ความคิดเห็นที่ 1 หุก่มของอิสลามต่อกลุ่มอัล-กุรอานิยยูน          เป็น มติที่พ้องต้องกันของประชาชาติอิสลามว่าสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม คือหนึ่งในบรรดาหลักฐานที่ใช้นำมาอ้างในเรื่องศาสนา ฉะนั้นผู้ใดก็ตามที่ปฏิเสธสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ถือว่าเขานั้นได้หลุดพ้นจากสภาพของความเป็นมุสลิม          ชัยคฺ อับดุลลอฮฺ อัลฟะกีฮฺ ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับกลุ่มนี้ว่า          กลุ่ม อัล-กุรอานิยฺยูนคือกลุ่มที่ไม่ยึดเอาตัวบทบัญญัติของศาสนานอกจากจากอัลกุ รอานเท่านั้น และละทิ้งสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม  กลุ่มนี้คือกลุ่มที่หลุดพ้นจากศาสนาอิสลาม เนื่องจากการปฏิเสธสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และเป็นที่รับรู้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าอัลกุรอานไม่สามารถพอเพียงจากสุ นนะฮฺได้ในเรื่องการจำกัดความหมายโดยกว้างของอัลกุรอาน ดังนั้นสุนนะฮฺคือสิ่งที่มาอธิบายและขยายความอัลกุรอาน [ฟัตวาจากเว็บ อิสลามเว็บ หมายเลขฟัตวาที่ 38785] จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 52 21:46:22

ความคิดเห็นที่ 2 นิยาม          อัล-กุรฺอานิยฺยูน หรือ อะฮฺลุลกุรอาน หรือ อะฮฺลุลซิกรฺ คือกลุ่มที่ยึดหลักฐานจากคัมภีร์อัล-กุรอานเพียงอย่างเดียว และปฏิเสธบรรดาสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อย่างสิ้นเชิง การกำเนิด         การเรียกร้องเชิญชวนเพื่อให้ยึดอัล-กุรอานเพียงอย่างเดียวได้ถือกำเนิดใน ปลายศตวรรษที่ 19 ที่รัฐปัญจาบของประเทศอินเดีย  และณ รัฐนี้เช่นกันที่ลัทธินอกรีตอย่างก็อดยานีย์ได้ถือกำเนิดในปีค.ศ 1900 โดยการนำของฆุลาม อะหฺมัด            แนวคิดการปฏิเสธสุนนะฮฺได้รับการเผยแพร่ในตอนต้น โดย อัส-สัยยิด อะหฺมัด คาน และในปีค.ศ 1902 ฆุลามนะบีย์ หรือที่เป็นที่รู้จักในชื่ออัลดุลลอฮฺ จักราละวีย์ ได้สานต่อและเผยแพร่แนวคิดนี้และได้ก่อตั้งญะมาอะฮฺ อะฮฺลิซ ซิกหลังจากนั้นแนวคิดของกลุ่มนี้ก็ได้เผยแพร่ไปยังประเทศต่าง ๆ ของมุสลิม เช่น         - ประเทศอิยิปต์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มนี้อย่างมาก กลุ่มปฏิเสธสุนนะฮฺได้ถือกำเนิดในประเทศอิยิปต์สมัยมุหัมมัด อะลีย์ บาชา         - และประเทศซูดาน กล่าวกันว่าเคลื่อนไหวในนามพรรคการเมืองอัล-ญุมหูรียฺ(Republican Party) ของซูดาน จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 52 21:51:40

ความคิดเห็นที่ 3 นิยาม          อัล-กุรฺอานิยฺยูน หรือ อะฮฺลุลกุรอาน หรือ อะฮฺลุลซิกรฺ คือกลุ่มที่ยึดหลักฐานจากคัมภีร์อัล-กุรอานเพียงอย่างเดียว และปฏิเสธบรรดาสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อย่างสิ้นเชิง การกำเนิด         การเรียกร้องเชิญชวนเพื่อให้ยึดอัล-กุรอานเพียงอย่างเดียวได้ถือกำเนิดใน ปลายศตวรรษที่ 19 ที่รัฐปัญจาบของประเทศอินเดีย  และณ รัฐนี้เช่นกันที่ลัทธินอกรีตอย่างก็อดยานีย์ได้ถือกำเนิดในปีค.ศ 1900 โดยการนำของฆุลาม อะหฺมัด            แนวคิดการปฏิเสธสุนนะฮฺได้รับการเผยแพร่ในตอนต้น โดย อัส-สัยยิด อะหฺมัด คาน และในปีค.ศ 1902 ฆุลามนะบีย์ หรือที่เป็นที่รู้จักในชื่ออัลดุลลอฮฺ จักราละวีย์ ได้สานต่อและเผยแพร่แนวคิดนี้และได้ก่อตั้งญะมาอะฮฺ อะฮฺลิซ ซิกหลังจากนั้นแนวคิดของกลุ่มนี้ก็ได้เผยแพร่ไปยังประเทศต่าง ๆ ของมุสลิม เช่น         - ประเทศอิยิปต์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มนี้อย่างมาก กลุ่มปฏิเสธสุนนะฮฺได้ถือกำเนิดในประเทศอิยิปต์สมัยมุหัมมัด อะลีย์ บาชา         - และประเทศซูดาน กล่าวกันว่าเคลื่อนไหวในนามพรรคการเมืองอัล-ญุมหูรียฺ(Republican Party) ของซูดาน จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 52 21:55:09

ความคิดเห็นที่ 4 นักเคลื่อนไหวของกลุ่ม 1. อัส-สัยยิด อะหฺมัด คาน          เกิด ในปีค.ศ 1817 ที่เมืองนิวเดลี (New Delhi) เมืองหลวงของประเทศอินเดีย เขาผู้นี้ถือได้ว่าเป็นคนปูรากฐานของแนวคิดการยึดอัลกุรอานเพียงอย่างเดียว และปฏิเสธสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม  เขาได้แต่งตำรับตำราอย่างมากมาย และได้เขียนหนังสืออรรถาธิบายอัลกุรอานที่ค้านกับหลักความเชื่อที่ถูกต้อง ของศาสนาอิสลาม เช่นปฏิเสธการมีอยู่จริงของญิน ชัยฏอน และมลาอิกะฮฺ.          เขาเสียชีวิตในปีค.ศ 1897 2. อับดุลลอฮฺ จักราละวีย์          เกิด ในปีค.ศ 1830  เขาคือผู้สานแนวคิดปฏิเสธสุนนะฮฺของอัส-สัยยิด อะหฺมัด คาน และในเผยแผ่แนวคิดนี้ในอินเดีย และได้ก่อตั้งญะมาอะฮฺ อะฮฺลิซซิกรฺ วัล กุรอาน เนื่องจากแนวคิดนี้เป็นแนวคิดนอกรีตและเป็นอันตราต่อประชาชาติ อิสลาม บรรดาอุละมาอฺในประเทศอินเดียจึงได้ลงนามประณามแนวคิดของอับดุลลอฮฺ จักราวะลีย์ และหุก่มเขานั้นหลุดพ้นจากสภาพความเป็นมุสลิม. 3. อะหฺมะดุดดีน อัล-อัมรัตสรีย์          เกิดปีค.ศ 1861 เขามีความสัมพันธ์กับอัส-สัยยิด อะหฺมัด คาน และอับดุลลอฮฺ จักราละวีย์ อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์กับฆุลาม อะหฺมัด ผู้ก่อตั้งลัทธิก็อดยานีย์  และได้ก่อตั้งกลุ่มชื่อ อุมมะฮฺ มุสลิมะฮฺ พร้อมกับได้จัดทำนิตยาสารเพื่อเผยแพร่แนวคิดปฏิเสธสุนนะฮฺ 5. ฆุลาม อะหฺมัด  บัรฺวีซฺ          ได้ก่อตั้งกลุ่ม ฎุลูอฺ อัล-อิสลาม และได้จัดทำนิตยาสารชื่อ ฎุลูอฺ อัล-อิสลาม เพื่อเผยแพร่แนวคิด 6.  เตาฟีก ศิดกีย์          แพทย์ชาวอิยิปต์ 7. มะหฺมูด อบูร็อยยะฮฺ          ชาว อิยิปต์ ได้เขียนหนังสือใส่ไคล้เศาะหาบะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม นั่นคือท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ และได้แต่งหนังสืออื่น ๆ อีกมายมากที่แฝงไปด้วยแนวคิดปฏิเสธสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม 8. มุศเฏาะฟา กะลา อัลมะฮฺดะวีย์          ชาวลิเบีย  ได้แต่งหนังสืออัลบะยาน บิ อัลกุรอาน 9. อะหฺมัด ศุบหีย์ มันศูรฺ          ชาว อิยิปต์ เคยสอนที่มหาวิทยาลัยไคโร แต่ถูกไล่ออกเนื่องจากปฏิเสธสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม  ถือได้ว่าเขานั้นเป็นผู้หนึ่งที่เป็นแรงขับเคลื่อนแนวคิดนี้ในปัจจุบัน มีผลงานเขียนเผยแพร่ทางอินเตอร์มากมาย 10. เราะชาด เคาะลีฟะฮฺ          ชาวอิยิปต์ ได้อาศัยอยู่ในประเทศอเมริกาและได้สัญชาติอเมริกัน  มีความเชี่ยวชาญด้านเคมีชีวภาพ (biochemistry)  เขาได้ปฏิเสธอัลกุรอานและไม่เชื่อว่าสุนนะฮฺคือวะหฺยูมาจากอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา แต่เป็นวะหฺยูที่มาจากชัยฏอนต่างหาก. เป็นอีกบุคคล หนึ่งที่มีการเคลื่อนไหวและเผยแพร่แนวคิดนี้ และได้ก่อตั้งเว็บไซด์เพื่อเผยแพร่แนวคิด  และเป็นเจ้าของทษฎีมหัศจรรย์เลข 19 ในคัมภีร์อัลกุรอาน          เสียชีวิตเนื่องจากถูกแทงในบ้านพักของตนเมื่อปีค.ศ 1990 รัฐ อริโซน่า จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 52 21:57:50

ความคิดเห็นที่ 5 แนวคิด     -     ยึดหลักฐานจากคัมภีร์อัลกุรอานเพียงอย่างเดียว และปฏิเสธบรรดาสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อย่างสิ้นเชิง     -     อรรถาธิบายอัลกุรอานด้วยอารมณ์และสติปัญญาของตัวเอง ไม่พึงการอรรถาธิบายของอุละมาอฺตัฟซีรฺ.     -     มีแนวคิดบางประการที่คล้ายกับลัทธินอกรีตก็อดยานีย์ เช่นปฏิเสธมลาอิกะฮฺ ญิน และชัยฏอน เป็นต้น     -     ถือว่าการปฏิบัติตามสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เป็นการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ     -     ปฏิเสธบทบัญญัติในศาสนาหลาย ๆ อย่าง โดยอ้างว่าเพราะไม่มีระบุไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน เช่นปฏิเสธเรื่องหิญาบ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 52 21:59:04

ความคิดเห็นที่ 6 ศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสือ ดิรอสาต ฟิ อัล-ฟิร็อก อัล-กุรฺอานิยฺยูน โดย คอดิม หุสัยนฺ อิลาฮีย์ บัคฺช และหนังสือ ชุบุฮาต อัล-กุรฺอานิยฺยีน โดย อุษมาน อิบนุ มุอัลลิม http://www.iqraforum.com/forum/index.php?action=printpage;topic=1640.0 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 52 21:59:36

ความคิดเห็นที่ 7 ซึ่งเราจะพบว่า แนวคิดของ Login แมทท์ ไม่ได้มีอะไรใหม่ จริงๆแล้ว อาจจะไม่ได้มาจากความเข้าใจในกุรอ่าน อย่างที่ Login ดังกล่าวอ้างเป็นประจำด้วยซ้ำ เพียงแต่ไป เอาแนวคิดคนอื่นๆ มา เพื่อก่อปัญหาในกระดานสนทนา ดังนั้นหวังว่าทุกท่าน จะเข้าใจนะครับว่า ถ้ามีการตอบเรื่องของอิสลามจาก Login นี้แล้ว ก็ให้พึงทราบว่าเป็นคำตอบที่มีอัตราการคลาดเคลื่อนสูงมากจนถึงขั้นบิดเบือน และขัดกับคำสอนของอิสลาม ที่มีรากฐานจากกุรอ่าน และแบบอย่างท่านศาสดา เลยก็ได้ เมื่อพบเจอ login นี้ตอบปัญหาเกี่ยวกับอิสลามเมื่อใด ให้สงสัยไว้ก่อนว่านั่นอาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกหลักอิสลามก็ได้ ทางที่ดีควรสอบถามมุสลิมดูก่อนเพื่อนความมั่นใจนะครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 52 22:04:07

ความคิดเห็นที่ 8 "ผู้ใดก็ตามที่ปฏิเสธสุนนะฮฺของท่านนบี ถือว่าเขานั้นได้หลุดพ้นจากสภาพของความเป็นมุสลิม"... ง่ายขนาดนั้นเชียว... จากคุณ : Catwater (Catwater) เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 52 04:08:34

ความคิดเห็นที่ 9 ขนาดนั้นเลยล่ะครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 52 08:47:06

ความคิดเห็นที่ 10 เป็นมุสลิมนั้นง่ายดาย และการพ้นสภาพก็ง่ายดายเช่นเดียวกัน ดั่งที่คุณ แครอท ว่าไว้นั่นละครับ จากคุณ : ghanee.s เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 52 13:23:20

ความคิดเห็นที่ 11 สลาม แวะมาทักทายนะค่ะ คุณCarroth จากคุณ : aommee เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 52 17:21:36

ความคิดเห็นที่ 12 คุณ Catwater...ครับ... สำหรับมุสลิมแล้ว...คนที่ปฏิเสธอัลกุรอาน...ไม่ถือว่าเขาเป็นมุสลิมครับ... ในเรื่องที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ในอัลกุรอาน...แล้วใครคนใดปฏิเสธ...ก็เท่ากับว่า...ผู้นั้น...ปฏิเสธอัลกุรอาน...เช่นกันครับ... ดังนั้น...ในกรณีที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้...ในเชื่อฟังและปฏิบัติตาม...ท่านนบี (ซ.ล.)...จึงถือเป็นพระบัญญัติ...ที่ได้กำหนดไว้เช่น... หลักฐานจากพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน 2 : 32. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า พวกท่านจงเชื่อฟังอัลลอฮ์และร่อซูลเถิด แต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงชอบผู้ปฏิเสธ 3 : 53. ข้าแต่พระเจ้าของพวกข้าพระองค์พวก ข้าพระองค์ศรัทธาแล้วต่อสิ่งที่พระองค์ได้ประทานลงมา และพวกข้าพระองค์ก็ได้ปฏิบัติตาม ร่อซูลแล้ว โปรดทรงบันทึกพวกข้าพระองค์ร่วมกับบรรดาผู้ที่กล่าวปฏิญาณยืนยันทั้งหลายด้วยเถิด 3 : 132. และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา 4 : 13. เหล่านั้นแหละคือขอบเขตของอัลลอฮฺ และผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์แล้ว พระองค์ก็จะทรงให้เขาเข้าบรรดาสวนสวรรค์ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่เบื้องล่างของมัน โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวนสวรรค์เหล่านั้นตลอดกาลและนั่นคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ 4 : 14. และผู้ใดฝ่าฝืนอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์ และละเมิดขอบเขตของพระองค์แล้วไซร้ พระองค์ก็จะทรงให้เขาเข้านรก โดยที่เขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล และเขาจะได้รับการลงโทษที่ยังความอัปยศให้(แก่เขา) 4 : 59. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย  แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล  หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป  ที่สวยยิ่ง 4 : 61. และเมื่อถูกล่าวแก่พวกเขาว่า ท่านทั้งหลายจงมายังสิ่งที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมา  และยังร่อซูลเถิด  เจ้าก็ได้เห็นพวกมุนาฟิก เหล่านั้นผินหลังให้แก่เจ้าจริง ๆ 4 : 64. และเรามิได้ส่งร่อซูลคนใดมานอกจากเพื่อให้เขาได้รับการเชื่อฟังด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺเท่านั้น และแม้ว่าพวกเขานั้นขณะที่พวกเขาอธรรมแก่ตัวเอง ได้มาหาเจ้า แล้วขออภัยโทษต่ออัลออฮ์และร่อซูลก็ได้ขออภัยโทษให้แก่พวกเขาด้วยแล้วแน่นอน พวกเขาก็ย่อมพบว่าอัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ 4 : 80. ผู้ใดเชื่อฟังร่อซูล แน่นอนเขาก็เชื่อฟังอัลลอฮฺแล้ว และผู้ใดผินหลังให้ เราก็หาได้ส่งเจ้าไปในฐานะเป็นผุ้ควบคุมพวกเขาไม่ 5 : 92. และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และจงเชื่อฟังร่อซูลเถิด และพึงระมัดระวังไว้ด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าผินหลังได้ ก็พึงรู้เถิดว่าที่จริงหน้าที่ของร่อซูลของเรานั้น คือ การประกาศอันชัดเจนเท่านั้น 5 : 104. และเมื่อได้ถูกกล่าวแก่พวกเขาว่า ท่านทั้งหลายจงมาสู้สิ่งที่อัลลอฮ์ ได้ทรงประทานลงมาเถิด และมาสู่ร่อซูลด้วย พวกเขาก็กล่าวว่า เป็นการพอเพียงแก่เราแล้ว สิ่งที่เราได้พบบรรพบุรุษของเราเคยกระทำมันมาถึงแม้ได้ปรากฏว่าบรรพบุรุษของพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งใด และทั้งไม่ได้รับคำแนะนำอีกด้วยกระนั้นหรือ? 8 : 20. “บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์เถิด และจงอย่าได้ผินหลังให้แก่เขา ขณะที่พวกเจ้าฟังกันอยู่” 8 : 46. “และจงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์เถิด และจงอย่าขัดแย้งกัน จำทำให้พวกเจ้าย่อท้อ และทำให้ความเข้มแข็งของพวกเจ้าหมดไป และจงอดทนเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงอยู่กับผู้ที่อดทนทั้งหลาย” 24 : 52. และผู้ใดเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์ และเกรงกลัวอัลลอฮ์และยำเกรงพระองค์แล้ว ดังนั้น ชนเหล่านั้นพวกเขาเป็นผู้ได้รับชัยชนะ 24 : 54. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “พวกเจ้าจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลร่อซูล  หากพวกเขาผินหลังให้  แท้จริงหน้าที่ของเขา (ร่อซูล) คือสิ่งที่ได้ถูกมอบหมาย  และหน้าที่ของพวกเจ้าคือสิ่งที่ได้ถูกมอบหมายเช่นกัน  และหากพวกเจ้าเชื่อฟังปฏิบัติตามเขาแล้ว พวกเจ้าก็จะอยู่ในทางที่ถูกต้อง (ฮิดายะฮฺ) และหน้าที่ของอัลร่อซูลไม่มีอื่นใด นอกจากการเผยแพร่อันชัดแจ้ง 24 : 56. และพวกเจ้าจงดำรงละหมาด และจงบริจาคอัซซะกาฮ์ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลร่อซูล เพื่อพวกเจ้าจะได้รับควาเมตตา 33 : 36. ไม่บังควรแก่ผู้ศรัทธาชายและผู้ศรัทธาหญิง เมื่ออัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ได้กำหนดกิจการใดแล้ว สำหรับพวกเขาไม่มีทางเลือกในเรื่องของพวกเขา  และผู้ใดไม่เชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์แล้ว แน่นอนเขาได้หลงผิดอย่างชัดแจ้ง 47 : 33. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮ.และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามร่อซูลคนนี้เถิดและอย่าทำให้การงานของพวกเจ้าไร้ประโยชน์ 49 : 14. อาหรับชาวชนบทกล่าวว่า เราศรัทธาแล้ว จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่า พวกท่านยังมิได้ศรัทธา แต่จงกล่าวเถิดว่า เราเข้ารับอิสลามแล้ว เพราะการศรัทธายังมิได้เข้าสู่หัวใจของพวกท่าน  และถ้าหากพวกท่านเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์แล้ว พระองค์จะไม่ทำให้การงานของพวกท่านด้อยลงแต่ประการใด  แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ 64 : 12. และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัรร่อซูล หากพวกเจ้าผินหลังกลับ (ไม่เชื่อฟัง) ดังนั้นหน้าที่ของร่อซูลของเราก็คือการเผยแผ่อันชัดแจ้ง ดังนั้น...ในสิ่งที่ท่านรอซูลได้กระทำ...หรือ...ที่ท่านได้บอกไว้...จึงเป็นสิ่งที่มุสลิม...ควรต้องปฏิบัติตาม...เพราะ...นั่นเท่ากับว่า...เราได้เชื่อฟังและปฏิบัติตามท่านรอซูล...ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญญัติไว้ในอัลกรุอาน จากคุณ : Crescent ) เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 52 22:21:22

ความคิดเห็นที่ 13 เข้ามาอ่านกระทู้แนะนำ จากคุณ : น้องจั้ง เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 52 00:15:23

ความคิดเห็นที่ 14 โหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ จากคุณ : Kaiapoi เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 52 14:37:19

ความคิดเห็นที่ 15 การปฏิเสธหะดิษ(ซุนนะห์) ไม่ใช่สิ่งที่ทำไม่ได้ แต่ต้องขึ้นกับเหตุผลหลักสามอย่าง -  ไม่เชื่อว่าเป็นหะดิษ - ไม่เชื่อว่าหะดิษนั้นเหี่ยวข้อกับประเด็นที่ถกเถียง - เชื่อว่าหะดิษนั้นถูกยกเลิกไปแล้ว ดังนั้นผู้จะวินิจฉัยได้จึงต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ครอบคลุมเพียงพอ และมีจิตใจที่เป็นกลางในการตัดสิน เพราะเราจะโดนไซตอนช่วยเหลือให้ สามารถยกเหตุผลต่างๆมาประกอบนัฟซูตนเองได้เสมอๆ แต่เราเท่านั้นที่จะต้องเป็นผู้แบกรับและผู้ตอบในวันนั้น จึงเป็นการง่ายและปลอดภัยกว่าที่จะตามผู้ที่เชื่อถือได้ แต่ก็ไม่ใช่ตามไปเสียหมดแม้แต่อะไรที่ไม่กินกับปัญญา หรือไปละเมิดใคร ต้องระวังการติดยึดมัซฮับ หรือตัวบุคคล และก็ไม่ใช่ปฏิเสธทุกย่างที่ไม่พึงใจ จะปฏิเสธหะดิษได้ต้องยืนอยู่บนหลักทั้งสามนั้น มีผู้กล่าวว่า "มุสลิมที่แท้จริงคือผุ้ที่เป้นทาศของอัลลอฮ์เท่านั้นไม่ใช่ทาศของตนเอง" และอีกคำกล่าวหนึ่งว่า "ขอสาบานต่ออัลอฮ ฉันไม่สนใจหรอกว่า สัจธรรมหรือความถูกต้องนั้นจะมาจากฉนหรือคู่กรณีของฉัน" สุดแต่จะพิจารณาแล้วกันครับ จากคุณ : itoursab (itoursab) เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 52 13:36:13

ความคิดเห็นที่ 16 ขอทราบที่มาของคำกล่าวนั้นหน่อยนะครับ ว่าถ้าไม่เชื่อว่าเป็นฮะดีษเนี่ย ไม่เชื่อว่าฮะดีษ ซอฮีย์ เป็นฮะดีษด้วยได้หรือไม่? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 52 18:30:45

ความคิดเห็นที่ 17 คำถามที่มีคำตอบอยู่แล้วรึเล่าครับ :) จากคุณ : itoursab (itoursab) เขียนเมื่อ : 23 ต.ค. 52 18:04:54

ความคิดเห็นที่ 18 คุณสมบัติของความเป็นมุสลิม พระเจ้าได้บัญญัติไว้โดยทั่วๆไปดังนี้ Those who believe (in the Qur'an), those who follow the Jewish (scriptures), and the Sabians and the Christians,- any who believe in Allah and the Last Day, and work righteousness,- on them shall be no fear, nor shall they grieve. [Yusufali 5:69] Those who believe (in the Qur'an), and those who follow the Jewish (scriptures), and the Christians and the Sabians,- any who believe in Allah and the Last Day, and work righteousness, shall have their reward with their Lord; on them shall be no fear, nor shall they grieve. [Yusufali 2:62]     ฮาดีษที่พระเจ้าและท่านศานทูตมูฮัมมัด บังคับให้เชื่อและปฏิบัติตามคือ “อัลกุรอานเท่านั้น”     ผู้ใดที่เชื่อในบัญญํติและเข้าใจบัญญัติ และยึด "อัลกุรอานเท่านั้น" เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตประจำวัน คือผู้ ที่รัก และเชื่อฟังท่าน รอซูลมูฮัมมัด จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 52 01:30:21

ความคิดเห็นที่ 19 ผมขอความกรุณาเจ้าของกระทู้ช่วยแปลความหมายจากภาษาอรับเป้นไทย ให้สมาชิกทุกๆท่านเข้าใจอย่างชัดเจนด้วยครับ และ "ฮาดีษที่เป็นภาษาอาหรับนี้"  จัดอยู่ใน "ซอเฮ๊ยะฮาดีษหรือไม่? จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 52 01:33:22

ความคิดเห็นที่ 20 จากความเห็นที่ 10 การผ่าฝืนบัญญัติของ พระเจ้า "อัลกุรอาน" พ้นจากการเป็นมุสลิมหรือไม? ถ้าผุ้ใดฝ่าฝืน บัญญํตืในอัลกุรอาน “Say to the believing men that they should lower their gaze and guard their modesty: that will make for greater purity for them: And Allah is well acquainted with all that they do.” Yusufali 24:30] จะหลุดจากการเป็นมุสลิมหรือไม่?    ถ้าคุณกล่าวว่าเป็นความจริงแล้ว "เป็นมุสลิมนั้นง่ายดาย และการพ้นสภาพก็ง่ายดายเช่นเดียวกัน ดั่งที่คุณ แครอท ว่าไว้นั่นละครับ" ถ้าเช่นนั้นคุณก็ตกจากการเป็นมุสลิมไปแล้วเนื่องจากว่าคุณ "ฝ่าฝืนบัญญัติ 24:30  ตลอดมาทั้งปีจนถึง เดือน รอมดัน ปีนี้ หวังว่าคุณคงเข้าใจและจำได้ดี  พระองค์อัลลอฮ์ ทรงให้อภัยเสมอ   "คุณยังคงชอบมองสายเดี่ยวและหลังขาวๆของสาวอยู่หรือเปล่า?" การไม่เชื่อ "ฮาดีษที่เหลวไหล" กับ การฝ่าฝืนบัญญัติของอัลกุรอาน อย่างไหนมีโทษรุนแรงกว่ากันครับ? จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 52 01:48:35

ความคิดเห็นที่ 21 ^ ^ เหลือขอจริงๆ สัจจธรรม อยู่ที่ คคห ที่ 12 แล้ว คนกลับกลอก มักจะทำเป็นเห็นในสิ่งที่ถูกใจตัวเอง แล้วทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งที่ขัดใจตนเอง 2 : 32. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า พวกท่านจงเชื่อฟังอัลลอฮ์และร่อซูลเถิด แต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงชอบผู้ปฏิเสธ 4 : 61. และเมื่อถูกล่าวแก่พวกเขาว่า ท่านทั้งหลายจงมายังสิ่งที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมา  และยังร่อซูลเถิด  เจ้าก็ได้เห็นพวกมุนาฟิก เหล่านั้นผินหลังให้แก่เจ้าจริง ๆ ผู้ฝ่าฝืน คือผู้ที่ยอมรับในกุรอ่าน แต่ยังไม่สามารถเอาชนะตนเองทำในสิ่งที่กุรอ่านห้ามอยู่ แต่ผู้ปฏิเสธ(กาฟิร) คือผู้ ปฏิเสธสกุรอ่าน แม้เพียงอักษรเดียวนะครับ การปฏิเสธฮาดิษ เท่ากับ ปฏิเสธกุรอ่าน ใน คคห ที่ 12 โดยเฉพาะ อายะห์ทั้งสองนะครับ ผู้ปฏิเสธ(กาฟิร) กับคนกลับกลอก(มุนาฟิก) คือผู้ที่ล้มเหลวที่สุดทั้งคู่ในมุมองของ อัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ผู้ที่ฝ่าฝืน กับผู้ปฏิเสธกุรอ่าน ไครมีโทษรุนแรงมากกว่ากันครับ note: การนำข้อผิดพลาดของคนอื่นมาพูดหรือเน้นย้ำบ่อยๆ ทั้งที่เขาตั้งใจกลับตัวกลับใจแล้ว มันสะท้อนให้เห็นถึงการความบกพร่องทางด้านอารมณ์ และความบกพร่องทางด้านการอบรมจากบิดามารดา และ ครูบาอาจารย์นะครับ แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 52 05:05:23 แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 52 05:03:13 แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 52 04:46:54 จากคุณ : ghanee.s เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 52 04:46:27

ความคิดเห็นที่ 22 ท่าทางแมทท์จะสับสน ระหว่างการฝ่าฝืนกับการปฏิเสธ นะครับ หรือพยายามไม่ยอมรับว่าตัวเองทำอะไรไป มาดูกันดีกว่าว่าแมทท์ได้ทำอะไรไป แมทท์ปฏิเสธกุรอ่านครับ บอกว่ากุรอ่านมีข้่อผิดพลาด จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 52 07:21:54

ความคิดเห็นที่ 23 29:68. และใครเล่าจะอธรรมยิ่งกว่าผู้กุความเท็จให้แก่อัลลอฮ์ หรือปฏิเสธสัจธรรมเมื่อมันได้มายังเขา ที่พำนักในนรกญะฮันนัมมิใช่สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาดอกหรือ ? กุรอ่านให้ทำตามนบี แต่แมทท์บอกว่า ให้ใช้กุรอ่านเท่านั้น แบบอย่างนบีเป็นเรื่องเหลวไหล แบบนี้จะไม่เรียกว่าปฏิเสธหรือครับ ไม่เรียกกุความเท็จให้แก่อัลลอฮฺหรือครับ? กุรอ่านก็บอกชัดๆ ตาม คคห ที่ 12 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 52 07:31:19

ความคิดเห็นที่ 24 อ่านได้เลยะครับ ผมไม่ได้พูดเอง (มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิดว่า ด้วยอัลลอฮฺและบรรดาอายาตของพระองค์และร่อซูลของพระองค์กระนั้นหรือ ที่พวกเขาเย้ยหยัน พวกเจ้าอย่าได้แก้ตัวเลย แท้จริงพวกเจ้าได้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว ภายหลังจากที่พวกเจ้าได้ศรัทธากันมาก่อนแล้ว (9:65-66) อย่าแก้ตัวเลยครับ ทำอะไรไว้ อย่าคิดว่าคนอื่นไม่รู้ แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 52 07:35:31 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 52 07:34:59

ความคิดเห็นที่ 25 ผู้นำลัทธิคือใคร ที่แมทท์หมายถึง? อ่านกันได้เลยครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 52 07:36:52

ความคิดเห็นที่ 26 ผมขอให้แปลเป้นภาษาไทยเท่านั้นแหละครัย  เรื่องของผมนะทุกๆคนเขาเห็นและเข้าใจ ความเลวของผมในสายตาของคุณแล้ว  แต่เพราะเหตุใดคุณๆทั้งหลายจึงไม่กล้าแปล ฮาดีษ 2 บทนั้นเล่าครับ  และคุณๆเชื่อ ฮาดีษ 2 บทนั้นหรือไม่?    และถ้าคุณเชื่อว่าไม่เป็นความจริงแล้ว  จะมีมุสลิมที่แท้จริงเหลืออยู่ในโลกนี้กี่คน?   ผมขอเพียงเท่านี้แหละครับ ไม่มีมุสลิมผู้ใดในที่นี้ ที่มีใจ ยุติธรรมบ้างเลยหรือครับ   ผุ้ที่มีความรู้ภาษาอรับที่ สามารถที่จะแปล ฮาดีษ 2 บทนั้น เป็นภาไทย เพื่อที่ สมาชิก ไทยในศรัทธาต่างๆ จะได้เข้าใจ  ผมและ มุสลิมทั้งหลาย ว่า เรา โต้เถียงกันเรื่องอะไร? จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 52 07:45:14

ความคิดเห็นที่ 27 อ่านอีกทีนะครับ (มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิดว่า ด้วยอัลลอฮฺและบรรดาอายาตของพระองค์และร่อซูลของพระองค์กระนั้นหรือ ที่พวกเขาเย้ยหยัน พวกเจ้าอย่าได้แก้ตัวเลย แท้จริงพวกเจ้าได้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว ภายหลังจากที่พวกเจ้าได้ศรัทธากันมาก่อนแล้ว (9:65-66) จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 52 07:47:23

ความคิดเห็นที่ 28 จะเบี่ยงประเด็นไปทำไมล่ะครับ จะอ้างนั่นอ้างนี่เพื่ออะไร ก็ไม่เชื่อฮะดีษ ผมก็เอากุรอ่าน มาให้อ่านแล้วไงล่ะครับ เพราะฉะนั้นอย่ามา เบี่ยงประเด็นครับ ชัดอยู่แล้วว่า (มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิดว่า ด้วยอัลลอฮฺและบรรดาอายาตของพระองค์และร่อซูลของพระองค์กระนั้นหรือ ที่พวกเขาเย้ยหยัน พวกเจ้าอย่าได้แก้ตัวเลย แท้จริงพวกเจ้าได้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว ภายหลังจากที่พวกเจ้าได้ศรัทธากันมาก่อนแล้ว (9:65-66) จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 52 07:49:25

ความคิดเห็นที่ 29 อั้ลลอฮุอักบัร อั้ลลอฮุอักบัร อั้ลลอฮุอักบัร ชัดเจนครับคุณแครอท อั้ลลอห์นั้นรู้ในสิ่งที่อยู่ในความคิดของบรรดากาฟิร และมุนาฟิก และพระองค์ ได้ทรงโต้ตอบไว้แล้ว ในกุรอ่านที่พระองค์ทรงท้าทายไว้ว่าไม่มีข้อขัดแย้งแม้เพียงนิดเดียว จากคุณ : ghanee.s เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 52 19:30:17

ความคิดเห็นที่ 30 อ่านคราวๆ นะครับ มีคำถาม 2 ข้อ 1.กฎหรือข้อปฏิบัติเยอะมาก คนทั่วไปจะรู้หมดไหมครับ ถ้าไม่รู้แล้วเป็นไปตามหัวข้อกระทู้ จะเป็นยังไง 2.ทั้ง 2 ท่านยังมีข้อถกเถียงในเรื่องกฎหรือข้อปฏิบัติ ถ้าเอาคนที่ 3 มา แล้วตีความต่างไปอีก ไม่ทะเลาะกันตายหรือเนี่ย จากคุณ : ลำโพงเสียงแตก เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 52 20:45:15

ความคิดเห็นที่ 31 เอ่า  เคยเห็นแต่พุทธเถียงกันเรื่องถรรถกถา ตอนนี้ได้เห็นมุสลิมเถียงกันแล้ว วุ้ย จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 52 21:02:31

ความคิดเห็นที่ 32 คคหที่ 30 ถาม 1.กฎหรือข้อปฏิบัติเยอะมาก คนทั่วไปจะรู้หมดไหมครับ ถ้าไม่รู้แล้วเป็นไปตามหัวข้อกระทู้จะเป็นยังไง ตอบ พื้นฐานศาสนาอิสลามมาจาก       ก) คัมภีร์กุรอ่าน       ข) แบบฉบับท่านศาสดาที่บันทึกที่เรียกว่าฮาดิษ       ค) มติเอกฉันท์ของปวงปราช(บรรดาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ) ที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ที่วินิจฉัยตาม ข้อ ก และ ข       ง) คำวินิจฉัย ของปราช (ผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ) ที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ที่วินิจฉัยตาม ข้อ ก และ ข ไม่ว่าความคิดเห็นออกมาในทิศทางใด อย่าว่าแต่ 2 แนวทางเลย ถึงแม้เป็น 10 แนวทาง ก็ยอมรับได้ทั้งสิ้น ถ้าตั้งอยู่บนพิ้นฐานทั้ง 4 นี้ครับ ละทิ้ง ข้อใดข้อหนึ่ง ถือว่าเป็น พวกบิดเบือน คำตอบข้อนี้นั้นง่ายมาก "จงถามผู้รู้ หากเจ้าไม่รู้" ถาม 2.ทั้ง 2 ท่านยังมีข้อถกเถียงในเรื่องกฎหรือข้อปฏิบัติ ถ้าเอาคนที่ 3 มา แล้วตีความต่างไปอีกไม่ทะเลาะกันตายหรือเนี่ย ตอบ คำตอบ อยู่ในข้อหนึ่งแล้วครับ แนวทางของ จขกท นั้น ถูกต้อง และ สอดคล้องกับ แนวทางของมุสลิมส่วนใหญ่ของโลกนับตั้งแต่สมัยท่านศาสดาลงมา ส่วนแนวทางอื่นที่มิได้ตั้งอยู่บนหลักพื้นฐานทั้ง 4 นั้น จะอีกกี่แนวทางล้วนเป็นแนวทางที่หันเห และบิดเบือนทั้งสิ้น แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 52 20:27:03 จากคุณ : ghanee.s เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 52 21:45:22

ความคิดเห็นที่ 33 ไม่ใช่มุสลิมเถียงกันครับ มุสลิมเถียงกับคนกลับกลอกครับเพียงคนเดียวครับ จากคุณ : fowleres (fowleres) เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 21:11:11