|
ความคิดเห็นที่ 15 |
คห.10
คุณchaosy จะให้ผมเรียบเรียงคห.ไหนล่ะครับ? ถ้าทั้งหมด มันเยอะนา... T T ว่าแต่ การสรุปย่อพระสูตร คุณโอฯ ถนัดกว่าผมเยอะนะครับ อิอิ : )
ขอลองย่อต้นกระทู้อันหนึ่งก็แล้วกันครับ คาดว่า เป็นอันที่คุณ chaosy อยากให้แปลหรือเปล่า? -------------------------- ย่อแบบใส่ความเห็นส่วนตัวนะครับ
คือ ปริพาชกถามอนาถบิณฑิกเศรษฐีว่า ทิฏฐิของพระพุทธเจ้าหรือพระสงฆ์ทั้งหลายก็ได้เป็นอย่างไร
่ท่านเศรษฐีบอกว่า ตนไม่ทราบทิฏฐิ "ทั้งหมด" ของพระศาสดาและภิกษุ (คือ คงไปพูดแทนท่านนั้นๆ ไม่ได้) บอกได้แต่ทิฏฐิตัวเอง แต่ถ้าจะให้บอก ก็ให้ปริพาชกบอกของพวกเขาก่อน
ปริพาชกแต่ละคนก็บอกทีละคนๆ ไป โดยทั่วไปก็เป็นทิฏฐิเชิงอภิปรัชญา ทำนองว่าโลกเที่ยงหรือไม่เที่ยง เป็นต้น (ซึ่งทางพุทธถือว่า ไม่อาจถึงได้ด้วยความคิด คิดไปอาจบ้าได้)
ท่านเศรษฐีก็บอกว่า ก็ทิฏฐิทั้งหลายของพวกท่านน่ะ เกิดจากคิดไม่แยบคายบ้าง เกิดจากฟังเขาบอกบ้าง
ก็ทิฏฐิเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่เกิดเพราะมีเหตุปัจจัย(ดังสองข้อข้างต้น) สิ่งใดที่เกิดขึ้นเพราะสิ่งอื่นเป็นปัจจัย ถูกสิ่งอื่นปรุงแต่ง สิ่งนั้นย่อมต้องแปรไปไม่คงถาวร สิ่งนั้นย่อมมีลักษณะของความทนอยู่ไม่ได้
พวกท่านกำลังยึดติดในสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์อยู่นั่นเอง
ปริพาชกก็ถามย้อนว่า แล้วทิฏฐิของท่านล่ะ
ท่านเศรษฐีก็ตอบว่า สิ่งที่เกิดตั้งอยู่ดับไปเพราะปัจจัยปรุงแต่ง ย่อมไม่เที่ยง ย่อมเป็นทุกข์ เราเห็นสิ่งนั้นว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เราหรือของๆเรา
ปริพาชกก็เลยย้อนเอาว่า ก็นั่นแหละ ทิฏฐินั่นแหละ ที่ท่านยึดติดอยู่ (เหมือนกะที่ท่านว่าเราตะกี้)
ท่านเศรษฐีแก้ว่า สิ่งอันปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยงเป็นทุกข์นี้ ท่านเห็นด้วยปัญญาโดยชอบว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เราหรือของๆ เรา และท่านก็รู้วิธีอันยอดที่จะสลัดสิ่งนั้นออกได้จริง
พอมาถึงตรงนี้ ปริพาชกเหล่านั้นก็จนถ้อยคำ ------------
ความที่เหลือคือ เมื่อท่านเศรษฐีได้เล่าเรื่องนี้ให้พระพุทธเจ้าฟัง พระองค์ทรงตรัสว่าดีแล้ว ที่ข่มขี่วาทะของโมฆะบุรุษเหล่านั้นด้วยดี ถูกแก่กาล และชอบธรรม และได้บอกภิกษุทั้งหลายให้เอาอย่าง
(ด้วยดี ผมเดาว่า เพราะถกกันด้วยดี, ถูกแก่กาล ผมเดาว่า ถูกกาลเทศะ หรือถูกโอกาสถูกจังหวะ, ชอบธรรม คือ ถูกสัจจะตรงตามจริง ละมั้ง)
จากคุณ |
:
ปล่อย
|
เขียนเมื่อ |
:
14 ส.ค. 52 00:42:18
|
|
|
|
|