 |
ความคิดเห็นที่ 13 |
ตอบคุณ calliope
ไม่เสมอไปครับ อยู่ที่จริตของแต่ละคนครับ สำหรับการปฏิบัติตามหลักพุทธ(สติปัฏฐานสี่) แยกได้คร่าวๆเป็นสองแบบ (แต่ละคนก็จะจริตปนกันสองอย่างนี้ ต้องลองสังเกตตัวเองดูว่าอะไรเด่นกว่าอันไหน)
ตัณหาจริต หากเป็นพวกที่รักสวยรักงาม รักสุขรักสบาย จึงจะเหมาะกับกรรมฐานที่เกี่ยวข้องด้วยกาย ซึ่งสมควรที่จะต้องเน้นทำสมาธิก่อนครับ จนใจสงบได้ฌาน แล้วจึงค่อยเจริญสติ
ซึ่งงานการของคนสมัยก่อน ส่วนใหญ่ก็เป็นงานทำไร่ไถนา เน้นแรงกายเป็นหลัก ไม่ได้ต้องอาศัยความคิดแบบฟุ้งๆ ปล่อยใจให้มีจินตนาการมากๆเหมือนสมัยนี้ หมดงานแต่ละวัน ก็ไม่ต้องนำเรื่องงานมาคิดต่อกลับไปถึงบ้าน.. .. จึงสามารถทำสมาธิจนใจสงบได้ง่ายครับ จึงเหมาะกับกรรมฐานที่เน้นทำสมาธิก่อน
ทิฏฐิจริต แต่หากเป็นพวกที่คิดมากฟุ้งซ่านบ่อย หรือเป็นพวกนักคิด ช่างคิด (เช่น คนที่ทำงานออฟฟิศ คนเมืองที่ต้องคิด หรือแม้แต่นักเรียน นักศึกษาปัจจุบัน.. เพราะสมัยก่อน เด็กๆก็ไม่ได้เรียนหนังสือมาก ไม่ได้มีเรื่องให้ต้องครุ่นคิด ไม่ต้องแก่งแย่งแข่งขันกันขนาดทุกวันนี้ เป็นต้น) เหมาะกับการปฏิบัติแบบที่เจริญสติไปเลย เพราะต่อให้ไปนั่งทำสมาธิเป็นชั่วโมงๆ โอกาสจะใจสงบจนถึงระดับฌาน ก็เป็นได้ยาก (ส่วนการทำสมถะสมาธิ แค่พอทำไปเพียงให้จิตมีแรงเจริญสติ แต่ไม่ใช่ทำจนถึงระดับฌาน)
เรื่องจริตแต่ละคน กับการปฏิบัติสติปัฏฐาน(สมถะ+วิปัสสนา)นี้ มีระบุไว้ชัดเจนในพระไตรปิฎกครับ
(อ่อ.. เรื่องจริตที่เหมาะกับกรรมฐานสี่สิบกองที่เจาะเฉพาะแบบสมถะ ก็มีอีกต่างหากนะครับ คนละอันกัน ไม่เกี่ยวกัน ไม่ควรนำมาปนกัน)
ส่วนประเด็นถัดมา แม้เราไม่มีพระพุทธเจ้าให้ตรัสสอบถามแล้ว แต่เรามีพระไตรปิฎกไว้ให้ตรวจสอบครับ อย่าอิงเอาแต่คำสอนของอาจารย์เป็นหลักอย่างเดียว (โดยเฉพาะคำสอนของอาจารย์ที่มาจากแค่สำนักเดียวด้วยครับ)
สัมมาทิฏฐิ ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่นำมาภาวนาอะไรได้ สัมมาทิฏฐิตัวแท้ๆ จะเกิดขึ้นเมื่อเป็นพระอริยะเท่านั้น แต่หากจะค่อยๆเริ่มเดินในแนวทางที่เป็นไปเพื่อสัมมาทิฏฐิ ก็ต้องอาศัยการฟัง การอ่านให้มาก และที่สำคัญคือปฏิบัติให้เห็นจริง และที่สำคัญกว่านั้น.. สิ่งที่รับรู้นั้น ต้องลงกันได้ ตรวจสอบกันได้กับพระไตรปิฎกครับ (รายละเอียดเรื่องนี้ คงมากเกินกว่าจะสรุปในกระทู้นี้ครับ สอบถามในห้องใหญ่ น่าจะได้ข้อมูลที่ครอบคลุมและชัดเจนสมบูรณ์กว่า)
ปล. เปิดประเด็นด้วยความสุภาพเรียบร้อยแบบนี้ .. แถมยอมรับความเห็นที่แตกต่างด้วยความสุภาพเช่นกัน เช่นนี้แล้ว .. ไม่ถือว่าทำให้ใครแตกแยกหรอกครับ
และยิ่งเป็นการดีเสียอีก.. เพราะหากคุณ calliope ไม่ตั้งคำถามเสียแล้ว ไฉนเลยจะมีคนมาตอบ ผมเองก็ได้มีโอกาสตรวจสอบทบทวนตนเองไปด้วย เพราะหากมีข้อผิดพลาดใด ก็จะได้มีผู้ชี้แจงให้ได้กลับไปตรวจสอบตน
และคนที่มาอ่านก็อาจจะไม่ได้มีแค่คนลงชื่อในกระทู้ก็ได้ ซึ่งคนเหล่านั้นก็ย่อมได้ประโยชน์ไปจากกระทู้นี้ไม่มากก็น้อยครับ
อนุโมทนากับบุญในส่วนนี้ ที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ทานเช่นนี้ด้วยครับ (ธัมมัสสวนมัย, ทิฏฐุชุกัมม์ ฯลฯ) http://www.84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=บุญกิริยาวัตถุ http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=บุญกิริยาวัตถุ
แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 52 23:58:52
จากคุณ |
:
He-Who-Must-Not-Be-Named
|
เขียนเมื่อ |
:
18 ก.ย. 52 23:28:05
|
|
|
|
 |