด้วยมีเจตนาที่ดี ผมจึงจะคุยกับคุณในเรื่องนี้อีกครั้ง ซึ่งคุณจะเห็นด้วยหรือไม่ ยกให้เป็นสิทธิของคุณ ...        คุณต้องเข้าใจร่วมกันว่า ถ้าเราไม่เชื่อฟังท่านรอซูลแล้ว เราก็จะไม่มีการเชื่อถือในอัลกุรอานว่าเป็น “บัญญัติของพระเจ้า” “อัลลอฮ์ได้กล่าวแก่ท่านรอซูลและท่านอีม่ามทั้งหลายว่าท่านรอซุลและอีมามไม่ได้เป็นผู้ชี้ทางให ้แก่บุคคลที่ท่านรัก แต่ พระองค์อัลลอฮ์ เท่านั้น ที่เป็นผู้แนะแนวทางแก่ผู้ที่สมควรจะได้รับแนวทางของพระองค์ (28:56) การละหมาด ซุบฮิ  มีใน บทที่ 24  อายะที่ 58 การละหมาด    ซุฮฺริ มีใน บทที่ 24  อายะที่ 58  และ   17: 78   การละหมาด อัศริ  มีใน บทที่ 2  อายะที่238   และ     17: 78   การละหมาด   มัฆริบ มีใน บทที่  17  อายะที่ 78     การละหมาด  อีชา  มีใน บทที่ 24  อายะที่ 58 English (Yusuf Ali) 24:58 O ye who believe! let those whom your right hands possess, and the (children) among you who have not come of age ask your permission (before they come to your presence), on three occasions: before morning prayer;ซุบฮิ  the while :-)off your clothes for the noonday heat; and after the late-night prayerอีชา: these are your three times of undress: outside those times it is not wrong for you or for them to move about attending to each other: Thus does Allah make clear the Signs to you: for Allah is full of knowledge and wisdom. English (Yusuf Ali) 17:78 Establish regular prayers - at the sun's decline ซุฮฺริtill the darkness of the night, and the morning prayerซุบฮิ and reading: for the prayer and reading in the morning carry their testimony. English (Yusuf Ali) 2:238 Guard strictly your (habit of) prayers, especially the Middle Prayerอัศริ; and stand before Allah in a devout (frame of mind). English (Yusuf Ali) 11:114 And establish regular prayers at the two ends of the dayซุบฮิ and at the approaches of the nightมัฆริบ: For those things, that are good remove those that are evil: Be that the word of remembrance to those who remember (their Lord): นี่คือ หะดีษ จากคุณ  Carroth ที่ยกตัวอย่าง ฮาดิสที่รวมเวลาละหมาดทั้งห้า  มาให้ผม  ดู  เนื่องจากผมไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดในเรื่องนี้อกต่อไป ทั้งนี้ อัลกุรอานบอกไว้อย่างกระจ่างชัด แล้ว ในเวลา  ในการละหมาด 5 เวลา ซึ่งไม่มีความกำกวม เช่น หะดีษข้างล่างนี้  ซึ่งผมก็ไม่เห็นว่ามีความชัดเจน มากเท่าใด ......................... ฮาดิสที่รวมเวลาละหมาดทั้งห้า ก็คือฮะดีสที่มุสลิม (614) และผู้อื่นได้รายงาน จากอบีมูซา อัลอัชอารีย์ (ร.ด) จากท่านนบี (ซ.ล) ว่า ได้มีผู้หนึ่งมาถามท่านนบี (ซ.ล) ถึงเรื่องเวลาละหมาด แต่ท่านไม่ได้ตอบอะไรเขาผู้นั้น  เขาได้กล่าวว่า ได้มีผู้อิกอมะห์ละหมาดซุบฮิ์ขณะที่แสงอรุณจริงขึ้น ในสภาพที่มนุษย์บางส่วนกับอีกบางส่วนเกือบไม่รู้จักกัน (คือยังคงมืดอยู่) ต่อมาท่านได้ใช้เขาให้อิกอมะห์ละหมาดดุฮ์รี่ขณะที่ตะวันคล้อย และมีผู้กล่าวขึ้นว่า ความจริงเป็นเวลาเที่ยงวัน โดยที่ท่านนบี(ซ.ล) รู้ดียิ่งกว่าใคร หลังจากนั้นท่านได้ใช้พวกเขา จึงได้มีผู้อิกอมะห์ละหมาดอัสริ์ขณะที่ตะวันยังอยู่สูง หลังจากนั้นท่านได้ใช้เขา เขาจึงได้อิกอมะห์ละหมาดมัฆริบขณะที่ตะวันตก ต่อมาท่านได้ใช้เขา เขาจึงได้อิกอมะห์ละหมาดอิชาอ์ ขณะที่แสงหายไปจากขอบฟ้า จากนั้นท่านได้ละหมาดซุบฮิ์ล่ากว่าเมื่อวานนี้ จนท่านเสร็จละหมาด มีผู้กล่าวว่า ตะวันขึ้นแล้วหรือว่าตะวันเกือบขึ้น ต่อจากนั้นท่านได้ละหมาดดุฮริ์ล่า จนเกือบเข้าเวลาอัสริ์ของเมื่อวานนี้ ต่อมาท่านก็ละหมาดอัสริ์ล่า จนท่านเสร็จละหมาด มีผู้กล่าวว่า ตะวันเป็นสีแดงแล้ว ต่อมาท่านได้ละหมาดมัฆริบล่า จนเกือบเป็นขณะเดียวกับที่แสงที่ขอบฟ้าหายไป จากนั้นท่านได้ละหมาดอิชาอ์จนเกือบถึงหนึ่งในสามส่วนแรกของเวลากลางคืน (ประมาณสี่ทุ่ม) หลังจากนั้นก็ถึงเวลาซุบฮิ์ ท่านจึงได้เรียกผู้ถามมา แล้วกล่าวว่า “เวลาละหมาดนั้นอยู่ระหว่างทั้งสองนี้” ฮะดีษนี้นอกจากจะบอกเวลาละหมาดแล้วยังบอกระยะเวลาของละหมาดแต่ละเวลาด้วย ซึ่งแต่ละสำนักคิดจะละหมาดต่างกันบ้าง ก็ดูตัวอย่างฮะดีษนี้ก็จะทราบว่า แต่ละเวลา ท่านรอซูล ละหมาดให้เราเห็นทิ้งระยะห่างกัน บางคนจึงอาจจะมีการละหมาด เร็วหรือล่าช้ากว่ากัน บ้าง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เขาทำผิด หรือบัญญัติกฎขึ้นมาเองอย่างที่แมทท์โกหก จากคุณ : Carroth  - [ 10 เม.ย. 52 06:09:29 ] """""""""""""""  อย่างไร... ที่น่าแปลกใจ คือ แทนที่จะบอกว่าเวลา จาก หะดีษ เหล่านี้ ท่านรอซูล ปฏิบัติตาม อัลกุรอาน  แต่กลับบอกเล่าในหะดีษ บทอื่นๆว่า ท่านรอซูลเรียนละหมาดมาจาก เทวทูตจากสวรรค์ ชั้น 9 บ้าง จาก ซีปขาวบ้าง  ซึ่งเป้นเรื่องสุดวิสัยมนุษย์ที่จะ เข้าใจได้ จากคุณ : แมทท์ - [ 30 เม.ย. 52 01:48:35 ]

ความคิดเห็นที่ 2 รอ จขกท มา อ่าน ที่แมทท์ตอบนะครับ ซึ่งเข้าคุณ จขกท น่าจะจับโกหกแมทท์ได้ แล้ว เหมือนที่แมทท์เคยถูกจับโกหก ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็หนีมาตลอด 5 ปี ซึ่งคำตอบที่แมทท์ตอบในกระทู้นี้ ก็เป็นคำตอบเดิม ที่โดนผม จับโกหกได้ ครั้งแล้วครั้งเล่า และแมทท์ก็ยัง หาทางออกตัวเองไม่ได้ในเรื่องละหมาด และที่สำคัญ ถ้าแมทท์ไม่สามารถบอกได้หรอกครับว่า ละหมาด มีเพียง 5 เวลา ไม่ใช่ 6 7 8 หรือ 9 จากคุณ : Carroth - [ 30 เม.ย. 52 05:52:08 ]

ความคิดเห็นที่ 3 คุณ Carroth    เพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมขอถามคุณว่า คุณเชื่อเรื่อง  "เมียะราจ/อิศรอ" หรือไม่?  และถ้าคุณเชือ่ คุณเชื่อหรือไม่ว่า การละหมาด 5 เวลา จากฮะดีษ บทนี้เป้น การ จัดเรียงลำดับเวลา ตาม การทำละหมาด สมัยท่านรอซูล ซึ่งท่านกระทำอยุ่ในสมัยนั้น  ให้สอดคล้องกับ เรื่อง"เมียะราจ/อิศรอ", เวลาทุกๆเวลาใน ฮาดีษบทนี้ มีตรงกับอัลกุรอาน ทุกๆเวลา ถ้าคุณอ่าน อัลกุรอาอย่างละเอียดแล้ว , จะมีบัญญัติในอัลกุรอาน อีกหลายบัญญัติ ซึ่งกล่าวถึง กำหนดเวลา ทั้ง 5  ซ้ำๆ  และบางครั้งก็กล่าถึงการละหมาด พิเศษ นอกเหนือไปจาก 5 เวลา นี้  ถ้าเรื่อง"เมียะราจ/อิศรอ",  บอกว่า การต่อรอง ลงมาเพียง 3เวลา   ฮาดีษบทนี้ก็จะลำดับเวลาเพียง 3 เวลา  อัลกุรอานลงมาก่อน อะหะดีษ ด้วยเหตุนี้ ท่านรอซูลจึงปฏิบัติทุกๆสิ่ง เกี่ยวกับ ศาสนกิจต่าง ตามคำสั่งของ พระองค์อัลลอฮ์  สิ่งที่คุณไม่อาจจะเฉยเมยในบัญญัติของอัลกุรอานได้ก็คือ อายะที่ 22:78  ถ้าคุณรักและเชื่อฟัง ท่านรอซูลตามคำสั่งของ พระเจ้าแล้ว คุณจะต้องมีความเชื่อในอายะนี้ ทั้งนี้ เพราะว่า เป้นคำสั่ของพระเจ้า สั่งต่อท่านรอซูล โดยตรง  มีระยะหนึ่งที่มุสลิมที่ศรัทธาในศาสนาของ นบีอิบรอฮิม (อิสลาม) ละเลยการทำ อิบาดะห์ต่างดังกล่าว  ท่านรอซูล มีคำสั่งโดยพระเจ้าให้ กำชับมุสลิมทุกๆ มุมเมือง กระทำอิบาดะห์ ให้ถูกต้อง  หะดีษเหล่านี้จึงถูกเขียนขึ้นมา จาก ความจดจำของ สาวกของท่าน  คุณคงสังเกตุได้จากฮะดีษไม่มีรูปแบบที่ เคลียร์คัท ที่จะใก้ มุสลิมในปัจจุบัน กระทำได้ถูกต้อง เหมือนกันทุกอริยาบทของท่านรอซูล ในการทำละหมาด  ซึ่งเป็นสาเหตุในการ โต้เถียงกันอยู่ทุกๆวันนี้    ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงมีบัญญัติว่า ท่าทางที่สวยงามในการทำละหมาดต่อหน้าผู้คนนั้น ไม่สำคัญเท่ากับการ กระทำการสักการะต่อพระองค์ด้วยความศรัทธาที่แท้จริง ของมุสลิม   ถ้าคุณจะกล่าวหาว่า ผมเป็นจอมโกหกพกลมแล้ว คุณลองค้นคว้าและวิจัเรื่องการทำละหมาดอย่าง ละเอียด คุณ จะเข้า ใจประวัติของการละหมาดมีความเป็นมาอย่างไร?  ถ้าคุณไม่ค้นคว่าศึกษาอัลกุรอานในเรื่องนี้อย่างจริงใจ แล้ว เราก็ยังคงเถียงกันอีก  แต่สำหรับผม  ผมจะไม่ Convince  คุณในเรื่องนี้อีกต่อไป ทั้งนี้ มีหลัก ฐานในเรื่องนีอยู่ในอัลกุรอาน  และในเรื่องการบัญญัติให้ตีภรรยานั้น ไม่มีในอัลกุรอาน  อายะ 4:34  ไม่ได้มีความกำกวมในความหมายที่ถูกต้อง ตามหลักภาษา  "มีอยู่สองอย่างคือ มีการบัญญัติให้ตีหรือไม่ตีเท่านั้น.   และการอธิบายตามหลักไวยกรณ์ แล้ว  อายะ ที่ 4:34 ไม่มีประโยคใดที่อนุญาตให้ตีภรรยาได้ไม่ว่าจะตีหนักเบาอย่างไร,  การแปลอย่างกำกวมของ เวบ SA นั้นไม่ถุกต้องตามหลักวิชา ถ้าแปลเช่นนั้น หลักการสอนของอิสลามจะขัดกันเอง  ซึ่งคุณคงไม่คิดว่าพระเจ้าจะ มีคำสั่งที่ขัดกัน ทำให้มุสลิมงุนนงงเช่นนั้นหรือ การจูบหินดำก้ตาม  เป็นการกระทำของ ชาวมุชริกเมกกะก่อน อิสลาม แม้แต่ท่าน คอลิฟะที่เล่าเรื่องท่านรอซุลจูบหินดำก็ตามท่านเองก้ไม่แน่ใจว่าจูบเพราะอะไร ท่านแน่ใจว่าเป็น ชริก  ท่านจึงกล่าวออกตัวล่วงหน้า ก่อนว่า "หินนั้นไม่มีอำนาจใดๆ แต่ที่จูบนั้น เพราะเห็นท่านรอซูลก้มลงจูบ", ซึ่งผมไม่เชื่อในเรื่องนี้ว่า ท่านรอซูล ก้มลงจูบก้อนหินที่เป็นที่บูชาของ มุชริกเมกกะมาก่อน..เป็นเรื่องเล่าที่ ปราศจากความจริง   ถ้าคุณบอกว่า ก้อนหินนั้นไม่มีรูปร่างลักษณะ อะไร คุณลองมองให้ดี ว่า มีลักษณะในการสร้าง คล้าย อวัยวะเพศหญิง ซึ่งมีประวัติว่า เป็นอวัยวะเพศของ เทพธิดาชื่อ "อุซซา"  ซึ่งเป็นรูปปั้นที่ มุชริกเมกกะเชื่อว่า ถ้า หญิงผู้ใดอยากจะมี ลูก ก็ไป จูบหรือสัมผัส เทวรูปหินดำนั้น   แต่เมื่อมุสลิมได้รับหินนั้นมาในรูปแบบที่แตกหัก การสร้างกรอบหุ้มก้ยังคงรักษารูปแบบเดิม แต่มุสลิมเชื่อว่าเป็น ลุกอุกาบาต จากสวรรค์ ที่พระเจ้าส่งมาเพื่อบอกสถานที่ในการสร้าง "กะบะห์"   ผมเข้าใจว่า มุสลิมถูกพวกมุชริกเมกกะ หลอกให้ นำเทพเจ้าของเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึงของสาสนาใหม่  แต่เรื่องที่ผมเคยได้ยินมาแต่เด็ก หินดำนั้นเป้นก้อนหินที่เป้นการสมานสามัคคีของ อรับเผ่าต่างๆ โดยท่าน รอซูล ให้ทุกๆเผ่าเอาหินดำที่ต่างคนต่างจะจับต้องนั้น วางบนผืนผ้าแล้วทุกเผ่ามีตัวแทนมา, ยกชายมุมผ้าผืนใหญ่เพื่อตั้งวาง ก้อนหินที่มุมของ กะบะห์   ลองดูรูปหินดำกันอีกทีแล้ว พิจารณาว่า เรื่องเกี่ยวกับหินดำนี้ เรื่องใดใกล้ความจิงที่สุด แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 52 10:34:48 จากคุณ : แมทท์ - [ 30 เม.ย. 52 10:07:01 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ข้อความข้างล่างนี้เป็นข้อความส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร เรื่องราวของ "หินดำ" ของผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการจูบหินดำของมุสลิม ในพิธีฮัจจฺ "Because the al-Hajar-ul-Aswad (black stone) was believed to have the power of making women pregnant, the Pagans preserved it in goddess al-Uzza’s vulva, to be touched and kissed by the pilgrims, who came to Mecca to perform their hajj and umra. The following illustration of the enclosure of the stone should make my point clear" จากคุณ : แมทท์ - [ 30 เม.ย. 52 10:23:24 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เนื่องจากประวัติของหินดำนี้ไม่มีบอกอยู่ในอัลกุรอาน และมีประวัติที่ไม่แน่นอน ผมในส่วนตัวไม่เห็นว่ามุสลิมควรจะลดเกียรติ ลงไปจูบ สิ่งที่ เราไม่แน่ใขว่าจะเป้นชริกหรรือไม่? จากคุณ : แมทท์ - [ 30 เม.ย. 52 10:26:31 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าคุณ Carroth .. มีความต้องการจะจูบหินดำนี้  ผมก็ห้ามเตือนคุณไม่ได้ เพียงแต่กล่าวได้ว่า  สำหรับมุสลิมไม่สมควรทำในสิ่งที่ล่อแหลมต่อ การทำ "ชริก" จากคุณ : แมทท์ - [ 30 เม.ย. 52 10:29:45 ]

ความคิดเห็นที่ 7 มาดูเรื่อง การละหมาด 5 เวลา ในกุรอ่านของแมท์นะครับ ว่า ที่เอามามันมั่วแค่ไหน แมทท์บอกว่า จากอัลกุรอาน การละหมาดมีอยู่  5 เวลา  เวลาเหล่านั้นมี ดังนี้ 1.การละหมาด ซุบฮิ  มีใน บทที่ 24  อายะที่ 58 2.การละหมาด    ซุฮฺริ มีใน บทที่ 24  อายะที่ 58  และ   17: 78   3.การละหมาด อัศริ  มีใน บทที่ 2  อายะที่238   และ     17: 78   4.การละหมาด   มัฆริบ มีใน บทที่  17  อายะที่ 78     5.การละหมาด  อีชา  มีใน บทที่ 24  อายะที่ 58 ครับ ดูเผินๆ เหมือนตอบได้นะครับ ว่า ละหมาด มี 5 เวลา ครบเป๊ะแต่ไม่ใช่ครับ อยากเรียนให้ทุกท่านทราบนะครับว่า ละหมาดนั้นน่ะ มุสลิมมี 5 เวลาครับ ที่ต้องรักษาให้ครบ ซึ่งมุสลิมทั่วโลกรู้ดีอยู่แล้ว ไม่ใช่ 6 หรือ 7 หรือ 8 หรือ 9 เวลา แต่จริงๆ แล้วถ้าเราอ่านแต่กุรอ่านโดยไม่เอาคำสั่งที่ว่า ให้ทำตามนบี หรือที่เราเรียกว่าฮะดีษนั้น จะพบว่า มีมากกว่า 5 เวลาครับ ดังนี้ 238. พวกเจ้าจงรักษาบรรดาละหมาดไว้ และละหมาดที่อยู่กึ่งกลาง(*1*) และจงยืนละหมาดเพื่ออัลลอฮ์โดยนอบน้อม กุรอ่านบอกไว้ครับว่า จงรักษาบรรดาละหมาดไว้ และละหมาดที่อยู่กึ่งกลางด้วย บรรดาละหมาดมีเวลาใดบ้าง มีแค่ 5 เวลาเหรอครับ ถ้าจะอ้างแบบแมทท์ เปล่าเลย เรามาดูว่า เวลาในกุรอ่านมีอะไรบ้าง อ่ะ ผมสมมุตินะครับ ว่าให้กึ่งกลางระหว่างวันเป็น ดุฮริ แล้วกัน แต่ก่อนจะกึ่งกลางมีอะไร และจงสดุดีด้วยการสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าก่อนการขึ้นของดวงอาทิตย์ และก่อนมันตก (50:39) ให้สดุดีสรรเสริญก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น .... มันตรงกับละหมาดศุบห์นี่นา แล้วสดุดีสรรเสริญก่อนดวงอาทิตย์ตก .... ก็ตรงกับละหมาดอัศร์ ใช่เหรอ??????? ก่อน พระอาทิตย์ตกมี แค่อัศร์เหรอครับ? ไม่ใช่ครับ ซูเราะฮฺ อัฎฎุฮา อายะห์ที่ 1. ขอสาบานด้วยเวลาสาย นี่ก็เวลา หนึ่ง จาก เวลา ก่อนพระอาทิตน์ตก และจงรำลึกถึงพระเจ้าของเจ้ามาก ๆ และจงกล่าวสดุดีในความบริสุทธิ์ของพระองค์ ทั้งในเวลาอะชีย์และเวลาอิบการ์ (3:41) และจงแซ่ซ้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้าทั้งในเวลาอะชีย์และเวลาอิบการ์ (40:55) กึ่งกลางระหว่าง วัน ให้เป็น ดุฮริ แล้วก่อน แต่ก่อนจะกึ่งกลางมีอะไร มี : อิบการ์(อิบการ์คือเวลาเช้า) ฎุฮา แล้วหลังกึ่งกลางมีอะไร มี : อะชีย์(อะชีย์ ก็ เวลาช่วงเย็นๆ) อัศริ 5 แล้ว ครับ มีอีก 58. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ! จงให้บรรดาผู้ที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง (*1*) และบรรดาผู้ที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะในหมู่พวกเจ้า ขออนุญาตพวกเจ้าสามเวลาคือ ก่อนเวลาละหมาดฟัจญริ และเวลาพวกเจ้าเปลื้องเสื้อผ้าในเวลากลางวัน (*2*) และหลังจากเวลาละหมาดอิชาอฺ (*3*) ทั้งสามนี้เป็นเวลาส่วนตัวสำหรับพวกเจ้า (*4*) หลังจากนี้แล้วไม่เป็นที่น่าตำหนิแก่พวกเจ้าและแก่พวกเขา เพราะพวกเขาวนเวียนรับใช้บางคนในหมู่พวกเจ้า เช่นนั้นแหละอัลลอฮฺทรงชี้แจงโองการทั้งหลายให้เป็นที่ชัดแจ้งแก่พวกเจ้า และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ มีเวลา ฟัจญริ และ อิชา ด้วย กี่เวลาแล้ว จากคำว่าบรรดา ละหมาด และนับกึ่งกลางอีก 1 ฟัจญริ อิบการ์ ฎุฮา ดุฮริ อะชีย์ อัศริ อิชา 7 แล้ว ยังนะครับ ซูเราะห์อัซ-ซุมัร  โองการ 9  ซึ่งมีใจความว่า  :  “หรือว่าพวกเจ้า  (โอ้ชนชาวมุชริก)  จะดีกว่า[u]ผู้ที่มีความภักดีที่ทำการกราบนมัสการและตื่นขึ้นในเวลากลางคืน[u]  โดยมีความหวั่นกลัว (อันตรายของ) โลกหน้า  และมุ่งหวังความเมตตาแห่งองค์อภิบาลของเขา   จงประกาศเถิด ! บรรดาผู้รู้กับผู้ไม่รู้นั้นจะเท่าเทียมกันหรือ ?  อันที่จริงบรรดาผู้มีวิจารณญาณทั้งหลายย่อมสำนึกแน่” มีแบบกลางคืนอีก กี่เวลาแล้ว ฟัจญริ อิบการ์ ฎุฮา ดุฮริ อะชีย์ อัศริ อิชา นี่ก็ 8 แล้วครับ 17:78 จงดำรงการละหมาดไว้ตั้งแต่ตะวันคล้อยจนพลบค่ำ และการอ่านยามรุ่งอรุณจริงการอ่านยามรุ่งอรุณนั้นเป็นพยานยืนยันเสมอ พลบค่ำก็ มัฆริบ ตอนนี้มีเวลาอะไรบ้าง ศุบฮ์ อิบการ์ ฏุฮา ดุฮริ อะชีย์ อัศริ มัฆริบ อิชา และเวลา ที่ตื่นขึ้นกลางดึก คือ ตะฮัจญุดนะครับ 9 แล้วนะครับ จากคุณ : Carroth - [ 30 เม.ย. 52 10:51:18 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ผมเคยบอกไปแล้วในกระทู้ก่อนหน้านี้จาก บทความเรื่องชาริอะฮฺว่า คำสอนและแบบอย่างของท่านนบีมุฮัมมัด (หรือที่เรียกกันในภาษาทางวิชาการว่า “ซุนนะฮฺ”)  หากเปรียบไปแล้วก็เหมือนกับพระราชบัญญัติที่ออกมารองรองรับและกำหนดวิธีปฏิบัติในรายละเอียด เพราะท่านนบีมุฮัมมัดเป็นผู้ได้รับอภิสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวจากพระเจ้าให้ทำหน้าที่ ขยายรายละเอียดวิธีการปฏิบัติคำสอนของพระเจ้า ในคัมภีร์กุรอาน และคำสอนของท่านจะต้องไม่ขัดต่อเจตนารมณ์ของพระผู้เป็นเจ้าด้วย ดังนั้น ละหมาดเวลาต่างๆ ในฮะดีษย่อมมีตรงกับในกุรอ่านและไม่แย้งกันครับ เพราะ ฮะดีษหรือ แบบอย่างของนบีนั้นย่อมมีรากฐานจากกุรอ่านอยู่ แต่ ผมย้ำไปหลายต่อหลายรอบนะครับว่า ถ้าไม่มีฮะดีษ เราจะบอกไม่ได้หรอกครับ ว่า ละหมาด นั้น มี 5 เวลา เพราะ เวลาละหมาดในกุรอ่านนั้น ไม่ได้บอกว่ามี 5 แต่นับได้ ถึง 9 หรือ 10 กว่าๆ ดังนั้น เราจะรู้ได้อย่างไรว่าละหมาด ที่มุสลิมต้องทำภาคบังคับนั้นมี 5 เวลา ก็ต้องอาศัยฮะดีษครับ แล้วก็ฮะดีษนี่แหละที่บอกว่า ละหมาดเวลาใดเป็นเวลาบังคับ ดังนั้นถ้าไม่ฮะดีษ มุสลิมจึงไม่สามารถละหมาดได้ครับ อย่าว่าแต่ เวลาละหมาด ว่ามีกี่เวลา และเวลาอะไรบ้าง จำนวนรอกาอัตในละหมาด ก็จะไม่รู้ด้วย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับ การละหมาดด้วยท่วงท่าที่สวยงามต่อหน้าผู้คนหรือไม่ แต่มันเป็นการละหมาดอย่างถูกต้อง ตามคำสั่งของอัลลอฮฺและแบบอย่างของท่านนบี ไม่ใช่ทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ฝ่ายต่ำ ทำด้วยความเขลา เหมือนที่แมทท์อ้างว่า ทำตามบรรพบุรุษไงล่ะครับ และที่ผม กล่าวว่าคุณโกหกพกลม ก็เพราะมันเป็นความจริง ไม่ใช่เพียงแค่โกหกพกลม เท่านั้นแต่ยัง แสดงความเขลาออกมาอย่างหน้าด้านๆ ด้วย ซึ่งถ้าใครศึกษา เกี่ยวกับการละหมาด อย่างจริงจังแล้วล่ะก็ จะพบว่าแมทท์นั้น ทั้งมั่ว และไม่รู้จริงเลยสักอย่าง อาศัยแถ และหนีประเด็นเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น คุณบอกว่ามีหลักฐานว่าเรื่องละหมาดภาคบังคับ 5 เวลามีในกุรอ่านนั้น คุณกลับหามาไม่ได้ มีแต่หนีแล้วหนีอีก หลักฐานที่นำมัน ก็นับไม่ได้ 5 แต่นับได้ 9-11 เวลา หรือมากกว่านั้นอีก ปากคุณบอกว่ามีหลักฐาน แต่หลักฐานนั้นใช้ไม่ได้สักอย่าง ส่วนเรื่องการเฆี่ยนตีภรรยา ผมก็เอามาให้อ่านแล้วครับ ว่า เรื่องการที่สามีตบตีภรรยานั้น อิสลามห้ามอย่างชัดเจน และหากมีร่องรอย หรือได้รับบาดเจ็บ ท่านนบี(ซ.ล) ได้เคยสั่งใช้ให้มีการเสียสินไหมเพื่อร่องรอยนั้นๆด้วย เว็บ ของคุณ SA Student นั้นบอกชัดเจนครับว่าห้าม ไม่จำเป็นต้องพึ่งพวกชอบบิดเบือน ที่ดีแต่ก๊อบนั่นก๊อบนี่มาลง แต่ไม่รู้จริงสักอย่าง อย่างคุณหรอกครับ ยิ่งเรื่องหินดำนั้น ทุกท่านตามไปอ่านได้ที่นี่เลยครับ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/02/Y7541721/Y7541721.html ว่าแมทท์จนแต้ม และหมดทางแถแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องหนี และหนีตามสัญชาติญาณเดิมของแมทท์ ยิ่งเรื่องท่านอุมัร แน่ใจว่าการจูบหินดำเป็นชิริก ยิ่งเป็นกล่าวอ้างที่ชั่วช้า สามานย์และเลวทรามมาก เพราะแมทท์ชอบบอกว่า ท่านนบีไม่มีทางจูบหินดำ ถ้าแบบนั้นแล้ว ท่านอุมัรจะไม่จูบครับ ถ้าท่านคิดว่ามันเป็นการชิริก และการที่แมทท์บอกว่า การที่ท่านนบีจูบหินดำเป็นเรื่องไม่จริง แมทท์สรุปมาจากอะไร? ก็สรุปมาจากความเขลาของแมทท์เอง ที่ไม่มีหลักฐานทางวิชาการอะไรมารองรับ ไม่มีตรรกะเหตุอะไรทั้งสิ้น แมทท์พูดสรุปพล่อยๆ ตามสัญชาติตัวเอง ไม่ได้สรุปด้วยหลักการแต่อย่างใด เพราะถ้าใช่เหตุผลแล้วล่ะก็ ถ้าหินดำเป็นสาเหตุในการชิริกทำไมหินดำยังอยู่ที่นั่น? ไม่ถูกทำลายพร้อมกับรูปเคารพอื่นๆ ทำไมท่านอุมัรฺยังจูบหินดำตามแบบอย่างของท่านนบี? การจูบหินดำนั้น ทำเพื่อขออะไรจากหินดำหรือเปล่า? การจูบหินดำนั้นเพราะมุสลิมบูชาหินดำแทนพระเจ้าหรือไม่? ส่วนเรื่อง โกหก เรื่องแต่งเติม เรื่องมั่วๆของแมทท์ที่ว่า เป็นรูปอวัยวะเพศแล้วเล่าเกี่ยวกับ อุซซานั้น แมทท์เอามาจากเว็บนี้ครับ http://www.islam-watch.org/MAsghar/Muslims-are-Fuel-fot-fire-of-Hell.htm เว็บโจมตีอิสลาม นี่คือนิสัยของแมทท์ ซึ่งประวัติเรื่องนี้ มีแหล่งอ้างอิงจากไหน บอกผมด้วย หรือ มาลอยๆ เหมือนที่คุณอ้างว่า ละหมาดตามบรรพบุรุษอีก? ยิ่งบอกว่า มุสลิมถูกพวกบูชารูปปั้นมักกะห์หลอกให้นำเทพเจ้ามาเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาใหม่ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่รู้ศาสนาของแมทท์ อย่างแท้จริง เพราะ หลักการของศาสนาอิสลาม บัญญัติไว้ชัดเจน และตรวจสอบได้ครับ ไม่ใช่ว่า พวกบูชารูปปั้นจะมา หลอกหรือเสริมหลักการอิสลามได้ นี่เป็นเรื่องที่มาจากจิตนาการ อันโสมม และสกปรกโสโครกของแมทท์ล้วนๆ ไม่มีหลักฐานยืนยันอะไรทั้งสิ้น อย่างที่ผมย้ำเสมอว่า คนอย่างแมทท์ นอกจากการแถ การใส่ร้าย การบิดเบือนแล้ว นอกนั้นแมทท์ไม่มีสาระอะไรเลย ขนาดข้อมูลที่เอามาบิดเบือนยังมาจากเว็บโจมีอิสลามอีก คนอย่างแมทท์ มันก็มีเท่านี้แหละครับ จากคุณ : Carroth - [ 30 เม.ย. 52 11:22:50 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เจ้าของคำพูดที่แมทท์เอามานั้น คือ Mohammad Asghar คนคนนี้ ไม่ใช่มุสลิมนะครับ แล้วก็ออกบทความโจมตีทั้งท่านศาสดา และท่านนบีด้วย แต่แมทท์เอาคำพูดของคนนี้มาเพื่ออะไร? นี่แหละครับ ความ สกปรกโสมม ของแมทท์ล่ะครับ ซึ่ง แมทท์เองบอกว่า การจูบหินดำเป็นชิริก แต่แมทท์ยังไม่รู้เลยว่าชิริกคืออะไร มาดูกันนะครับว่า เข้าข่ายไหน? ท่านอิมามอันซะนูซีย์กล่าวว่า ชิริกมี 6 ประเภท 1. ภาคีแยกเป็นเอกเทศน์ เช่นยืนยันว่ามีพระเจ้าสององค์อย่างเอกเทศน์ เหมือนกับชิริกของพวกมะญูซีบูชาไฟ 2. ภาคีแบบแบ่งส่วน คือพระเจ้าองค์หนึ่งเป็นภาคส่วนของพระเจ้าขององค์หนึ่ง เช่นการชิริกของพวกนะซอรอ 3. ภาคีแบบสร้างความใกล้ชิด คือการอิบาดะฮ์สิ่งอื่นเพื่อสร้างความใกล้ชิดต่ออัลเลาะฮ์ ตะอาลา เช่นการชิริกของพวกญาฮิลียะฮ์ยุคแรก 4. ภาคีเลียนแบบ คืออิบาดะฮ์สิ่งอื่นจากอัลเลาะฮ์โดยตามผู้อื่นอีกที เช่นการชิริกของพวกญาฮิลียะฮ์รุ่นหลัง(ก่อนอิสลาม) 5. ภาคีจากมูลเหตุ คือการพาดพิงผลการกระทำที่เกิดขึ้นให้กับมูลเหตุแห่งกฏธรรมดา เช่นการชิริกของพวกปรัชญา พวกธรรมชาตินิยม และผู้เจริญรอยตามพวกเขา 6. ภาคีด้วยเป้าหมายต่าง ๆ คือกระทำอะมัลเพื่อคนอื่นจากอัลลอฮ์ ตะอาลา เหล่านี้ ไม่มีตรงไหนบอกว่า การจูบหินดำนั้น เป็นการทำชิริก เพราะการ 1. การจูบหินดำ ไม่ใช่การถือว่าหินดำเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮฺ 2. การจูบหินดำ ไม่ใช่การถือว่าหินดำเป็นพระเจ้าหนึ่งซึ่งแบ่งภาคส่วนมาจากอัลลอฮฺ 3. การจูบหินดำ ไม่ใช่การทำอิบาดะห์ หรือทำความเคารพภักดี กราบไหว้หินดำ เพื่อการใกล้ชิดอัลลอฮฺ แต่เป็นการแสดงความรัก ต่อสิ่งที่อัลลอฮฺประทานให้ เหมือนกับการจูบของรักซึ่งคนที่เรารักและเทิดทูนมอบมาให้เรา ไม่ใช่การกราบไหว้ ของสิ่งนั้น 4. การจูบหินดำ ไม่ใช่การทำอิบาดะห์ หรือทำความเคารพภักดี กราบไหว้หินดำ โดยเลียนแบบผู้อื่น หรือศาสนิกอื่นแต่อย่างใด 5. การจูบหินดำ ไม่ใช่การพาดพิงผลการกระทำที่เกิดขึ้นให้กับมูลเหตุแห่งกฏธรรมดา เช่นการชิริกของพวกปรัชญา พวกธรรมชาตินิยม และผู้เจริญรอยตามพวกเขา 6. การจูบหินดำ ไม่ใช่การภาคีด้วยเป้าหมายต่าง ๆ คือกระทำอะมัลเพื่อคนอื่นจากอัลลอฮ์ ตะอาลา เราจะพบว่า การจูบหินดำ ไม่ได้เข้าข่ายการชิริกแม้แต่น้อย แต่แมทท์ก็พยายามบอกว่าทำชิริกเพื่ออะไร ก็เพื่อที่จะลดความน่าเชื่อถือของฮะดีษไงล่ะครับ มันเป็นการแสดงความไม่เข้าใจของแมทท์ ในสิ่งที่ตนเองโพสต์แต่อย่างใด มันเป็นแค่การไปก๊อบเอามาจากเว็บไซต์โจมตีอิสลามเท่านั้น ซึ่งถ้าการจูบหินดำคือชิริก การที่ผมจูบลูกผม เพราะลูกผมคือของขวัญล้ำค่าจากอัลลอฮฺที่ประทานให้ก็ชิริกสิครับ? และถามหน่อย การไม่จูบหินดำบาปหรือไม่ครับ? จากคุณ : Carroth - [ 30 เม.ย. 52 11:32:52 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ไงครับแมทท์ เปลี่ยนจากการทำชิริก ตรงๆ เป็น เสี่ยงต่อการทำชิริกแล้วเหรอครับ นี่แหละสัญชาติญาณ ของความปลิ้นปล้อนตลบแตลงของแมทท์ การจูบหินดำไม่ใช่ทั้งชิริก หรือเสี่ยงต่อชิริกทั้งนั้นแหละครับเพราะการจูบหินดำนั้นเป็นแบบอย่างของท่านศาสดา ซึ่งได้รับการบันทึกไว้อย่างรัดกุม และน่าเชื่อถือกว่า คำพูดพล่อยๆ ที่มาจากจิตใจอัน ต่ำช้า โสมม ของแมทท์เป็นไหนไหน หึหึ แค่เรื่องละหมาดยังไปไม่รอด แล้วจะมาคุยเรื่องอื่นอีก จากคุณ : Carroth - [ 30 เม.ย. 52 11:35:13 ]

ความคิดเห็นที่ 11 แต่ยังไงก็เถอะ เมื่อ ละหมาดแมทท์ก็ตอบไม่ได้ เรื่องชิริกแมทท์ก็ตอบไม่ได้ ถูกเผยไต๋เรื่องบทความจาก เว็บโจมตีอิสลามอีก ต่อไปแมทท์ก็คงทำเหมือนเดิม คือหนี เหมือนเคย จากคุณ : Carroth - [ 30 เม.ย. 52 11:36:32 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ไม่ไหวแล้วครับ คุณ Carroth:    คุณไม่มีเหตุผลหัวชนฝาเลย  การจูบหินเป็นชริก 100 %  ในทัศนะของมุสลิมที่เข้าใจเรื่องการศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว  แต่ที่ผมเขียนเช่นนั้น  ก็เพราะว่ายังมีมุสลิมที่ดีอีกเป็นจนวนมาก ที่ทำไปด้วยความไม่เข้าใจ และเกรงว่าจะกระเทือนใจกัน    แต่สำหรับคุณๆเข้าใจดีแต่ คุณต้องการที่จะให้ผมรับว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ตามหลักการของอิสลามเท่านั้น  คุณจะเชื่ออะไรนั้นต้องใช้เหตุผลและบุคลิกของศาสดาของศาสนาที่ ไม่ยอมให้ก้อนหิน หรือวัตถุใดๆมีส่วนของความศรัทธา จะด้วยความรักหรืออะไรก็ตาม, เช่นศาสดามูฮัมมัด การเชื่อเช่นนั้น แสดงว่าคุณไม่ได้รัและเชื่อฟังท่านรอซูลเลย  ทั้งนี้ เพระผู้เล่า หะดีษ เป็นฝาย กล่าวหาข้างเดียว ท่าน รอซูลไม่มีทางอธิบายหรือปฏิเสธได้ เนื่องจากท่านสิ้นชีวิตไปแล้ว    ผมไม่ทราบว่าความเข้าใจภาษาอังกฤษของคุณพอๆกับภาษาอรับหรือไม่ผมคิดว่าคุณคงเก่งพอสมควร ผมจะแนะนำให้คุณอ่านบทความนี้  เกี่ยวกับเรื่องละหมาด  ผมไม่หนีหลอกครับ เพราะ ท่านรอซูลท่านยังไม่ยอมถอยหลังให้มุชริกเมกกะเข้าใจอิสลามเลย ผมบังเอิญไปหามาให้คุณ เพื่อว่าจะได้เข้าใจในทางกลับกัน คือ      มีผู้ที่เชื่อในเรื่องละหมาดจาก หะดีษ  แต่ไม่ยอมทำละหมาดเพราะอ้างว่า ถ้า การละหมาด 5 เวลา  ไม่มีในอัลกุรอานแล้วจะละหมาดไปทำไมกัน ท่านผู้รู้ทาง "หะดีษ" จึงชี้ให้เห็น ว่า การละหมาด 5 เวลา มีอยู่ในอัลกุรอาน โดยใช้ "หะดีษเป็นหลักยืนยัน"    ผมไม่มีเวลาแปล เดี๋ยวคุณจะไม่เชื่อ เลย ยก มาทั้งดุ้นเลย คุณจะได้เข้าใจว่า ผู้ที่ทีความรู้ทาง อะหะดีษ และอัลกุรอาน ที่เข้าใจดีกว่าคุณนั้น เขายังยอมรับ ในเรื่องที่คุณ โต้เถียงกัน  ด้วยเหตุที่ผมเข้าใจว่าคุณ มีความรู้จำกัดเฉพาะ หะดีษ จาก อาจารย์ ที่ มีความเข้าใจแคบ ผมเลยยกมาให้คุณอ่านเอง (ถ้าไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ ผมจะช่วยแปลให้) http://www.geocities.com/rameezabid/prayer.htm#item2 Welcome to True Muslim!  The purpose of this website is to educate the basic teachings of Islam according to the Qur'an and Hadith (sunnah -way of the Prophet Muhammad (Peace and Blessings of Allah be upon him)).   Those Who Say Five Daily Prayers Are Not Mentioned in the Quran There are some Muslims who do not consider the five daily prayers, which is one of the pillars of Islam, as obligatory on the Muslims.   They support this argument with the declaration that "If these prayers are obligatory then why are they not mentioned in the Quran?"   However, such people are mistaken because they ARE mentioned in the Quran.  Hence, the purpose of this section is to clarify the fact that it is mentioned in the Quran. Allah Says in the Quran:  So, bear with patience (O Muhammad [sal-Allâhu 'alayhi wa sallam]) all that they say, and glorify the Praises of your Lord before the rising of the sun and before (its) setting (i.e. the Fajr and 'Asr prayers) (Quran 50:39) - The scholars have mentioned that this verse refers to the Fajr, and 'Asr prayers.  The prophet Muhammad (Peace and Blessings of Allah be upon him) described this verse in a hadith:  Narrated Qais: Jarîr said: We were with the Prophet [sal-Allâhu 'alayhi wa sallam] and he looked at the moon on a full-moon night and said: "Certainly you will see your Lord as you see this moon and you will have no trouble in seeing Him. So if you can avoid missing (through sleep or forgetfulness) a prayer before the sunrise (Fajr) and a prayer before sunset ('Asr), you must do so". 'He then recited Allâh's Statement: "And glorify the Praises of your Lord before the rising of the sun, and before (its) setting." (V.50:39) Ismâ'îl said: "Offer those prayers and do not miss them." (Bukhari) - The explanation of the verse itself and the statement of the Prophet Muhammad (Peace and Blessings of Allah be upon him) regarding the verse are clear and need no further explanation. Allah Says in the Quran: So glorify Allâh [above all that (evil) they associate with Him (O believers)], when you come up to the evening [i.e. offer the (Maghrib) sunset and ('Ishâ') night prayers], and when you enter the morning [i.e. offer the (Fajr) morning prayer]. And His are all praise and thanks in the heavens and the earth; and (glorify Him) in the afternoon (i.e. offer 'Asr prayer) and when you come up to the time, when the day begins to decline (i.e. offer Zuhr prayer). (Quran 30:17-18) - Ibn 'Abbâs, one of the companions of the Prophet Muhammad (Peace and Blessings of Allah be upon him) said: "These are the five compulsory congregational prayers mentioned in the Qur'ân." (Tafsir At-Tabari) Allah Says in the Quran: Perform As-Salât (the prayers) from mid-day till the darkness of the night (i.e. the Zuhr, 'Asr, Maghrib, and 'Ishâ' prayers), and recite the Qur'ân in the early dawn (i.e. the morning - Fajr prayer). Verily, the recitation of the Qur'ân in the early dawn (i.e., the morning – Fajr prayer) is ever witnessed (attended by the angels in charge of mankind of the day and the night). (Quran 17:78) - Abu Hurairah, one of the companions of the Prophet Muhammad (Peace and Blessings of Allah be upon him) commented on this verse in a hadith: Narrated Abu Salâmah bin 'Abdur-Rahmân: Abu Hurairah said, "I heard Allâh's Messenger [sal-Allâhu 'alayhi wa sallam] saying, 'The reward of a Salât (prayer) in congregation is twenty-five times superior in degrees to that of a Salât (prayer) offered by a person alone. The angels of the night and the angels of the day gather at the time of Fajr prayer."' Abu Hurairah then added, "Recite the Holy Book if you wish, for 'Verily, the recitation of the Qur'ân in the early dawn (Fajr prayer) is ever witnessed (attended by the angels in charge of mankind of the day and the night)' (V.17:78)". (Bukhari) - The verse above and the hadith mentioned above further clarify that these verses are talking about the five daily prayers and the companions of the Prophet Muhammad (Peace and Blessings of Allah be upon him) interpreted and understood the above verses .  ผมเข้าใจเรื่องเหล่านี้ดีและพยายามจะอธิบายตามอัลกุรอาน แต่คุณกลัย หาว่าผม โกหก  คุณจะเห็นว่า  "หะดีษเกิดภายหลัง อัลกุรอานโดยมนุษย์ สร้างขึ้น  แต่ต้องอาศัยหลักการของอัลกุรอานมาเป็นหลัก" และยังมีอีกมากที่ทำให้มุสลิมหลงทาง โดยนำเรื่อง "เมี๊ยะราจ" มาต่อเติม ผสมเข้ากับประวัติ การละหมาด ถ้าผู้ใดภาษาอังกฤษดีช่วยกรุณาอธิบายให้คุณCarroth เข้าใจด้วย ว่าอัลกุรอานนั้น เป็นคัมภีร์ของอัลลอฮ์ที่มีรายละเอียดและความสมบูรณ์ทุกๆอย่างที่มนุษย์สามารถจะใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตได้อย่างถุกแนวทางของพระเจ้า .... แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 52 14:58:43 จากคุณ : แมทท์ - [ 30 เม.ย. 52 14:32:21 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เรื่องการละหมาด 5 เวลา ในอัลกุรอานนั้น เป็นอันว่า จบลงแล้วนะครับสำหรับผม^^    ถ้าคุณยังคิดว่าผมเป็นคนโกหกพกลม ก็ แล้วแต่ผู้อ่านจะพิจารณาเอง  แต่ถ้าคุณยังไม่เชื่อ คำอธิบายภาษาอังกฤษ เรื่องการละหมาด 5 เวลา ในอัลกุรอาน...คุณก็ต้องเถียงกับท่านอุลมา เหล่านั้นที่ อ้างบัญญัติในอัลกุรอาน และ "หะดีษบทต่างๆมายืนยัน"       หะดีษเหล่านั้นซิครับที่ผมเชื่อว่าเป็นความจริง  แต่ ที่คุณยกมาอ้างนั้น ผมว่าคุณก็ทราบดี  เพียงแต่คุณ ต้องการทำลาย เครดิตรผมเท่านั้น     คุณเชื่อหรือไม่ก็ตามถ้าคุณศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และ มีความรักและเชื่อฟังท่านรอซูล อย่างแท้จริงแล้ว คุณจะแก้ไขปัญหาต่างได้ และจะเป็นผู้ที่ มีผุ้ที่มีใจเที่ยงธรรมนับถือ,    ด้วยความจริงใจผมไม่มีความโกรธแค้นคุณลย และชอบที่จะสนทนากับคุณ  แค่ไม่ทราบว่าทำไมคุณถึงคิดว่า ผมหนีคุณ ก็ไม่ทราบ ทั้งๆที่คุณว่าผมเป็นคนโกหกพกลม,  แต่คุณก็พยายามที่ต้องการจะสนทนากับผม   มีผู้ทรงความรู้ทางศาสนา แนะนำให้ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ ครับ คือหนังสือเรื่อง "จรรยาบรรณในการขัดแย้ง ของบรรดาผู้ศรัทธา" โดย ..ดร.ยูซุฟ อัล-ก็อรฎอวีมี 14 บท   1.มารยาทที่สำคัญในการขัดแย้ง 2.บริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮและไม่ใช้อารมรร์ 3.ไม่ยึดติดตัวบุคคล มัซฺฮับแกลุ่มต่างๆ 4.การยึดติดกับทัศนะส่วนตัวของเขา   5.การตะอัศศุบมันศฮับ 6.การมีอคติต่อมันซฮับและอิหม่ามต่างๆ 7.การตะอัศศุบต่อกล่มหรือต่อพรรค 8.แนวทางการเยียวยาแก้ไขการตะอัศศุบ 9.การมองคนอื่นในแง่ดี 10.การไม่ทำให้เสียชื่อเสียนง ไม่กล่าวร้ายและไม่บอบอช้ำ 11.มารยาทของอุลามาอาวุโส กับบุคคลที่ขัดแย้งเขา 12.ต้องออกห่างจากการโต้เถียง และการทะเลาะวิวาท 13.การพุโคยเจรจาด้วยสิ่งที่ดีๆ 14.อิหม่ามหะซันอัลบันนากับความเข้าใจเรื่องการขัดแย้ง     ผมว่าเราลองไปหามาอ่านกันดีไหมครับ เพระว่าบางครั้ง ผมอาจจะล่วงเกินคุณไปบ้างต้องขอ มอัฟ ด้วยนะครับ หนังสือเล่มนี้อาจจะช่วยให้คุณและผมเป็น พี่น้องมุสลิมและ มิตรที่ดี ต่อกันได้ จากคุณ : แมทท์ - [ 30 เม.ย. 52 15:29:25 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อย่ามาไม่ไหวครับ ถ้าคุณไม่มีเหตุผล และหลักการพอที่จะคุยกับผม คุณอ้างว่า การจูบหินดำเป็นชิริก 100% คุณอ้างอิงจากอะไร? กุรอ่านบทไหน หรือฮะดีษบทใด หรือคำพูดของใครก็ได้ครับ เพราะเท่าที่ผมคุยกับคุณมา การที่คุณอ้างว่า การจูบหินดำนั้นเป็นชิริก คุณก็อ้างมาจาก ความคิดต่ำๆ ของคุณเอง แล้วก็บทความ สกปรกๆ ของเว็บโจมตีอิสลาม ซึ่งเป็นบทความที่เขียนโดยคนนอกศาสนาคนนึง ที่เขียนโจมตีอิสลามอยู่เนืองๆ แต่เรื่องการชิริก ที่ผมนำมานั้น เป็นการนำมาจาก หลักการของอิสลามล้วนๆ เลย ครับ มีที่มามีแหล่งอ้างอิง การที่คุณจะมาอ้างว่าผม ไม่มีเหตุผล มันก็เป็นแค่คำพูดพล่อยๆ ของคุณเช่นเดิม โดยไม่มีหลักฐานและหลักการอะไรทั้งสิ้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นบุคลิกท่านศาสดา หรือกุรอ่าน ก็ไม่มีตรงไหนแม้แต่นิดเดียวที่บอกว่า การจูบหินดำ เป็นการชิริก ลองไปหามาได้ครับ ทั้งกุรอ่าน มีตอนใดบ้าง บอกว่า การจูบหินดำคือชิริก จะมีก็แค่คำพูดลอยๆ ไร้สาระของคุณคนเดียว หรือแม้แต่บันทึกฮะดีษก็ตาม ก็เป็นการบันทึกที่มี การตรวจตรา ตรวจสอบ กวดขันอย่างเข้มงวด ไม่ใช่การอ้างบรรพบุรุษอย่า งพล่อยๆ แบบคุณนะครับ ฮะดีษจึงเป็นการบันทึก ที่มีระเบียบแบบแผน ตรวจสอบได้ ต่างกับการอ้างลอยๆ ของคุณในเรื่องต่างๆ ที่ไม่ได้มีสาระอะไรเลย แม้แต่การอ้างถึงท่านอุมัรฺ ก็อ้างแบบหน้าด้านๆ ไร้ยางอาย มันต่างกันครับ จากคุณ : Carroth - [ 30 เม.ย. 52 17:35:39 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ทุกท่านอ่านให้ดีนะครับ นี่เป็นความตลบแตลง ปลิ้นปล้อน และเป้นการพยายามเลี่ยงประเด็นของแมทท์อีกตามเคย มีผู้ที่เชื่อในเรื่องละหมาดจาก หะดีษ  แต่ไม่ยอมทำละหมาดเพราะอ้างว่า ถ้า การละหมาด 5 เวลา  ไม่มีในอัลกุรอานแล้วจะละหมาดไปทำไมกัน ท่านผู้รู้ทาง "หะดีษ" จึงชี้ให้เห็น ว่า การละหมาด 5 เวลา มีอยู่ในอัลกุรอาน โดยใช้ "หะดีษเป็นหลักยืนยัน"   ผมไม่มีเวลาแปล เดี๋ยวคุณจะไม่เชื่อ เลย ยก มาทั้งดุ้นเลย คุณจะได้เข้าใจว่า ผู้ที่ทีความรู้ทาง อะหะดีษ และอัลกุรอาน ที่เข้าใจดีกว่าคุณนั้น เขายังยอมรับ ในเรื่องที่คุณ โต้เถียงกัน  ด้วยเหตุที่ผมเข้าใจว่าคุณ มีความรู้จำกัดเฉพาะ หะดีษ จาก อาจารย์ ที่ มีความเข้าใจแคบ ผมเลยยกมาให้คุณอ่านเอง (ถ้าไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ ผมจะช่วยแปลให้) ทุกท่านพึงทราบไว้นะครับ ผมไม่เคยบอกว่า ละหมาดเวลาต่างๆ ไม่มีในกุรอ่าน หรือ กุรอ่านไม่เคยบอกเรื่องละหมาด แต่ผมบอกว่า ต้องอาศัยให้ฮะดีษในการให้รายละเอียดและยืนยันเรื่อง การละหมาดครับ เพื่อที่จะ กระชากหน้ากากแมทท์ที่พยายามปฏิเสธ ฮะดีษ ปฏิเสธแบบอย่างนบี และเพื่อที่จะบอกว่า ถ้าไม่มีฮะดีษ มุสลิมจะไม่สามารถละหมาด ได้ 5 เวลา ครับ แต่จะมี ทั้ง 5-7-9-11 ไปตามอารมณ์ตัวเอง นี่คือผมที่ยืนยันมาตลอด ดังนั้นบทความที่บอกว่า ละหมาดมีในกุรอ่าน และฮะดีษมียืนยันเรื่องนี้ จึงเป็นความคิดเดียวกับมุสลิมแบบผมและคนอื่นๆ ครับ และที่สำคัญพวกเขาเหล่านั้นไม่เคยปฏิเสธฮะดีษ หรือบอกว่า ถึงไม่มีฮะดีษก็ละหมาดได้แบบแมทท์แต่อย่างใด เพียงแต่เขา ต้องการอธิบายให้พวกที่ชอบอ้างแต่กุรอ่าน แล้วไม่ยอมละหมาด ต่างหาก ซึ่งบรรดาผู้รู้เหล่านี้ ไม่ใช่พวกเดียวกับแมทท์ที่ปฏิเสธฮะดีษแน่ๆครับ มาดูกันดีกว่า ว่าผม เคยบอกเหรอว่า เวลาละหมาดเวลาต่างๆ ไม่มีในกุรอ่าน มาดูกันครับ ผมเคยพูดไว้ว่าอย่างไร แคปกันมาให้ดูสดๆ จากคุณ : Carroth - [ 30 เม.ย. 52 17:49:28 ]

ความคิดเห็นที่ 16 และนี่อีกครับ ผมบอกไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ตั้งแต่มีกระทู้เฉพาะเรื่องละหมาดผมก็ยืนยันแบบเดิมเสมอ จากคุณ : Carroth - [ 30 เม.ย. 52 17:50:38 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ก็มีแต่แมทท์นะครับ ที่บอกว่า ไม่มีฮะดีษ ก็ละหมาดได้ ใช้แต่กุรอ่าน ก็ละหมาดได้ แล้วมันก็ขัดกันเองด้วย จากคุณ : Carroth - [ 30 เม.ย. 52 17:53:19 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เพราะฉะนั้น บทความที่คุณเอามา ไม่จำเป็นครับ เพราะ บทความที่ว่า ไม่ได้ตอบคำถามที่ผมถามคุณเลย เนื่องจากผู้รู้เหล่านั้นถ้าไม่อาศัยแบบอย่างของท่านศาสดา ก็ไม่มีใครกำหนดได้หรอกครับว่า เวลา ต่างๆ ที่ว่าคือเวลาอะไรกันแน่ แต่ที่เขายกมา เพราะมีฮะดีษ ขยายความแล้ว ว่า เวลาในกุรอ่านที่บอกนั้นคือเวลาอะไร มาดูกันว่าคำถามที่ผมถามแมทท์นั้นถามว่าอะไรตั้งแต่ปีที่แล้ว และแมทท์ก็ตอบไม่ได้ และบทความภาษาอังกฤษนั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ปล. ใครเก่งภาษาไทยก็ช่วยอธิบายแมทท์หน่อยนะครับ เพราะดูเหมือนเขาจะตกภาษาไทยง่ายๆ เพราะคำถามที่ผมถาม ถามมาปีนึงแล้วก็ไม่ตอบ จากคุณ : Carroth - [ 30 เม.ย. 52 18:00:11 ]

ความคิดเห็นที่ 19 นี่ครับคำถามตั้งแต่ปีที่แล้ว จากคุณ : Carroth - [ 30 เม.ย. 52 18:00:49 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เราจะพบว่า บทความที่แมทท์นำมา กล่าวถึงโองการ ที่ 50:39 พอดี แต่ไม่ได้บอกเลยว่า จะรู้ได้ยังไง ว่าเป้นเวลา เช้า ไม่ใช้ เวลากลางดึก มีแค่ คำว่า (i.e. the Fajr and 'Asr prayers) ซึ่งเป็น อรรถาธิบายครับ ซึ่ง การอรรถาธิบาย ก็ต้องใช้ฮะดีษนะครับ ดังนั้นบทความที่ ว่ามานั้น ไม่ได้ช่วยแมทท์ตอบคำถามผม และไม่ได้บอกตรงไหนเลยว่า ถ้าไม่มีฮะดีษก็ละหมาดได้ หึหึ ดังนั้นบทความแมทท์นำมานั้น มันไม่ใช่อะไรเลยนอกจาก เอามา เพราะกะว่าผมจะแปลไม่ได้ แล้วจะได้รอดตัวไป แล้วก็หนีไปตามระเบียบ แต่เผอิญ ผมอ่านเข้าใจครับ และต่อให้ผมไม่เข้าใจมุสลิมในนี้เขาก็อ่านรู้เรื่องครับ และปรากฎว่า บทความนี้ มันไม่ช่วยอะไรแมทท์เลยนะครับ เพราะ ไม่มีตรงไหนบอกว่า มุสลิมสามารถละหมาดได้ โดยไม่อาศัยฮะดีษ หรือบอกว่า ฮะดีษไม่จำเป็นต่อการละหมาด แบบที่แมทท์ว่าเลย แมทท์ ครับ มีอะไรก็เอามาเลยครับ ผมพิมพ์ไปขำไป ในความหน้าด้านหน้าทน ของคุณ ไม่รู้จะหนียังไง ก็เอาบทความภาษาอังกฤษมา กะว่าผมแปลไม่ได้ก็ จะได้ทำเนียนๆ ว่าอธิบายแล้ว แต่มันไม่ได้ผลหรอกครับ เพราะบทความนี้ บ่งบอกถึงความสำคัญของการละหมาด ไม่ใช่บทความที่บอกว่า ไม่มีฮะดีษ ไม่มีแบบอย่างท่านศาสดามุสลิมก็ละหมาดได้ อย่างที่คุณเคย ประกาศไว้ด้วยความเขลา รู้ไว้ด้วย จากคุณ : Carroth - [ 30 เม.ย. 52 18:13:53 ]

ความคิดเห็นที่ 21 สรุปแล้ว ผมจึงไม่จำเป็นต้องไปเถียงกับ ท่านอุลามา เจ้าของบทความนั้นแต่อย่างใด เพราะ อุลามาไม่ได้บอกเลยนะครับว่า ไม่มีฮะดีษก็ละหมาดได้ หรือฮะดีษเป็นเรื่องโกหก หรือบอกว่า อาศัยกุรอ่านอย่างเดียวก็ละหมาดได้ และจริงๆแล้วท่านอุลามากับผมก็บอกเหมือนกันคือ เรื่องละหมาดมีในกุรอ่านครับแต่ฮะดีษคือ การอธิบาย กุรอ่าน ไม่มีใครหรอกครับ ที่เป็นมุสลิม ตั้งแต่มุสลิมในกระดานสนทนานี้ หรืออุลามาเจ้าของบทความที่แมทท์นำมา บอกว่า ใช้กุรอ่านอย่างเดียวก็ละหมาดได้ แบบที่แมทท์บอกหรอกครับ ดังนั้นแล้ว การ นำบทความภาษาอังกฤษมา เพื่อเอาตัวรอดของคุณมันจึงไม่ได้ผลหรอกครับ เพราะคุณก็ยังตอบคำถามผมไม่ได้อยู่ดีว่า ถ้าไม่อาศัยฮะดีษแล้ว มุสลิมจะละหมาดได้อย่างไร หรือใช้กุรอ่านอย่างเดียว แล้วมุสลิมจะละหมาดได้อย่างไร หรือ ถ้าไม่ใช้ฮะดีษ เราจะรู้ได้ยังไงว่าละหมาด มี 5 เวลา ไม่ใช่ 6 - 7 - 8 - 9 - 10 ......... เวลา บทความนี้ก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไรครับ เพราะการกล่าวถึง ละหมาดเวลาต่างๆ ก็ไม่ได้แปลตรงตัวจากกุรอ่าน แต่ต้องใช้อรรถธิบาย หรืออ้างอิงนักวิชาการ ซึ่งเขาใช้ฮะดีษครับ ลองดูคำนี้ - The scholars have mentioned that this verse refers to the Fajr, and 'Asr prayers. แปลว่า นักวิชาการกล่าวว่า โองการนี้หมายถึง ละหมาด เช้า และละหมาดเย็น ครับ เรารู้ได้จากนักวิชาการ และนักวิชาการ เขาใช้อะไร เขาใช้ กุรอ่านและฮะดีษครับ ไม่มีใครปฏิเสธฮะดีษแบบแมทท์ เมื่อ ไม่มีใครเขาบอกว่า ไม่ใช้ฮะดีษก็ละหมาดได้แบบแมทท์ แล้วผมจะไปเถียงกับพวกเขาทำไมล่ะครับ? อ่อ แล้ว พึงทราบไว้อีกอย่างนะครับว่า ถ้าไม่จำเป็น ทั้งผมและมุสลิมท่านอื่นๆ เขาไม่มีใครอยากจะสนใจ หรือสนทนากับคุณเลย เพราะ คุณมันไม่ได้มีคุณค่าทางวิชาการอะไรมาตั้งนานแล้ว แต่ที่ ต้องลดตัวมาคุยด้วย ก็เพราะคุณกำลังบิดเบือนอิสลาม และอาจจะทำให้ คนอื่นๆ เข้าใจผิด ดังนั้นถ้าคุณไม่มาบิดเบือนอิสลาม ใครเขาจะสนใจคนอย่างคุณครับ? ส่วนเรื่องที่คุณแนะนำให้อ่านนั้นคุณเก็บไว้อ่านเองเถอะครับ เพราะ ปัญหามันเกิดจากคนแบบคุณไม่ใช่คนอื่น จากคุณ : Carroth - [ 30 เม.ย. 52 18:30:22 ]

ความคิดเห็นที่ 22 นี่แสดงว่าคุณ อ่านแล้วไม่เข้าใจ  การที่ท่านอุลมาเหล่านั้น ใช้หะดีษมาอ้างก็เพื่อเป็นหลักยืนยันให้คุณเชื่อ,  แต่ตัวท่านเองนะเชื่อแน่ว่า ท่านรอซูลปฏิบัติตามอัลกุรอานอยู่แล้ว อายะที่ 50:39, และอายะต่างๆที่เกี่ยวกับการละหมาด อ่านและเข้าใจได้อย่าง ง่าย โดยผุ้ที่มี ความเข้าใจ ธรรมขาติ และการขึ้นลงของพระอาทิตย์, และเข้าใจว่า  วัฒนธรรมอรับและธรรมชาติที่อยู่รอบ ตัวชาวอรับนั้น มีสภาพอย่างไร?    การที่ต้องอ้างท่านว่าท่านรอซูลเป็น ผู้อธิบายก็เนื่องมาจากว่า "บางท่านไม่เชื่อบัญญัติของพระเจ้า, และไม่เชื่อพระเจ้าด้วยเหตุผล จึงจำเป็นต้องเอาสิ่งที่ เป็นบุคคล หรือ วัตุมาอ้างเป็นหลักฐานเพื่อยืนยันให้เขาเหล่านั้น เชื่อในบัญยัติของพระเจ้า,   อัลลอฮ์ จึงกล่าวว่า อัลกุรอานมีทั้งข้อความที่เป็นบัญญัตและการอุปมาอุปมัย และ สุภาษิต เปรียบเทียบ ซึ่งทำให้การเข้าใจง่ายขึ้น แต่สำหรับผู้ฉ้อฉลจะเอาการอุปมาอุปมัย มาหลอกว่าเป็นข้อปฏิบัติ  ท่านอุลมาเหล่านั้นท่านเข้าใจ โดยเฉพาะ ผู้เขียนบทความนั้น, และผมเองก็เข้าใจ และมีมุสลิมอีกจำนวนมากที่เข้าใจ, เพราะเป็นการอธิบายที่ไม่มีข้อความแอบแฝงปะปนอยู่    ผู้ทีมีอีมานและความศรัทธาต่อพระเจ้าและเชื่อในคำสั่งของท่านรอซูล เมื่ออ่านอัลกุรอานแล้ว จะเข้าใจได้ทันที ว่า เรื่องการละหมาดและประวัติการละหมาดนั้นมีอธิบายอยุ่ในอัลกุรอาน และการละหมาดก็ปกิบัติได้เนื่องจาก พระเจ้ามีบัญญัติที่ไม่ผิดวิสัยมนุษย์  เป็นคำสั่งของพระเจ้า ที่สั่งให้มนุษย์ปฏิบัติการละหมาดอย่างสม่ำเสมอ เช่นที่เคยทำมา   พระเจ้าสร้างมนุษย์มา พระองค์ทราบเป็นอย่างดีว่า มนุษย์มีขอบเขตความคิดจำกัดมากน้อยเท่าใด  พระองค์จะไม่มีคำสั่งให้ มนุษย์ทำสิ่งที่มนุษย์ ไม่ทราบมาก่อน ในกรณี เรื่องการละหมาด เนื่องจากท่าน นบีอิบรอฮิม ได้รับขนานนามจากพระเจ้าว่าเป้นบิดา แห่งอิสลาม และ เรียกเราว่า "มุสลิม" ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว  พระเจ้าจึง มีคำสั่ง ให้ทั้งท่าน รอซูลและมุสลิมทุกท่าน ปฏิบัติตามหลักปฏิบัติของท่านนบีอิบรอฮีม รวมทั้งการละหมาดด้วย  ซึ่งปฏิบัติต่อเนื่องมาถึงท่านรอวูล โดยไม่มีการบันทึกเป็น "หะดีษ"  เนื่องจาก มุสลิมในสมัยนั้นมีศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง และปฏิบัติตามคำสั่งของพระเจ้า อย่างเคร่งครัด    หะดีษที่ตรงกับอัลกุรอาน หรือคำสอนของผู้ใดก็ตามทีสอนตามบัญญัติอัลกุรอานเป็นสิ่งที่ มุสลิมจะต้องเชื่อ  เช่นการปฏิบัติศีล 5 ประการ, และ บัญญัติ 10 ประการ เป็นคำสอนที่ตรงกับบัญญัติในอัลกุรอาน ถ้าคุณใช้เหตุผลเข้าใจในหลักการ 5 ประการนั้น และ บัญญัติ 10 ประการแล้ว คุณจะปฏิเสธไม่ได้ เนื่องจาก พระเจ้าก้มีบัญญัติเช่นเดียวกัน แต่ พระองค์ทรงให้มนุษย์ ใช้เหตุผล เป้นเรื่องไป  เช่นการละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตผู้ใด พระเจ้าให้กระทำ หรือ คำสั่งห้ามด้อวยเหตุผลอย่างชัดเจน  ในทางตรงกันข้าม ถ้า หะดีษหรือคำสอนของผุ้ใด ขัดต่อ บัญญัติของพระเจ้าในอัลกุรอานแล้ว และเป็นทางที่จะนำไปสู่ การกระทำที่เป้น "ชริก"  แล้ว  มุสลิมไม่อาจจะทำตามได้ จะต้องใช้สติปัญญา พิจจารณาเรื่องบอกเล่า "หะดีษ" เหล่านั้น อย่างเที่ยงตรง ด้วยความศรัทธาของตนเองต่อพระเจ้า ไม่ใชเพราะ อุลมาหรือผู้ใด อนุมัติให้ทำได้  เช่นการไล่ผี, และการจูบหิดำนั้น (หลักการที่ถือว่าการกระทำที่เป็นชริกคืออะไร นั้นมีอยู่ในอัลกุรอานอย่างเรียบร้อยเป็นบัญญัติของพระเจ้าโดยตรง)     ผมจะไม่หนีไปไหน เพราะมีความจำเป็นๆ อย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไขความเข้าใจผิดในหลักการของอิสลามของคุณ ให้ถูกต้อง, มิฉนั้น มุสลิมที่อ่านการอธิบายของคุณจะจูบหินดำ โดยเข้าใจผิดว่าเป้นคำสอนของพระเจ้า แต่ความเป็นจริงแล้ว เป้น "บิดะอะห์"    การต่อเติมศาสนา เป็น พฤตกรรมของ มุชริกเมกกะที่ได้สอดแทรก "ก้อนหิน" มาขึ้นบนแท่น ให้มุสลิมที่ ขาดความเข้าใจ จูบและรูปคลำ เยี่ยงความรักต่อภรรยา หรือ จะด้วยเหตุผลใด ก็ตาม ที่ทำให้มุสลิมไข้วเขวไปจาก ความศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว  พักผ่อนบ้างครับ เกรงว่าคุณจะเเจ็บป่วยไป ............. จากคุณ : แมทท์ - [ วันแรงงาน 00:24:19 ]

ความคิดเห็นที่ 23 คงไม่ใช่ผมอ่านแล้วไม่เข้าใจหรอกครับ แต่เป็นคุณที่อยากจะให้ผมไม่เข้าใจและพยายามที่จะไม่ให้คนอื่นเข้าใจด้วยเพราะอะไร เพราะทั้งเจ้าของบทความ และบรรดาผู้ที่อรรถาธิบายกุรอ่านั้น ใช้ ฮะดีษครับ มีคุณคนเดียวที่อ้างว่า ไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้ฮะดีษเพื่อการปฏิบัติศาสนกิจ ซึ่งโองการที่ 50:39 นั้น ก็เป็นตัวอย่าง อย่างดีครับ ในการอธิบายถึงความจำเป็นของฮะดีษ อย่างที่ผมบอกคือ The scholars have mentioned that this verse refers to the Fajr, and 'Asr prayers. แปลว่า นักวิชาการกล่าวว่า โองการนี้หมายถึง ละหมาด เช้า และละหมาดเย็น ครับ เรารู้ได้จากนักวิชาการ และนักวิชาการ เขาใช้อะไร เขาใช้ กุรอ่านและฮะดีษครับ ไม่มีใครปฏิเสธฮะดีษแบบแมทท์ ซึ่ง ถ้ามีท่านใดมาอ่าน หรือแม้แต่แมทท์เอง ก็น่าจะรู้ตัวดีนะครับว่า เรื่องการปฏิเสธฮะดีษ หรือว่า การอ้างว่า ไม่ต้องใช้ฮะดีษก็ละหมาดได้นั้น ไม่ได้อ้างอิงแหล่งวิชาการใดๆ เลย มีแต่ตัวแมทท์เอง ที่อ้าง แล้วนำบทความที่ไม่เกี่ยวข้องมา ลง เพื่อให้คนอื่นสับสน ยิ่งการบอกว่า บางคนไม่เชื่อบัญญัติพระเจ้า จึงต้องอ้างว่าท่านศาสดาเป็นผู้อธิบาย เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันนั้น แสดงให้เห็นถึง ความโกหกของแมทท์ได้เป็นอย่างดี เพราะมุสลิมเชื่อในบัญญัติของอัลลอฮฺในกุรอ่านอยู่แล้ว และการที่มุสลิมบอกว่า ท่านศาสดาเป็นผู้อธิบายกุรอ่าน ก็เพราะคำสั่งใช้ เช่นละหมาดไม่มีการบอกว่า มี ภาคบังคับ 5 เวลาครับ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ มุสลิมถามแมทท์มาตลอด และแมทท์ก็ไม่สามารถบอกได้ว่า กุรอ่านบอกไว้ตรงไหนว่าละหมาดมี 5 เวลา ดังนั้นเราจะรู้ได้อย่างไรว่าละหมาด มี 5 เวลา เราก็ต้องนำมาจากการอธิบายของท่านศาสดาครับ ไม่ใช่การไม่เชื่อในบัญญัติของพระเจ้าแต่อย่างใด ซึ่ง อุลามะ หรือผู้รู้ที่ เขียนบทความที่แมทท์นำมา ไม่ได้เข้าใจแบบแมทท์ นะครับ อย่าไปใส่ร้ายท่านผู้รู้เหล่านั้น ในบทความไม่มีบอกแม้แต่นิดเดียวว่า ไม่ต้องอาศัยฮะดีษก็ละหมาดได้ ดังนั้นการที่แมทท์อ้างว่า ผู้ที่มีศรัทธาต่อพระเจ้าและเชื่อฟังท่านศาสดา เมื่ออ่านกุรอ่านแล้วจะเข้าใจได้ทันที ถึงประวัติและวิธีการละหมาด จึงเป็นเรื่องโกหกครับ เพราะ ตัวแมทท์เองที่อ้างว่า ศรัทธาต่อพระเจ้าและเชื่อฟังท่านศาสดา ก็ไม่สามารถยืนยันได้แม้แต่ครั้งเดียวด้วยหลักฐานว่า ละหมาด มี 5 เวลา โดยอาศัยแต่กุรอ่านเท่านั้น จะมีก็เพียงแต่การกล่าวอ้างลอยๆว่า ถ้าศรัทธาจะรู้ ถ้าศึกษาจะเข้าใจ เพื่อเอาตัวรอดเท่านั้นเอง แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็หนีเหมือนเดิมครับ แก้ไขเมื่อ 01 พ.ค. 52 01:16:43 จากคุณ : Carroth - [ วันแรงงาน 01:16:16 ]

ความคิดเห็นที่ 24 การอ้างว่า ฮะดีษใดที่ตรงกับกุรอ่าน จึงค่อยเชื่อส่วนฮะดีษใดขัดกับกุรอ่านนั้น ต้องไม่กระทำ ก็เป็นหลักการที่บรรดาผู้รวบรวมฮะดีษ ใช้กันอยู่แล้วครับ เพราะนั่นเป็นหลักการหนึ่งในการคัดกรองฮะดีษว่า ฮะดีษไหนปลอมหรือไม่ อันนี้ไม่ต้องกล่าวมุสลิมก็ทำกันมานานแล้ว แต่สิ่งที่ เป็นยาพิษ ที่ถูกแอบซ่อนไว้ในคำพูดของ มุนาฟิก (มุนาฟิกคือ คนหน้าไหว้หลังหลอก) แมทท์ ก็คือ การตีความกุรอ่านเอาเองตามใจ โดยปราศจากความรู้ แล้วมาเหมาเอาว่า ฮะดีษไหนตรง หรือไม่ตรงกับกุรอ่าน ทั้งๆที่ ตัวเองก็ไม่ได้มีความรู้ภาษาอาหรับแต่อย่างใด ดีแต่คัดลอกบทความผู้อื่นมาลง นั่นแหละครับ เพราะเมื่อไม่รู้ไม่เข้าใจกุรอ่านแล้ว ก็ย่อมเอาอารมณ์ หรือเหตุผลส่วนตัวมาตัดสิน นั่นคือหนทางสู่หายนะครับ เนื่องจากการใช้ความคิดของมนุษย์นั้น เกิดมาจากประสบการณ์ส่วนตัว ที่เห็นโลกมาเพียงบางส่วน เมื่อมีมุมมองแคบๆ แบบนี้แล้ว การตัดสินอะไร ก็ทำไปด้วยความเขลา ดังนั้น จึงต้องมีการอธิบาย และการปฏิบัติจากท่านศาสดาเอง ให้มุสลิมได้ทราบ เพื่อจะได้ไม่เป็นไปตามอารมณ์ฝ่ายต่ำของมนุษย์ทั่วไป ยังไงล่ะครับ ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเรื่องการจูบหินดำ ซึ่งเรื่องนี้ ไม่มีบัญญัติข้อไหนในกุรอ่านกล่าวว่าเป็นการชิริก ไม่มีคำสอนของท่านศาดาบทไหนบอกว่าการจูบหินดำคือการชิริก ไม่มีนักปราชญ์ท่านใดบอกว่าการจูบหินดำนั้นเป็นการชิริก จะมีก็แต่ ความคิดอันสกปรกโสมมของแมทท์ นั่นแหละครับที่บอกว่า มันเป็นชิริก และผิดต่อหลักการอิสลาม ซึ่ง ความคิดนี้ ไม่มีหลักการ หลักฐาน และเหตุผลใดๆ ลองรับเลย นี่คือตัวอย่างของการตีความกุรอ่าน หรือการพิจารณาคำสอนของพระเจ้าด้วยอารมณ์ส่วนตัวครับ เราจะพบว่า มันเป็นความคิดส่วนตัวล้วนๆ ไร้ความหมาย ไร้สาระ โดยสิ้นเชิง ฮะดีษจึงมีความจำเป็นไงล่ะครับ มุสลิมจะไม่พิจารณาฮะดีษตามอารมณ์หรือความรู้แคบๆของมนุษย์ ไม่ใช้ ความชอบหรือไม่ชอบส่วนตัวในการพิจารณาเฉกเช่นที่แมทท์มักกระทำอยู่ แต่มุสลิมจะพิจารณาถึงความถูกต้องของสายรายงาน และความเป็นมาของการรายงานอย่างเข้มงวดเท่านั้น นี่แหละครับถึงจะเป็นการ บันทึกโดยปราศจากการบิดเบือนด้วยความเขลา แมทท์มักชอบอ้างว่า มุสลิมถูกนักปราชญ์หรือหัวหน้ากลุ่มบิดเบือน แต่งเติมหลักการศาสนาตามใจชอบ แต่ดูเหมือนว่าการพิจารณาฮะดีษจะไม่ใช้ความชอบไม่ชอบหรือทัศนคติส่วนตัวนะครับ ดังนั้นการบิดเบือนตามใจจึงไม่สามารถทำได้ ถ้าใช้ฮะดีษ แต่กลับกัน ตัวแมทท์เองที่ชอบอ้างว่า ใช้สติปัญญาพิจารณาว่าฮะดีษใดเชื่อได้ฮะดีษใดเชื่อไม่ได้นั่นแหละครับ ที่เป็นบ่อเกิดของการบิดเบือนศาสนาตามใจ เพราะการพิจารณาแบบของแมทท์ ไม่สามารถอ้างอิงความถูกต้องได้ มีแต่การเลือกฮะดีษตามใจตัวเอง หรือตามความเห็นแคบๆ ของตัวเอง เท่านั้น ไม่อย่างอื่นที่เป็นสาระเลย คำพูดของแมทท์จึงเป็นคำพูดที่เหมือนจะสวยหรู แต่เนื้อแท้กลับแฝงไปด้วยความไม่เข้าใจศาสนาทั้งสิ้น จากคุณ : Carroth - [ วันแรงงาน 01:32:57 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ส่วนเรื่องที่ว่าไม่หนีนั้น ผมอ่านมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แล้วล่ะครับ ว่า ผมไม่หนี ผมไม่หนี ผมไม่หนี แต่ก็หนีทุกที เรื่องละหมาดคุยไม่เคยจบ ตอบไม่เคยได้ สิ่งที่อ้างก็คนละเรื่อง กุรอ่านที่ยกมา ก็ยืนยันไม่ได้ซักที ว่าตกลงแล้ว ละหมาดมี 5 6 7 8 9 10 11 .......... เวลากันแน่ ผมเบื่อมากครับ ที่ต้องตามล้างตามเช็ดความบิดเบือนของคุณ ที่พอจนแต้มก็หนี จนแต้มก็หนี ตั้งกระทู้ใหม่ กระทู้เก่ายังจนปัญญาจะแก้ตัว ไปแจมกระทู้ อิสลามอื่นอีกแล้ว ทั้งๆที่ ตัวแมทท์เอง ก็ยังเอาตัวรอดเรื่องละหมาดไม่ได้เลย จะบอกว่าจูบหินดำเป็นชิริกมาหลายกระทู้ แต่จนป่านนี้ยังบอกไม่ได้ว่า ชิริกตรงไหน โองการใด แต่ปากก็ประกาศปาวๆ ว่าผมไม่หนี ผมจะอธิบาย ผมจะแก้ไขความเข้าใจผิด แมทท์บอกได้แค่นี้ แล้วก็หายตัวไปจากกระทู้เหมือนเดิม ไม่รู้สึกอับอายมั่งเหรอครับ กี่กระทู้แล้วที่คุณบอกว่าจะไม่หนี แต่คุณก็หายตัวไป ทั้งๆที่คุยยังไม่จบเนี่ย มาดูก็แล้วกันนะครับ มือที่พิมพ์ว่า ผมไม่หนี ผมไม่หนี ผมไม่หนี เนี่ย ผ่านการหลบหนี แบบหมดศักดิ์ศรีมากี่กระทู้แล้ว http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7711101/Y7711101.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/02/Y7541721/Y7541721.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/02/Y7497398/Y7497398.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/12/Y7312016/Y7312016.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/03/Y7619533/Y7619533.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/01/Y7478463/Y7478463.html ดูเอาเองนะครับ คำว่าไม่หนีของแมทท์ คนเรา ถ้าไม่มีศักดิ์ศรีเนี่ย ให้โกหกกี่ครั้ง ก็ไม่รู้จักอาย คนเราเนี่ย ถ้าไร้ศักดิ์ศรี พูดอะไรก็พูดได้ ถ่มน้ำลายลงพื้น แล้วตามไปดูดมันกลับมาก็ยังทำได้เลย มันก็คงไม่แปลกหรอกนะครับ ที่คนไม่มียางอายแบบนี้ จะกล้าบอกว่า ผมจะไม่หนีไปไหน เพราะมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไขความเข้าใจผิดในหลักการอิสลาม แล้วก็หายต๋อมไป เหมือนกระทู้ ก่อนๆ แก้ไขเมื่อ 01 พ.ค. 52 01:45:09 แก้ไขเมื่อ 01 พ.ค. 52 01:44:12 จากคุณ : Carroth - [ วันแรงงาน 01:35:36 ]

ความคิดเห็นที่ 26 การที่ต้องอ้างท่านว่าท่านรอซูลเป็น ผู้อธิบายก็เนื่องมาจากว่า "บางท่านไม่เชื่อบัญญัติของพระเจ้า, และไม่เชื่อพระเจ้าด้วยเหตุผล จึงจำเป็นต้องเอาสิ่งที่ เป็นบุคคล หรือ วัตุมาอ้างเป็นหลักฐานเพื่อยืนยันให้เขาเหล่านั้น เชื่อในบัญยัติของพระเจ้า,   อัลลอฮ์ จึงกล่าวว่า อัลกุรอานมีทั้งข้อความที่เป็นบัญญัตและการอุปมาอุปมัย และ สุภาษิต เปรียบเทียบ ซึ่งทำให้การเข้าใจง่ายขึ้น แต่สำหรับผู้ฉ้อฉลจะเอาการอุปมาอุปมัย มาหลอกว่าเป็นข้อปฏิบัติ ท่านอุลมาเหล่านั้นท่านเข้าใจ โดยเฉพาะ ผู้เขียนบทความนั้น, และผมเองก็เข้าใจ และมีมุสลิมอีกจำนวนมากที่เข้าใจ, เพราะเป็นการอธิบายที่ไม่มีข้อความแอบแฝงปะปนอยู่   ผู้ทีมีอีมานและความศรัทธาต่อพระเจ้าและเชื่อในคำสั่งของท่านรอซูล เมื่ออ่านอัลกุรอานแล้ว จะเข้าใจได้ทันที ว่า เรื่องการละหมาดและประวัติการละหมาดนั้นมีอธิบายอยุ่ในอัลกุรอาน และการละหมาดก็ปกิบัติได้เนื่องจาก พระเจ้ามีบัญญัติที่ไม่ผิดวิสัยมนุษย์  เป็นคำสั่งของพระเจ้า ที่สั่งให้มนุษย์ปฏิบัติการละหมาดอย่างสม่ำเสมอ เช่นที่เคยทำมา "ขอให้ตัวอย่างแก่คุณCarroth  อีกอย่างหนึ่งคือ  พระเจ้าทรงสร้าง "ควาย" มาเพื่อให้มนุษย์ ใช้เป็นแรงงาน ในการเกษตรกรรม, พระเจ้าจะไม่สั่งให้ มนุษย์  ให้ ใช้ควายปีนไปเก็บลูกมะพร้าว บนต้นมะพร้าว,  และในทางตรงกันข้าม  พระเจ้าจะไม่สั่งให้มนุษย์ ให้เอา "ลิง"  ไปไถนา.. คุณเข้าใจไหมครับ ... พระเจ้าจะมีคำสั่งในสิ่งที่มนุษย์มีประสบการณ์ และเคยเห็นการกระทำนั้นๆมาแล้ว"     ผมยังมีเรื่อง การจูบ "หิดำ" เป็น การทำชริก มาอธิบายต่อครับ ..ต้องรีบไปทำงานก่อน จากคุณ : แมทท์ - [ 2 พ.ค. 52 03:18:59 ]

ความคิดเห็นที่ 27 การบอกว่า บางคนไม่เชื่อบัญญัติพระเจ้า จึงต้องอ้างว่าท่านศาสดาเป็นผู้อธิบาย เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันนั้น แสดงให้เห็นถึง ความโกหกของแมทท์ได้เป็นอย่างดี เพราะมุสลิมเชื่อในบัญญัติของอัลลอฮฺในกุรอ่านอยู่แล้ว และการที่มุสลิมบอกว่า ท่านศาสดาเป็นผู้อธิบายกุรอ่าน ก็เพราะคำสั่งใช้ เช่นละหมาดไม่มีการบอกว่า มี ภาคบังคับ 5 เวลาครับ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ มุสลิมถามแมทท์มาตลอด และแมทท์ก็ไม่สามารถบอกได้ว่า กุรอ่านบอกไว้ตรงไหนว่าละหมาดมี 5 เวลา ดังนั้นเราจะรู้ได้อย่างไรว่าละหมาด มี 5 เวลา เราก็ต้องนำมาจากการอธิบายของท่านศาสดาครับ ไม่ใช่การไม่เชื่อในบัญญัติของพระเจ้าแต่อย่างใด ซึ่ง อุลามะ หรือผู้รู้ที่ เขียนบทความที่แมทท์นำมา ไม่ได้เข้าใจแบบแมทท์ นะครับ อย่าไปใส่ร้ายท่านผู้รู้เหล่านั้น ในบทความไม่มีบอกแม้แต่นิดเดียวว่า ไม่ต้องอาศัยฮะดีษก็ละหมาดได้ ดังนั้นการที่แมทท์อ้างว่า ผู้ที่มีศรัทธาต่อพระเจ้าและเชื่อฟังท่านศาสดา เมื่ออ่านกุรอ่านแล้วจะเข้าใจได้ทันที ถึงประวัติและวิธีการละหมาด จึงเป็นเรื่องโกหกครับ เพราะ ตัวแมทท์เองที่อ้างว่า ศรัทธาต่อพระเจ้าและเชื่อฟังท่านศาสดา ก็ไม่สามารถยืนยันได้แม้แต่ครั้งเดียวด้วยหลักฐานว่า ละหมาด มี 5 เวลา โดยอาศัยแต่กุรอ่านเท่านั้น อ่อส่วนการยกตัวอย่าง ควายๆ ของแมทท์นั้น มันก็ไม่ช่วยตอบคำถาม เกี่ยวกับละหมาดได้แต่อย่างใดนี่ครับ เพราะคุณพยายามใช้ตัวอย่าง ควายๆ ของคุณมาอ้างว่า พระเจ้าจะมีคำสั่งในสิ่งที่มนุษย์มีประสบการณ์ และเคยเห็นการกระทำนั้นๆมาแล้ว ซึ่งเป็นการอ้างที่ ไร้สาระและขาดเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง เพราะอะไร? เพราะทุกอย่างต้องมีครั้งแรกครับ เอาเป็นว่าถ้าละหมาดมีมาตั้งแต่สมัยนบีอาดัม ดังนั้น เมื่อนบีอาดัม มนุษย์คนแรกถูกสร้าง และมีคำสั่งให้ละหมาด การละหมาด ก็เป็นสิ่งที่ มนุษย์ไม่เคยทำอยู่ดี แล้วจะมาอ้างว่า พระเจ้าจะมีคำสั่งในสิ่งที่มนุษย์มีประสบการณ์ และเคยเห็นการกระทำนั้นๆมาแล้ว ได้อย่างไร ล่ะครับ ตัวอย่างที่ไม่สมเหตุสมผล คำอ้างที่ฟังไม่ขึ้นแบบนี้คงมีแต่แมทท์เท่านั้นที่อ้างออกมาได้ เรามาดูกันดีกว่า ว่าละหมาด 5 เวลา มีมาตั้งแต่ ก่อนสมัยท่านนบีมุฮัมมัดจริงหรือเปล่า อัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ระบุไว้ในซูเราะฮ์ อัลมุซซัมมิล และการวายิบละหมาดครั้งแรกนั้น  ก็ได้ระบุไว้ในช่วงแรกของซูเราะฮ์ดังกล่าว  ซึ่งพระองค์ได้ทรงตรัสว่า  "โอ้ผู้ห่มผ้า (หมายถึงนบีมุฮัมมัดซึ่งกำลังห่มผ้า) - 1 - เจ้าจงตื่นกลางคืน(เพื่อทำละหมาด)เถิด  ยกเว้นเพียง(เวลา)เล็กน้อย (เพื่อใช้ในการพักผ่อน) - 2 - (นั่นคือ) ครึ่งคืน  หรือจงลดลงจากนั้นลงมาสักเล็กน้อย - 3 - หรือจงเพิ่งขึ้นกว่านั้นอีก  และเจ้าจงอ่านอัลกุรอานให้ถูกต้องชัดเจน - 4 - " นี่เป็นหลักฐานจากกุรอ่านชัดเจนครับว่า จงตื่นขึ้น เพื่อละหมาด ครับ ในเวลาละหมาด ของมุสลิม ที่มี 5 เวลานั้น มีเวลา 1.ซุบฮิ เช้ามืดก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นครับ 2.ดุฮริ เวลาที่ดวงอาทิตย์คล้อยไปจากเวลาเที่ยงตรงแล้ว ซึ่งบางพื้นที่ คือเวลา เที่ยงกว่าๆ หรือบ่ายโมง 3.ฮัศริ คือเวลา บ่ายคล้อย ซึ่งจะเป็นเวลา 3-4 โมงเย็น แล้วแต่พื้นที่ และฤดูกาล 4.มัฆริบ คือเวลา พลบค่ำครับ 5.อิชา คือเวลากลางคืน แต่หลังจาก พลบค่ำเล็กน้อย ไม่ใช่กลางดึก หรือเวลาที่ตื่นขึ้นหลังจากนอนไปได้ระยะนึงแล้ว ดังนั้นคำว่าจงตื่นขึ้นเพื่อละหมาดนั้น จึงไม่ใช่ทั้ง 5 เวลา ที่มุสลิมละหมาดเป็นภาคบังคับ แต่อย่างใด แล้วแมทท์กลับบอกว่า ละหมาด 5 เวลา เป็นที่คุ้นเคยกันมานานแล้ว จึงเป็นการโกหกทั้งสิ้นครับ จากคุณ : Carroth - [ 2 พ.ค. 52 11:38:32 ]

ความคิดเห็นที่ 28 คุณ Sanmal  คุณช่วยกรุณาบอกเหตุผลที่คุณเปิดกระทู้นี้ให้ผมทราบหน่อยได้ไหมครับ  ผม คิดว่าคุณมีเจตนาที่ดีจะคุยกับผม, และอาจจะให้เหตุผลที่ดีต่อผม ที่ผมอาจจะเรียนรู้ได้ จากคุณ, โดยที่ไม่เสียเวลา ซ้ำๆซากๆเช่นนี้. แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 52 01:58:16 จากคุณ : แมทท์ - [ 4 พ.ค. 52 01:57:22 ]

ความคิดเห็นที่ 29 หนีอีกเหมือนเดิม หึหึ หนีซ้ำๆ ซากๆ ก็ถ้าตอบมาซะก็หมดเรื่องแล้ว แต่นี่ตอบไม่ได้ แล้วบอกว่าไม่หนี ตอบไม่ได้แต่ชอบทำตัวเป็นผู้รู้ในเรื่องอิสลาม ทั้งๆที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย แมทท์ก็มีเท่านี้ จากคุณ : Carroth - [ 4 พ.ค. 52 05:51:35 ]

ความคิดเห็นที่ 30 Carroth shut up please ! I am talking to คุณ Sanmal.  Please read the following: From my inbox; ............ในเวลามีเรื่องต้องถกเถียง (เช่นเรื่องละหมาด ที่เค้าไม่ยอมเลิกกันซะที ไม่ได้ว่าพี่นะครับ ผมว่าพี่ใช้อารมณ์รึความลำเอียงน้อยกว่าอีกหลายๆคน ที่ถกเถียงด้วยมาก) และการเอาชนะในการเถียงนั้นไม่จำเป็น จึงไม่จำเป็นต้องทำให้อีกฝ่ายต่ำกว่า แจกแจงข้อมูลตามทัศณะของตนก็พอแล้ว จากนั้นอยู่ที่ผู้ฟังจะให้น้ำหนักข้างไหนมากกว่ากัน ซึ่งผมว่าเค้าไม่เคยคิดจะอ่าน นอกจากจูบกะบะห์ที่ไหนให้ได้บุญมากๆๆ :) มากกว่าจะถามว่าทำไมรอซูลถึงทำ? From a very good Muslim. ................... Carroth:  Take this (picture) and kiss it: You may send  your love to whatever you want it to be, when you are kissing it.^^ จากคุณ : แมทท์ - [ 4 พ.ค. 52 16:20:43 ]

ความคิดเห็นที่ 31 แมทท์ ถ้าคุณไม่มีความสามารถจะ คุยกันด้วยข้อมู้ลก็ไม่ต้อง เอาข้อความอะไรมาลงหรอกครับ เพราะมันไม่ช่วยให้ ข้อมูลของคุณ มีอะไรดีขึ้นมาได้ โดนจับได้ว่ามั่วแล้วมั่วอีก หนีแล้วหนีอีกแล้วคุณ ตอบอะไรมาบ้าง บอกว่า จูบหินดำชิริก ก็บอกไม่ได้ว่าชิริกตรงไหน บอกว่าอัลลอฮฺจะไม่สั่งให้มุสลิมทำให้สิ่งที่ไม่คุ้นเคย แต่ปรากฎว่า ช่วงแรกของการลงกุรอ่าน มีละหมาด ภาคบังคับที่ไม่ได้อยู่ใน เวลา ละหมาด 5 เวลา ที่เรารู้จัก อีก ไม่ต้องเอา ข้อความใครมาโพสต์หรอกครับ (มันจริงหรือเมกก็ไม่รู้) แค่ตอบคำถามผมให้ได้ ก็จบแล้ว หึหึ ทำได้มั๊ยล่ะ แต่ผมว่าคนอย่างคุณทำไม่ได้หรอกครับ เพราะถ้าทำได้ ทำไปนานแล้ว ไม่ต้องเอาข้อความอื่น มาลง เพื่อให้รอดตัวหรอกครับ จากคุณ : Carroth - [ 4 พ.ค. 52 20:00:49 ]

ความคิดเห็นที่ 32 อัสลามุอาลัยกุม จขกท. มาแล้วครับ พอดีหายไปหลายวัน เนื่องจากคุณพ่อเสียชีวิต แต่ก่อนที่จะแสดง คคห.อะไรเพิ่มเติม ขออนุญาตอ่านตั้งแต่ต้นจนจบก่อนครับ แล้วค่อยมาตอบอีกทีครับ จากคุณ : Sanmal - [ วันฉัตรมงคล 09:08:23 ]

ความคิดเห็นที่ 33 อัสลามุอะลัยกุมคุณSanmal ..  ผมต้องขอ อภัยด้วยและขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง  ขอพระเจ้าได้ทรงโปรดเมตตาต่อดวงวิญญานของท่านและประทานสถานที่อันสุขสบายให้แก่ท่านในโลกหน้า  เรื่องกระทู้พักไว้ก่อนดีกว่าครับ ผมไม่ได้พยายามหลีกเลื่อยงอะไร เพราะ มีผู้ที่มีความเห็นเช่น เดียวกับผมเป็นจำนวนมาก แต่ยังเป็นส่วนน้อยของมุสลิม  สว่นใหญ่    ไว้เวลาคุณสบายใจเราจึงคุยกันใหม่ ด้วยมิตรภาพดีกว่าครับ  ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดคุ้มครองคุณและครอบครัว จากคุณ : แมทท์ - [ วันฉัตรมงคล 19:38:49 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ผมไม่เห็นด้วยกับความคิดกับ ลุงแม้นของผม   แต่ที่ลุงแม้นผมพูดถูกอยู่อย่างนึง ที่พูดว่า " ผมในส่วนตัวไม่เห็นว่ามุสลิมควรจะลดเกียรติ ลงไปจูบ สิ่งที่ เราไม่แน่ใขว่าจะเป้นชริกหรรือไม่ "  อันนี้เห็นด้วยครับ      ส่วนคุณ   Carroth   บอกว่า " ถ้าการจูบหินดำคือชิริก การที่ผมจูบลูกผม เพราะลูกผมคือของขวัญล้ำค่าจากอัลลอฮฺที่ประทานให้ก็ชิริกสิครับ? และถามหน่อย การไม่จูบหินดำบาปหรือไม่ครับ? "   อันนี้คิดว่าตัวอย่างไม่น่าจะเกี่ยวกัน        หินก็คือหินครับ เพราะทั้งโลกดุลยานี้คือสิ่งล้ำค่าที่อัลเลาะห์สร้างครับ ท่านไม่จำเป็นต้องหินดำก็ได้ ทุกๆสิ่งในโลกนี้ล้ำค่าหมด    แต่ที่ดูให้มีความศักดิ์สิทธิมาตั้งแต่สมัยนบีอิบรอฮีม ประวัติศาสประเป็นเยี้ยงไร ไม่ขอพูดต่อ   แต่ผมก็ไม่ไปจูปอ่ะครับ  ยกเว้น มีคำสั่งที่นบีสั่งใว้ว่าให้ทำเมื่อมีความสามารถ  ผมก็จะทำครับ จากคุณ : bawon - [ 22 พ.ค. 52 13:42:40 ]