 |
ความคิดเห็นที่ 3 |
ผมมีความเห็น ดังนี้..
ข้อ ๑. การรักษาศีล ต้องเข้าใจศีล ต้องรู้จัก "องค์ของศีล" - ถ้าสมาทานศีลโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย ประโยชน์น้อย อานิสงส์น้อย และมีโทษอันเกิดจากความไม่เข้าใจศีลอีกด้วย "สิกขาบทเหล่านั้นที่สมาทานด้วยกุศลจิตเป็นญาณวิปปยุตปราศจากความรู้ ชื่อว่าอย่างเลว" (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๔๖)
ประเด็นที่เกี่ยวเนื่องจากความเห็นของคุณหนอนดาวเรือง เกี่ยวพันกับศีล ๘ มีอยู่สองข้อ คือศีลข้อ ๗ ตอนที่๒ การตกแต่งใบหน้าร่างกาย และศีลข้อ ๔ มุสา ศีลข้อ ๔ มุสาวาทา เวรมณี (เว้นจากการพูดเท็จ) ศีลจะขาดเมื่อล่วงพร้อมด้วยองค์ ๔ คือ ๑. อะตะถัง วัตถุ - เรื่องไม่จริง ๒. วิสังวาทะนะจิตตัง - จิตคิดจะพูดให้ผิด ๓. ตัชโช วายาโม - พยายามพูดออกไป ๔. ปะรัสสะ ตะทัตถะวิชานะนะนัง - คนอื่นเข้าใจเนื้อความนั้น
ศีลข้อ ๗ ตอนที่ ๒ -มาลาคันธะ วิเลปะนะ ธาระณะ มัณฑะนะ วิภูสะนัฏฐานา เวระมณี (เว้นจากการการทัดทรงดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้ ซึ่งใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่ง) ศีลข้อนี้จะขาดต่อเมื่อล่วงพร้อมด้วยองค์ ๓ คือ ๑. มาลาทีนัง อัญญะตะระตา - เครื่องประดับตกแต่ง มีดอกไม้และของหอม เป็นต้น ๒. อนุญญาตะการะณาภาโว - ไม่มีเหตุเจ็บไข้ เป็นต้น ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต ๓. อลังกะตะภาโว - ทัดทรง ตกแต่ง เป็นต้น ด้วยจิตคิดจะประดับให้สวยงาม
ข้อ ๒. ผมขอแสดงข้อคิดเห็นส่วนตัว ซึ่งสะท้อนจากประสบการณ์ ทั้งของตนและของผู้อื่นที่ได้รู้จัก ดังนี้ว่า ศีล ๘ (คงจะมาจากคำว่า อุโบสถศีลมีองค์แปด ) มีขึ้นไม่ใช่เพียงเพื่อให้หมู่ชนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขดังศีล ๕ เท่านั้น .. แต่ศีล ๘ มีเพื่อการสำรวมระวังกายวาจาเป็นพิเศษ เพื่อยกระดับจิตใจให้ห่างจากความลุ่มหลง ความละเมอเพ้อพก และความไร้สาระ เพื่อความไม่ยินดีในความบันเทิงอันเป็นสมมติ (ละคร ภาพยนตร์ เพลงรัก นิยาย การ์ตูน ฯลฯ) .. ผู้สมาทานศีล ๘ ควรต้องปฏิบัติตนให้ควบคู่ไปกับการรักษาศีลด้วย เช่น นอนเพื่อพักผ่อนไม่ใช่เพื่อความสบาย, ตื่นแต่เช้ามืด, กินเฉพาะมื้ออาหาร, ไม่แต่งกายเพื่อความสวยงาม ระมัดระวังไม่ก้าวล่วงวจีทุจริต ๔, สำรวมในการสื่อสารกับเพศตรงข้าม ทำการงานตรงเวลา, ประกอบอาชีพเพื่อยังชีพไม่มุ่งหวังความร่ำรวย ทำวัตรสวดมนต์เช้าเย็น, เจริญภาวนา ทำกุศลเพื่อปรารภพระนิพพาน ไม่มุ่งหวังสวรรค์หรือพรหมโลกสมบัติ เหล่านี้จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เป็นผู้สมาทานศีล ๘ หรือถืออุโบสถ
ข้อ ๓. การรักษาศีล ๘ ไม่ห้ามการประกอบอาชีพ หาเลี้ยงชีพ .. ผู้สมาทานศีล ๘ ยังสามารถประกอบอาชีพได้ หากอาชีพนั้นไม่ใช่อาชีพต้องห้ามตามพุทธบัญญัติอันได้แก่ การค้าสุรา, ค้ามนุษย์, ค้ายาพิษ, ค้าอาวุธ, ค้าสัตว์มีชีวิต.. และไม่เป็นอาชีพที่การปฏิบัติงานนั้นขัดต่อข้อห้ามของศีล ๘ เช่น ต้องสัมผัสร่างกายเพศตรงข้าม (นวดแผนโบราณ) ร้องเพลง เล่นดนตรี เป็นนักแสดง มีหน้าที่ต้อนรับหรือดูแลรับรองผู้อื่น ต้องกินมื้อค่ำกับแขกเป็นประจำ เป็นพิธีกร (โดยเฉพาะผู้หญิง) ไม่อาจหลีกเลี่ยงการตกแต่งร่างกายใบหน้าเพื่อความสวยงาม ฯลฯ
การที่คุณหนอนดาวเรืองกล่าวว่า "ถือศีล ๘ แล้วเลิกทำมาหากินเลยจะดีที่สุด .. ศีล ๘ ไม่ใช่ศีลสำหรับคฤหัสถ์ที่ยังคงต้องทำมาหากิน" จึงเป็นการพูดแบบเหมารวม ซึ่งผมเห็นว่าไม่ถูกต้อง และที่กล่าวว่า "คนไทยสมัยก่อนที่เค้าถือศีล ๘ ส่วนมากก็คือคนสูงอายุ หรือไม่ก็คนรวยๆ ที่ไม่ต้องทำมาหากินแล้ว คนที่ยังต้องทำมาหากิน เค้าไม่ถือศีล ๘ หรอกค่ะ เพราะรู้ดีว่า มีอาชีพการงานมากมายที่ไม่เหมาะกับการถือศีล ๘" ผมก็เห็นว่าไม่ถูกต้อง
อาชีพการงานที่ขัดต่อการถือศีล ๘ นั้น มีดังที่ยกตัวอย่างไปบ้างแล้ว แต่อาชีพที่ถือศีล ๘ ก็ยังทำงานได้สบายๆ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย ก็มีอยู่มาก ผมขอย้ำว่า คนที่ยังต้องทำมาหากินนี่แหละครับ ถ้าได้มาถือศีล ๘ แล้วปรับตัวได้ ยิ่งท่านรักษาศีลไปนานเท่าไร ก็มีแต่จะยิ่งรักชีวิตภายใต้ศีล ๘ ขึ้นทุกวัน และการงานอาชีพของเขามีแต่จะเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นๆ ไม่มีใครมีชีวิตตกต่ำเนื่องจากการถือศีล ๘ อย่างแน่นอน ..
"ศีล ๘" นั้นรักษาได้ยากกว่าศีล ๕ ก็จริงอยู่ - แต่ศีลนั้นมีไว้เพื่อให้คนสู้ชีวิต สู้อุปสรรค สู้กับสารพัดปัญหาที่จะทำให้จิตใจหวั่นไหวว่าจะถือศีลต่อไปไม่ได้ ให้เอาชนะใจตนเองให้ได้ ขัดเกลาตนเองให้ดีขึ้น ศีลนั้นจึงจะมีความหมาย มีประโยชน์ .. "ศีล ๘" ไม่ได้มีไว้สำหรับให้คนแก่ ผู้เกษียณแล้ว รวยแล้ว ไม่ต้องทำมาหากิน อยู่กับบ้านแล้วจึงจะรักษาศีลได้รอด (นั่งเฉยๆ ศีลก็บริสุทธิ์ ว่างั้น)
แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 52 16:25:46
แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 52 09:08:15
จากคุณ |
:
ระนาดเอก
|
เขียนเมื่อ |
:
26 ก.ย. 52 07:38:40
|
|
|
|
 |