ความคิดเห็นที่ 96

คุณ Crescent )
คุณถามผมว่า..
ก่อนอื่นต้องของถามคุณว่า...คุณเชื่อเรื่องอิสรออฺ เมี๊ยะร็อจ...หรือไม่...ยังไม่ต้องลงในรายละเอียด...ครับ...
คำตอบ
ผมเชื่อและคิดว่าที่ถูกต้องที่สุดคือ อัล อิสรอ และ เมี๊ยะร็อจ ที่กล่าวถึงใน อายะนี้ เป็นการอธิบายถึง การเดินทางโดยจิตวิญญาณแห่งความศรัทธา ไม่ใช่เป็นการเดินทาง ด้วยการเคลื่อนไหวของร่างกาย
ผมไม่เชื่อใน Sahih Bukahri Volume 1, Book 8, Number 345 ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้
การอธิบายความหมาย ในอายะนี้ผิดพลาดไม่ต่างไปจาก ความผิดพลาด ในการ อธิบายเรื่อง พระเจ้ากล่าวต่อทุกๆจิตวิญญาณของมนุษย์ก่อนมาเกิด เป็นว่า พระเจ้าคุยกับตัวอสุจิ
จากอายะ
[17.1] มหาบริสุทธิ์ผู้ทรงนำบ่าวของพระองค์เดินทางในเวลากลางคืน จากมัสยิดอัลหะรอมไปยังมัสยิดอัลอักซอซึ่งบริเวณรอบมันเราได้ให้ความจำเริญ เพื่อเราจะให้เขาเห็นบางอย่างจากสัญญาณต่างๆของเรา แท้จริง พระองค์คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น
คุณกล่าวว่า
นี่คือโองการที่มีบัญญัติไว้อย่างชัดเจน....ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน...ที่กล่าวถึงเรื่องอัล อิสรอ และ เมี๊ยะร็อจ...ดังนั้น...หากใครปฏิเสธในเรื่องดังกล่าวนี้...ก็เท่ากับว่า...ผู้นั้นได้ปฏิเสธโองการที่บัญญัติไว้ในอัลกุรอานด้วยเช่นกัน...!!!...
ผมขออธิบายว่า
ถ้าคุณสรุปเช่นนี้แล้ว หากว่า ถ้ามุสลิมผุ้ใดไม่เห็นด้วยกับ คำอธิบายบัญญัติใดๆในอัลกุรอานที่ไม่ถูกต้อง เขาจะเป็นผู้ปฏิเสธอัลกุรอานเช่นนั้นหรือ ทั้งนี้ ในอัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย ที่คุณใช้อยู่อาจจะมี บางอายะที่ อธิบายอย่าง คลุมเครือ เช่น อธิบายว่า มีบัญญัติให้สามีตีภรรยาได้แต่ตีอย่างเบาๆ ทั้งๆที่ ไม่มีในบัญญัติให้มีการเฆี่ยนตีเลย ในอัลกุรอาน
แต่เหตุผลที่ผมเชื่อและคิดว่าถูกต้องที่สุดคือ อัล อิสรอ และ เมี๊ยะร็อจ ที่กล่าวถึงใน อายะนี้ เป็นการอธิบายถึง การเดินทางโดยจิตวิญญาณแห่งความศรัทธา ไม่ใช่เป็นการเดินทาง ด้วยการเคลื่อนไหวของร่างกาย
เพราะมีเหตุผลที่น่าเชื่อถือสนับสนุน การเดินทางทางจิตวิญญาณแห่งความศรัทธา อย่างมากมาย จาก ผู้อธิบายที่ เป็น ซุนนีย์มุสลิม และ มีเหตุและผลในความเข้าใจ เรื่อง การปฏิบัติตาม ซุนนะห์ ซึ่งเป็น ฮิดะยะห์ ของ อัลกุรอาน หรือ ซุนนัตตุลลอฮ์,
ลิ้งค์ที่คุณอ้างถึง ปฏิเสธเหตุผลและ ฮาดีษต่างที่สนับสนุน การเดินทางโดยจิตวิญญาณแห่งความศรัทธา, แม้แต่ท่านหญิง อายอิซะ จะเป็นพยานว่าในคืนวันนั้น ท่านรอซูลยังคงนอนอยุ่ที่บ้านท่าน, แต่ผู้เขียนก็อ้างว่า เป็นหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือ, ถ้าภรรยาท่านเป็นพยานว่า ท่านอยู่บนเตียงนอนในคืน นั้น ก็น่าจะเพียงพอ แต่ ผู้ที่อยู่นอกห้องนอน กลับ อ้างว่า เป็น ฮะดีษที่อ่อน เชื่อถือไม่ได้ ซึ่งเป็นการเลือกและใช้ฮะดีษตามอารมณ์ .............. เรื่องบุร็อก
สำหรับผมแล้ว...เรื่องนี้...เป็นเพียงเรื่องที่เป็นส่วนประกอบเล็กน้อยของเรื่อง อิสรออฺ เมี๊ยะร็อจ...ครับ...เพียงแค่อธิบายถึงวิธีการเดินทางของท่านนบีฯในการเดินทางอิสรออฺ เมี๊ยะร็อจ...ซึ่งบทบาทของบุร็อกก็ไม่มีอะไรไปมากกว่านี้...
ตอบ..
มันไม่ใข่เป็นเรื่องเล้กน้อย การกระทำใดๆก็ตามที่นำเอาสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ไปเป็นส่วนหนึ่งของ บัญญัติของพระเจ้า ในเรื่องความศรัทธาเพื่อให้เห็นเป็น รูปร่างลักษณะใดๆก็ตาม เป็น การ ยกฐานะวัตถุเทียบเท่าพระเจ้า,
ด้วยเหตุนี้ มีมุสลิมจำนวนมาก นำเอารูปนี้ไปติดไว้ตามบ้านด้วยความศรัทธา ซึ่งเป็น "ซริก" ผมว่าคุณคงเข้าใจในเรื่อง "ชิริก" นี้ดีกว่า คุณ Carroth และ คุณ ghanee.s เพราะคุณมีเหตุผลและความรู้ดีผมเคยคุยกับคุณมาแล้ว
เรื่องการชิริก..
คำตอบ
ถ้าคุณ อ่านรายละเอียดจาก ฮาดีษนี้ คุณจะเห็นว่า การต่อรองโดยตรง ตัวต่ตัวกับพระเจ้า เป็นการ ตีเสมอ ว่าอยู่ในระดับเดียวกับพระเจ้า
การรับฟัง คำคัดค้านของนบีมูซาแสดงว่าเชื่อถือนบีมูซามากกว่าคำสั่งอย่างเด้ดขาดของพระเจ้า เพราะเหตุใดพระเจ้าผู้รอบรู้ไม่เข้าใจว่าการละหมาด 50 ครั้ง มนุษย์ทำไม่ได้ ขัดกับหลักฐานการมีคำสั่ง ให้ละหมาด ในเวลาต่างๆ ของพรเจ้า ใน อัลกุรอาน, แสดงว่าท่านรอซูลรับฟังคำสั่งของนบีมูซาเหนือกว่า พระเจ้า, เพียวว่าเราเซื่อว่าฐานะในการต่อรองระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า เสมอกัน ก็คือ "การเชื่อที่เป้น ซิริก", เช่นมีซอเฮี๊ยะฮาดีษที่กล่าวว่า "พระเจ้าสร้างมนุษย์มาในลักษณะของพระองค์" (ได้มีการอธิบายแก้ตัวฮาดีษนี้กันอย่างสับสน)
"The Prophet said, "Then Allah enjoined fifty prayers on my followers when I returned with this order of Allah, I passed by Moses who asked me, 'What has Allah enjoined on your followers?' I replied, 'He has enjoined fifty prayers on them.' Moses said, 'Go back to your Lord (and appeal for reduction) for your followers will not be able to bear it.' (So I went back to Allah and requested for reduction) and He reduced it to half. When I passed by Moses again and informed him about it, he said, 'Go back to your Lord as your followers will not be able to bear it.' So I returned to Allah and requested for further reduction and half of it was reduced. I again passed by Moses and he said to me: 'Return to your Lord, for your followers will not be able to bear it. So I returned to Allah and He said, 'These are five prayers and they are all (equal to) fifty (in reward) for My Word does not change.' "
- Sahih Bukahri Volume 1, Book 8, Number 345 ................
เรื่องสุดท้ายก็คือ...เรื่องการข่มเหงสตรี...
ผมทราบเรื่องบัญญัติต่างๆและการให้เกียรติสตรี เป็นอย่างดีในอัลกุรอาน จึงไม่จำเป้นต้องกล่าวซ้ำ
แต่มี ซอเฮี๊ยะฮาดีษ จำนวนมากที่กดบังคับสตรีไม่ให้สิทธิเท่าเทียมกับเพสชาย ด้วยการรวมหัวกันของนักปรา๙ญ์ อิสลามบางคน ที่ตั้งกฏบังคับสตรี
. .มีผุ้หญิงในนรกมากกว่าผู้ชาย, เนื่องจาก มีการปฏิบัติศาสนกิจน้อยกว่าผู้ชาย
ทั้งนี้เพราะว่า มีฮาดีษ ห้ามหญิง จับต้องอัลกุรอานเวลามีประจำเดือน, ห้ามการถือศีลอด, ห้าม ละหมาด ซึ่งข้อห้ามต่างๆเหล่านี้ พระเจ้าไม่ได้บัญญัติไว้ในอัลกุรอาน แม้แต่น้อย ... แต่ผุ้ห้ามอ้างว่า ด้วยความเมตตาของท่นรอซุล ... ถ้าเมตตาแล้วเหตุใดจึงลงโทษ ให้หญิงลงนรกมากกว่าชาย ...นี่คือการขัดกัน ของ ฮาดีษต่อ ฮาดีษ และ ฮาดีษ ต่อ อัลกุรอาน
บังคับการแต่งกายของหญิง จนเกินกว่าที่พระเจ้ากำหนด
ส่วนเรื่อง ความไม่แน่ใจของคุณนั้น คนฉลาดอย่างคุณคงสามารไตร่ตรองได้โดยไม่มีอคติ..
"ตอนนี้ผมเองก็ชักไม่แน่ใจว่า... มุชริกมักกะห์...กับ... มุนาฟิกอเมริกา...อะไรมันบ่อนทำลายอิสลามมากกว่ากัน...ครับ..."
คุณมองดูรูปเหล่านี้แล้วกันว่า "ความจริงในปัจจุบันที่มุสลิมปฏิบัติต่อสุภาพสตรีอย่างไร?
จากคุณ :
แมทท์
- [
30 พ.ค. 52 02:23:29
]
|
|
|