ความคิดเห็นที่ 1 แมทท์ครับ ถ้าไม่กล้า สนทนากันด้วยหลักวิชาการ ก็อย่ามาตั้งกระทู้เพื่อทำเนียนเอาตัวรอดเรื่องละหมาดเลยครับ เพราะเรื่องนี้ มีแต่ผิดกับถูก ไม่มีการปล่อยให้ผู้อ่านคิดเอาเองครับ เพราะนั่นหมายความว่า เป็นการเปิดช่องให้คุณ มั่วเรื่องละหมาดไปไม่รู้จักจบ จักสิ้น ดังนั้น ถ้าไม่คิดจะคุยกัน ให้เด็ดขาด และ ฟันธงลงไปเลยว่า ใช่หรือไม่ก็ไม่ต้องมา เปิดกระทู้เพื่อแสดงความขี้ขลาดตาขาวครับ และผมไม่สนด้วยนะครับว่า คุณจะอ้างอะไรเพื่อไม่ตอบผม เพราะ คำถามเรื่องละหมาดคุณบอกเองว่า มีในกุรอ่าน และคุณบอกว่าว่าคุณรู้ ดังนั้น ต้องบอกได้ครับว่า ซูเราะห์ไหน อย่างไร แล้วทราบไว้ตรงนี้ด้วยครับ ว่าคนอย่างคุณไม่มีค่าอะไรให้ผมเอามาแค้นเคืองส่วนตัวหรอกนะครับ เพราะถ้าคุณไม่บิดเบือนอิสลาม อยู่ตลอดเวลา ผมก็ไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรกับคุณทั้งสิ้น และรับผิดชอบคำพูดนี้ของคุณด้วย แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 52 17:42:33 จากคุณ : Carroth - [ 16 มิ.ย. 52 17:41:49 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อย่าหนีก็แ้ล้วกัน นะครับ จากคุณ : Carroth - [ 16 มิ.ย. 52 17:43:20 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อคุณ จะคุยเรื่องละหมาด ผมก็ให้คุณตัดสินใจว่า คุณกล้าพอที่จะคุยให้จบหรือไม่ ถ้าไม่กล้่า ก็อย่าเที่ยวมาอ้างว่าผมไม่ยอมคุยนะครับ เพราะผมคุยเรื่องนี้ตลอด ถ้าผมไม่รู้ผมก็จะไปถามมาแล้วตอบให้ ไม่มีข้ออ้างหรือข้อแม้ ประเภท ถ้าไม่เห็นด้วยก็ปล่อยให้คนอ่านตัดสิน เพราะ ผิดคือผิดถูกคือถูก ไม่มีคำว่าอาจจะผิดก็ได้ถูกก็ได้หรอกนะครับ และผมไม่ต้องการ มาสนทนาไร้สาระเพื่อโชว์ตัวหนังสือยาวๆ แสดงท่าทีให้ดูน่าเชื่อถือ แต่ไม่มีคุณค่าทางวิชาการหรอกนะครับ ถ้่าจะคุยต้องจบ ถ้าจบไม่ได้ต้องมีเหตุผลว่าเพราะอะไร ไม่ใช่บอกว่า ผมรู้แต่คุณไม่ศึกษาเอง แต่ดันบอกไม่ได้ว่ารู้อะไร หรือคู่สนทนา ไม่ศึกษาเรื่องอะไรแบบที่คุณชอบทำเพื่อเอาตัวรอด จะลบล้างความเป็นคน ตลบแตลง ปลิ้นปล้อน ขาดความรู้ มุนาฟิก ของตัวเอง ต้องทำให้จริงจังครับ ไม่ใช่ มีข้ออ้าง ตั้งแต่เริ่มเพื่อหวังเอาตัวรอด คุณคิดว่าผมจะหลอกง่าย เหมือนคนรอบข้างคุณหรือไงครับ ถึง กำหนดเงื่อนไข ตลกๆ แบบที่ผมขีดเส้นใต้ไว้ ย้ำอีกทีนะครับ ถ้าไม่กล้าสนทนากันด้วย หลักการและหลักฐาน ให้มันเด็ดขาดล่ะก็ ไม่ต้องมาตั้งกระทู้โชว์หรอกครับ เพราะหลักฐานการหนีประเด็นเรื่องละหมาด และ หลักฐานความไม่รู้แต่พูดไปเรื่อยของคุณเรื่องเวลาละหมาดยังอยู่ จากคุณ : Carroth - [ 16 มิ.ย. 52 17:55:16 ]

ความคิดเห็นที่ 4 อ่อจะบอกอีกนิดนะครับ อาทิตย์หน้า อินชาอัลลฮ์ ถ้าผมไม่ลืม และคุณยังไม่ยอมตอบเรื่องละหมาดกับมุสลิมให้มันจบๆ แล้วยังหน้าด้านหน้าทนไปบิดเบือนอิสลาม อ้างตนเป็นผู้รู้ โดยไม่ได้ดูตัวเองอีก ผมจะตั้งกระทู้เรื่องละหมาด อีกรอบ พร้อมกับแสดงความไม่รู้เรื่องแต่กลับชอบมั่วของแมทท์ด้วย ผมไม่ได้หวังให้คนอย่างคุณมาตอบหรือแม้แต่ ละอายเพราะคนอย่างคุณ ถ้ามีความละอายสักนิด ก็คงจะไม่หน้าด้านมาประจานตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้หรอกนะครับ แต่ผมต้องการให้ผู้ที่มาอ่านได้รู้จักคนอย่างคุณว่า ที่ท่าทางเหมือนจะรู้ พิมพ์ยาวๆ เหมือนจะเก่ง มันก็แค่ขยะ ที่กวาดๆ รวมกันแล้วเอาไปวางไว้ในกระทู้ต่างๆให้เกะกะเท่านั้นเอง แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 52 18:02:39 จากคุณ : Carroth - [ 16 มิ.ย. 52 18:00:15 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ถึงแม้ว่าผมจะพยายามอย่างไรที่จะ หาทางสนทนากับท่านผู้นี้อย่าง มรรยาทในสังคมผู้ดี ที่เจิญด้วยปัญญา ประดุจดังดอกบัวที่ที่เบ่งบานด้วยความงามที่แสดงถึงความแจ่มใสในจิตใจ และสติปัญญาของความเป็นมนุษย์ผุ้ประกอบไปด้วยความคิดที่เหนือกว่า มวลสัตว์ทั้งปวงแล้วก็ตาม,แต่ก็ไม่มีทางที่จะทำได้ ดังที่ผู้อ่านจะเห็นได้จาก ความคิดเห็นที่ 1-4      แต่อย่างไรก็ตามผมจะเสนอ ความคิดเห็นของผมในเรื่องนี้ ด้วย เหตุ ผลและ หลักฐานจากอัลกุรอาน และ ข้อความ ที่ขัดแย้ง จาก อะฮาดีษที่ เกี่ยวกับหัวข้อกระทู้   เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดในความเห็นของผมที่แตกต่างไปจากมุสลิมบางท่านและบางลัทธิ และผู้ที่ยึดอยู่ในการศรัทธา ต่ออิสลาม ตามแนวความคิดที่ ถูกอบรมและเรียนรู้มาจากแหล่งการสอนที่สอนแตกต่างกันออกไป จากหลักการของอิสลาม, เช่นเดียวกับความ แตกต่างในความศรัทธา ของผู้ที่นับถือศาสนาและลัทธิอื่นๆ ในสังคมโดยทั่วๆไป   และถ้าคุณผู้นี้จะแสดงความเห็นอย่างสุภาพโดยไม่ล่วงเกินผม เป็นส่วน ตัว แล้ว ผมก็ยินดีที่จะรับฟังและ แสดงความคิดเห็นต่อข้อแย้งของท่านผู้นี้....... เหตุผลข้อที่1.     ผู้มีอำนาจทั้งหลายโดยเฉพาะผู้ที่จะออกบัญญัติหรือ กฏหมายใดๆ เพื่อใช้บังคับหรือ ออกคำสั่ง ให้ผู้ใด กระทำ ตามกฏบัญญัติที่วางไว้  จะต้องเข้าใจเป็นอย่างดีว่า ผู้ที่รับคำสั่งนั้น เข้าใจ เนื้อหาและประสบการณ์ในคำสั่งหรือกฏบัญญัติ นั้นมาก่อน และรู้และเข้าใจ วิธีการปฏิบัติกิจกรมมนั้นมาก่อน    การปฏิบัติศาสนกิจก็เช่นเดียวกัน พระเจ้าผู้มีอำนาจสูงสุด พระองค์จะไม่ออกคำสั่งอะไรก็ตาม ให้มนุษย์ ปฏิบัติ โดยที่มนุษย์ ผู้นั้น ยังไม่เข้าใจ วิธีการปฏิบัติและเรียนรู้เห็นการปฏิบัติมาก่อนมาก่อน และถ้าผู้รับคำสั่งไม่มีประสบการณ์มาก่อน  บัญญัติก็จะตามมาด้วย คำอธิบาย    ในกรณีเรื่องการละหมาดก็เช่นกัน ถ้าเราใช้ อัลกุรอานเป็นหลัก, สิ่งที่เราจะปฏิบัติตามอย่อมมีอยู่เพียง รายละเอียดและวิธีการปฎิบัติ ที่มีอยู่ในอัลกุรอานเท่านั้น  ถ้านอกเหนือไปจากนั้น มุสลิมไม่จำเป็นต้องกระทำ เพราะไม่ใช่พระประสงต์ ของพระเจ้า แต่เป็นการเพิ่มเติมโดยความเข้าใจบัญญัติของ อัลกุรอาน แตกต่างกันออกไปของผู้ที่เรียกตนเองว่าผู้รู้   หรือ นำเอาเรื่องประกอบมาใช้โดยเชื่อว่าเป็น คำสอนของท่านศาสดามูฮัมมัด ให้กล่าวหรือกระทำเช่นนั้น โดยที่ อัลกุรอานไม่ได้บัญญัติไว้   ที่กล่าวมานี้ถ้าท่านสมาชิกผู้ใดต้องการจะเสริมหรือ ให้ความคิดเห็น ในเหตุผลข้อที่ 1, โปรดกรุณาแสดงความคิดเห็นเพื่อประโยชน์ในการเข้าใจ ของหลักการในการออกคำสั่ง ให้ผู้ปฏิบัติตาม ว่ามีเหตุผลเพียงพอหรือไม่?อย่างใด? ก่อนที่ผมจะ ดำเนินความคิดเห็นต่อไป จากคุณ : แมทท์ - [ 17 มิ.ย. 52 14:01:49 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เหตุผลข้อที่2. การที่อ้างซูเราะฮ์ อัลมุซซัมมิล ว่า "อัลกุรอานยืนยันชัดเจนว่า การละหมาด 4เวลานั้น มีมาหลังจากการประทานกุรอ่านมาแล้วระยะเวลานึง"    การอ้างเช่นนี้ แสดงว่าก่อนอายะนี้หรือในส่วนใดของอัลกุรอานจะต้องมีคำอธิบาย ในเรื่องการทำละหมาดไว้, ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดจะไม่ ทราบว่า อะไรคือการทำละหมาด? หรือการละหมาดคืออะไร? (ซึ่งจะขัดกับเหตุผลข้อที่ 1 ที่กล่าวมาแล้ว ใน ความคิดเห็นที่ 5 ) ในซูเราะฮ์ อัลมุซซัมมิล  ที่บัญญัติเป็นคำสั่งไว้ว่า 1.  เจ้าจงตื่นกลางคืน(เพื่อทำละหมาด)เถิด       คำสั่งนี้แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ทราบวิธีการทำละหมาดหรือ ได้มีประสบการณ์ในการทำละหมาด ภายหลังจากการประทาน อัลกุรอ่านมาแล้วระยะเวลานึง แล้วอย่างแนนอน,  ตามคำอ้างอิงที่ว่า     "อัลกุรอานยืนยันชัดเจนว่า การละหมาด 4 เวลานั้น มีมาหลังจากการประทานกุรอ่านมาแล้วระยะเวลานึง"     เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว  มีคำถามต่อไปว่า 1. ในการทำละหมาดนั้น มี 3 หรือ 5 เวลา นั้นมาจากที่ใด? 2. "ท่านศาสนทูตทราบเรื่องราวและวิธีการกระทำละหมาด มาได้อย่างไร?     และมีมาอย่างไร? มีบอกไว้ในอัลกุรอานหรือไม่?      ถ้ามุสลิมจะใช้ "ซูเราะฮ์ อัลมุซซัมมิล" อ้างว่า ซูเราะฮ์ นี้ ได้ยืนยัน เวลาของการละหมาดไว้ อย่างชัดเจน 4 เวลาแล้ว  ก็จะเป็นการสดวกมากขึ้น โดยเราทราบอย่างแน่นอนว่า การละหมาด (อาจจะ) ได้ ถุกกำหนดไว้ ว่า ให้ทำ วันละ 4 เวลา ซึ่งมีระบุไว้ใน "อัลกุรอาน" ไม่ได้มาจากแหล่งใด นอกจาก ถูกระบุ ไว้อัลกุรอาน,       เราก็จะตอบคำถามข้อที่ 1 ได้ เพียงส่วนหนึ่ง คือส่วนการทำละหมาด 5 เวลา ซึ่งมุสลิมถือว่าเป็นภาคบังคับนั้น, เราพบแล้ว 4 เวลา และ อีก 1 เวลา นั้นอยู่ที่ใด/หรือเอามาจากไหนในอัลกุรอาน, และ ส่วนที่ว่า 3 เวลานั้นมาจากไหน? อยู่ตรงไหนในอัลกุรอาน ซึ่ง จะขออธิบายเพิ่มเติมต่อไป แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 52 15:16:30 จากคุณ : แมทท์ - [ 17 มิ.ย. 52 14:53:31 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ตาม ที่ผู้แย้งกล่าวว่า "ดังนั้นคำว่าจงตื่นขึ้นเพื่อละหมาดนั้น จึงไม่ใช่ทั้ง 5 เวลา ที่มุสลิมละหมาดเป็นภาคบังคับ แต่อย่างใด, แล้วแมทท์กลับบอกว่า ละหมาด 5 เวลา เป็นที่คุ้นเคยกันมานานแล้ว..... (????)" ..........   ด้วยเหตุนี้ผมจึงจำเป็นจะต้องชี้ให้เห็นว่า การละหมาดที่มุสลิมทำเป็น ภาคบังคับ วันละ 5 เวลา นั้นมาจากไหน? "โอ้ผู้ห่มผ้า (หมายถึงนบีมุฮัมมัดซึ่งกำลังห่มผ้า) - 1 - เจ้าจงตื่นกลางคืน(เพื่อทำละหมาด)เถิด  ยกเว้นเพียง(เวลา)เล็กน้อย (เพื่อใช้ในการพักผ่อน) - 2 - (นั่นคือ) ครึ่งคืน  หรือจงลดลงจากนั้นลงมาสักเล็กน้อย - 3 - หรือจงเพิ่งขึ้นกว่านั้นอีก  และเจ้าจงอ่านอัลกุรอานให้ถูกต้องชัดเจน - 4 - "  เราจะทราบได้อย่างไรในบัญญัตินี้ว่า เวลาทั้ง 4 ที่กล่าวไว้ใน "ซูเราะฮ์ อัลมุซซัมมิล" นึ้ เป็นเวลาใดใน 5 เวลา ตามที่ ผู้แย้งยกมาอ้าง ดังนี้   "นี่เป็นหลักฐานจากกุรอ่านชัดเจนครับว่า จงตื่นขึ้น เพื่อละหมาด ครับ ในเวลาละหมาด ของมุสลิม ที่มี 5 เวลานั้น มีเวลา 1.ซุบฮิ เช้ามืดก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นครับ 2.ดุฮริ เวลาที่ดวงอาทิตย์คล้อยไปจากเวลาเที่ยงตรงแล้ว ซึ่งบางพื้นที่ คือเวลา เที่ยงกว่าๆ หรือบ่ายโมง 3.ฮัศริ คือเวลา บ่ายคล้อย ซึ่งจะเป็นเวลา 3-4 โมงเย็น แล้วแต่พื้นที่ และฤดูกาล 4.มัฆริบ คือเวลา พลบค่ำครับ 5.อิชา คือเวลากลางคืน แต่หลังจาก พลบค่ำเล็กน้อย ไม่ใช่กลางดึก หรือเวลาที่ตื่นขึ้นหลังจากนอนไปได้ระยะนึงแล้ว ดังนั้นคำว่าจงตื่นขึ้นเพื่อละหมาดนั้น จึงไม่ใช่ทั้ง 5 เวลา ที่มุสลิมละหมาดเป็นภาคบังคับ แต่อย่างใด" ...............  เนื่องจากผมไม่เคยอ้าง  "ซูเราะฮ์ อัลมุซซัมมิล" ว่า เป็น เป็นการกำหนดเวลาต่างๆ 1-2-3- และ 4 ว่าตรงกับเวลาใดใน 5 เวลาดังที่ผู้แย้งกล่าวถึง   เราจึงจะต้อง ทำความเข้าใจในเวลาดังกล่าว คือ  1.ซุบฮิ 2.ดุฮริ 3.ฮัศริ 4.มัฆริบ และ 5.อิชา  มีกล่าวไว้อย่างใดในอัลกุรอาน  ซึ่งจะกล่าวต่อไป.. จากคุณ : แมทท์ - [ 17 มิ.ย. 52 15:46:53 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าคนที่จะสนทนากับผมเป็นคนที่สามารถสนทนาด้วยอย่างนิ่มนวลได้ผมก็จะทำครับ แต่คนอย่างแมทท์นั้น 5-6 ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่สามารถสนทนาด้วยความนิ่มนวลได้ เพราะคนผู้นี้พร้อมจะด่าตลอดเวลาถ้าสบโอกาส และพร้อมจะหลีกเลี่ยงประเด็น ทุกครั้งถ้าเห็นช่องทาง ดังนั้นผมจึงต้อง ใช้ความเด็ดขาดในการสนทนา เพื่อไม่ให้ คนอย่างแมทท์ตลบแตลงได้อีกต่อไป อ่านเองนะครับ ว่าคนที่พิมพ์คำพูดทรามๆแบบนี้ออกมา จะมาเน้นเรื่องมารยาท มันน่าสมเพชแค่ไหน จากคุณ : Carroth - [ 17 มิ.ย. 52 18:20:51 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คนที่สบช่องก็ด่า คนอื่นตลอดเวลาแบบนี้เหรอครับ จะมาเรียกร้องหามารยาท จากคุณ : Carroth - [ 17 มิ.ย. 52 18:21:33 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คนที่ใช้คำพูดทรามๆ แบบนี้ เหรอครับ จะมาอ้างถึงมารยาทในการสนทนา ถ้าอ้างขึ้นเมื่อไหร่ นั่นก็เพื่อเอาตัวรอดทั้งนั้นล่ะครับ มีความละอายบ้างมั๊ยครับแมทท์? จากคุณ : Carroth - [ 17 มิ.ย. 52 18:22:43 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เรามาว่ากันเรื่องละหมาดกันต่อครับ การที่แมทท์อ้างว่า ผู้มีอำนาจทั้งหลายโดยเฉพาะผู้ที่จะออกบัญญัติหรือ กฏหมายใดๆ เพื่อใช้บังคับหรือ ออกคำสั่ง ให้ผู้ใด กระทำ ตามกฏบัญญัติที่วางไว้  จะต้องเข้าใจเป็นอย่างดีว่า ผู้ที่รับคำสั่งนั้น เข้าใจ เนื้อหาและประสบการณ์ในคำสั่งหรือกฏบัญญัติ นั้นมาก่อน และรู้และเข้าใจ วิธีการปฏิบัติกิจกรมมนั้นมาก่อน   การปฏิบัติศาสนกิจก็เช่นเดียวกัน พระเจ้าผู้มีอำนาจสูงสุด พระองค์จะไม่ออกคำสั่งอะไรก็ตาม ให้มนุษย์ ปฏิบัติ โดยที่มนุษย์ ผู้นั้น ยังไม่เข้าใจ วิธีการปฏิบัติและเรียนรู้เห็นการปฏิบัติมาก่อนมาก่อน และถ้าผู้รับคำสั่งไม่มีประสบการณ์มาก่อน  บัญญัติก็จะตามมาด้วย คำอธิบาย เป็นการอ้างที่ไม่สมเหตุสมผลเลย นั่นเพราะ การบัญญัติสิ่งใดๆ ก็แล้วแต่ต้องมีครั้งแรกครับ ถ้า การละหมาดมีครั้งแรกตั้งแต่ สมัย นบีอาดัม บรรพบุรุษ ของมนุษยชาติ หรือท่านนบีอิบรอฮีมที่แมทท์ชอบอ้างบ่อยๆ การบัญญัติเรื่องละหมาดในสมัยนั้น ก็ย่อมเป็นการสั่งให้ทำในสิ่งที่มนุษย์ยังไม่เคยทำ อย่างแน่นอน การที่อ้างว่าพระเจ้าจะไม่ออกคำสั่งอะไรก็ตาม ให้มนุษย์ปฏิบัติโดยที่มนุษย์ยังไม่เข้าใจจึงเป็นคำอ้างที่ ทำตัวเป็นพระเจ้าเสียเอง เพราะว่า มนุษย์ที่ไม่ใช่คนอาหรับ เช่น คนไทยทั่วไป เขาก็ไม่รู้จักละหมาด แต่ เมื่อเป็นมุสลิมละหมาดก็ถูกบัญญัติให้ทำสำหรับเขา เขาก็ต้องเรียนรู้การทำละหมาดใหม่ตั้งแต่ต้นอยู่ดี และแมทท์ อ้างว่า "ในกรณีเรื่องการละหมาดก็เช่นกัน ถ้าเราใช้ อัลกุรอานเป็นหลัก, สิ่งที่เราจะปฏิบัติตามอย่อมมีอยู่เพียง รายละเอียดและวิธีการปฎิบัติ ที่มีอยู่ในอัลกุรอานเท่านั้น  ถ้านอกเหนือไปจากนั้น มุสลิมไม่จำเป็นต้องกระทำ เพราะไม่ใช่พระประสงต์ ของพระเจ้า แต่เป็นการเพิ่มเติมโดยความเข้าใจบัญญัติของ อัลกุรอาน แตกต่างกันออกไปของผู้ที่เรียกตนเองว่าผู้รู้   หรือ นำเอาเรื่องประกอบมาใช้โดยเชื่อว่าเป็น คำสอนของท่านศาสดามูฮัมมัด ให้กล่าวหรือกระทำเช่นนั้น โดยที่ อัลกุรอานไม่ได้บัญญัติไว้" การอ้างเช่นนี้ก็เป็นการอ้างที่ผิดพลาดและไม่ตรงกับความจริงอีกเช่นกัน เพราะถ้า ใช้แต่กุรอ่าน อย่างเดียวเพื่อทำละหมาดโดยไม่ยอมทำตามแบบอย่างของท่านนบีมุฮัมมัด (ทั้งที่กุรอ่านก็ใช้ให้ตามท่านนบีมุฮัมมัด) ก็จะไม่มีใครรู้ว่า ละหมาดมีกี่เวลากันแน่ 5 7 9 11 ดังกระทู้เหล่านี้ ที่แมทท์เองก็ตอบไม่ได้ว่ากี่เวลากันแน่ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/04/Y7806659/Y7806659.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/12/Y7312016/Y7312016.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/02/Y7497398/Y7497398.html ดังนั้นมุสลิมจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำตามแบบอย่างของท่านนบีครับ เนื่องจากถ้าไม่มีแบบอย่างของท่านนบีแล้ว การปฏิบัติศาสนากิจต่างๆ ของมุสลิมจะ ถูกบิดเบือนไปเรื่อยๆ อย่างง่ายดาย ไม่มีแบบแผนแน่นอนชัดเจน และสุดท้ายก็จะถูกทอดทิ้งหรือถูกเปลี่ยนรูปแบบไปจนไม่เหลือเค้าเดิมอีก ดังที่ผมยกตัวอย่างเรื่องเวลาละหมาด (นี่แค่เวลาละหมาดนะครับ ยังไม่นับจำนวนครั้งในการละหมาดแต่ละเวลา มีการกราบกี่ครั้ง ยืน หรือนั่งอย่างไร) ซึ่งแบบอย่างของท่านศาสดาได้รับการบันทึกไว้อย่างเป็นแบบแผนและมีการตรวจสอบอย่างเข้มข้นครับ ไม่ใช่อ้างบรรพบุรุษที่ไม่รู้ที่มาที่ไปเหมือนพวกที่ ชอบปฏิเสธฮะดีษอ้าง นี่คือตัวอย่างของผลลัพท์ในการปฏิเสธ ฮะดีษครับ เป็นความสับสนที่เกิดขึ้นเรื่อยๆ ว่า จะเอายังไง จะเอากุรอ่านอย่างเดียวหรือ ตามบรรพบุรุษด้วย จากคุณ : Carroth - [ 17 มิ.ย. 52 18:41:00 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ส่วนเรื่องละหมาด ที่แมทท์ยกตัวอย่าง อะไรมานั่นน่ะ ผมก็ไม่รู้ว่าแมทท์จะยกมาทำไม เพราะผมไม่ได้บอกว่า มุสลิมไม่เคยรู้จักละหมาดมาก่อน เพราะการละหมาดมีมาตั้งแต่สมัยก่อน ท่านนบีมุฮัมมัดแล้ว แต่ ที่ผม เอาเรื่อง ซูเราะห์ อัลมุซซัมมิล มาให้อ่านกัน ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าแมทท์ที่อ้างว่ารู้เรื่องกุรอ่านนั้น กลับบอกว่าละหมาด 5 เวลาเป็นที่คุ้นเคยมาก่อนสมัยท่านศาสดา ทั้งที่ความจริงแล้วละหมาด 5 เวลา นั้น มีมาหลังจาก กุรอ่านลงมาแล้วได้ระยะเวลานึงหรือพูดง่ายๆเลยว่า ละหมาด 5 เวลาที่มุสลิมปฏิบัติกันทุกวันนี้นั้นน่ะ มีมาหลัง จากการประทานกุรอ่านมาแล้ว ไม่ใช่ มีมาก่อนสมัยท่านศาสดาอย่างที่แมทท์อ้าง นี่ครับคำพูดที่แมทท์อ้างไว้ ประจานตัวเองถึงความไม่รู้กุรอ่าน แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 52 19:56:37 จากคุณ : Carroth - [ 17 มิ.ย. 52 19:56:21 ]

ความคิดเห็นที่ 13 และนี่คือข้อยืนยันที่ว่านั้นครับ อัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ระบุไว้ในซูเราะฮ์ อัลมุซซัมมิล และการวายิบละหมาดครั้งแรกนั้น  ก็ได้ระบุไว้ในช่วงแรกของซูเราะฮ์ดังกล่าว  ซึ่งพระองค์ได้ทรงตรัสว่า  "โอ้ผู้ห่มผ้า (หมายถึงนบีมุฮัมมัดซึ่งกำลังห่มผ้า) - 1 - เจ้าจงตื่นกลางคืน(เพื่อทำละหมาด)เถิด  ยกเว้นเพียง(เวลา)เล็กน้อย (เพื่อใช้ในการพักผ่อน) - 2 - (นั่นคือ) ครึ่งคืน  หรือจงลดลงจากนั้นลงมาสักเล็กน้อย - 3 - หรือจงเพิ่งขึ้นกว่านั้นอีก  และเจ้าจงอ่านอัลกุรอานให้ถูกต้องชัดเจน - 4 - " นี่เป็นหลักฐานจากกุรอ่านชัดเจนครับว่า จงตื่นขึ้น เพื่อละหมาด ครับ ในเวลาละหมาด ของมุสลิม ที่มี 5 เวลานั้น มีเวลา 1.ซุบฮิ เช้ามืดก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นครับ 2.ดุฮริ เวลาที่ดวงอาทิตย์คล้อยไปจากเวลาเที่ยงตรงแล้ว ซึ่งบางพื้นที่ คือเวลา เที่ยงกว่าๆ หรือบ่ายโมง 3.ฮัศริ คือเวลา บ่ายคล้อย ซึ่งจะเป็นเวลา 3-4 โมงเย็น แล้วแต่พื้นที่ และฤดูกาล 4.มัฆริบ คือเวลา พลบค่ำครับ 5.อิชา คือเวลากลางคืน แต่หลังจาก พลบค่ำเล็กน้อย ไม่ใช่กลางดึก หรือเวลาที่ตื่นขึ้นหลังจากนอนไปได้ระยะนึงแล้ว ดังนั้นคำว่าจงตื่นขึ้นเพื่อละหมาดนั้น จึงไม่ใช่ทั้ง 5 เวลา ที่มุสลิมละหมาดเป็นภาคบังคับ แต่อย่างใด แล้วแมทท์กลับบอกว่า ละหมาด 5 เวลา เป็นที่คุ้นเคยกันมานานแล้ว จึงเป็นการโกหกทั้งสิ้นครับ จากคุณ : Carroth - [ 17 มิ.ย. 52 19:58:31 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ถ้าคุณจะเข้ามาทะเลาะกับผมก็ไม่จำเป็นที่จะเข้ามา แต่เมื่อคุณต้องการให้ผมตอบก็กรุณา อย่าทำให้เรื่องเสียครับ เพราะทำให้เสียเวลา ผมทำตามที่คุณต้องการคือ ตอบให้ตรงว่า ถูกหรือผิดอย่างไร("ฟันธง")  แต่ผมใช้เหตุผลอธิบาย คุณต้อง อดทนหน่อยครับ และคิดตามไปด้วย  บางทีคุณจะเห็นส่วนที่ถูกต้องบ้าง     นี่อะไรพอผมให้เหตุผล เพียง 2 ข้อ   คุณก็เริ่มเสียอารมณ์แล้ว  ถ้า"ท้าทาย" ในเรื่องความรู้ทางวิชาการแล้ว ก็ต้องเปิดโอกาสให้เขาอธิบายก่อน แล้วจึง ให้เหตุผลของคุณ      การที่คุณจะให้ผมรับเชื่อเรื่อง "เทพนิยาย"  ที่ไม่ใช่หลักการของอิสลาม ตามที่ผมศึกษามา   นั้นมันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ    ผมจะกลับเข้าเรื่องต่อไป ตามเวลาและโอกาสที่ว่างจากการงานของผม    โปรดเป็นคนใจเย็นหน่อยซิครับ   มีความมั่นใจในตัวเองนะดีครับ แต่จะไปบังคับให้ใครเขามีความเห็นตรงกับคุณไม่มีใครทำได้หรอก     ดูตัวอย่าง เวบ มรดก กับ เวบ สติวเด้น ซิครับ ยังตกลงกันไม่ได้เลยว่า "พระเจ้าคืออะไร?" เถียงกันด่ากัน อย่างหยาบคาย     รักษามรรยาทและมีความอดทนหน่อย  ถ้าคุณท้าทายผมให้ "ฟันธง"  แล้วผมก็จะทำตาม   แต่คุณจะเห็นด้วยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความรู้และความเข้าใจของคุณ     ถ้าทนฟังหรืออ่านคำอธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้ ก็ไม่ควรเที่ยว "ท้าทาย" ใครเขาทั่วๆไป... อย่าทำตัวเป็น "อันธพาล"  การเป็นมุสลิมตามซุนนะห์ นั้นต้องมีความอดทน   ถ้าคุณจะให้ผม "ฟันธง"  ผมก็ทำได้ แต่ว่ามันจะไม่ "สุภาพ" เท่านั้น  คือว่า ศาสนาอิสลาม ไม่ใช่เป็นศาสนาของคุณคนเดียว  ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณCarrothจะจูบไอ้นั้น(หินดำ)  แต่ผมไม่ยอมจูบด้วย เพราะว่า ไม่มีในอัลกุรอาน ให้จูบไอ้นั้น(หินดำ)       คุณจะมามั่วว่า ผม ไม่ใช่มุสลิม มันก็ไม่ถูกต้องนัก,    เพราะว่าการ จูบหินดำ ร่วมกับคนเป็นหมื่นเป็นแสน  มันสำซ่อนมากไป ซึ่งอาจจะทำให้เกิดโรค (ทางเดินหายใจ) ได้,   และก็มีมุสลิมจำนวนมากที่ไม่จูบไอ้นั้น(หินดำ)  ของมุชริกอรับ เมื่อไปทำ ฮัจจฺ   เมื่อท้าทายผมแล้วก็รักษาคำมั่นสัญญาอดทนการ "ฟันธง" ของผมอย่าง สุภาพบุรุษมุสลิม(มีน)  ตามที่คุณท้าทายผมต่อไป จากคุณ : แมทท์ - [ 17 มิ.ย. 52 20:05:38 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ผมไม่รู้ว่าแมทท์ไม่เข้าใจ หรือพยายามไม่เข้าใจประเด็นของผมกันแน่นะครับ ถึงเอาคำอธิบายที่มันไม่ได้ ตรงประเด็นมาตอบใ้ห้มันดูยาวๆ เล่นซะงั้นแต่เนื้อหา นี่ วกไปวนมา หาสาระอะไรไม่ได้ เอาง่ายๆ แค่คำพูดนี้ ถ้ามุสลิมจะใช้ "ซูเราะฮ์ อัลมุซซัมมิล" อ้างว่า ซูเราะฮ์ นี้ ได้ยืนยัน เวลาของการละหมาดไว้ อย่างชัดเจน 4 เวลาแล้ว  ก็จะเป็นการสดวกมากขึ้น โดยเราทราบอย่างแน่นอนว่า การละหมาด (อาจจะ) ได้ ถุกกำหนดไว้ ว่า ให้ทำ วันละ 4 เวลา ซึ่งมีระบุไว้ใน "อัลกุรอาน" ไม่ได้มาจากแหล่งใด นอกจาก ถูกระบุ ไว้อัลกุรอาน,      เราก็จะตอบคำถามข้อที่ 1 ได้ เพียงส่วนหนึ่ง คือส่วนการทำละหมาด 5 เวลา ซึ่งมุสลิมถือว่าเป็นภาคบังคับนั้น, เราพบแล้ว 4 เวลา และ อีก 1 เวลา นั้นอยู่ที่ใด/หรือเอามาจากไหนในอัลกุรอาน, และ ส่วนที่ว่า 3 เวลานั้นมาจากไหน? อยู่ตรงไหนในอัลกุรอาน ซึ่ง จะขออธิบายเพิ่มเติมต่อไป ใครอ้างว่า ซูเราะห์นี้บอกเวลา ชัดเจน 4 เวลาเหรอครับ? แล้วบอกเวลาไว้ส่วนไหนของซูเราะห์นี้ 4 เวลาไม่ทราบ? และการกำหนดเวลาละหมาดนั้น ถ้าจะเอาแต่กุรอ่านม่เอาแบบอย่างของท่านนบี มุฮัมมัด (ทั้งๆที่กุรอ่านก็สั่งไว้ให้ตามท่านนบีมุฮัมมัด) ก็สามารถกำหนดได้ เป็นสิบเวลาครับ ดังกระทู้ ที่ผมโพสต์ไปแล้ว ดังนั้นอย่าว่าแต่ 3 4 หรือ 5 ครับ จะเอาสัก 9 หรือ 11 ก็หาได้ครับ ถ้าไม่เอาแบบอย่างของท่านศาสดา จากคุณ : Carroth - [ 17 มิ.ย. 52 20:16:04 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ตอบมาครับเรื่องกุรอ่านอย่านอกเรื่อง ถ้า ขี้ขลาดก็ยอมรับมา ไม่ต้องมาอ้า่ง มันน่าเบื่อ!!!!!!!!!! จากคุณ : Carroth - [ 17 มิ.ย. 52 20:17:10 ]

ความคิดเห็นที่ 17 อะ สุภาพไม่สุภาพ ใครด่าใคร จูบไม่จูบหินดำ เอาไว้ก่อน อะต่อ ๆ ถืงไหนแล้ว อ่อ คุณแมทท์กำลังจะบอกละหมาด 5 เวลา มีบอกไว้ในอัลกรุอ่านโองการไหนบ้าง ใช่มั้ย อะต่อ ๆ จากคุณ : น้องจั้ง (น้องจั้ง) - [ 17 มิ.ย. 52 20:37:06 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ผมว่าในการเข้าใจความหมายของ อายะที่ 73:2  นั้นคุณคงเข้าใจผิด หรือไม่ก็มีเจตนาจะ ให้ผมเข้าใจผิด    ความหมายของ อายะนี้ คือ เมื่อตอนเที่ยงคืนหรือ หลังจากเที่ยงคืนนั้น หมายถึงการละหมาด ตะฮัจญุด ซึ่งในสมัยก่อน มุสลิมจะทำการละหมาด ตะฮัจจูดตลอดคืนไม่หลับนอน,  เมื่ออายะนี้ลงมาเพื่อให้มุสลิม ละหมาด “ตะฮัจญุด”  เพียงชั่วเวลาเพียงเล็กน้อยในตอน กลางคืนและให้พักนอนบ้าง หรือค่อยๆยืดเวลาการละหมาดให้นานขึ้นแล้วแต่ว่าผู้ละหมาดต้องการ   การละหมาด  ตะฮัจญุด มีบอกไว้อย่างชัดเจนในอัลกุรอาน อายะ 17:79 ดังนี้ "และบางส่วนของกลางคืนให้ตื่นขึ้นมา เพื่อ การละหมาด (แสดงว่า หลังจากละหมาด อีซา และเข้านอนแล้ว) เป็น (การละหมาด)การ ทำด้วยใจสมัครของเจ้า, มันอาจจะช่วยให้พระเจ้ามีเมตตาให้เจ้าได้รับการยกย่องสรรเสริญ" (17:79) การละหมาด  ตะฮัจญุด ยังมีบอกไว้ใน 20: 130 และใน 50: 39 - 40. จากคุณ : แมทท์ - [ 17 มิ.ย. 52 20:54:58 ]

ความคิดเห็นที่ 19 มาเข้าเรื่องของการละหมาด 5 เวลา ...ตุณต้องค่อยๆอ่านนะครับอย่ารีบรอ้น เดี่ยว จะไม่เข้าใจ เรามาดูอายะที่ 2:238   ที่กล่าว่า..  “ฮาฟิตฎู อะลา อัสซอละวาติ วาอัสซอละติ อัลวุสตา วะกูมูลิลลลาฮิ กอนิตีนะ”    "Guard strictly your prayers, especially the Middle Prayer; and stand before Allah in a devout (frame of mind)." 2:238         เจ้าจงรักษาการละหมาด(อย่างเข้มงวด)ให้เป็นนิสัย, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง, การละหมาดในระหว่างกลาง และยืนต่อหน้าพระเจ้า(อัลลออ์) ด้วยความตั้งใจ(ด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริง) ความหมาย กรณีที่ 1.  คำว่า “อัสซอละฮ์” หมายถึงการละหมาด 1 ครั้ง (เวลา) ซึ่งเป็นเอกพจน์ เท่านั้น กรณีที่ 2.  คำว่า “อัสซอละตัยนฺ”   หมายถึงการละหมาด 2 ครั้ง (เวลา), หมายถึง คำนามที่เป็น คู่ กัน เท่านั้น  “อัสซอละตัยนฺ”    ในความหมายทางไวยกรณ์ แล้ว ต่างจากในภาษาอังกฤษ เป็นคำนามในจำพวก Genitive Cases คล้ายๆ กับภาษาอังกฤษ ที่เรียกว่า possessive case เช่น   Matt’s glass of water แปลว่า “แก้วน้ำ ของ แมทท์”,    ประโยคนี้ แสดงความเป็นเจ้าของ          แต่คำวลีที่ว่า “glass of water”    ในวลีนี้ ไม่มีการแสดงความเป็นเจ้าของ,  ไม่ทั้ง  “แก้วของน้ำ” หรือ “น้ำของแก้ว” วลีเช่นนี้เรียกว่า “genitive case “ซึ่งมีใช้ในไวยกรณ์ อรับ และ บาง ภาษาในยุโรป และเอเซีย(อามีเนียน, โครเอเชียน, , เยอรมันนี,กรีก, ฯลฯ)         จะเห็น ว่ามีของอยู่สองสิ่ง ซึ่งเป็นของกันและกัน ในภาษาอรับใช้คำนาม คู่  (ในภาษาอังกฤษมี อยู่คำนามจำพวกหนึ่ง เรียกว่า “Collective noun”  ซึ่งต่างจาก คำนามที่เป็นคู่) ในกรณีที่ 3. คำว่า “อัสซอละวัตตฺ” หมายถึงการละหมาด หลายครั้ง ตั้งแต่ 3 ครั้ง หรือมากกว่า เท่านั้น ไม่มีความหมายเป็นอย่างอื่น ใช้เป็นพหูพจน์ ที่มีตั้งแต่สามขึ้นไป  ทีนี้มาดูในประโยค ของอายะที่ 2:238 กล่าวว่า:  “ฮาฟิตฎู อะลา อัสซอละวาติ วาอัสซอละติ อัลวุสตา วะกูมูลิลลลาฮิ กอนิตีนะ” มีหมวดของคำอยู่ สอง หมวด(วลี) คือ 1.  “วาอัสซอละติ อัลวุสตา” หมายถึงการละหมาด ในระหว่างกลาง 1 ครั้ง, และ 2.  “อัสซอละวาติ”  ซึ่งอยู่ในกรณีที่ 3,  หมายถึงการ ละหมาด ในจำนวน 3 ครั้ง หรือมากกว่า  ไม่ได้หมายถึง  สองครั้ง     ด้วยเหตุนี้ จากความหมายทางภาษา  ในอายะนี้  กล่าวถึงการละหมาด 3 ครั้ง  หรือมากกว่า  และรวม กับ การ ละหมาด ระหว่างกลาง  และคำว่าระหว่างกลาง 1 ครั้ง เป็น จำนวน เลขคี่ ที่อยู่ระหว่างกลาง ของจำนวนเลขคู่ ที่มากกว่า 3 นั้นก็คือ 4  เมื่อรวมจำนวนจาก เวลาที่กล่าวในอัลกุรอานแล้ว เราจะได้จำนวน 5 ครั้ง (เวลา) จากคุณ : แมทท์ - [ 17 มิ.ย. 52 21:14:47 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ผมเคยบอกไปแล้วนะครับ[u]ว่าคนอย่างแมทท์ไม่มีค่าอะไรให้ผมต้องมาเสียเวลาทะเลาะด้วย[u] และรู้ไว้เลยว่า ผมไม่เคยจะง้อให้คนมาอธิบาย หรือฟันธง หรือมาพล่ามอะไร แต่ ผมบอกว่า ถ้าคุณไม่มีปัญญาจะมาสนทนาอย่างผู้มีความรู้ อย่างมีหลักการ ไม่ยอมตอบคำถามเรื่องละหมาด แล้วยังทำตัวเป็นผู้รู้เที่ยวบิดเบือนอิสลามต่อไปแบบนี้ ความไม่รู้ของคุณเอง ความเขลาของคุณเอง มันก็จะ ประจานตัวเองต่อไป ซึ่งการประจานนี้มันก็ประจานตัวคุณเองครับไม่ใช่ผม เพราะฉะนั้นผมอุตส่าห์ลดตัวไปบอกแล้วว่าควรทำอย่างไร แล้วถ้าไม่ปรับปรุงตัว มันก็เรื่องของคุณครับ เพราะถ้าไม่ตอบคุณก็ยังคงเป็นแค่คนปลิ้นปล้อนตลบแตลง และไร้ความรู้เหมือน กระทู้ที่ผ่านๆ มาอยู่ดีนั่นแหละ ส่วนเรื่องอดทนอ่านอดทนรอเนี่ย มุสลิมในนี้ต้องทนกับความหน้าด้านและไร้สาระของคุณมา 5-6 ปีแล้วล่ะครับ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะตอบอะไรที่มันเป็นวิชาการสักนิด แล้วจะให้รอไปถึงเมื่อไหร่ครับ? ถ้าคำพูดของคุณมันเป็นความจริงมีเหตุผล ผมคงไม่มีทางแย้งคุณได้หรอกครับ แต่ถ้าคุณทนรับข้อพิสูจน์ไม่ได้ หมดปัญญาจะสนทนาด้วยเหตุผล ก็ไปสร้างเว็บของตัวเอง แล้วก็นั่งหลอกตัวเองเข้าไปสิครับ จะได้ไม่ต้องมีใคร ไปพิสูจน์ในเว็บของคุณเอง แต่ถ้าคิดจะมา บิดเบือนอิสลามในนี้ คุณต้องมีความรู้ความสามารถพอครับ ถ้าไม่ปัญญาพอ ก็อย่าบ่น อย่ามพล่าม อย่างอแง เวลาโดนซัก เพราะไม่มีใครเขาเรียกร้องให้คุณมาบิดเบือนอิสลามที่นี่ อ่อแล้วผมไม่ได้มีสิทธิ์อะไรไปบังคับใครให้ศรัทธานะครับ ถ้าคุณ ยังยืนยัน จะบิดเบือนอิสลาม หรือโจมตีอิสลาม มันก็เป็นหน้าที่คุณต้องรับผิดชอบตัวเอง แต่ผมจะไม่ยอมให้การบิดเบือนอิสลามลอยนวลอยู่ได้หรอกครับ ถ้าคิดจะบิดเบือนอิสลาม ก็ต้องถูกซักฟอกให้คนทั่วไปได้เห็นกันหน่อย จำไว้นะครับ อิสลามไม่ใช่ศาสนาของผมคนเดียวแต่อิสลามก็ไม่ใช่ศาสนากระจอกๆ ที่ใครจะมาบิดเบือนได้ตามใจ โดยเฉพาะคนที่จิตใจ ต่ำทรามแต่ไร้ความรู้อย่างคุณ และผมไม่แปลกใจหรอกครับ ถ้าคุณจะหยาบคาย เพราะมันเป็น กมล สั น ดาน ของคุณอยู่แล้วนี่ครับ เรื่องความหยาบคาย มันก็แสดงออกมาหลายกระทู้แล้ว แล้วอีกอย่างนะครับไม่มีมุสลิมคนไหนหรอกครับที่บอกว่ากุรอ่านถูกบิดเบือนหรือแต่งเติมโดยคนอาหรับ แต่แมทท์ก็บอกว่ากุรอ่านถูกบิดเบือนหรือถูกแต่งเติมโดยคนอาหรับ เพราะงั้น ถึงศาสนาอิสลามจะไม่ใช่ของผมคนเดียว แต่การจะจำแนกว่าใครเป็นมุสลิมหรือกาเฟรฺมันก็ไม่ยากหรอกครับ และไม่ใช่ผมคนเดียวที่บอกว่าคุณไม่ใช่มุสลิมด้วย พฤติกรรมอัน ต่ำช้าของคุณมันประจานตัวเองอยู่แล้วล่ะครับ จากคุณ : Carroth - [ 17 มิ.ย. 52 21:22:58 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เอาล่ะ ผมเซฟ คคหที่ 18 ของ แมทท์ไว้เรียบร้อยแล้วล่ะครับ และนี่แหละครับ คือ สิ่งที่ผมจะบอกว่า คนที่ไม่ได้รู้เรื่องกุรอ่านอย่างแมทท์ แต่กล้ามาบอกว่า จะตีความ กุรอ่านเองเนี่ย มันน่าสมเพชแค่ไหน เรามาดูกัน ความหมายของ อายะนี้ คือ เมื่อตอนเที่ยงคืนหรือ หลังจากเที่ยงคืนนั้น หมายถึงการละหมาด ตะฮัจญุด ซึ่งในสมัยก่อน มุสลิมจะทำการละหมาด ตะฮัจจูดตลอดคืนไม่หลับนอน,  เมื่ออายะนี้ลงมาเพื่อให้มุสลิม ละหมาด “ตะฮัจญุด”  เพียงชั่วเวลาเพียงเล็กน้อยในตอน กลางคืนและให้พักนอนบ้าง หรือค่อยๆยืดเวลาการละหมาดให้นานขึ้นแล้วแต่ว่าผู้ละหมาดต้องการ รู้ได้ยังไงครับ ว่าอะไรคือละหมาดตะฮัจญุด? เพราะนี่ เป็นโองการในกุรอ่านครับ ไม่ได้บอกว่า เป็นเวลาตะฮัจญุดหรือ เป็นเวลาที่ละหมาดโดยสมัครใจ แต่ โองการนี้เป็นการสั่งใช้อย่างชัดเจน อ่านให้ชัดๆ อัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ระบุไว้ในซูเราะฮ์ อัลมุซซัมมิล และการวายิบละหมาดครั้งแรกนั้น  ก็ได้ระบุไว้ในช่วงแรกของซูเราะฮ์ดังกล่าว  ซึ่งพระองค์ได้ทรงตรัสว่า  "โอ้ผู้ห่มผ้า (หมายถึงนบีมุฮัมมัดซึ่งกำลังห่มผ้า) - 1 - เจ้าจงตื่นกลางคืน(เพื่อทำละหมาด)เถิด  ยกเว้นเพียง(เวลา)เล็กน้อย (เพื่อใช้ในการพักผ่อน) - 2 - (นั่นคือ) ครึ่งคืน  หรือจงลดลงจากนั้นลงมาสักเล็กน้อย - 3 - หรือจงเพิ่งขึ้นกว่านั้นอีก  และเจ้าจงอ่านอัลกุรอานให้ถูกต้องชัดเจน - 4 - " คนละเรื่องกับ "และบางส่วนของกลางคืนให้ตื่นขึ้นมา เพื่อ การละหมาด (แสดงว่า หลังจากละหมาด อีซา และเข้านอนแล้ว) เป็น (การละหมาด)การ ทำด้วยใจสมัครของเจ้า, มันอาจจะช่วยให้พระเจ้ามีเมตตาให้เจ้าได้รับการยกย่องสรรเสริญ" (17:79) นี่ครับ ถ้าเป็นตะฮัจญุดแล้วล่ะก็ จะบอกไว้ชัดๆครับว่าสมัครใจ ไม่ใช่จงละหมาด? แต่แมทท์กลับบอกดื้อๆว่าคือละหมาดตะฮัจญุด ซึ่งเป็นละหมาดสมัครใจทำ แต่คำสั่งของซูเราะห์นี้เป็นคำสั่งใช้ เป็นวาญิบชัดเจน ถ้าแมทท์จะบอกว่านี่เป็นตะฮัจญุดล่ะก็แล้วนี่ล่ะครับ เจ้าจงรักษาการละหมาด(อย่างเข้มงวด)ให้เป็นนิสัย, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง, การละหมาดในระหว่างกลาง และยืนต่อหน้าพระเจ้า(อัลลออ์) ด้วยความตั้งใจ(ด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริง) คุณยกมาเอง นะครับ แบบนี้ก้สมัครใจ ละหมาดก็ได้ไม่ละหมาดก็ได้เหมือนตะฮัจญุดเหรอครับ? หึหึ นี่แหละครับว่าไม่รู้เรื่องของแมทท์ แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 52 21:53:50 จากคุณ : Carroth - [ 17 มิ.ย. 52 21:31:00 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คคหที่ 19 ของแมทท์ ผมตอบไปหลายรอบแล้วล่ะครับ เชิญอ่านได้ แมทท์บอกว่า “ฮาฟิตฎู อะลา อัสซอละวาติ วาอัสซอละติ อัลวุสตา วะกูมูลิลลลาฮิ กอนิตีนะ” มีหมวดของคำอยู่ สอง หมวด(วลี) คือ 1.  “วาอัสซอละติ อัลวุสตา” หมายถึงการละหมาด ในระหว่างกลาง 1 ครั้ง, และ 2.  “อัสซอละวาติ”  ซึ่งอยู่ในกรณีที่ 3,  หมายถึงการ ละหมาด ในจำนวน 3 ครั้ง หรือมากกว่า  ไม่ได้หมายถึง  สองครั้ง     ด้วยเหตุนี้ จากความหมายทางภาษา  ในอายะนี้  กล่าวถึงการละหมาด 3 ครั้ง  หรือมากกว่า  และรวม กับ การ ละหมาด ระหว่างกลาง  และคำว่าระหว่างกลาง 1 ครั้ง เป็น จำนวน เลขคี่ ที่อยู่ระหว่างกลาง ของ[u]จำนวนเลขคู่ ที่มากกว่า 3 นั้นก็คือ 4[u]  เมื่อรวมจำนวนจาก เวลาที่กล่าวในอัลกุรอานแล้ว เราจะได้จำนวน 5 ครั้ง (เวลา) ที่ขีดเส้นใต้แมทท์ ได้แสดงความมั่วโดยธรรมชาติของแมทท์ออกมาด้วยการบอกว่า จำนวนเลขคู่ ที่มากกว่า 3 นั่นก็คือ 4 ? มาจากไหน 4 ทำไมไม่ 6 ไม่ 8 สรุปแบบไม่มีที่มาที่ไปว่าต้อง 4 ทั้งๆที่ ตัวบทไม่เคยบอกว่า 4 และ ที่ทำตัวหนาไว้ แมทท์สรุปแบบลักไก่ว่าเมื่อรวมเวลที่กล่าวไว้ในกุรอานแล้ว จะได้จำนวน ละหมาด 5 ครั้ง (เวลา) แมทท์ยิ่งแสดงความ โกหกมดเท็จ และถึงขั้นหน้าด้าน กันเลยทีเดียว เพราะไม่มีตรงไหน สามารถรวมได้แล้วจะเป็น 5 เพราะถ้าจะรวมเวลาจริงๆ รวมได้ไม่ต่ำกว่า 7 - 9 หรืออาจจะถึง 13 ด้วยซ้ำ จากคุณ : Carroth - [ 17 มิ.ย. 52 21:38:54 ]

ความคิดเห็นที่ 23 มาอ่านดูนะครับ ถ้าจะเอาแต่กุรอ่าน ไม่เอาแบบอย่างของท่านนบีมุฮัมมัด ละหมาดนับได้แค่ 5 จริงหรือ? มาดูเรื่อง การละหมาด 5 เวลา ในกุรอ่านของแมท์นะครับ ว่า ที่เอามามันมั่วแค่ไหน อยากเรียนให้ทุกท่านทราบนะครับว่า ละหมาดนั้นน่ะ มุสลิมมี 5 เวลาครับ ที่ต้องรักษาให้ครบ ซึ่งมุสลิมทั่วโลกรู้ดีอยู่แล้ว ไม่ใช่ 6 หรือ 7 หรือ 8 หรือ 9 เวลา แต่จริงๆ แล้วถ้าเราอ่านแต่กุรอ่านโดยไม่เอาคำสั่งที่ว่า ให้ทำตามนบี หรือที่เราเรียกว่าฮะดีษนั้น จะพบว่า มีมากกว่า 5 เวลาครับ ดังนี้ 238. พวกเจ้าจงรักษาบรรดาละหมาดไว้ และละหมาดที่อยู่กึ่งกลาง(*1*) และจงยืนละหมาดเพื่ออัลลอฮ์โดยนอบน้อม กุรอ่านบอกไว้ครับว่า จงรักษาบรรดาละหมาดไว้ และละหมาดที่อยู่กึ่งกลางด้วย บรรดาละหมาดมีเวลาใดบ้าง มีแค่ 5 เวลาเหรอครับ ถ้าจะอ้างแบบแมทท์ เปล่าเลย เรามาดูว่า เวลาในกุรอ่านมีอะไรบ้าง อ่ะ ผมสมมุตินะครับ ว่าให้กึ่งกลางระหว่างวันเป็น ดุฮริ แล้วกัน แต่ก่อนจะกึ่งกลางมีอะไร และจงสดุดีด้วยการสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าก่อนการขึ้นของดวงอาทิตย์ และก่อนมันตก (50:39) ให้สดุดีสรรเสริญก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น .... มันตรงกับละหมาดศุบห์นี่นา แล้วสดุดีสรรเสริญก่อนดวงอาทิตย์ตก .... ก็ตรงกับละหมาดอัศร์ ใช่เหรอ??????? ก่อน พระอาทิตย์ตกมี แค่อัศร์เหรอครับ? ไม่ใช่ครับ ซูเราะฮฺ อัฎฎุฮา อายะห์ที่ 1. ขอสาบานด้วยเวลาสาย นี่ก็เวลา หนึ่ง จาก เวลา ก่อนพระอาทิตน์ตก และจงรำลึกถึงพระเจ้าของเจ้ามาก ๆ และจงกล่าวสดุดีในความบริสุทธิ์ของพระองค์ ทั้งในเวลาอะชีย์และเวลาอิบการ์ (3:41) และจงแซ่ซ้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้าทั้งในเวลาอะชีย์และเวลาอิบการ์ (40:55) กึ่งกลางระหว่าง วัน ให้เป็น ดุฮริ แล้วก่อน แต่ก่อนจะกึ่งกลางมีอะไร มี : อิบการ์(อิบการ์คือเวลาเช้า) ฎุฮา แล้วหลังกึ่งกลางมีอะไร มี : อะชีย์(อะชีย์ ก็ เวลาช่วงเย็นๆ) อัศริ 5 แล้ว ครับ มีอีก 58. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ! จงให้บรรดาผู้ที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง (*1*) และบรรดาผู้ที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะในหมู่พวกเจ้า ขออนุญาตพวกเจ้าสามเวลาคือ ก่อนเวลาละหมาดฟัจญริ และเวลาพวกเจ้าเปลื้องเสื้อผ้าในเวลากลางวัน (*2*) และหลังจากเวลาละหมาดอิชาอฺ (*3*) ทั้งสามนี้เป็นเวลาส่วนตัวสำหรับพวกเจ้า (*4*) หลังจากนี้แล้วไม่เป็นที่น่าตำหนิแก่พวกเจ้าและแก่พวกเขา เพราะพวกเขาวนเวียนรับใช้บางคนในหมู่พวกเจ้า เช่นนั้นแหละอัลลอฮฺทรงชี้แจงโองการทั้งหลายให้เป็นที่ชัดแจ้งแก่พวกเจ้า และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ มีเวลา ฟัจญริ และ อิชา ด้วย กี่เวลาแล้ว จากคำว่าบรรดา ละหมาด และนับกึ่งกลางอีก 1 ฟัจญริ อิบการ์ ฎุฮา ดุฮริ อะชีย์ อัศริ อิชา 7 แล้ว ยังนะครับ ซูเราะห์อัซ-ซุมัร  โองการ 9  ซึ่งมีใจความว่า  :  “หรือว่าพวกเจ้า  (โอ้ชนชาวมุชริก)  จะดีกว่า[u]ผู้ที่มีความภักดีที่ทำการกราบนมัสการและตื่นขึ้นในเวลากลางคืน[u]  โดยมีความหวั่นกลัว (อันตรายของ) โลกหน้า  และมุ่งหวังความเมตตาแห่งองค์อภิบาลของเขา   จงประกาศเถิด ! บรรดาผู้รู้กับผู้ไม่รู้นั้นจะเท่าเทียมกันหรือ ?  อันที่จริงบรรดาผู้มีวิจารณญาณทั้งหลายย่อมสำนึกแน่” มีแบบกลางคืนอีก กี่เวลาแล้ว ฟัจญริ อิบการ์ ฎุฮา ดุฮริ อะชีย์ อัศริ อิชา นี่ก็ 8 แล้วครับ 17:78 จงดำรงการละหมาดไว้ตั้งแต่ตะวันคล้อยจนพลบค่ำ และการอ่านยามรุ่งอรุณจริงการอ่านยามรุ่งอรุณนั้นเป็นพยานยืนยันเสมอ พลบค่ำก็ มัฆริบ ตอนนี้มีเวลาอะไรบ้าง ศุบฮ์ อิบการ์ ฏุฮา ดุฮริ อะชีย์ อัศริ มัฆริบ อิชา และเวลา ที่ตื่นขึ้นกลางดึก คือ ตะฮัจญุดนะครับ 9 แล้วนะครับ แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 52 21:47:00 จากคุณ : Carroth - [ 17 มิ.ย. 52 21:46:23 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ผมจะมาเช็คทุกวันนะครับ ว่ามีคำตอบอะไรน่าพอใจมั่ง จากคุณ : Carroth - [ 17 มิ.ย. 52 21:53:03 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คุณ Carroth..  คุณช่วยกรุณาตอบผมด้วยว่า เพราะเหตุไรผมจึงจำเป็นต้องตอบให้คุณ Carroth พอใจ..ในเมื่อคุณ มีความเห็นและความเข้าใจต่าง จากผม ในทุกๆอย่าง ที่เห็นชัดที่สุดที่ผมไม่เห็นด้วยกับคุณ ก็คือ เรื่อง "อัลอิศรอและอัลเมื๊ยะราจ" และผมก็กล่าวตั้งแต่ใน หัวข้อกระทู้แล้ว มันเป็นง่ายเกินไปที่จะอ้างว่า  ท่านรอซูลเรียนการละหมาดมาจาก เทวทูตญิบลีล  และการละหมาด 5 เวลา มาจาก การต่อรองระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์    ผมได้อธิบายทั้งเหตุผลของผุ้ที่เชื่อใน “อะฮาดีษ” ที่เชื่อว่า การละหมาด 5 เวลามีอยู่ในอัลกุรอาน และ เหตุผลของผุ้ที่ยึดถืออัลกุรอานเพียงอย่างเดียวและ อธิบายว่า การละหมาด 5 เวลานั้น มีอยู่ที่ใด      แต่เหตุผลของทั้งสองกลุ่มนี้ก็ยังไม่ตรง กับ ความเป็นจริงจากอัลกุรอาน ซึ่ง ในอัลกุรอาน ระบุการละหมาด ด้วยชื่อและเวลาของการละหมาด เพียงแค่ 3 เวลาเท่านั้น และก็เป็นความคิดเห็นอีกข้อหนึ่ง ที่แตกต่างไปจา ก ประเพณีการละหมาดของมุสลิมที่ตกทอดกันมา และทำอยู่ในปัจจุบัน     ส่วนเวลา 7-8-9-10-หรือ อะไรก้ตามที่คุณบอกว่าคุณ งุนงง นั้น โดยที่คุณนำมาอ้างต่อผมจากบัญญัติต่างๆนั้น  ไม่ได้หมายความถึงการละหมาดเสมอไป แต่หมายถึง การ อ่านหรือ ท่องอัลกุรอาน ในเมื่เรามีโอกาสใดที่จะทำได้ ในช่วง เวลาใดก็ตาม ก็เป็นการดี สำหรับการ สรรเสริญพระเจ้าอยู่เสมอสำหรับตัวเราเอง      เรื่องที่ผมนำมาอธิบายและพยายามที่จะอธิบายทั้งหมดนี้ มาจาก ความคิดเห็น ของ นักวิชาการ ฮาดีษ ที่พยายามที่จะ พิสูจน์ว่า การละหมาด 5 เวลา นั้น มี ในอัลกุรอาน  เพื่อที่จะสนับสนุน เรื่อง "อัลอิศรอและอัลเมื๊ยะราจ"  ซึ่งผม ไม่เห็นด้วย เพราะการอธิบายและการค้นหายุ่งยากเกินกว่าที่ มุสลิมทั่วๆไป จะค้นคว้าได้อย่างง่ายดาย   แม้แต่ตัวคุณเองก็ไม่เห็นด้วยว่า  อัลกุรอาน สนับสนุน เรื่อง "อัลอิศรอและอัลเมื๊ยะราจ"  ซึ่งเป็นเรื่องที่คุณเชื่อว่าเป็นจุดกำเนิดของการละหมาด 5 เวลา ที่มุสลิมกระทำกันอยู่ในปัจจุบันนี้ จาก Sahih Bukahri Volume 1, Book 8, Number 345 "The Prophet said, "Then Allah enjoined fifty prayers on my followers when I returned with this order of Allah, I passed by Moses who asked me, 'What has Allah enjoined on your followers?' I replied, 'He has enjoined fifty prayers on them.' Moses said, 'Go back to your Lord (and appeal for reduction) for your followers will not be able to bear it.' (So I went back to Allah and requested for reduction) and He reduced it to half. When I passed by Moses again and informed him about it, he said, 'Go back to your Lord as your followers will not be able to bear it.' So I returned to Allah and requested for further reduction and half of it was reduced. I again passed by Moses and he said to me: 'Return to your Lord, for your followers will not be able to bear it. So I returned to Allah and He said, 'These are five prayers and they are all (equal to) fifty (in reward) for My Word does not change.' " -     จากฮาดีษข้างบนนี้ คือประวัติของการละหมาด 5 เวลา ในสมัย ท่านรอซูลตามความศรัทธาของคุณ....แต่คุณไม่ทราบว่าก่อนที่ท่านรอซูลจะไปพบกับพระเจ้านั้น ท่านรอซูลทำละหมาดหรือไม่? และท่านทำอย่างไร? และใครสอนท่าน?   ผมคิดว่าคุณมีคำตอบให้ผมในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน จากคุณ : แมทท์ - [ 18 มิ.ย. 52 16:01:13 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เนื่องจากการเสนอความเห็นของผมไม่ใช่เสนอเพื่อให้คุณพิจารณาแต่ต้องการให้ สมาชิกในพันทิป เห็นความแตกต่าง ของ มุสลิม ในแง่การปฏิบัติศาสนกิจ ที่สำคัญซึ่งเป็นพิ้รฐานของความศรัทธา   ถ้าคุณมีบรรทัดฐานความศรัทธาของคุณว่า ต้อง ขี่อูฐไปทำงาน แต่ของผมบอกกว่า ต้อง ขับ เมอซีดีซเบ๊นซ์ ไปทำงาน ก็ไม่ได้หมายความว่า ใครถูกหรือ ใครผิด ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศและ กาลเวลา ด้วยเหตุนี้การแสดงความคิดเห็นของผม หรือของคุณ จะ ทำเป็นเรื่อง “นักเลงฟันธง” ไม่ได้หรอกครับ เพราะบางครั้ง จะกระเทือนใจ มุสลิมที่ทำอิบาดะห์อย่างสม่ำเสมอโดยถูกสอนและ เติบโตมาเช่นนั้น ซึ่งเขาเหล่านั้นไม่มีส่วนรับรู้ใน ความคิดเห็นที่แตกต่างกันระหว่างคุณกับผม ซึ่งผมยังมีความเคารพและความเกรงใจเขาเหล่านั้นอยู่     ผมจะบอกให้คุรทราบความคิดเห้นและความศรัทธาของอิสลามของผมอย่างตรงไปตรงมาว่า  ผมสรัทธาอิสลามตามหลักการของศาสนาอิสลามที่สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมทีเอกพลานุภาพที่ลี้ลับ สร้างหรือทำให้บังเกิดขึ้น ซึ่ง มนุษย์ตั้งชื่อ ให้ว่า “อัลลอฮ์”  แต่ความสำคัญของพระเจ้าหรือ อัลลอฮ์นี้ อยู่ที่ “เอกพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่และลี้ลับต่อความเข้าใจและการจินตนาการของมนุษย์ “       สิ่งที่คุณจะต้องศรัทธาก่อนการเข้าใจเรื่อง “พระเจ้าและการละหมาดนั้น คุณจะต้องมีพื้นฐานในการเข้าใจ ว่าเราควรศรัทธสท่านรอซูลเช่นใด, การศรัทธาต่อ คำพูดและเขากล่าวของท่านจากปากของท่านเอง จากหลักฐานที่มีการจดบันทึกในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ และการรับรู้ของท่าน เป็นสิ่งเริ่มต้นในการเข้าใจ พระเจ้า และ อิสลาม ด้วยเหตุนี้ มุสลิมจะต้องเข้าใจท่านรอซูล จากอัลกุรอาน ถ้าเราเชื่อว่าการรับอัลกุรอานจากพระเจ้าด้วยปากของท่าน “อัลกุรอาน” ก็เป็นข่าวสารจากพระเจ้าอย่างแท้จริง        แต่ถ้าเราเชื่อว่าท่านรอซูลเป็นศาสดาที่ฉลาดหลักแหลมในการออกบัญญัติกฏเกณท์ ขึ้นมาเป็นรูปเล่ม และเป็นการกล่าวถึง  “ เอกพลานุภาพที่ลี้ลับ”   นี้ก็ยังคงแสดงให้เห็นว่ามีพระเจ้าอยู้อย่างแท้จริงนั้นเอง  มิฉนั้นแล้วท่ารอซุล ผู้ที่มีความสามารถและปรีชาญาณในทุกๆด้าน จะไม่ความเป็นศาสดาที่ยิ่งใหญ่มาจนปัจจุบันนี้  ด้วยเหตุนี้ความจริงต่างๆเกี่ยวกับศาสนาอิสลามจึงอยู่ที่ว่า มุสลืมจะมีความเชื่อถือท่านรอซูลอย่าแท้จริงและถูกต้องหรือไม่เท่านั้น จากคุณ : แมทท์ - [ 18 มิ.ย. 52 16:06:00 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ที่ผมกล่าวเช่นนี้ ก็เพื่อให้คุณได้ใช้หลักวิชาทางธรรมชาติซึ่งเป็น “สัญญาณ” ของพระเจ้า เข้าใจในคำสอนของพระองค์ และถ้าคุณขาดความรู้ทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทีบังเกิดขึ้นโดย“ เอกพลานุภาพที่ลี้ลับชองพระองค์”   นี้แล้ว คุณจะไม่เข้าใจสิ่งที่ผมอธิบายและยังหลงอยู่ในสมัย อรับก่อนรับอิสลาม   เมื่อคุณเข้าใจเรื่อง เหล่านี้ ซึ่งเป็นสัญญาณของพระเจ้า แล้ว คุณก็จะเข้าใจว่า การละหมาด สำคัญอย่างไร? อยู่ที่ เวลา หรือ จำนวนรั๊กอะหฺ หรือ อยู่ที่ความเป้นมาของมัน หรืออยู่ที่การมีศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างแทัจริง    ถ้าคุณอยากจะเรียนรุ้จากความคิดเห็นของผม  ก็ติดตามต่อไป เพราะ การละหมาด 5 เวลา ในอัลกุรอานที่ แสดงมา ก็เป็นความเห็นข้อหนึ่งในหลายๆ ความเห็นที่ต่างจากคุณ  และ ความเห็นอีก  ที่ผมคิดว่าคุณควรจะศึกษาและให้ความสนใจด้วย ก็คือ  การละหมาดนั้นพระเจ้ากำหนดไว้ 3 หรือ 5 เวลา กันแน่?         ผมเคยอ่านผ่านฮาดีษที่กล่าวถึงว่าท่านรอซุลเดินทางไปที่เมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง ผมจำไม่ได้ว่า อยู่ในบทใด ถ้าหามาได้จะนำมาให้ดู  ท่านรอซูล ละหมาด แค่ 3 เวลา คือ   ซุบฮิ, ซุฮฺริ, และ อีชา   เท่านั้น ซึ่งตรงกับอัลกุรอาน ที่กำหนดเวลาการละหมาด และออกชื่อไว้โดยตรง ซึ่งผมจะอธิบายเหตุผลให้ฟัง  นี่คือ สาเหตุที่ผม ขึ้นต้นกระทู้นี้  ด้วยหัวข้อว่า,   “คุยกับ คุณCarroth เรื่องการละหมาด 3- 5 เวลาของมุสลิม”  ทั้งนี้ เพื่อจะดูว่าคุณจะสนใจในเรื่อง ของการละหมาด 3 เวลาหรือไม่ ซึ่งมีบัญญัติไว้ในอัลกุรอ่านโดยตรง จากคุณ : แมทท์ - [ 18 มิ.ย. 52 16:09:31 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ผมบอกแล้วผมไม่ได้คาดหวังอะไรกับคนอย่างแมทท์หลอกครับเพราะผมไม่อยากผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับความหน้าด้านหน้าทน และไร้ยางอายของแมทท์ เอาแค่เรื่องเวลาละหมาดเรื่องเดียว แมทท์ยังไม่มีปัญญาตอบมาเป็นปีปี แล้วผมจะคาดหวังกับคนอย่างคุณไปทำไม แต่ที่ผมมาดู มาเช็คก็เพื่อให้ทุกคน ได้ทราบว่า คนอย่างแมทท์ ไม่ได้มีคุณค่าทางวิชาการอะไรเลย มั่วแล้วก็มั่วอีก ทำตัวประหนึ่งผู้รู้ ตีความกุรอ่านเอง แต่ปรากฎว่า จริงๆแล้ว แมทท์ไม่ได้มีความรู้อะไรเลย ดีแต่ก๊อบข้อความจากเว็บโจมตีอิสลามมาลงก็เท่านั้น ดูตัวอย่างเรื่องที่แมทท์ตอบเกี่ยวกับเวลาละหมาดก็ได้ แมทท์ก็ตอบแบบเดิมมาตั้งแต่ปีที่แล้ว และก็ปรากฎว่า คำตอบนั้นมันก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอนะครับ แต่เป็นการสรุปดื้อๆ ตามใจโดยไม่มีที่มาที่ไปอีกต่างหาก เช่นเรื่อง โองการนี้ พวกเจ้าจงรักษาบรรดาละหมาดไว้ และละหมาดที่อยู่กึ่งกลาง(*1*) และจงยืนละหมาดเพื่ออัลลอฮ์โดยนอบน้อม แมทท์ก็บอกดื้อๆไปเลยว่า บรรดาละหมาดนั้น คือมากกว่าสอง แต่เป็นเลขคู่เพราะมีกึ่งกลางด้วย จึงเป็น 4 บวกกับละหมาดช่วงกึ่งกลางอีกเป็น 5 ทั้งๆที่ มากกว่า และเป็นเลขคู่นั้น มีตั้งแต่ 4 6 8 10 แต่แมทท์สรุปเองว่า 4 โดยไม่มีสาเหตุ พอโดนซักเข้าก็เงียบ แถมาเรื่อง เมียะรอจเพื่อเอาตัวรอดอีกตามเคย ดังนั้นผมไม่สนใจว่าคุณจะเห้นด้วยหรือไม่กับการเหตุการณ์ อิสรอเมียะรอจ เพราะมุสลิมในนี้เขารู้เช่นเห็นชาติ ถึงสั น ดาน คุณกันหมดแล้ว เพียงแต่ ต้องจี้ให้รู้กันไปว่า ถ้าไม่เอาฮะดีษ ปฏิเสธ การอิสรอเมียะรอจนั้น จะเรียกว่ามุสลิมไม่ได้ และตอบเรื่อง ละหมาด 5 เวลาไม่ได้ด้วย และที่สำคัญ แมทท์จอมโกหก ก็ได้แสดงความเขลาด้วยการกล่าว ละหมาด 5 เวลาเป้นที่คุ้นเคยมาก่อนสมัยท่านรอซูลทั้งๆที่ ในสมัยท่านรอซูลเอง ก็มีละหมาดที่เป็นภาคบังคับอย่างนึงถูกใช้ให้กระทำ โดยที่ละหมาดเวลานั้นไม่ตรงกับละหมาด 5 เวลาที่เรารู้จักด้วย ส่วนเวลา 7-8-9-10-11 ที่ผมยกมานั้น ก็มาจาก กุรอ่านที่แมทท์อ้างเองนั่นแหละครับ ว่า พวกเจ้าจงรักษาบรรดาละหมาดไว้ และละหมาดที่อยู่กึ่งกลาง(*1*) ... ซึ่งผมก็ได้ยกตัวอย่างบรรดาเวลาต่างๆ ที่มีกล่าวไว้ในกุรอ่านมาให้อ่านกันแล้วนะครับ ดังนั้น เมื่อแมทท์สรุปเอาเองตามใจว่า เวลาต่างๆ เหล่านั้น ไม่ได้หมายถึงการละหมาดเสมอไป ผมก็จะแสดงให้เป็นตัวอย่างว่า ถ้ามีคนแย้งว่าเวลาเหล่านั้นแหละ เป็นเวลาที่ถูกระบุจาก กุรอ่านโองการ 2:238 มุสลิมก็จะมีละหมาด 7-8-9-10-11 ทันที นี่แหละครับว่า ถ้าไม่ยอมตามแบบอย่างท่านรอซูล ถ้าปฏิเสธฮะดีษผลลัพท์มันก็จะมั่วแบบนี้ จากคุณ : Carroth - [ 18 มิ.ย. 52 21:24:10 ]

ความคิดเห็นที่ 29 แมทท์บอกว่า จากฮาดีษข้างบนนี้ คือประวัติของการละหมาด 5 เวลา ในสมัย ท่านรอซูลตามความศรัทธาของคุณ....แต่คุณไม่ทราบว่าก่อนที่ท่านรอซูลจะไปพบ กับพระเจ้านั้น ท่านรอซูลทำละหมาดหรือไม่? และท่านทำอย่างไร? และใครสอนท่าน?   ผมคิดว่าคุณมีคำตอบให้ผมในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เรื่องนี้ ไม่เพียงผมจะมีคำตอบเฉยๆ แต่ผมตอบไปตั้งนานแล้วครับ แต่แมทท์ไม่ยอมอ่านเอง หากวิเคราะห์จากประวัติการละหมาดในยุคเริ่มต้นของอิสลามนั้น นักประวัติศาสตร์อิสลามบางส่วน  ได้กล่าวว่า  “การใช้ให้ละหมาดและทำการอาบน้ำละหมาดนั้น  เกิดขึ้นในช่วงเวลาได้ลงมาหาท่านร่อซูลุลลอฮ์  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  เพื่อแจ้งข่าวว่า  อัลเลาะฮ์ทรงเลือกท่านให้เป็นศาสนทูตแห่งมวลมนุษย์ชาติทั้งหมด  และถูกส่งมายังญินและมนุษย์  และนักประวัติศาสตร์ได้กล่าวว่า  แท้จริงญิบรีลได้ทำการสอนท่านร่อซูลุลลอฮ์  กับเรื่องการอาบน้ำละหมาดและการละหมาด  ดังนั้นญิบรีบจึงทำการอาบน้ำละหมาด  และท่านร่อซูลก็ทำการอาบน้ำละหมาดพร้อมกับญิบรีล  หลังจากนั้นญิบรีลก็ทำการละหมาดและท่านร่อซูลก็ทำการละหมาดพร้อมกับญิบรีล  ขณะที่วะฮีได้หายไป  ท่านร่อซูลก็ไปหาท่านหญิงค่อดีญะฮ์  และทำการสอนนางให้ทำการอาบน้ำละหมาดตามที่ได้เรียนมาจากญิบรีล  และได้ทำการละหมาดพร้อมกับนาง  เหมือนกับการละหมาดที่ท่านร่อซูลได้ละหมาดพร้อมกับญิบรีล" (ซีเราะห์อิบนุฮิชาม 1/155 , อัซซีเราะฮ์อัลฮะละบียะฮ์ 1/252 , ตารีค อัลกามิล ของอิบนุอะษีร 2/22 , ตารีค อัฏฏ่อบะรีย์ 2 /304) จากประวัติศาสตร์ตรงนี้  ปรากฏว่าท่านญิบรีลได้สอนการอาบน้ำละหมาดและวิธีการละหมาดแบบ 2 ร่อกะอัต  และหลังจากอิสรออฺแล้วท่านญิบรีลก็ลงมาสอนการละหมาด 5 เวลาแบบสอง , สาม , และสี่ ร่อกะอัต  ดังนั้นการละหมาดก่อนอิสรออฺก็คือวิธีการละหมาดที่เราทราบกันดีนั่นเองครับ จากกระทู้ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/02/Y7541721/Y7541721.html แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 52 21:29:24 จากคุณ : Carroth - [ 18 มิ.ย. 52 21:29:03 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ผมบอกแล้วนะครับ ถ้าคุณขี้ขลาดตาขาว เกินกว่าที่จะสนทนาวิชาการให้มันจบสิ้น และสรุปประเด็นได้แล้วล่ะก็ อย่าตั้งกระทู้ประจานตัวเองจะดีกว่า แต่คุณคงชินกับการทำให้ตัวเองอับอายครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วสินะครับ ถ้างั้นคุณจะประจานตัวเองต่อไปมันก็เรื่องของคุณ เพราะถึงอย่างไร อิสลามก็ไม่ใช่ศาสนากระจอกๆ ที่จะให้คนไม่มีความรู้ คนเขลา แต่มีนิสัยหน้าไหว้หลังหลอก มาบิดเบือนตามใจ โดยอ้างว่า เป็นความแตกต่างในแง่การปฏิบัติศาสนกิจ หรือ เปรียบกับกับการขี่อูรไปทำงานกับขับรถไปทำงานหรอกนะครับ เรื่องนี้ ไม่มีคำว่า แล้วแต่จะพิจารณา ไม่มีคำว่า หาคนผิดคนถูกไม่ได้ เพราะเรื่องนี้มีหลักฐาน ทางศาสนามาเป็นตัวกำหนดอยู่แล้ว ดังนั้นคุณไม่ต้องมาเฉไฉบ่ายเบี่ยงว่าคุณ ว่าคุณศรัทธาอะไรแบบไหน เพราะการกระทำของคุณมันบอกตัวตนของคุณอยู่แล้ว คำพูดที่ปั้นแต่งมาให้ดูยาวๆ และเหมือนจะคัดกรองมาอย่างดี มันก็แค่คำตลบแตลงเท่านั้นเองเมื่อเทียบกับพฤติกรรมเลวทรามที่ผ่านมาของคุณ เพราะมุสลิม เราจำนนต่อพระเจ้าอยู่แล้ว และรับรู้ถึงความมหัศจรรย์ของกุรอ่านอยู่แล้ว มันผู้ใดบอกว่า ท่านศาสดาออกบัญญัติกฎเกณฑ์ ขึ้นมาเป็นรูปเล่ม เอง แล้วล่ะก็มันผู้นั้น ก็ไม่ใช่มุสลิมอยู่แล้ว ไม่มีการอลุ่มอล่วย หรืออ้างว่าไม่มีผิดไม่มีถูกหรอกครับ และอย่ามากลบเกลื่อนความขี้ขลาดตาขาวและปอดแหกของคุณด้วยการบอกว่า ไม่อยากฟันธง เพราะกลัวจะไปกระทบจิตใจใคร หรือเกรงใจคนคนไหนอยู่ เพราะคนอย่างคุณถ้าสบโอกาสแล้ว คำพูดที่หยาบช้า สามานย์ และสกปรกโสมม มันก็พร้อมจะออกมาอยู่แล้ว ดังนั้นคำว่าเกรงใจ มันเอามาไว้บังหน้า คนอย่างคุณไม่ได้หรอกนะครับ ใครใครเขาก็รู้กันหมดนั่นแหละครับ ว่าคนอย่างคุณ ถ้าไม่แตะประเด็นไปไม่ใช่เพราะเกรงใจใคร แต่เพราะไม่มีปัญญาต่างหากล่ะ มันก็แค่นั้นเอง จากคุณ : Carroth - [ 18 มิ.ย. 52 21:41:03 ]

ความคิดเห็นที่ 31 มาดูสิครับ คนที่พิมพ์อะไร สามานย์และเลวทรามแบบนี้ มันจะมาอ้างเรื่องความเกรงใจ? เห้อ หนา จริงๆ นะครับ คนแบบนี้จริงๆ ทั้งหน้าและกระโหลก หนาสุดๆ จากคุณ : Carroth - [ 18 มิ.ย. 52 21:43:15 ]

ความคิดเห็นที่ 32 มาถึงประเด็นนี้ เพื่อไม่ให้ แมทท์พาออกนอกประเด็นเพื่อเอาตัวรอด ประเด็นคือ แมทท์ชอบทำตัวเป็นผู้รู้ตีความกุรอ่านไปอย่างนั้นอย่างนี้ แต่อยู่มาวันนึงแมทท์กลับกล่าว่า ละหมาด 5 เวลา เป็นที่คุ้นเคยมาก่อนสมัยท่านนบีมุฮัมมัด ทั้งๆที่ ไม่ใช่แค่ก่อนสมัยท่านนบีมุฮัมมัด แม้แต่ในสมัยต้นๆที่ท่านนบีได้รับการแต่งตั้งนั้น ละหมาดภาค บังคับก็ไม่ใช่ 5 เวลาแบบที่เรารู้จักด้วย แสดงถึงความเขลา ความไม่รู้ของแมทท์ แต่กลับไม่เจียมตัว มาแสดงตัวว่าจะตีความกุรอ่านเอง ทั้งๆที่เรื่องสำคัญสุดๆ แบบเรื่องละหมาดในกุรอ่าน แมทท์ยังมั่วเลย ดังนั้นไม่ต้องมาอ้างหรือเบี่ยงประเด็นให้ผมใช้หลักธรรมชาติวิทยา อะไรของคุณหรอกครับ เพราะถ้าคุณมีปัญญาจริงๆ คุณคงไม่ปล่อยไก่ยกเล้าโดยบอกว่า ละหมาด 5 เวลาเป็นที่คุ้นเคยมาก่อนสมัยท่านศาสดามุฮัมมัดหรอกครับ และถ้าคุณมีปัญญามีหลักฐานเรื่องละหมาดจริงๆ ก็แค่ยก กุรอ่าน บทที่บอกว่าละหมาด มี 5 เวลา ไม่ใช้ 7 - 9 - 11 มาก็พอแล้วล่ะครับ เพราะกุรอ่านก็มีอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวกับธรรมชาติวิทยา ไม่ได้เกี่ยวกับ ใครหลงอะไรกับอรับสมัยก่อนหรอกครับ แต่ที่คุณไม่ตอบ นั่นเพราะตัวคุณเอง ไม่มีหลักการเหตุผล และหลักฐานเพียงพอไงล่ะครับ คุณถึงต้องอ้างนั่นอ้างนี่เอาตัวรอดไปวันๆ จากคุณ : Carroth - [ 18 มิ.ย. 52 21:54:56 ]

ความคิดเห็นที่ 33 อันนี้เรื่อง เวลาละหมดที่คิดว่า อาจจะทำให้คนเข้าใจผิดว่า ละหมาด มี 3 เวลา จากอิบนิอับบาสกล่าวว่า : แท้จริงท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้ทำนมาซที่เมืองมะดีนะฮ์ 7 ร่อกะอะฮ์และ8ร่อกะอะฮ์ (คือรวมมัฆริบกับอีชา และ8คือรวมซุอ์ริกับอัศริ)  หนังสือซอฮี๊ห์มุสลิมเล่ม 1 หน้า490-492 ซึ่งนี่ก็ไม่มีใครบอกว่าละหมาดมี 3 เวลา เพราะถ้าชีิอะห์จะละหมาด ก็หมายถึงรวมเวลา เน้นว่ารวมนะครับ ไม่ใช่ ละหมาดแค่ ซุบฮิ ดุฮริ และอิชา ที่สำคัญ เรื่องนี้ มันก็ไม่ได้ช่วยทำให้คุณ รอดพ้นจากการเป็นตัวกลับกลอก และคนเขลาไปได้ เพราะคุณบอกว่าเองว่า ละหมาด 5 เวลา เป็นที่คุ้นเคยมาก่อนสมัยท่านนบีมุฮัมมัด แ่ต่วันนี้ดันมาบอกว่า ละหมาด ในกุรอ่านบอกไว้ 3 เวลา แล้วไหนล่ะครับ ที่บอกว่า ละหมาด 5 เวลาเป็นที่คุ้นเคย มาก่อนสมัยท่านนบีมุูฮัมมัด? จากคุณ : Carroth - [ 18 มิ.ย. 52 22:09:30 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ส่วนเรื่องที่บอกว่า การที่ท่านนบีมุฮัมมัดเรียนละหมาดจาก ญิบรออีลง่ายไปนั้น คำว่าง่ายไปมันไม่ใช่เหตุผลที่ มาบอกว่า ไม่จริงนะครับ แต่มันเป็นข้อแก้ตัวเพื่อที่จะดิสเครดิตอิสลามและโจมตีอิสลามก็เท่านั้น เพราะในความเป็นจริงแล้ว การอ้างว่า ละหมาดที่มุสลิมทำกัน 5 เวลา รวมถึงท่วงท่าต่างๆ นั้น มีมาตั้งแต่สมัย นบีอิบรอฮีม หรืออับราฮํม นั้นน่ะ เป็นการอ้างที่ไม่สมเหตุสมผล เนื่องจากในปัจจุบันไม่มียิวหรือคริสต์ คนไหนที่ละหมาดแบบมุสลิมนะครับ ถ้ามีบอกด้วย และอย่าว่าแต่ เหมือนมุสลิม เพราะทั้งยิวและคริสต์ก็ทำการนมัสการพระเจ้าต่างกันด้วย และถ้าการละหมาด 5 เวลาแบบที่มุสลิมทำนี้ มีมาตั้งแต่ก่อนสมัยท่านนบีมุฮัมมัด แล้วทำไม ทั้ง 3 ศาสนา ทำไม่เหมือนกัน ทั้งที่ๆ สืบทอดมาจากจุดเดียวกัน? ซึ่งจำนวนเวลาละหมาด รอบการละหมาดในแต่ละ เวลา มุสลิมทำเหมือนกันหมดนะครับ แต่ทำไมต่างกับยิวและคริสต์ได้ แสดงว่า การละหมาดนั้น มีการมาสอนใหม่ในแต่ละยุคแต่ละสมัยมากกว่าที่จะสืบทอดกันมาตั้งแต่ แรก ตั้งแต่บรรพบุรุษ ถ้าจะอ้างว่า ยุคสมัยต่างกัน ก็เลยทำให้ เพี้ยนไปหรือทำต่างกันไป แต่ยุคระหว่างท่านนบีอีซา และท่านนบีมุฮัมมัดนั้น ห่างกัน 500 กว่าปีเท่านั้นถ้าจำไม่ผิดแล้วทำไมถึงต่างกันขนาดนั้น (ขนาดไหนมีคลิปให้ดูจากยูทูบ) แต่อิสลามสืบทอดมา 1400 กว่าปี จำนวนรอบในการละหมาดก็ยังเหมือนกันอยู่ ไม่ได้เพี้ยนไม่ได้ต่างกัน เหมือนสมัยระหว่างยุคสมัยของ นบีอีซาและท่านนบีมุฮัมมัดที่ต่างกันไปมาก และถ้าอ้างว่า การละหมาดเพี้ยนไปเพราะถูกคนบิดเบือนไป ถ้าเช่นนั้นยุคก่อนสมัยท่านนบีมุฮัมมัดพวกอาหรับยิ่งป่าเถื่อนสุดๆ ศาสนาแทบไม่มี นี่ยิ่งไม่เสี่ยงต่อการบิดเบือน วิธีการละหมาดหนักเข้าไปอีกหรือ? แต่แล้วทำไมถึงตกทอดมาถึงปัจจุบันโดยไม่ถูกบิดเบือน ทั้งๆที่สังคมอาหรับสมัยก่อนท่านนบีมุฮัมมัดนั้น ป่าเืถื่อนสุดยอดเลย สรุปแล้วการที่แมทท์ บอกว่าละหมาด 5 เวลา แบบที่มุสลิมทำกันอยู่ในปัจจุบัน จะสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ หรือเป็นที่คุ้นเคยมาตั้งแต่แรกแล้วก่อนยุคสมัยของท่านบีมุฮัมมัด จึงมีน้ำหนักน้อยกว่า กรณีที่ญิบรออีลมาสอนแน่นอนเพราะน่าจะถือเป็นเรื่องปกติ ที่ นบีต่างๆ จะมีการอัศจรรย์ ดังนั้นการเรียนละหมาดกับญิบรออีล จึงไม่ใช่เรื่องที่ที่ผิดปกติ จากคุณ : Carroth - [ 18 มิ.ย. 52 22:31:50 ]

ความคิดเห็นที่ 35 นี่คือการละหมาด ของยิวนะครับ (น่าจะนะ ดูจากหมวก) และมุสลิมไม่ได้ละหมาดแบบนี้ ไม่ใช่หรือครับ (ถ้ามีบอกผมด้วยนะอยากรู้) http://www.youtube.com/watch?v=0aHWASyMjwg&feature=player_embedded จากคุณ : Carroth - [ 18 มิ.ย. 52 22:32:55 ]

ความคิดเห็นที่ 36 และอันนี้ก็ของคริสต์ ผมก็ไม่เคยมุสลิมละหมาดแบบนี้เหมือนกัน จากคุณ : Carroth - [ 18 มิ.ย. 52 22:33:44 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เพราะงั้นใครบอกว่า ละหมาด 5 เวลาเป็นที่คุ้นเคยมาตั้งแต่สมัยก่อนท่านนบีมุฮัมมัดแล้วล่ะก็ คิดเอาเองนะคว่า เขาเป็นคนยังไง จากคุณ : Carroth - [ 18 มิ.ย. 52 22:34:23 ]

ความคิดเห็นที่ 38 รอว่า คุณ : แมทท์ จะสาดกลับยังงัย หลายวันเงียบไป... ท่าจะหนีไปอีกแหล่ว... จากคุณ : เต๋านีโอ - [ 26 มิ.ย. 52 11:04:25 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ไม่หนีก็ไม่ใช่แมทท์สิครับ หนีมา 5-6 ปี แล้ว หนีอีกซักกระทู้จะเป็นไรไป? จากคุณ : Carroth - [ 2 ก.ค. 52 21:29:35 ]