ความคิดเห็นที่ 1 บัญญัติ 24:31 มีคำสั่งตามคำอธิบายของคุณดังภาพที่เห็นข้างล่างนี้ คุณอธิบายว่า: “In any case, all of these definitions clearly point to the bosom, the upper chest, or the neck and upper chest. They certainly do not mean "face" or "entire body"! ดังนั้น จะพาดมาถึง คอได้เนี่ย ไม่ใช่ถอดมาคลุมหน้าอกครับ ไม่งั้น จะเป็นผ้าพันคอแล้วล่ะครับ ไม่ใช่ KHIMAR หรือผ้าคลุมผม” ภาพนี้ถูกต้องตามคำอธิบายของคุณใช่ไหมครับ?   ซึ่งในภาพนี้ “คิมารฺ” ยังติดอยู่ บนศรีษะเช่นเดิม ไม่ได้ถูกดึง ออก หรือ ลง ตกลงมาจากศรีษะ เช่นที่คุณ เข้าใจใช่ไหมครับ?   ดังนั้นคำว่า..  "WALYADRIBNA"  หมายถึง "pull/draw together” แปลเป็นไทยว่า "ดึงรวบมารวม (ปิดทรวงอก)" แปลว่า "ดึงมารวมกัน" (ชายของผ้า“คิมารฺ”) ดังภาพที่เห็นนี้ จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 00:58:23

ความคิดเห็นที่ 2 การสวม “คิมารฺ” นั้นมีมานานแล้วก่อน อิสลามซึ่งคุณก็ทราบดี และคุณก็เข้าใจดีที่ผมอธิบาย แต่ทำไมคุณถึง แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ? แถมยัง เอาคำพูดบิดเบือนของคุณมาอ้างว่า ผมหมายความเช่นนั้น   ในบัญญัติ 24:31 ไม่มีประโยคใดเลย ที่มี คำสั่งให้ เอาผ้าจากที่ใดมาคลุมศรีษะ  แต่ มีคำสั่งว่า “ walyadribna bikhumurihinna AAala juyoobihinna”   ดังภาพ  ในความคิดเห็นที่ 1     ข้างบนนี้     เนื่องจาก มนุษย์ชาติ อยู่กันตามสภาพภูมิศาสตร์ ที่ต่างกัน  ถ้าพระเจ้าจะต้องการให้ผู้หญิงคลุมศรีษะ ไม่มีอะไรที่จะยับยั้ง พระองค์ได้  “พระองค์ก็จะบัญญัติ ออกมาว่า สตรีมุสลิมจงคลุมหัว อย่างตรงๆ” เข่นเดียวกับ มีคำสั่งใน การทำละหมาด, โดยไม่ต้องรอให้ผู้ใดมาออกคำสั่งแทนพระองค์”     แต่พระเจ้าต้องการเพียงที่จะให้สตรีมุสลิมแต่ง ตัวให้เรียบร้อยเท่านั้น และเรียบร้อยตามจรรยาธรรม ในสังคมของผู้ศรัทธา ซึ่ง มีอยู่ใน สังคมของทุกๆศาสนา ไม่เฉพาะอิสลามเท่านั้น, เพื่อมวลมนุษยชาติจะตัดสินใจเองได้ว่า เหมาะสมกับสภาพภูมิศาสตร์ ของชุมชนนั้นๆ ควรแต่งกายเช่นใด?   พระเจ้าได้วางหลักการสำหรับมุสลิมชายอยู่แล้วว่า “อย่าไปจ้อง มองสิ่งใดที่เป็นส่วนของร่างกายหญิง ที่เปิดให้เขาเห็น  และให้ควบคุมความ ใคร่ ในกามรมณ์ ลง ถ้าเห็น สตรีใดก็ตาม ไม่จำกัดว่า เป็น สตรีมุสลิม หรือไม่ก็ตาม(24:30)    แต่ทำไมชายมุสลิม จึงไม่ สนใจและปฏิบัติตาม 24:30  อย่าง เคร่งครัด เช่นการ บังคับ ให้หญิง คลุมศรีษะทั้งๆที่ไม่มีบัญญัติของพระเจ้า บัญญัติไว้ นอกจาก ในบัญญัติที่มนุษย์ ประดิษฐ์ ขึ้นมา เพื่อป้องกันการลวนลามของชาย มุสลิมด้วยกัน แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 52 01:09:49 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 00:59:56

ความคิดเห็นที่ 3 ที่ผมยกอ้าง ฮาดีษขึ้นมานั้น ก็เพื่อที่คุณจะได้ค้นคว้า จากฮาดีษ และได้ พบความจริงว่า การมีคำสั่งให้คลุมศรีษะ สตรี มุสลิม นั้น มาจาก ประเพณีอรับ ทั้งนี้ เพราะว่า “ฮาดีษ” เป็นเรื่องบอกเล่า และการปฏิบัติ ของ ประเพณีอรับ ปนกับหลักการของอิสลาม ซึ่ง ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด มีคำสั่งห้ามไว้อย่างเด็ดขาด ในการจดบันทึก อะไรก็ตามจากท่าน นอกจาก “อัลกุรอานเท่านั้น” จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 01:01:19

ความคิดเห็นที่ 4 ฮาดีษทั้งสองนี้ เป็นคำสั่ง ที่ชาวฮาดีษจะปฏิเสธไม่ได้ เพราะอยู่ใน ตำราเรียน ของพวกเขา  เมื่อเป็นเช่นนั้น เป็นเพราะเหตุใดจึงไม่เชื่อ “อะฮาดีษทั้งสองดังกล่าวแล้ว”  คือ  หลังจากคุณออกความเห็นในเรื่อง “คิมารฺ” ตอบผมแล้ว,  ช่วยกรุณา อธิบาย ฮาดีษข้างล่างนี้ด้วยว่า  มีความเท็จจิงอย่างไร  เพราะ เมื่อทราบความจริง จาก สอง ฮาดีษนี้แล้ว จะทำให้ การอธิบาย เรื่อง “คิมารฺ” ของผม  เข้าใจง่ายขึ้น จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 01:02:09

ความคิดเห็นที่ 5 แม้แต่เด้กๆ พวกเธอก็รู้เรื่องศาสนาเป็นอย่างดี ถึงแม้พวกเธอจะถูกบีบคั้น หรืออยู่ในที่ๆอยุติธรรม แต่พวกเธอมีความมั่นคงในความแท้จริง แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 52 01:50:44 จากคุณ : คนแปลกหน้าในโลกดุนยา เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 01:44:47

ความคิดเห็นที่ 6 ผมว่าคุณมีปัญหากับทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และภาษาอาหรับนั่นแหละครับ เพราะคุณบอกเองนะครับดังนี้ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 06:02:01

ความคิดเห็นที่ 7 ผมเองก็บอกไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่า เรื่องการถอดผ้าคลุมศรีษะมาเพื่อปิดหน้าอกนั้นไม่มีอยู่แล้ว และผมไม่สนใจประเด็นนั้น แต่ที่ ยกมาก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า นี่เป็นคำสั่ง ให้มีการปิดด้วยผ้าคลุมผมมาถึงหน้าอก ดังนั้น จะเป็นการอนุญาตให้เปิดศรีษะ หรือไม่เน้นที่ศรีษะไม่ได้ แต่นี่เป็นคำสั่งชัดเจน ให้คลุมศรีษะก่อน แล้วจึงค่อยดึงมาปิดที่หน้าอก ไม่อย่างนั้นแล้ว จะไม่ใช่ การใช้คิมารฺครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 06:10:04

ความคิดเห็นที่ 8 ซึ่งมันมาจากการที่ login แมทท์พยายามบิดเบือน ว่าไม่มีคำสั่งให้คลุมศรีษะในกุรอ่าน ทั้งๆที่ โองการที่ 24:31 คือคำสั่งที่ใช้ให้คลุมศรีษะ แบบเต็มๆ ถึงจะเป็นการ ดึงผ้าคลุมศรีษะ มาปิดถึง หน้าอกได้ นี่เป็นคำสั่งอยู่แล้ว แต่ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม login แมทท์ถึงพยายามบิดเบือนว่า โองการนี้ไม่ได้สั่งให้คลุม ซึ่งมันผิดทั้งหลักภาษา หลักการ เหตุผล และไม่มีผู้ที่รู้ภาษาอาหรับคนไหน บอกว่า อายะห์นี้เน้นที่อก แต่จะเปิดหรือไม่เปิดศรีษะก็ได้ ผมถึงได้ ยกตัวอย่างเรื่อง โสร่งไงครับว่า จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 06:19:34

ความคิดเห็นที่ 9 และเรื่องนี้ ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับภูมิศาสตร์นะครับ เพราะอิสลามไม่ใช่ศาสนาที่ประทานลงเมื่อให้กับชาวอาหรับเท่านั้น แต่เป็นศาสนาที่ประทานลงมาให้กับมนุษยชาติทั่วโลก โดยให้เป็นภาษาอาหรับ และถ้าเจตนา ของโองการที่ 24:31 นั้น เพียงให้ ผู้หญิง แต่งตัวให้เรียบร้อยโดยไม่ได้สั่งให้คลุมศรีษะก็ได้ล่ะก็ ดูตัวอย่าง โองการนี้ครับ 33:59 โอ้นะบีเอ๋ย ! จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง (*3*) นั่น เป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน (*4*) และอัลลอฮฺทรงเป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ โองการนี้ ก็สามารถใช้ได้แล้ว ไม่ต้องมีคำที่เกี่ยวกับผ้าคลุมศรีษะ ซึ่งก็สามารถทำให้แต่งกายเรียบร้อยได้ด้วย และเมื่อกุรอ่านถูกประทานมาเป็นภาษาอาหรับ ดังนั้นเมื่อโองการที่ 24:31 ประทานลงมา ชาวอาหรับใช้คิมารฺอยู่แล้ว ก็เข้าใจได้ว่าโองการนี้สั่งใช้ให้ ปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะลงมาถึงหน้าอกอย่างไร ซึ่งถ้าไม่ปิดศรีษะเสียก่อน ก็ไม่ได้ทำตามโองการนี้ ครับ เพราะไม่ได้ปิดมาถึงหน้าอก แต่ปิดแค่หน้าอกเท่านั้น คนละความหมายกัน นอกจากนี้ คำว่า "ญุยูบิฮินนา" (their bosoms) ซึ่งโองการที่ 24:31 สั่งใช้ให้ปิดลงมาถึงนั้นน่ะ กุรอ่านใช้ "ญุยูบ" เป็นพหูพจน์ของ "ญัยบ์" ซึ่งแปลว่า ซอง ซอก ร่อง(อก) รากศัพท์ของคำนี้หมายถึง Neck และ Collarbone (กระดูกไหปลาร้า) ด้วย ดังนั้นญัยบ์จึงกินความตั้งแต่ปลายคาง ลำคอ ช่วงไหล่ อกช่วงบน ลงมาถึงหน้าอกเลย ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะปิดส่วนเหล่านี้ โดยไม่ใช้ผ้าคลุมศรีษะ และโองการที่ 24:31 จึงเป็นคำสั่งให้คลุมศรีษะ ครับ ไม่ว่าจะด้วยภาษา เหตุผล หรืออะไรก็ตาม เราลองมาดูตัวอย่างกันดีกว่า ว่าการแต่งกายที่ login แมทท์ บอกว่าถูกต้องนั้น ปกปิดส่วนที่กุรอ่านสั่งให้ปิดได้หรือไม่? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 06:41:27

ความคิดเห็นที่ 10 ผมถึงเปรียบไงล่ะครับว่า สองคนนี้ ต่างกันแค่ไหน ดูแล้วก็แืทบจะไม่ต่าง แค่คนซ้าย ปล่อยลึกไปหน่อยเท่านั้น แต่คนขวาก็ยังเปิดร่องอก ทำไม login แมทท์บอกว่า แต่งกายถูกต้องได้ผมก็ไม่รู้ ว่า login แมทท์ คิดอะไรอยู่ แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 52 21:00:42 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 06:51:51

ความคิดเห็นที่ 11 สิ่งที่ ใช้ให้ปิด มีแค่ หัวนม เท่านั้นหรือ ผมล่ะสงสัย ในความคิดแมทท์ถึงบอกว่าภาพนี้ ถูกต้อง อ่ะดูอีกทีเดี๋ยวจะหว่าผมบิดเบือนอีก จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 06:53:18

ความคิดเห็นที่ 12 ผมไม่แปลกใจ ทำไมกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8507923/Y8507923.html login แมทท์ถึงกล้าบอกว่า นักปราชญ์มุสลิมใช้ ฮะดีษอ่อนมา ตัฟซีรฺ หรืออธิบายกุรอ่าน และกล้าบอกว่าผมใช้ฮะดีษ มาอธิบายกุรอ่านให้คนอื่นฟัง ก็เพราะ login แมทท์ อ่อนภาษานั่นเอง พอเห็นเค้าลางนิดหน่อย ไม่อ่านซะให้ดีก็รีบ เอาบทความมั่วๆ สั่วๆ มาลง เสร็จแล้วก็กลายเป็นประจานตัวเองไปซะทุกที ลองกลับไปอ่านเองนะครับ ในกระทู้ที่ผมทำลิงค์ให้ด้านบ้านนั่นแหละ ผมบอกที่มาให้แล้วด้วยว่าแมทท์ไปเอาข้อมูลมาจากไหน และใครเป็นคนเขียน จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 07:03:51

ความคิดเห็นที่ 13 หรือร่่างกายของผู้หญิงในทัศนะของแมทท์นั้น ทรงคุณค่า จากการนำไปเร่ขาย และให้ผู้อื่นเชยชม ได้เป็นเหยื่ออันโอชะต่อสายตาของผู้ือื่น? และอย่ามาอ้าง อายะห์ที่ 24:30 ครับ เพราะทั้งหญิงและชายต้องระวังสายตาตัวเองทั้งนั้น และการระวังสายตา ก็ไม่ได้ให้สิทธิ์ใครแต่งตัว น่าเกลียดๆ เดินไปตามท้องถนน แบบนี้ . . . ลองตรองดูนะครับ แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 52 21:01:10 แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 52 07:22:13 แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 52 07:21:18 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 07:20:29

ความคิดเห็นที่ 14 You are missing the point. จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 10:16:24

ความคิดเห็นที่ 15 ^ ^ You are deceive the point. จากคุณ : คนแปลกหน้าในโลกดุนยา เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 10:28:14

ความคิดเห็นที่ 16 ประเด็นคือ กุรอ่านสั่งใช้ให้คลุมศรีษะครับ ด้วยการบอกว่า "...และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะ (คีมารฺ) ของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ (ญุยูบิฮินนา)..." แต่ login แมทท์บอกว่า นี่ไม่ใช่คำสั่งให้คลุมศรีษะ ถ้างั้น เวลามีคำสั่งว่า "...และให้เขาปิดด้วยโสร่ง ของเขาลงมาถึงหัวเข่าของเขา..." ก็แปลว่าไม่ได้เป็นคำสั่งให้คลุมอวัยวะเพศ????? ใครจะเปิดอวัยวะเพศก็ได้ งั้นหรือ ????? ถ้ามีใครสั่งแบบนี้ แล้วมีคนถอดโสร่งไปคลุมเข่า ปล่อย นกเขาโบยบินนี่ คิดว่าคนถอด โดยอ้างว่าคำสั่งนี้เน้นที่หัวเข่า ไม่ใช่คำสั่งให้ ปิดอวัยวะเพศเสียหน่อย เนี่ย สติยังดีอยู่ไหมล่ะครับ? ใครกันแน่หลงประเด็น คำพูดตัวเอง ก็บิดเบือนได้ด้วยเหรอเนี่ย จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 10:37:34

ความคิดเห็นที่ 17 ขอแทรกครับ...เวลาลงภาพประกอบ น่าจะมีแถบคาดปิดหน้าในภาพ หน่อยก้อจะดีนะครับ...เพราะว่าจะเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลนะ ครับ...คือไม่ว่าเขาจะแต่งตัวอย่างไร ผิดถูกเป็นเรื่องคนมอง ห้ามไม่ ได้ แต่เราต้องยอมรับว่าเป็นสิทธิของผู้แต่งกายนั้นๆด้วยนะครับ เรา จะดึงภาพของพวกเขามาประกอบการวิวาทะของเราโดยไม่ได้รับ อนุญาตถือว่าละเมิด...เขาไม่ได้รับรู้ด้วยในประเด็นที่กำลังคุยกันอยู่นี้ นะครับ ตอนนี้มีกฎหมายเรื่องการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลบนโลกออนไลน์แล้ว ท่าน Cattoth อาจพลาด สามารถถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายได้นะ ... ผมว่าหาอะไรปิดหน้าบุคคลในภาพไว้หน่อยดีกว่า...เรากำลังวิวาทะกัน ในเรื่องดีๆ แล้วจะกลายเป็นว่า ทำผิดกฎหมายโดยลืมคิด ถึงข้อนี้ไป... ติงมาด้วยความเคารพครับ... จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 19:45:07

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณสำหรับคำเตือนนะครับ งั้นได้เลย จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 21:00:15

ความคิดเห็นที่ 19 ภาพประกอบ คค หที่ 13 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 21:06:43

ความคิดเห็นที่ 20 ผมไม่เห็นมีอะไรแปลกในถาพข้างบนนี้ สำหรับ ชายอรับ หรือ ตอลิบาล อาจจะ อดกลั้นใจไม่ได้ เพราะเคยเห้นแต่ หญิง นุ่งห่ม อยู่ใน เต้น เท่านั้น สำหรับมุสลิมแล้ว ชายมุสลิมควรจะลดสายตาลงต่ำ และกดความรู้สึก ทางกามรมณ์ไว้ คือรักษารูทวารของตนเองไว้  (24:30)     ผมกล่าวมาหลายครั้งแล้วว่า ผมไม่สนใจว่า ผู้หญิง มุสลิม หรือ ไม่ใช่มุสลิม จะแต่งตัวอย่างไร  ก็ตาม ไม่ใช่ธุระกิจของชาย แต่ขออย่างเดียว ว่าไม่ใช่หน้าที่ของ ผู้ชาย ที่จะไปออกบัญญัติ เพื่มเติมหลักการของศาสนา ใช้บังคับเฉพาะผู้หญิง ให้แต่งตัว เพื่อ ลดกามรมณ์ใคร่ของชาย โดยการคลุมร่างกายของหญิง เกินกว่า ความจำเป็น ทาง จริยาธรรมที่พระเจ้า ได้วางหลักการและข้อยกเว้น ต่างๆไว้  ทั้งสองเพศ คือ ทั้งชายและหญิง   ภาพที่เห็น อยู่ข้างบนนี้ ถ้ามอง  อย่าง ผู้มีวัฒนธรรมในจิตใจที่ดีแล้ว และรู้จักประมาณใน อารมณ์ ใคร่ของตนเองที่เกิดขึ้นมา โดยไม่มีเหตุผล, และการควบคุณตนเองได้แล้ว ผมไม่เห็นว่า จะกระทบกระเทือน ความรู้สึก ของ ผู้ศรัทธาชาย ได้เลย ทั้งนี้เพราะผู้ศรัทธา ไม่ว่าจะศรัทธา ต่อคำสอนของศาสนาใดๆก็ ตาม   ศาสนาเหล่านั้น ทุกๆศาสนา มีคำสอนในการสำรวมตนในเรื่อง กามรมณ์ และ ให้ความนับถือ ต่อเพศตรงข้าม ไม่พูดวิจารณ์ การแต่งกายของเขา  และหญิงส่วนมาก ก็รักความสวยงาม และอยากมีอิสระในการเป็นตัวของเธอเอง เธอย่อมมีสิทธิที่จะตัดสินใจได้เองว่า เธอควรจะแต่งกายให้อยู่ในขอบเขตุของความศรัทธาของเธออย่างไร?  ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว หญิงชาวอรับในภาคตะวันออกกลาง คงไม่สั่ง ชุดอาบน้ำและชุดนอน ที่สวยงามจากอเมริกา และยุโรป เข้าไปขายในประเทศมุสลิม ในแถบนั้น   ศาสนาอิสลาม  มีบัญญัติอย่างเข้มงวดในเรื่องนี้ โดยมีคำสั่ง อย่างเด็ดขาด ต่อมุสลิมชายว่า อย่า จ้องมองส่วนหนึ่งส่วนใดของหญิง อย่างไม่สำรวม ซึ่งรวม ทั้งความรู้สึก และ การแสดงออก ทางมรรยาท ให้สำรวม ทั้งกายและใจ, ซึ่งอ่านได้ จาก อัลกุรอาน บทที่ 24 บัญญัติที่ 30, แม้กระนั้นก็ตามไม่มี ชายมุสลิมส่วนใหญ่สนใจ ในเรื่องนี้ มากเท่ากับ การบังคับให้หญิง นุ่งกระโจม หรือ เต้น  โดยเพื่อที่ตนเองจะได้ไม่มีความผิดในการจ้อง มอง ผู้หญิง มุสลิม  แต่กลับไป มอง ความงามของ หญิงอื่นที่ ไม่ใช่มุสลิมะห์     เมื่อ ชายมุสลิมบางท่าน อดทนความใคร่ของตนเอง ในการแต่งตัว ไม่ได้ ก็โมโห โกรธ หาว่าเขาแต่งตัวมายั่ว กามรมณ์ ของตน ตำหนิติเคียน ว่า เป็นหญิงชั่วช้า, แม้แต่ว่า เพียง แค่เปิดใบหน้า และ ใบหู และเส้นผม ของหญิงก็ตาม ผู้ชายมุสลิมอดกลั้นไม่ไหวแล้ว, ซึ่งความจริง แล้ว ความรู้สึกเช่นนั้น มันเกิดจาก อารมณ์ใคร่ของผู้ชายเอง,  ถ้าเราเห็นว่าการแต่งตัวของเขาขัดต่อ ความศรัทธาใน อิสลาม เราก็ต้อง ยึดและปฏิบัติตาม อัลกุรอาน บทที่ 24 บัญญัติที่ 30,  ไม่ใช่ ปฏิบัติตาม เฉพาะในเดือน ถือศีลอดเท่านั้น จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 52 07:30:40

ความคิดเห็นที่ 21 จะอ้างถึงประเด็นของ ที่ Carroth  หลงอยู่ก็คือ ที่ Carroth กล่าว่า: ประเด็นคือ กุรอ่านสั่งใช้ให้คลุมศรีษะครับ ด้วยการบอกว่า "...และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะ (คีมารฺ) ของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ (ญุยูบิฮินนา)..." จะอธิบายให้เข้าใจ เป็นลำดับขั้นไป ดังนี้   โดยอาศัย  คำศัพท์ ที่ Carroth นิยามไว้ ทั้งสิ้น 1  ประโยค ใน อายะ 24:31 ที่ว่า"...และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะ (คีมารฺ) ของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ (ญุยูบิฮินนา)..." หมายเหตุ:          over their bosoms  อฺะลา ญุยูบิฮินนา ที่ถูกต้อง จะต้องแปลว่า “ดึงรวบมาปิดหน้าอกของนาง”  ไม่มีคำทั้งทางภาษาอรับ และอังกฤษในประโยคนี้  แปลว่า, “ลงมาถึง” 2. and to extend(ต่อ หรือ ขยาย) their headcoverings (khimars) to cover (ปกปิด หรือ ปกคลุม) their bosoms (jaybs), 3. they should draw their veils over(ปกปิด หรือ ปกคลุม) their bosoms   หมายเหตุ: “veils”  และ “khimar” มีความหมาย  ต่างกัน  “veils”  หมายถึงผ้า “ปิดหน้า” แต่ “khimar”  หมายถึง “ผ้าคลุมศรีษะ” ดังนั้น คำแปลของประโยคนี้  ตรงความหมายดีที่สุด and to extend their headcoverings (khimars) to cover (ปกปิด หรือ ปกคลุม) their bosoms (jaybs), จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 52 07:33:01

ความคิดเห็นที่ 22 การสนทนาโดยการถามตอบอย่างภาษาธรรมดาและอย่างง่ายๆ มีดังนี้ ในอายะ24:31  ประโยคที่ เป็นประเด็น อยู่ที่ว่า , “..และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะ (คีมารฺ) ของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ (ญุยูบิฮินนา)..." มีคำสั่ง  ....ให้เธอ “ปิด”    ถาม.... ปิดด้วยอะไร?  ตอบ....ปิดด้วย   “ผ้าคลุมศรีษะ หรือ คิมารฺ”  ถาม......ของใคร?  ตอบ.....ของเธอ(บรรดาหญิงผู้ศรัทธา)  ถาม.....ปิดอะไร? ของใคร?  ตอบ.....ปิดทรวงอก หรือ “ปทุมถัน” ของเธอ(บรรดาหญิงผู้ศรัทธา) ถาม......ปิดอย่างไร? ตอบ.....โดยการดึงไป ถึง หรือ ขยายไปถึง  "over their bosoms" (อฺะลา ญุยูบิฮินนา). ถาม.......ดึงอะไร? ไปถึงอะไร? และปกปิดอะไร? ตอบ......ดึง“ผ้าคลุมศรีษะ หรือ คิมารฺ” ไปถึง อกของเธอและปกปิด“ปทุม            ถัน” ของเธอ ถาม......มีคำสั่งให้ปิดใบหน้าและส่วนอื่นอีกหรือไม่? ตอบ.....ไม่มี,.. แต่เนื่องจากว่า  “ผ้าคลุมศรีษะ หรือ คิมารฺ” มันยังติดอยู่            ที่ ศรีษะของนางอยู่ดังนั้นชาย ของ “ผ้าคลุมศรีษะ หรือ คิมารฺ” จึง             ถูกลากผ่าน ปกคลุม ใบหู ลำคอ และ หัวไหล่ทั้งสองของนางด้วย  ถาม......“ผ้าคลุมศรีษะ หรือ คิมารฺ” นั้น ตามประเพณีดั่งเดิมของหญิงอรับ                ก่อนรับอิสลามนั้น  เขา สวมกันอย่างไร?                  ตอบ......เขาสวม  “ผ้าคลุมศรีษะ หรือ คิมารฺ”    โดยใช้ “คลุม หรือ ปกปิด               ศรีษะ ปล่อยให้ชาย ของ ผ้าคลุมศรีษะหล่นมาบนไหล่ทั้งสอง                หรือ ตะหลบไป ข้างหลัง หรือ ห้อย มาข้างหน้า                                  ถาม......ประเด็นของ อัลกุรอาน ในประโยคนี้  อยู่ที่  “ให้คลุมศรีษะ”              หรือ “ให้คลุม ปิดทรวงอก หรือ “ปทุมถัน” ของหญิงผู้ศรัทธา               เหล่านั้น มันคือปิดอะไรกันแน่?                 ตอบ....... ความหมายตามข้อความในประโยค จาก 24:31 ข้างล่างนี้                ประเด็นของ อัลกุรอาน ในประโยคนี้  มีคำสั่ง ให้ ให้คลุม ปิด              ทรวงอก หรือ “ปทุมถัน” ของหญิงผู้ศรัทธาเพียงอย่าง เดียวเท่า              นั้น,  ไม่มีคำสั่ง ให้ลากหรือดึง “ผ้าคลุมศรีษะ หรือ คิมารฺ” ไป               ปิด ส่วนอื่นใดของร่างกาย ทั้งสิ้น                         "...และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะ (คีมารฺ) ของเธอลงมาถึงหน้า             อกของเธอ (ญุยูบิฮินนา)..." ถาม.......แล้วมีคำสั่งให้ใช้  “ผ้าคลุมศรีษะ หรือ คิมารฺ” คลุมศรีษะด้วยหรือ              ไม่จากข้อความใน ประโยคดังกล่าว?                 ตอบ.....     ไม่มี คำสั่งให้ใช้  “ผ้าคลุมศรีษะ หรือ คิมารฺ,  คลุมศรีษะ”, เพราะว่า “ผ้าคลุมศรีษะ หรือ คิมารฺ” นั้นมัน ติดคลุมศรีษะของหญิงชาวอรับในเผ่าต่างๆมานานแล้วก่อนที่จะ มีอัลกุรอาน, ตามประเพณีการแต่งกายของชาว อรับ, ยิว, คริสเตียน คลุมศรีษะมาตั้งแต่ยุคมืดแล้ว  เพื่อป้องกันฝุ่นทรายสำหรับหญิง หรือชาย ชาวทะเลทราย,ชายชาวอรับ ก็สวม“ผ้าคลุมศรีษะ หรือ คิมารฺ” เช่นเดียวกัน....?????? จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 52 07:41:13

ความคิดเห็นที่ 23 อัลลอฮฺ ได้ให้กุรอ่านกับคนทั้งโลก ไม่ได้ให้แก่ชนอาหรับอย่างเดียว.....นี่คือสิ่งที่จริงเที่ยงแท้ ถาม : ถ้าอัลลอฮฺไม่ได้กำหนดเรื่องผ้าคลุม ให้กับหญิงชนชาติอื่น ทำไมถึงมีอายะห์นี้ลงมา ตอบ : เป็นคำถามที่น่าสนใจ อัลลอฮฺ สร้างทุกสรรพสิ่งและพระองค์ ไม่ได้กำหนดเฉพาะผู้หญิงอาหรับเท่านั้นที่ต้องคลุมผ้า ถ้าพระองค์ประสงค์ให้หญิงแต่งตัวตามภูมิอากาศแล้ว อายะห์นี้ก็ไม่จำเป็นต้องลงมา จริงไหมครับ มีคนชั่วบางคนบางกลุ่มเท่านั้นแหละครับที่พยายามแปลกุรอ่านให้ผิดไป จากคุณ : คนแปลกหน้าในโลกดุนยา เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 52 10:27:30

ความคิดเห็นที่ 24 ทำไมถึงเรียกว่า "ผ้าคลุมศีรษะ" ? ก็เพราะมันต้องใช้สำหรับคุมศีรษะไง ไม่มีตรงไหนบอกว่า ให้ปิดหน้าอกด้วย "ผ้าคลุมอก" แค่นี้ยังไม่เข้าใจอีก และไม่มีตรงไหนบอกว่า ให้เลิกคลุมศีรษะ ถ้ามีรบกวนขอดูจังๆ หน่อย ที่มีก็คือให้ใช้ผ้าซึ่งคลุมศีรษะอยู่แล้ว ให้ใช้มันลงมาปิดหน้าอกไว้ด้วย คนที่กล่าวร้ายได้แม้แต่กับท่านนบี คนอย่างคุณน่ะหรือจะมาสอนศาสนาคนอื่น? จากคุณ : เจ้าชายเย็นชา เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 52 13:50:24

ความคิดเห็นที่ 25 อ่านแล้วยิ้มเลยครับ กลางคืนค่อยว่ากัน หึหึ ชอบเลยแบบนี้ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 52 14:24:34

ความคิดเห็นที่ 26 ผมไม่แปลกใจทำไมคน แบบ login แมทท์ ถึงแถได้หน้าด้านๆ แล้วเลี่ยงการตอบคำถามเรื่องศาสนา มาตลอด 5 ปี ก็เพราะมีปัญหากับภาษานี่เอง ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ คนอื่นสื่อได้ ต้องเดาต้องมั่วต้องตะแบงเป็นสันดาน ผมบอกไปหลายครั้งแล้ว ไม่รู้จักจำ ต้องให้สั่งให้สอนกันกี่ครั้งกันถึงจะเข้าใจว่า เรื่อง โองการ ที่ 24:30 ที่ให้ลดสายตานั้น เป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้วครับ และใน โองการ ที่ 24:31 ผู้หญิงก็ต้องลดสายตาตัวเองลงเช่นกัน ถ้าใครฝ่าฝืน ก็ไปล่งงประเวณีเพราะที่ไม่ไหว เนื่องจากไม่ระวังรักษาสายตา ก็ต้องโดนลงโทษ ไม่สามารถอ้างได้ว่า เพราะผู้หญิง หรือผู้ชาย แต่งตัวยั่วยวน แต่บัญญัติของอัลลอฮฺ สั่งชัดเจนครับว่า "...และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ..." นี่จึงไม่ใช่การบัญญัติศาสนาขึ้นมาเองของ ผู้ชาย แต่นี่คือคำสั่งจากอัลลอฮฺไม่ให้ผู้หญิงเปิดเผยสิ่งพึงสงวนของตนเอง ซึ่งไม่ว่านักปราชญ์ท่านไหน หรือใครที่ทราบภาษาอาหรับ ก็เข้าใจได้ทันที จะมีก็เพียงแต่ ชัยฏอนในร่างมนุษย์ พวกมีปัญหากับภาษา พวกที่จิตใจโสมม ตีความกุรอ่านด้วยความเขลา และอารมณ์ฝ่ายต่ำของตัวเองให้ ผู้หญิงต้อง เร่ขายเรือนร่างอันมีค่าของนาง สำหรับพวกใจหยาบพวกนี้ เชยชม ส่วนภาพข้างบนนั้นน่ะ ผู้ที่มีศรัทธานั้นย่อมไม่หวั่นไหวหรอกครับ หรือต่อให้แก้ผ้ามา ยั่วยวน ก็ไม่อาจที่จะสั่นคลอนหัวใจที่เต็มไปด้วยศรัทธาได้ แต่อิสลาม ไม่ใช่ศาสนา กระจอก ไม่ใช่ศาสนาของพวกจิตใจต่ำช้าคิดขึ้นมาหรือพยายามบิดเบือนไปจากความจริง อัลลอฮฺทราบครับว่า หัวใจมนุษย์บางคนยังอ่อนแอ ดังนั้น การแต่งกายที่มิดชิด ก็สามารถช่วยให้ผู้หญิง พ้นจากการถูกลวนลามทางสายตา และช่วยให้ผู้ที่หัวใจยังไม่เข้มแข็งพอ ได้พ้นจากการยั่วยุได้ ซึ่งนี่คือความรอบรู้ของอัลลอฮฺที่ทราบถึงจิตใจของบ่าวของพระองค์เป็นอย่างดี แต่มันเป็นความเลวทราม และต่ำช้า ของคนบางคนที่พยายามล่อหลอกให้ มุสลิมะฮฺ เปิดเผยเรือนร่างของตนให้ได้ มันเป็นความพยายามเพื่อบ่อนทำลายคำสอนอันสูงส่งของอัลลอฮฺให้ถูกเข้าใจผิด จากสอนให้มุสลิมะฮฺนั้นปลอดภัยจากสายตาของผู้ชาย และผู้ชายได้ปลอดภัยจากความคิดในทางไม่ดีของตัวเอง กลายเป็น สอนให้มุสลิมะฮฺ ไร้ยางอายเปิดเผยสิ่งพึงสงวน และผู้ชายเองก็เสี่ยงต่อการทำบาป ดังนั้น การมี กุรอ่านโองการที่ 24:30 นั้นจึง ไม่สามารถนำมาอ้างได้เลยว่า ผู้ชายลดสายตาแล้วผู้หญิงจะแต่งอย่างไรก็ได้ เพราะการลดสายตาเป็นความรับผิดชอบของชาย แต่การไม่เสนอเร่ขายของส่วนตัวของตัวเองนั่นเป็นความรับผิดชอบของผู้หญิงเอง ซึ่งมันต่างกับชายใจชั่ว ที่นอกจากมันจะชอบดูผู้หญิงเปลือยแล้ว มันยังพยายามบิดเบือนศาสนาเพื่อให้มันได้เห็นผู้หญิงเปลือย โดยไม่มีใครว่ามัน ดูจากตรงนี้ได้เลยครับ นี่คือ ความเลวทรามจากจิตใจคนที่บอกว่า การแต่งตัวแบบนี้ เป็นการแต่งตัวที่ถูกต้อง จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 52 17:32:13

ความคิดเห็นที่ 27 มาถึงประเด็นที่คนกลับกลอก แล้วยังอ่อนภาษาหาว่าผม หลงประเด็นนะครับเรามาดูกันดีกว่า ว่าใครกันแน่ที่หลง ผมอธิบายแล้วไม่รู้เท่าไหร่ไม่ยอมอ่าน 1  ประโยค ใน อายะ 24:31 ที่ว่า"...และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะ (คีมารฺ) ของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ (ญุยูบิฮินนา)..." หมายเหตุ:         over their bosoms  อฺะลา ญุยูบิฮินนา ที่ถูกต้อง จะต้องแปลว่า ดึงรวบมาปิดหน้าอกของนาง ไม่มีคำทั้งทางภาษาอรับ และอังกฤษในประโยคนี้  แปลว่า  ลงมาถึง 2. and to extend(ต่อ หรือ ขยาย) their headcoverings (khimars) to cover (ปกปิด หรือ ปกคลุม) their bosoms (jaybs), 3. they should draw their veils over(ปกปิด หรือ ปกคลุม) their bosoms หมายเหตุ: veilsและ khimar มีความหมาย  ต่างกัน veils หมายถึงผ้า ปิดหน้า แต่  khimar หมายถึง  ผ้าคลุมศรีษะ ดังนั้น คำแปลของประโยคนี้  ตรงความหมายดีที่สุด and to extend their headcoverings (khimars) to cover (ปกปิด หรือ ปกคลุม) their bosoms (jaybs), เป็นการอ่อนภาษาชนิดที่น่าสมเพช เป็นอย่างยิ่ง อันดับแรกเลยคือ over their bosoms  อฺะลา ญุยูบิฮินนา ที่ถูกต้อง จะต้องแปลว่า  ดึงรวบมาปิดหน้าอกของนาง ไม่มีคำทั้งทางภาษาอรับ และอังกฤษในประโยคนี้  แปลว่า ลงมาถึง ซึ่งการแปลอย่างนี้ เป็นการแปลที่ไม่รู้ภาษาจริงๆ นั่นเพราะ จริงๆแล้ว ภาษาอาหรับ มีคำนี้ครับ YADRIBNA=PUT BIKUMURIHINNA=THEIR VEILS ]ALAA=OVER JUYUBIHINNA=THEIR BOSOM (JUYUB USED IN ANOTHER CONTEXT MEANS POCKET) คำว่า YADRIBNA นั้น มีการแปลซึ่งแมทท์ก็เอามาเองนะครับว่า and to extend(ต่อ หรือ ขยาย) their headcoverings (khimars) to cover (ปกปิด หรือ ปกคลุม) their bosoms (jaybs), คำว่า draw (ดรอ) {drew,drawn,drawing,draws} vt.,vi. ดึง,ลาก,โก่ง,น้าว,ถอน,จับ (ฉลาก) ,เอาออก,ดึงออก,ชักนำ,วาด,สเก็ตช์,เขียน,บรรยาย,ร้อยกรอง,พรรณนา -Phr. (draw on ใกล้เข้ามา) . -Phr. (draw up ยกร่าง,ร่าง,ออกแบบ) n. การดึง,การลาก,สิ่งที่ดึงดูดใจ,การเสมอกัน,ส่วนที่ชักขึ้น extend (อิคซฺเทนดฺ') v. ขยายออก,ยืดออก, ประเมินค่า, ไปถึง,เพิ่มขึ้น., Syn. extendibility,extendability n. extendible,extendable adj., Syn. stretch,reach นี่ครับ เป็นความของการ ดึงไปถึง ขยายไปถึง ลากไปถึง จึงแปลได้สองอย่าง ไม่ใช่ ถอดออก เพราะถ้าถอดออกจะไม่มี ความหมายของ extend ครับ และมีคำว่า ALAA=OVER อย่างที่ผมเคยเอามาลงบ่อยๆ จากผู้รู้ที่เคยจัดการยิวจอมบิดเบือน ในเว็บนี้มา แล้ว ว่า คำ ว่า ปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะลงมาถึงหน้าอก แสดงว่า ต้องผ่านมาถึงหน้าอกครับ ไม่เอาใช่เอามาคลุมหน้าอกกันโต้งๆ เพราะถ้าแบบนั้นไม่ต้องใช้คำว่า คิมารฺก็ได้ครับ และไม่จำเป็นด้วย หาก ความว่า "over their bosoms" (อฺะลา ญุยูบิฮินนา) หมายถึง "on (above) their bosoms" แล้วล่ะก็ กรุอ่านก็จะใช้ว่า "เฟาเกาะ ญุยูบิฮินนา" มากกว่า ดังนั้น Over จึงเป็นคำแปลที่เหมาะสมแล้วของ "อฺะลา" เนื่องจากคำนี้ยังมีนัยยะของการข้าม พาด ผ่านจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งอยู่ด้วย ซึ่ง On หรือ Above ไม่มีนัยยะนี้ให้ ดังนั้น การที่แมทท์แปลว่า ดึงมารวบปิดที่หน้าอกจึงเป็นการแปล ที่ไม่รู้ภาษา ไม่ดูที่มาที่ไป เรียกได้ว่า แปลแบบโง่ๆ แปลโดยแสดงความโง่เขลาออกมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะกุรอ่านเป็นภาษาอาหรับครับไม่ใช่ ภาษาอังกฤษ ดังนั้นต้องดูด้วยว่า ที่ถอดความมานั้นน่ะครบไหม แล้วก็ดูด้วยว่า ที่เขาแปลกันหลายๆ เวอร์ชั่นทำไมเขาแปลแบบนั้น ทำไมมีคำว่า extend ด้วย และบางท่านก็แปลเลยว่า and let them wear their head-coverings over their bosoms ให้ใส่ผ้าคลุมผมให้ปิดเหนือหน้าอกด้วยซ้ำ หรือ ภาษาไทยถึงแปลว่าปิดลงมาถึง? ก็เพราะว่าเขาแปลจากภาษาอาหรับครับ ไม่ใช่ เอาภาษาอังกฤษมาแปลด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผมก็ไม่ทราบการอ้างว่า ตัวเองอายุเยอะแล้ว ไม่รู้เลยหรือว่า การแปล หลายทอด จากภาษา ต่างๆ มาสองสามภาษานั้น มันจะเพี้ยนครับ ปล. คำว่า veils และ khimar นั้นต่างกันอยู่แล้วล่ะครับ นี่แสดงให้เห็นถึงการถ่ายทอดจากภาษาหนึ่งถึงอีกภาษาหนึ่งทำให้ความหมายไม่ครบ ดังนั้น ผู้แปลบางท่าน ก็ทับศัพท์ว่า คิมารฺ หรือใช้ head covering แทน ดังนั้นถ้ามีการ เปิดศรีษะเมื่อไหร่จะขัดกับโองการนี้นะครับ เพราะโองการให้ถึงผ้าคลุมศรีษะ มาปิดถึงหน้าอก ไม่ใช่ ดึงมาปิดเฉยๆ และไม่ใช่ดึงผ้ามาปิดหน้าอกแล้วอาจจะเปิดหรือไม่เปิดศรีษะก็ได้ แต่ต้อง ดึง ปิดมาถึงหน้าอก เท่านั้นนะครับ ซึ่งผมย้ำไว้แล้วว่า ส่วนที่ต้องปิดคือ "ญุยูบิฮินนา" (their bosoms) ซึ่งโองการที่ 24:31 สั่งใช้ให้ปิดลงมาถึงนั้นน่ะ กุรอ่านใช้ "ญุยูบ" เป็นพหูพจน์ของ "ญัยบ์" ซึ่งแปลว่า ซอง ซอก ร่อง(อก) รากศัพท์ของคำนี้หมายถึง Neck และ Collarbone (กระดูกไหปลาร้า) ด้วย ดังนั้นญัยบ์จึงกินความตั้งแต่ปลายคาง ลำคอ ช่วงไหล่ อกช่วงบน ลงมาถึงหน้าอกเลยครับ ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะปิดส่วนเหล่านี้ โดยไม่ใช้ผ้าคลุมศรีษะ และโองการที่ 24:31 จึงเป็นคำสั่งให้คลุมศรีษะ ครับ ไม่ว่าจะด้วยภาษา เหตุผล หรืออะไรก็ตาม จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 52 18:54:58

ความคิดเห็นที่ 28 เพื่อให้เป็นการง่ายต่อการเข้าใจนะครับ ผมจะลองแทน คำว่า คิมารฺ ด้วยคำว่าโสร่ง ซึ่งเรารู้ดีว่า ใส่อย่างไร ใช้อย่างไร ปิดส่วนไหนบ้าง แล้วจะรู้ว่า มันลักล่อน ย้อนแย้งแค่ไหนกับการแถของแมทท์ ------------------------------------------------------------------------------- การสนทนาโดยการถามตอบอย่างภาษาธรรมดาและอย่างง่ายๆ มีดังนี้ ประโยคที่ เป็นประเด็น อยู่ที่ว่า..และให้เขาปิดด้วยโสร่ง ของเขาลงมาถึงหัวเข่าของเขา..." มีคำสั่ง  ....ให้เขาปิด   ถาม.... ปิดด้วยอะไร? ตอบ....ปิดด้วย   โสร่ง ถาม......ของใคร? ตอบ.....ของเขา ถาม.....ปิดอะไร? ของใคร? ตอบ.....ปิดเข่า หรือ ]หัวเข่า ของเขา ถาม......ปิดอย่างไร? ตอบ.....โดยการดึงไป ถึง หรือ ขยายไปถึง  "over their khees" (อฺะลา ญุยูบิฮินนา). ถาม.......ดึงอะไร? ไปถึงอะไร? และปกปิดอะไร? ตอบ......ดึงโสร่งไปถึง เข่าของเขาและปกปิดหัวเข่าของเขา ถาม......มีคำสั่งให้ปิดอวัยวะเพศ และส่วนอื่นอีกหรือไม่? ตอบ.....ไม่มี,.. แต่เนื่องจากว่า โสร่งมันยังติดอยู่           ที่ เอวของเขาอยู่ดังนั้นชาย ของโสร่งจึง            ถูกลากผ่าน อวัยวะเพศ ขาอ่อน และขนในร่มผ้า ชองเขาด้วย ถาม......โสร่งนั้น ตามประเพณีดั่งเดิมของชายไทยนั้น  เขา สวมกันอย่างไร?               ตอบ......เขาสวมโสร่งโดยใช้ คลุม หรือ ปกปิด              อวัยวะเพศ ปล่อยให้ชาย ของ ผ้าคลุมอยู่เหนือหัวเข่า                             ถาม......ประเด็นของ อัลกุรอาน ในประโยคนี้  อยู่ที่  ห้ปกปิดอวัยวะเพศ             หรือเข่าหรือหัวเข่าของผู้ชาย              เหล่านั้น มันคือปิดอะไรกันแน่?               ตอบ....... ความหมายตามข้อความในประโยค จาก 24:31 ข้างล่างนี้               ประเด็นของ อัลกุรอาน ในประโยคนี้  มีคำสั่ง ให้ ให้คลุม                  ปิดเข่าหรือ "หัวเข่า" ของชายเพียงอย่าง เดียวเท่า             นั้น,  ไม่มีคำสั่ง ให้ลากหรือดึงโสร่งไป              ปิด ส่วนอื่นใดของร่างกาย ทั้งสิ้น                      "...และให้เขาปิดด้วยโสร่ง ของเขาลงมาถึงหัวเข่า..." ถาม.......แล้วมีคำสั่งให้ใช้ โสร่งคลุมอวัยวะเพศด้วยหรือ             ไม่จากข้อความใน ประโยคดังกล่าว?               ตอบ.....    ไม่มี คำสั่งให้ใช้  โสร่งปิดอวัยวะเพศ เพราะว่าโสร่ง นั้นมัน ติดคลุมอวัยวะเพศของผู้ชายในประเทศไทยมานานแล้ว????????????????? สรุปแล้ว ถ้า แมทท์เจอคำสั่งให้ ดึงโสร่งมาปิดหัวเข่า แมทท์จะสรุปแบบด้านบนนั่นแหละครับคือ สั่งให้ปิดเฉพาะหัวเข่าเท่านั้น ไม่ได้สั่งให้คลุมอวัยวะเพศเลย จะเปิดก็ได้ ทุกท่านลองคิดเอาเองนะครับว่าถ้ามีการบอกให้ดึงโสร่งมาปิดหัวเข่า แล้วคนที่ถูกสั่ง มันดันถอดโสร่งมาปิดหัวเข่า แล้วโชว์นกเขา หลาเลยโดยบอกว่า คำสั่งนั้นให้คลุมหัวเข่าเท่านั้น ไม่ได้สั่งให้ปิดอวัยวะเพศ คุณคิดว่า คนที่ทำแบบนี้ เป็นคนอย่างไรครับ????? เช่นกัน การคลุมศรีษะ ถ้าบอกให้ปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะลงมาถึงหน้าอก แล้วดันไปเปิดศรีษะแล้วบอกว่า ไม่ได้สั่งให้คลุมศรีษะเสียหน่อย คนคนนั้น ถ้าไม่จงใจบิดเบือน ก็สติฟั่นเฟือนล่ะครับ และนี่เป็นคำสั่งภาษาไทยที่ยังแปลได้ไม่ครบนะครับ แต่ภาษาอาหรับก็อย่างที่เห็นคือมีคำว่า ขยาย ลาก พาดผ่านด้วย ดังนั้น ถ้า ไม่คลุมศรีษะก่อน ก็ จะขัดกับคำสอนของอิสลาม อย่างที่บอกทันที อ่านเองละกันนะ อ่านดูหลายๆ รอบ ว่าตัวเองพิมพ์อะไรมา แล้วมันกินกับสติปัญญามนุษย์มนาเขาหรือไม่? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 52 20:12:07

ความคิดเห็นที่ 29 ผมพยายามอ่านทำความเข้าใจนะ แต่ก็อ่านไม่หมด เพราะรู้สึกยิ่งอ่านก็ยิ่งงง แรกก็ดูว่าตัวเองจะเข้าใจนะ แต่ก็ชักไม่แน่ใจว่า อะไรคือประเด็นต่าง เพราะดูเหมือนจะเห็นพ้องกันทุกประการ แล้วอะไรคือประเด็นที่คุณแมทช์ต้องการโต้แย้ง ผมเลยสรุปเอาตามที่ตัวเองเข้าใจ ดังนี้ - ในอายะห์นี้ (24:31) ถึงจะระบุคำว่าคีมารฺ แต่เป็นการสั่งให้ "ดึง" ปลายผ้าคีมาร์มาคลุมที่อก ไม่ได้เป็นคำสั่งให้คลุมผม -  ดังนั้นเมื่อเป็นคนละคำสั่ง สตรีมุสลิมจึงไม่ต้องคลุมผมก็ได้ ถ้านางเห็นควรเช่นนั้น - ประจวบกับการคลุมผมนั้นเป็นประเพณีของชาวอาหรับ และชนอื่นๆ ในละแวกนั้นแต่เดิม มุสลิมที่ไม่ใช่ชาวอาหรับจึงไม่จำเป็นต้องสวมผ้าคลุมผม เพราะไม่ใช่หน้าที่ของมุสลิมต้องตามประเพณีอาหรับ ประมาณนี้ป่าวครับ แฮะๆ แก้ได้แล้ว กลายเป็นว่าไม่คุ้นกับพันทิพซะแล้ว แก้ไขเมื่อ 09 พ.ย. 52 23:52:02 จากคุณ : Zeitgeist aka bAdkArmA เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 52 22:50:24

ความคิดเห็นที่ 30 ^ ^ ^ เอ๊ะ ทำไมมันไม่มีช่องให้ผม edit ได้ล่ะ ผมต้องการจะแก้อายะห์นี้ หมายถึง 24:31 จากคุณ : Zeitgeist aka bAdkArmA เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 52 22:53:31

ความคิดเห็นที่ 31 Zeitgeist aka bAdkArmA      ไม่ต้อง edit  หรือแก้ไขอัลกุรอาน อายะ 24:31   หรอกครับ  ข้อความในอายะนั้นหมายความเช่นนั้น  คุณเข้าใจ ถูกต้องแล้ว  ยังมีอีกหลายอย่างที่ ในอัลกุรอานที่ มุสลิมควรจะเข้าใจให้ดี คือ อายะ 2:222  เพื่อที่จะไม่สับสนกับ ซอเฮี๊ยะฮาดีษ    แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยกับผมหรือไม่ก็ตาม  เพราะ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้อย่างง่ายที่สุด     สิ่งที่ควรแก้ไขคือสำหรับ มนุษย์ที่พยายามเปลี่ยนความหมายของอัลกุรอานให้เข้ากับ ตำราที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมา โปรด อย่าทำให้เนื้อความในอัลกุรอาน ยากเกินไป เพราะจะทำให้ศาสนาอิสลาม แตกแยกออกไปมากกว่านี้     เริ่มแก้ความแตกต่างในสังคมมุสลิมไทยเสียก่อน อย่าให้ อาจารย์ ผู้รู้ เที่ยว บรรยาย ด่า ชาวบ้านและศาสนาอื่นทุกๆอาทิตย์ ก็จะทำให้สังคมเขามอง อิสลามดีขึ้นกว่านี้  ผู้คนเขามองและนับถือผู้ศรัทธาที่การปฏิบัติในชีวิตประจำวันของผู้ศรัทธา แต่ไม่ได้มองที่ เขาพูดเก่งหรือเขียนเก่งในเรื่องศาสนา แต่ว่าการแสดงออกตรงกันข้ามกับความรู้เหล่านั้นของเขา  พระเจ้าทรงบอกว่า ศาสนาของพระองค์ไม่ยากต่อความเข้าใจ  ของมนุษย์ธรรมดา จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 06:40:35

ความคิดเห็นที่ 32 คุณ : เจ้าชายเย็นชา   "คนที่กล่าวร้ายได้แม้แต่กับท่านนบี คนอย่างเช่น..Imam Bukhari ..หรือจะมาสอนศาสนาคนอื่น?" ผมเห็นด้วยกับคุณแต่คงไม่ใช่ผมแน่.. ลองอ่านตัวอย่างต่อไปนี้ดูซิครับ English (Yusuf Ali): (Recite) 2:222 They ask thee concerning women's courses. Say: They are a hurt and a pollution: keep away from women in their courses, and do not approach them until they are clean. But when they have purified themselves,  ye may approach them in any manner, time, or place ordained for you by Allah. For Allah loves those who turn to Him constantly and He loves those who keep themselves pure and clean. พระเจ้ามีคำสั่งห้ามสามีอย่างเด็ดขาด ดังนี้..(อย่างย่อๆ) "จงออกห่างจากหญิง(ภรรยา)ขณะที่มีประจำเดือน และ อย่าเข้าใกล้นางจนกว่าที่นางจะหมดประจำเดือน" แล้วอ่านนี่ดูซิครับ Imam Bukhari Translated by: Ustadha Aisha Bewley Chapter 6. Book of Menstruation 296. It is related that 'A'isha said, "When one of us was menstruating and the Messenger of Allah, may Allah bless him and grant him peace, wanted to fondle her, he would tell her to put on a waist-wrapper when she started her menstrual period and he would fondle her.” She said, "Who among you would be able to control his desires as the Prophet, may Allah bless him and grant him peace, controlled his?" อธิบายย่อๆ ดังนี้.. 296. “เมื่อใดก็ตามที่ท่านรอซูลต้องการที่จะโลมเล้าภรรยาของท่านในขณะที่คนหนึ่งคนใดมีประจำเดือน, ท่านจะสั่งให้ภรรยาที่มีประจำเดือนนั้น สวมชุดนอน (หรือใช้ผ้าพันรอบเอวยาวลงมาถึงน่อง) แล้วท่านก็เริ่มเร้าโลมนาง” (กอดปลุกปล้ำอย่างอ่อนโยน) คุณจะเห็นว่า “ฮาดีษ” บทนี้ ดุหมิ่น เกียรติคุณของท่านรอซูล ว่า ท่านทำการฝ่าฝืนบัญญัติของอัลลอฮ์ ,  แม้กระนั้น ก็ยัง เบี่ยงเบนว่า เป็นการทดสอบกำลังใจของท่านรอซูลว่า อดทนต่อ กามรมณ์ได้ และถ้าหากว่า มุสลิมทำตามท่านแต่ในที่สุดอดทนไม่ได้ จะไม่เป็นการ ฝ่าฝืนบัญญัติของพระเจ้าหรือครับ "ถ้าท่านอดทนต่อกามรมณ์  ได้แล้วท่าน คงจะไม่พยายามที่จะฝ่าฝินบัญญัติของพระเจ้า โดยเข้าใกล้ภรรยาของท่านในขณะมีประจำเดือนจริงไหมครับ? ผมถึงว่า ผู้ใดก็ตามที่เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นความจริงแล้ว เขาผู้นั้น คือผู้ที่ หมิ่นเกียรติของท่านรอซูล อย่างไม่มีข้อแก้ตัว จากคำเขียนของคุณ..ซึ่งควรจะกล่าวว่า "คนที่กล่าวร้ายได้แม้แต่กับท่านนบี คนอย่าง ผู้ที่ปั้นเรื่องเล่า “ฮาดีษ” บทนี้น่ะหรือจะมาสอนศาสนาคนอื่น? มันเป็นคนเลวชัดๆ” คุณชายเห็นด้วยกับผมไหมครับ?  เรื่องเช่นนี้ที่ เขานำมาโจมตีอิสลาม เนื่องจาก ความเขลาของ มุสลิมที่ ปั้นแต่งเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อ ให้ สามีมุสลิมฝ่าฝืนบัญญัติของพระเจ้า “เป็นการกระทำของไซตอน” ที่พยายาม จะลบล้างบัญญัติของพระเจ้า ในทุกๆกรณี และ ในรูปแบบต่างๆกัน เรื่องเล่าเช่นนี้เป็นเรื่อง ที่พวกละทิ้งอิสลามนำมาเป็นข้ออ้างในการ ละทิ้ง และไม่เลื่อมใสในอิสลาม   ซึ่งผมไม่เชื่อว่า เรื่องเล่าเช่นนี้เป็นความจริง หรือ คุณว่า เป็นความจริง? เรามัวแต่มาเถียงกันเรื่องคลุมผม แต่บัญญัติที่ชัดเจนและการฝ่าฝืนที่ชัดเจน ไม่มีผู้ใดนำมา อธิบายให้ถูกต้อง ว่าเรื่องที่เล่านี้ไม่เป็นความจริง ปล.   ผมไม่ต้องการสอนศาสนาอิสลามต่อผู้ใดแต่ต้องการที่จะนำสิ่งที่ถูกต้องของอิสลามมาชี้แจงเท่านั้น แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 52 19:45:40 แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 52 07:42:32 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 07:32:21

ความคิดเห็นที่ 33 แมทท์ไม่ต้องไปว่าหรือแขวะคนอื่นเขาหรอกครับ แล้วก็ไม่ต้องเบี่ยงประเด็นใหม่หรอกนะ ถามแมทท์ ง่ายๆเลยแล้วกัน - ในกุรอ่าน 24:31 อย่างน้อยบอกว่า ผ้าคลุมศรีษะ(คีมารฺ)? - ผ้าคีมารฺ(ซึ่งอย่างน้อยต้องมีติดผม และบริเวณหน้าอก)อยู่ที่ไหน? - ถ้ามุสลิมะห์ไม่มีผ้าคีมารฺ(หรือฮิญาบ) แล้วแมทท์บอกว่านั่นทำถูกต้องแล้ว เท่ากับแมทท์แก้ไขบิดเบือนโองการของอัลลอฮฺใช่ไหม จากคุณ : คนแปลกหน้าในโลกดุนยา เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 07:58:22

ความคิดเห็นที่ 34 มุสลิมทุกท่าน เห็นความฉ้อฉล ตลบแตลงของแมทท์คนนี้หรือยังครับ ยังไม่จบเรื่องฮิญาบเลยจ ะไปเรื่องอื่นอีก - เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะเรื่องฮิญาบแมทท์กำลังไปไม่รอดไงละครับ เลยต้องเตรียมประเด็นอื่นให้เบี่ยงๆตัวออกไปได้ - แมทท์เอ๊ย.....ดูหน้าตัวเองในกระจกบ้างนะ หน้ามัน แ บ น ไปหมดแล้ว เพราะอะไรไปคิดเอาเอง จากคุณ : คนแปลกหน้าในโลกดุนยา เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 08:52:48

ความคิดเห็นที่ 35 โปรดอ่าน  ความคิดเห็นที่ 29 ของคุณ Zeitgeist aka bAdkArmA ถึงแม้ว่า อาจจะเป็นการประชดประชันก็ตาม แต่เขามีความเข้าใจ ในคำอธิบายของผมถุกต้อง  เมื่อมีผู้เข้าใจคำอธิบายของผมถูกต้อง ตามความตั้งใจของผมแล้ว แล้ว ถึงจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม เรื่องก็จบครับ   ส่วนจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็ตาม มุสลิมก็ยังคง สวมฮิญาบต่อไป และผู้ที่ไม่สวมก็ยังคงไม่สวมต่อไป แล้วแต่ว่า เขาจะเข้าใจคำสอนอย่างไร เป็นสิทธิส่วนตัวของเขา ซึ่งผมไม่มีข้อขัดข้องอย่างไร เพียงแต่ เสนอความคิดว่า, เรื่องฮิญาบ ไม่มีการบังคับ ใน อิสลาม,   แต่มีบังคับในประเพณีมุสลิมอรับ เท่านั้น ................   สำหรับ คุณคนแปลกหน้าในโลกดุนยา  ผมต้องตำหนิคุณสักหน่อย ไหนๆ คุณก็ตามคุยกับผมเรื่อยมา  มุสลิมไม่ควรสอนให้มุสลิมด้วยกัน "โกหก" ในเรื่องความศรัทธาต่ออิสลาม  ดังเช่นคุณได้แนะนำมุสลิมะห์ผู้หนึ่ง ในกระทู้อื่นๆ (ข้าวหมูแดงหางวัว) ให้โกหกเจ้านายว่า ป่วยไปช่วยงานทอดผ้าป่าไม่ได้ จำได้ไหม? คุณไม่มีความพูมใจในอิสลามหรือ?   คุณ เห็นความฉ้อฉล ตลบแตลง ของคุณไหม? นอกจากตัวเองมีนิสัยตลบแตลงแล้ว  ยังไปสอนให้มุสลิมะห์ พูด ตลบแตลงตามคุณไปด้วย  คุณลองคิดดูซิว่า "มันเป็นความเลวแค่ไหนในความเป็นมุสลิมของคุณ ที่กระทำเช่นต่อสาธารณชน?"  เขามิพากันว่า "มุสลิมพวกนี้มันตลบแตลงกันเป็นทอดๆไป คือ สอนให้โกหกกัน มาชั่วลูกชั่วหลาน  แล้วคุณยังมีหน้ามากล่าวหาผมอีกหรือ?  กลับไปเป็นตัวตลกจำอวดต่อไปอีกดีกว่า ...พูดไป ..ฮา..ไป ผมว่ายังน่ารัก กว่า ไปสอนให้มุสลิมโกหกตลบแตลงต่อ เจ้านายหรือหัวหน้างานเช่นนั้น มันผิด ศีลธรรม ของทุกๆความศรัทธา   และคุณไม่คิดหรือว่า คนอื่นเขาจะมองมุสลิม เช่นคุณอย่างไร? ผมแนะนำให้คุณ...  ไปลบความคิดเห็นข้อนั้นเสีย.. เขาจะได้ไม่ดูถูกมุสลิมกลุ่มพันทิป ว่าเป็นพวก โกหก ตลบแตลง ......................... นี่คือความตลบแตลงของคุณ: http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8511804/Y8511804.html   ความคิดเห็นที่ 11     "ลาป่วยไปเลยครับ เหตุผล มีเยอะเช่น ปวดท้องอย่างแรง(เมนส์มา)ผิดปรกติ, ทานอาหารผิดประเภท, อากาศเปลี่ยน, โดนละอองฝนปวดหัวลุกไม่ไหว,  ฯลฯ                         ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องไปพอถึงที่ก็บอกกับเพื่อนว่าไม่ค่อยสบาย ไม่อยากอยู่ที่มีคนเยอะๆ ขอนอนพักผ่อนในรถ หรือออกไปเที่ยวที่อื่น จนงานเสร็จค่อยกลับมาเพื่อนๆเข้าใจ (ระวังความเห็นแอบแฝงมาจากพวกสำนักจานบินผีนะครับ) จากคุณ : คนแปลกหน้าในโลกดุนยา"   เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 52 14:42:47     ................... สวัสดีนะครับ แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 52 10:06:24 แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 52 09:57:13 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 09:50:11

ความคิดเห็นที่ 36 ก่อนที่ผมจะจบกระทู้ในหัวข้อ.. "ร่างกายของผู้หญิงนั้นทรงคุณค่าขนาดไหนในอิสลาม ลองตรองดู" ^^, นี่หรือ คือ เหตุผลที่ต้อง ต้องคลุมด้วย "ฮิญาบ?" จากภาพนี้ นี่คือความกรุณาปราณีของชายมุสลิมอรับ ที่ กระทำกับร่างกายของผู้หญิงที่ทรงคุณค่า, "โดยการเอาปืนจ่อหัวสังหารหญิงอรับมุสลิมที่สวมฮิญาบ ในข้อหาชู้สาว"  อย่างเลือดเย็น  "ฮิญาบไม่ได้ป้องกัน ความเลวในกามรมณ์ของหญิงหรือชายได้เลย" แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 52 10:21:45 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 10:19:58

ความคิดเห็นที่ 37 สั้นๆ เลยนะครับว่า "นี่แหละสันดานแมทท์ พอไปหาข้อมูลบิดเบือนมาใหม่ไม่ได้ ก็หนีไปอย่างไร้ศักดิ์ศรี" ผมไม่แปลกใจครับ เพราะคนชั้นต่ำแบบ login แมทท์ ก็ทำตัวต่ำๆ แบบนี้มา 5-6 ปีแล้ว จะทำต่อไปก็ไม่แปลกอะไร และมันคงเป็นสันดานแบบนี้ ตั้งแต่บรรพบุรุษที่อ้างว่าตัวเองยึดถือเพื่อการปฏิบัติละหมาด ก็เป็นอันสรุปได้ว่า ไม่ต่างกับกรณีละหมาด นั่นคือ ถูกจับได้ว่าไปเอาข้อมูล เก๊จากเว็บ กะโหลกกะลา นักวิชาการกำมะลอ มาลง ถูก แฉจนไม่เหลือ ก็หนีตามเดิม แถมปิดท้ายด้วยการพยายามยัดเยียด ใส่ร้าย เพื่อให้คนอื่นถูกมองว่าเป็นคนโกหก ทั้งๆที่ การแนะนำของนั้นเป็นการแนะนำเพื่อประณีประนอม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ให้คำปรึกษากับเขา แล้วตัวเองที่มาคนอื่นตลบแตลงให้คำปรึกษาอะไรมั่ง? นี่แหละสันดาน login แมทท์ ก็ทำอะไร ได้แบบแมทท์ๆ แบบนี้ แสดงตัวว่ารู้กุรอ่าน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วไปก๊อบข้อความ ไปเอามาจากคนอื่นทั้งนั้น ลองไปดูกระทู้นี้ครับ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8507923/Y8507923.html คคหที่ 54 ที่กล่าวหาผมเรื่องการอธิบายกุรอ่าน พอโดนจับได้ว่ามั่ว ไปเอาบทความคนอื่นมาลงแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง ก็หนีมาตั้งกระทู้ใหม่ เพื่อกลบประเด็นความ โง่ของตัวเองทันที คิดว่าผมรู้ไม่ทันหรือ? พอกระทู้หมดปัญญาจะแถ ก็หาเรื่องอื่นมาเปลี่ยนทันที แสดงให้เห็นเจตนาเลยครับว่า ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสนทนาแบบวิชาการ หรือเพื่ออุดมการณ์อิสลามอะไร แต่เพื่อบ่อนทำลายอิสลาม และ Hijack หลักการอิสลามให้ได้มากที่สุด อย่างที่คุณ Zeitgeist aka bAdkArmA ว่าไว้นั่นล่ะ พูดได้คำเดียวเลยว่า "ชั่ว" จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 10:23:26

ความคิดเห็นที่ 38 ค่ำๆ เจอกัน จะแสดงย้ำอีกที ว่า คนสันดาน แมทท์ๆ มันทำอะไรไว้บ้าง จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 10:25:31

ความคิดเห็นที่ 39 อ่ะ....นั่นไง เหมือนเดิมแล้ว เริ่มออกลวดลายติ๊ดชึ่ง เหมือเดิม และที่ผมหาทางออกให้น้องเค้านั้นก็นิ่มนวลดีแล้วนี่ครับ - แมทท์จะเอาไงอีกละ ผมรู้ที่แมทท์กล้าออก คคห. สวนกับผม ก็เพราะต้องการตอบสนองการเอาชนะของตัวเองและแก้อาย แก้ขายหน้าซึ่งการที่แมทท์ ถูกหลายคนรวมทั้งผมจับโกหกได้คาหนังคาเขาทุกครั้งจนเจ็บแค้นแน่นอก - ผมเดาได้เลยถ้า คคห. นั้นผมแนะนำน้องเค้าออกไปตรงๆว่า "บอกหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานว่าไปไม่ได้ เพราะนั่นเป็นการทำผิดหลักการ..."       แมทท์ ก็จะออกมาสวนผมอยู่ดีว่า "เราเป็นมุสลิม อยู่ในประเทศไหน ก็ควรให้ความร่วมมือ อย่าแสดงตัวว่าเป็นอิสลามจนขยับอะไรไม่ได้ ปัญหาเกิดจากเราคิดมากเกินคำสอนไปเอง ปัญหาของอิสลาม 3 จว. และอื่นๆ ทั่วโลกเป็นเพราะเราไม่รู้จัก.....บลาๆๆๆๆ"(รู้ทางแกดี ไอ้เฒ่าหัวงู)   ก่อนจะเปิดตูด แมทท์ ก็จะออก ลวดลายแบบนี้ตลอดคือ ตีอกชกหัว เรียกร้องให้เห็นใจ สะอึกสะอื้น และไม้เด็ดก็เอาเรื่องโป้ปดมดเท็จ มากระชากใจผู้ชม ให้ตลึงพรึงเพริดและลืมเรื่องที่เป็นประเด็นอยู่.......แมทท์ จะบอกให้นะ มุสลิมห้องนี้ไม่หลงกลแกหรอก ไม่เป็นไรหรอกแมทท์ แมทท์ด้านได้ ด้านไป มีเล่ห์อุบายอะไรอีก เอาออกมาเลย...... แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 52 11:17:38 จากคุณ : คนแปลกหน้าในโลกดุนยา เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 11:10:24

ความคิดเห็นที่ 40 "ของคุณ Zeitgeist aka bAdkArmA ถึงแม้ว่า อาจจะเป็นการประชดประชันก็ตาม แต่เขามีความเข้าใจ ในคำอธิบายของผมถุกต้อง  เมื่อมีผู้เข้าใจคำอธิบายของผมถูกต้อง ตามความตั้งใจของผมแล้ว แล้ว ถึงจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม เรื่องก็จบครับ" ที่คุณเปิดประเด็นนี้ขึ้นมา ผมเข้าใจว่า คุณต้องการจะแลกเปลี่ยนซะอีก ทำไมถึงรีบจบล่ะครับ ผมกลับไปอ่านข้อความของตัวเองใน คคห.29 ว่าข้อความไหนที่ทำให้คุณรู้สึกว่าผมประชดประชัน แต่ครั้งนี้ผมเปล่านะครับ ที่ถามไป เพราะผมพยายามไล่อ่าน แต่ยิ่งอ่านประเด็นมันก็ไม่คมซักที สรุปผมหมดความอดทนเลยสรุปเองและถามเจ้าตัวเลยดีกว่า ผมแค่ต้องการจะเข้าใจให้ถูกต้อง ก่อนที่ผมจะสามารถบอกได้ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แค่ไหน อย่างไร จากคุณ : Zeitgeist aka bAdkArmA เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 12:24:43

ความคิดเห็นที่ 41 ตกลงจะเลี่ยง บ่ายเบี่ยง ไม่กล้า ไม่ตอบคำถามผมง่ายๆ ตรงๆ ของผมเหรอ - ในกุรอ่าน 24:31 อย่างน้อยบอกว่า ผ้าคลุมศรีษะ(คีมารฺ)? - ผ้าคีมารฺ(ซึ่งอย่างน้อยต้องมีติดผม และบริเวณหน้าอก)อยู่ที่ไหน? - ถ้ามุสลิมะห์ไม่มีผ้าคีมารฺ(หรือฮิญาบ) แล้วแมทท์บอกว่านั่นทำถูกต้องแล้ว เท่ากับแมทท์แก้ไขบิดเบือนโองการของอัลลอฮฺใช่ไหม? จากคุณ : คนแปลกหน้าในโลกดุนยา เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 12:28:16

ความคิดเห็นที่ 42 โอเคครับ ในเมื่อความเข้าใจของผมไม่ได้คลาดเคลื่อนไปจากสิ่งที่คุณต้องการจะสื่อ จากตรงนี้เราจึงสามารถคุยให้ประเด็นมันกระชับได้ -- ถ้าคุณยังต้องการแลกเปลี่ยนอยู่ แต่ตอนนี้ผมต้องขอเวลาทำงานก่อนนะครับ จากคุณ : Zeitgeist aka bAdkArmA เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 12:29:24

ความคิดเห็นที่ 43 คิดไปคิดมากับข้อโต้แย้งของคุณแมทช์ แล้วอดฉงนใจไม่ได้ คุณแมทช์บอกว่าในอายะห์ดังกล่าวนั้นเป็นคำสั่งให้ดึงผ้าคลุมผม (คีมารฺ) ลงมาปิดเนินอก (แน่นอนเราไม่มีปัญหาในจุดนี้) แต่ไม่ใช่คำสั่งให้คลุมผม ดังนั้นการคลุมผมของสตรีจึงไม่ใช่ข้อบังคับ! มันเหมือนกับว่าผมสั่งให้คุณฉีกหน้าที่ 153 ออกจากหนังสือเล่มหนึ่ง แล้วคุณแมทช์ก็แย้งว่า อันนี้เป็นคำสั่งให้ฉีกหน้ากระดาษ ไม่ใช่คำสั่งให้เปิดหนังสือ ดังนั้นการเปิดหนังสือเล่มนั้นจึงไม่ใช่ข้อบังคับ แต่คุณจะฉีกหน้าที่ 153 ได้อย่างไรถ้าคุณไม่เปิดหนังสือเพื่อหาหน้าที่ว่านั้นก่อน นี่มันเป็น Logical Consequence ที่เกิดขึ้นตามเหตุตามผลธรรมดาๆ นี่เอง พอจะเห็น Line of Thinking แบบนี้ของคุณแมทช์กันมั้ย จากคุณ : Zeitgeist aka bAdkArmA เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 18:15:41

ความคิดเห็นที่ 44 ที่เห็นชัดเจนก็คือ อัลลอฮฺได้สั่งใช้ให้มุสลิมะห์ดึงปลายผ้าคีมารฺลงมาปิดที่เนินอก ผมก็มองไม่ออกว่ามุสลิมะห์เหล่านั้นจะมีโอกาสปฏิบัติตามคำสั่งนี้ได้อย่างไร ถ้าพวกเธอไม่มีผ้าคลุมผมสวมไว้ เพราะคำสั่งนี้จะปฏิบัติได้ก็ต่อเมื่อมีผ้าคลุมผมอยู่เท่านั้น การไม่ใส่ผ้าคลุมผมจึงเท่ากับยับยั้งไม่ให้การปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮฺที่ให้ดึงปลายผ้าลงมาเกิดขึ้นนั่นเอง ถ้าการดึงผ้าคลุมผมลงมาปิดที่เนินอกเป็นภาคบังคับ การสวมผ้าคลุมผมไว้เพื่อที่จะได้มีปลายผ้าให้ดึงลงได้ก็กลายเป็นสิ่งจำเป็น เพราะถ้าขาดประการหลัง ประการแรกก็ไม่อาจลุล่วงได้ อันนี้มัน common sense พื้นๆ  นะครับท่าน จากคุณ : Zeitgeist aka bAdkArmA เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 18:49:39

ความคิดเห็นที่ 45 คุณ Zeitgeist aka bAdkArmA เนื่องจากคุณและผมต่างก้ไม่มีเวลาในชาวงนี้ 8 โมงเช้าที่นี่ผมต้องไปทำงาน ไว้คืนนี้ก่อนนะครับ ถ้าผมเข้าใจข้อความนี้ผิดต้องขออภัยด้วยครับ ทีคุณว่า "เอ๊ะ ทำไมมันไม่มีช่องให้ผม edit ได้ล่ะ ผมต้องการจะแก้อายะห์นี้ หมายถึง 24:31" แต่เป็นเรื่องหยุมหยิมครับ.. .............. จุดสำคัญอยู่ที่ ..คุณเข้าใจนะครับ ว่า จุดประสงค์ ของ อายะนั้น ตามความหมาย คือ "ให้ปิดหน้าอก " ซึ่งเป็นคำสั่งสำคัญ ของประโยต.  ซึ่งที่เหลือเป็นหน้าที่ ของผู้รับ คำสั่งว่า จะปิดกันอย่างไร?  ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจ ทั้งอายะ ว่า ข้อความทั้งหมดมีความหมายว่าอย่างไร?  เปรียบกับทหารเมื่อเดินแถว ได้ รับคำสั่ง ว่า "หน้าเดิน"  เป็นสามัญสำนึกของทหารว่า จะเดินไปข้างหน้าหรือ "เอาใบหน้าไถไปกับพื้นถนน"  เมื่อเราได้รับคำสั่งให้ปิด หน้าอก แล้วเรารับคำสั่งมา เราก้ต้องคิดด้วยสติปัญญาว่าควรจะปิดอย่างไร? จึงจะเรียกว่า "หญิงผู้ศรัทธา"โดย ทั่วๆไปได้ อย่างถูกต้อง ตามจริยาธรรมที่อิสลามสอนไว้ในเรื่อง มรรยาทและความเหมาะสม ตามเวลาและสถานที่  เอาเท่านี้ก่อนครับ จะกลับมาคุยใหม่ ปล. คุณแปลก อย่าตลบแตลง อีก คุณรู้ว่าคำแก้ตัวคุณไม่มีเหตุผลและไปไมรอด แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 52 19:51:03 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 19:38:24

ความคิดเห็นที่ 46 คำแก้ตัวฟังไม่ขึ้น? นี่ิสิครับฟังไม่ขึ้น จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 20:20:39

ความคิดเห็นที่ 47 จะแก้ตัวไปถึงไหน? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 20:26:03

ความคิดเห็นที่ 48 (มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิดว่า ด้วยอัลลอฮฺและบรรดาอายาตของพระองค์และร่อซูลของพระองค์กระนั้นหรือ ที่พวกเขาเย้ยหยัน พวกเจ้าอย่าได้แก้ตัวเลย แท้จริงพวกเจ้าได้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว ภายหลังจากที่พวกเจ้าได้ศรัทธากันมาก่อนแล้ว (9:65-66) จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 20:26:32

ความคิดเห็นที่ 49 ความคิดเห็นที่ 45 : แมทท์ จุดสำคัญอยู่ที่ ..คุณเข้าใจนะครับ ว่า จุดประสงค์ ของ อายะนั้น ตามความหมาย คือ "ให้ปิดหน้าอก " ซึ่งเป็นคำสั่งสำคัญ ของประโยต.  ซึ่งที่เหลือเป็นหน้าที่ ของผู้รับ คำสั่งว่า จะปิดกันอย่างไร?  ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจ ทั้งอายะ ว่า ข้อความทั้งหมดมีความหมายว่าอย่างไร? ================================================================ เอาละ คราวนี้เหลือแค่ wording "ให้ปิดหน้าอก "เท่านั้นแล้วเหรอ แมทท์ แล้วจะตัดคำว่า"ผ้าคลุมศรีษะ(คีมารฺ)"ออกไปไหนละ เสร็จแล้วก็โบ้ย บ่ายเบี่ยง ชักแม่น้ำทั้ง5 ให้คิดเอาเองซะงั้น         จะตัดคำว่า"ผ้าคลุมศรีษะ(คีมารฺ)"ออกไปได้เลยเหรอ กุรอ่านนะแมทท์ ไม่ใช่หนังสืออ่านเพลินๆยามว่าง         เห็นไหมครับพี่น้องชาวมุสลิม ความกะล่อนปลิ้นปล้อนของแมทท์ สุดท้ายแมทท์โยนนรกมาให้พี่น้องมุสลิมะห์เรียบร้อยเลย..... แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 52 20:37:29 จากคุณ : คนแปลกหน้าในโลกดุนยา เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 20:32:08

ความคิดเห็นที่ 50 "เปรียบกับทหารเมื่อเดินแถว ได้ รับคำสั่ง ว่า "หน้าเดิน"  เป็นสามัญสำนึกของทหารว่า จะเดินไปข้างหน้าหรือ "เอาใบหน้าไถไปกับพื้นถนน"  เมื่อเราได้รับคำสั่งให้ปิด หน้าอก แล้วเรารับคำสั่งมา เราก้ต้องคิดด้วยสติปัญญาว่าควรจะปิดอย่างไร?" คุณแมทช์ครับ สิ่งที่อัลลอฮฺสั่งนั้น ไม่ใช่ปิดหน้าอก แต่ให้ดึงผ้าคีมาร์มาคลุมหน้าอก พระองค์ใช้คำที่เราเห็นภาพในเชิงปฏิบัติได้ และการปฏิบัติจะต้องมีผ้าคีมาร์อยู่บนศีรษะก่อน ไม่มีเหตุผลใดๆ เลยที่เราจะต้องมานั่งพิจารณาคิดหาวิธีให้พิศดารแปลกไปกว่านั้นเพื่ออะไร คำพูดของคุณที่ว่า "เราก้ต้องคิดด้วยสติปัญญาว่าควรจะปิดอย่างไร" นั้น อัลลอฮฺได้ให้ทางออกไว้ชัดเจนแล้วคือ ผ้าคีมาร์ ไงครับ จากคุณ : Zeitgeist aka bAdkArmA เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 21:26:17

ความคิดเห็นที่ 51 อีกสิ่งหนึ่งที่คุณแมทช์ถามหาก็คือ คำสั่งที่อัลลอฮฺใช้ให้มุสลิมะห์คลุมผม พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าไม่ได้เห็นคำสั่งของอัลลอฮฺให้คลุมผมเป้งๆ โต้งๆ จะๆ ก็อย่าได้หวังว่าฉันจะทำตามเลย ประมาณนั้น ถ้าสมมติผมพูดกับคุณว่า "จงดึงขอบกางเกงในให้ขึ้นมาถึงสะดึอ" ผมต้องบอกคุณด้วยมั้ยว่าให้คุณใส่กางเกงในอีก? อีกทั้งในกรณีนี้ คุณสามารถเข้าใจได้ทันทีว่า กางเกงในนั้นไม่ได้เอาไว้สวมใส่ที่หัว ทั้งนี้การที่ผมเอ่ยคำว่า กางเกงใน เป็นเพราะผมรู้อยู่แล้วว่าคุณนั้นสวมกางเกงในเป็นปกติวิสัย (อย่างน้อยผมก็คาดหวังอย่างนั้น) ดังนั้นคงไม่ค่อย make sense เท่าไหร่ ถ้าผมต้องมาระบุอีกว่า "จงสวมกางเกงในไว้ที่เป้าของคุณ แล้วจงดึงขอบกางเกงในให้ขึ้นมาถึงสะดือ" ทำนองเดียวกัน อัลลอฮฺ (ซ) จึงไม่จำเป็นต้องมาออกคำสั่งว่า "จงคลุมผมด้วยคีมารฺ" เพราะทันทีที่ชาวอาหรับได้ยินคำว่า คีมารฺ เขาก็เข้าใจทันทีว่าผ้าคีมารฺนั้นเอาไว้คลุมผม ไม่ใช่เอาไว้สวมที่เป้า! และทำนองเดียวกันนั้น พระองค์รู้อยู่แล้วว่า การสวมผ้าคีมารฺในหมู่ชาวอาหรับนั้นเป็นเรื่องปกติวิสัย ด้วยเหตุนี้การเอ่ยคำว่าคีมาร์จึงพอเพียงแล้ว แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 52 21:36:11 จากคุณ : Zeitgeist aka bAdkArmA เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 21:30:02

ความคิดเห็นที่ 52 อนึ่ง (คำนี้เขายังใช้กันอยู่มั้ยเนี่ย) คำว่า คีมารฺ นั้น ชาวอาหรับยังหมายรวมถึงผ้าโพกศีรษะที่ชายมุสลิมบางท่านนิยมด้วยนะครับ ซึ่งมุสลิมไทยเรียก ผ้าสาระบั่น สังเกตด้วยว่าในอายะห์ที่ 30 กับ 31 นั้น อัลลอฮฺวางรูปประโยคเหมือนกันเด๊ะ อายะห์ที่ 30 นั้นมีผลต่อผู้ชายและ 31 ต่อผู้หญิง แต่อัลลอฮฺระบุคำว่า คีมารฺ ในอายะห์ที่ 31 เท่านั้น แปลกใจมั้ยว่าเพราะอะไร ;-) จากคุณ : Zeitgeist aka bAdkArmA เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 21:39:06

ความคิดเห็นที่ 53 ""เอ๊ะ ทำไมมันไม่มีช่องให้ผม edit ได้ล่ะ ผมต้องการจะแก้อายะห์นี้ หมายถึง 24:31" แต่เป็นเรื่องหยุมหยิมครับ.." ------------- อันนี้คือผมตั้งใจจะระบุเลขอายะห์ 24:31 เข้าไปใน คคห. 29 น่ะครับ เพราะตอนแรกเขียนแค่ว่า "อายะห์นี้" แล้วเกรงว่าบางท่านจะไม่รู้ว่าผม refer ถึงอายะห์ไหน จากคุณ : Zeitgeist aka bAdkArmA เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 22:28:18

ความคิดเห็นที่ 54 จะโกหกคนอื่นว่าตัวเองเป็นมุสลิมไม่ยากหรอก แต่ของเก๊มันก็คือของเก๊ ดูได้จากพฤติกรรมที่ประสงค์ร้าย จะมีคนที่เรียกตัวเองว่า "มุสลิม" คนไหนที่มีพฤติกรรมใส่ร้ายอิสลามและนบีของตัวเองได้อย่างไม่สะทกสะท้านแบบนี้ เลิกเถอะกับการจับแพะชนแกะ เลิกเถอะกับการเอาความจริงมาปนกับความเท็จ เลิกเถอะกับการจมอยู่ในความมืดบอด คุณหลอกลวงได้แต่กับเฉพาะคนที่ยังไม่รู้จักอิสลาม หรือเข้าใจผิดเกี่ยวกับอิสลามอยู่ก่อนแล้วเท่านั้น แต่คุณไม่มีวันสั่นคลอนความศรัทธาของคนที่เป็นมุสลิม คนที่รู้จักอิสลาม คนที่ไม่ใส่ร้ายอิสลามและท่านนบีได้หรอกครับ หวังว่าคุณจะเอาเวลาไปทบทวนตัวเองเพื่อสำนึกผิด และกลับเนื้อกลับตัว จากคุณ : เจ้าชายเย็นชา เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 23:52:32

ความคิดเห็นที่ 55 พี่น้องมุสลิม ทุกท่านครับ พอจะมองออกเหรอยังครับ ถึงความตลบแตลง กะล่อนปลิ้นปล้อนที่แมทท์ได้แสดงให้ทุกคนได้เห็น          เรื่อง"ฮิญาบ"สุดท้ายแมทท์ กล้าตัดคำบางคำในกุรอ่านออกไปได้อย่างหน้าตาเฉยโดยไม่สะทกสะท้าน          ถ้าพี่น้องมุสลิมทุกท่าน อ่าน คคห.46-47 ให้ละเอียด ครบทุกตัวอักษร พี่น้องว่าแมทท์ผู้นี้เป็นเป็นมุสลิมจริงหรือ? จากคุณ : คนแปลกหน้าในโลกดุนยา เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 08:00:18

ความคิดเห็นที่ 56 อ่านอีกครั้งนึงครับ พี่น้องมุสลิมทุกท่าน ว่าแมทท์ผู้นี้เป็นใครกันแน่ แมทท์เป็นมุสลิมจริงหรือ หรือแฝงตัวมาเป็นมุสลิมเพื่อประสงค์สิ่งซ่อนเร้นและบ่อนทำลาย ทำไมแมทท์ถึงกับกล้าตัดคำในกุรอ่านได้โดยไม่สะทกสะท้าน ทั้งๆที่ไม่มีความรู้ใดๆในกุรอ่านหรือภาษาอาหรับเลยสักนิด ถ้าเป็นมุสลิมอย่างพวกเราจริงจะกล้าทำในสิ่งเหล่านี้เหรอ คนเช่นไหนกันด่าทอ ปรักปรำ ให้ร้าย ใส่ความ ศาสดาของศาสนาตัวเองให้เสียหาย คนเช่นนี้อ้างว่าเป็นมุสลิมได้ด้วยเหรอ? ไม่น่าจัดว่าเป็นคนเลยด้วยซ้ำ....... อ่านให้ละเอียดทุกตัวอักษร นะครับพี่น้อง จากคุณ : คนแปลกหน้าในโลกดุนยา เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 08:12:22

ความคิดเห็นที่ 57 คุณ Zeitgeist aka bAdkArmA เรื่องนี้ผมเข้าใจเจตนาคุณผิดจริงๆและต้องขออภัยด้วยครับ  ผมยังขอขอบคุณที่ คุณถามตัดตรงประเด็น ที่ผมต้องการจะสื่อ,  คุณทำให้ผม สบายใจขึ้น เป็ นอย่างมากทีเดียว ..............................................  คุณ Zeitgeist aka bAdkArmA        ผมคิดว่าเราคงสนทนากันตาม ข้อกระทู้นะครับ เรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวกับ การสนทนา สำหรับผุ้ซึ่ง ตามด่าว่า ผมตลอดมานี้ เนื่องจาก เขาไม่เข้าใจ ประเด็น ที่ผมกำลังอธิบายในความเห็นความเข้าใจ จากบัญญัติ ต่างๆในอัลกุรอาน ที่แตกต่างจาก  แบบฉบับที่ถูกวางไว้  โดยผู้ที่ไม่ต้องการให้ผู้ใด ได้มี ส่วนที่จะใช้สมอง ของตัวเองในการเข้าใจอัลกุรอาน  ดดยเฉพาะอย่างยิ่ง  สตรีมุสลิม จะมีเงื่อนไขทางสรีระเป็นข้อ ห้าม จับต้อง เพิมเติมมาอีก      เมื่อผมได้อ่านคำอธิบายของคุณในประเด็นของผม ผมทราบได้ทันทีว่า คุณต้องเป็นนักอ่านนักฟังที่ดี และเข้าใจความคิดเห็นของผู้อื่น โดยไม่ใช้อารมณ์  สมกับคำ เตือน ของพระเจ้า ในบัญญัติที่ 17:36  ซึ่งมีความหมายว่า..      “เราจะต้องไม่ยอมรับหรือเชื่อในเรื่องใดๆ, เว้นเสียแต่ว่า เราได้ไตร่ตรองและพิจารณา ด้วยความเข้าใจของตัวเราเองเสียก่อน,, ทั้งนี้เพราะว่าพระองค์ได้ สร้างเราขึ้นมาพร้อมด้วยการได้ยินและการมองเห็น รวมทั้งสมองสำหรับคิด และเราเท่านั้น ที่จะมีความรับผิดชอบในการใช้สิ่ง ดังกล่าวที่พระเจ้าได้สร้างมาให้แก่เราแล้ว”     ผมเข้าใจได้ดีว่า คุณไม่ได้เชื่อในความคิดเห็นของผมในเรื่องนี้,  ซึ่ง มันไม่ใช่ความตั้ง ใจของผมอยู่แล้ว ที่ มีความต้องการจะให้ใครเชื่อ  แต่อยากให้ เข้าใจ ตาม 17:36   ที่คุณจะมีสิทธิจะตัดสินใจเอาเอง เพราะเป็นเรื่อง ของ แต่ละบุคคล กับพระเจ้าโดยตรง    ผมเคยกล่าวมาบ่อยครั้งที่สุด เกี่ยวกับระเบียบในการแต่งตัวของ สตรีมุสลิม (หรือสตรีทั่วๆไปที่เป็นลูกหลาน นบีอดัม ตามศรัทธาของอิสลาม) โดยเริ่มแต่  บัญญัติที่ 7:26 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า  “พระองค์ได้จัดหาเครื่องนุ่งห่มร่างกายให้กับมวลมนุษย์ เพื่อปกปิดร่างกายและเพื่อ ความ สวยงาม (โอ่อ่า)”   และอย่างไรก็ตาม พระองค์กล่าวต่อไป ในความหมายที่ว่า, “แต่เครื่องแต่งกายของมนุษย์ที่ดีที่สุดนั้น คือ การเป็นผู้ที่มีจิตใจศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง ประพฤติตนและใช้ชีวิตอยู่อย่างผู้ที่มี คุณธรรมและจริยาธรรม, ซึ่งเป็นข้อเตือนให้ มนุษย์พึงสังวรณ์ไว้”   จากอายะนี้ เราจะเห็นว่า  อิสลามได้ให้ความอิสลระในการแต่งกายของมุสลิม และมวลมนุษย์ ทั้งชายและหญิงไว้อย่าง กว้างขวาง  คือ มนุษย์สามารถที่จะ แต่งกายอย่างไรก็ได้  เพื่อปกคลุมร่างกาย และเพื่อความโอ่อ่า หรือสวยงามแก่ร่างกาย  ถึงแม้กระนั้น พระเจ้าได้เตือน มนุษย์ไว้ว่า, เครื่องแต่งกายนั้นไม่สำคัญเท่ากับ การเป็นผู้ทรงคุณธรรม    การที่พระองค์ออกบัญญัติเช่นนี้ก็เนื่องจากพระเมตตาและพระมหากรุณา ของพระองค์ ต่อมวลมนุษย์ ทั้งนี้ เพราะพระองค์ ทรงล่วงรู้ว่า มนุษย์ กำเนิดในสภาพภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน  และฐานะทางเศรษฐกิจ และ สภาวะสังคมต่างๆกัน  ถ้าพระเจ้าจะกำหนด การแต่งกายของ มนุษย์ อย่างตายตัว แล้ว ย่อมเป็นการยากลำบาก ต่อ ผู้ที่ไม่อาจจะ หาเครื่องนุ่งห่ม ตามบัญญัติได้    ชาวป่าชาวเขา ในดงดิบทาง South America บางเผ่าดึงใบไม้ มาห่อหุ้มร่างกาย ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานไว้ในสภาพแวดล้อมของ เขา ถึงแม้ร่างกาย จะเปลือยเปล่า เขาเหล่านั้น ห็อยุ่ในสังคมอย่างสงบ มีระเบียบในเรื่องคู่ครอง ไม่สำส่อน ทั้งนี้เพราะเขา เหล่านั้น ตามสัญชาติญาน ที่พระเจ้าสร้างมา มี คุณธรรมติดมาในจิตวิญญาณ มาจากกำเนิด ถึงแม้จะยัง ไม่มีศาสดาใดๆเข้าไปสอนก็ตาม และถ้าใครทำผิดปรเวณีก็จะถูกทำโทษ โดยการถูกขับไล่ออกจากชุมชน ไม่ถึงกับมีการเข่นฆ่ากัน    ศาสดาของทุกๆศาสนา   ที่มาสอนมวลมนุษย์ ไม่ว่า ท่านศาสดาเหล่านั้น จะมีการสอน เกี่ยว กับพระเจ้า หรือไม่ กล่าวถึงพระเจ้าก็ตาม  ศาสดา เหล่านั้น จะสอน ให้ มวลมนุษย์ ดำรงอยู่ในคุณธรรมทางจิตใจ สำคัญกว่าเครื่องแต่งกายหรือ สิ่งนอกกาย  ด้วยกันทั้งนั้น  ทั้งนี้  ความมีคุณธรรมในจิตใจ ของมนุษย์นั้น เป็นเกราะป้องกัน หรือ เครื่อง นุ่งห่มที่ สำคัญที่ดีเยี่ยม ที่จะทำ ให้มนุษย์ อยู่ร่วมกัน อย่าง สงบ สุข โดยไม่มีการเบียดเบียนกันทั้ง กาย และ จิตตใจ    คุณ จะเห็นว่า  อัลกุรอานเพียงบัญญัติเดียว  ถ้าเราเข้าใจในสัญญาน ที่พระเจ้าส่ง ถึงเรา จากข้อความของบัญญัติ[7:26]  นั้น เพียงบัญญัติเดียว ก็เพียงพอ แก่การเข้าใจในเรื่องแต่งกายของมนุษย์ และ วัตุประสงค์ และความกรุณาปราณี ของพระเจ้า ที่มีต่อ มนุษย์ทุกๆ สังคมไม่ เฉพาะแต่  ชนชาติอรับเท่านั้น จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 08:47:58

ความคิดเห็นที่ 58 ในอายะ 24:31 คุณคงเห็นแล้วว่าผม และคุณ Caroth ได้ แสดงความคิดเห็นกันมาอย่างละเอียด ทั้งสอง ฝ่าย ซึ่งความเช้าใจ ใน คำว่า “คิมาร” ในอายะนี้ เป็น ปัญหาใหญ่ สำหรับ ผู้ที่ไม่เข้าใจ ในความพยายามที่ผมจะสื่อ และในที่สุด เหมือน พระเจ้า ช่วยให้คุณเข้ามา อธิบาย ความเข้าใจ ของผม ซึ่งต้อง ขอบคุณไว้ในที่นี้อีกตรั้ง ตามที่คุณยกตัวอย่าง  เปรียบเทียบที่ว่า   “มันเหมือนกับว่าผมสั่งให้คุณฉีกหน้าที่ 153 ออกจากหนังสือเล่มหนึ่ง แล้วคุณแมทช์ก็แย้งว่า อันนี้เป็นคำสั่งให้ฉีกหน้ากระดาษ ไม่ใช่คำสั่งให้เปิดหนังสือ ดังนั้นการเปิดหนังสือเล่มนั้นจึงไม่ใช่ข้อบังคับ แต่คุณจะฉีกหน้าที่ 153 ได้อย่างไรถ้าคุณไม่เปิดหนังสือเพื่อหาหน้าที่ว่านั้นก่อน นี่มันเป็น Logical Consequence ที่เกิดขึ้นตามเหตุตามผลธรรมดาๆ นี่เอง พอจะเห็น Line of Thinking แบบนี้ของคุณแมทช์กันมั้ย”    ผมเห็นด้วยกับ การเปรียบเทียบดังกล่าวมีถูกบ้างเป็นบางส่วน, แต่ที่ต่างกันก็คือ Line of Thinkingของผม ในบัญญัติ  24:31 นั้น เปรียบเสมือน ว่า หนังสือ ได้มีผู้เปิดไว้ก่อนแล้ว (ตั้งแต่อายะที่  7:26),    เมื่อคุณสั่งให้ผมฉีก หน้า 153 ออก ผมก็ฉีกออก เลย,  แต่ในขณะเดียวกันคุณกลับ โต้แย้งผมว่า  ทำไมไม่ปิดหนังสือ เสียก่อนแล้ว จึงเปิดมันขึ้นมาใหม่ เพื่อฉีกหน้า 153 ออก?     ซึ่งผมก็จะตอบว่า จะต้องไปทำให้ยุ่งยากทำไมในเมื่อหน้า153 นั้น มันเปิด ให้เห็นอย่างแจ้งชัดแล้ว  นี่คือ  Line of Thinking ของผมครับ      ที่ว่าหนังสือเปิดไว้ก่อนแล้ว ก็เนื่องจากการเปรียบเทียบว่า “ตามประเพณีอรับสมัยนั้นเขาสวมฮิญาบอยู่ก่อนแล้ว” ซึ่งคุณได้เข้าใจดีแล้ว      ส่วนการฉีกหนังสือ หน้า 153 ก็เปรียบได้ว่า “การรวบชายผ้าคลุมศรีษะมาปิดทรวงอกของนาง” ตามที่คุณเข้าใจที่ผม อธิบายจากตอนต้นแล้ว จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 08:55:35

ความคิดเห็นที่ 59 ก่อนอื่น ผมต้อง ย้ำในความเข้าใจ ของผมว่า ข้อความ  ในอายะที่  24:31นี้ ว่า ยังอยู่ภายใต้ เงื่อนไขของ  บัญญัติที่ 7:26 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า   “พระองค์ได้จัดหาเครื่องนุ่งห่มร่างกายให้กับมวลมนุษย์ เพื่อปกปิดร่างกายและเพื่อ ความ สวยงาม (โอ่อ่า)”   และอย่างไรก็ตาม พระองค์กล่าวต่อไป ในความหมายที่ว่า, “แต่เครื่องแต่งกายของมนุษย์ที่ดีที่สุดนั้น คือ การเป็นผู้ที่มีจิตใจศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง ประพฤติตนและใช้ชีวิตอยู่อย่างผู้ที่มี คุณธรรมและจริยาธรรม, ซึ่งเป็นข้อเตือนให้ มนุษย์พึงสังวรณ์ไว้”    แต่ว่าในอายะที่  24:31นี้ พระเจ้า ทรงแนะนำ ให้ หญิง ที่อยู่ผู้ศรัทธาที่อยู่ในสังคม อรับและสังคมต่างที่ความเจริญเริ่มเข้าไปถึง ดดยเฉพาะในสังคมอรับ ในขณะที่เปลียน จาก “ยุคมืด”  เข้ามาเป็นผู้ศรัทธาต่อ อิสลาม  โดยแนะนำในเรื่อง 1.มรรยาทในการแต่งกาย ให้ หญิง ผู้ศรัทธา ใช้ ผ้าคลุมศรีษะที่นางสวมอยู้นั้นรวบหรือดึงมาปิดหน้าอกของนาง ให้มิชิด และไม่ให้แต่งกายที่ รัดรูป 2.มรรยาทในการเดิน  จะต้องเดินให้เรียบร้อย ไม่มีการ ส่ายตะโพก, กระแทกซ้นเท้า ทั้งนี้เพราะท่าทางในการเดิน โดยการกระแทก ซ่นเท้า และส่ายตะโพก สบัดลูกกระพรวนเตรื่องประดับ(ซึ่งเป็นการแต่งกาย ของหญิงอรับ ในสมัยนั้น) เป็นการยั่วเย้าอารมณ์ชาย 3.หญิงผู่ศรัทธา ตวรจะผ่อนคลายในเรื่องเครื่องแต่งกายของนาง, เวลาใด และต่อหน้าใคร สถานที่ใด   4.มีคำสั่งไม่ให้เปิดส่วนใดของนางเว้นเสียแต่ในส่วนที่จำเป็น     จาก ความมุ่งดังกล่าวนี้  เราจะเห็นว่า คำสั่งทั้ง 4 ข้อ ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับการคลุมศรีษะ,แต่มีคำว่าทรวงอก   อยู่ในอายะนี้  แต่ไม่มี คำว่า “หัว” หรือ “ผม”  อยู่ในอายะนี้  ใช่ไหมครับ?     สำหรับคำสั่งใน ข้อ 4...คำสั่งนี้จะเป็นที่คลุมเคลือสำหรับปผู้ที่ไม่ซาบซึ่งในความกรุณาของพระเจ้า   คุณจะเห็นว่าใน ประโยคยี้ พระเจ้า กล่าวไว้ใน ความหมายทั่วๆไป ไม่ได้บ่งเฉพาะว่า ส่วน ใดเป็นส่วนที่จำเป็น และความสดวกของแต่ละบุคคล,  ซึ่งไม่ใช่เรื่องหรือธุระกิจของ อุลมา ต่างๆ หรือ ของผู้ใด ที่จะมากำหนด ว่าอะไรคือความจำเป็นและความสดวกของหญิง    พระเจ้าได้มอบอิสระสำหรับที่ผู้หญิงจะตัดสินใจด้วยตัวของเธอเอง  และไม่อาจจะมีผู้ใด แย่งเอาสิทธิข้อนี้ของเธอไปได้, หญิงผู้ศรัทธาผู้ที่เชื่อฟังและเข้าใจ บัญญัติที่ 7:26  จะไม่มีความลำบากที่จะปฏิบัติตามในการแต่งกายว่าสมควรจะแต่งอย่างไรจึง จะเป็นผู้ที่มีคุณธรรมและจริยาธรรมที่ดี ที่เหมาะสมกับความสดวกสบายและควาวมจำเป็นของเธอ จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 09:32:26

ความคิดเห็นที่ 60 พี่น้องมุสลิมครับอย่าไปหลงคารม น้ำเน่า น้ำท่วมทุ่ง นะครับ ดูดีๆนะครับแมทท์เริ่มตลบแตลง รอบใหม่แล้วครับ คราวนี้จะเอา อายะ 7:26 มาเกี่ยวข้องอีก ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยพูดถึง พอแมทท์เข้าตาจนเรื่อง ฮิญาบ ในอายะห์ 24:31 เพราะ แมทท์ จงใจตัดคำว่า"ผ้าคลุมศรีษะ(คีมารฺ)"ออกไป ซึ่งนั่นแมทท์ ถือว่าได้ "แถ"ครั้งสุดท้ายแล้ว เมื่อถูกจับได้เห็นๆ จะๆ ว่าจงใจตัดต่อ บิดเบือนกุรอ่านซึ่งเป็นโองการของอัลลอฮฺในอายะห์ 24:31 จึงหาอายะห์ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องแต่งกายมาเบี่ยงประเด็นไปซะแล้วไปตั้งเงื่อนไขใหม่ เห็นไหมครับ.....จับตาดูไปเรื่อยๆครับ อย่าไปหลงคารมมัน ดูว่าแมทท์ จะว่าไงเรื่องตัดต่อกุรอ่าน @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@ ความคิดเห็นที่ 45 : แมทท์ จุดสำคัญอยู่ที่ ..คุณเข้าใจนะครับ ว่า จุดประสงค์ ของ อายะนั้น ตามความหมาย คือ "ให้ปิดหน้าอก " ซึ่งเป็นคำสั่งสำคัญ ของประโยต.  ซึ่งที่เหลือเป็นหน้าที่ ของผู้รับ คำสั่งว่า จะปิดกันอย่างไร?  ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจ ทั้งอายะ ว่า ข้อความทั้งหมดมีความหมายว่าอย่างไร? ================================================================ เอาละ คราวนี้เหลือแค่ wording "ให้ปิดหน้าอก "เท่านั้นแล้วเหรอ แมทท์ แล้วจะตัดคำว่า"ผ้าคลุมศรีษะ(คีมารฺ)"ออกไปไหนละ เสร็จแล้วก็โบ้ย บ่ายเบี่ยง ชักแม่น้ำทั้ง5 ให้คิดเอาเองซะงั้น        จะตัดคำว่า"ผ้าคลุมศรีษะ(คีมารฺ)"ออกไปได้เลยเหรอ กุรอ่านนะแมทท์ ไม่ใช่หนังสืออ่านเพลินๆยามว่าง        เห็นไหมครับพี่น้องชาวมุสลิม ความกะล่อนปลิ้นปล้อนของแมทท์ สุดท้ายแมทท์โยนนรกมาให้พี่น้องมุสลิมะห์เรียบร้อยเลย..... จากคุณ : คนแปลกหน้าในโลกดุนยา เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 10:10:31

ความคิดเห็นที่ 61 ความคิดเห็นที่ 59 : แมทท์     ก่อนอื่น ผมต้อง ย้ำในความเข้าใจ ของผมว่า ข้อความ  ในอายะที่  24:31นี้ ว่า ยังอยู่ภายใต้ เงื่อนไขของ  บัญญัติที่ 7:26 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า ============================================================== ดูแมทท์เค้าทำซิครับพี่น้องมุสลิม แมทท์ตั้งเงื่อนไข ให้กุรอ่านเองเลย ว่าอายะห์ไหนไปอยู่ภายใต้อายะห์ไหน ถามว่าแมทท์ มีความรู้เรื่องภาษาอาหรับและการตีความกุรอ่านตั้งแต่เมื่อไรครับ จากคุณ : คนแปลกหน้าในโลกดุนยา เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 10:46:38

ความคิดเห็นที่ 62 "ผมเห็นด้วยกับการเปรียบเทียบดังกล่าวมีถูกบ้างเป็นบางส่วน, แต่ที่ต่างกันก็คือ Line of Thinkingของผม ในบัญญัติ  24:31 นั้น เปรียบเสมือนว่าหนังสือได้มีผู้เปิดไว้ก่อนแล้ว (ตั้งแต่อายะที่  7:26),  เมื่อคุณสั่งให้ผมฉีก หน้า 153 ออก ผมก็ฉีกออก เลย,  แต่ในขณะเดียวกันคุณกลับ โต้แย้งผมว่า  ทำไมไม่ปิดหนังสือ เสียก่อนแล้ว จึงเปิดมันขึ้นมาใหม่ เพื่อฉีกหน้า 153 ออก?" --- ก่อนอื่น ผมไม่เคยพูดว่า จงปิดหนังสือก่อนแล้วก็เปิด ผมแค่บอกว่า คุณจะไม่สามารถฉีกหน้า 153 ได้โดยที่ไม่เปิดหนังสือก่อน (ซึ่งหนังสือนั้นจะอยู่ในสภาพที่ถูกเปิดอยู่แล้ว หรือคุณต้องเปิดเองก็ได้) เมื่อคุณอ้างว่า สำหรับคุณแล้ว "หนังสือได้มีผู้เปิดไว้ก่อนแล้ว" คุณก็ฉีกหน้า 153 ออกเลย นั่นแปลว่าคุณได้มี condition (สภาพเปิดของหนังสือ) ให้คุณสามารถฉีกหน้านั้นได้ ก็ข้างต้นนี่ไงครับคือสิ่งที่ผมพยายามจะบอก คุณต้องมี condition (มีผ้าคลุมผม) คุณจึงจะสามารถดึงปลายผ้าคลุมผมนั้นมาปิดหน้าอกได้ (ตามที่พระองค์สั่ง) การที่คุณมาพูดว่าจุดประสงค์ของอายะห์ท่อนนี้ก็เพื่อปิดหน้าอก ส่วนจะปิดอย่างไรเราต้องมาจินตนาการกันเอาเองนั้น ก็เท่ากับคุณพยายามที่จะ downplay คำสั่งโต้งๆ ของอัลลอฮฺที่ว่า จงดึงผ้าคลุมผมมาปิดถึงหน้าอก นั่นเอง แต่คุณไม่สามารถจะรวบรัดหดความสำคัญของกุรอ่านได้แม้แต่อักษรเดียวครับคุณแมทท์! เห็นได้ชัดว่านี่คือผลพวงของการอ่าน "บทแปลกุรอ่าน" แล้วเข้าใจว่าตัวเองกำลังอ่านอัลกุรอ่านของอัลลอฮฺ! ผมจึงมองไม่เห็นว่า การเรียกร้องให้มุสลิมะห์ไม่คลุมผมของคุณ จะมีเหตุผล มีน้ำหนักได้อย่างไร อันที่จริงมันไม่ควรเป็นประเด็นตั้งแต่แรกแล้ว! แต่ถ้าคุณยังยืนยันที่จะให้เป็นประเด็น your line of thinking is obviously self-contradicting! จากคุณ : Zeitgeist aka bAdkArmA เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 16:06:07

ความคิดเห็นที่ 63 " เราจะเห็นว่า คำสั่งทั้ง 4 ข้อ ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับการคลุมศรีษะ,แต่มีคำว่าทรวงอก   อยู่ในอายะนี้  แต่ไม่มี คำว่า “หัว” หรือ “ผม”  อยู่ในอายะนี้  ใช่ไหมครับ?" --- เส้นผมนั้นนับว่าเป็นปัจจัยนึงที่งดงามในตัวผู้หญิง เส้นผมและทรงผมอาจแตกต่างกันไป บ้างก็ดกดำเงางาม บ้างก็แห้งกรอบผมบาง แต่ละคนมีระดับความงดงามแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือ ผมของผู้หญิงมีส่วนเสริมความงามในตัวเธอให้เด่นขึ้น นอกเหนือจากที่มันมีความงามในตัวมันเองอยู่แล้ว นอกจากนี้ ช่วงลำคอ ใบหู ผิวเนียนของผู้หญิงโดยธรรมชาติ ที่จะถูกเผยต่อสายตาผู้คน เมื่อไม่คลุมคีมารฺตามที่คุณเรียกร้อง ล้วนเป็นความงดงามของผู้หญิงทั้งสิ้น เมื่อเราพิจารณาอายะห์ 24:31 ก็พบว่าอัลลอฮฺกล่าวไว้ตรงๆ ว่า "วะ ลา ยุบดีนะ ซีนะตะฮุนนะ" เราพบว่าอัลลอฮฺสั่งห้ามมุสลิมะห์เผยให้เห็นซีนะห์ของตน ซีนะห์ก็คือความงามทั้งโดยธรรมชาติของตัวหญิงเอง และสารพัดวัสดุที่เธอใช้แต่งแต้มหรือประดับเพื่อความสวยงามต่างๆ ถามว่าทำไมถึงห้าม เพราะนี่เองคืออีกปัจจัยหนึ่งที่จะคงไว้ซึ่งความสำรวมตน (modesty maintained) ถ้าคุณอยากรู้ว่ามุสลิมะห์จะสำรวมตนอย่างไร ก็ไม่ต้องคิดให้พิศดารไป นี่ไงครับวิธีการหนึ่งที่อัลลอฮฺระบุไว้ให้กระทำ แต่พอเราอ่านต่อไปเล็กน้อย ปรากฏว่าอัลลอฮฺได้เอ่ย "วะ ลา ยุบดีนะ ซีนะตะฮุนนะ" ขึ้นอีกครั้ง! คำสั่งตรงๆ อย่างนี้ เน้นถึง 2 ครั้งภายในอายะห์เดียวกันเช่นนี้ คุณแมทท์ยังหวังว่าเราควรจะเห็นเป็นอื่น หลังจากสัจธรรมอันชัดแจ้งของอัลลอฮฺปรากฏแล้วอย่างงั้นเหรอครับ จากคุณ : Zeitgeist aka bAdkArmA เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 18:29:19

ความคิดเห็นที่ 64 ผมเอาอายะห์ของพระองค์มาให้พิจารณานะครับ ถึงแม้เราจะไม่รู้ภาษาอาหรับกัน แต่เราสามารถสังเกตเห็น "รูปคำ" ที่พระองค์ใช้ได้ไม่ยาก ด้วยการย้ำน้ำหนักของคำสั่งถึง 2 ครั้ง ส่วนบทแปลก็...รู้กันอยู่แล้วใช่มั้ยครับ หรือจะไปค้นได้ที่ไหน จากคุณ : Zeitgeist aka bAdkArmA เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 18:35:08

ความคิดเห็นที่ 65 ภาพไม่ขึ้นแฮะ เอาใหม่ จากคุณ : Zeitgeist aka bAdkArmA เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 18:37:55

ความคิดเห็นที่ 66 ผมควรกล่าวด้วยว่า แม้แต่ทรวงอกของสตรี ถึงแม้จะมีเสื้อปกปิดไปถึงคอ แต่ด้วยลักษณะของเสื้อเองยังทำให้เห็นถึงส่วนนูนเว้าของทรวงอกจากลำตัวได้ โดยเฉพาะเมื่อเรามองจากด้านข้าง และนี่ก็เป็นความสวยงามของผู้หญิง ผมคิดว่าด้วยเหตุผลข้อนี้เองอัลลอฮฺจึงต้องการให้ดึงผ้าคิมาร์มาคลุมอีกชั้น เพื่อความงดงามในส่วนนี้จะได้ไม่ปรากฏต่อสายตาของชายที่อัลลอฮฺเรียกว่า มีโรคในหัวใจ ถึงแม้ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่มีโรคในหัวใจ แต่การอยู่ร่วมกันในสังคม ไม่มีใครบอกได้ว่าใครเป็นยังไง อีกทั้งหัวใจที่ดี ณ นาทีนี้อาจเป็นหัวใจที่ชั่ว ณ นาทีต่อมาก็ได้ เพราะหัวใจของมนุษย์นั้นผันแปรได้เสมอ และคำสอนของอัลลอฮฺนั้นก็มุ่งหมายเพื่อให้เกิด "ศานติ" (อัลอิสลาม) ในสังคมโดยรวม ทั้งในระดับพฤติกรรม (การคลุมคีมารฺ) จิตใจ (การสำรวมตนอันเนื่องจากฮิญาบ) และจิตวิญญาณ (การยำเกรงต่อคำสั่งของพระองค์) จากคุณ : Zeitgeist aka bAdkArmA เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 18:46:44

ความคิดเห็นที่ 67 แค่นี้ก่อนนะครับ เพราะคืนนี้ผมมีนัดเตะบอลกับเพื่อน ไว้พรุ่งนี้ค่อยแวะมาดูใหม่ จากคุณ : Zeitgeist aka bAdkArmA เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 18:49:56

ความคิดเห็นที่ 68 จากข้อความนี้ ผมขออธิบายเป็นตอนๆไป จากบทสรุปของคุณ    "เห็นได้ชัดว่านี่คือผลพวงของการอ่าน "บทแปลกุรอ่าน" แล้วเข้าใจว่าตัวเองกำลังอ่านอัลกุรอ่านของอัลลอฮฺ!  แต่ถ้าคุณยังยืนยันที่จะให้เป็นประเด็น your line of thinking is obviously self-contradicting!" .......... ขอความกรุณานะครับ    ผมอยากขอร้องให้คุณใช้ภาษาไทยให้มากหน่อยในการอธิบาย  เพื่อผมจะได้ เข้าใจดีขึ้น หรือจะใช้ภาษาอังกฤษทั้งหมดได้ก็ได้เพื่อ ข้อความมันถึงจะกลมกลืนกัน และเข้าใจได้ง่ายขึ้น ภาษาไทยปนอังกฤษสำหรับผมเข้าใจยาก   สำหรับการ อ้างอิงอัลกุรอานนั้น คำแปลภาษาอังกฤษ รัดกุมดีกว่า ผมจึงใช้ภาษาอังกฤษ ..............  คำอธิยายและความเข้าใจของผม มันไม่เป็นการขัดกันเองหรอกครับ นอกจากขัดกับแนวคิดของคุณ, ทั้งนี้เพราะว่าแนวความคิดของคุณ อยู่ใน แบบฉบับเดียวกันทั้งหมด คือความคิด ถูกจัดใส่ใน "กรอบ" ให้ใช้ความคิดไปในทางเดียวกัน ทั้งหมด นี่ไม่ใช่ออกนอกประเด็นนะครับ เพียงแค่ตัวอย่างที่ แสดงถึงความคัดแย้งในตัวเอง ซึ่งเห็นได้ชัด ในหลักการที่คุณกำลังยืดถืออยู่   "จากตัวอย่าง ที่ผมยกมา ในความคิดเห็นที่ 32 ซึ่ง เป็นการขัดแย้งที่เห็นได้ชัด และเป็นที่ยอมรับของคุณและมุสลิมส่วนใหญ่"  คววามเชื่ออย่างมี สอง บรรทัดฐานเช่นนี้ แหละครับที่ทำให้ความเข้าใจใน เรื่องนี้คลาดเคลื่อนไป  อัลกุรอานคงจะไม่ขัดกันเองในการออกบัญญัติ  จริงไหมครับ และแม้แต่ใครก็ตามไม่อาจจะออกบัญญัติใหม่มาใช้แทนหรือยกเลิกอัลกุรอานได้  ตามที่คุณกล่าวว่า  "การที่คุณมาพูดว่าจุดประสงค์ของอายะห์ท่อนนี้ก็เพื่อปิดหน้าอก ส่วนจะปิดอย่างไรเราต้องมาจินตนาการกันเอาเองนั้น ก็เท่ากับคุณพยายามที่จะ downplay คำสั่งโต้งๆ ของอัลลอฮฺที่ว่า จงดึงผ้าคลุมผมมาปิดถึงหน้าอก นั่นเอง แต่คุณไม่สามารถจะรวบรัดหดความสำคัญของกุรอ่านได้แม้แต่อักษรเดียวครับคุณแมทท์!"  ..... "ช่วยอธิบายด้วยครับว่า ในอายะนี้ ผมรวบรัดหดความสำคัญส่วนใดของบัญญัตินี้"  อัลกุรอานทุกๆ อายะไม่มีความขัดแย้งกัน ตามที่กล่าวแล้ว,  การเข้าใจ จะต้องเกี่ยวโยงกัน ผมถึงเริ่มต้นให้คุณเข้าใจก่อนว่า ในเรื่องเครื่องแต่งกายของมนุษย์นั้น พระเจ้ากล่าวไว้ว่าอย่างไร  ซึ่งมีอยู่ 3 กรณี  1. เครื่องนุ่งห่มโดยทั้วๆไป และจุดมุ่งหมายที่สำคัญ ของเครื่องนุ่งห่ม กับความศรัทธา [7:26]   2. อายะที่  24:31 นี้ พระเจ้า ทรงแนะนำ ให้ หญิง ที่อยู่ผู้ศรัทธาที่อยู่ในสังคม อรับและสังคมต่างที่ความเจริญเริ่มเข้าไปถึง โดยเฉพาะในสังคมอรับ ในขณะที่เปลียน จาก “ยุคมืด”  เข้ามาเป็นผู้ศรัทธาต่อ อิสลาม  โดยแนะนำในเรื่องมรรยาทในการแต่งกาย,มรรยาทในการเดิน, มรรยาทในการผ่อนคลายเครื่องแต่งตัวตามเวลาและสถานที่, และ การปิดส่วนของร่างกายเว้นแต่ในส่วนที่จำเป็น ซึ่ง หลักการเหล่านี้ อยู่ภายในหลักการของ การแต่งกายอย่างมีคุณธรรม ภายใต้ บัญญัติ 7:26 เช่นเดียวกัน 3.ความมีอิสระของหญิงผู้ศรัทธาในการออกนอกบ้าน จาก บัญญัติ 33:59 ว่าหญิงผู้ศรัทธา  ควรจะนุ่งห่มร่างกาย อย่างไร, ควรจะดึงผ้ามาปิดส่วนของร่างกายมากน้อยเท่าใด โดยที่ ไม่บัญญัติไว้อย่างตายตัว  โดยมีคำสั่งให้ใส่เสื้อคลุมชั้นนอก ปกคลุม ความอุดจาด และสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผย ส่วนสิ่งใดที่ไม่ควรเปิดเผยนั้น หญิงผูศรัทธา ย่อม เข้าใจและรักษาไว้ด้วยจริยาธรรมในการแต่งกาย ซึ่งอยู่ภายใต้เงื่อนไข ของบัญญัติ 7:26 เช่นเดียวกัน ................ ตามที่คุณกล่าวว่า "ผมจึงมองไม่เห็นว่า การเรียกร้องให้มุสลิมะห์ไม่คลุมผมของคุณ จะมีเหตุผล มีน้ำหนักได้อย่างไร อันที่จริงมันไม่ควรเป็นประเด็นตั้งแต่แรกแล้ว!"  คุณเข้าใจผิดอีกแล้วผมไม่ได้ "การเรียกร้องให้มุสลิมะห์ไม่คลุมผม"   ผมเขียนมาหลายครั้งแล้วในเรื่องนี้ว่า ผมไม่สนใจว่าผู้หญิงจะคลุมศรีษะหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งเป็นสิทธิของเธอ และระหว่าง เธอกับพระเจ้า ทั้งนี้เพราะไม่มีบัญญัติใดในอัลกุรอาน บังคับให้ผู้หญิงมุสลิมคลุมผม นอกจากประเพณีมุสลิมอรับบาง ประเทศและบางสังคมเท่านั้น  การบังคับให้หญิงคลุมผมจึงเป็นการต่อเติมศาสนา ซึ่งไม่ถูกต้อง   .....................   ผมเก็บการสรุปของคุณข้างล่างนี้ไว้เป็นประการสุดท้ายในการให้คำตอบแก่คุณในเรื่องที่ว่า.. "เห็นได้ชัดว่านี่คือผลพวงของการอ่าน "บทแปลกุรอ่าน" แล้วเข้าใจว่าตัวเองกำลังอ่านอัลกุรอ่านของอัลลอฮฺ!" ผมเข้าใจดีว่าคุณหมายความว่าอะไร?  ผมได้เปรียบเทียบต้นฉบับภาษาอรับ และ คำแปลจากภาษาต่างๆ ไม่มีความต่างกัน ในอายะที่ 24:31 ไม่มีคำว่า "เส้นผม" หรือ "หัว" อยู่ในบัญญัตินั้น นอกจาก คำว่า "ทรวงอก" ส่วนคำว่า "คิมาร" นั้น ไม่ใช่ "คำสั่ง" แต่เป็นคำแสดงของเตรื่องแต่งกายของหญิงอรับ   ผู้ที่รู้ไวยกรณ์ภาษาอรับอย่างดี จะต้องเข้าใจได้ดี ว่า "คิมาร" ในประโยคนี้เป็นคำ นาม ไม่ใช่ คำกิริยาที่เป็น คำสั่ง และไม่มีทางที่จะดึงมารวมกับความหมายของบัญญัตินี้ได้ว่า "เป็นคำสั่งให้คลุมหัวด้วยผ้า",  ซึ่งทั้งๆที่รู้ว่าเป็นคำ"นาม"  แต่ก็พยายามรวบรัดหดความสำคัญของกุรอ่าน มาเป็นคำสั่ง ว่า ให้คลุมหัว   สมมุติว่าถ้าอัลกุรอานถูกประทานมาในประเทศไทย พระเจ้าจะต้องไม่ใช้คำว่า "คิมาร" เพราะคนไทยไม่คลุมผม, คำสั่งในการปิดทรวงอก จะใช้คำว่า "สะไบ" แทน คนไทยถึงเข้าใจ, แต่เมื่อคนอรับนำอัลกุรอานที่ต้นฉบับภาษาไทยไปใช้ ถ้า ชาวอรับ เป็นคนฉลาดก็จะเข้าใจว่า 24:31 ไม่ได้บังคับให้ "สวมสะไบ" แต่สั่งให้ปิดทรวงอก เพราะคำว่า"สะไบ" เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกาย ผู้หญิงไทย, ดังนั้นคำสั่งจะต้องบัญญัติว่า,  "จงดึงหรือรวบผ้าสะไบมาปิดทรวงอกของเจ้า" ผมจึงสรุปว่า "เห็นได้ชัดว่านี่คือผลพวงของการอ่าน  ต้นฉบับอัลกุรอ่านภาษาอรับ แล้วไม่เข้าใจความหมายของอัลลอฮฺ!"  อย่าว่าแต่คนไทยที่รู้ภาษาอรับอย่างลึกซึ้งเลย, แม้แต่ชาวอรับโดยกำเนิดก็ตาม ก็ยังคิดว่า ตัวเองอ่านอัลกุรอานของอัลลอฮ์,  ซึ่งเห็นได้ ชัดจากตัวอย่าง ที่ผมแสดงให้เห็นใน ความคิดเห็นที่ 3,4,และ 32,   ซึ่ง แม้แต่ผู้ที่ เข้าใจหลัก "มัลติ๊ก" ของอรับก็ยังหลงเชื่อเช่นนั้น จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 19:37:47

ความคิดเห็นที่ 69 ผมไม่ทันเห็นคำเน้นของคุณ ที่คุณย้ำ คือ“วะลายุบดีนะ ซีย์นะตะฮุนนะ”   ตามรูป ภาษาอรับ,  ผมจะกลับมาอธิบายทีหลังครับ ต้องไปทำงานเช่นกัน จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 20:40:27

ความคิดเห็นที่ 70 พี่น้องมุสลิมทุกท่านครับ ประจักษ์แก่สายตาพวกท่านแล้วทุกคนนะครับว่า แมทท์ใช้ทฤษฎีพูดโกหกให้เสียงดังๆ และหลายๆครัง จนคนที่ฟังหรือได้ยินบ่อยๆ มันจะกลายเป็นถูกต้องไปเอง เหมือนเมื่อก่อนมีผงซักฟอกยี่ห้อแฟ๊บเป็นยี่ห้อแรกๆ ทุกวันนี้ทุกคนยังเบอกว่าจะไปเซื้อแฟ๊บยี่ห้อบรีส มาดูครับว่า แมทท์ หน้าทน จนแบนไปแล้วนั้นและต่อไปก็คงเหลือแต่กะโหลกด้านหลัง....... ===================================== ความคิดเห็นที่ 68 . . ผมเขียนมาหลายครั้งแล้วในเรื่องนี้ว่า ผมไม่สนใจว่าผู้หญิงจะคลุมศรีษะหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งเป็นสิทธิของเธอ และระหว่าง เธอกับพระเจ้า ทั้งนี้เพราะไม่มีบัญญัติใดในอัลกุรอาน บังคับให้ผู้หญิงมุสลิมคลุมผม นอกจากประเพณีมุสลิมอรับบาง ประเทศและบางสังคมเท่านั้น การบังคับให้หญิงคลุมผมจึงเป็นการต่อเติมศาสนา ซึ่งไม่ถูกต้อง   =================================== ดูแมทท์มันทำครับ - โกหกใส่กุรอ่านหน้าตาเฉยว่าไม่มีบัญญัติให้คลุมแล้ว กุรอ่าน 24:31 ละ - แถมมาบอกว่การคลุมฮิญาบเป็นการต่อเติมศาสนา    คุยเรื่องกุรอ่าน 24:31 กันใหม่ไหมละ หลายคนยังอยากคุยต่อได้นะ จากคุณ : คนแปลกหน้าในโลกดุนยา เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 21:02:01

ความคิดเห็นที่ 71 7:26. ลูกหลานอาดัมเอ๋ย! แท้จริงเราได้ให้ลงมาแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งเครื่องนุ่งห่ม(*1*)ทีปกปิดสิ่งที่อันน่าละอายของพวกเจ้าและเครื่องนุ่ง ห่มที่ให้ความสวยงาม(*2*) และเครื่องนุ่งห่มแห่งความยำเกรง(*3*)นั่นคือสิ่งที่ดียิ่ง(*4*)นั่นแหละคือ ส่วนหนึ่งจากบรรดาโองการของอัลลอฮ์ เพื่อที่ว่าเขาเหล่านั้นจะได้รำลึก          กุรอ่านโองการนี้ ไม่เคย มีตรงไหนบอกนะครับว่า มนุษย์จะแต่งกายอย่างไรก็ได้เหมือนอย่างที่ login แมทท์อ้าง ดังนี้          จากอายะนี้ เราจะเห็นว่า  อิสลามได้ให้ความอิสลระในการแต่งกายของมุสลิม และมวลมนุษย์ ทั้งชายและหญิงไว้อย่าง กว้างขวาง  คือ มนุษย์สามารถที่จะ แต่งกายอย่างไรก็ได้  เพื่อปกคลุมร่างกาย และเพื่อความโอ่อ่า หรือสวยงามแก่ร่างกาย  ถึงแม้กระนั้น พระเจ้าได้เตือน มนุษย์ไว้ว่า, เครื่องแต่งกายนั้นไม่สำคัญเท่ากับ การเป็นผู้ทรงคุณธรรม          เพราะถ้าเช่นนั้น มนุษย์ก็แต่งกายเปิดนั่นเปิดนี่หรือเปิดสิ่งต้องห้ามได้งั้นหรือ? ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย เพราะอย่างน้อยที่สุด อัลลอฮฺก็ลงโองการไว้แล้วว่า          24:31. และจงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดามุอ์มินะฮ์ให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาทวารของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้(*1*) และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ และอย่าให้เธอเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่แก่สามีของพวกเธอ หรือบิดาของสามีของพวกเธอ หรือลูกชายของพวกเธอ หรือลูกชายสามีของพวกเธอ หรือพี่ชายน้องชายของพวกเธอ หรือลูกชายของพี่ชายน้องชายของพวกเธอหรือลูกชายของพี่สาวน้องสาวของพวกเธอ หรือพวกผู้หญิงของพวกเธอ(*2*)หรือที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง (ทาสและทาสี)(*3*) หรือคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ(*4*) หรือเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องเพศสงวนของผู้หญิง และอย่าให้เธอกระทืบเท้าของพวกเธอ เพื่อให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่พวกเธอควรปกปิดในเครื่องประดับของพวกเธอ(*5*) และพวกกเจ้าทั้งหลายจงขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮ์เถิด โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ          นี่ไม่ใช่การอนุญาตให้แต่งกายอย่างไรก็ได้แน่ๆ ครับ เพราะมีห้ามเปิดเผยสิ่งต่างๆ ตามที่อัลลอฮฺสั่ง แค่เริ่มยกโองกการมา login แมทท์ก็บิดเบือนซะแล้ว          เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว การจะมาอ้างว่าอิสลามนั้นง่าย สะดวกสบาย ด้วยการให้มนุษย์แต่งกายตามใจชอบขึ้นอยู่กับพื้นที่ ประเพณี ตามจริยธรรม หรือศีลธรรมดั้งเดิมนั้น จึงเป็นการกล่าวที่ขัดกับหลักศาสนาอิสลาม และอาจจะเรียกได้ว่าบิดเบือนอิสลาม          เพราะก็อย่างที่บอก อิสลามไม่ใช่ศาสนาเฉพาะชาวอาหรับเท่านั้น อิสลามเป็นศาสนาแห่งมนุษยชาติ แล้วจะปล่อยให้มนุษย์ในที่อื่นๆ อยู่กันแบบตามมีตามเกิด ยึดถือประเพณีป่าเถื่อนล้าหลังกันต่อไปโดยแล้วอ้างว่า นั่นเป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ?          อิสลามเป็นศาสนาที่ไม่ยากเกินความสามารถมนุษย์ นะครับ แต่ไม่ใช่ศาสนาแห่งความมักง่าย ที่คิดอยากจะทำอะไรก็ทำไปได้ตามอารมณ์          การอ้างเรื่องคนป่าดงดิบที่มีการแต่งกายของตนเองมีการแต่งงานตามแบบของตนเอง แล้วบอกว่านั่นเป็นเรื่องทางคุณธรรมของเขานั้น น่าจะลองเปรียบดูกับชาวอาหรับสมัยก่อนอิสลาม มาจนถึงสมัยที่ท่านศาสดาเผยแผ่ศาสนา ดูครับ          เพราะชาวอาหรับสมัยนั้นก็มีสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็น ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรมอยู่แล้ว นั่นคือการแต่งตัวที่ประเจิดประเจ้อ อย่างที่ login แมทท์เอง ชอบไปลอกข้อมูลตามเว็บต่างๆ มาอ้างเสมอๆ อย่างการคลุมผม ที่ปล่อยชายไปด้านหลัง แล้วเปิดหน้าอก          การกราบไหว้รูปเคารพ การฆ่าล้างแค้นกันไปมา การดื่มเหล้า การทำผิดประเวณี การฝังลูกทั้งเป็น การบูชายัญ เหล่านี้ก็เป็น ประเพณีของคน อาหรับสมัยก่อนอยู่แล้วแล้วทำไมท่านนบีถึงไม่ทำตัวให้สังคมป่าเถื่อนพวกนั้นยอมล่ะ ทำไมท่านถึงประกาศศาสนา ที่ขัดกับการกระทำป่าเถื่อนเหล่านั้นแทบทุกอย่าง          ถ้าอ้างว่า การแต่งงานตามประเพณีของพวกคนป่า นั้นต้องยอมรับ แล้วถ้ามุสลิมไปอยู่ที่นั่น แล้วประเพณีแถวนั้น การแต่งงาน ของ น้า กับป้า กับพี่ กับน้องตัวเองเป็นเรื่องถูกต้อง มุสลิมก็ต้องทำตามงั้นหรือ? หรือถ้า การอยู่กันโดยไม่แต่งงานเป็นเรื่องถูกต้อง การสมสู่กันโดยไม่ต้องผ่านการแต่งงานเลย เป็นเรื่องถูกต้องของเผ่านั้นๆ มุสลิมก็ต้องทำตามหรือ?          แล้วถ้าบางสังคมการสมสู่กับแม่ของตัวเองเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว ศาสนาอิสลามก็จะบอกว่ามันถูกต้องด้วยงั้นหรือ? แล้วมนุษย์จะต่างอะไรกับสัตว์ ที่ทำๆ ไปโดยไม่รู้จักคิด แค่ทำตามคนรอบข้างเท่านั้น          ย้ำอีกทีนะครับ ผมไม่รู้ว่าการอ้างแบบนี้ มันมาจากคำสอนของศาสนาอะไร แต่การให้ความสำคัญกับความเชื่อ การทำตามๆ กันไปในสังคม มากกว่าบัญญัติของของอัลลอฮฺนั้น ไม่ใช่อิสลามแน่ๆ ครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 21:11:09

ความคิดเห็นที่ 72 ซึ่งผมก็ไม่ทราบนะครับว่าจะมีเหตุผลอะไรทำให้ login แมทท์ รีบสรุปว่า โองการที่ 24:31 ไม่มึคำว่า หัว หรือผม นอกจาก อาการร้อนรน และพยายามจะบิดเบือนกุรอ่าน บทนี้ให้ได้ ในความจริงแล้ว โองการนี้ เกี่ยวกับข้องกับผม และศรีษะเต็มๆ และเป็นการเกี่ยวข้องที่สั่งให้ปิดศรีษะ ด้วยเพราะพระองค์สั่งดังนี้นะครับ 24:31 And tell the believing women to lower their gaze and be modest, and to display of their adornment only that which is apparent, and to draw their veils over their bosoms, YADRIBNA=PUT BIKUMURIHINNA=THEIR VEILS ALAA=OVER JUYUBIHINNA=THEIR BOSOM (JUYUB USED IN ANOTHER CONTEXT MEANS POCKET) นี้เป็นคำสั่งนะครับ ให้ ปิดด้วยผ้าคลุมผมลงมาถึงหน้าอก คำว่า YADRIBNA นั้น มีการแปลซึ่งแมทท์ก็เอามาเองนะครับว่า and to extend(ต่อ หรือ ขยาย) their headcoverings (khimars) to cover (ปกปิด หรือ ปกคลุม) their bosoms (jaybs), คำ ว่า draw (ดรอ) {drew,drawn,drawing,draws} vt.,vi. ดึง,ลาก,โก่ง,น้าว,ถอน,จับ (ฉลาก) ,เอาออก,ดึงออก,ชักนำ,วาด,สเก็ตช์,เขียน,บรรยาย,ร้อยกรอง,พรรณนา -Phr. (draw on ใกล้เข้ามา) . -Phr. (draw up ยกร่าง,ร่าง,ออกแบบ) n. การดึง,การลาก,สิ่งที่ดึงดูดใจ,การเสมอกัน,ส่วนที่ชักขึ้น extend (อิคซฺเทนดฺ') v. ขยายออก,ยืดออก, ประเมินค่า, ไปถึง,เพิ่มขึ้น., Syn. extendibility,extendability n. extendible,extendable adj., Syn. stretch,reach นี่ครับ เป็นความของการ ดึงไปถึง ขยายไปถึง ลากไปถึง จึงแปลได้สองอย่าง ไม่ใช่ ถอดออก เพราะถ้าถอดออกจะไม่มี ความหมายของ extend ครับ และมีคำว่า ALAA=OVER อย่างที่ผมเคยเอามาลงบ่อยๆ จากผู้รู้ที่เคยจัดการยิวจอมบิดเบือน ในเว็บนี้มา แล้ว ว่า คำ ว่า ปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะลงมาถึงหน้าอก แสดงว่า ต้องผ่านมาถึงหน้าอกครับ ไม่เอาใช่เอามาคลุมหน้าอกกันโต้งๆ เพราะถ้าแบบนั้นไม่ต้องใช้คำว่า คิมารฺก็ได้ครับ และไม่จำเป็นด้วย หาก ความว่า "over their bosoms" (อฺะลา ญุยูบิฮินนา) หมายถึง "on (above) their bosoms" แล้วล่ะก็ กรุอ่านก็จะใช้ว่า "เฟาเกาะ ญุยูบิฮินนา" มากกว่า ดังนั้น Over จึงเป็นคำแปลที่เหมาะสมแล้วของ "อฺะลา" เนื่องจากคำนี้ยังมีนัยยะของการข้าม พาด ผ่านจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งอยู่ด้วย ซึ่ง On หรือ Above ไม่มีนัยยะนี้ให้ และที่สำคัญคือ คำว่าคิมารฺนั้น เป็นผ้าคลุมศรีษะ ที่เกี่ยวกับหัว และศรีษะชัดเจนอยู่แล้ว จึงไม่ใช่ มีคำที่เกี่ยวกับศรีษะเท่านั้น แต่เป็นคำสั่งที่เกี่ยวกับศรีษะโดยตรงด้วย อย่างที่ ท่าน Zeitgeist aka bAdkArmA อธิบายไปแล้วนั่นคือ ........................................................................................... "...ถ้าสมมติผมพูดกับคุณว่า "จงดึงขอบกางเกงในให้ขึ้นมาถึงสะดึอ" ผมต้องบอกคุณด้วยมั้ยว่าให้คุณใส่กางเกงในอีก? อีกทั้งในกรณีนี้ คุณสามารถเข้าใจได้ทันทีว่า กางเกงในนั้นไม่ได้เอาไว้สวมใส่ที่หัว ทั้งนี้การที่ผมเอ่ยคำว่า กางเกงใน เป็นเพราะผมรู้อยู่แล้วว่าคุณนั้นสวมกางเกงในเป็นปกติวิสัย (อย่างน้อยผมก็คาดหวังอย่างนั้น) ดังนั้นคงไม่ค่อย make sense เท่าไหร่ ถ้าผมต้องมาระบุอีกว่า "จงสวมกางเกงในไว้ที่เป้าของคุณ แล้วจงดึงขอบกางเกงในให้ขึ้นมาถึงสะดือ" ทำนองเดียวกัน อัลลอฮฺ (ซ) จึงไม่จำเป็นต้องมาออกคำสั่งว่า "จงคลุมผมด้วยคีมารฺ" เพราะทันทีที่ชาวอาหรับได้ยินคำว่า คีมารฺ เขาก็เข้าใจทันทีว่าผ้าคีมารฺนั้นเอาไว้คลุมผม ไม่ใช่เอาไว้สวมที่เป้า! และทำนองเดียวกันนั้น พระองค์รู้อยู่แล้วว่า การสวมผ้าคีมารฺในหมู่ชาวอาหรับนั้นเป็นเรื่องปกติวิสัย ด้วยเหตุนี้การเอ่ยคำว่าคีมาร์จึงพอเพียงแล้ว..." ............................................................................................ ถ้าไม่เข้าใจ ก็แทนคำสั่ง เหมือนโสร่งนั่นล่ะครับคือ and to draw their veils over their bosom เป็น and to draw their undershorts over their navel. แล้วลองคิดซิว่า ถ้าจะบิดเบือน คำว่า จงดึงผ้าคลุมศรีษะมาปิดหน้าอก ให้แปลว่า จะคลุมหรือไม่คลุมผมก็ได้ แล้วถ้ามีคนสั่งให้ดึงกางเกง หรือกางเกงในมาปิดสะดือ ก็จะแปลว่า จะใส่หรือไม่ใส่ กางเกงในก็ได้อย่างนั้นหรือ? ซึ่งมันไม่ตรงกับ โองการของกุรอ่านเลยแม้แต่นิดเดียว นี่ไม่ใช้การเข้าใจต่างกัน แต่ถ้าบอกว่ากุรอ่านไม่ได้ให้คลุมผม มันเป็นการบิดเบือนเลยนะครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 21:44:39

ความคิดเห็นที่ 73 และ login แมทท์ยังบอกอีกว่า สำหรับคำสั่งใน ข้อ 4...คำสั่งนี้จะเป็นที่คลุมเคลือสำหรับปผู้ที่ไม่ซาบซึ่งในความกรุณาของพระ เจ้า   คุณจะเห็นว่าใน ประโยคยี้ พระเจ้า กล่าวไว้ใน ความหมายทั่วๆไป ไม่ได้บ่งเฉพาะว่า ส่วน ใดเป็นส่วนที่จำเป็น และความสดวกของแต่ละบุคคล, นี่ก็โกหกอีก งั้นเรามาดูดีกว่าว่า ไม่ได้บ่งเฉพาะหรือว่าส่วนใด YADRIBNA=PUT BIKUMURIHINNA=THEIR VEILS ALAA=OVER JUYUBIHINNA=THEIR BOSOM (JUYUB USED IN ANOTHER CONTEXT MEANS POCKET) แล้ว ที่ให้ปิด JUYUBIHINNA คืออะไร? ไม่ได้สั่งให้ปิด ไม่ได้เจาะจงหรือไง? แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 52 22:38:45 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 22:37:30

ความคิดเห็นที่ 74 ซึ่งอ่านแล้วยิ่งแสดงให้เห็นความน่าขบขัน อย่างหนึ่งคือ คนที่ได้แต่อ่านกุรอ่าน ที่ถูกแปลมาแล้วความหมายก็ไม่ครบ ได้แต่ลอกความเห็นคนอื่นมาโดยไม่รู้ภาษา อย่าง login แมทท์ กล้าบอกว่า คนที่อ่านจากภาษาอาหรับ เข้าใจภาษาอาหรับ นั้น ไม่เข้าใจความหมายของอัลลอฮฺ !!!!?????? ทั้งๆ ที่ กุรอ่าน ก็ใช้คำที่ เด่นชัดอยู่แล้ว อย่างที่ได้อธิบายไป ไม่ว่าจะเป็น คำว่า yadribna ทั้ง alaa ทั้ง khimar ทั้ง juyubihinna หรือแม้แต่ ผู้แปลจากอาหรับเป็นภาษาอังกฤษ ก็แปลตั้งแต่ ใช้คำว่า draw (ดึงลากลง), extend (ขยาย) หรือแปลตรงๆ ว่า wear their head-coverings over their bosoms ด้วยซ้ำ ซึ่งโดยรวมแล้ว ก็แปลว่า ปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะลงมาถึงหน้าอก ถ้าไม่ปิดศรีษะย่อมไม่มีทางเป็นคำว่า ปิดลงมาถึง หรือ extend ได้เลย ผมก็ไม่ทราบ คำว่า รู้ไวยากรณ์อาหรับเป็นอย่างดี ของ login แมทท์คืออะไรนะครับ คนที่รู้ไวยากรณ์อาหรับเป็นอย่างดีเนี่ย คือใคร? คนอย่างlogin แมทท์น่ะเหรอ ที่อ้างกุรอ่านผิดๆ หลายครั้ง มั่วกุรอ่านก็หลายหน คือคนที่รู้ไวยากรณ์อาหรับ มากกว่า คนอาหรับแท้ๆ? น่าประหลาดใจนะครับ ที่กล้าอ้างอย่างไร้ยางอายได้แบบนั้น ยิ่งยกตัวอย่างสไบ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจ ภาษาของ login นี้ อย่างแรกคือ สไบ ปิดทรวงอกอยู่แล้วครับ การดึงสไบมาปิดทรวงอกจึงเป็นคำสั่งที่ประหลาดมาก ไม่มีใครที่เข้าใจภาษาไทยเขาบอกแบบแมทท์หรอกครับ!!!!!!!!!!!!!! เช่นกัน คิมารฺ เป็นผ้าที่ใช้คลุมศรีษะอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นใดๆที่ ต้องสั่งให้เอาคิมารฺมาคลุมศรีษะ แต่ในกุรอ่านอัลลอฮฺสั่งให้ใช้คิมารฺปิดมาถึงหน้าอก ทั้งๆ ที่คำอื่นมากมายครับที่ปิดหน้าอกได้ เช่น RIDA, JILBAB, IZAAR, MIQNA, MILHAFA ผมจึงไม่เข้าใจนะครับว่าจะยกตัวอย่าง สะไบทำไมอีก? เอางี้ ถ้า มีคนบอกให้ ดึงสโร่ง มาปิดถึงสะดือเนี่ย คุณจะบอกว่า เขาสั่งให้ปิดสะดือ ไม่ได้สั่งให้ นุ่งโสร่งหรือไง? จะบอกว่า คำสั่งนี้ ให้เอาอะไรมาปิดสะดือก็ได้หรือไง? จะบอกว่า จะใส่ไม่ใส่สโร่งก็ได้งั้นเหรอ จะบอกว่า โชว์นกเขา ก็ได้งั้นเหรอ? แล้วแบบนั้นจะสั่งให้ใช้สโร่งปิดทำไม? ใช้คำว่า หาผ้ามาปิดสะดือก็ได้ ภาษาไทยไม่มีคำว่าผ้าแบบอื่นแล้วงั้นเหรอ???? เหมือนที่บอกว่า สั่งให้ดึงผ้าคลุมผมมาปิดหน้าอก จะบอกว่า ให้เอาอะไรก็ได้มาปิดหน้าอกทั้งๆ ที่ กุรอ่านก็ใช้คำว่า ผ้าคลุมผมปิดมาถึง... เนี่ยนะ? แล้วแบบนั้นจะใช้คำว่า คิมารฺทำไม? คำว่าผ้า ภาษาอาหรับคำอื่นไม่มีงั้นเหรอ????? ผมจะบอกให้นะครับ จริงๆ แค่บอกว่าปิด หน้าอกให้เรียบร้อยก็จบแล้วครับ ถ้า อิสลามผู้หญิงสามารถเปิดผม หรือศรีษะได้ ไม่ต้องมีคำว่าผ้า มีคำว่าผ้าคลุมผม หรืออะไรเลยก็ได้ เหมือนที่บอกว่า "...อย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ..." ไงล่ะครับ ซึ่งคนที่เข้าใจภาษาอาหรับดี เข้าก็รู้ แต่น่าแปลกใจ คนที่ไม่ได้รู้ภาษาอาหรับเลย ดันบอกทำนองว่า คนอาหรับก็เข้าใจผิด แล้วตัวเองเป็นใครมาจากไหน? มีความรู้อะไร? ได้เรื่องสักภาษาไหม? เอาง่ายๆ เลย คนอาหรับเขาเข้าใจแล้ว แม้แต่คนอังกฤษเองที่ใช้ภาษาอังกฤษตั้งแต่เกิด ยังบอกว่า "...ส่วน ที่ฉันอยากจะบอกกับพี่น้องมุสลิมะฮ์ก็คือ ฮิญาบคือกฎข้อบังคับในอิสลาม ฉันศึกษาดูแล้วว่ามีทางเลี่ยงอื่นๆ ได้ไหม เพื่อหาทางออกไม่ต้องคลุมผม แต่ฉันก็ไม่เจอ ...ฮิญาบคือกฎของศาสนา..." (จาก เสรีภาพสตรีในอิสลาม: บทสัมภาษณ์ อีวอน ริดลีย์ http://www.newmuslimthailand.com/main/index.php) แล้วแมทท์ มีความรู้อะไรถึงบอกว่า ไม่มีข้อบังคับให้คลุมศรีษะ? แถมยังหน้าด้าน บอกว่า อ่าน  ต้นฉบับอัลกุรอ่านภาษาอรับ แล้วไม่เข้าใจความหมายของอัลลอฮฺ นี่แหละครับแมทท์ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 23:24:40

ความคิดเห็นที่ 75 อย่าเพิงทำเป็นกระต่ายตื่นตูมไปครับ รอให้ผมคุยกับ คุณZeitgeist aka bAdkArmA  จบเสียก่อน เพราะเขาคนเดียวเท่านั้น ที่เข้าใจ ประเด็นที่ผมต้องการจะสื่อ  สำหรับคุณสองคนนั้น ผมพยายามจะ ลากและดุนคุณให้เข้าใจประเด็นผม  คุณก็ไม่อาจจะเข้าใจได้   การเข้าใจประเด็นไม่ใช่เป็นการรับรองว่าประเด็นนั้นหรือประเด็นของใคร ถูกต้องหรือไม่?  แต่เมื่อ เราต่างก็เข้าใจประเด็นแล้ว ก็คุยกันต่อไปได้  โดยไม่ต้องกลับไปเรื่องสะโหร่งหรือผาขาวม้าอีก  คุณถือเป็นเรื่องส่วนตัวเกินไป เพระผมไม่เห็นด้วยกับคุณ ซึ่งตุณไม่มีเหตุผลในหลายๆเรื่อง สิ่งที่คุณค้นมาแสดลนั้น ผมทราบและเข้าใจแล้ว  มันอาจจะประทับใจ กองเชียร์ และลูกคู่ของคุณ แต่ ไม่มีความจำเป้นเลย ในเมื่อความจริง ในอัลกุรอานประจักษ์ อย่างชัดเจน เอา "ฮาดีษนี้ไปศึกษาให้เข้าใจเสียก่อน ...ดีกว่าครับ จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 08:59:32

ความคิดเห็นที่ 76 และนี่อีกบทหนึ่ง จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 09:00:49

ความคิดเห็นที่ 77 คุณ Zeitgeist aka bAdkArmA   สรุปข้อปฏิบัติใน บัญญัติที่ 24:31  1.หญิงผู้ศรัทธาจะต้องไม่สบตาหรือมองจ้อง ผุ้ใด(ชายใด) และจะต้องสงวนพรมจารีย์ของ เธอ  2. หญิงผู้ศรัทธาจะต้องปกปิดส่วนต่างๆของร่างกายเธอยกเว้นแต่ส่วนที่จำเป็นในการใช้ชีวิตประจำวัน            3.หญิงผู้ศรัทธาจะต้องดึงหรือรวบชายผ้าคลุมศรีษะมาปิดทรงอก (ให้มิดชิด)  4.หญิงผู้ศรัทธาไม่ควรเปิดเผยร่างกายของนางนอกจากส่วนที่จำเป็น   5.หญิงผู้ศรัทธาไม่ควรจะเปิดเผยร่างกายของเธอนอกจากต่อหน้า สามี ...(และเครือญาติที่ใกล้ชิด)          6.หญิงผู้ศรัทธาไม่ควรเดินกระแทกส้นเท้า เพื่อ ที่จะอวดทรวดทรงบางส่วนของเธอ (ทำให้ตะโพกสั่นและทรวงอกกระเพื่อม)             จากข้อสรุปนี้คำวลี “วะลา ยุบดีนะ ซีย์นะตะฮุนนะ”   มีกล่าวอยู่ 2 ครั้ง ใน ข้อ 2 และ ข้อ 4 และ ในข้อ 6  มีคำว่า “ซินะตะฮินนา”,   คำว่า “ซีย์นะตะฮุนนะ และ ซินะตะฮินนา” นั้น อ้าง  ถึงร่างกายของหญิง หรือความงามในเรื่อนร่างของเธอ”  ไม่ได้ อ้างถึง “หัว” ของเธอ ซึ่งเราจะเห็นว่า การกระแทกซ้นเท้าทำให้ตะโพกสั่นและทรวงอกกระเพื่อม ไม่มีอะไรที่เกี่ยว กับ หัว ของ หญิงผู้ศรัทธา  ถึงหัวจะสั่นคลอนอย่างไรก็ไม่เป็นการยั่วเย้า, และไม่ว่า ประโยคที่มี“วะลา ยุบดีนะ ซีย์นะตะฮุนนะ”   อยู่กี่ครังก็ตาม ไม่ได้ทำให้อายะนี้กลายเป็น “หญิงผู้ศรัทธาจะต้องคลุมศรีษะ” ไปได้  ถ้าพระเจ้าต้องการจะมีบัญญัติให้ปิดหรือคลุมศรีษะ พระองค์ก็ทำได้ โดย เพิ่ม ข้อ 7 ไป ว่า “หญิงผู้ศรัทธาจะต้องคลุมศรีษะและลำคอด้วย”,   ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องให้ผู้ใดมากำหนด        จากข้อสรุปนี้ เราจะเห็นได้ว่า หลักปฎิบัติเหล่านี้ มีสอนอยู่ในทุกๆความศรัทธา และแม้แต่ใน หนังสือสมบัติผู้ดี และ หนังสือ สอนกุลสตรีไทย  พระเจ้าทรงกรุณาบัญญัติให้ เป็นหลักปฏิบัติโดยทั่วไปซึ่งไม่ทำความลำบากให้ กับหญิงผู้ศรัทธาผู้ซึ่งมีคุณธรรมและจริยาธรรมที่ดี (7:26), ถึงแม้หญิงที่มีศรัทธาแตกต่างจาก อิสลามก็ตาม,  ก็ไม่ยากที่นางจะปฏิบัติตามได้      พระเจ้าเท่านั้นที่เป็นผุ้มีสิทธิออกบัญญัติแห่งความศรัทธา ไม่มีมนุษย์ผู้ใดฝ่าฝืน เพิ่มเติมและตัดต่อได้ (66:1) แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 52 09:10:22 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 09:08:16

ความคิดเห็นที่ 78 แมทท์ ไม่ต้องตกอก ตกใจ!หรอก ทุกคนเข้าใจและรู้ใส้แมทท์ดีและก็รู้ดีว่าแมทท์หน้ามึนจะสื่ออะไร ไม่เป็นไรหรอกแมทท์ ถ้าติดตามกระทู้ผม แมทท์หน้ามึนจะเข้าใจและฉลาดขึ้น แมทท์ก็เหมือนตัว weasel ที่กำลังตกใจเพราะถูกชาวบ้านกำลังล้อมคอกให้อยู่ ก็แปลกเหมือนกันนะ เจ้าตัวweasel มันทำหน้ามึนได้เหมือนคนแฮะ       แมทท์หน้ามึน เห็นๆว่าพูดจาก็กลับกลอก ไปมา พอถูกจับได้ก็ทำหน้ามึนว่าไม่ได้ตัดต่อคำในกุรอ่านแล้ว คคห.45 นั่นหมายความว่าไร แมทท์หน้ามึน เคยบอกว่ากุรอ่านนั้นเข้าใจง่าย แต่พอมาใน คคห.45 กลับบอกให้คิดเอาเอง อืมคงต้องบอกว่า แมทท์หน้ามึนเป็นกลับกลอกตัวพ่อละมั้ง  อ๋อ..หรือแค่ตัดต่อความหมายของกุรอ่านเท่านั้นเหรอ......จุ๊ๆ แมทท์หน้ามึน อย่าตกใจไป คอกใกล้เสร็จละ จากคุณ : คนแปลกหน้าในโลกดุนยา เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 10:07:33

ความคิดเห็นที่ 79 ถ้าไม่กล้าคุยก็บอกตรงๆ สิครับ เพราะ ตั้งแต่คุยมาผมก็ไม่เห็นคุณจะมีหลักการและเหตุผลอะไรมา คัดง้างกับมุสลิมในห้องนี้ได้ และประเด็นที่คุณว่าไม่เข้าใจนั้น ใครไม่เข้าใจ มุสลิม หรือตัวคุณเอง ที่พยายาม แตกประเด็นไปเพื่อเอาตัวรอด? คำพูดที่ว่าผมไม่มีเหตุผล คุณยังบอกไม่ได้เลยว่าผมไม่มีเหตุผลเรื่องอะไร สุดท้ายก็เป็นได้แค่คำกล่าวหา เพื่อเป็นข้ออ้างในการเอาตัวรอดเท่านั้น ไม่ต้องไปเอาฮะดีษหรอกครับ เอากุรอ่านที่คุณอ้างว่าศึกษามาเป็นอย่างดีนั่นแหละครับ คุณเข้าใจดีแค่ไหน? และไม่ต้องกลัวว่าผมจะไป คุยประเด็นที่ คุณคุยกับ คุณZeitgeist aka bAdkArmA หรอกครับ เพราะผมจะคุยเรื่องประเด็นที่คุณหนีต่างหาก และไม่ได้สนใจว่าคุณจะยอมรับหรือไม่ แต่ต้องการเก็บไว้เป็นหลักฐานเรื่อง ความไร้เหตุผล และความเขลาของคุณเองต่างหากล่ะครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 10:38:11

ความคิดเห็นที่ 80 ก็อย่างที่บอก กุรอ่าน ก็ใช้คำที่ เด่นชัดอยู่แล้ว อย่างที่ได้อธิบายไป ไม่ว่าจะเป็น คำว่า yadribna ทั้ง alaa ทั้ง khimar ทั้ง juyubihinna หรือแม้แต่ ผู้แปลจากอาหรับเป็นภาษาอังกฤษ ก็แปลตั้งแต่ ใช้คำว่า draw (ดึงลากลง), extend (ขยาย) หรือแปลตรงๆ ว่า wear their head-coverings over their bosoms ด้วยซ้ำ ซึ่งโดยรวมแล้ว ก็แปลว่า ปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะลงมาถึงหน้าอก ถ้าไม่ปิดศรีษะย่อมไม่มีทางเป็นคำว่า ปิดลงมาถึง หรือ extend ได้เลย แล้วมาบอกว่า ไม่มีคำสั่งให้คลุมศรีษะได้อย่างไร  เพราะจะมีหรือไม่มีคำว่าจงคลุมผมก็ตาม แต่โองการที่ 24:31 นั้นมุสลิมจะต้องคลุมผมครับเพราะถ้าไม่คลุม ก็จะไม่เป็นไปตามความหมาย ว่า"...และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะ (คีมารฺ) ของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ (ญุยูบิฮินนา)..." จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 10:43:01

ความคิดเห็นที่ 81 คุณแปลก เอานี่ไปอ่านดูซิว่า เขาว่าอย่างไร? http://www.telegraph.co.uk/news/worldnews/middleeast/kuwait/6307598/Kuwaiti-women-MPs-refuse-to-wear-hijab-in-parliament.html Kuwaiti women MPs refuse to wear hijab in parliament Two female Kuwaiti MPs, Rola Dashti and Aseel Al-Awadhi, are defying the country's powerful Islamist movement by refusing to wear the hijab, or headscarf, in parliament. อ่านดูเพื่อว่า หูตาจะได้สว่างกันบ้าง Students at Khalifa University in Sharjah, the most conservative of the seven city-states that make up the United Arab Emirates, have also reportedly been told to stop wearing the veil, known in Arabic as the niqab.  ผู้หญิงอรับเขาเข้าใจ ดีครับว่าอะไรเป็น ศาสนา และอะไรเป็นประเพณี อ่านช้าๆจะได้เข้าใจง่ายๆ แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 52 11:29:24 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 11:20:20

ความคิดเห็นที่ 82 เอาอีกแล้วครับ อ้างพวกกะโหลกกะลาอีกแล้ว ก็แค่ผู้หญิงหน้าด้านไม่กี่คนที่พยายามเปิดเผยสิ่งต้องห้าม และที่ข้อความที่ยกมาเขาบอกว่า ต้องการจะหยุดการใส้ผ้าคลุมหน้า หรือ ภาษาอาหรับว่านิกอบ ไม่ใช่ฮิญาบที่คลุมผม และในข่าวก็ไม่ได้บอกว่า อิสลามไม่ได้บังคับ หรือไม่มีคำสั่งใช้ในอิสลาม แต่พวกนี้บอกว่าไม่สามารถบังคับผู้หญิงให้คลุมฮิญาบได้ นี่ไม่ใช่ ซาอุ หรืออิหร่าน สรุปคือ ถึงอิสลามจะสั่งให้คลุม มันก็จะถอดก็แค่นั้น นี่มันเรื่องของกฎหมายในประเทศ ไม่ใช่หลักการอิสลาม ส่อสันดานแมทท์จริงๆ จับนู่นผสมนี่ มั่วไปหมด ไม่ได้ดูเหนือดูใต้อะไรกับเขาเลย จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 12:00:15

ความคิดเห็นที่ 83 http://www.umanitoba.ca/cm/vol7/no7/underonesky.html   The hijab, or head scarf, worn by Islamic women is the subject of this excellent documentary by Jennifer Kawaja. The film documents the prejudice Muslim women experience in North America because they choose to cover their heads according to Arabic custom. (คลุมศรีษะเนื่องจากประเพณีอรับ) Islamic women who observe this custom have been the brunt of discrimination, especially since the Gulf War which demonized Arabic culture. Women have experienced taunts, ostracism, physical attacks and have even been officially banned from wearing the hijab in schools in some locations. จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 12:01:27

ความคิดเห็นที่ 84 หนังที่ว่า มีความน่าเชื่อถืออย่างไรครับ? อ่านใหม่ดีดีซิ ว่ามีบทความวิชาการอะไรบ้าง? ใครเป็นคนบอกว่า ฮิญาบเป็นประเพณีอาหรับ ช่วยอ้างอิงหน่อยซิ ว่าคนให้ความเห็นคนนั้นน่ะเป็นใคร เป็นจอมมั่ว แบบ login แมทท์ หรือพวกฝรั่งที่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง นอกจาก กินกับ มีเซ็กส์? หมดหนทางจะอ้างแล้วเหรอเนี่ย สมกับเป็น login แมทท์ จอมมั่วจริงๆ แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 52 12:08:34 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 12:07:34

ความคิดเห็นที่ 85 อ่านมาเยอะแล้วละแมทท์หน้ามึน แต่งเอง เขียนเอง ปะรูปซะหน่อย แล้วเอา link มาฝากก็แค่นั้น รูปไปเอาจากไหนมาก็ได้เยอะแยะไปหมด        แมทท์เห็นไหมถ้าแมทท์ติดตามและคุยกับผมบ่อยๆ แมทท์หน้ามึน ก็จะฉลาดขึ้นเห็นไหมเริ่มเห็นแสงสว่างนิดๆ แล้วใช่ไหม......แก่แล้วดึกๆก็พักผ่อนบ้างนะ        อ่อ.....ทีหน้า ทีหลัง อย่าเอาไอ้ เวป โง่ๆนี่มาให้ผมอ่านอีกนะเพราะตอนนี้ผมพอมีความเป็นคนอยู่บ้าง แมทท์เอาไว้อ่านคนเดียวแล้วกันนะ ระวังน๊าาา...อ่านมากๆความเป็นคนมันจะลดลง แล้วจะกลายเป็นเจ้า weasel จริงๆด้วยน๊าาาาาาา...... อิอิ แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 52 12:09:41 จากคุณ : คนแปลกหน้าในโลกดุนยา เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 12:09:11

ความคิดเห็นที่ 86 ผมเพียงแต่ต้องการแสดงความเห็นว่า "ฮิญาบ"ไม่ใช่ข้อบังคับของอิสลาม แต่เป็นเรื่องของ หญิงอรับที่เขา ขัดแย้งกัน เพราะ ระหว่างประเพณีกับศ่าสนา      ซึ่ง นักกฏหมายเอามาปนกัน  เราคนไทยวงนอกนับถือศาสนาอิสลาม ถ้าเราจะเลือกตามประเพณีอรับ  เชิญตามสบายครับ แต่ไม่ใช่หลักการของอิสลาม ซึ่งชาวอรับเขารู้ดี จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 12:09:23

ความคิดเห็นที่ 87 ความคิดเห็นที่ 84   "พวกฝรั่งที่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง นอกจาก กินกับ มีเซ็กส์?" เห็นด้วยครับ แต่เขาคงอาจจะไม่ใช่มุสลิม นะครับ?    "ถ้ามุสลิมต้องไปอ่านการตอบปัญหาเรื่องนี้ของ อ. ม... ดูซิครับ ไหนๆก็กล่าวถึงเรื่องนี้แล้ว ช่วยอธิบาย  ตห. 32  คุณเชื่อ "ซอเฮี๊ยะฮาดีษ บทนั้นหรือไม่?  ผมว่า เป็นเรื่องโกหก ...คุณว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม๋?^^ จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 12:25:42

ความคิดเห็นที่ 88 - มีด้วยเหรอครับแมทท์ อิสลามวงนอก วงใน - อิสลามไม่มีแยกอาหรับไม่อาหรับ ไม่มีวงนอก วงใน - อิสลามมีกุรอ่านและซุนนะห์นบี นั่นก็คือหลักการของอิสลาม และชาวอาหรับหรือไม่ใช่อหรับก็รู้หลักการเป็นอย่างดีว่า กุรอ่านและนบี บอกให้หญิงปกป้องความชั่วร้ายที่จะเข้ามาหานางด้วย "ฮิญาบ"นั่่นเอง ออ....มีอีกอย่าง ก็คือ พวกปลิ้นปล้อน หน้าไหว้หลังหลอก พวกทำหน้ามึนแฝงตัวมาในอิสลามแบบแมทท์ไง.....อิอิ จากคุณ : คนแปลกหน้าในโลกดุนยา เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 12:27:35

ความคิดเห็นที่ 89 เขาขัดแย้งกันเรื่องหลักการตรงไหน หน้าไหน ข้อความใด ล่ะครับ? ก็ชัดๆ ว่า แค่ผู้หญิงหน้าด้านสองคนพยายาม จะไม่คลุมฮิญาบ ก็แค่นั้น ไม่ได้ขัดแย้งกันเรื่องศาสนาเลย และก็ไมได้บอกด้วยนั่นเป็นประเพณี ไม่ใช่ศาสนา ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ ศาสนาจะว่ายังไงพวกนี้ไม่ได้อ้างถึง ก็แค่อยากจะ แก้ผ้า ก็เท่านั้น จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 12:30:46

ความคิดเห็นที่ 90 ที่จริงแล้วเรื่อง"ฮิญาบ"สำหรับแมทท์แล้วนั้นไม่มีไรหรอกครับ แมทท์มีธงอยู่แล้วนั่นเอง ความอยากเห็นสตรีอิสลามเดินนวยนาด เปิดโน่น เว้านี่ มันอยู่ในกมลสันดานของเฒ่าแมทท์ลามกนั่นเอง                             คราวนี้แมทท์ก็ต้องหาเหตุผลให้มุสลิมะห์ถอด"ฮิญาบ"ออกให้ได้ก่อน ถ้าถอด"ฮิญาบ"ได้แล้ว ที่เหลือเสื้อผ้าก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น               อะไรบ้างที่ขัดขวางแผนการที่จะถอด"ฮิญาบ"ออกจากมุสลิมะห์ผู้มีความศรัทธา               1.ฮะดิษ(ซุนนะห์นบี)อันนี้ไม่ยากเย็นเพราะแมทท์ ด่า ใส่ร้าย ใส่ความ ท่านนบี เรียบร้อยแล้ว และเคยบอกด้วยว่่าเป็นหนังสือบอกเล่า(หลักฐาน คคห.46-47, 55-56)               2.กุรอ่าน 24:31(จัดการบิดเบือนซะ ให้อายะห์นี้ไม่มีความหมายไปซะ เอาอายะห์ 7:26 มาตั้งเป็นเงื่อนไขใหม่)โดยตัดคำ ไม่ให้มีคำว่าผ้าคลุมศรีษะ(คีมารฺ)ซะเลย(หลักฐาน คคห.45) เปลี่ยนกริยามาเป็นนามซะ เท่านี้ก็เสร็จสม อารมณ์หมายของแมทท์                              แต่อย่ากระนั้นเลยต้องมีคนรู้ทันมาขัดขวางแผนการนี้ แต่ไม่เป็นไรแมทท์ต้องทำหน้า มึ น เข้าไว้ หลักฐานอะไรที่มาแสดงหรือหักล้างแมทท์ได้ ก็ต้องไม่ยอมรับต้องทำ มึ น เข้าไว้ หาเรื่องอื่นเข้ามาแทรกโดยไว และเปลี่ยนประเด็น เพื่อเปิดประเด็นใหม่                             ลองคิดตามผมดูก็ได้นะครับมุสลิมทุกท่าน ว่าแมทท์ดำเนินการเป็นไปอย่างที่พวกผมคาดการณ์กันไหมครับ แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 52 16:37:33 จากคุณ : คนแปลกหน้าในโลกดุนยา เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 16:24:06

ความคิดเห็นที่ 91 ขอคุยกับ..คุณแปลก  ก่อนจากความคิดเห็นที่ 90      .....อะไรบ้างที่ขัดขวางแผนการที่จะถอด"ฮิญาบ"ออกจากมุสลิมะห์ผู้มีความศรัทธา ตอบ..      ไม่มีใครที่พยายามจะขัดขวางการแต่งกายของ สตรีมุสลิม แม้แต่ตัวผมเองก็ สนับสนุนไม่ว่า สตรีมุสลิม หรือไม่ใช่ มุสลิมก็ตาม จะแต่งตัวอย่างไร เขาเหล่านั้นมีสิทธฺในการแต่งตัวทุกๆอย่างตามที่เขารู้สึก ว่าเพียงพอกับ การเป็นหญิงผู้ศรัทธา      ไม่ว่าหญิงผู้ศรัทธา จะแต่งตัว ตาม แฟชั่นอรับ. ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น, อเมริกัน หรือ ไทยก็ตาม ถ้าเขาแต่งกาย อย่างผู้มีจริยาธรรมและคุณธรรม ตามที่พระเจ้าสอนในบัญญัติต่างๆ และแต่งตัวให้เหมาะสมกับ กาลเวลาและสถานที่ แล้ว เขาเหล่านั้น ไม่ได้ฝ่าฝืน หลักการของอิสลาม และเป็นสิทธิของเขา......ไม่มีใครมีสิทธิที่จะไปกำหนด หรือบัญญัติให้เขาเหล่านั้นต้อง แต่งกายอย่างไร โดยอ้างว่าเป็นหลัการศาสนาอิสลามที่พระเจ้าบัญญัติไว้    การออกกฏหรือตั้งกฏอะไรเช่นนั้นเป็นการฝ่าฝืนบัญญัติของพระเจ้า และพระองค์ได้บัญญัติห้ามไว้อย่างชัดเจน พระเจ้าเท่านั้นที่เป็นผุ้มีสิทธิออกบัญญัติแห่งความศรัทธา ไม่มีมนุษย์ผู้ใดฝ่าฝืน เพิ่มเติมและตัดต่อได้ แม้แต่ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด(66:1)  ....คุณเข้าใจประเด็นในข้อนี้ไหม? ........................              1.ฮะดิษ(ซุนนะห์นบี)อันนี้ไม่ยากเย็นเพราะแมทท์ ด่า ใส่ร้าย ใส่ความ ท่านนบี เรียบร้อยแล้ว และเคยบอกด้วยว่่าเป็นหนังสือบอกเล่า(หลักฐาน คคห.46-47, 55-56)           สำหรับเรื่องฮะดิษนี้เก็บไว้ก่อน เพราะผมจะเปิดกระทู้ อธิบายประเด็นที่คุณยังหลงอยู่ต่อไปในกระทู้ใหม่ .......................              2.กุรอ่าน 24:31(จัดการบิดเบือนซะ ให้อายะห์นี้ไม่มีความหมายไปซะ เอาอายะห์ 7:26 มาตั้งเป็นเงื่อนไขใหม่)โดยตัดคำ ไม่ให้มีคำว่าผ้าคลุมศรีษะ(คีมารฺ)ซะเลย(หลักฐาน คคห.45) เปลี่ยนกริยามาเป็นนามซะ เท่านี้ก็เสร็จสม อารมณ์หมายของแมทท์   เรื่องนี้ Carroth และผม แสดงความคิดเห็นอย่างละเอียดแล้ว แต่ เข้าใจกันผิดในประเด็น ซึ่ง ผมได้แสดงประเด็นและคำอธิบายในประเด็นไปหมดแล้ว...ในการที่จะบังคับให้ใคร หรือ จะนำมาสอนหรือ เผยแพร่ให้ผู้ใดก็ตาม เชื่อตามผม นั้น,มันไม่ใช่ความประสงค์ของผม ที่แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้   เพียงแต่ต้องการอธิบายว่า การสวม "ฮิญาบ ไม่ใช่ หลักการของอิสลาม" "คิมารฺ" เป็นคำนาม ที่นำมาใช้ใน 24:31 เพื่อให้หญิงเข้าใจว่า ถ้าจะแต่งตัวตามประเพณีแล้ว ก็ทำให้มันเรียบร้อย ดึงชายผ้าที่คลุมหัวนั้นมาปิดหน้าอกเสีย"    เช่นเดียวกัน เมื่อคุณเห็นน้องสาวคุณอยู่ในบ้านต่อหน้าคุณ ใส่เสื้อผ้าหละหลวมคุณก็บอกว่า..ไปใส่เสื้อผ้าให้รัดกุมซิ..ดึงคอปกเสื้อติดกระดุมให้มันเรียบร้อย  คือถ้าครอบครัวของ..คุณแปลก..แต่งตัวตามประเพณีอย่างไร คุณก็ชี้ให้น้องสาวของคุณ ให้เธอเห็นถึงการแต่งตัวตามประเพณีที่อยู่ตรงหน้าของคุณนั้น ว่ามันบกพร่องอย่างไร..แล้วคุณก็ให้คำแนะนำโดยบอกให้เธอแต่งตัว ให้ถูก ต้อง ตามหลักจรรยาธรรม ของผู้มีคุณธรรมที่ครอบครัวของคุณถือเป็นบรรทัดฐาน...เข้าใจไหมครับ? คุณคงจะไม่..สั่งให้น้องสาวของคุณไปหาผ้ามาคลุมศรีษะของเธอ, ซึ่งไม่เกียวกับการติดกระดุมคอเสื้อของเธอเลย...เข้าใจไหมครับ? ..................  พระองค์อัลลอฮ์ ได้ออกกฏบัญญัติในการแต่งตัวของมวลมนุษย์ไว้  3 กฏบัญญัติ  คือ   1."O ye Children of Adam! We have bestowed raiment upon you to cover your shame, as well as to be an adornment to you. But the raiment of righteousness,- that is the best. Such are among the Signs of Allah, that they may receive admonition!" (Yusufali 7:26)     มนุษย์ได้รับมหากรุณาธิคุณจากพระองค์ ที่พระองค์ประทานทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อปกคลุมร่างกายจากความอับอาย และเพื่อ การป้องกัน ความ หนาว ร้อน ตามสภาพภูมิศาสตร์ และ/หรือ เพื่อ ความ สวยงาม โอ่อ่า ฟุ่มเฟือย แต่พระองค์ทรงย้ำว่า เครื่องแต่งกายที่ดีที่สุด คือ เคริ่งนุ่งห่มแห่งคุณธรรม คือว่าจะแต่งตัวอย่างไรก็ตาม ต้องมีความศรัทธาและคุณธรรมที่ดี ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ยากจน และผู้ที่ไม่อาจจะหาเครื่องนุ่งได้ มีสิทธิที่จะนับถือและปฏิบัติตามหลักการของอิสลามได้ ด้วยความสดวกสบาย   2.  กฏข้อนี้คือบัญญัติที่ 24:31 ซึ่งอยู่ภายใต้ บัญญัติที่ 7:26 เช่นกัน           สรุปข้อปฏิบัติใน บัญญัติที่ 24:31 1.หญิงผู้ศรัทธาจะต้องไม่สบตาหรือมองจ้อง ผุ้ใด(ชายใด) และจะต้องสงวนพรมจารีย์ของ เธอ 2. หญิงผู้ศรัทธาจะต้องปกปิดส่วนต่างๆของร่างกายเธอยกเว้นแต่ส่วนที่จำเป็นในการใช้ชีวิตประจำวัน         3.หญิงผู้ศรัทธาจะต้องดึงหรือรวบชายผ้าคลุมศรีษะมาปิดทรงอก (ให้มิดชิด) 4.หญิงผู้ศรัทธาไม่ควรเปิดเผยร่างกายของนางนอกจากส่วนที่จำเป็น  5.หญิงผู้ศรัทธาไม่ควรจะเปิดเผยร่างกายของเธอนอกจากต่อหน้า สามี ...(และเครือญาติที่ใกล้ชิด)         6.หญิงผู้ศรัทธาไม่ควรเดินกระแทกส้นเท้า เพื่อ ที่จะอวดทรวดทรงบางส่วนของเธอ (ทำให้ตะโพกสั่นและทรวงอกกระเพื่อม)          จากข้อสรุปนี้คำวลี “วะลา ยุบดีนะ ซีย์นะตะฮุนนะ”   มีกล่าวอยู่ 2 ครั้ง ใน ข้อ 2 และ ข้อ 4 และ ในข้อ 6  มีคำว่า “ซินะตะฮินนา”,   คำว่า “ซีย์นะตะฮุนนะ และ ซินะตะฮินนา” นั้น อ้าง  ถึงร่างกายของหญิง หรือความงามในเรื่อนร่างของเธอ”  ไม่ได้ อ้างถึง “หัว” ของเธอ ซึ่งเราจะเห็นว่า การกระแทกซ้นเท้าทำให้ตะโพกสั่นและทรวงอกกระเพื่อม ไม่มีอะไรที่เกี่ยว กับ หัว ของ หญิงผู้ศรัทธา กฏข้อ ที่3. คือ อายะที่ 33:59 เป็นบัญญัติที่ บอกถึงการแต่งกายเมื่อ หญิงออกนอกบ้าน  ให้ดึงเสื้อคลุมหรือใส่เสื้อคลุมชั้นนอกเมื่อ ออกจากบ้านหรือเดินทาง ซึ่งอยู่ภายใต้ 7:26 เช่นกันต้องดำรงค์ไว้ด้วยคุณธรรม  O Prophet! Tell thy wives and daughters, and the believing women, that they should cast their outer garments over their persons (when abroad): that is most convenient, that they should be known (as such) and not molested. And Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful. (Yusufali 33:59)                  ด้วยเหตุนี้ ในการอธิบาย อัลกุรอานในอายะที่เกี่ยวกับเรื่องการแต่งกาย จึงจำเป็นต้อง นำเอาอายะที่กี่ยวข้องทุกๆอายะมาอธิบาย รวมทั้งเมื่อใด หญิงควรจะผ่อนคลาย บัญญัติ ทั้ง 3 ได้   คุณจะเห็นว่า ถ้าอยู่ในครอบครัวแล้ว พระเจ้ามีข้อผ่อนผันในการแต่งกายของหญิงผู้ศรัทธา  แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขของ ความมีคุณธรรมและจริยาธรรมที่สูงภายใต้ 7:26 เช่นกัน  There is no blame (on these ladies if they appear) before their fathers or their sons, their brothers, or their brother's sons, or their sisters' sons, or their women, or the (slaves) whom their right hands possess. And, (ladies), fear Allah; for Allah is Witness to all things.(Yusufali 33:55) และ  Such elderly women as are past the prospect of marriage,- there is no blame on them if they lay aside their (outer) garments, provided they make not a wanton display of their beauty: but it is best for them to be modest: and Allah is One Who sees and knows all things. (Yusufali 24:60) หวังว่าคุณแปลก คงเข้าใจประเด็นของผม แต่ถ้ายังมีข้อข้องใจก็ โต้แย้งได้ครับ จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 23:47:40

ความคิดเห็นที่ 92 อย่ามาโกหกว่า มีการเข้าใจประเด็นผิดสิครับ ไม่มีการเข้าใจประเด็นผิดหรอกครับ มีแต่การจงใจบิดเบือน กุรอ่าน จาก login แมทท์ "ฮิญาบไม่ใช่หลักการอิสลาม" ทั้งๆที่ การคลุมผม ปิดผม หรือเราเรียกว่าฮิญาบนั้น เป็นคำสั่งโดยตรงเลย ซึ่งไม่ว่าจะโองการไหน ก็ไม่ได้อนุญาตให้มุสลิมะฮฺ หรือสตรีมุสลิมแต่งกายโดยไม่ปิดศรีษะนะครับ หรือจะอ้าง โองการนี้ 7:26. ลูกหลานอาดัมเอ๋ย! แท้จริงเราได้ให้ลงมาแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งเครื่องนุ่งห่ม(*1*)ทีปกปิดสิ่งที่อันน่าละอายของพวกเจ้าและเครื่องนุ่ง ห่มที่ให้ความสวยงาม(*2*) และเครื่องนุ่งห่มแห่งความยำเกรง(*3*)นั่นคือสิ่งที่ดียิ่ง(*4*)นั่นแหละคือ ส่วนหนึ่งจากบรรดาโองการของอัลลอฮ์ เพื่อที่ว่าเขาเหล่านั้นจะได้รำลึก ก็ไม่ได้ อนุญาตให้มุสลิมเปิดเผยส่วนศรีษะ เพราะ โองการ 24:31 ก็ได้อธิบายแล้วว่า มุสลิมควรแต่งตัวอย่างไร ดังนี้ 24:31 And tell the believing women to lower their gaze and be modest, and to display of their adornment only that which is apparent, and to draw their veils over their bosoms, หรือภาษาไทยดังนี้ 24:31. และจงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดามุอ์มินะฮ์ให้พวก[/u]เธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาทวารของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้(*1*) และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ หรือภาษาอังกฤษ ในการแปลอื่นๆ คือ "...Extend the khimar to cover the bosom... หรือ แบบนี้ก็มีนะครับ "...and let them wear their head-coverings over their bosoms..." เราจะพบว่า ไม่มีการแปลชนิดไหนที่เปิดช่องให้ผู้หญิงสามารถเปิดศรีษะได้แม้แต่ที่เดียว หรือแม้แต่คนเดียว เพราะอย่างแรกที่ต้องทำนั่นคือสวม ผ้าคลุมผมก่อนนะครับ ถึงจะปิดลงมาถึงหน้าอกได้ ถ้าไม่คลุม จะไม่มีการปิดมาคลุมถึงหน้าอกหรอกครับ โดยคำว่า draw (ดรอ) {drew,drawn,drawing,draws} vt.,vi. ดึง,ลาก,โก่ง,น้าว,ถอน,จับ (ฉลาก) ,เอาออก,ดึงออก,ชักนำ,วาด,สเก็ตช์,เขียน,บรรยาย,ร้อยกรอง,พรรณนา -Phr. (draw on ใกล้เข้ามา) . -Phr. (draw up ยกร่าง,ร่าง,ออกแบบ) n. การดึง,การลาก,สิ่งที่ดึงดูดใจ,การเสมอกัน,ส่วนที่ชักขึ้น หรือบางท่านก็ใช้คำว่า extend (อิคซฺเทนดฺ') v. ขยายออก,ยืดออก, ประเมินค่า, ไปถึง,เพิ่มขึ้น., Syn. extendibility,extendability n. extendible,extendable adj., Syn. stretch,reach นี่ครับ เป็นความของการ ดึงไปถึง ขยายไปถึง ลากไปถึง จึงแปลได้สองอย่าง ไม่ใช่ เอามาปิดที่หน้าอกเฉยๆ เพราะปิดที่หน้าอกเฉยๆจะไม่มี ความหมายของ extend ครับ หรือถ้าไม่จำเป็นต้องใส่ผ้าคลุมผมก่อน ก็ไม่ต้องใช้คำว่า draw ด้วย และนี่คำสั่งนะครับจากต้นประโยคเลยว่า สตรีต้องแต่งตัวอย่างไร ไม่ใช่ ควรแต่งตัวอย่างไร ดังนั้นแล้ว การแต่งตัวของสตรี จึงต้องมีการปิดศรีษะครับ ถ้าไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถ แต่งโดยปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะมาถึงหน้าอกได้เลย การที่บอกว่า ไม่มีใครมีสิทธิไปยุ่งเกี่ยวกับการแต่งกายของผู้หญิง จึงเป็นการพูดที่ ผิดหลักการอิสลามอย่างมาก เพราะประโยคแรกของโองการนี้ ก็บอกชัดๆแล้วว่า And tell the believing women ให้บอกกับหญิงผู้ศรัทธาให้แต่งตัว ตามหลักการอิสลาม ไม่ใช่บอกว่า ให้หญิงผู้ศรัทธา แต่ตัวตามใจปรารถนา อิสระของมนุษย์ มีได้ครับ แต่ต้องอยู่ในกรอบของศาสนา ไม่ใช่อยู่ที่ความอยากของตัวเอง อ่อและอีกอย่างนะครับ อิสลามไม่ใช่ศาสนาที่ตามประเพณีนะครับ อิสลามเป็นศาสนาที่ส่งมาสำหรับมนุษยชาติทั่วโลก และกุรอ่าน โองการที่ 24:31 ก็ไม่ได้บอกให้ตามประเพณีด้วย และไม่มีตรงไหน ผู้รู้ท่านใด แปลกโองการนี้ว่า ถ้าจะแต่งตัวตามประเพณี ก็ให้แต่งตัวให้เรียบร้อย แต่โองการนี้ บอกชัดเจนว่า ต้องปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะมาถึงหน้าอก ไม่ว่าประเพณี ที่โลกไหน จะเป็นอย่างไร แต่ถ้าเป็นมุสลิมต้องแต่งตัวตามนี้ทุกคน อย่าเอาคำว่า ถ้า หรือคำว่าประเพณีมาบิดเบือนต่อเติมคำแปลกุรอ่านครับ เพราะในประเพณีอาหรับ หรือคำอาหรับนั้น ไม่ได้มีแต่ คิมารฺ หรือ khimar อย่างเดียว ผ้าชนิดอื่นก็มี ดังนั้น การเจาะจงใช้ คำว่าผ้าคลุมผม หรือการใช้ คำสั่งให้ ดึงมา ปิดถึงจึง ตรงตัวอยู่แล้วล่ะครับว่า มุสลิมะฮฺต้องปิดศรีษะของเธอ นี่เป็นหลักการของอิสลาม ............................................................................................ ส่วนกฎ บัญญัติ 3 ข้อ หรือ 6 ข้อที่แมทท์ สรุปมานั้น ไม่มีอะไรให้สนใจเพราะเป็นการสรุป ของ login แมทท์ ที่บิดเบือนอิสลาม แล้วต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน มา 5-6 ปี มันจึงเป็นการสรุปที่ มาจากความเห็น ของคน ที่ไม่เข้าใจกุรอ่าน คนนึงเท่านั้น ไม่ได้มีหลักวิชาการอะไรมารองรับ นอกจาก ไปเอามาจาก เว็บกระโหลกะลา นักวิชาการกิ๊กก๊อกก็เท่านั้น ตามนิสัย ของ login แมทท์ แล้วก็เอา แนวคิดมั่วๆ นั่นแหละ มาจัดระเบียบซะหน่อยเพื่อความน่าเชื่อถือจะได้กลบความ มั่วของตัวเองซะ เรามาดูกันดีกว่า ว่า จริงๆ แล้ว ผู้รู้ เค้าให้รายละเอียดอย่างไร 24:31. และจงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดามุอ์มินะฮ์ให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาทวารของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้(*1*) และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ และอย่าให้เธอเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่แก่สามีของพวกเธอ หรือบิดาของสามีของพวกเธอ หรือลูกชายของพวกเธอ หรือลูกชายสามีของพวกเธอ หรือพี่ชายน้องชายของพวกเธอ หรือลูกชายของพี่ชายน้องชายของพวกเธอหรือลูกชายของพี่สาวน้องสาวของพวกเธอ หรือพวกผู้หญิงของพวกเธอ(*2*)หรือที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง (ทาสและทาสี)(*3*) หรือคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ(*4*) หรือเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องเพศสงวนของผู้หญิง และอย่าให้เธอกระทืบเท้าของพวกเธอ เพื่อให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่พวกเธอควรปกปิดในเครื่องประดับของพวกเธอ(*5*) และพวกกเจ้าทั้งหลายจงขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮ์เถิด โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ (1)  พระองค์ทรงใช้ให้บรรดามุอ์มินะฮ์ลดสายตาและรักษาทวารของนาง และทรงใช้มิให้พวกเธอเปิดเผยเครื่องประดับแก่คนแปลกหน้า เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ โดยไม่มีเจตนาหรือความตั้งใจที่ไม่ดี อิบนุมัสอูดกล่าวว่าเครื่องประดับมีสองชนิด เครื่องประดับชนิดที่หนึ่ง คนอื่นจะมองมันไม่ได้นอกจากสามี เช่น แหวนและกำไล เครื่องประดับชนิดที่สองคือเครื่องประดับที่คนแปลกหน้าามองได้คือส่วนภายนอก ของเสื้อผ้า กล่าวกันว่าความมุ่งหมายคือใบหน้าและมือทั้งสองข้าง เพราะทั้งสองสิ่งนั้นมิใช้เป็นสิ่งพึงสงวน อัลบัยฏอวีย์กล่าวว่า ความจริงทั้งสองสิ่งนั้นอนุญาตให้เปิดเผยได้ในเวลาละหมาดเท่านั้น มิใช่เพื่อการมอง เพราะร่างกายทุกส่วนของสตรีอิสระนั้นไม่อนุญาตให้ผู้อื่นมองเธอ นอกจากสามีและผู้ที่แต่งงานกับเธอไม่ได้ (อัลมะห์รอม) เว้นแต่ในกรณีที่จำเป็น เช่น เพื่อการรักษาพยาบาลและการเป็นพยาน (2)  คือพวกผู้หญิงที่เป็นมุสลิมะฮ์ (3)  คือทาสีมุชริกะฮ์ (4)  เช่น ผู้มีสติฟั่นเฟือนหรือเป็นเป็นโรคประสาท โดยไม่สนใจในเรื่องเพศ (5)  อิบนุอับบาสกล่าวว่า สตรีในสมัยญาฮิลียะฮ์เมื่อเดินผ่านฝูงชนเธอจะกระทืบเท้า เพื่อให้ผู้คนได้ยินเสียงกำไลเท้าของนางดังนั้นอัลลอฮ์ ตะอาลา จึงทรงห้ามมิให้กระทำเช่นนั้น เพราะมันเป็นการกระทำของชัยฎอน อ่านซะนะครับ สะโพกสั่นไหวอะไรนั่นมาจากไหน? ไปลอกบทความใครมาอีก มีที่มาที่ไปไหม? ก็อย่างที่บอกนั่นแหละครับ การแต่งกาย ต้องนำอายะห์ที่เกี่ยวข้องทุกๆ โองการมาอธิบาย แต่ไม่ใช่ เอาความรู้ของคนเขลา และไม่เข้าใจ ภาษาอะไรได้ดี สักภาษาอย่าง login แมทท์มาอธิบาย ผมก็อยากจะรู้ว่า จะแถต่อไปไหนอีก? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 07:08:40

ความคิดเห็นที่ 93 แมทท์ : น้องสาวจ๊ะ(น่าจะรุ่นลูกมากกว่า)......น้องสาวไม่ร้อนเหรอคับ สวม"ฮิญาบ" มิดชิดแบบนี้ มุสลิมะห์ : ไม่ร้อนนี่คะ หนูใส่มาตั้งแต่เด็กๆ แมทท์ : น้องสาวจ๊ะ น้องสาวไม่รู้เหรอแต่งตัวมิดชิดแบบนี้ มันเป็น CULT ของคนอาหรับเค้าไม่ใช่ของไทยนะ ของไทยเราต้องคอกระเช้า สายเดี่ยว หรือไม่ก็ไสบเฉียงนะจ๊ะ แล้วที่ดีควรจะบางๆ เพราะบ้านเราอากาศมันร้อน เราต้องแต่งตัวตามภูมิศาสตร์นะจ๊ะ มุสลิมะห์ : อะไรกันค๊ะ! อิสลามมีอยู่ทั่วโลกนี่คะ หนูเห็นมุสลิมะห์ทั่วโลกก็แต่งแบบหนูนี่แหละ หนูไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้ หนูเคยอ่านฮะดิษอย่างมากที่เปิดเผยได้แค่ใบหน้าและฝ่ามือเท่านั้นคะ ไม่มีนี่คะ ที่นบีฯและกุรอ่านให้แต่งตัวตามภูมิศาสตร์ แมทท์ : อูย...ฮะดง ฮะดิษ อะไรกัน เป็นแค่หนังสือบอกเล่าเท่านั้นละจ๊ะ พี่ไปแสดง คคห. มาแล้วมากมายหลายที่ เชื่อพี่เหอะน่า อย่าสงสัยมาก มุสลิมะห์ : แต่ เอ.....ในกุรอ่านก็บอกไว้นี่คะ ให้คลุม"ฮิญาบ" ตาม 24 : 31 แมทท์ : อูย......น้องคับ เรื่องนี้พี่คุยในพันทิปมาแล้ว ทุกคนอึ้งตะลึงงัน ในการตีความ กุรอ่านของพี่เลยละ คำไหนตัดได้พี่ตัดไปเลย พี่เก่ง แต่อย่าถามมากสิจ๊ะ ถามมากๆ เด๋วพี่จะหน้ามึนนะจ๊ะ มุสลิมะห์ : อืม...ลุง ใช่ชื่อ แมทท์ ป่าวคะ แมทท์ :(ยิ้ม มุมปาก กระหยิ่ม และคิดว่าความกะล่อนปลิ้นปล้อน คงทำให้น้องสาวคนนี้ชื่นชมแน่ๆ)ใช่จะ ใช่จะ พี่เอง ชื่อแมทท์ น้องสาวคงชื่นชม นิยมในตัวพี่มากเลยสินะ มุสลิมะห์ : อ๋อ....ลุงนี่เอง ที่เค้าเรียกกันว่า เฒ่าหัวงู, แก่ตัณหากลับ, ผู้กลับกลอก, คนให้ร้ายนบีฯ, คนตัดต่อกุรอ่าน, ครึ่งคน ครึ่งweasel, คนหน้าด้าน หน้าทน, หน้าแบน, หน้ามึน ใช่ไหมคะ แมทท์ : (โกยยย.....ตั้งแต่คำแรกว่า เฒ่า.....แล้ว) จากคุณ : คนแปลกหน้าในโลกดุนยา เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 09:49:35

ความคิดเห็นที่ 94 เอ๊า ไหงความว่า "วะ ลา ยุบดีนะ ซีนะตะฮุนนะ" กลายเป็น "อย่าเปิดเผยร่างกายของผู้หญิง" ไปได้เนี่ย คำที่พระองค์ "เลือก" สั่งอย่างชัดแจ้งก็คือ ห้ามเผย ห้ามอวดซีนะห์ ซีนะห์ก็คือความสวย ความงดงาม รวมทั้งเครื่องประดับเสริมสวยต่างๆ ของสตรี (adornments, beauty, ornaments, and the likes) เอางี้ ใครเห็นว่า ผมของผู้หญิงไม่ใช่ความงดงาม ยกมือขึ้น! ใครเห็นว่า ใบหูของผู้หญิงไม่ใช่ความงดงาม ยกมือขึ้น! ใครเห็นว่า ลำคอทั้งหน้าหลังของผู้หญิงไม่ใช่ความงดงาม ยกมือขึ้น! ใครเห็นว่า ผิวพรรณของผู้หญิงไม่ใช่ความงดงาม ยกมือขึ้น! ใครเห็นว่า เรือนร่างของผู้หญิงไม่ใช่ความงดงาม ยกมือขึ้น! ใครเห็นว่า เส้นสายส่วนเว้าโค้งของผู้หญิงไม่ใช่ความงดงาม ยกมือขึ้น! ใครเห็นว่า ต่างหูของผู้หญิงไม่ใช่ความสวยงาม ยกมือขึ้น! ใครเห็นว่า กำไลข้อมือและข้อเท้าของผู้หญิงไม่ใช่ความสวยงาม ยกมือขึ้น! ใครเห็นว่า แหวนบนนิ้วเรียวของผู้หญิงไม่ใช่ความสวยงาม ยกมือขึ้น! ใครเห็นว่า สร้อยคอ/ข้อมือของผู้หญิงไม่ใช่ความสวยงาม ยกมือขึ้น! (หันซ้ายหันขวาจนถึงตอนนี้ผมยังไม่เห็นใครยกมือซักคน :-) แต่อย่าทะลึ่งยกกันล่ะ) คือเราไม่จำเป็นต้องคิดให้ยุ่งยากก็ได้ ใช้ common sense ที่เราแต่ละคนมีอยู่แล้วพิจารณาดู อย่างที่เห็นข้างต้น ความคิดที่ว่า ห้ามเปิดเผยร่างกาย ของคุณแมทท์นั้นจึงเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ "เข้าข่าย" ในความหมายของซีนะห์ที่อัลลอฮฺใช้ในอายะห์ 24:31 แต่แล้วคุณก็มารวบรัดตัดทอนความหมายในคำกล่าวของพระองค์ให้เหลือแค่ ห้ามเปิดเผยร่างกาย ซะงั้น คุณเล่นมาปู้ยี่ปู้ยำคำกล่าวของอัลลอฮฺอย่างนี้ จะไม่ให้ตำหนิได้อย่างไร แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 52 17:39:50 จากคุณ : Zeitgeist aka bAdkArmA เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 17:33:57

ความคิดเห็นที่ 95 "คำว่า "ซีย์นะตะฮุนนะ และ ซินะตะฮินนา" นั้น อ้าง  ถึงร่างกายของหญิง หรือความงามในเรื่อนร่างของเธอ"  ไม่ได้ อ้างถึง "หัว" ของเธอ ซึ่งเราจะเห็นว่า การกระแทกซ้นเท้าทำให้ตะโพกสั่นและทรวงอกกระเพื่อม ไม่มีอะไรที่เกี่ยว กับ หัว ของ หญิงผู้ศรัทธา ถึงหัวจะสั่นคลอนอย่างไรก็ไม่เป็นการยั่วเย้า, และไม่ว่า ประโยคที่มี "วะลา ยุบดีนะ ซีย์นะตะฮุนนะ"   อยู่กี่ครังก็ตาม ไม่ได้ทำให้อายะนี้กลายเป็น "หญิงผู้ศรัทธาจะต้องคลุมศรีษะ" ไปได้" แสดงหลักฐานมาได้เลยครับว่าซีนะห์มีความหมายจำกัดอยู่ที่ร่างกายของหญิงเท่านั้นดังที่คุณกล่าวอ้าง ถ้าคุณไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือมาแสดงในประเด็นนี้ คำพูดคุณจะกลายเป็นการพูดส่งเดชต่อกุรอ่านนะครับ คุณเองยอมรับว่าไม่รู้ภาษาอาหรับ แต่ตอนนี้มาทำหน้าที่กำหนดนิยามคำว่าซีนะห์เสียแล้ว นับถือในความหาญกล้าของคุณที่มากำหนดขอบเขตความหมายของคำในกุรอ่านโดยไม่เกรงกลัวไฟนรก ผมยกตัวอย่างสั้นๆ ว่าคำนี้ถูกนำไปใช้อย่างไร ในภาษาอาหรับมีคำว่า บัยตุซซีนะห์ แปลตามอักษรว่า บ้านแห่งความสวย เวลาคุณได้ยินชาวอาหรับพูดคำนี้ ก็ให้รู้ว่าเขาหมายถึง Beauty Shop ครับ! จากคุณ : Zeitgeist aka bAdkArmA เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 19:38:33