มีบางท่านยังไม่เข้าใจในเรื่องของการดูจิต เพราะคิดว่าการดูจิตไม่ใช่เป็นการใช้สัมมาสมาธิ
ในการทำวิปัสสนา จนวิจารณ์และหมิ่นเหม่ธรรมะ ผมจึงใคร่ขออธิบาย แต่ก่อนอื่นขอเรียน
ไว้ก่อนว่าที่ผมมาอธิบายนี้ มิใช่แค่เป็นการปกป้องครูบาอาจารย์ หากแต่เป็นการปกป้อง
พระธรรม กล่วคือ ผมไม่ได้ออกมาอธิบายเพื่อปกป้องหลวงพ่อ หรือธรรมของหลวงพ่อ
หากแต่ออกมาปกป้องธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะหลวงพ่อย้ำเสมอในทำนองที่ว่า
นี่ไม่ใช่ธรรมะของท่านที่ท่านค้นพบ หากแต่เป็นธรรมของพระพุทธเจ้า ดังนั้นขอให้เปิดใจพิจารณา
อนึ่งผมเป็นเพียงศิษย์ปลายแถวของท่าน จึงขออธิบายแบบง่ายๆ ตามที่ตนเองได้ฟัง
จากครูบาอาจารย์และการภาวนาอันอ่อนหัดของตนเอง
กรณีของสมาธินำปัญญา ซึ่งเป็นวิธีที่พระป่าโดยส่วนใหญ่ท่านใช้นั้น
ขั้นแรก ท่านจะฝึกฝนในการสร้างสัมมาสมาธิเสียก่อน โดยเริ่มจาก
การทำสมถะให้จิตจดจ่อกับอารมณ์ใดอารณ์หนึ่ง จนเมื่อมีการพัฒนาของ
สมาธิจนถึงทุติยฌานขึ้นไป และมีจิตผู้รู้หรือธรรมเอกบังเกิดขึ้น สมบูรณ์พร้อมด้วย
สัมมาสมาธิ
ขั้นที่สอง ท่านจึงนำจิตผู้รู้มาเจริญวิปัสสนาตามรู้กาย ตามรู้ใจ เพื่อให้เห็นตามความ
เป็นจริง บางท่านครูบาอาจารย์จะแนะนำให้คิดและพิจารณานำ ทั้งนี้เพื่อให้จิต
ทำงานและเห็นการแส่ส่ายหรือเข้าไปในอารมณ์ต่างๆของจิต หรือบางท่านก็ใช้จิต
ผู้รู้มาพิจารณากายหรือเวทนา ดังที่มีศัพท์ว่า แยกกายออกจากจิต หรือแยกเวทนา
ออกจากจิต เคยได้ยินมาว่าครูบาอาจารย์บางท่านใจเด็ดมาก นั่งสมาธิเพื่อดูเวทนา
แยกออกจากจิตซึ่งถือว่าต้องใช้กำลังของสมาธิสูงและมีขันติสูงด้วย เมื่อนักภาวนา
ใช้ผู้รู้เจริญวิปัสสนา จะเห็น กาย, เวทนา, ธรรมารมณ์ เป็นส่วนหนึ่ง และมีผู้รู้แยกอยู่
ส่วนหนึ่ง และจะเห็นการเกิดดับสลับกันไปของรูปและนาม ดังที่หลวงตามหาบัวท่านเคย
ทำนองที่กล่าวว่า การภาวนาแท้จริงแล้วแค่ยิบๆยับๆ ก็เพราะหลวงตาท่านเห็นการเกิด
ดับอยู่เนืองๆนั่นเอง ซึ่งเมื่อผู้ปฎิบัติมีจิตผู้รู้มาเจริญวิปัสสนาต่อแล้ว ถ้ามีครูบาอาจารย์ก็
จะได้รับการชี้แนะต่อๆไปจนถึงขั้นท้ายสุดที่ให้ปล่อยวางแม้แต่ตัวจิตผู้รู้
กรณีของสมาธินำปัญญานั้น ต้องเป็นผู้ที่ชำนาญในงานสมาธิจริงๆ โดยส่วนใหญ่จะ
เป็นพระป่า เพราะเนื่องจากท่านเหล่านั้นอยู่ในสถานที่สัปปายะ อีกทั้งเวลาเอื้ออำนวย
ให้สามารถฝึกฝนสมาธิได้แทบทั้งวัน เพราะไม่มีกิจทางโลกที่ต้องขวนขวายหาเลี้ยงตน
เองและครอบครัวแบบฆราวาส แต่ก็มีฆราวาสที่เก่งขนาดทำสมาธิในชั้นของอัปปนาสมาธิ
ได้จริงๆก็มี แต่หาได้ยากเพราะความไม่เอื้ออำนวยของเวลาและสถานที่
กรณีปัญญานำสมาธิหรือสุขวิปัสสโกหรือการดูจิต ซึ่งเป็นอีกวิธีที่เหมาะสำหรับ
คนเมืองที่ไม่สามารถทำสมาธิได้เพราะเนื่องจากข้อจำกัดหลายอย่าง ดังนั้นจึงต้อง
พึ่งขนิกสมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิเช่นกัน มาใช้ในการทำวิปัสสนา แต่อย่างไรก็ตามก็จะ
เหมือนกับกรณีของสมาธินำปัญญากล่าวคือ ต้องใช้จิตที่มีคุณภาพ ซึ่งมีสัมมาสมาธิใน
การเจริญวิปัสสนา เช่นกัน
ขั้นแรก ท่านจะสอนให้นักภาวนารู้จักกับความรู้สึกตัว หรือสภาวะตื่นรู้ซึ่งที่เกิดจากการ
ที่จิตพร้อมด้วย สติ + สัมปชัญญะ + สัมมาสมาธิ (ที่เป็นขนิกสมาธิ) แต่การที่จะ
ให้เกิดความรู้สึกตัวหรือจิตที่รู้ตื่นเบิกบานได้นั้น เราไม่สามารถสร้างได้ แต่เราทำ
เหตุใกล้ให้เกิดได้ คือการเฉลียวใจระลึกรู้ถึงสภาวะธรรมต่างๆที่เกิดขึ้นไม่ว่ากาย
หรือใจ โดยจะเป็นการเกิดขึ้นทีละขณะๆ จะแตกต่างจากกรณีสมาธินำปัญญาที่มี
จิตผู้รู้อันเกิดจากทุติฌานที่จะมีตั้งมั่นความยาวนานกว่า จุดสำคัญของจิตที่รู้ตื่นนั้นจะ
ต้องเกิดขึ้นโดยธรรมชาติและไม่อยู่ใต้ความจงใจปฏิบัติ (ซึ่งถือว่าเป็นตัณหาอยากดีประเภทนึง)
เพราะถ้าหากอยู่ภายใต้การจงใจอยากดีอันเป็นกิเลสฝ่ายดีแล้ว จิตจะเป็นจิตที่สมบูรณ์พร้อมด้วย
สัมมาสติ + สัมปชัญญ + สัมมาสมาธิได้อย่างไร ถ้านักภาวนาสังเกตุได้จริงๆจะพบว่าจิตที่
รู้ตื่นเบิกบานนั้น มีความสว่าง เบา สบาย และเป็นกุศลอย่างแท้จริง เพราะไม่ได้ถูกครอบงำด้วยกิเลส
และแม้กระทั่งกิเลสฝ่ายดี
อย่างไรก็ตามจิตที่รู้ตื่นเบิกบานนั้นจะเกิดขึ้นทีละขณะ ตามแต่การระลึกรู้ตื่นของจิตอันเนื่องจด
จำสภาวะธรรมต่างๆได้ อาทิเช่น ตะกี้เผลอ ตะกี้โกรธ ตะกี้โลภ ตะกี้เบิกบาน เป็นต้น ด้วย
เหตุนี้หลวงพ่อจึงสอนให้เราตามรู้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในใจเรา ก็เพื่อให้จิตจดจำสิ่งเหล่านั้นได้
และเมื่อสภาวะธรรมนั้นเกิดขึ้นอีก จิตก็จะระลึกได้ตื่นขึ้นมาโดยธรรมชาติและสมบูรณ์พร้อมด้วย
สัมมาสติ + สัมปชัญญ + สัมมาสมาธิ (ขนิกสมาธิ) และหลวงพ่อย้ำเสมอทำนองที่ว่า
ไม่ให้จงใจ หรือเพ่ง เพราะหากมีสิ่งเหล่านี้แล้วจิตจะอยู่ภายใต้กิเลสฝ่ายดี คือความอยากดี
และไม่ใช่ตื่นอย่างแท้จริง
ขั้นต่อมา ท่านให้เอาจิตที่รู้ตื่นเบิกบานที่พร้อมด้วย สัมมาสติ + สัมปชัญญะ และมีขนิกสมาธิ
ที่เป็นสัมมาสมาธิซึ่งเป็นจิตที่มีคุณภาพ มาเจริญวิปัสสนาตามรู้กายใจแบบทีละขณะๆ
ซึ่งไม่ต้องใช้การคิดและพิจารณานำเลย เพราะเนื่องจากจิตของผู้ภาวนา มีการเปลี่ยนแปลง
ไปตลอดเวลาอยู่แล้ว และจะเห็นเลยว่า กายนี้ใจนี้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่สามารถ
บังคับได้ แม้กระทั่งจิตที่รู้ตื่นเบิกบานก็เกิดดับตามเหตุปัจจัย ไม่สามารถบังคับสั่งให้เกิดได้
ไม่สามารถประคองให้อยู่ยาวนานได้ ซึ่งนั่นคือการแสดงไตรลักษณ์ของจิตนั่นเอง
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ขั้นที่1 และ 2 จะสลับกันไปมาอย่างรวดเร็ว จึงมีคำพูดที่ว่า
เมื่อเวลาดูจิต จิตจะพลิกไปมาระหว่างสมถะและวิปัสสนาอยู่แล้ว การดูจิตก็เป็นการทำ
ให้เกิดสมาธิได้แม้จะเป็นขนิกสมาธิที่เกิดขึ้นทีละขณะๆสั้น แต่ถ้าเปรียบเป็นจุดไข่ปลา
คือเกิดขนิกสมาธิครั้งนึงก็เป็นจุดไข่ปลาหนึ่งจุด หากมีจุดไข่ปลาหลายๆจุดถี่ๆเข้า
ก็เปรียบได้เหมือนเป็นเส้นตรงเลยทีเดียว
ซึ่งในการสอนของหลวงพ่อนั้น บางครั้งท่านก็ไม่ได้อธิบายให้ยืดยาว เพียงเพราะถ้าอธิบาย
มากไปอาจทำให้คนเมืองที่เข้าใจศัพท์เทคนิคน้อยเกิดความสับสน ท่านจึงสอนให้ตามรู้กาย
ตามรู้ใจไปเลยเพราะเนื่องจากง่ายแล้ว หากแต่ยังให้ผลตามขั้นตอนที่1และขั้นตอนที่2 สลับไป
มาอย่างไม่ได้ตั้งใจจริงๆ จะเห็นได้ว่ามีศัพท์ว่า คนนี้ตื่นแล้ว ซึ่งก็หมายถึงมีจิตที่รู้ตื่นเบิกบาน
อันพร้อมด้วย สัมมาสติ + สัมปชัญญ + สัมมาสมาธิ เกิดขึ้นได้โดยธรรมชาติแล้ว ซึ่งจะใช้ในการ
เจริญวิปัสสนาต่อไป
ครับที่ผมอธิบายมาข้างต้นก็หวังว่าท่านที่คลางแคลงใจจะได้เข้าใจยิ่งขึ้น ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น
เป็นเรื่องที่เราจะต้องพิสูจน์ให้เกิดขึ้นด้วยตนเอง จะอาศัยเพียงการอ่านหรือจดจำคำครูบาอาจารย์มา
ก็ไม่มีประโยชน์เพราะทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ที่ผมเขียนก็คือเขียนตามความเป็นจริง
ผมเห็นความยอดเยี่ยม ของการภาวนาในระดับทีละขณะๆจริงๆ และเห็นผู้ปฎิบัติแล้วได้ผล
ที่ไม่แตกต่างจากกรณีของสมาธินำปัญญาเลย
จะว่าไปแล้วจะสมาธินำปัญญาหรือปัญญานำสมาธิ ก็แทบจะไม่แตกต่างเลย คือต้องนำจิต
ที่มีคุณภาพ ซึ่งสมบูรณ์พร้อมด้วยสัมมาสมาธิมาทำวิปัสสนาเหมือนกัน เพียงแต่อาจจะ
เป็นสมาธิคนละตัว(อัปปนาและขณิกะ)มีที่มาต่างกัน (ทุติยฌานขึ้นไปกับการรู้ตื่นเบิกบาน)
แต่ก็คือสัมมาสมาธิเหมือนกันครับ ที่สำคัญทำให้ถึงที่สุดของทุกข์ได้เช่นเดียวกันครับ ^__^
ปล.หากมีข้อตกบกพร่องหรือผิดพลาดประการใดต้องกราบขออภัยด้วย เพราะผมนั้นเป็นเพียง
ศิษย์ปลายแถวของท่าน และผมยังอ่อนหัดมากๆๆ ซึ่งอยู่ในช่วงของการพัฒนาอยู่ครับ
แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 52 06:45:54
แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 52 06:41:29
จากคุณ :
ประมุขพรรคบัวขาว
- [
19 มิ.ย. 52 06:35:11
]