 |
ความคิดเห็นที่ 114 |
มาต่อกันที่คุรุเทพฮินดูค่ะ
คุรุเทพฮินดู คือ พระพรหม พระสรัสวดี และพระวิศวกรรม ที่จริงล้วนแต่เป็นที่รู้จักกันดีทั้งสามองค์ค่ะ แต่ข้อมูลทางเทววิทยาของแต่ละองค์จริงๆ ไม่ค่อยมีการเผยแพร่กันเท่าไหร่ เอาเป็นว่าเรามาดูเรื่องของแต่ละองค์กันแบบว่าไม่ผูกพันกับเทพนิยายก็แล้วกันค่ะ
พระพรหม (Brahma) เป็นคุรุเทพที่เก่าแก่ที่สุดองค์หนึ่งในอินเดียค่ะ พระองค์ปรากฏในคัมภีร์ศตปถพราหมณะ ซึ่งมีอายุประมาณ ๒,๖๐๐-๒,๘๐๐ ปีมาแล้ว ในลักษณะที่เป็นนามธรรม ไม่มีเพศ แต่เป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งต่างๆ คือเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งนั่นเองค่ะ
ซึ่งลัทธิการนับถือพระพรหมเช่นนี้ก็ยังคงสืบทอดต่อมาในคัมภีร์อุปนิษัท ซึ่งเจริญอยู่ในช่วงต้นพุทธกาลค่ะ ตามคัมภีร์ดังกล่าวระบุว่า พระพรหมทรงเป็นสารัตถะ (Essence) ของสรรพสิ่งในโลกและจักรวาล ทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากพระองค์
พระองค์จึงเป็น ปรมาตมัน หรือ จิตจักรวาล และสิ่งมีชีวิตทุกอย่างล้วนมี อาตมัน ที่แยกออกมาจากพระองค์ เป็นจิตแท้ภายในกายของสิ่งมีชีวิต ซึ่งพระพุทธเจ้าของเราก็คงจะได้ศึกษาคัมภีร์ดังกล่าวนี้เช่นกันค่ะ จึงได้ทรงคัดค้านหลักการนี้ในภายหลัง
แต่ก่อนที่จะเกิดคัมภีร์อุปนิษัทขึ้นนั้น เมื่อศาสนาพราหมณ์ที่นับถือคัมภีร์พระเวทเริ่มเสื่อมลง พระพรหมก็กลายเป็นมหาเทพ คือเป็นเทวะที่มีตัวตน เป็นเพศชาย และมีถึง ๕ พระพักตร์ค่ะ
ในช่วงนี้แหละค่ะที่มีการนับถือว่าพระองค์เป็นเทพผู้สร้างโลก โดยทรงมีความสัมพันธ์กับพระนางศตรูปา (Shatarupa) ซึ่งเป็นธิดาของพระองค์เอง ทำให้เกิดพระมนูซึ่งเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ และต่อมาฝ่ายไศวะนิกายก็แต่งเทพนิยายข่มว่าพระศิวะทรงตัดพระพักตร์หนึ่งอของพระพรหมออกไป เพราะทรงเอาแต่เฝ้าดูพระชายาอยู่ตลอดเวลา ทำให้ทรงเหลือเพียง ๔ พระพักตร์
แต่ในอีกตำราหนึ่งก็บอกว่าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นจากพระวรกายส่วนต่างๆ ทำให้ได้เป็น ๔ วรรณะที่แตกต่างกัน และพระองค์ก็เป็นผู้ลิขิตชีวิตมนุษย์ด้วย ดังที่ทราบกันอยู่ทั่วไปค่ะ
ในช่วงต้นสมัยพุทธกาลจนกระทั่งพ.ศ.๒๕๐ เนี่ย คติการนับถือบูชาพระพรหมมีอยู่ทั่วไป แต่หลังพ.ศ.๒๕๐ ศาสนาพราหมณ์ได้กลายรูปเป็นศาสนาฮินดู เกิดสองนิกายใหญ่คือนิกายไวษณพ ที่นับถือพระนารายณ์เป็นเทพสูงสุด กับนิกายไศวะ ที่นับถือพระศิวะเป็นเทพสูงสุด พระพรหมก็เลยได้รับการนับถืออยู่ในท่ามกลางสองนิกายนี้
จนในที่สุดสองนิกายนี้เจริญขึ้น ฐานะความเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งของพระองค์ รวมทั้งการเป็นองค์ปรมาตมัน ก็ถูกนำไปยกให้เป็นของพระนารายณ์ กับพระวิษณุ จนพระพรหมลดความสำคัญลง ในที่สุดแม้แต่ชายาของพระองค์ คือ พระสรัสวดี ก็ได้รับการนับถือแพร่หลายยิ่งกว่า พระพรหมจึงด้อยความสำคัญลงจนปัจจุบันนี้ กลายเป็นเทพเจ้าที่ไม่สำคัญนักในอินเดีย มีเทวาลัยขนาดใหญ่อยู่เพียงแห่งเดียวที่ริมทะเลสาบปุษกร อยู่ในแคว้นราชสถานค่ะ
คติที่นับถือพระพรหมเป็นคุรุเทพนั้น คือลัทธิที่เกิดขึ้นในช่วงปลายศาสนาพราหมณ์ คือ นับถือว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานคัมภีร์พระเวทแก่พราหมณ์ และพราหมณ์ก็ใช้เทวศาสตร์ของพระพรหมในการเพิ่มความเข้มงวดในเรื่องการแบ่งชั้นวรรณะด้วย และนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คติการบูชาพระองค์เสื่อมลงไปพร้อมกับศาสนาพราหมณ์ เพราะเมื่อศาสนาพราหมณ์เปลี่ยนเป็นศาสนาฮินดูแล้ว ไม่มีการให้ความสำคัญกับคัมภีร์พระเวทต่อไปอีกแล้วไงคะ
แต่ลัทธิที่บูชาพระองค์ ที่เมืองบุษกรทุกวันนี้ ก็ยังคงบูชาในฐานะคุรุเทพ ผู้ประทานความรู้ในทุกศาสตร์ ทุกสาขาแก่มนุษย์ ดังที่เทวรูปของพระองค์ยังคงถือคัมภีร์ ซึ่งหมายถึงพระเวท สร้อยประคำ ซึ่งหมายถึงการบำเพ็ญภาวนา หม้อน้ำ ซึ่งหมายถึงความรู้ของพราหมณ์ และ ช้อนตักเนยหยอดหม้อไฟ ซึ่งหมายถึงความรู้ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ อยู่ค่ะ
ส่วนพระพรหมที่เข้าไปมีบทบาทเกี่ยวข้องกับพุทธประวัตินั้น เป็นคนละองค์กับพระพรหมในศาสนาพราหมณ์ค่ะ คือเป็นเทวดาจำพวกหนึ่งที่สูงกว่าเทวดาทั่วไปเท่านั้นเอง และศาสนาพุทธก็ยืมคำว่า "พรหม" จากศาสนาพราหมณ์ไปใช้บัญญัติเรียกเทวดาในชั้นดังกล่าว เหมือนกับพระอินทร์ในศาสนาพราหมณ์กับศาสนาพุทธ ก็เชื่อกันว่าไม่ใช่องค์เดียวกันค่ะ เพราะพระอินทร์ของพราหมณ์นั้นกำเนิดในตะวันออกกลาง ไม่เกี่ยวกับนายมฆมาณพ
คติความเชื่อเกี่ยวกับพระพรหม เข้ามาสู่เมืองไทยพร้อมกับศาสนาฮินดู ตั้งแต่สมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖) มีหลักฐานอยู่ที่ถ้ำพระงาม อ.แก่งคอย จ.สระบุรี และเข้ามาอีกระลอกหนึ่งจากอาณาจักรขอม ในฐานะของมหาเทพองค์หนึ่งในชุดตรีมูรติค่ะ ทั้งสองคตินี้ปัจจุบันไม่มีผู้นับถือแล้ว พระพรหมที่ปรากฏในคัมภีร์ไสยศาสตร์ไทย หรือแม้แต่คัมภีร์โหราศาสตร์ เช่น พรหมชาติ รวมทั้งที่ปรากฏอยู่ตามภาพพุทธประวัติต่างๆ นั้น เป็นพระพรหมในศาสนาพุทธทั้งสิ้น คนละองค์กับคุรุเทพที่กำลังพูดถึงกันอยู่นี้ค่ะ
ท้าวมหาพรหมเอราวัณ และศาลพระพรหมทั่วเมืองไทยนั้น ก็ไม่เกี่ยวกับพระพรหมอินเดีย เป็นพระพรหมของไทยและเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธเช่นกันค่ะ ศาลพระพรหมอินเดียแท้ๆ มีอยู่ในเมืองไทยแค่แห่งเดียว คือที่วัดแขกสีลมค่ะ
แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 04:04:38
จากคุณ |
:
หนอนดาวเรือง
|
เขียนเมื่อ |
:
23 ส.ค. 52 03:57:17
|
|
|
|
 |