ความคิดเห็นที่ 1 นิยาม          อัล-กุรฺอานิยฺยูน (القرآنيون) หรือ อะฮฺลุลกุรอาน (أهل القرآن)  หรือ อะฮฺลุลซิกรฺ (أهل الذكر)  คือกลุ่มที่ยึดหลักฐานจากคัมภีร์อัล-กุรอานเพียงอย่างเดียว และปฏิเสธบรรดาสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อย่างสิ้นเชิง การกำเนิด         การเรียกร้องเชิญชวนเพื่อให้ยึดอัล-กุรอานเพียงอย่างเดียวได้ถือกำเนิดใน ปลายศตวรรษที่ 19 ที่รัฐปัญจาบของประเทศอินเดีย  และณ รัฐนี้เช่นกันที่ลัทธินอกรีตอย่างก็อดยานีย์ได้ถือกำเนิดในปีค.ศ 1900 โดยการนำของฆุลาม อะหฺมัด          แนวคิดการปฏิเสธสุนนะฮฺได้รับการเผยแพร่ในตอนต้น โดย อัส-สัยยิด อะหฺมัด คาน และในปีค.ศ 1902 ฆุลามนะบีย์ หรือที่เป็นที่รู้จักในชื่อ “อัลดุลลอฮฺ จักราละวีย์” ได้สานต่อและเผยแพร่แนวคิดนี้และได้ก่อตั้ง “ญะมาอะฮฺ อะฮฺลิซ ซิกรฺ” . หลังจากนั้นแนวคิดของกลุ่มนี้ก็ได้เผยแพร่ไปยังประเทศต่าง ๆ ของมุสลิม เช่น         - ประเทศอิยิปต์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มนี้อย่างมาก กลุ่มปฏิเสธสุนนะฮฺได้ถือกำเนิดในประเทศอิยิปต์สมัยมุหัมมัด อะลีย์ บาชา         - และประเทศซูดาน กล่าวกันว่าเคลื่อนไหวในนามพรรคการเมือง “อัล-ญุมหูรียฺ” (Republican Party) ของซูดาน จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 18:38:31

ความคิดเห็นที่ 2 นักเคลื่อนไหวของกลุ่ม 1. อัส-สัยยิด อะหฺมัด คาน   เกิด ในปีค.ศ 1817 ที่เมืองนิวเดลี (New Delhi) เมืองหลวงของประเทศอินเดีย เขาผู้นี้ถือได้ว่าเป็นคนปูรากฐานของแนวคิดการยึดอัลกุรอานเพียงอย่างเดียว และปฏิเสธสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม  เขาได้แต่งตำรับตำราอย่างมากมาย และได้เขียนหนังสืออรรถาธิบายอัลกุรอานที่ค้านกับหลักความเชื่อที่ถูกต้อง ของศาสนาอิสลาม เช่นปฏิเสธการมีอยู่จริงของญิน ชัยฏอน และมลาอิกะฮฺ.   เขาเสียชีวิตในปีค.ศ 1897 2. อับดุลลอฮฺ จักราละวีย์   เกิด ในปีค.ศ 1830  เขาคือผู้สานแนวคิดปฏิเสธสุนนะฮฺของอัส-สัยยิด อะหฺมัด คาน และในเผยแผ่แนวคิดนี้ในอินเดีย และได้ก่อตั้ง “ญะมาอะฮฺ อะฮฺลิซซิกรฺ วัล กุรอาน” เนื่องจากแนวคิดนี้เป็นแนวคิดนอกรีตและเป็นอันตราต่อประชาชาติ อิสลาม บรรดาอุละมาอฺในประเทศอินเดียจึงได้ลงนามประณามแนวคิดของอับดุลลอฮฺ จักราวะลีย์ และหุก่มเขานั้นหลุดพ้นจากสภาพความเป็นมุสลิม. 3. อะหฺมะดุดดีน อัล-อัมรัตสรีย์          เกิดปีค.ศ 1861 เขามีความสัมพันธ์กับอัส-สัยยิด อะหฺมัด คาน และอับดุลลอฮฺ จักราละวีย์ อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์กับฆุลาม อะหฺมัด ผู้ก่อตั้งลัทธิก็อดยานีย์  และได้ก่อตั้งกลุ่มชื่อ “อุมมะฮฺ มุสลิมะฮฺ” พร้อมกับได้จัดทำนิตยาสารเพื่อเผยแพร่แนวคิดปฏิเสธสุนนะฮฺ 5. ฆุลาม อะหฺมัด  บัรฺวีซฺ       ได้ก่อตั้งกลุ่ม “ฎุลูอฺ อัล-อิสลาม” และได้จัดทำนิตยาสารชื่อ  “ฎุลูอฺ อัล-อิสลาม” เพื่อเผยแพร่แนวคิด 6.  เตาฟีก ศิดกีย์   แพทย์ชาวอิยิปต์ 7. มะหฺมูด อบูร็อยยะฮฺ   ชาว อิยิปต์ ได้เขียนหนังสือใส่ไคล้เศาะหาบะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม นั่นคือท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ และได้แต่งหนังสืออื่น ๆ อีกมายมากที่แฝงไปด้วยแนวคิดปฏิเสธสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม 8. มุศเฏาะฟา กะลา อัลมะฮฺดะวีย์   ชาวลิเบีย  ได้แต่งหนังสือ “อัลบะยาน บิ อัลกุรอาน” 9. อะหฺมัด ศุบหีย์ มันศูรฺ   ชาว อิยิปต์ เคยสอนที่มหาวิทยาลัยไคโร แต่ถูกไล่ออกเนื่องจากปฏิเสธสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม  ถือได้ว่าเขานั้นเป็นผู้หนึ่งที่เป็นแรงขับเคลื่อนแนวคิดนี้ในปัจจุบัน มีผลงานเขียนเผยแพร่ทางอินเตอร์มากมาย 10. เราะชาด เคาะลีฟะฮฺ         ชาวอิยิปต์ ได้อาศัยอยู่ในประเทศอเมริกาและได้สัญชาติอเมริกัน  มีความเชี่ยวชาญด้านเคมีชีวภาพ (biochemistry)  เขาได้ปฏิเสธอัลกุรอานและไม่เชื่อว่าสุนนะฮฺคือวะหฺยูมาจากอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา แต่เป็นวะหฺยูที่มาจากชัยฏอนต่างหาก. เป็นอีกบุคคล หนึ่งที่มีการเคลื่อนไหวและเผยแพร่แนวคิดนี้ และได้ก่อตั้งเว็บไซด์เพื่อเผยแพร่แนวคิด  และเป็นเจ้าของทษฎีมหัศจรรย์เลข 19 ในคัมภีร์อัลกุรอาน   เสียชีวิตเนื่องจากถูกแทงในบ้านพักของตนเมื่อปีค.ศ 1990 รัฐ อริโซน่า จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 18:39:27

ความคิดเห็นที่ 3 แนวคิด -   ยึดหลักฐานจากคัมภีร์อัลกุรอานเพียงอย่างเดียว และปฏิเสธบรรดาสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อย่างสิ้นเชิง -   อรรถาธิบายอัลกุรอานด้วยอารมณ์และสติปัญญาของตัวเอง ไม่พึงการอรรถาธิบายของอุละมาอฺตัฟซีรฺ. -   มีแนวคิดบางประการที่คล้ายกับลัทธินอกรีตก็อดยานีย์ เช่นปฏิเสธมลาอิกะฮฺ ญิน และชัยฏอน เป็นต้น -   ถือว่าการปฏิบัติตามสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เป็นการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ -   ปฏิเสธบทบัญญัติในศาสนาหลาย ๆ อย่าง โดยอ้างว่าเพราะไม่มีระบุไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน เช่นปฏิเสธเรื่องหิญาบ   หุก่มของอิสลามต่อกลุ่มอัล-กุรอานิยยูน   เป็น มติที่พ้องต้องกันของประชาชาติอิสลามว่าสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม คือหนึ่งในบรรดาหลักฐานที่ใช้นำมาอ้างในเรื่องศาสนา ฉะนั้นผู้ใดก็ตามที่ปฏิเสธสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ถือว่าเขานั้นได้หลุดพ้นจากสภาพของความเป็นมุสลิม   ชัยคฺ อับดุลลอฮฺ อัลฟะกีฮฺ ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับกลุ่มนี้ว่า   “กลุ่ม อัล-กุรอานิยฺยูนคือกลุ่มที่ไม่ยึดเอาตัวบทบัญญัติของศาสนานอกจากจากอัลกุ รอานเท่านั้น และละทิ้งสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม  [/u]กลุ่มนี้คือกลุ่มที่หลุดพ้นจากศาสนาอิสลาม[/u] เนื่องจากการปฏิเสธสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และเป็นที่รับรู้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าอัลกุรอานไม่สามารถพอเพียงจากสุ นนะฮฺได้ในเรื่องการจำกัดความหมายโดยกว้างของอัลกุรอาน ดังนั้นสุนนะฮฺคือสิ่งที่มาอธิบายและขยายความอัลกุรอาน” [ฟัตวาจากเว็บ อิสลามเว็บ หมายเลขฟัตวาที่ 38785]   ศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสือ ดิรอสาต ฟิ อัล-ฟิร็อก อัล-กุรฺอานิยฺยูน โดย คอดิม หุสัยนฺ อิลาฮีย์ บัคฺช และหนังสือ ชุบุฮาต อัล-กุรฺอานิยฺยีน โดย อุษมาน อิบนุ มุอัลลิม 「อาบิรฺ สบีล」 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 18:40:54

ความคิดเห็นที่ 4 วิธีการที่กลุ่มคนที่พยายามบิดเบือนอิสลามพวกนี้ ใช้บ่อยๆ คือ การอ้างว่ากุรอ่านนั้นสามารถ แปลได้เอง อ่านได้เอง หรือว่าตีความได้เองโดยไม่ต้องอาศัย ความเข้าใจทางภาษาอาหรับ แต่ในความเป็นจริงแล้วความคิดดังกล่าวเป็นความคิดที่ขาดเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง กุรอ่านเป็นคัมภีร์ที่มีความลึกซึ้งทางภาษา และมีนัยยะต่างๆ ซึ่งต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และลึกซึ้งถึงจะมีความเข้าใจในโองการเหล่านี้ ดังโองการนี้นะครับ 3:7. พระองค์คือผู้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาแก่เจ้า โดยที่ส่วนหนึ่งจากคัมภีร์นั้นมีบรรดาโฮงการที่มีข้อความรัดกุมชัดเจน(*1*) ซึ่งโองการเหล่านั้น คือรากฐานของคัมภีร์(*2*) และมีโองการอื่น ไ อีกที่มีข้อความเป็นนัย(*3*) ส่วนบรรดาผู้ที่ในหัวใจของพวกเขามีการเอนเอียงออกจากความจริงนั้น เขาจะติดตามโองการที่มีข้อความเป็นนัยจากคัมภีร์ ทั้งนี้ เพื่อแสวงหาความวุ่นวาย(*4*) และเพื่อแสวงหาการตีความในโองการนั้น(*5*) แลไม่มีใครรู้ในการตีความโองการนั้นได้นอกจากอัลลอฮ์ และบรรดาผู้ที่มั่นคงในความรู้เท่านั้น(*6*) โดยที่พวกเขาจะกล่าวว่า พวกเราศรัทธาต่อโองการนั้น ทั้งหมดนั้นมาจากที่ที่พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งสิ้น และไม่มีใครที่จะรับคำตักเตือนนอกจากบรรดาผู้ที่มีสติปัญญาเท่านั้น (1)  เมื่อทุกคนได้อ่านหรือได้ฟังแล้วจะเข้าใจเหมือน ๆ กันโดยไม่ต้องตีความ (2)  เป็นหลักสำคัญของคัมภีร์ที่มุ่งหมายให้เป็นความรู้ทั้งในหลักการศรัทธาและ ในข้ปฏิบัติของมนุษย์ และยังเป็นหลักยึดถือในการตีความโองการที่เป็นนัยอีกด้วย (3)  มีข้อความในเชิงเปรียบเทียบ อาจเข้าใจหลายทาง ผู้ที่มีความรู้ในศาสนาของพระองค์อย่างกว้างขวางเท่านั้นที่จะเข้าใจในทาง ที่ถูกต้องได้ (4)  เพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายในหมู่ผู้ศรัทธาด้วยการตีความสนโองการที่เป็นนัยให้เฉออกไปจากความเป็นจริงที่พวกเขาเคยได้รับมาก่อน (5)  คือเพื่อหาทางตีความไปตามเป้าหมายที่เขาต้องการ โดยไม่คำนึงว่าจะขัดต่อความหมายของอายะฮ์ที่มีข้อความชัดเจนหรือไม่ (6)  มีพื้นฐานแห่งความรู้อย่างมั่นคงเกี่ยวกับคุณลักษณะต่าง ๆ ของพระองค์ (ศิฟาต) และความมุ่งหมายในบทบัญญัติของพระองค์ ตลอดจนมีความรู้เกี่ยวกับหลักภาษาที่เป็นโองการของพระองค์อย่างกว้างขวาง ด้วย เราจะเห็นได้นะครับว่า ต้องมีความรู้ทางภาษาด้วย แต่เราลองอ่าน ความเห็นของผู้ที่พยายามบิดเบือนอิสลาม อย่าง login แมทท์ ดูนะครับว่า เพื่อเป็นตัวอย่างว่า เขาพยายามบิดเบือนอิสลามอย่างไร login นี้บอกว่า ตัวอย่าง บางบัญญัติที่เป็น “โองการที่เรียกว่า “มุฮ์คามะ” หรือคำสั่งห้ามหรือข้อบังคับในการปฏิบัติคือ: ห้ามการเคารพบูชาเจ็วด ห้ามหญิงเปิดทรวงอกของนาง และจงงปิดทรวงอกของนางด้วย “คิมัร” ห้ามจ้องมองเพศตรงข้ามและจะต้องลดสายตาลงต่ำและสำรวมใน มรรยาท เมื่อ พบเพศตรงข้าม   ห้ามเข้าใกล้ภรรยาขณะที่เธอมีประจำเดือน ห้ามอาหารที่ตามประเภทที่กำหนดไว้ ห้ามการพนันทุกชนิด ห้ามการยึดถือสิ่งใดเป็นแนวทางปฏิบัติในชีวิตประจำวัน นอกจากแนวทาง ที่พระองค์ กำหนดไว้ในอัลกุรอานเท่านนั้น ดูเผินๆ เหมือนกับว่า จะพูดแล้ว มีเหตุผล แต่ความจริงแล้ว ขาดเหตุผล และผิดหลักการสุดๆ เลยล่ะครับ เพราะอะไร? เพราะคนอย่างแมทท์ มีความรู้อะไร ว่า หลักการโองการไหนคือ มุฮ์กะมาต หรือ โองการไหนคือ มุตะชาบิฮาต และแม้แต่ เมื่อรู้แล้วว่า โองการไหนเป็นแบบใด แล้วรู้ไหมว่า ต้องปฏิบัติอย่างไร ต้องมีคุณสมบัติใดบ้าง? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 19:00:01

ความคิดเห็นที่ 5 เรามาดูกันว่าอะไรเป็นไรอะไร                                           ลักษณะโองการทีเป็นแบบ มุฮ์กะมาต และมุตะชาบิฮาต                      คำว่า "มุฮ์กะมาต" มาจากรากคำว่า "อุฮ์กิมะ" ซึ่งหมายถึงการตัดสินระหว่างของสองสิ่ง มัน เป็นอาการนามในรูปพหูพนจ์ อันหมายถึง การตัดสิน หรือการตัดสินใจ และในภาษาทางวิชาการหมายถึง โองการที่ได้ถูกตัดสินอย่างชัดแจ้งแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ นิติบัญญัติ นอกจากนั้นแล้วยังเป็นคำนิยามที่แน่ชัดอื่นๆอีกด้วย นี่คือ สิ่งที่หมายถึง "มุฮ์กะมาต" โดยทั่วไป                  ส่วน "มุตะชาบิฮาต" มาจากรากคำว่า "อิชตะบะฮะ" ซึ่งหมายความว่า "เป็นที่น่าสงสัย" คำ นี้เป็นอาการนามในรูปพหูพจน์ หมายถึงสิ่งที่ไม่แน่นอน หรือสงสัย  ในภาษาทางวิชาการมันหมายถึง อายุฮ์(โองการ) ที่ความหมายไม่ชัดเจน ไม่เป็นที่เห็นพ้องกันโดยเอกฉันท์ แต่ เปิดให้มีการตีความเป็นสองนัยหรือมากกว่านั้น                                          ตัวอย่างของ มุฮ์กุมาต                    -" บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เมื่อสูเจ้าเกี่ยวข้องกันและกันในเรื่องหนี้สินยังเวลาที่กำหนดไว้ ดังนั้น จงเขียนมันลงไป และจงให้ผู้เขียนเขียนในระหว่างเจ้า(ทั้งสอง)โดยเที่ยงธรรม.........."-                                                       (อัลกุรอาน 2/282)                            ตัวอย่างโองการแบบ มุตะชาบิฮาต                     -"พระผู้ทรงกรุณาปราณี ทรงอยู่บนบัลลังก์อันมั่นคง"-                                           (อัลกุรอาน 20/5)                 สรุป มุฮ์กะมาต และมุตะชาบิฮาตได้ถูกอธิบายไว้ดังนี้                         มุฮ์กะมาต             -  เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยความรู้              -  เป็นสิ่งที่มองเพียงด้านเดียว              -  เป็นสิ่งที่มีความหมายพอเพียงและไม่ต้องการคำอธิบายอะไรมาก                                      มุตะชาบิฮาต                   -  เป็นสิ่งที่อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่รู้                   -  เป็นสิ่งที่มองได้หลายด้าน                   -  เป็นสิ่งที่ต้องการอาศัยการอธิบายเพิ่มเติม         ดังนั้น  ในกุรอาน อายะฮ์ที่พูดถึงข้อห้ามข้อใช้ การลงโทษ มรดก สัญญาและคำคาดโทษ จะเป็นอายะฮ์ (โองการ)ประเภท มุฮ์กะมาต  ขณะที่ อายะฮ์ ที่พูดถึงคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์ ลักษณะที่แท้จริงของการฟื้นคืนชีพ การตัดสินและชีวิตหลังความตายจะจัดอยู่ในประเภท มุตะชาบิฮาต http://www.oknation.net/blog/print.php?id=230132 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 19:02:17

ความคิดเห็นที่ 6 ถึงจะเป็นโองการที่ไม่ใช่นัยยะ ก็ตามแต่สิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการทำความเข้าใจกุรอ่าน ก็คือความรู้ครับ ความรู้อย่างน้อยที่สุดด้านภาษา เช่น เรื่องการคลุมผม 24:31. และจงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดามุอ์มินะฮ์ให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาทวารของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้(*1*) และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ และอย่าให้เธอเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่แก่สามีของพวกเธอ หรือบิดาของสามีของพวกเธอ หรือลูกชายของพวกเธอ หรือลูกชายสามีของพวกเธอ หรือพี่ชายน้องชายของพวกเธอ หรือลูกชายของพี่ชายน้องชายของพวกเธอหรือลูกชายของพี่สาวน้องสาวของพวกเธอ หรือพวกผู้หญิงของพวกเธอ(*2*)หรือที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง (ทาสและทาสี)(*3*) หรือคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ(*4*) หรือเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องเพศสงวนของผู้หญิง และอย่าให้เธอกระทืบเท้าของพวกเธอ เพื่อให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่พวกเธอควรปกปิดในเครื่องประดับของพวกเธอ(*5*) และพวกกเจ้าทั้งหลายจงขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮ์เถิด โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ ถึงจะชัดเจนแต่เราต้องรู้ครับว่า ภาษาอาหรับนั้น คำว่าคิมารฺ หรือผ้าคลุมผมนั้น เป็นอย่างไร และใช้่อย่างไร ถ้าไม่เช่นนั้น ก็จะถูก พวกนักบิดเบือนศาสนามาโกหกว่า มุสลิมมะฮฺสามารถเปิดศรีษะได้ ซึ่งผิด นั่นเพราะกุรอ่านสั่งชัดให้ปิดด้วยผ้าคลุมผมถึงหน้่าอก อย่างแรกคือต้องใช้คิมารฺ หรือผ้าคลุมผมก่อน ถ้าปิดหน้าอกอย่างเดียว จะไม่ใช่คิมารฺ ซึ่งผิดจากโองการนี้นะครับ นี่คือคำว่า คิมารฺ ในภาษาอาหรับซึ่งเราต้องรู้ก่อนว่าเขาใช้ตรงไหนอย่างไร เหมือนให้เราปิดด้วยโสร่งมาถึงสะดือ เราก็รู้ว่า โสร่งใช้อย่างไร อย่างแรกต้องนุ่ง โสร่งก่อนครับแล้วจึงมาปิดสะดือ นั่นแปลว่าเราไม่สามารถเปิดอวัยวะเพศได้นะครับเพราะโสร่งต้องใส่ นี่คือคำสั่งที่ชัดเจนจริง แต่เราต้องรู้ภาษาอาหรับเสียก่อน จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 19:08:54

ความคิดเห็นที่ 7 หรือโองการที่เรียกว่า มุตะชาบิฮาต นั้นเช่น พระผู้ทรงกรุณาปราณี ทรงอยู่บนบัลลังก์อันมั่นคง คนที่ไม่ได้ศึกษาศาสนา ไม่รู้ประวัติศาสนา ไม่รู้ว่า นบีสอนไว้อย่างไร จะรู้ได้หรือว่า โองการนี้ เป็น โองการประเภท มุตะชาบิฮาต หรืออาจจะ เป็นโองการตรงตัว? เพราะก็เป็นคำตรงตัว เอาความคิดอะไรไปตัดสินเองว่า นี่เป็นโองการประเภท มีนัยยะ? หรือจะบอกว่านี่เป็นโองการประเภท มุฮ์กะมาต แล้วเอาความรู้จากไหนมาตัดสินว่า การสถิตย์บนบัลลังก์นั้นตรงตัวไม่มีนัยยะ? ที่อ้างมา ไปลอกคำพูดเขามา นั้นตัวเองรู้เข้าใจแค่ไหนถึงโองการทั้งสองประเภทนี้ จากที่อ่านผมก็ไม่พบว่ามี หลักวิชาการอะไรเลยที่จะแสดงตัวว่าสามารถแยกแยะประเภทของโองการได้ นอกจากไปลอกจากเว็บนั้น ผสมเว็บนี้ แล้วไม่บอกที่มาที่ไป เอามาลงประหนึ่งว่าเป็นความคิด ความรู้ของตัวเอง ในความเป็นจริงแล้ว อย่าว่าแต่ความสามารถในการแยกแยะ ระหว่างโองการสองประเภทนี้เลย เพียงแค่คำถามว่า รู้ได้อย่างไรว่า โองการของกุรอ่านมีเพียงสองประเภทนี้? ไปกำหนดมาจากไหน มีหลักเกณฑ์อย่างไร หลักการนั้น สรุปมาจากไหน มีแหล่งอ้างอิงหรือไม่ ใครรับรอง อย่ามาอ้างว่า รู้ได้เองเข้าใจเองนะครับ เพราะว่าการอ้างพล่อยๆ แบบนี้ใครก็อ้างได้ แต่ทำได้จริงหรือ? ความรู้มีแค่ไหนกัน? ผมเห็นมาหลายครั้งแล้ว การพยายามใส่ร้ายนักปราชญ์ทั้งหลายว่าแต่งเติมศาสนาบ้าง โกหกบ้าง ปลอมปนหลักการผิดๆ บ้าง แต่ถามว่า คนที่โจมตีนักปราชญ์ มีความรู้อะไรบ้าง ที่จะไปตัดสินว่าการตีความ การแปล ของนักปราชญ์ผิดหลักการของอิสลาม? หรือด้านคุณธรรม คนที่ไปกล่าวหานักปราชญ์เหล่านั้นถึงขนาดว่า เป็นไชตอนพยายามหลอกลวงให้มุสลิมห่างไกลอัลลอฮฺนั้นน่ะ มีคุณธรรมแค่ไหน หรือถามตรงๆ ว่า สันดานเป็นอย่างไร เพราะที่ผมเห็นในกระดานสนทนาแห่งนี้เช่น login แมทท์ ก็ไม่ได้มีสันดานอะไรดี มีแต่โกหก บิดเบือด ตลบแตลง ถ่อย และมีจิตใจที่สกปรก สามานย์ ความรู้หรือ ก็อ่อนด้อย กระทู้เป็นสิบๆกระทู้ ในระยะเวลา 5-6 ปี ที่หมดทางสู้ด้วยเหตุผล จนต้องหนีหังซุกหัวซุน แต่ไม่เจียมตัว ไปบอกว่า สิ่งที่มีอยู่ในฮะดีษ ที่นักปราชญ์ของอิสลามสอนนั้น ผิด หรือแต่งเติมขึ้นมาเอง เอาแค่เรื่องละหมาด มุสลิมถามมา 5-6 ปี มีปัญญาตอบสักกระทู้ไหม? หินดำล่ะหนีมากี่ครั้ง หรือเรื่องฮิญาบก็โดนจับได้ว่าไปเอาข้อมูลมาจากเว็บกระจอกๆ สุดท้ายเมื่อหมดหนทางก็ ต้องตีความมั่วเอาเอง จนถูกจับได้เหมือนเดิมกระทู้ยังอยู่ ถ้าสงสัยกลับไปดูได้ ผมถึงบอกไงล่ะครับ ว่า ถ้าใช้ฮะดีษ ไม่อาศัยความรู้ของบรรดา นักปราชญ์ในอดีตแล้ว อย่าว่าแต่ มุตะชาบิฮาต หรือ มุฮ์กะมาต เลย แค่คำว่าคิมารฺ ก็แปลว่าผ้าปูโต๊ะได้ เหมือนเคยมียิวมาแสดงความโง่ในนี้มาแล้ว จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 21:01:30

ความคิดเห็นที่ 8 ซึ่งไม่ว่าจะอ้างอะไร ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า กุรอ่านใช้ให้ตามนบี หรือนั่นก็คือเราต้องใช้ฮะดีษนั่นเองเพราะฮะดีษคือการบันทึกแบบฉบับของท่านนบี และไม่มีสักโองการเดียวที่บอกว่า ไม่ต้องตามนบีก็ได้ ถ้ามีเอามาให้ดูหน่อยนะครับเผื่อผมจะพลาดอะไรไป แต่ในความจริงแล้วกุรอ่านเองครับ ยืนยันให้ปฏิบัติตาม อ่านให้ชัดๆนะครับ หลักฐานจากพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน 2 : 32. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า พวกท่านจงเชื่อฟังอัลลอฮ์และร่อซูลเถิด แต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงชอบผู้ปฏิเสธ 3 : 53. ข้าแต่พระเจ้าของพวกข้าพระองค์พวก ข้าพระองค์ศรัทธาแล้วต่อสิ่งที่พระองค์ได้ประทานลงมา และพวกข้าพระองค์ก็ได้ปฏิบัติตาม ร่อซูลแล้ว โปรดทรงบันทึกพวกข้าพระองค์ร่วมกับบรรดาผู้ที่กล่าวปฏิญาณยืนยันทั้งหลาย ด้วยเถิด 3 : 132. และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา 4 : 13. เหล่านั้นแหละคือขอบเขตของอัลลอฮฺ และผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์แล้ว พระองค์ก็จะทรงให้เขาเข้าบรรดาสวนสวรรค์ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่เบื้อง ล่างของมัน โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวนสวรรค์เหล่านั้นตลอดกาลและนั่นคือชัยชนะอัน ยิ่งใหญ่ 4 : 14. และผู้ใดฝ่าฝืนอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์ และละเมิดขอบเขตของพระองค์แล้วไซร้ พระองค์ก็จะทรงให้เขาเข้านรก โดยที่เขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล และเขาจะได้รับการลงโทษที่ยังความอัปยศให้(แก่เขา) 4 : 59. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย  แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล  หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป  ที่สวยยิ่ง 4 : 61. และเมื่อถูกล่าวแก่พวกเขาว่า ท่านทั้งหลายจงมายังสิ่งที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมา  และยังร่อซูลเถิด  เจ้าก็ได้เห็นพวกมุนาฟิก เหล่านั้นผินหลังให้แก่เจ้าจริง ๆ 4 : 64. และเรามิได้ส่งร่อซูลคนใดมานอกจากเพื่อให้เขาได้รับการเชื่อฟังด้วยอนุมัติ ของอัลลอฮฺเท่านั้น และแม้ว่าพวกเขานั้นขณะที่พวกเขาอธรรมแก่ตัวเอง ได้มาหาเจ้า แล้วขออภัยโทษต่ออัลออฮ์และร่อซูลก็ได้ขออภัยโทษให้แก่พวกเขาด้วยแล้วแน่นอน พวกเขาก็ย่อมพบว่าอัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ 4 : 80. ผู้ใดเชื่อฟังร่อซูล แน่นอนเขาก็เชื่อฟังอัลลอฮฺแล้ว และผู้ใดผินหลังให้ เราก็หาได้ส่งเจ้าไปในฐานะเป็นผุ้ควบคุมพวกเขาไม่ 5 : 92. และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และจงเชื่อฟังร่อซูลเถิด และพึงระมัดระวังไว้ด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าผินหลังได้ ก็พึงรู้เถิดว่าที่จริงหน้าที่ของร่อซูลของเรานั้น คือ การประกาศอันชัดเจนเท่านั้น 5 : 104. และเมื่อได้ถูกกล่าวแก่พวกเขาว่า ท่านทั้งหลายจงมาสู้สิ่งที่อัลลอฮ์ ได้ทรงประทานลงมาเถิด และมาสู่ร่อซูลด้วย พวกเขาก็กล่าวว่า เป็นการพอเพียงแก่เราแล้ว สิ่งที่เราได้พบบรรพบุรุษของเราเคยกระทำมันมาถึงแม้ได้ปรากฏว่าบรรพบุรุษของ พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งใด และทั้งไม่ได้รับคำแนะนำอีกด้วยกระนั้นหรือ? 8 : 20. “บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์เถิด และจงอย่าได้ผินหลังให้แก่เขา ขณะที่พวกเจ้าฟังกันอยู่” 8 : 46. “และจงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์เถิด และจงอย่าขัดแย้งกัน จำทำให้พวกเจ้าย่อท้อ และทำให้ความเข้มแข็งของพวกเจ้าหมดไป และจงอดทนเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงอยู่กับผู้ที่อดทนทั้งหลาย” 24 : 52. และผู้ใดเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์ และเกรงกลัวอัลลอฮ์และยำเกรงพระองค์แล้ว ดังนั้น ชนเหล่านั้นพวกเขาเป็นผู้ได้รับชัยชนะ 24 : 54. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “พวกเจ้าจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลร่อซูล  หากพวกเขาผินหลังให้  แท้จริงหน้าที่ของเขา (ร่อซูล) คือสิ่งที่ได้ถูกมอบหมาย  และหน้าที่ของพวกเจ้าคือสิ่งที่ได้ถูกมอบหมายเช่นกัน  และหากพวกเจ้าเชื่อฟังปฏิบัติตามเขาแล้ว พวกเจ้าก็จะอยู่ในทางที่ถูกต้อง (ฮิดายะฮฺ) และหน้าที่ของอัลร่อซูลไม่มีอื่นใด นอกจากการเผยแพร่อันชัดแจ้ง 24 : 56. และพวกเจ้าจงดำรงละหมาด และจงบริจาคอัซซะกาฮ์ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลร่อซูล เพื่อพวกเจ้าจะได้รับควาเมตตา 33 : 36. ไม่บังควรแก่ผู้ศรัทธาชายและผู้ศรัทธาหญิง เมื่ออัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ได้กำหนดกิจการใดแล้ว สำหรับพวกเขาไม่มีทางเลือกในเรื่องของพวกเขา  และผู้ใดไม่เชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์แล้ว แน่นอนเขาได้หลงผิดอย่างชัดแจ้ง 47 : 33. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮ.และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามร่อซูลคนนี้เถิดและอย่า ทำให้การงานของพวกเจ้าไร้ประโยชน์ 49 : 14. อาหรับชาวชนบทกล่าวว่า เราศรัทธาแล้ว จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่า พวกท่านยังมิได้ศรัทธา แต่จงกล่าวเถิดว่า เราเข้ารับอิสลามแล้ว เพราะการศรัทธายังมิได้เข้าสู่หัวใจของพวกท่าน  และถ้าหากพวกท่านเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์แล้ว พระองค์จะไม่ทำให้การงานของพวกท่านด้อยลงแต่ประการใด  แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ 64 : 12. และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัรร่อซูล หากพวกเจ้าผินหลังกลับ (ไม่เชื่อฟัง) ดังนั้นหน้าที่ของร่อซูลของเราก็คือการเผยแผ่อันชัดแจ้ง ดัง นั้น...ในสิ่งที่ท่านรอซูลได้กระทำ...หรือ...ที่ท่านได้บอกไว้...จึงเป็น สิ่งที่มุสลิม...ควรต้องปฏิบัติตาม...เพราะ...นั่นเท่ากับว่า...เราได้เชื่อ ฟังและปฏิบัติตามท่านรอซูล...ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญญัติไว้ในอัลกรุอาน จากคุณ : Crescent ) [FriendFlock] [Bloggang] เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 52 22:21:22 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 21:34:55

ความคิดเห็นที่ 9 ถ้ามีใครอ้างว่า การให้ทำตามนบีนั้นหมายถึงให้ทำตามกุรอ่านอย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับฮะดีษก็ให้อ่านนี่เลยครับ 3:31. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า หากพวกท่านรักอัลลอฮ์ ก็จงปฏิบัติตามฉัน อัลลอฮ์ก็จะทรงรักพวกท่าน และจะทรงอภัยให้แก่พวกท่านซึ่งโทษทั้งหลายของพวกท่าน และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ ถ้ารักอัลลอฮฺก็ให้ปฏิบัติตามท่านนบีครับ โดยไม่ได้มีเงื่อนไขว่าในขณะไหนด้วย และนี่ก็อีกนะครับ ความว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และจงเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย และหากพวกเจ้าขัดแย้งกันในเรื่องใด ก็จงนำเรื่องนั้นกลับไปยังอัลลอฮฺและร่อซูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่ง และเป็นการตีความที่ดีและเหมาะสมยิ่ง”  (ซูเราะฮฺอันนิซาอฺ : 59) ทำไมเมื่อขัดแย้งไม่กลับไปสู่อัลลอฮฺอย่างเดียว แต่มีและ รอซูลด้วย เรามาอ่านต่อดีกว่า 33 : 36. ไม่บังควรแก่ผู้ศรัทธาชายและผู้ศรัทธาหญิง เมื่ออัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ได้กำหนดกิจการใดแล้ว สำหรับพวกเขาไม่มีทางเลือกในเรื่องของพวกเขา  และผู้ใดไม่เชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์แล้ว แน่นอนเขาได้หลงผิดอย่างชัดแจ้ง และ 24:63 “...ดังนั้น บรรดาผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของเขา (มุฮัมมัด) จงระวังตัวเถิดว่าเคราะห์กรรมจะเกิดขึ้นแก่พวกเขา หรือว่าการลงโทษอันเจ็บปวดจะเกิดขึ้นแก่พวกเขาเช่นกัน” และ    แต่ไม่เลย ฉันขอสาบานด้วยพระเจ้าของเจ้าว่าเขาเหล่านั้นจะยังไม่ศรัทธาจนกว่าพวกเขาจะ ให้เจ้า(มุฮัมมัด)ตัดสินในสิ่งที่ขัดแย้งกันระหว่างพวกเขา แล้วพวกเขาไม่พบความคับใจใดๆในจิตใจของพวกเขาจากสิ่งที่เจ้าได้ตัดสินไปและ พวกเขายอมจำนนด้วยดี (กุรอาน 4:65) อ่านซะนะครับ ดังนั้น เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ท่านนบีตัดสินเรื่องอะไร มีการปฏิบัติอย่างไร กำหนดกิจการใด อย่างไร ก็ต้องใช้ฮะดีษครับ การที่อ้างถึงโองการนี้    แท้จริง ในรอซูลุลลอฮฺนั้นมีแบบอย่างที่ดีงามสำหรับผู้ที่หวังจะพบอัลลออฺและวันปรโลกและรำลึกถึงอัลลอฮฺอย่างมาก (กุรอาน 33:21) แล้วบอกว่า แบบอย่างที่ดีนั้น ไม่เกี่ยวกับฮะดีษจึงเป็นการสรุปแบบไร้หลักการโดยสิ้นเชิง เป็นการสรุปแบบพล่อยๆ โดยไม่มีความรู้ เพราะถ้า ไม่ใช้ฮะดีษ เราจะไม่รู้ว่า เราต้องทำตามท่านนบีอย่างไร แบบอย่างที่ดีนั้นแบบไหน นอกจากเดาเอาเอง เหมือนที่พวกปฏิเสธฮะดีษเดานั่นแหละครับ ถ้าอ่านจะพบเลยว่า คิดเองเออเองทั้งนั้น จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 21:58:12

ความคิดเห็นที่ 10 ความสำคัญของฮะดีษ บทความโดย ดร.คอลิด อัลวี แปลและเรียบเรียงโดย อาจารย์บรรจง บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน          ปัญหา เรื่องความสำคัญของฮะดีษเป็นปัญหาอีกเรื่องหนึ่งซึ่งหลายคนได้หยิบยกขึ้นมา ถามกันครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยเหตุผลและวัตถุประสงค์ต่างๆกัน แต่มีคนส่วนหนึ่งถามเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อหาข้ออ้างที่จะปฏิเสธซุนนะฮฺของ ท่านนบี คำถามที่เราพบเป็นประจำก็คือ ทำไมมุสลิมเราจึงได้ให้ความสำคัญแก่ฮะดีษมากทั้งๆที่เรามีคัมภีร์กุรอานซึ่ง เป็นวจนะของอัลลอฮฺอยู่แล้ว ? ทำไมเราจะต้องไปหาทางนำจากที่อื่นนอกเหนือไปจากนี้ ? เพื่อที่จะพูดถึงปัญหาเรื่องนี้ เราจำเป็นที่จะต้องรู้ถึงฐานะของนบีในอิสลามเสียก่อน เพราะว่าสถานะของฮะดีษนั้นขึ้นอยู่กับสถานะของนบี          เมื่อพิจารณถึงสถานะของนบี อาจมีคนมองเห็นถึงความเป็นไปได้ 3 อย่าง นั่นคือ          1) นบีมีหน้าที่นำวจนะของพระผู้เป็นเจ้ามายังมนุษยชาติเท่านั้นและไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากนี้แล้ว          2) นบีไม่เพียงแต่จะนำวจนะของพระผู้เป็นเจ้ามาเท่านั้น แต่ยังต้องปฏิบัติไปตามวจนะดังกล่าวและอธิบายวจนะเหล่านั้นในช่วงระยะเวลา อันจำกัดและหลังจากที่เสียชีวิตไปแล้ว คัมภีร์กุรอานอย่างเดียวก็น่าที่จะเพียงพอสำหรับการนำทางมนุษย์          3) ไม่มีข้อสงสัยว่านบีจะต้องนำวจนะของพระผู้เป็นเจ้ามายังมนุษยชาติ แต่มันก็เป็นหน้าที่ของท่านเช่นกันที่จะต้องปฏิบัติตามและอธิบายวจนะของ พระองค์ให้แก่ผู้คน การกระทำและการอธิบายของท่านเป็นแหล่งที่มาของทางนำตลอดไป คำพูด การปฏิบัติและการอธิบายของท่านเป็นแหล่งที่มาของแสงสว่างสำหรับมุสลิมในทุก ยุค          นักวิชาการมุสลิมมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าประเด็นที่สามดัง กล่าวมานั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดในเรื่องสถานะของนบีในอิสลาม คัมภีร์กุรอานได้กล่าวถึงความสำคัญของนบีไว้หลายตอนด้วยกัน ตัวอย่างเช่น          แท้จริง ในรอซูลุลลอฮฺนั้นมีแบบอย่างที่ดีงามสำหรับผู้ที่หวังจะพบอัลลออฺและวันปรโลกและรำลึกถึงอัลลอฮฺอย่างมาก (กุรอาน 33:21)          จาก อายะฮฺดังกล่าวมานี้ มุสลิมทุกคนจึงต้องมีแบบอย่างที่ดีงามของท่านนบีไว้เป็นอุดมคติในชีวิต ในอีกอายะฮฺหนึ่ง อัลลอฮฺได้ทำให้ท่านนบีเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด(ฮุกม)สำหรับมุสลิม ไม่มีใครสามารถเป็นมุสลิมได้ถ้าหากคนผู้นั้นไม่ยอมรับการตัดสินของท่านนบี          แต่ ไม่เลย ฉันขอสาบานด้วยพระเจ้าของเจ้าว่าเขาเหล่านั้นจะยังไม่ศรัทธาจนกว่าพวกเขาจะ ให้เจ้า(มุฮัมมัด)ตัดสินในสิ่งที่ขัดแย้งกันระหว่างพวกเขา แล้วพวกเขาไม่พบความคับใจใดๆในจิตใจของพวกเขาจากสิ่งที่เจ้าได้ตัดสินไปและ พวกเขายอมจำนนด้วยดี (กุรอาน 4:65)          ในขณะที่อธิบายถึงคุณสมบัติของมุสลิม คัมภีร์กุรอานกล่าวว่า :          แท้ จริง คำตอบของบรรดาผู้ศรัทธาเมื่อถูกเรียกร้องไปสู่อัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ เพื่อให้ตัดสินระหว่างพวกเขาก็คือ ?เราได้ยินแล้ว และเราเชื่อฟัง? ชนเหล่านี้คือผู้ประสบความสำเร็จ (กุรอาน 24:51)          ในหลายแห่งด้วยกันที่คัมภีร์กุรอานได้ให้คำชี้ขาดในเรื่องนี้ คัมภีร์กุรอานกล่าวว่า ?จงเชื่อฟังอัลลอฮฺและจงเชื่อฟังรอซูล? (กุรอาน 4:59) และ ?อะไรก็ตามที่รอซูลนำมาให้เจ้า สูเจ้าก็จงรับไว้ และอะไรที่เขาห้าม ก็จงละเว้น? (กุรอาน 59:7)          คัมภีร์ กุรอานมีความชัดเจนในการยืนยันถึงสถานะของนบี ตามคัมภีร์กุรอาน ท่านนบีมีสถานะ 4 ประการและสถานะทั้งสี่นี้จะต้องได้รับการเชื่อฟัง นั่นคือ ท่านเป็น ?มุอัลลิม วะ มุร็อบบี? (ครูและผู้ให้การศึกษา) ท่านเป็นผู้อธิบายคัมภีร์ เป็นผู้ตัดสินและเป็นผู้ปกครอง ด้วยสถานะเหล่านี้ท่านจึงเป็นแบบอย่างที่ดีงามสำหรับมุสลิม          คัมภีร์กุรอานยังพูดถึงเรื่องนี้ไว้อีกมากมาย เช่น          โดย แน่นอนยิ่ง อัลลอฮฺได้ประทานความโปรดปรานแก่บรรดาผู้ศรัทธาเมื่อพระองค์ได้ทรงตั้งรอซูล ขึ้นมาคนหนึ่งในหมู่พวกเขาเองเพื่อมาสาธยายวจนะของพระองค์ เพื่อขัดเกลาชีวิตของพวกเขาและสอนคัมภีร์และวิทยาปัญญาให้แก่พวกเขาถึงแม้ ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาได้อยู่ในการหลงทางอย่างชัดแจ้งก็ตาม (กุรอาน 3:164) ...และเราได้ให้อัลกุรอานแก่เจ้าเพื่อเจ้าจะได้สร้างความกระจ่างให้แก่มนุษย์ในสิ่งที่ได้ถูกส่งมาแก่พวกเขา (กุรอาน 16:44)          เขา กำชับคนเหล่านั้นให้ปฏิบัติตามคุณธรรมและห้ามปรามพวกเขาจากความชั่ว เขาทำให้สิ่งที่ดีทั้งหลายเป็นที่อนุมัติสำหรับคนเหล่านั้นและทำให้สิ่งที่ เลวเป็นที่ต้องห้ามสำหรับพวกเขา เขาทำให้คนเหล่านั้นหลุดพ้นจากภาระหนักและปลดปล่อยพวกเขาจากโซ่ตรวนที่ พันธนาการคนเหล่านั้นอยู่ (กุรอาน 7:157)          บรรดาผู้ศรัทธา เอ๋ย จงเชื่อฟังอัลลอฮฺและจงเชื่อฟังรอซูลและบรรดาผู้ที่ได้รับมอบอำนาจในหมู่ สูเจ้า ดังนั้น หากสูเจ้าโต้แย้งกันในสิ่งใด จงอ้างมันกลับไปยังอัลลอฮฺและรอซูลถ้าสูเจ้าศรัทธาในอัลลอฮฺและวันสุด ท้ายอย่างแท้จริง นั่นเป็นการดีกว่าและเป็นการดีที่สุดในการยุติ (กุรอาน 4:59)          ไม่ เหมาะสมสำหรับชายผู้ศรัทธาและหญิงผู้ศรัทธาที่เมื่ออัลลอฮฺและรอ ซูลของพระองค์ได้ตัดสินใจในเรื่องได้ไปแล้ว พวกเขาจะมาเกี่ยงในเรื่องของพวกเขาอีกและใครก็ตามที่ไม่เชื่อฟังอัลลอฮฺและ รอซูลของพระองค์ แน่นอนพวกเขาได้หลงผิดไปอย่างชัดแจ้ง (กุรอาน 33:36)          จาก อายะฮฺดังกล่าวมาทั้งหมดนี้ คัมภีร์กุรอานได้อธิบายถึงบุคลิกของท่านนบีในด้านต่างๆทั้งนี้เพื่อให้เรา สามารถตัดสินถึงความสำคัญของท่านนบีได้ ยังมีอายะฮฺที่สำคัญอีกอายะฮฺหนึ่งซึ่งเป็นคำตัดสินชี้ขาดต่อบรรดาผู้ที่ไม่ เชื่อในฮะดีษว่าเป็นหลักฐานที่เชื่อถือได้ของกฎหมายอิสลาม นั่นคือ          และ ผู้ใดเป็นปฏิปักษ์ต่อรอซูลหลังจากทางนำได้เป็นที่กระจ่างแก่เขาแล้ว และปฏิบัติตามแนวทางอื่นจากแนวทางของผู้ศรัทธา เราจะทิ้งเขาไว้ในทางที่เขาได้เลือกและเราจะทำให้เขาเข้าไปในนรกอันเป็นปลาย ทางที่ชั่วช้า (กุรอาน 4:115)          ในขณะที่กำชับมุสลิมให้เชื่อ ฟังท่านนบี คัมภีร์กุรอานยังได้ประกาศอีกว่าความเป็นนบีของมุฮัมมัดนั้นอยู่เหนือกาล เวลาและสถานที่ ท่านเป็นนบีคนสุดท้ายและเป็นรอซูลของอัลลอฮฺสำหรับมนุษยชาติทั้งหมดในอนาคต ที่จะมาถึง ฮะดีษมิได้เป็นสิ่งใดนอกไปจากสิ่งที่สะท้อนถึงตัวตนของท่านนบีผู้ที่จะต้อง ได้รับการเชื่อฟังและปฏิบัติตามไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ใครก็ตามที่ศึกษาคัมภีร์กุรอานจะเห็นว่าคัมภีร์กุรอานจะพูดถึงหลักการกว้างๆ หรือพูดแต่เฉพาะสิ่งที่จำเป็นของศาสนาส่วนเรื่องรายละเอียดจะพูดน้อยมาก เพราะในเรื่องรายละเอียดนั้นท่านนบีมุฮัมมัดจะมาเป็นผู้ปฏิบัติให้เห็นว่าคำ สั่งนั้นๆจะต้องทำอย่างไรหรือไม่ก็โดยการอธิบายรายละเอียดให้ ซุนนะฮฺหรือฮะดีษของท่านนบีจึงไม่เพียงแต่เป็นสิ่งจำเป็นหลังจากที่ท่านเสีย ชีวิตไปแล้วเท่านั้น เพราะมันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ด้วย การปฏิบัติทางศาสนาที่สำคัญที่สุดของอิสลามก็คือการนมาซและการจ่ายซะกาต แต่เมื่อตอนที่คำสั่งเกี่ยวกับเรื่องการนมาซและการจ่ายซะกาตได้ถูกประทานลง มาครั้งแล้วครั้งเล่าทั้งในมักก๊ะฮฺและมะดีนะฮฺนั้น รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนี้ก็ไมได้มีการบอกรายละเอียดไว้ คัมภีร์ กุรอานสั่งแต่เพียง ?จงดำรงนมาซ? ท่านนบีเองเป็นผู้ที่มาบอกรายละเอียดของการนมาซและได้กล่าวว่า ?จงนมาซเหมือนดังที่พวกท่านเห็นฉันนมาซ?          การ จ่ายซะกาตก็เป็นอีกคำสั่งหนึ่งซึ่งถูกกล่าวครั้งแล้วครั้งเล่าในคัมภีร์กุ รอาน แต่ก็ท่านนบีอีกนั่นแหละที่ได้มาวางกฎระเบียบในการจ่ายและการรวบรวมให้ นี่เป็นแค่เพียงสองตัวอย่าง แต่เนื่องจากอิสลามคือวิถีชีวิตที่ครอบคลุมพฤติกรรมของมนุษย์ในทุกด้าน ดังนั้นยังมีอีกนับร้อยประเด็นที่ท่านจะต้องมาอธิบายรายละเอียดทั้งโดยการ พูดและการกระทำ          นอกจากนี้แล้ว บรรดานักวิชาการยังได้พูดกันในรายละเอียดอีกว่าฮะดีษเป็น ?วะฮีย์ที่ซ่อนเร้น? (วะฮ์ยุน คอฟี) และเป็นความรู้อันล้ำเลิศของนบีอีกด้วย ซึ่งในที่นี้จะไม่ขอพูดถึงรายละเอียด แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องการจะทำความเข้าใจให้เป็นที่กระจ่างก็คือว่ามีหลายกรณี ที่ท่านนบีได้พยายามแสดงความคิดเห็นจากสติปัญญาของท่านโดยที่ไม่ได้รับวะ ฮีย์และความเห็นของท่านก็เป็นที่ยอมรับหรือไม่ก็ถูกแก้ไขโดยวะฮีย์ ที่สำคัญก็คือความสำคัญของซุนนะฮฺนั้น ถึงแม้จะเป็นแหล่งข้อมูลหลักฐานขั้นที่สองของอิสลามก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องที่บรรดาสาวกของท่านนบีได้ลงมติยอมรับกันไปแล้ว มุอาซอิบนุญะบัล สาวกในสมัยของท่านนบีเองได้กล่าวแก่นบีว่าเขาจะตัดสินตามซุนนะฮฺถ้าหากเขา ไม่พบการแก้ปัญหาในคัมภีร์กุรอาน ฮะดีษยิ่งมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นสำหรับมุสลิมอันเนื่องมาจากความจริงที่ว่า ท่านนบีมุฮัมมัดไม่เพียงแต่จะสอนเท่านั้น แต่ยังได้แปรคำสอนของท่านออกมาเป็นการปฏิบัติให้เห็นในทุกเรื่องที่สำคัญของ ชีวิตอีกด้วย ท่านมีชีวิตอยู่เป็นเวลา 23 ปีหลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรอซูลุลลอฮฺ (ศาสนทูตของอัลลอฮฺ) ท่านได้ทำให้สังคมของท่านเป็นสังคมที่วางพื้นฐานอยู่บนศาสนาโดยท่านได ปฏิบัติด้วยตัวของท่านเอง          ท่านได้สร้างรัฐขึ้นมาและได้บริหารรัฐ นี้ในฐานะประมุขสูงสุดทำหน้าที่รักษาความสงบและระเบียบภายใน นำกองทหารออกไปต่อต้านศัตรู ตัดสินคดีความต่างๆ ลงโทษอาชญากรและวางกฎระเบียบในการดำเนินชีวิตทุกด้าน ท่านแต่งงานและทิ้งรูปแบบชีวิตครอบครัว ความจริงที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือท่านไม่ได้ประกาศตัวเองว่าอยู่เหนือ กฎหมายที่ท่านกำหนดแก่คนอื่น การปฏิบัติของท่านจึงมิใช่เป็นแค่เพียงการปฏิบัติส่วนตัว แต่เป็นการอธิบายรายละเอียดและการปฏิบัติในสิ่งที่ท่านได้สอน จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 22:09:16

ความคิดเห็นที่ 11 เพราะังั้นไม่มีเหตุผลที่จะไม่เอาฮะดีษหรอกนะครับ มาดูกันดีกว่า คนไม่เอาฮะดีษ ชอบบอกว่าฮะดีษ นั้นทำให้มุสลิมหลงทาง มันเป็นสิ่งมีชีวิตแบบไหน จะเอายังไงกับชีวิต สรุปว่าที่หน้าด้านหน้าทนโพสต์กระทู้มาให้เขาจับได้เนี่ย ทำไปทำไมกัน? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 22:26:10

ความคิดเห็นที่ 12 เพื่อนสมาชิกโปรดเข้าใจตามนี้ด้วยครับ ..       ขนาดอาจารย์ของเขายังถูกฮุก่มว่าเป็น “กาเฟร” นับประสาอะไรกับ “login แมทท์"      ในสังคมมุสลิมไทย แตกแยกกันเป็นหลายกลุ่ม เนื่องจากการยึดอยู่กับหลักการที่ต่างกัน ตามความรู้จาก สถาบันการศึกษาที่ต่างกัน ต่อไปนี้คือ ..ส่วนหนึ่งของคำอธิบายของอาจารย์สอนศาสนาอิสลามชื่อดังเจ้าของเวบมุสลิมที่สำคัญเวบหนึ่ง ที่ถูก กล่าวหาว่า เป็นผู้ “โกหก” เรื่องการศึกษาของตนเอง คำตอบ....  ....ตัวอย่างเช่น หากคุณ ............. ไปบอกกับบุคคลหนึ่งว่า "งานเมาลิดนบีเป็นบิดอะฮฺ" เขาก็จะตอบว่า "ไม่จริงหรอกเพราะคนที่จัดงานเมาลิดนบีจบมาจากไคไรก็มี,จบจากมักกะฮฺ,มะดีนะฮฺก็มี แล้วเอ็งไม่ได้เรียนมาจากไหนจะมาบอกว่าเมาลิดนบีเป็นบิดดะฮฺได้อย่างไร ฉันไปเชื่อหรอก" 90 กว่าเปอร์เซ็นต์จะพูดแบบนั้น เพราะพวกเขาใช้มาตรฐานของสถาบันเป็นดรรชนีชี้วัดความถูกต้องของศาสนา แต่ศาสนากลับบอกว่า สถาบันการศึกษาไม่ใช้ดรรชนีชี้วัดนะครับ หลักฐานที่ผู้นั้นนำมาพูดนำมาอ้างต่างหากละครับ เป็นมาตรฐานชี้วัดต่างหาก ท่านอฺลีย์ ( ??? ???? ??? ) กล่าวไว้ว่า " ???? ??? ?? ??? ?? ???? ??? ?? ??? " ความว่า "ท่านจงพิจารณาสิ่งที่เขาพูด แต่อย่าพิจารณาบุคคลที่พูด" ก็ขอฝากไปเท่านี้นะครับ อนึ่ง      ผมบอกกับคุณ........ได้เลยนะครับว่า ผมชินชากับฟิตนะฮฺต่างๆ ที่มาผมนานแล้วครับ บางคนถึงขั้นไล่ผมเป็นกาเฟรฺก็มี ผมเองก็แปลกใจอยู่ลึกๆ ว่า สิ่งบิดเบือนอิสลามมีมากมายในสังคมของเรา, บิดอะฮฺเต็มบ้านเต็มเมือง การฝ่าฝืนหลักการศาสนามีอยู่อย่างดาษดื่น แต่ไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากมุสลิมในสังคมของเรามากสักเท่าไร? จะมีก็น้อย แต่พอผมมาบอกว่า เมาลิดเป็นบิดอะฮฺ, กินบุญบ้านคนตายกินไม่ได้, การอ่านยาสีนให้คนตายไปแล้วถือว่าเป็นอุตริกรรม, ยกมือหลังนมาซฟัรฺฏูดูไม่มี เท่าแหละครับมุสลิมบางคนถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ อีกทั้งถล่มโจมตีผมชนิดว่าอเมริกาโจมตีประเทศอิรักอย่างไงก็อย่างนั้นเลยละครับ ซึ่งนั่งคิดแล้วก็มึนงงกับสังคมมุสลิมในเมืองไทยจริงๆ นะครับ, ??????? และสำหรับผม “login แมทท์”  ก็ เช่นเดียวกัน.....ขอยืมคำตอบของอาจารย์ผู้นี้มาตอบ “มุนาฟิกีน” เช่น นายนามแฝง“Carroth”  ว่า ผมบอกกับเพื่อนสมาชิกทั้งหลายได้เลยนะครับว่า ผมชินชากับฟิตนะฮฺ ต่างๆและการด่าว่าจากบุคคล “มุนาฟิกีน” เช่น นายนามแฝง“Carroth” ผู้ ที่กระทำต่อผมนานแล้วครับ.... พอจนด้วยเหตุผลก็ไล่ผมเป็นกาเฟรฺก็มี ผมเองก็แปลกใจอยู่ลึกๆ ว่า สิ่งบิดเบือนอิสลามมีมากมายในสังคมของเรา, บิดอะฮฺเต็มบ้านเต็มเมือง การฝ่าฝืนหลักการศาสนามีอยู่อย่างดาษดื่น แต่ไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากมุสลิมในสังคมของเรามากสักเท่าไร?..   .. แต่พอผมเอาหลักการศึกษาอัลกุร อานที่ถูกต้องมา อธิบายให้มุสลิม และสมาชิกพันทิปห้องศาสนาที่ต้องการความจริง จากหลักการอิสลาม มาอธิบายให้เข้าใจ  พวก “มุนาฟิกีน” หรือ “ไซตอน” ในร่างมนุษย์ จะตระหนกตกใจขึ้นมาทันที  ด้วยเหตุที่ว่า ตนเอง กระทำฝ่าฝืน การสอนของตนเอง อยู่ในความมืดมาตลอดชีวิต ของการนับถือ ลัทธิ Muhammadanism ซึ่งตนเองสำคัญผิดคิดว่า “เป็นศาสนาอิสลาม”     โปรดอ่าน ความแตกต่าง ระหว่าง “ศาสนาอิสลาม” กับ “ลัทธิมูฮัมมัด” (การยึดอยู่หรือศรัทธาต่อเรื่องบอกเล่า เกี่ยวกับท่านศาสนทูตมูฮัมมัด และไม่ศรัทธาว่า อัลกุรอานอย่างเดียวก็เพียงพอต่อการเป็นมุสลิมที่ดี)     จากลิ้งค์ นี้ คุณจะเข้าใจ ว่า  เพราะเหตุใด “มูนาฟิกีน”  หรือ มุสลิม ผู้ โกหกคอแหล  บางท่านถึงตื่นตระหนกตกใจกันยิ่งนัก       http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8604509/Y8604509.html แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 52 23:17:37 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 23:15:11

ความคิดเห็นที่ 13 ผมเซ็งกับข้อความที่ แปะอยู่ใน ความคิดเห็นที่ 11 หลายครังแล้ว เพระว่า บรรดาผู้คนในยุคมืดไม่อาจจะเข้าใจได้ ว่าการศึกษาไม่ว่าในเรื่องใด ก็ตาม ผู้ศึกษาผู้ศึกษาจะต้อง เข้าใจด้วยว่า  การฟัง การถาม การคิด และการหาคำตอบ ด้วยเหตุผล เป็น แก่นสำคัญ     ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงบัญญัติว่า "ศาสนาอิสลามไม่มีการบังคับ"       แต่เมื่อเราศึกษา อิสลามโดยใช้เหตุผลแล้วความศรัทธาจะมั่นคงขึ้น ด้วย เหตุผลนี้ผมกับ จขกท จึงต่างกันที่  ผมนับถือศาสนาอิสลาม ส่วน จขกท นับถือ "ลัทธิมูฮัมมัด"       บ๋าย..บาย จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 23:40:31

ความคิดเห็นที่ 14 ^ ^ ผมว่า แมทท์พูดไม่ถูกนะครับ เที่ยวโยนว่าคนโน้นนับถืออย่างนั้นอย่างนี้ แมทท์ไม่มองตัวเองบ้างหรือครับ ว่าแมทท์นั่นแหละนับถืออิสลามแบบไหน แบบตามใจตัวเองหรือป่าว พอคนอื่นทำในสิ่งที่ถูกต้องมากกว่าก็หาว่าเค้าทำผิดซะงั้น ผมว่าแมทท์ละหมาด 5 เวลา ให้ครบถ้วนก่อนเถอะครับ ถือศีลอดหรือป่าว แมทท์จะกินหมู กินหมา อะไรผมก็ไม่สนใจหรอกครับ เพราะแมทท์อ้างว่า"ศาสนาอิสลามไม่มีการบังคับ" มั่วได้ขนาดนี้ก็อาการหนักแล้วละนะ จากคุณ : คนแปลกหน้าในโลกดุนยา เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 52 08:51:55

ความคิดเห็นที่ 15 ต้องทราบก่อนนะครับว่า อาจารย์ท่านนั้นถึงจะมีคนไม่ชอบเยอะ หรือมีคนรักมากมาย แต่อาจารย์ท่านั้น อ้างหลักการอิสลามครับ ไม่ใช่หลักการมั่วๆของตัวเอง อย่าเอา login สวะ แบบ login แมทท์ ไปเทียบครับ และจะเอาคำพูดของอาจารย์ท่านนั้นมาแปลงเป็นคำพูดของ คนที่ใช้ login แมทท์ ยิ่งไม่ได้ใหญ่ เพราะ อาจารย์ท่านนั้นพูดถูกตรงที่ ความถูกต้องของศาสนานั้น สถาบันไม่ใช่ตัวชี้วัด แต่สิ่งที่ชี้วัดคือหลักฐานของผู้นำมาอ้างเองต่างหาก แต่ login แมทท์ มีหลักฐานอะไรบ้าง ผม และมุสลิมในนี้ไม่มีใครสนใจกำพืด โคตรเหง้า และบรรพบุรุษของแมทท์หรอกครับว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดไหน แต่พวกเราสนใจกันว่า คุณอ้างอะไรมา มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน มีเหตุผลอย่างไร แล้วก็พบว่า สิ่งที่แมทท์นำมานั้น ถ้าไม่ตัดต่อมาจากบทความของนักวิชาการมุสลิมซึ่งเขาพูดเรื่องหนึ่ง แต่แมทท์ก็เอามาลงในอีกเรื่องหนึ่งแล้วล่ะก็ แมทท์ก็จะไปเอาบทความโจมตีบิดเบือนอิสลามจากเว็บไซต์ กระจอกๆ มาลง หรือถ้าตีความเองก็มั่วบ้าง ผิดบ้าง ตัดบ้าง เติมเอาเองบ้าง แค่นั้น ดังนั้นแล้ว login แมทท์ ไม่ควรใช้คำว่าชินชาหรอกครับ กับการที่ถูกซักฟอกนี้ แต่ต้องใช้คำว่า "หน้าด้านหน้าทน" มากกว่า เพราะไม่ได้มีสาระอะไรจากบทความของแมทท์อยู่แล้ว แต่ก็ยัง "หน้าด้านหน้าทน" เสนอบทความแนวเดิม ที่ถูกซักฟอกจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งนี้ก็เหมือนกัน อ้างกันหน้าด้านด้านว่า เอาหลักการศึกษากุรอ่านที่ถูกต้อง มาอธิบาย ไม่ทราบว่ามีหลักการอะไรมายืนยันว่าหลักการตัวเองถูกต้อง ทั้งๆ ที่ตอบคำถามอะไรไม่ได้สักเรื่อง มั่วแล้วก็มั่วอีก หน้าแตกแล้วก็หน้าแตกอีก ใครกันล่ะครับ พวกมุนาฟิกีน พวกหน้าไหว้หลังหลอก พวกไซตอนในร่างมนุษย์ กระทู้เหล่านี้ ทำไมต้องหนี ทำไมไม่เอาหลักการที่ตัวเองบอกว่าถูกต้องมาอธิบาย? http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8521431/Y8521431.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/05/Y7896299/Y7896299.html http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8054683/Y8054683.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/05/Y7858640/Y7858640.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/04/Y7794379/Y7794379.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/04/Y7711101/Y7711101.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/04/Y7806659/Y7806659.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/06/Y7977963/Y7977963.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/02/Y7541721/Y7541721.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/02/Y7497398/Y7497398.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/12/Y7312016/Y7312016.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/12/Y7289891/Y7289891.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/01/Y7478463/Y7478463.html อย่าสำคัญผิดครับ ว่าบทความขยะๆ ของคุณจะทำใครตระหนกตกใจ เพราะมันกระจอกจริงๆ ไม่ได้มีสาระ หรือหลักฐานอะไร สิ่งที่อ้างมาก็อ้างมาจากนักวิชาการ ที่เอาใช้ฮะดีษกันทั้งนั้น ที่เหลือก็ พูดเองเออเอง แล้วจะมีค่าอะไรมาให้มุสลิมต้องตกใจล่ะครับ เรื่องพื้นฐานอย่างละหมาด เอาแค่เวลาละหมาด 5 เวลา ยังไม่มีปัญญาตอบ แล้วจะบอกว่า บทความ สวะๆ แบบนั้นทำให้มีคนตกใจ? น่าสมเพช จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 52 11:44:48

ความคิดเห็นที่ 16 ส่วนในความเห็นที่ 11 นั้น มันไปจี้ใจดำ หรือไปเหยียบหาง คุณเข้าหรือเปล่าครับ ลองอ่านดูดีดีสิครับ แม้แต่คำพูดตัวเองยังบิดเบือนอีกหรือ หน้าไม่อายจริงๆ นี่สินะ สันดานของ ชัยตอนในร่างมนุษย์ ทั้งโง่ ทั้งเขลา ทั้งหน้าด้าน ทั้งไม่มียางอาย สงสัยได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษเหมือนที่อ้าง ว่าละหมาดตามที่บรรพบุรุษสอน มีใครที่เขาสงสัย ถาม หรือ ศึกษาเขาใช้คำพูดแบบแมทท์บ้าง ทั้ง ..."เป็นประโยชน์ต่อการสรุปขั้นสุดท้าย" ... "ผมไม่เชื่อ" ... "ดังนั้นต้องมีการสอดแทรกปลอมแปลง อัลกุรอ่าน" หรือว่านี่คือ การตั้งคำถามแบบที่บรรพบุรุษคุณสอนล่ะครับ ผมคงไม่เข้าใจหรอกมังครับว่า มนุษย์มนาที่ไหนเขาตั้งข้อสงสัยกันแบบนี้ เพราะนี่คงเป็น หลักการเฉพาะที่ ถ่ายทอดกันมาจากบรรพบุรุษแมทท์ สรุปสุดท้ายไปแล้วว่าต้องมีการสอดแทรกปลอมแปลง แต่พอหลังๆ ดันบอกว่านั่นแค่การตั้งคำถาม สันดานมุนาฟิกจริงๆ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 52 11:52:54

ความคิดเห็นที่ 17 และจะว่าไปก็น่าตลกนะครับ ที่คนแบบแมทท์ ที่ตอบไม่ได้แม้แต่เรื่องละหมาดจะมาชี้นิ้วบอกว่า ใครนับถือ ศาสนาอิสลาม หรือลัทธิมุฮัมมัด มาดูซิว่า คนแบบนี้เนี่ยนะ มีความรู้ มีเหตผล และมีค่าพอมาบอกว่า ใครเป็นมุสลิมหรือไม่ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 52 11:58:09

ความคิดเห็นที่ 18 ปากบอกว่า หลักการที่ถูกต้อง แต่อ้างกุรอ่านแต่ละคร้ง ไม่พ้นมั่ว ผิด บิดเบือน นี่เหรอ ผู้ที่ทำให้ คนอื่นตื่นตระหนก สวะชัดๆ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 52 11:59:26

ความคิดเห็นที่ 19 ผมว่า คุณควรจะเข้าใจความคิดเห็นที่ 17 ที่คุณ โปสต์ให้ดีเสียก่อน     การลงโทษในปรโลกที่เป็นอำนาจสูงสุดใน วันตัดสินนั้น เป็นอำนาจสูงสุดของพระเจ้า เช่น  การลงโทษหรือ ฮุก่มว่าผู้ใดเป็น มุสลิมหรือไม่, ตกนรกหรือไม่, ไปสวรรค์หรือไม่ หรือ การตัดสินผุ้ใด ในเรื่องที่เกี่ยวกับความศรัทธานั้น  มนุษย์ไม่มีอำนาจ ที่จะทำได้ เป็นบัญญัติของประโยค ที่เรียกว่า  “มุตะชาบิฮัตฺ”    ส่วนเรื่องหญิงมีชู้นั้น เป็นการ อนุญาตจากพระเจ้า ให้ลงโทษได้ในโลกมนุษย์เป็นบทเฉพาะการ อยู่ในประโยคที่เรียกว่า "มุห์คะมะ" เป็นคำสั่งที่เด็ดขาดไม่มีข้อ กำกวม และให้ทำด้วยควาวมยุติธรรม เข้าใจได้ง่าย คุณ เอา "ผลมะพร้าว" มาเปรียบเทียบน้ำหนักกับ "ลูกลำไย"  มันจะเข้าใจกันได้อย่างไรละครับ^^    กระทู้ต่างๆที่ คุณ นำมา แปะไว้นั้น มีประโยชน์กับ ยุวมุสลิมทุกๆท่าน  ถ้าใช้เวลาอ่านและทำความเข้าใจ ด้วยตนเอง ...ผมขอบคุณที่นำม่า เผยแพร่ให้ผมด้วย  คุณก็ควรอ่านหลายๆครั้ง จะได้เข้าใจ ถ้าคุณตืดตามผมต่อไปในกระทู้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8604509/Y8604509.html  คุณจะเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ดีขึ้น  ผมจะอธิบายอย่างละเอียดต่อไป อย่าเพิ่งเข้าไปขัดจังหวะก้แล้วกัน อ้อลืมบอกไปว่า.... อาจารย์ผู้นั้นผมรู้จักดีทีเดียว  แต่ความเห็นเราไม่ตรงกันในเรื่อง "อะหะดีษ" นี่ แหละครับ  ทราบแต่ว่า แกเป็นคนดีคนหนึ่ง จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 52 15:27:37

ความคิดเห็นที่ 20 ผมขอเซฟ ความเห็นไว้นะครับ ขะได้เห็นกันชัดๆว่า โกหก บิดเบือนกันแม้กระทั่งคำพูดตัวเอง ได้หน้าด้านๆ ขนาดไหน จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 52 15:32:19

ความคิดเห็นที่ 21 อ่านซะนะครับ ไม่มีใครพูดถึงเรื่องการลงโทษในปรโลกครับ ประโยคที่คุณแสดงความโง่เขลา และขาดความเข้าใจในกุรอ่านนั้นน่ะ คือ "คุณบอกว่าแม้แต่ท่านนบีหรือผู้ใดก็ไม่มีสิทธิไปลงโทษใครในโลกนี้ได้ ทั้งๆที่จริงๆ แล้ว การลงโทษมีบัญญัติในกุรอ่านเองเลยครับ" มันเกี่ยวอะไรกับ ปรโลกไม่ทราบ? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 52 15:44:13

ความคิดเห็นที่ 22 ส่วนกระทู้ขยะนั้นน่ะ ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ คือไม่มีอะไรนอกจากขยะ คำว่า มุตะชาบิฮาต หรือ มุฮ์กะมาต นั้นมาจากไหน แมทท์แยกได้เองหรือไง? ก็ไปเอาความรู้จากคนอื่นมาอีก ความรู้เกี่ยวกับกุรอ่านมีแค่ไหน เท่าที่คุยกัน ก็แทบจะเป็นศูนย์ นี่ถ้าไม่เอาบทความของ คนอื่นมาลง แมทท์ก็คือ คนไม่รู้เรื่องอะไรคนนึงเท่านั้นละมัง แล้วจะให้ผม ไปติดตามขยะ กองนั้นทำไมล่ะครับ ให้ผู้อ่าน อ่านกันไปเลยดีกว่า ว่าอะไรคืออะไร เพราะถึงผมเข้าไป คุณก็หนี ผมก็ไม่รู้จะเข้าไปทำอะไรนะครับ เรื่องละหมาดก็ตอบไม่ได้ เรื่องหินดำก็หนี เรื่องฮิญาบก็โดนจับได้ว่าทั้งมั่ว ทั้งไปก๊อบของคนอื่นเขามา ที่ไปอ่านก็ไม่มีอะไรใหม่ ไปกว่าที่ผมแฉในกระทู้นี้เลย เห้อ น่าสมเพช จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 52 15:56:44

ความคิดเห็นที่ 23 ปีก่อนบอกว่า จริยธรรมในกุรอ่านนั้น ใครไม่ทำ ก็ไม่มีสิทธิไปลงโทษในโลกนี้ แต่ปัจจุบัน บอกว่า ตรงตัวใครบิดเบือนไม่ได้ ไม่แปลก ทำไมก่อนหน้านี้บอกว่ากุรอ่านมีการสอดแทรก แต่ตอนนี้ บอกว่ากุรอ่านสมบูรณ์ คนอย่างคุณ นะครับ login แมทท์ เท่าที่คุยก็ไม่ได้มีสาระอะไรเลย นอกจากแถไปวันๆ ตลบแตลงไปเรื่อย เพื่อหาช่องทางบิดเบือนอิสลาม ส่วนเรื่องสัจธรรมนั้นไม่ต้องพูดถึง ถ้าคนที่ยืนหยัดเพื่อสัจธรรม เขาสำนึกได้ตั้งแต่แรกแล้ว ที่โดนจับได้ว่ามั่วนี่ก็จับได้แล้วจับได้อีก ก็ยังหน้าด้านมาโพสต์เรื่องเดิมๆ แบบนี้ผมก็ทราบเจตนาแล้วล่ะครับว่า คนแบบคุณมันก็แค่อยากจะมาบิดเบือนอิสลาม จะหน้าแตกกี่ครั้งก็ไม่สน เพราะหลักการของคุณมันไม่มีอยู่จริง จะล้มเหลวกี่ครั้งก็ไม่เกี่ยว ประโยน์ก็เอาไว้บังหน้าเท่านั้นเอง จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 52 16:01:28

ความคิดเห็นที่ 24 ความคิดเห็นที่ 15 ถ้าถูกไล่ว่า เป็นกาเฟร แล้วมี แยกประเภทอีกหรือครับ?  กาเฟรประเภทอาจารย์ แตกต่างจาก กาเฟร ประเภทอื่นอย่างไรครับ?  และอีกประการหนึ่ง ศาสนาอิสลาม ไม่มีศาสดามีแต่ศาสนทูต และศาสนทูต รับบัญญัติจากพระเจ้า "อัลกุรอาน"  ศาสนทูตในศาสนาอิสลาม คือ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด  คำสอนในศาสนาอิสลามเป็นบัญญัติจากพระเจ้าเท่านั้น  ท่านศาสนทูตไม่อาจจะบัญญัติสิ่งใดเกินกว่าบัญญัติในอัลกุรอานได้ หรือยกเลิกบัญญัติในอัลกุรอานได้ สิทธิทั้งหมดอยู่ที่พระเจ้า  ถ้าผุ้ใดก็ตาม ปฏิบัติตามเรื่องบอกเล่าว่าเป็นคำสอนของ ท่านรอซูลมูฮัมมัด  ทั้งๆที่ฝ่าฝืนคำสั่งของท่าน ในบทเรียนของตนเอง นั้น ผมไม่ทราบว่าผู้นั้นนับถือศาสนาหรือลัทธิอะไร แต่เท่าที่ทราบ คงไม่ใช่ "อิสลามแน่ๆ"  ส่วนเรื่องประวัติการละหมาดมาจากไหน? นั้น พอคุณเริ่มเรื่องมันก็ไม่ตรงกับอัลกุรอานแล้ว  โดย เฉพาะในเรื่องการอาบน้ำละหมาด  อัลกุรอานอธิบายไว้อย่างชัดเจน  ไปค้นหาเอาเอง จะได้จดจำได้    พอเริ่มต้นด้วย นิยาย มันก็ต้องจบลงด้วยนิยาย  สิ่งที่เป็น Miracle ในศาสนาอิสลามมีอยู่เพียงอย่างเดียวที่เกิดกับท่านศาสนทูตมูฮัมมัด คือ "อัลกุรอาน"     ถ้าการสอนละหมาดต่อท่านรอซูลโดยเทวทูตมีจริงแล้ว ต้อง มีปรากฏอยู่ในอัลกุรอาน ใช่ไหม?   คุณชอบขอหลักฐาน ผมขอหลักฐานในเรื่องนี้หน่อยว่า "ญิบลีล" สอนละหมาดให้ท่านรอซูล ว่ามีหลักฐานจาก พระเจ้า/ จากอัลกุรอาน ตรงไหน? ในตอนต่อไปผมจะอธิบายให้เห็นว่า "What is the difference between Islam and Muhammadanism?"   Are they different?  Yes; they are.   Muhammadanism is not Islam ! จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 52 03:53:28

ความคิดเห็นที่ 25 ขอเซฟบทความนี้ไว้ก่อน เพราะงานนี้ ชะรอยว่าจะมีเฮอีกเป็นมั่นคง จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 52 10:31:16

ความคิดเห็นที่ 26 ในความคิดเห็นที่ 15 ของผม ไม่ได้ตัดสินอาจารย์ท่านนั้นว่าเป็นกาเฟรฺครับ และไม่ได้พูดเรื่องนี้ แต่ผมบอกว่า บทความของอาจารย์ท่านนั้น ไม่สมควรที่คนอย่าง login แมทท์ที่ไม่มีความรู้อะไร นอกจากไปก๊อบคนอื่นเขามาแบบลวกๆ หรือตีความกุรอ่านมั่วๆ มาอ้างหรือเปรียบเทียบ เพราะอาจารย์ท่านนั้นใช้หลักการอิสลามในการแสดงความเห็น ไม่ใช่มั่วเอาเองแบบไม่มีที่มาที่ไป จับแพะชนแกะแบบ login แมทท์ครับ แค่นี้คงพอเข้าใจละมั๊ง? ส่วนเรื่องศาสนฑูตไม่อาจบัญญัติสิ่งใดเกินกว่าบัญญัติของกุรอ่านนั้น ก็ไม่มีมุสลิมคนไหนบอกว่า ท่านนบีจะบัญญัติขึ้นเองนะครับ แต่การกระทำของนบี จะได้รับการอนุมัติจากอัลลอฮฺ และเป็นคำสั่งของพระองค์ในกุรอ่านเอง ให้ทำตามที่นบีทำ หรือทำตามที่นบีตัดสิน เหล่านี้ชัดเจนนะครับว่า การที่นบีทำอะไรหรือสั่งการอะไรนั่นคือสิ่งที่อัลลอฮฺอนุมัติแล้ว การอ้างว่านบีไม่สามารถบัญญัติสิ่งใดเพิ่ม เพื่อปฏิเสธแบบอย่างนบีนั้นจึงเป็นการอ้างที่ ผิดหลักการศาสนามากๆ เพราะท่านนบีไม่ได้ตัดสินหรือบัญญัติอะไรเองครับ แต่สิ่งเหล่านั้นมาจากอัลลอฮฺ "ผู้ใดเชื่อฟังรอซูล แน่นอนเขาได้เชื่อฟังอัลลอฮ์" ซูเราะห์อันนิซาอ์ อายะห์ที่ 80 น่าจะชัดนะครับ ส่วนเรื่องท่านญิบรออีลมาสอนนมาซนั้น ก็อย่างที่ผมบอกในกระทู้ที่แล้วว่าไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ได้แปลกไปกว่าเรื่องอัศจรรย์อื่นๆ ใดเลย และถ้าใครบอกว่า นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ หรือเรื่องที่ไม่น่าเชื่อถือแล้วล่ะก็ ทั้งกุรอ่านคงกลายเป็นนิทานที่ไม่น่าเชื่อถือ สำหรับคนคนนั้นด้วยสิครับ และเรื่องการทำน้ำนมาซ ก็ไม่ได้มีอะไรแปลกหรือผิดแผกจากกุรอ่านนี่ครับ ถ้าผิดตรงไหนเอามาหน่อยถ้ามีนะครับ อย่ามาโยนให้ไปหาเอง เพราะถ้าพูดแบบนั้นผมจะถือว่าไม่มีอะไรขัดกัน เนื่องจากไม่ใช่หน้าที่ที่ผมจะไปหาหลักฐานมาสนับสนุนการกล่าวหาของใคร ถ้าใครกล่าวอะไรขึ้นก็ต้องรับผิดชอบคำพูดตัวเอง จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 52 18:40:35

ความคิดเห็นที่ 27 ส่วนเรื่องสอนกุรอ่านโดยเทวฑูตหรือญิบรออีลนั้นนะครับ ไม่จำเป็นต้องบอกว่าท่านญิบรอีลมาสอนนมาซแต่อย่างใด เพราะกุรอ่านไม่จำเป็นต้องบันทึกสิ่งปลีกย่อยไปเสียทุกอย่างแต่บันทึกสิ่งที่จำเป็นไว้ และเราก็รู้แล้วว่า ท่านญิบรออีลคือผู้นำมา วะฮีย์มาให้นบีครับ ดังนั้นท่านนบี และญิบรออีลก็มีการพบปะกันอยู่แล้ว การสอนเรื่องละหมาดจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย แล้วจะถามหาเรื่องนี้ในกุรอ่านเพื่ออะไร? แล้วที่ผมถามคุณเรื่องละหมาด 5 เวลาล่ะครับ ป่านนี้ ผมยังไม่ได้คำตอบ ไม่ทราบว่า ถ้าไม่พบเรื่องละหมาด 5 เวลา ในกุรอ่าน ก็ไม่ต้องละหมาด อย่างนั้นหรือ? อย่างที่มุสลิมเน้นย้ำนะครับว่า กุรอ่านนั้นเป็นหลักการของอิสลามโดยกว้างครับ ส่วนเรื่องรายละเอียดต่างๆ นั้นหาได้จาก แบบอย่างของท่านนบี ซึ่งกุรอ่าน สั่งย้ำหลายครั้งให้ทำตาม การทำละหมาดก็เช่นกัน เราทราบเรื่องเหล่านี้ได้จากฮะดีษ หรือแบบอย่าง และคำพูดของท่านนบีที่กล่าวไว้นั่นเอง เช่นเดียวกับ เวลาละหมาด จำนวนรอกาอัตในละหมาด ซึ่ง จำนวนรอกาอัตละหมาด 4 รอกาอัตในเวลา ดุฮริ มุสลิมทั่วโลกทำเหมือนกัน แล้วมีบ่งบอกจำนวนนี้ในกุรอ่านหรือไม่ ถ้าไม่เจอ ก็ไม่ต้องทำละหมาดเวลา ดุฮริ 4 รอกาอัตงั้นหรือ? แต่มุสลิมทำ เพราะเป็นแบบอย่างของท่านนบีโดยรายงานจากฮะดีษ ไม่ใช่จากบรรพบุรุษ ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ขัดกับกุรอ่านด้วย เพราะการสอนหรือการพบปะกับท่านญิบรออีลนั้น เป็นเรื่องที่เราทราบกันอยู่แล้ว แต่เรื่องการละหมาดตามบรรพบุรุษเนี่ย มันขัดกับหลักการอิสลามครับ เพราะการกระทำสิ่งต่างๆ เราทำตามแบบอย่างของท่านนบี ไม่มีตรงไหนบอกให้ตามบรรพบุรุษ แถมการทำตามบรรพบุรุษนั้นยังเป็นการกระทำของพวก ป่าเถื่อนก่อนอิสลามด้วย ลองอ่านเองนะครับ 5:104. และเมื่อได้ถูกกล่าวแก่พวกเขาว่า ท่านทั้งหลายจงมาสู้สิ่งที่อัลลอฮ์ ได้ทรงประทานลงมาเถิด(*1*) และมาสู่ร่อซูลด้วย(*2*) พวกเขาก็กล่าวว่า เป็นการพอเพียงแก่เราแล้ว สิ่งที่เราได้พบบรรพบุรุษของเราเคยกระทำมันมา(*3*)ถึงแม้ได้ปรากฏว่า บรรพบุรุษของพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งใด และทั้งไม่ได้รับคำแนะนำอีกด้วยกระนั้นหรือ?(*4*) ผมถึงถามไงครับ ว่ามีตรงไหนในกุรอ่านให้คุณตามบรรพบุรุษ เพราะมีแต่ให้ตามนบี จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 52 19:08:02

ความคิดเห็นที่ 28 และเพื่อให้ทุกท่านเข้าใจนะครับว่า ทำไมต้องถามหาหลักฐานในกุรอ่านจาก login แมทท์ นั่นก็เพราะ login แมทท์มักอ้างเสมอว่า การปฏิบัติศาสนกิจ หรือในทุกเรื่องนั้น ไม่เอาแบบอย่างของท่านนบีก็ได้ อ้างว่าจะใช้แต่กุรอ่านอย่างเดียว แต่พอถามเรื่องเบื้องต้น เช่นเวลาละหมาด แมทท์ก็หามาไม่ได้แล้ว ถึงกับต้องอ้างบรรพบุรุษซึ่งเป็นการยึดสิ่งอื่นจากกุรอ่าน แถมเป็นสิ่งอื่นที่ไม่หลักการด้วยซ้ำ กลับกันในกรณีของมุสลิมที่เข้าใจกุรอ่านจริงๆ เราก็รู้ว่าอัลลอฮฺใช้ให้เราตามนบี ซึ่งแบบอย่างของท่านนบีนั้นบันทึกในฮะดีษ เราจึงอธิบายเรื่องต่างๆ ปลีกย่อยในกุรอ่านได้ เช่นการละหมาด เราทราบเวลาที่แน่ชัดได้จากแบบอย่างของท่านนบี หรือเราได้ทราบว่า ท่านนบีได้ละหมาดพร้อมกับท่านญิบรออีลด้วย เรื่องบางเรื่องที่เป็นปลีกย่อยเราจึงไม่ต้องหนีปัญหา แบบ login แมทท์ เมื่อถูกถามหาหลักฐานต่างๆ  เพราะเราทราบว่ากุรอ่านได้วางเรื่องหลักๆ ไว้ และเรื่องปลีกย่อยเราหาได้จากฮะดีษแล้ว ดังนั้นคำถามว่า เรื่องเทวฑูตสอนละหมาดนั้นมาจากไหนเราก็บอกได้เลยครับว่ามาจาก ท่านนบี เพราะนี่คือเรื่องปลีกย่อยไม่จำเป็นต้องบันทึกในกุรอ่าน หรืออาจจะมีแต่ผมไม่ทราบก็ได้ มุสลิมเราไม่เคยอ้างว่า ปฏิเสธแบบอย่างนบีก็ละหมาดได้ เราไม่เคยอ้างว่าไม่เอาฮะดีษเราก็ตอบคำถามเรื่องละหมาดได้ แต่สำหรับ login แมทท์ แล้ว เรื่องเวลาละหมาดล่ะครับ อ้างว่าใช้กุรอ่านเพียงอย่างเดียว ทำไมไม่ใช้กุรอ่านมาตอบ? ทำไมต้องอ้างบรรพบุรุษ? จากคำถามที่มุสลิมถาม login แมทท์ไป จึงสรุปได้ว่า การอ้างกุรอ่านเพื่อปฏิเสธฮะดีษนั้น เป็นเรื่องเหลวไหล และไร้สาระครับ ถามอะไรไปก็ตอบไม่ได้ต้องหลีกหนีไปทางอื่น หวังว่าคงจะเข้าใจนะครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 52 20:09:50

ความคิดเห็นที่ 29 เรามาดูกันดีกว่า ว่าสิ่งที่ login แมทท์กล่าวไ้ว้นั้น จริงเท็จแค่ไหน  พอเริ่มต้นด้วย นิยาย มันก็ต้องจบลงด้วยนิยาย  สิ่งที่เป็น Miracle ในศาสนาอิสลามมีอยู่เพียงอย่างเดียวที่เกิดกับท่านศาสนทูตมูฮัมมัด คือ "อัลกุรอาน" จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 52 20:17:29

ความคิดเห็นที่ 30 หรือจะบอกว่า Miracle นี้ ไม่ได้เกิดกับท่านรอซูลแต่เกิดกับดวงจันทร์ล่ะ ถ้าบอกแบบนั้นล่ะก็............ แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 52 20:36:57 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 52 20:35:49

ความคิดเห็นที่ 31 ดังนั้น การที่ บางคน ซึ่งไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย จะอ้างกุรอ่านก็ผิดบ่อยๆ ผิดแล้วผิดอีกจะมา ทำท่าอธิบายอิสลามนั้น มันก็ไม่ได้มีสาระอะไรหรอกนะครับ เหมือนคนขี้เมา มาชี้หน้าคนทั่วไปว่า เฮ้ยเอ็งเมาหรือเปล่า เอ็งนั่นแหละเมา ก็ย่อมพูดได้ครับ ขี้เมาที่ไหนก็ทำได้ แต่มันก็แค่คำพูดไร้สาระของคนขี้เมาเท่านั้น เช่นกัน การที่คนไม่รู้เรื่องอิสลาม จะมาทำบทความอธิบายอิสลามแล้วบอกว่า นั่นคืออิสลาม นั่นไม่ใช่ นั่นผิด นั่นไม่ถูก ก็คงทำได้ครับ แต่มันก็แค่คำพูดไร้สาระของคนไม่มีสาระ เท่านั้นเอง น่าตลกดีนะ จะเอากุรอ่านมาอ้างว่า ฮะดีษต่างๆ เหลวไหล แต่คนอ้างดันไม่รู้ ไม่เข้าใจกุรอ่านเองเฉยเลย ทำอะไรแปลกๆ แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 52 20:43:05 แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 52 20:42:19 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 52 20:41:10

ความคิดเห็นที่ 32 จากความคิดเห็นที่ 15    ตามที่ผมกล่าวว่า, “พอเริ่มต้นด้วย นิยาย มันก็ต้องจบลงด้วยนิยาย” และกล่าวต่อไปว่า       สิ่งที่เป็น Miracle ในศาสนาอิสลามมีอยู่เพียงอย่างเดียวที่เกิดกับท่านศาสนทูตมูฮัมมัด คือ "อัลกุรอาน"       เรื่องราวที่ว่า “ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด แสดงปาฎิหารย์ในการ แยกดวงจันทร์ ออก, แบ่งครึ่งดวงจันทร์ ออก เป็นสองส่วน โดยมีกลุ่ม คนเพียงไม่กี่คนเห็น  เพียงช่วง วินาฑี หรือ นาฑีเดียวเท่านั้น” เป็นเรื่องที่ถอดความมาจาก อัลกุรอานอายะต่อไปนี้   The Hour (of Judgment) is nigh, and the moon is cleft asunder. (Yusufali 54:1)     But if they see a Sign, they turn away, and say, "This is (but) transient magic." (Yusufali 54:2)   ก่อนที่ผมจะอธิบายเรื่อง    “ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด แสดงปาฎิหารย์ในการ แยกดวงจันทร์ ออก, แบ่งครึ่งดวงจันทร์ ออก เป็นสองส่วน โดยมีกลุ่ม คนเพียงไม่กี่คนเห็น  เพียงช่วง วินาฑี หรือ นาฑีเดียวเท่านั้น” ผมขอกล่าวถึง ความคิดเห็นที่ 5 สักหน่อย     ความคิดเห็นที่ 5  เป็น เขียน การแปลมาจาก บทความจาก อรับมุสลิมซึ่งยึดเรื่องบอกเล่า เป็นบรรทัดฐาน  ซึงผมได้อ่านภาคภาษาอังกฤษมาก่อนแล้ว, เราจะเห็นว่า บรรดาผู้ที่ใช้ ฮาดีษ อธิบาย ความหมายของ “มุตะชาบิฮาต”    นี้ ส่วนมากจะ อธิบายว่า “เป็นสิ่งที่อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่รู้”  และจะไม่รวม ประโยคที่ว่า “และบรรดาผู้ที่มั่นคงในความรู้เท่านั้น” ต่อท้ายไปด้วย  ดังนี้ มุตะชาบิฮาต                  -  เป็นสิ่งที่อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่รู้    ข้อนี้แปลไม่ตรงกับอัลกุรอาน ทั้งนี้ มีเจตนาจะบิดเบือนบัญญัติในอัลกุรอาน ซึ่งความจริง จะต้องมีประโยคต่อว่า “และบรรดาผู้ที่มั่นคงในความรู้เท่านั้น”                  -และไม่มีใครรู้ในการตีความโองการนั้นได้นอกจากอัลลอฮ์ และบรรดาผู้ที่มั่นคงใน  ความรู้เท่านั้น                  -  เป็นสิ่งที่มองได้หลายด้าน                  -  เป็นสิ่งที่ต้องการอาศัยการอธิบายเพิ่มเติม ดูคำอธิบายที่ถูกต้องในเรื่องนี้ที่ลิ้งค์นี้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8604509/Y8604509.html แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 52 00:54:35 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 00:38:44

ความคิดเห็นที่ 33 อีกตัวอย่างหนึ่งในการอธิบายอัลกุรอานของ ผู้ที่เชี่ยวชาญในรากเง่าของภาษาอรับ เป็นอย่างดี ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะที่ 2 อธิบายว่าดังนี้       27. คือบรรดาผู้ที่ทำลายสัญญาของอัลลอฮฺหลังจากที่ได้มีสัญญาไว้แก่พระองค์(*1*) และตัดสิ่งที่อัลลอฮฺทรงใช้ให้ต่อ(*2*) และบ่อนทำลายในผืนแผ่นดิน ชนเหล่านี้แหละคือพวกที่ขาดทุน (1)  สัญญาทางธรรมชาติ หรือทางสัญชาติญาณที่จะทำให้พวกเขายอมรับในการเป็นการเป็นพระเจ้าของอัลลอฮฺ ดังที่พระองค์ได้ทรงถามพวกเขาขณะยังอยู่ในสภาพเชื้อสุจิอยู่ว่า “ข้าไม่ใช่พระเจ้าของพวกเจ้าดอกหรือ พวกเขาตอบว่า ใช่ขอรับ พวกข้าพระองค์ขอยืนยัน” แต่แล้วพวกเขาก็ทำลายสัญญานั้นเสีย ด้วยการปฏิเสธการเป็นพระเจ้าของพระองค์ (2)  ไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์ทรงใช้ การอธิบายว่า“พระเจ้าได้ทรงถามพวกเขาขณะยังอยู่ในสภาพเชื้อสุจิอยู่”   แสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจ ประโยค “มุตะชาบิฮาต” และความต่อเนื่องของอายะต่างๆในอัลกุรอาน แสดงให้เห็นว่า ผู้เข้าใจ รากเง่า ของภาษาอรับ ก็ไม่อาจจะเข้าใจอัลกุรอานได้ถ้าขาดสติปัญญา .............................................. คำอธิบายที่ถูกต้องของอายะนี้คือ  “Those who break Allah's Covenant after it is ratified, and who sunder what Allah Has ordered to be joined, and do mischief on earth: These cause loss (only) to themselves. (Yusufali 2:27)       ความหมายของอายะนี้อธิบายได้ว่า บรรดาผู้ที่ผิดคำสัญญาต่อพระเจ้าหลังจากได้ยืนยันคำสัญญาต่อพระองค์แล้ว(ทั้งทางจิตวิญญานก่อนมาจุติบนโลกนี้ และหลังจากที่เกิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้แล้ว), และผู้ที่ผิดสัญญาในสิ่งซึ่งพระเจ้าได้รับเขาเข้าร่วมในศาสนาของพระองค์ คือ อิสลาม โดยสัญญาว่า จะปฏิบัติภาระกิจทางศาสนาตามคำสั่งของพระองค์ อย่างครบครัน      แต่พอมาเกิดบนโลกมนุษย์แล้ว ได้ทำผิดสัญญาต่อพระองค์(ซูเราะฮฺ อัรเราะอฺดฺ อายะที่ 20,21,25) ,  การผิดสัญญาดังกล่าวทำให้เขาเหล่านั้นบังเกิดความหายนะให้แก่ตัวของเขาเอง สัญญาเหล่านั้นได้แก่ 1. คำสัญญาดังกล่าวเป็นที่ทราบกันว่า เป็นคำสัญญาเริ่มแรก(คำสัญญาอันเร้นลับ) ดวงวิญญาณของมนุษย์ทุกๆดวงก่อนที่จะมาเกิดในโลกนี้ ได้ทำสัญญา กับพระเจ้าว่าเมื่อ เขา เหล่านั้นมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ เพื่อกระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างครบถ้วน, และจะไม่ฝ่าฝืนหรือจะทรยศต่ออำนาจอันสูงสุดของพระองค์ 2. คำสัญญาข้อที่สองหรือข้อสัญญาที่เปิดเผย เป็นคำสัญญาที่ ผู้ศรัทธาเมื่อเข้ารับอิสลามเขาได้ทำสัญญาหรือปฏิญาณต่อพระองค์ว่า “เขาจะสวามิภักดิ์ ต่อพระเจ้าตามพระประสงค์ของพระเจ้าทุกประการ นั้นคือการทำอิบะดะห์ ตามคำสัญญาต่อพระเจ้า” จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 00:41:09

ความคิดเห็นที่ 34 สมาชิกทั้งหลายจะเห็นความแตกต่างในความหมายของการอธิบายตาม “เรื่องบอกเล่า” และ “จากการเข้าใจอัลกุรอาน” ได้อย่างชัดเจน หมายเหตุ ความจริงผมอยากฟังความคิดเห็นของคุณเองมากกว่า การไปลอกข้อเขียนมาทั้วงดุ้น โดยที่คุณไม่เข้าใจความถูกต้อง ของเรื่องนั้นๆ  แล้วนำมาติเตียนผม    ผมกล่าวมาถึงตอนนี้ คุณเข้าใจเรื่องความแตกต่างระหว่าง  “ISLAM” และ “MUHAMMADANISM” หรือยัง ....................................   ลัทธิ“MUHAMMADANISM” ผู้ศรัทธา พยายามที่จะ  “Idolize”  ท่านศาสนทูต มูฮัมมัด เป็น ศาสดา ผู้วิเศษ สามารถที่จะ แสดง มายากล และ อภินิหารต่างๆได้  ซึ่งคุณจะเห็นว่า เรื่องนี้พระเจ้า ห้ามไว้อย่าง ชัดเจน และกำหนด หน้าที่ของท่านศาสนทูตมูฮัมมัดไว้อย่างชัดเจน  ดังที่ พระองค์ทรงบอกแก่ท่านรอซูลว่า Say thou: "I am but a man like you: It is revealed to me by Inspiration, that your Allah is one Allah: so stand true to Him, and ask for His Forgiveness." And woe to those who join gods with Allah,- [Yusufali 41:6]    They serve, besides Allah, things that hurt them not nor profit them, and they say: "These are our intercessors with Allah." Say: "Do ye indeed inform Allah of something He knows not, in the heavens or on earth?- Glory to Him! and far is He above the partners they ascribe (to Him)!" [Yusufali 10:18]    Whether We shall show thee (within thy life-time) part of what we promised them or take to ourselves thy soul (before it is all accomplished),- thy duty is to make (the Message) reach them: it is our part to call them to account.  [Yusufali 13:40]      ความหมายที่สำคัญในอายะนี้คือ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด เป็นเพียงผู้รัยข่าวสารจากพระเจ้ามาให้มนุษย์ และ พระเจ้าจะเป็นผุ้รับผิดชอบต่อการที่ผุ้ศรัทธาจะศึกษาและเอาใจใส่ต่อบัญญัติและแนวทางที่พระองค์มอบให้หรือไม่?      Say: "I have no power over any harm or profit to myself except as Allah willeth. To every people is a term appointed: when their term is reached, not an hour can they cause delay, nor (an hour) can they advance (it in anticipation)." [Yusufali 10:49]      จากอายะต่างๆที่อ้างถึงนี้ พระเจ้าไม่ประสงค์จะให้ มนุษย์ยกฐานะท่านรอซูล เหนือจากความเป็นมนุษย์ แต่ให้ผู้ศรัทธา รัก นับถือและเชื่อฟัง ข่าวสารที่ ท่านนำมาจากพระเจ้า “อัลกุรอาน”  และผู้ศรัทธาจะต้องรักและเชื่อฟังท่านรอซูล ภายในหลักการและแนวทางของพระเจ้าเท่านั้น สิ่งที่เป็น Miracle ในศาสนาอิสลามมีอยู่เพียงอย่างเดียวที่พระเจ้าประสงค์ที่จะให้กับท่านศาสนทูตมูฮัมมัด คือ "อัลกุรอาน" จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 00:43:17

ความคิดเห็นที่ 35 พระเจ้าทรงบัญญัติไว้อย่าง ชัดแจ้งว่า พระองค์จะไม่ให้ปาฏิหารย์ หรือ ความอัศจรรย์  ใดๆแก่ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ทั้งนี้เพราะเว่า ถ้าใช้ปาฏิหารย์ ในการ เผยแพร่ศาสนา จะไม่ได้รับความศรัทธาที่จริง จากผู้ใด แทนที่จะเป็นผลดีกับเป็นผลเสียต่อท่านศาสนทูตมูฮัมมัด   And We refrain from sending the signs, only because the men of former generations treated them as false: We sent the she-camel to the Thamud to open their eyes, but they treated her wrongfully: We only send the Signs by way of terror (and warning from evil).(17:59)    But (now), when the Truth has come to them from Ourselves, they say, "Why are not (Signs) sent to him, like those which were sent to Moses?" Do they not then reject (the Signs) which were formerly sent to Moses? They say: "Two kinds of sorcery, each assisting the other!" And they say: "For us, we reject all (such things)!" (28:48)     เรื่องราวที่ว่า “ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด แสดงปาฎิหารย์ในการ แยกดวงจันทร์ ออก, แบ่งครึ่งดวงจันทร์ ออก เป็นสองส่วน โดยมีกลุ่ม คนเพียงไม่กี่คนเห็น  เพียงช่วง วินาฑี หรือ นาฑีเดียวเท่านั้น” เป็นเรื่องที่ถอดความมาจาก อัลกุรอานอายะต่อไปนี้โดยใช้ “ฮาดีษซอเฮี๊ยะบุคอรี” อธิบาย เรื่อง ราวที่เป็น อนาคตให้กลายเป็นเรื่องราว ของความปัจจุบันในอดีตกาล The Hour (of Judgment) is nigh, and the moon is cleft asunder. (Yusufali 54:1)  But if they see a Sign, they turn away, and say, "This is (but) transient magic." (Yusufali 54:2)   ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นจะต้องพิจารณาอัลกุรอานใน 54:1-2  ด้วยเหตุผล ต่อไปนี้ การอธิบายอายะ 1 และ 2 ซูเราะฮฺ อัลเกาะมัร   ซึ่งการอธิบาย นี้ เป็นการอธิยายโดยอาศัย เรื่องบอกเล่า (ฮาดีษ)     เรื่องนี้ เป็นตัวอย่างที่ดี ตามที่อัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อาละอิมรอน อายะที่ 7 อธิบายไว้ ว่า “ส่วนบรรดาผู้ที่ในหัวใจของพวกเขามีการเอนเอียงออกจากความจริงนั้น เขาจะติดตามโองการที่มีข้อความเป็นนัยจากคัมภีร์ ทั้งนี้ เพื่อแสวงหาความวุ่นวาย”,   ทั้งนี้เพราะว่า อายะ 1 และ 2 ซูเราะฮฺ อัลเกาะมัร เป็นข้อความที่เรียกว่า ข้อความ “มุตะชาบิฮาต”     คำวา “แตกแยกออก” เป็นการอุปมา ในอนาคตเมื่อวันสิ้นโลกใกล้เข้ามานั้น อะไรจะเกิดขึ้น, ด้วยเหคุนี้พระเจ้าจึงส่งอัลกุรอานมาเพื่อ เป็นการตักเตือนว่า ถ้าผุ้ใดไม่สนใจ ใน อัลกุรอาน และสิ่งที่จะเกิดกับ พวกเขาในวันตัดสินแล้ว ความหายนะจะเกิดขึ้นแก่ตัวเขา      ในอายะที่ 54:17 ของซูเราะห์เดียว กันนี้ ได้กล่าวไว้ว่า, พระเจ้าได้เรียบเรียงอัลกุรอานมาให้ง่าย ต่อการทำความเข้าใจและจดจำ แม้กระนั้นแล้ว ก็จะมี ผุ้ใดบ้างที่ให้ความสนใจ ในบัญญัติต่างๆ ในอัลกุรอาน เพื่อแสวง หาความรู้ ในการเตรียมตัว เมื่อวันตัดสินที่จะมาถึงในอนาคต      ลองใช้สติปัญญาคิดดู เวลา 1400 กว่าปี ก่อนที่ อัลกุรอานจะ เสร็จสมบูรณ์นั้น เป็นระยะเวลานานมาก  จนปัจจุบันนี้  วันสิ้นโลกก็ยังไม่มาถึง นับจาก เวลาที่  อายะ54:1 ถูกส่งมา และจะเห็นว่า มี คำเตือนคล้ายๆกันนี้ เช่นในอายะ 53:57 ที่ให้ความ หมายว่า วันตัดสินได้ใกล้เข้ามา ซึ่งยิ่งใกล้เข้ามากกว่า ความหมายใน อายะ 54:1 เสียอีก      ดังนั้น การใช้ ฮาดีษมาอธิบาย ความหมายในอายะนี้ ก็ไม่ ต่างไปจาก การใช้ฮาดีษ เล่าเรื่อง พระเจ้า “กล่าวเตือนตัวอสุจิ”,  ถึงแม้ว่า คณะผู้แปล จะเข้า ใจ รากเง่า ของ ภาษาอรับมากเท่าใดก็ตาม คำอธิบายหรือการ ตัฟซีร อัลกุรอานจะไม่สมบูรณ์และถูกต้อง ถ้าไม่ใช้  สติปัญญา ในการ เข้าใจอัลกุรอาน ที่พระเจ้า ทรงแนะนำไว้ ในอายะ ที่ 3:7 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 00:45:43

ความคิดเห็นที่ 36 จำเรื่องจากฮาดีษจากภาพนี้ได้ไหม? จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 00:48:14

ความคิดเห็นที่ 37 เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน An artist's impression of the splitting of moon by Muhammad based on Islamic traditions ("ลัทธิมูฮัมมัด" ซึ่งต่างจากหลักการของ "อิสลาม") แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 52 00:52:26 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 00:49:05

ความคิดเห็นที่ 38 ผมนั่งอ่านซะนานก็นึกว่ามีอะไรใหม่น่าตื่นเต้น หรือน่าเอามาขบคิดแต่ก็ยังไม่มีสาระอะไรใหม่อยู่เหมือนเดิมนะครับ          เรื่อง บทความที่ผมเอามานั้นจะมาจากบทความภาษาอังกฤษหรือภาษาอาหรับหรือของใครนั้น เกี่ยวอะไรไม่ทราบครับ เพราะเรื่องการแยกแยะว่าโองการใด มุฮ์กะมาต หรือ โองการไหนคือ มุตะชาบิฮาต นั้นน่ะ ใช้อะไรแยก แยกจากความรู้ใด          และมีหลักการอะไรในการแยก รู้ได้อย่างไรว่า โองการไหนนั้นเป็น มุฮ์กะมาต หรือโองการใดคือ มุตะชาบิฮาต          สิ่งเหล่านี้จะแยกได้ก็มาจากผู้รู้ทั้งนั้น ไม่ใช่คนที่ไม่รู้เรื่องแม้แต่เรื่องเกี่ยวกับกุรอ่านอย่าง login แมทท์นะครับ ผมก็ไม่ทราบว่าคุณจะอธิบายอะไรใน ความคิดเห็นที่ 32 นะครับ          ผมก็ไม่เห็นว่า Login แมทท์จะอธิบายได้ซะทีว่า ไปเอาความรู้เรื่อง การแยกโองการเป็น มุฮ์กะมาต และ มุตะชาบิฮาต จากใคร กุรอ่านโองการไหน และมีวิธีแยกอย่างไร มีแต่บอกว่า บทความนั้น ไม่รวมประโยค “และบรรดาผู้ที่มั่นคงในความรู้เท่านั้น”          ซึ่งผมจะต่อให้เองก็ได้ครับ เป็น                 -  และไม่มีใครรู้ในการตีความโองการนั้นได้นอกจากอัลลอฮ์ และบรรดาผู้ที่มั่นคงใน  ความรู้เท่านั้น                 -  เป็นสิ่งที่มองได้หลายด้าน                 -  เป็นสิ่งที่ต้องการอาศัยการอธิบายเพิ่มเติม          แล้วยังไง? มันก็เหมือนเดิมครับ เพราะ โองการที่ผมนำมาโพสต์ไว้ในความคิดเห็นที่ 14 ก็ชัดๆนะครับว่า          3:7. พระองค์คือผู้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาแก่เจ้า โดยที่ส่วนหนึ่งจากคัมภีร์นั้นมีบรรดาโฮงการที่มีข้อความรัดกุมชัดเจน(*1*) ซึ่งโองการเหล่านั้น คือรากฐานของคัมภีร์(*2*) และมีโองการอื่น ไ อีกที่มีข้อความเป็นนัย(*3*) ส่วนบรรดาผู้ที่ในหัวใจของพวกเขามีการเอนเอียงออกจากความจริงนั้น เขาจะติดตามโองการที่มีข้อความเป็นนัยจากคัมภีร์ ทั้งนี้ เพื่อแสวงหาความวุ่นวาย(*4*) และเพื่อแสวงหาการตีความในโองการนั้น(*5*) แลไม่มีใครรู้ในการตีความโองการนั้นได้นอกจากอัลลอฮ์ และบรรดาผู้ที่มั่นคงในความรู้เท่านั้น(*6*) โดยที่พวกเขาจะกล่าวว่า พวกเราศรัทธาต่อโองการนั้น ทั้งหมดนั้นมาจากที่ที่พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งสิ้น และไม่มีใครที่จะรับคำตักเตือนนอกจากบรรดาผู้ที่มีสติปัญญาเท่านั้น          (1)  เมื่อทุกคนได้อ่านหรือได้ฟังแล้วจะเข้าใจเหมือน ๆ กันโดยไม่ต้องตีความ          (2)  เป็นหลักสำคัญของคัมภีร์ที่มุ่งหมายให้เป็นความรู้ทั้งในหลักการศรัทธาและ ในข้ปฏิบัติของมนุษย์ และยังเป็นหลักยึดถือในการตีความโองการที่เป็นนัยอีกด้วย          (3)  มีข้อความในเชิงเปรียบเทียบ อาจเข้าใจหลายทาง ผู้ที่มีความรู้ในศาสนาของพระองค์อย่างกว้างขวางเท่านั้นที่จะเข้าใจในทาง ที่ถูกต้องได้          (4)  เพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายในหมู่ผู้ศรัทธาด้วยการตีความสนโองการที่เป็นนัยให้เฉออกไปจากความเป็นจริงที่พวกเขาเคยได้รับมาก่อน          (5)  คือเพื่อหาทางตีความไปตามเป้าหมายที่เขาต้องการ โดยไม่คำนึงว่าจะขัดต่อความหมายของอายะฮ์ที่มีข้อความชัดเจนหรือไม่          (6)  มีพื้นฐานแห่งความรู้อย่างมั่นคงเกี่ยวกับคุณลักษณะต่าง ๆ ของพระองค์ (ศิฟาต) และความมุ่งหมายในบทบัญญัติของพระองค์ ตลอดจนมีความรู้เกี่ยวกับหลักภาษาที่เป็นโองการของพระองค์อย่างกว้างขวาง ด้วย          ถ้าอ่านสองความเห็น ทั้ง 4 ทั้ง 5 ก็จะไม่งง แล้วไม่หาว่า มีการตัด ข้อความ "...และบรรดาผู้ที่มั่นคงในความรู้เท่านั้น..." ถ้าผมจะตัดออกหรือใครจะตัดออก คงไม่เอามาลงทั้งหมดแบบนี้ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 16:44:27

ความคิดเห็นที่ 39 ยิ่งเรื่อง "พระองค์ได้ทรงถามพวกเขาขณะยังอยู่ในสภาพเชื้อสุจิอยู่" ผมก็ไม่รู้ว่าแมทท์ไปเอาความรู้อะไรมากจากไหนนะครับถึงบอกว่าการแปลนี่ผิดหรือถูก นอกจากไปลอกบทความมาจากผู้ใช้ฮะดีษในการปฏิบัติศาสนา และก็ไม่ทราบด้วยว่า เรื่องนี้เอามาอ้างอิงอะไรได้ เอาแบบนี้ดีกว่า 11. แล้วพระองค์ทรงมุ่งสู่ฟากฟ้าขณะที่มันเป็นไอหมอก พระองค์จึงตรัสแก่ชั้นฟ้าและแผ่นดินว่า เจ้าทั้งสองจงมาจะโดยเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม มันทั้งสองกล่าวว่า ข้าพระองค์มาอย่างเต็มใจแล้ว (*1*) ถ้าพระองค์จะทรงตรัสถามกับสิ่งใดพระองค์ทำได้ครับ ผมสังเกตหลายทีแล้วล่ะครับว่า แมทท์ชอบเอาเรื่องนี้มาลง มันแสดงให้เห็นถึงความไม่รู้กุรอ่านของแมทท์ ที่พยายามแสดงตนว่ารู้โดยไปคัดลอกบทความชาวบ้านเขามาโดยไม่ดูให้ดีเสียก่อน ทั้งที่จริงๆ แล้วเรื่องนี้ถ้าพระองค์จะตรัสถามอสุจิก็ย่อมทำได้ครับ ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะกับฟากฟ้า และแผ่นดินพระองค์ก็ตรัสมาแล้ว และทั้งสองก็ตอบด้วยครับ และไม่ทราบว่าถ้าพระองค์จะทำเช่นนั้น แล้วผิดหลักการอย่างไรครับ ขัดกับกุรอ่านตรงไหน ขัดกับหลักศรัทธาของอิสลามอย่างไร แล้ว login แมทท์เอาความรู้จากไหนไปบอกว่า กุรอ่านของ สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับนั้นแปลผิด เข้าใจผิด นอกจากไปเอาความรู้มาจากผู้ที่ใช้ฮะดีษเช่นเดียวกัน และอาจจะถูกทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับความเข้าใจจาก กุรอ่าน และฮะดีษด้วย สรุปแล้วจะเอามาบอกอะไรไม่ทราบครับ? หรือเอามาให้มันยาวๆ จะได้ดูเหมือนตอบผมได้ จะได้เบี่ยงประเด็นคำพูดพล่อยๆ ของ login แมทท์ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 16:55:54

ความคิดเห็นที่ 40 ที่สำคัญ ไม่มีมุสลิมคนไหน ที่ยกท่านนบีเทียบเคียงอัลลอฮฺ หรือพยายามทำให้ท่านเป็นผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์ หรือกราบไหว้ท่านนบีแทนอัลลอฮฺแต่อย่างใด ผมก็ไม่รู้ว่า คุณหลงอยู่กับอะไรนะครับ login แมทท์ บทความเน่าๆ จากเว็บกระจอกๆ หรือความคิดสกปรกของคุณเอง? ที่พยายามยัดเยียดว่ามุสลิมทั้งหลาย พยายาม ยกนบีเทียบเคียงอัลลอฮฺ การทำตามฮะดีษนั้น ไม่ใช่การยกย่องนบีเทียบกับอัลลอฮฺ แต่เป็นการทำตามที่อัลลอฮฺสั่งนะครับ เพราะพระองค์ทรงลงโองการมาว่า "ผู้ใดเชื่อฟังรอซูล แน่นอนเขาได้เชื่อฟังอัลลอฮ์" ซูเราะห์อันนิซาอ์ อายะห์ที่ 80 แท้จริง ในรอซูลุลลอฮฺนั้นมีแบบอย่างที่ดีงามสำหรับผู้ที่หวังจะพบอัลลออฺและวันปรโลกและรำลึกถึงอัลลอฮฺอย่างมาก (กุรอาน 33:21) แต่ ไม่เลย ฉันขอสาบานด้วยพระเจ้าของเจ้าว่าเขาเหล่านั้นจะยังไม่ศรัทธาจนกว่าพวกเขาจะ ให้เจ้า(มุฮัมมัด)ตัดสินในสิ่งที่ขัดแย้งกันระหว่างพวกเขา แล้วพวกเขาไม่พบความคับใจใดๆในจิตใจของพวกเขาจากสิ่งที่เจ้าได้ตัดสินไปและ พวกเขายอมจำนนด้วยดี (กุรอาน 4:65) ในหลายแห่งด้วยกันที่คัมภีร์กุรอานได้ให้คำชี้ขาด ในเรื่องนี้ คัมภีร์กุรอานกล่าวว่า ?จงเชื่อฟังอัลลอฮฺและจงเชื่อฟังรอซูล? (กุรอาน 4:59) และ ?อะไรก็ตามที่รอซูลนำมาให้เจ้า สูเจ้าก็จงรับไว้ และอะไรที่เขาห้าม ก็จงละเว้น? (กุรอาน 59:7) นี่คือ โองการ คร่าวๆ ที่อัลลอฮฺใช้ให้ตามนบีนะครับ อัลลอฮฺสั่งมาเช่นนี้ เราย่อมทำตาม ไม่มีการกระทำใดที่ยกย่องท่านนบี เทียบเท่าอัลลอฮฺนี่ครับ และโองการที่คุณยกมา ก็ไม่ได้ขัดกับการกระทำของมุสลิมแต่อย่างใด แล้วจะเอามาลงเพื่ออะไรครับ? ผมถึงบอกไงครับว่าไม่มีอะไรใหม่เลย สำหรับ login แมทท์ บทความแต่ละอย่างที่เอามาลง แทบจะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่อง ที่มุสลิมยกย่องท่านนบีเทียบเคียงอัลลอฮฺเลย ในความจริงแล้ว มุสลิมทำตามโองการเหล่านั้นอย่างเคร่งครัดด้วยซ้ำ ก็มีแต่ login แมทท์นั่นแหละครับที่พยายามปฏิเสธกุรอ่าน ด้วยกับกุรอ่านเอง ทั้งๆที่ รู้ว่า กุรอ่านจะไม่มีการขัดกันอย่างเด็ดขาด จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 17:10:12

ความคิดเห็นที่ 41 ส่วนเรื่อง การที่พยายามบอกว่า การผ่าดวงจันทร์ยังไม่เกิด หรือแม้กระทั่งกล้าที่จะบอกว่า "...เป็นการอุปมา ในอนาคตเมื่อวันสิ้นโลกใกล้เข้ามานั้น อะไรจะเกิดขึ้น..." นั้นน่ะ ยิ่งเป็นการแสดงความพยายามที่จะบิดเบือน กุรอ่านอย่างชัดแจ้ง เพราะอะไร มาอ่านกันว่าสภาพวันกิยามะนั้นกุรอ่านว่าไว้อย่างไร 18. และจงเตือนพวกเขาให้ทราบถึงวันที่ใกล้เข้ามา (วันกิยามะฮฺ) เมื่อหัวใจเข้ามาติดอยู่ที่ลำคอด้วยความอดกลั้น (*1*) ไม่มีมิตรที่สนิทสนมสำหรับบรรดาผู้อธรรม และไม่มีผู้ช่วยเหลือคนใดที่จะถูกเชื่อฟัง (*2*) (1)  เป็นการเปรียบเทียบเมื่อเกิดความกลัวจนสุดขีด ว่าหัวใจขึ้นมาติดอยู่ที่ลูกกระเดือก (2)  คือมิตรที่สนิทก็ไม่สามารถจะให้ความช่วยเหลือได้ และผู้ช่วยเหลือคนใดก็ไม่อาจจะช่วยเหลือเขาให้พ้นจากการลงโทษอันหนักหน่วงได้ 75. ซูเราะฮฺ อัลกิยามะฮฺ (Al-Qiyamat) 8. และเมื่อดวงจันทร์ถูกบดบังอยู่ในความมืด 9. และเมื่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ถูกนำมารวมกัน 10. วันนั้นมนุษย์จะกล่าวขึ้นว่าไหนเล่าทางหนี ? (*1*) (1)  เมื่อวันกิยามะฮฺได้เกิดขึ้นสายตาก็จะมืดมัวและหลอนเพราะความกลัว ดวงจันทร์ก็จะมืดลงไม่มีแสง และเมื่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ถูกนำมารวมกันแสงของมันทั้งสองจะดับวูบลงและ นั่นหมายถึงการเปลี่ยนแปลงของจักรวาลซึ่งจะทำให้การมีชีวิตสิ้นสุดลง แล้วมนุษย์ผู้ปฏิเสธศรัทธาจะกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเราจะหนีไปทางไหนดี ยังมีอีกมากครับ ในวันนั้นจะโกลาหลวุ่นวายครับ แต่ในซูเราะห์นี้ 54:1. วันกิยามะฮฺ ได้ใกล้เข้ามาแล้ว และดวงจันทร์ได้แยกออก 54:2. และหากพวกเขาเห็นสัญญาณ (ปาฏิหาริย์) พวกเขาก็ผินหลังให้และกล่าวว่า นี่คือมายากลที่มีมาก่อนแล้ว(*1*) 54:3. และพวกเขาได้ปฏิเสธและปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขา และกิจการทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกำหนด (*1*) ไม่มีการตื่นตกใจ พวกเขาเห็นสัญญาณ แต่เขาก็ปฏิเสธ แถมยังหาว่าเป็นมายากลที่มีมาก่อนแล้วซะอีก เหมือนครับ เหมือนกับที่ พวกผู้ปฏิเสธได้กล่าวกับการแสดง การอัศจรรย์ของนบีท่านก่อนๆ เช่น 48. ครั้นเมื่อสัจธรรมจากเราได้มายังพวกเขา(*1*)พวกเขากล่าวว่า “ทำไมเขา (มุฮัมมัด) จึงมิได้รับเยี่ยงกับที่มูซาได้รับเล่า ?” ก็พวกเขามิได้ปฏิเสธสิ่งที่ถูกประทานให้แก่มูซามาก่อนดอกหรือ ? (*2*)พวกเขากล่าวว่า “ทั้งสองคือเวทมนตร์ที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน” (*3*)และว่า “เราเป็นผู้ปฏิเสธทั้งสิ้น” (*4*) (1)  คือมุฮัมมัดพร้อมด้วยอัลกุรอานที่เป็นปาฏิหาริย์จากเรา (2)  คืออัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ตรัสตอบพวกเขาว่า ก็มนุษย์ได้ปฏิเสธในสิ่งที่ถูกประทานให้มูซาในโองการที่ชัดแจ้งดอกหรือ ? (3)  บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธากล่าวว่า ทั้งคัมภีร์อัตเตารอฮ์และคัมภีร์อัลกุรอานเป็นเวทมนตร์ทั้งคู่ ที่ให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน (4)  คือเราเป็นผู้ปฏิเสธไม่เชื่อถือคัมภีร์ทั้งสอง สรุปว่า แมทท์ อ่านกุรอ่าน ดีแล้วหรือยังครับ ถึงบอกว่า การแยกดวงจันทร์ เป็นสิ่งที่เกิดตอนกิยามะฮฺ? อ่านดูดีดีสิครับ อ่านให้หมดให้ถึง อายะห์ที่ 3 ก่อน เห็นชัดๆนะครับว่านี่เป็นเหตุการณ์ การผ่าดวงจันทร์ และพวกผู้ปฏิเสธได้ปฏิเสธ และหาว่าเป็นมายากล เหมือนที่เคยกล่าวแบบนี้กับบรรดานบีท่านก่อนๆ ซึ่งคนละเรื่องกับ เหตุการณ์ในวันกิยามะห์ที่ผู้คน จะเกิดโกลาหล ไม่ใช่กล่าวว่าเป็นมายากลแบบนี้ และถ้าบอกว่า สมัยท่านรอซูลไม่ใกล้กิยามะห์ก็อ่านนี่ครับ ว่า นี่เป็นการบอกว่า กิยามะห์ใกล้เข้ามา เหมือนที่เคยเตือนมาแล้วในอายะห์อื่นซึ่ง กุรอ่านก็บอกว่าใกล้เข้ามาแล้วเหมือนกัน 40:18. และจงเตือนพวกเขาให้ทราบถึงวันที่ใกล้เข้ามา (วันกิยามะฮฺ) เมื่อหัวใจเข้ามาติดอยู่ที่ลำคอด้วยความอดกลั้น (*1*) ไม่มีมิตรที่สนิทสนมสำหรับบรรดาผู้อธรรม และไม่มีผู้ช่วยเหลือคนใดที่จะถูกเชื่อฟัง (*2*) กิยามะฮ์ได้ใกล้เข้ามาแล้ว ใช้คำนี้เช่นเดียวกัน หรือจะอ่านจากภาษาอังกฤษ 040.018 YUSUFALI: Warn them of the Day that is (ever) drawing near, when the hearts will (come) right up to the throats to choke (them); No intimate friend nor intercessor will the wrong-doers have, who could be listened to. PICKTHAL: Warn them (O Muhammad) of the Day of the approaching (doom), when the hearts will be choking the throats, (when) there will be no friend for the wrong-doers, nor any intercessor who will be heard. SHAKIR: And warn them of the day that draws near, when hearts shall rise up to the throats, grieving inwardly; the unjust shall not have any compassionate friend nor any intercessor who should be obeyed. ซึ่งเป็นการกล่าวถึงว่ากิยามะฮฺใกล้เข้ามาแล้วตั้งแต่สมัยท่านนบีนั่นแหละครับไม่ใช่ว่า ห่างกัน 1,400 แล้วจะใช้คำว่า "ใกล้เข้ามา"ไม่ได้ ผมจึงไม่ทราบว่ามันเกี่ยวอะไรกับการที่ว่า การผ่าดวงจันทร์ต้องเกิดเมื่อใกล้กิยามะฮฺชนิดวันนี้พรุ่งนี้ ตามที่ login แมทท์ พยายามอ้างอย่างไม่สมเหตุสมผล ที่สำคัญ แมทท์พยายามโบ้ยว่านี่เป็นโองการ มุตะชาบิฮาต แมทท์ไปเอาหลักการ ตัดสินนี้มาจากไหนล่ะครับ มีเหตุผลอะไร ทำไมต้องตีความ แล้วตีความจากไหน ดังนั้นมันจึงมีเหตุผลเดียวครับว่า ทำไม login แมทท์ถึงพยายามบิดเบือนว่า การผ่าดวงจันทร์ ถึงไม่ได้เกิดในสมัยนบี (ทั้งๆที่โองการถัดมาก็บอกถึงการกระทำของผู้ปฏิเสธเมื่อเห็นการอัศจรรย์ครั้งนี้โดยพวกเขากล่าวว่านี่เป็นมายกล) แล้วยังพยายามบอกว่านี่เป็นโองการ มุตะชาบิฮาต อีก นั่นก็เพราะ login แมทท์ดันปากพล่อย บอกไปแล้วว่า กุรอ่านคือ การอัศจรรย์เดียวที่เกิดกับท่านนบี ซึ่งไม่ใช่เลย และกุรอ่านที่ login แมทท์เอามาลงเพื่อยืนยันว่า "...พระองค์จะไม่ให้ปาฏิหารย์ หรือ ความอัศจรรย์  ใดๆแก่ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด..." นั้นลองอ่านดู นะครับว่าใช่แบบที่แมทท์ว่าหรือเปล่า 17:59. ไม่มีสิ่งใดยับยั้งเราโดยที่เราจะส่งสัญญาณต่าง ๆ เว้นแต่ว่าพวกสมัยก่อน ๆ ได้ปฏิเสธมัน(*1*) และเราได้ให้อูฐตัวเมียเป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่พวกษะมูด(*2*) แต่พวกเขาได้ทารุณมัน และเรามิได้ส่งสัญญาณต่างๆ เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเป็นการเตือนสำทับเท่านั้น อ่านยังไงครับ ถึงบอกว่า อัลลอฮฺจะไม่ให้การอัศจรรย์ใดกับท่านรอซูล? พระองค์บอกหรือครับว่า จะไม่ส่งการอัศจรรย์ใดๆ มาอีก? เหตุการณ์ของการประทานโองการนี้เกิดจากอะไรรู้เปล่า? 28:48. ครั้นเมื่อสัจธรรมจากเราได้มายังพวกเขา(*1*)พวกเขากล่าวว่า “ทำไมเขา (มุฮัมมัด) จึงมิได้รับเยี่ยงกับที่มูซาได้รับเล่า ?” ก็พวกเขามิได้ปฏิเสธสิ่งที่ถูกประทานให้แก่มูซามาก่อนดอกหรือ ? (*2*)พวกเขากล่าวว่า “ทั้งสองคือเวทมนตร์ที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน” (*3*)และว่า “เราเป็นผู้ปฏิเสธทั้งสิ้น” (*4*) นี่ก็ไม่ได้มีตรงไหนบอกว่าจะไม่ให้การอัศจรรย์ใดกับท่านรอซูล เหมือนที่ login แมทท์ บิดเบือนแต่อย่างใด แล้วจะรับผิดชอบคำพูดพล่อยๆ ของ ตัวเองอย่างไรครับ login แมทท์ ผ่าดวงจันทร์นั้น โองการไหนบอกเหรอครับว่า จะเกิดเมื่อใกล้กิยามะฮฺเท่านั้น ทั้งๆที่กุรอ่านบอกไว้ว่า กิยามะฮฺใกล้เข้ามาแล้ว ไม่ใช่ ดวงจันทร์จะถูกแยกออกเมื่อถึงวันกิยามะฮฺ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 18:52:41

ความคิดเห็นที่ 42 ดังนั้น เรื่องภาพวาด ที่เกิดขึ้นนั้นน่ะ เอามาลงเพื่ออะไรครับ? เพราะไม่มีกุรอ่านหรือฮะดีษใด บอกให้วาดรูปแบบนั้นขึ้น หรือถ้าจะบอกว่า เรื่องการอิสรอ เมียะรอจ นั้นเป็นนิทาน ก็เท่ากับปฏิเสธกุรอ่านครับ อ่านเอง 53:12. แล้วพวกเจ้าจะโต้เถียงกับเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้เห็นอีกหรือ (*1*) (1)  คือพวกเจ้ามุชรีกีน จะเอาชนะและโต้เถียงกับมุฮัมมัด ในสิ่งที่เขาได้เห็น กับตาของเขาในคืนอัลอิสรออ.และอัลเมียะรอจกระนั้นหรือ? 53:13. และโดยแน่นอน เขาได้เห็นญิบรีลในการลงมาอีกครั้งหนึ่ง (*1*) (1)  มุฮัมมัดได้เห็นญิบรีลอีกครั้งหนึ่งในรูปแบบของมะลาอิกะฮ. ณ ที่ต้นพุทราอันไกลสุดโพ้นชั้นฟ้าชั้น7 ใกล้กับบัลลังก์ ณ ที่นั้นคือสวนสวรรค์อันเป็นที่พำนักของบรรดามะลาอิกะฮ. วิญญาณของพวกชะฮีดและบรรดาผู้ยำเกรงอัลมุตตะกีน 53:14. ณ ที่ต้นพุทธาอันไกลโพ้น 53:15. ณ ที่นั้น คือสวนสวรรค์อันเป็นที่พำนัก 53:16. (ขณะนั้น) สิ่งที่ปกคลุม (แสงประกาย) ได้ปกคลุมต้นพุทรา (*1*) (1)  คือมุฮัมมัดได้เห็นขณะที่มีสิ่งปกคลุมอันน่าประหลาดปกคลุมต้นพุทรา อัลหะซันกล่าวว่ารัศมีของพระองค์แห่งสากลโลกได้ปกคลุมต้นพุทรา แล้วมีแสงประกายออกมา 53:17. สายตา (ของมุฮัมมัด) มิได้เหลือบแลไปทางอื่น และมิได้ล่วงเกินไป 53:18. โดยแน่นอนเขาได้เห็นสัญญาณอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าของเขา (*1*) (1)  สายตาของมุฮัมมัดมิได้เบี่ยงเบนในขณะนั้น และ ณ สถานที่นั้นมองซ้ายมองขวา และมิได้มองเลยไปจากขอบเขตที่เขาได้มอง แท้จริงมุฮัมมัดได้มองเห็นสิ่งประหลาด ๆ ในคืนอัลเมียะอ.รอจ ในอาณาจักรของอัลลอฮ. ได้เห็นต้นพุทราได้เห็นบัลลังก์ (อัลบัยตุลมะอ.มูร) ได้เห็นสวรรค์และนรกได้เห็นญิบรีลในรูปแบบของเขาอยู่บนชั้นฟ้าอย่างสมบูรณ์ แบบและได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์อื่น ๆ อีกมากมาย 17. ซูเราะฮฺ อัลอิสรออฺ (Al-Israa) 1. มหาบริสุทธิ์ผู้ทรงนำบ่าวของพระองค์เดินทางในเวลากลางคืน จากมัสยิดอัลหะรอมไปยังมัสยิดอัลอักซอ(*1*) ซึ่งบริเวณรอบมันเราได้ให้ความจำเริญ เพื่อเราจะให้เขาเห็นบางอย่างจากสัญญาณต่างๆของเรา แท้จริง พระองค์คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น (1)  ท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮ อะลัยฮิวะซัลลัม เดินทางจากมัสญิดอัลหะรอมในนครมักกะฮ ถึงมัสญิดอัลอักซอในนครเยรูซาเล็ม เพียงช่วงหนึ่งของกลางคืน ทั้งๆที่ระยะเวลาเดินทางโดยกองคาราวานจะใช้เวลาถึง 40 วัน การเดินทางในเวลากลางคืน(อัลอิสรออ)ของท่านนะบี ศ็อลลัลอฮอะลัยฮิวะซัลลัมได้เกิดขึ้นทั้งวิญญาณและเรือนร่างของท่าน ขณะที่ท่านตื่นนอนมีสติสัมปชัญญะ มิใช่เป็นความฝันตามความคิดเห็นของคนบางคน พวกปฏิเสธซุนนะฮที่ไม่ยอมเชื่อหะดีษเกี่ยวกับเหตุการณ์อิสรออและเมียะรอจญ์ มีสภาพเช่นเดียวกับพวกปฏิเสธศรัทธา(กุฟฟาร) ที่กล่าวหาท่านนะบีว่าพูดเท็จ ทั้งๆที่ท่านร่อซูลได้ยืนยันให้พวกเขาทราบว่า อัลลอฮทรงให้ท่านเดินทางไปในเวลากลางคืนจากมัสยิดอัลหะรอมไปยังมัสยิดอัลอัก ซอ จากนั้นทรงท่านขึ้นสู่เบื้องบนคือเมียะรอจญ์ กุรอ่านบอกชัดเจนนะครับว่าท่านนบีเห็นญิบรออีล ที่ไหน ถ้าคุณจะบอกว่า อัลลอฮฺไม่ให้การอัศจรรย์ใด และการสอนละหมาดโดยญิบรออีลนั้น ไม่จริงเพราะเหตุผลว่า กุรอ่านเป็นการอัศจรรย์เดียวที่เกิดขึ้นกับท่านนบีละก็ แล้วการอิสรอล่ะครับ การที่ท่านนบีเห็นท่านญิบรออีลล่ะครับ ซึ่งเหล่านี้ยืนยันโดยกุรอ่าน login แมทท์จะปฏิเสธเหรอครับ? ผมบอกแล้วครับ รูปวาดนั้น ศาสนาไม่ได้ให้วาด และภาพวาดนั้นจะเอามาทำไมล่ะครับเพราะไม่ได้ยืนยันอะไรเลยว่าการอัศจรรย์เหล่านั้นจริงหรือไม่จริง แต่กุรอ่านต่างหากล่ะครับที่ยืนยัน แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 52 22:46:56 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 19:06:54

ความคิดเห็นที่ 43 จะปฏิเสธกุรอ่านเหมือนเคยเหรอครับ? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 19:07:46

ความคิดเห็นที่ 44 ผมไม่ได้ขีดเส้นใต้เล่นๆ นะครับ แต่ผมเดาว่าแมทท์จะบอกว่า เป็นเรื่องในวันกิยามะฮฺ ผมถึงขีดเส้นใต้ให้อ่านไงล่ะครับว่า การกระทำของผู้ที่พบเจอเหตุการณ์นั้น มันไม่ใช่ลักษณะของคนที่พบกับวันกิยามะฮฺ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 19:08:49

ความคิดเห็นที่ 45 ซึ่งท่านนบีนั้นไม่ใช่จะไม่เคยโดนกล่าวหาแบบนี้มาก่อน ดังนี้ 1. อะลิฟ ลาม รอ เหล่านี้คือบรรดาโองการ แห่งคัมภีร์ที่ชัดแจ้ง(*1*) (1)  คืออัลกุรอานนุลกะรีม 2. เป็นการประหลาดแก่มนุษย์หรือ ที่เราได้ให้วะฮีย์แก่ชายคนหนึ่งจากพวกเขา ให้เตือนสำทับมนุษย์ และแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาว่าแท้จริงสำหรับพวกเขานั้น จะได้รับตำแหน่งอันสูง ณ ที่พระเจ้าของพวกเขา(*1*) บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธากล่าวว่า “แท้จริงนี่คือนักมายากลอย่างแน่นอน”(*2*) 29. ยิ่งกว่านั้น ข้าได้ให้พวกเขาเหล่านั้น และบรรพบุรุษของพวกเขาหลงระเริงอยู่จนกระทั่งได้มีสัจธรรม (อัลกุรอาน) และร่อซูล ผู้ประกาศสาส์นอย่างชัดแจ้งมายังพวกเขา 30. ครั้งเมื่อได้มีสัจธรรมมายังพวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า นี้คือมายากล และแท้จริง พวกเราเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อสัจธรรมนั้น (*1*) รับผิดชอบคำพูดตัวเองด้วยนะครับ หรือว่าจะหนี? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 20:20:27

ความคิดเห็นที่ 46 ผมจะหนีไปไหนกันละ..ในการสนทนากันเรื่องวิชาการ ถ้ามัวแต่หนี หรือ เอาหัวมุดอยู่ในทราย ก้ไม่มีทางที่จะ เข้าใจความนึกคิดของผู้อื่น นอกจากได้ยินแต่ความคิดของเราเอง  ทำให้เรากลายเป็นคนโง่และมองความคิดเห็นที่ต่างจากเรา ผิดไปหมด จริงไหม? เนื่องจากผมนับถือ ศาสนา ISLAM ไม่ใช่ "Muhammadanism"  ผมถึงกล้า ถามในสิ่งที่ ผู้ที่นับถือ ลัทธิ "มูฮัมมัด" ไม่กล้าถาม  ตามที่คุณอ้างว่า ศาสนทูตมูฮัมมัดแห่งศาสนาอิสลาม, สามารถกระดิกนิ้ว แสดงปาฏิหารย์ แยกดวงจันทร์ออกเป็นสองส่วน หรือ ออกจากกันได้นั้น  เหตุการณ์ นั้น เกิดขึ้น  ก่อนหรือหลังจาก ที่ท่านได้รับ บัญญัติที่ 54:1-2-3 จากพระเจ้า? และเรื่องราวมันมีความเป็นมาอย่างไร? เอาสั้นๆครับที่เข้าใจง่ายๆ อย่าแปะมาทั้งดุ้น อ่านแล้วย่อคำอธิบายมาสั้นๆ จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 21:34:04

ความคิดเห็นที่ 47 ผมก็บอกไปตรงๆ เลยครับว่าผมก็ไม่ทราบ และไม่จำเป็นในการสนทนาที่จะต้องทราบเรื่องนี้ด้วย เพราะ นี่คือการผ่าดวงจันทร์สมัยท่านนบีชัดเจน และเป็นการผ่าดวงจันทร์ ที่ผู้ปฏิเสธเห็นว่าเป็นมายากล และก็พากันไม่เชื่อเหมือนเดิมอีก จึงไม่จำเป็นต้องถามครับว่า หลังหรือก่อน ส่วนเรื่องราวก็อ่านได้จากการตัฟซีรฺโดยผู้รู้ครับ และการผ่าดวงจันทร์ไม่ใช่ปาฎิหารย์เดียวที่เกิดนะครับ ยังมีการพบปะท่านญิบรออีลด้วย มีการ อิสรอด้วย เพราะงั้น ถ้ามันจำเป็นผมไปถามผู้รู้มาให้ก็ได้ครับ มีให้ถามเพียบ แต่จะให้ประเด็นมันเบี่ยงไปทำไมล่ะครับ ในเมื่อประเด็นหลักตอนนี้คือความมั่วกุรอ่านของคุณเอง ว่า แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 52 09:33:54 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 09:20:07

ความคิดเห็นที่ 48 เอ้ารับผิดชอบคำพูดตัวเองหน่อยว่า ปาฏิหารย์ที่เกิดกับท่านนบี มีแค่กุรอ่านเท่านั้นหรือ? และที่แน่ๆ การผ่าดวงจันทร์เป็นปาฏิหารย์หนึ่งครับ ที่เกิดกับท่านนบี หึหึ ถ้าจะบอกว่าไม่ใช่ ขอเหตุผลด้วย เพราะนั่นไม่ใช่สภาพในวันกิยามะห์ที่ดวงจันทร์แตกออกอย่างที่ login แมทท์มั่วแบบไร้หลักการแน่ๆ ครับ เพราะโองการถัดมาก็บอกอากัปกิริยาของผู้ปฏิเสธซึ่งไม่ใช่อากัปกิริยาของคนที่เจอกับวันกิยามะห์นะครับ แถมยังบอกว่าเป็นมายากลอีก และตัฟซีรโดยผู้รู้ภาษาอาหรับและเชี่ยวชาญประวัติศาสร์ ไม่ใช่ จอมมั่วอย่าง login แมทท์ ที่ไปเอาหลักการที่ไหนมาไม่รู้บอกว่านั้นเป็น สิ่งที่เกิด ช่วงกิยามะห์ หรือใกล้ๆ ทั้งๆที่กุรอ่านบอกว่า ใกล้เข้ามาแล้ว เหมือนกับโองการอื่นๆ ถ้าอยากให้ผม ลำดับเหตุการณ์ หรือบอกเหตุการณ์คร่าวๆ ล่ะก็ไม่ยากครับผมจะไปถามมาให้แต่ มันเกี่ยวอะไรกับประเด็นไม่ทราบ? แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 52 12:24:50 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 09:25:27

ความคิดเห็นที่ 49 เรื่องลำดับเหตุการณ์ นี่เกี่ยวกับประเด็นมากทีเดียวครับสำหรับ "ศาสนาอิสลาม"  ช่วยกรุณาลำดับเหตุการณ์ด้วย   เราจะได้คุยกันถูกประ เด็น รับรองว่าจะรอคอย จนได้ความรู้เรื่องนี้จากคุณเพิ่มขึ้น          เพราะเรื่องนี้เท่าที่ผมทราบ เป็นเรื่องที่มีรายละเอียดอยู่ใน อะฮาดีษ คือ เรื่องบอกเล่า ต่อๆกันมา ซึ่งในตอน ที่ ควงจันทร์ ถูกแยกออกนั้น คงไม่มีใครกล้าจดบันทึกเป็นแน่ทีเดียว เนื่องจาก "อัลฮาดีษ" บทนี้ จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 16:29:19

ความคิดเห็นที่ 50 เกี่ยวยังไงล่ะครับ ผมเบื่อที่ต้องเจอคุณเบี่ยงประเด็นเต็มที่ หาฮะดีษนู้นมา ก็ไปฮะดีษนั้น พอฮะดีษนั้นมา ก็ไปฮะดีษอื่น เหมือนที่คุณไม่เคยตอบเรื่องละหมาดได้ ก็หนีไปเรื่องหินดำ พอจนด้วยเหตุผล ก็ไปเรื่องฮิญาบ พอจนแต้มเรื่องฮิญาบก็มาเรื่อง ใหม่อีกแล้ว ผมบอกแล้วไงครับว่า กุรอ่านที่บอกเหตุการณ์ก็เพียงพอแล้วล่ะครับ เพราะกุรอ่านบอกลักษณะของผู้ปฏิเสธที่ เจอกับเหตุการณ์ผ่าดวงจันทร์แล้วรายละเอียด ก็มีในตัฟซีรแล้วล่ะครับ เพราะฉะนั้น ถ้าบอกว่าเกี่ยว ก็บอกมาเลยครับว่าเกี่ยวอย่างไร ผมจะได้ไปถามให้ แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 52 16:54:36 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 16:54:22

ความคิดเห็นที่ 51 ซึ่ง ประเด็นน่าขณะนี้ คือคุณกำลัง โชว์ความโง่ของตัวเองด้วยปากพล่อยๆของคุณเองนะครับว่า กุรอ่านคือ miracle เดียวที่เกิดกับท่านนบี ทั้งๆ ที่มีเรื่องอื่นๆ เกิดขึ้นมากมายครับ และการพบปะญิบรออีลนั้น ก็มีในกุรอ่านบอกไว้อยู่ รับผิดชอบคำพูดตัวคุณเองซะก่อนนะครับว่า กุรอ่านเป็น Miracle เดียวที่เกิดกับท่านนบีจริงหรือ ปากพล่อยๆ มือไพร่ๆ ของคุณน่ะ มันพิมพ์อะไรออกมาแล้วรับผิดชอบบ้างหรือเปล่า หึหึ ส่วน ฮะดีษที่คุณยกมาบ่อยๆ ว่าห้ามบันทึกฮะดีษนั้นน่ะ ผมอ่านแล้วอ่านอีก และผมก็เจอเรื่องนี้ตั้งนานแล้วล่ะครับแต่ยังไม่เอามาลง เพราะลงไปแล้วก็หนีอีกตามเคย จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 17:06:25

ความคิดเห็นที่ 52 เพราะงั้น กรุณาอย่าเบี่ยงประเด็นครับ เพราะไม่ใช่เฉพาะการผ่าดวงจันทร์เท่านั้น แต่มีการพบปะกับญิบรออีลบันทึกในกุรอ่านด้วย แล้วคำพูดพล่อยๆ ประเภท สิ่งที่เป็น Miracle ในศาสนาอิสลามมีอยู่เพียงอย่างเดียวที่เกิดกับท่านศาสนทูตมูฮัมมัด คือ "อัลกุรอาน" เนี่ย จะรับผิดชอบยังไงครับ กับความมั่วนิ่มครั้งนี้? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 17:17:25

ความคิดเห็นที่ 53 มันเป็นเรื่องที่น่าขบขัน ระคน สมเพช login แมทท์นะครับ ที่ตัวเองไม่ได้รู้เรื่องกุรอ่านเลย แต่กลับกล้าบอกว่า โองการที่ 54:1-2 นั้น ต้องตีความ แถมยังตีความโง่ๆ อุปมาถึงเหตุการณ์ว่าเมื่อใกล้ถึงวันกิยาะห์อะไรจะเกิดขึ้น ทั้ๆงที่ตัวเองไม่ได้มีความรู้อะไรเลย ถ้าจะบอกว่าใช้ปัญญา ก็ไม่ทราบว่าปัญญาแบบไหนนะครับ เพราะกุรอ่านบอกว่า กิยามะห์ใกล้เข้ามาแล้ว และดวงจันทร์ได้แยกออก ไม่ใช่บอกว่า เมื่อกิยามะฮฺมาถึง ดวงจันทร์จะแตกออก ตัวเองไม่ได้มีความรู้ภาษาอาหรับ แถมยังมั่วกุรอ่านอยู่บ่อยๆ แต่ดันบอกว่าคนที่รู้ภาษาอาหรับยัง เข้าใจผิด เหมือนเด็กโง่ๆ คนนึง เรียนซ้ำชั้น ป1 อยู่เรื่อยๆ บวกเลขยังไม่เป็น แต่บอกว่า โจทย์ที่นักฟิสิกส์ ทำนั้นน่ะผิด มันน่าขำไหมล่ะครับ เอ้าถ้าจะให้ผมหามาให้ว่าลำดับเหตุการณ์เป็นยังไงก็บอกมาหน่อยครับว่าเกี่ยวกันยังไง กับประเด็นนี้? อ่านซะให้หลายๆ รอบ อ้างว่าเข้าใจกุรอ่าน รู้จักใช้สติปัญญา ก็ใช้หัวคิดหน่อยว่าโองการนี้ 54:2. และหากพวกเขาเห็นสัญญาณ (ปาฏิหาริย์) พวกเขาก็ผินหลังให้และกล่าวว่า นี่คือมายากลที่มีมาก่อนแล้ว(*1*)   พวกที่กล่าว กล่าวกับใครครับว่า นี่เป็นมายากล? พูดลอยๆ เหรอ? พูดไปเรื่อยเปื่อยเหมือน login แมทท์หรือไง? [b]54:3. และพวกเขาได้ปฏิเสธและปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขา และกิจการทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกำหนด แล้วปฏิเสธกับใคร ทั้งผินหลังทั้งปฏิเสธ กับใครถ้าเขาเป็นผู้ปฏิเสธอยู่แล้ว เขาก็ปฏิเสธกับตัวเองอีกเหรอ? ก็ชัดๆ อยู่แล้วนะครับว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดในสมัยท่านนบี ตามที่มีการตัฟซีรฺ แล้วคนอย่าง login แมทท์ ไปเอาหลักการจากไหนมาบอกว่า นี่เป็นการอุปมาถึงสภาพในอนาคต? มีหลักการไหม มีแหล่งอ้างอิงไหม จากบทความใด หรือมั่วเอาเองเพื่อ เอาตัวรอด เพราะเผลอปากพล่อยไปแล้ว? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 17:34:13

ความคิดเห็นที่ 54 อ้าวว่าไปนั่น  ?? รออยู่นึกว่าจะได้ความรู้จากคุณ  กลับถูกด่าเสียอีก  ถ้างั้นให้ผมเล่าให้คุณฟังดีกว่า จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 19:47:14

ความคิดเห็นที่ 55 จะเล่าไม่เล่าไม่เกี่ยว อย่าเบี่ยงประเด็นครับ นี่แหละผมไม่อยากจะไปหามาเพราะ ชอบหาเรื่องนอกประเด็น สรุป จะรับผิดชอบคำพูดตัวเองไหมครับ? แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 52 20:35:48 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 20:34:00

ความคิดเห็นที่ 56 อย่างเดียว?????????????? หึหึ --------------------------------------------------------------------------------- 53:12. แล้วพวกเจ้าจะโต้เถียงกับเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้เห็นอีกหรือ (*1*) (1)  คือพวกเจ้ามุชรีกีน จะเอาชนะและโต้เถียงกับมุฮัมมัด ในสิ่งที่เขาได้เห็น กับตาของเขาในคืนอัลอิสรออ.และอัลเมียะรอจกระนั้นหรือ? 53:13. และโดยแน่นอน เขาได้เห็นญิบรีลในการลงมาอีกครั้งหนึ่ง (*1*) (1)  มุฮัมมัดได้เห็นญิบรีลอีกครั้งหนึ่งในรูปแบบของมะลาอิกะฮ. ณ ที่ต้นพุทราอันไกลสุดโพ้นชั้นฟ้าชั้น7 ใกล้กับบัลลังก์ ณ ที่นั้นคือสวนสวรรค์อันเป็นที่พำนักของบรรดามะลาอิกะฮ. วิญญาณของพวกชะฮีดและบรรดาผู้ยำเกรงอัลมุตตะกีน 53:14. ณ ที่ต้นพุทธาอันไกลโพ้น 53:15. ณ ที่นั้น คือสวนสวรรค์อันเป็นที่พำนัก 53:16. (ขณะนั้น) สิ่งที่ปกคลุม (แสงประกาย) ได้ปกคลุมต้นพุทรา (*1*) (1)  คือมุฮัมมัดได้เห็นขณะที่มีสิ่งปกคลุมอันน่าประหลาดปกคลุมต้นพุทรา อัลหะซันกล่าวว่ารัศมีของพระองค์แห่งสากลโลกได้ปกคลุมต้นพุทรา แล้วมีแสงประกายออกมา 53:17. สายตา (ของมุฮัมมัด) มิได้เหลือบแลไปทางอื่น และมิได้ล่วงเกินไป 53:18. โดยแน่นอนเขาได้เห็นสัญญาณอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าของเขา (*1*) (1)  สายตาของมุฮัมมัดมิได้เบี่ยงเบนในขณะนั้น และ ณ สถานที่นั้นมองซ้ายมองขวา และมิได้มองเลยไปจากขอบเขตที่เขาได้มอง แท้จริงมุฮัมมัดได้มองเห็นสิ่งประหลาด ๆ ในคืนอัลเมียะอ.รอจ ในอาณาจักรของอัลลอฮ. ได้เห็นต้นพุทราได้เห็นบัลลังก์ (อัลบัยตุลมะอ.มูร) ได้เห็นสวรรค์และนรกได้เห็นญิบรีลในรูปแบบของเขาอยู่บนชั้นฟ้าอย่างสมบูรณ์ แบบและได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์อื่น ๆ อีกมากมาย 17. ซูเราะฮฺ อัลอิสรออฺ (Al-Israa) 1. มหาบริสุทธิ์ผู้ทรงนำบ่าวของพระองค์เดินทางในเวลากลางคืน จากมัสยิดอัลหะรอมไปยังมัสยิดอัลอักซอ(*1*) ซึ่งบริเวณรอบมันเราได้ให้ความจำเริญ เพื่อเราจะให้เขาเห็นบางอย่างจากสัญญาณต่างๆของเรา แท้จริง พระองค์คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น (1)  ท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮ อะลัยฮิวะซัลลัม เดินทางจากมัสญิดอัลหะรอมในนครมักกะฮ ถึงมัสญิดอัลอักซอในนครเยรูซาเล็ม เพียงช่วงหนึ่งของกลางคืน ทั้งๆที่ระยะเวลาเดินทางโดยกองคาราวานจะใช้เวลาถึง 40 วัน การเดินทางในเวลากลางคืน(อัลอิสรออ)ของท่านนะบี ศ็อลลัลอฮอะลัยฮิวะซัลลัมได้เกิดขึ้นทั้งวิญญาณและเรือนร่างของท่าน ขณะที่ท่านตื่นนอนมีสติสัมปชัญญะ มิใช่เป็นความฝันตามความคิดเห็นของคนบางคน พวกปฏิเสธซุนนะฮที่ไม่ยอมเชื่อหะดีษเกี่ยวกับเหตุการณ์อิสรออและเมียะรอจญ์ มีสภาพเช่นเดียวกับพวกปฏิเสธศรัทธา(กุฟฟาร) ที่กล่าวหาท่านนะบีว่าพูดเท็จ ทั้งๆที่ท่านร่อซูลได้ยืนยันให้พวกเขาทราบว่า อัลลอฮทรงให้ท่านเดินทางไปในเวลากลางคืนจากมัสยิดอัลหะรอมไปยังมัสยิดอัลอัก ซอ จากนั้นทรงท่านขึ้นสู่เบื้องบนคือเมียะรอจญ์ กุรอ่านบอกชัดเจนนะครับว่าท่านนบีเห็นญิบรออีล ที่ไหน ถ้า คุณจะบอกว่า อัลลอฮฺไม่ให้การอัศจรรย์ใด และการสอนละหมาดโดยญิบรออีลนั้น ไม่จริงเพราะเหตุผลว่า กุรอ่านเป็นการอัศจรรย์เดียวที่เกิดขึ้นกับท่านนบีละก็ แล้วการอิสรอล่ะครับ การที่ท่านนบีเห็นท่านญิบรออีลล่ะครับ ซึ่งเหล่านี้ยืนยันโดยกุรอ่าน login แมทท์จะปฏิเสธเหรอครับ? แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 52 20:49:38 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 20:37:24

ความคิดเห็นที่ 57 ผมไม่ว่าเลยะครับ ถ้าคุณจะเล่าอะไรของคุณน่ะ แต่อย่าหนีประเด็นครับ คุณอ้างตัวว่ารู้กุรอ่าน ใช้สติปัญญาตีความ เข้าใจกุรอ่าน แล้วคำพูดพล่อยๆ ที่ออกมา จะว่ายังไง? นี่น่ะเหรอ จะมาอธิบายอิสลาม จะมาบอกว่า อะไรคืออิสลาม มันไม่น่าขำไปหน่อยรึ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 20:55:55