ความคิดเห็นที่ 1 คุณมีความสงสัย ว่า “ยิ่งเรื่อง "พระองค์ได้ทรงถามพวกเขาขณะยังอยู่ในสภาพเชื้อสุจิอยู่" ผมก็ไม่รู้ว่าแมทท์ไปเอาความรู้อะไรมากจากไหนนะครับถึงบอกว่าการแปลนี่ผิดหรือถูก นอกจากไปลอกบทความมาจากผู้ใช้ฮะดีษในการปฏิบัติศาสนา และก็ไม่ทราบด้วยว่า เรื่องนี้เอามาอ้างอิงอะไรได้” คำตอบอยู่ใน อายะ 3:7 ครับ “...และไม่มีใครรู้ในการตีความโองการนั้นได้นอกจากอัลลอฮ์ และบรรดาผู้ที่มั่นคงในความรู้เท่านั้น(*6*)” และคำอธิบายที่ว่า.. “..(6)  มีพื้นฐานแห่งความรู้อย่างมั่นคงเกี่ยวกับคุณลักษณะต่าง ๆ ของพระองค์ (ศิฟาต) และความมุ่งหมายในบทบัญญัติของพระองค์ ตลอดจนมีความรู้เกี่ยวกับหลักภาษาที่เป็นโองการของพระองค์อย่างกว้างขวาง ด้วย” ...................................   คำอธิบาย  “(6)” นี้คือวิธีการ ปกป้องการเข้าใจอัลกุรอานของผู้ที่เห็นแก่ตัวไม่ต้องการให้ผู้ใดได้รับความรู้จากการเข้าใจอัลกุรอานตามสติปัญญาของตนเอง, จะต้อง เข้าใจอยู่ในกรอบ ควาวมคิดความเข้าใจ ของ กลุ่มคนที่ยังไม่เข้าใจว่า “อินเทอเนท” คืออะไร?  กล้องถ่ายภาพคืออะไร?  และมนุษย์สามารถจะไป สกัดหินจากดวงจันทร์ ลงมายังโลกมนุษย์ได้ อย่างไร? ไม่เข้าใจความสมดุลย์ของแรงโน้มถ่วงในระบบสุริยจักวาล,  ไม่เข้าใจว่า พระเจ้าไม่ต้องการให้ศาสนาของท่าน ยุ่งยาก ต่อการเข้าใจและปฏิบัติ จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 52 07:30:10

ความคิดเห็นที่ 2 คำอธิบายที่ถูกต้องของอายะ 2:27 นี้คือ “Those who break Allah's Covenant after it is ratified, and who sunder what Allah Has ordered to be joined, and do mischief on earth: These cause loss (only) to themselves. (Yusufali 2:27)      ความหมายของอายะนี้อธิบายได้ว่า บรรดาผู้ที่ผิดคำสัญญาต่อพระเจ้าหลังจากได้ยืนยันคำสัญญาต่อพระองค์แล้ว(ทั้งทางจิตวิญญานก่อนมาจุติบนโลกนี้ และหลังจากที่เกิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้แล้ว), และผู้ที่ผิดสัญญาในสิ่งซึ่งพระเจ้าได้รับเขาเข้าร่วมในศาสนาของพระองค์ คือ อิสลาม โดยสัญญาว่า จะปฏิบัติภาระกิจทางศาสนาตามคำสั่งของพระองค์ อย่างครบครัน     แต่พอมาเกิดบนโลกมนุษย์แล้ว ได้ทำผิดสัญญาต่อพระองค์(ซูเราะฮฺ อัรเราะอฺดฺ อายะที่ 20,21,25) ,  การผิดสัญญาดังกล่าวทำให้เขาเหล่านั้นบังเกิดความหายนะให้แก่ตัวของเขาเอง สัญญาเหล่านั้นได้แก่ 1. คำสัญญาดังกล่าวเป็นที่ทราบกันว่า เป็นคำสัญญาเริ่มแรก(คำสัญญาอันเร้นลับ) ดวงวิญญาณของมนุษย์ทุกๆดวงก่อนที่จะมาเกิดในโลกนี้ ได้ทำสัญญา กับพระเจ้าว่าเมื่อ เขา เหล่านั้นมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ เพื่อกระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างครบถ้วน, และจะไม่ฝ่าฝืนหรือจะทรยศต่ออำนาจอันสูงสุดของพระองค์ 2. คำสัญญาข้อที่สองหรือข้อสัญญาที่เปิดเผย เป็นคำสัญญาที่ ผู้ศรัทธาเมื่อเข้ารับอิสลามเขาได้ทำสัญญาหรือปฏิญาณต่อพระองค์ว่า “เขาจะสวามิภักดิ์ ต่อพระเจ้าตามพระประสงค์ของพระเจ้าทุกประการ นั้นคือการทำอิบะดะห์ ตามคำสัญญาต่อพระเจ้า” ............................... จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 52 07:31:22

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าคุณยังเห็นว่า การอธิบาย 2:27 ว่า“พระเจ้าได้ทรงถามพวกเขาขณะยังอยู่ในสภาพเชื้อสุจิอยู่”   เป็นการถูกต้อง แสดงว่า คุณ ขาดพื้นฐานความรู้และความเข้าใจ  ภาษาอรับ และการแปลมาเป็นภาษาไทยให้ถูกต้อง ด้วยสติปัญญาของตนเอง  ซึ่งผมไม่ทราบว่า ผม อยากจะสนทนากับคุณต่อไปดีหรือไม่  เพราะที่คุณนำมาอ้างอิงและอธิบาย  มีอยู่เล่มเดียวคือ “อักุรอานภาษาไทย  ฉบับนี้ ซึ่ง  มัวมอมไปด้วย  คำอธิบาย ส่วนมากมาจาก  “อะฮาดีษ”              บางครั้ง แปลมาจากการตัฟซีร  ภาษาอังกฤษ  ซึ่งยังมีความบกพร่องในการ แปลความหมายจาก ภาษาอังกฤษมาเป็นภาษาไทย    ผมถึงไม่ใช้,  นอกจากจะ นำมาใช้กับคุณ  เพราะเป็นเอกสารเพียงเล่มเดียว ที่ คุณ เข้าใจและ ใช้เป็น แหล่งความรู้ของคุณ  ในการสนทนาคัดค้านความคิดเห็นของผม         ประเด็นที่ผมจำเป็นต้องชี้แจงให้มุสลิม ที่ยึดอยู่กับความศรัทธาใน Muhammadanism เข้าใจก็คือ “ในศาสนาอิสลาม พระเจ้า ไม่ได้ให้สิทธิต่อท่านศาสนทูตมูฮัมมัด แสดงปาฎิหารย์ อย่างหนึ่งอย่างใด นอกเหนือ ไปจาก “ความมหัศจรรย์ในตัวบทของอัลกุรอานเท่านั้น”, ซึ่งเป็นข่าวสารที่ พระองค์ทรงประทานผ่านท่านศาสนทูตมูฮัมมัด มาสู่มวลมนุษย์ ในโลกนี้ เพื่อเป็นแนวทาง ในการดำเนินชีวิต ตามแนวทางที่พระองค์ ทรงโปรดปราน, ไม่ใช่ในแนวทางของ ปีศาจร้าย (ไซตอน) ที่จนำมนุษย์ไปสู่ความหายนะ         ตัวท่านศาสนทูตไม่อาจจะแสดงปาฏิหารหรือมีอำนาจพิเศษใดๆทั้งสิ้น ท่าน ไม่ล่วงรู้อนาคต (46:9, 7:188) ท่าน ไม่อาจจะทำนายเหตุการณ์ใดๆได้, ท่านไม่อาจจะถ่ายบาปแทนผู้ใดได้ (53:38,2:254 และ 21:28),  สำหรับอายะ  53:12-53:18 เป็น การบรรยายที่พระเจ้า ต้องการที่จะให้ มนุษย์ เข้าใจถึงการรับโองการจากพระองค์ ว่า ในขณะนั้น ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด อยู่ในสภาวะทางร่างกาย และ สติสัมปชัญญะ ที่สมบูรณ์ สภาพและสิ่งแวดล้อมต่างๆที่ บรรยายในอายะเหล่านั้น  เพื่อแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าเท่านั้นที่ประทานความรู้ต่างไให้กับ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด  ซึ่งเป็นปาฏิหารย์ของพระเจ้าที่พระเจ้าได้ทำให้ปรากฏขึ้น เฉพาะต่อหน้าท่านศาสนทูตเท่านั้น ซึ่งเป็นบุคคลที่พระองค์ทรงเลือกให้เป็น ทูตผู้นำข่าวสาร ของพระองค์ มาประกาศต่อ มวลมนุษย์  ซึ่งเป็นปฏิหารย์ภายในอัลกุรอานที่ผมเคยกล่าวมาแล้ว จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 52 07:33:57

ความคิดเห็นที่ 4 เราจะเห็นว่า ในอายะ 53:19 ของซุเราะห์เดียวกันนี้  เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างในแนวทางที่พระเจ้าทรงประทานให้ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด  ซึ่งต่างกับ เทพเจ้า  อัล-ลัตและ อัล อุซซา  และ อัล-มานัต(53:20)  และแสดงให้เห็นว่า เทพเจ้าทั้ง 3 องค์ที่ ชาว มักกะห์ เคารพบูชาอยู่นั้น ไม่มี ความสัมพันธ์ต่ออำนาจที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ในการควบคุมจักวาล,สวรรค์และนรก แม้แต่น้อย  แสดงให้เห็นถึงความเขลาในการศรัทธาต่อสิ่งเหล่านั้น,          อายะ 53:12-53:18 จัดอยู่ในหมวด “ มุตะชาบิฮาต” ซึ่งการเข้าใจจะต้องใช้มโนภาพที่มีเหตุผล  เพื่อให้เห็นว่า ในขณะที่พระเจ้า ประทานโองการ อัลกุรอานนั้น ท่านศาสนทูตไม่ได้มี อารมณ์อ่อนไหว และวอกแวก ซึ่ง เป็นเหตุผลใน การรับรองควาวมแน่แท้ของข่าวสารที่รับจากพระเจ้า(บัญญัติต่างๆในอัลกุรอาน) แต่ไม่ใช่ปาฏิหารย์ของท่านศาสนทูตมูฮัมมัดในตัวของท่านเอง หมายเหตุ  คุณต้องไปศึกษาเรื่อง ประโยค “มุตะชาบิฮาต ” ให้เข้าใจก่อนๆที่จะ ย้อนถามผม อย่าเอาแต่ลอก ๆ แล้วนำมาโต้แย้งโดยไม่ใช้ ความคิดให้เข้าใจเสียก่อนด้วยตนเอง แก้ไขเมื่อ 15 ธ.ค. 52 07:41:41 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 52 07:40:51

ความคิดเห็นที่ 5 พระเจ้าทรงบัญญัติไว้อย่าง ชัดแจ้งว่า พระองค์จะไม่ให้ อำนาจในการแสดงปาฏิหารย์ หรือ ความอัศจรรย์  ใดๆแก่ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ทั้งนี้เพราะว่า ถ้าใช้ปาฏิหารย์ ในการ เผยแพร่ศาสนา จะไม่ได้รับความศรัทธาที่จริง จากผู้ใด แทนที่จะเป็นผลดีกับเป็นผลเสียต่อท่านศาสนทูตมูฮัมมัด  And We refrain from sending the signs, only because the men of former generations treated them as false: We sent the she-camel to the Thamud to open their eyes, but they treated her wrongfully: We only send the Signs by way of terror (and warning from evil).(17:59)   But (now), when the Truth has come to them from Ourselves, they say, "Why are not (Signs) sent to him, like those which were sent to Moses?" Do they not then reject (the Signs) which were formerly sent to Moses? They say: "Two kinds of sorcery, each assisting the other!" And they say: "For us, we reject all (such things)!" (28:48)         เมื่อเราทราบจากอัลกุรอาน เช่นนี้แล้ว, มันจะเป็นไปได้หรือไม่ว่า ท่านศาสนทูตสามารถที่จะ แสดงปาฏิหารย์  แบ่งดวงจันทร์ออกเป็นสอง ซีก ได้  และเป็นน่าสังเกตุ อีกอย่างหนึ่งว่า เรื่องเล่าที่ว่า  ท่านศาสนทูตแสดงปาฏิหารย์ แยกดวงจันทร์ ออกเป็นสองซีกนี้  เกิดก่อนที่จะ ท่านรอซูลได้รับ โองการ 54:1 “วันสิ้นโลกได้ใกล้เข้ามา, และ“วันสิ้นโลกได้ใกล้เข้ามา, และดวงจันทร์ได้แยกออกจากกัน”  ผมขอย้ำอีกครั้งว่า ในความคิดเห็นของผม ซึ่งไม่ได้ลอกความคิดเห็นจากใคร ตามที่คุณเข้าใจ,   อายะ 5:41 “วันสิ้นโลกได้ใกล้เข้ามา, และดวงจันทร์ได้แยกออกจากกัน” เป็นประโยคที่ บอกถึงเหตุการณ์  ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ในเมื่อถึงชั่วโมงที่วันสิ้นโลกใกล้เข้ามา “ดวงจันทร์ได้แยกออกจากกัน” เป็นสองซีก  ด้วยเหตุผลอย่างง่ายๆ  ต่อไปนี้   เราเชื่อใน ความมหัศจรรย์ของ อัลกุรอาน ในเรื่อง การกำเนิดตัวอ่อนของมนุษย์ในครรภ์มารดา ซึ่งอธิบายง่ายๆ ด้วยเหตุผล สมกับที่พระองค์เป็นผู้สร้างและ ให้ความรู้ในทางวิทยาการต่อมนุษย์ชาติซึ่งส่วนมากตรง กับ หลักชีววิทยาของตัวอ่อน ในปัจจุบัน  ถึงแม้จะไม่มีรายละเอียดเช่นในปัจจุบันก็ตาม จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 52 07:43:26

ความคิดเห็นที่ 6 หลักดาราศาสตร์และการโคจรของดวงดาวต่างๆ,  พระองค์ทรงสร้างระบบสุริยจักวาล และ ควบคุม ระบบให้ หมุนเวียนและมีแรง โน้มถ่วง ที่สมดุลย์กัน  และเมื่อใดก็ตามที่ ขาดความสมดุลย์ของแรงโน้มถ่วงของ ดวงดาวที่โคจรอยู่ในระบบแล้ว  จะเกิดปรากฏการณ์ ที่ ดวงดาวต่างๆจะ ชนกันพังพินาจและเป็นการสิ้น สุด ของระบบ สุริยจักรวาล  และนั้นคือวันสิ้นโลก  ชีวิตทุกๆชีวิตธรรมชาติสิ่งแวดล้อมจะดับสูญไปทั้งหมด  ซึ่พระเจ้า เท่านั้น ที่จะมีอำนาจในเรื่องนี้ เนื่องจาก การควบคุม ระบบสุริยะจักร์วาล อยู่ภายใต้พลานุภาพของพระองค์ แต่ผู้เดียว     ถ้าท่านศาสนทูตมีอำนาจในการแสดงปาฏิหารย์ กระดิกนิ้ว แยกดวงจันทร์ ออกจากกันได้ เป็นสองซีก ตามที่ อิมามบุคอรี แอบอ้างแล้ว (ซึ่งบางฮาดีษ เล่าไปมากกว่านี้  ว่า ดวงจันทร์แยกออกแตกกระจายแล้วกลับมาต่อเองอย่างเดิม) และถ้าเหตุการณ์นี้ เกิด ก่อนที่ อายะ 54:1 จะถูกส่งลง มาแล้ว    ยิ่งเป็นไปไม่ได้   เนื่องจากว่า  เมื่อดวงจันทร์ แตกแยกออก แม้แต่เพียง เสี้ยววินาฑีเดียว  ระบบการหมุนเวียนของดวงจันทร์จะสะดุดและจะพุ่งเข้าชนโลกมนุษย์โดยแรงดึงดูดของโลก หรือไม่ก็อาจจะกระทบกระเทือนทั้ง ระบบสุริยจักวาล ซึ่งถูกขัดจังหวะและอาจจะเกิดการเสียดุลย์ ในความโน้มถ่วงของ ดวงดาวต่างๆในระบบ,  ดวงดาวทั้งหลายจะ พุงเข้าชนกัน ชุลมุนวุ่นวาย   ระบบสุริยะจักวาลจะ ย่อยยับ พังพินาจไปในพริบตาเดียว ซึ่งเป็นวันสิ้นโลก, ด้วยอำนาจของท่านรอซูลมูฮัมมัด หรือศาสนทูตมูฮัมมัด กระนั้นหรือ?   เนื่องจากฮาดีษเล่าว่า    เมื่อท่านศาสนทูตแสดงปาฏิหารย์ แยกดวงจันทร์ ออกเป็นสองซีกแล้ว  อายะที่ 54:1 จึงถูกส่งลงมา  เพื่อยืนยันให้มุชริกมักกะห์ เชื่อว่าท่านศาสนทูตมูฮัมมัด เป็นศาสนทูตของพระเจ้าที่แท้จริง,   ด้วยเหตุนี้ผมจึงได้ถามคุณก่อน ว่า  การแยกดวงจันทร์นั้น เกิดขึ้นเมื่อไร? ก่อนหรือหลัง จากการได้รับ อายะ 54:1 ซึ่งคุณไม่ทราบและหาคำตอบไม่ได้,  เพราะเรื่องเล่านี้ เป็นเรื่อง ที่กรุ กันขึ้นมาเพื่อ สร้างปาฏิหารย์ให้กับท่านศาสนทูตมูฮัมมัด และการเชื่อเช่นนี้ เป็น “ชิริก” อย่างแน่นอน       เหตุผลเพียงเท่านี้ก็พอจะสรุปได้ว่า อายะที่  5:41 “วันสิ้นโลกได้ใกล้เข้ามา, และดวงจันทร์ได้แยกออกจากกัน” จึงเป็นบัญญัติของพระเจ้า ที่ให้มนุษย์ ได้เข้าใจถึง เหตุการณ์ในอนาคต  วันเ,เวลา, และชั่วโมง  ซึ่งจะมีสัญญาณ  ของวันสิ้นโลก โดยการ ที่ จะมีปรากฎการณ์ ของดวงจันทร์แตกแยกออกจากกัน เป็นสองซีก ซึ่งจะทำให้เสียดุลย์แห่งความโน้มถ่วงของดวงดาวต่างๆ ในระบบและในที่สุด ระบบสุริยจักวาลก็จะสลายไป   นี่เป็นเหตุผลอย่างธรรมดา โดยทั่วๆไป     ที่แน่นอนที่สุด คือ  ฮาดีษที่กล่าวถึง ศาสนทูตมูฮัมมัด แสดงปาฏิหารย์ แยกดวงจันทร์ออกเป็นสองซีกนี้  ไม่มีอะไรเกี่ยวของกับ  อัลกุรอาน  ซูเราะฮฺ อัลเกาะมัร ของ อัลลอฮ์เลย    เออผมอยากจะถามคุณว่า ทำไมบรรดาผู้รู้ ของ Muhammadanism จึงปากจัดและหยาบคายในเมื่อไม่อาจจะ อธิบายอัลกุรอานโดยการใช้เหตุผล  ถ้าต้องการเป็นมุสลิมที่ดีก็จงหันกลับมายึดและศรัทธาให้ถูกต้อง ตามหลักการของ “อิสลาม” แก้ไขเมื่อ 15 ธ.ค. 52 08:02:51 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 52 07:44:58

ความคิดเห็นที่ 7 รอมาเป็นอาทิตย์ แต่ไม่มีอะไรใหม่ๆ เลยเหรอครับ? สรุปว่า คุณมีหลักการอะไรนอกจากการเดา และใช้ความไม่รู้ของคุณเองมาอธิบายกุรอ่าน? เห้อ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 52 08:43:06

ความคิดเห็นที่ 8 ท่านผู้รู้ทั้งสองมาแล้ว !...ติดตามอ่านครับ จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 52 10:42:46

ความคิดเห็นที่ 9 คืออย่างแรกที่ผมสังเกตเห็นแล้วก็รำคาญมากๆ เลยคือ พยายามบอกว่า การแปลของสมาคมนักเรียนเก่าอาหรับ หรือการตัฟซีรอรรถาธิบายของสมาคมนั้นไม่น่าเชื่อถือ อ้างว่าไม่พิจารณาถึงความถูกต้องบ้างล่ะ ไม่พิจารณาสิทธิสูงสุดของพระเจ้าบ้างล่ะ ทั้งๆที่ตัวของแมทท์เองก็ไม่ได้มีสิทธิที่จะไปบอกใครได้ว่าผิดหรือถูก เพราะตัวเองยังไม่มีความรู้ที่จะแยกผิดถูกได้เลย กุรอ่านก็แปลมั่วๆ เติมเองบ้าง ตัดเองบ้าง ตั้งแต่บอกว่ากุรอ่านโดนบิดเบือนไปจนกระทั่งว่ากล่าวท่านนบีมุฮัมมัดเสียๆ หายๆ อย่างเช่นเรื่อง มุตะชาบิฮาต หรือ มุฮ์กะมาต นั้น เอาหลักการอะไรมาแบ่ง? ว่ากุรอ่านมีสองโองการแบบนี ถ้าไม่ใช่เป็นความรู้ของนักวิชาการที่ใช้ฮะดีษเป็นหลัก? หรือบรรดานักปราชญ์ ผู้รู้ศาสนา และผู้ที่ร่ำเรียนมาโดยตรงอย่าง สมาคมศิษย์เก่าอาหรับ ตัวอย่างก็คือ การบอกว่า โองการ 2:27 คือ โองการ มุตะชาบิฮาต ("เป็นที่น่าสงสัย") แล้วแมทท์เอาหลักการอะไรมาบอกว่า นี่คือโองการ มุตะชาบิฮาต แค่เริ่มต้นมาก็ไม่มีหลักการแล้ว แต่ดันบอกว่า คนที่รู้ภาษาอาหรับก็ไม่เข้าใจกุรอ่าน แล้วถ้าแบบนั้นการเข้าใจกุรอ่านคืออะไรต้องเข้าใจแบบแมทท์ๆ อย่างนี้เหรอครับ เชิญอ่าน จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 52 11:29:49

ความคิดเห็นที่ 10 ซึ่งการแปลกุรอ่านนั้น เป็นสิ่งที่ต้องเรียนครับ เพราะภาษาที่ใช้ในกุรอ่านเป็นภาษาอาหรับ ซึ่งปัจจุบันยังมีการใช้อยู่ สำนวน หรือคำเปรียบเทียบ หรือประโยคในรูปแบบต่างๆ นั้น ต้องเข้าใจภาษาอาหรับเสียก่อนถึงจะเข้าใจได้ ถ้าไม่เช่นนั้นอาจจะแปลไปคนละทิศละทาง คนละเรื่อง เพราะไม่รู้ว่า ในสังคม วัฒนธรรอาหรับ นั้นเขาใช้ภาษาสื่อสารกันอย่างไร ยกตัวอย่าง ถ้าเราห้ามคนคนนึงว่า อย่าทำการ "ขี่ช้างจับตั๊กแตน" นะ ถ้าคนไม่เข้าใจภาษาไทยแล้วล่ะก็ ไปแปลตรงตัวว่า ห้ามทำการ ขี่ช้างไปจับตั๊กแตนอย่างเดียว แต่สามารถทำการที่สิ้นเปลือง และได้ผลไม่คุ้มค่ารูปแบบอื่นๆ ได้ เพราะมีคำสั่งห้าม ขี่ช้างไปจับตั๊กแตนอย่างเดียว และไม่ใช่เพียงเท่านั้น ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมก็เป็นสิ่งสำคัญต่อการแปลด้วย เพื่อที่จะเข้าใจวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ วัฒนธรรมในสมัยที่บทความนั้นได้รับการจารึกขึ้น การแปลจะได้ตรงความหมาย มีเหตุการณ์ต่างๆ เปรียบเทียบ ทราบสาเหตุ และความเป็นมา เช่น ประโยคที่ว่า ประเทศไทยนี้ดี ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว นี่เป็นคำที่เกิดในสมัยสุโขทัย ที่วิถีชีวิตเขาเป็นแบบนั้นประโยคที่แสดงความสมบูรณ์จึงเกี่ยวกับปลา และน้ำ ไม่ใช่ทองคำหรือน้ำมัน หรือ ใครใคร่ค้าช้าง ค้า หรือใครใคร่ค้าม้า ค้า ก็ต้องรู้ว่าสมัยนั้นเขาทำกันได้ แต่สมัยนี้ใครมาจับช้างไปขายตามอำเภอใจก็โดนจับ ดังนั้น การจะแปลภาษาใดเป็นอีกภาษาหนึ่ง จึงต้องมีความเข้าใจตั้งแต่วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และหลักภาษาครับ นี่เป็นหลักการสากลที่ใครๆ ก็รู้ แต่แมทท์ดันบอกว่า คำตอบอยู่ใน อายะ 3:7 ครับ “...และไม่มีใครรู้ในการตีความโองการนั้นได้นอกจากอัลลอฮ์ และบรรดาผู้ที่มั่นคงในความรู้เท่านั้น(*6*)” และคำอธิบายที่ว่า.. “..(6)  มีพื้นฐานแห่งความรู้อย่างมั่นคงเกี่ยวกับคุณลักษณะต่าง ๆ ของพระองค์ (ศิฟาต) และความมุ่งหมายในบทบัญญัติของพระองค์ ตลอดจนมีความรู้เกี่ยวกับหลักภาษาที่เป็นโองการของพระองค์อย่างกว้างขวาง ด้วย” ...................................  คำอธิบาย  “(6)” นี้คือวิธีการ ปกป้องการเข้าใจอัลกุรอานของผู้ที่เห็นแก่ตัวไม่ต้องการให้ผู้ใดได้รับความรู้จากการเข้าใจอัลกุรอานตามสติปัญญาของตนเอง, จะต้อง เข้าใจอยู่ในกรอบ ควาวมคิดความเข้าใจ ของ กลุ่มคนที่ยังไม่เข้าใจว่า “อินเทอเนท” คืออะไร?  กล้องถ่ายภาพคืออะไร?  และมนุษย์สามารถจะไป สกัดหินจากดวงจันทร์ ลงมายังโลกมนุษย์ได้ อย่างไร? ไม่เข้าใจความสมดุลย์ของแรงโน้มถ่วงในระบบสุริยจักวาล,  ไม่เข้าใจว่า พระเจ้าไม่ต้องการให้ศาสนาของท่าน ยุ่งยาก ต่อการเข้าใจและปฏิบัติ แมทท์กำลังจะบอกว่า การเข้าใจกุรอ่าน ไม่ต้องเข้าใจหลักภาษาก็ได้งั้นหรือ? สามารถเดาเอาตามมีตามเกิดก็ได้งั้นหรือไง? เอาหลักการที่ไหนคิด? ถ้างั้นก็ไม่ต้องรู้แล้วมังครับภาษาอาหรับ ก็เปิดอ่านแล้วเดาเอาเองตามใจชอบไปเลยหมดเรื่อง ไม่ต้องรู้ความหมายเลยสักนิดก็ได้สิครับ ถ้าบอกว่า ความเข้าใจเกี่ยวกับภาษานั้น ไม่สำคัญ และเป็นตัวขัดความการเข้าใจกุรอ่านด้วยตนเอง ผมล่ะงงกับหลักการของแมทท์จริงๆ แมทท์กำลังจะบอกว่า กุรอ่านนั้นแปลยังไงก็ได้ขอให้ตามอารมณ์ฝ่ายต่ำของตัวเองเป็นพองั้นเหรอครับ? อันไหนไม่ถูกใจก็ตัดไปแล้วอ้างว่าเป็นคำอธิบายล้าหลัง ทั้งๆที่ ผู้แปลผู้อธิบายเข้าใจภาษาอาหรับอย่างดี ทราบที่มาที่ไป และวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ในสมัยการลงโองการเป็นอย่างดี งั้นหรือ? ถ้าแบบนั้น ผมสรุปได้ง่ายๆ เลยล่ะครับว่า การทำความเข้าใจกุรอ่านของแมทท์นั้น ไม่ได้มาจาก สติปัญญาครับ แต่มาจากความใคร่ของตัวเองล้วนๆ เพราะไม่มีหลักการอะไรเลย ไม่ถูกกับหลักการแปลภาษา (แม้แต่ในวงการวิชาการปัจจุบันก็ไม่ยอมรับการแปลเอาเองแบบแมทท์) อาศัยถูกใจตัวเองไว้ก่อน แล้วมาบิดเบือนเอาทีหลัง ทุกท่านครับ ถ้าการแปลภาษาไม่จำเป็นต้องรู้หลักภาษาของหนังสือที่ตัวเองกำลังจะแปลแล้วล่ะก็ ลองดูประโยคนี้ก็แล้วกันนะครับ It’s raining cats and dogs ถ้าแปลแบบแมทท์ๆ ก็คงแปลเลยครับว่า ฝนตก หมาๆ แมวๆ ฝนตกเป็นหมาเป็นแมว ซึ่งจริงๆ แล้วต้องเข้าใจหลักภาษาครับว่าสำนวนนี้แปลว่า ฝนตกหนักมากไม่ยอมหยุดนั่นเอง และในภาษาอาหรับ ในกุรอ่านเราจะรู้จักวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ หลักภาษา หรือจุดมุ่งหมายของโองการแต่ละโองการอย่างลึกซึ้งได้จากไหน ก็จากแบบอย่างของท่านนบีมุฮัมมัดที่บันทึกในฮะดีษนั่นแหละครับ แล้วการแยกแยะว่า ประโยคประเภท ฝนตก หมาๆ แมวๆ นั้นเป็นประโยคแบบที่สงสัย หรือประโยคตรงตัวได้จากไหน ก็จาก ฮะดีษ และนักวิชาการอีกนั่นแหละครับ เพราะพวกเขาเหล่านั้นเข้าใจภาษาอาหรับเป็นอย่างดี รู้สำนวน สุภาษิต ไวยากรณ์ รวมทั้งประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมอาหรับ ในยุคที่มีการประทานกุรอ่านด้วย ซึ่งก็เหมือนกับการเรียนภาษาไทย ถ้าภาษาไทยสืบทอดได้ทางบรรพบุรุษเอง ไม่ต้องร่ำต้องเรียนแล้ว จะมีวิชาภาษาไทยไว้ทำอะไร คำตอบก็คือ เพื่อให้เราได้เข้าใจภาษาได้อย่างถูกต้อง และคงหลักการใช้ที่ถูกต้องไว้ต่อไป จะได้ยากต่อการเสื่อมทราม หรือใช้ผิดความหมายไงล่ะครับ ดังนั้น ถ้าคิดจะศึกษาเอาเอง และไม่สนหลักภาษา วัฒนธรรม หรือจุดมุ่งหมายของโองการแล้วล่ะก็ นั่นไม่ใช่การใช้สติปัญญาในการทำความเจ้าใจครับ แต่นั่นคือการ มั่วนิ่ม ตามความใคร่ และอารมณ์ฝ่ายต่ำของตัวเอง ซึ่ง login แมทท์ กำลังพยายามทำอยู่ และยังจะให้คนอื่นทำผิดตามไปด้วย จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 52 11:57:41

ความคิดเห็นที่ 11 ดังนั้นแล้ว การจะมาทำเป็นสู่รู้ว่า โองการที่ 2:27 นั้นแปลว่าอะไร แล้วใครแปลผิดใครแปลถูกสำหรับ login แมทท์จึงเป็นเรื่องที่ไร้สาระมากๆ นั่นเพราะแมทท์ไม่ได้มีความรู้อะไรในเรื่องศาสนามากมาย แล้วที่บอกว่า คำสัญญานั้นเป็นสมัยเป็นวิญญาณ ไม่ใช่อสุจินั้นไปเอามาจากไหนถ้าไม่ใช่ไปเอามาจากคนอื่น? อีกตามเคย แล้วถ้าบอกว่าไม่ใช่ อสุจิ แล้วทำไมถึงไม่ใช่ ผิดตรงไหนผิดอย่างไร ไม่ต้องมาอ้างผมหรอกนะครับ เพราะผมเองไม่ได้มีความรู้ขนาดจะไปสู่รู้ตีความกุรอ่านเอง และสำหรับผมก็ไม่ใช่ประเด็นด้วยเพราะจะเป็นวิญญาณหรือจะเป็นอสุจิก็แล้วแต่ถ้าหลักฐานยืนยันว่าแบบใด ก็แบบนั้น เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่จะตรัสกับสิ่งใดก็ได้ ไม่ใช่เฉพาะกับอสุจิ แต่กับทั้งฟ้า และดิน ด้วย 11. แล้วพระองค์ทรงมุ่งสู่ฟากฟ้าขณะที่มันเป็นไอหมอก พระองค์จึงตรัสแก่ชั้นฟ้าและแผ่นดินว่า เจ้าทั้งสองจงมาจะโดยเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม มันทั้งสองกล่าวว่า ข้าพระองค์มาอย่างเต็มใจแล้ว (*1*) ถ้าพระองค์จะทรงตรัสถามกับสิ่งใดพระองค์ทำได้ครับ ผมสังเกตหลายทีแล้วล่ะครับว่า แมทท์ชอบเอาเรื่องนี้มาลง มันแสดงให้เห็นถึงความไม่รู้กุรอ่านของแมทท์ ที่พยายามแสดงตนว่ารู้โดยไปคัดลอกบทความชาวบ้านเขามาโดยไม่ดูให้ดีเสียก่อน ทั้งที่จริงๆ แล้วเรื่องนี้ถ้าพระองค์จะตรัสถามอสุจิก็ย่อมทำได้ครับ ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะกับฟากฟ้า และแผ่นดินพระองค์ก็ตรัสมาแล้ว และทั้งสองก็ตอบด้วยครับ และไม่ทราบว่าถ้าพระองค์จะทำเช่นนั้น แล้วผิดหลักการอย่างไรครับ ขัดกับกุรอ่านตรงไหน ขัดกับหลักศรัทธาของอิสลามอย่างไร แล้ว login แมทท์เอาความรู้จากไหนไปบอกว่า กุรอ่านของ สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับนั้นแปลผิด เข้าใจผิด นอกจากไปเอาความรู้มาจากผู้ที่ใช้ฮะดีษเช่นเดียวกัน และอาจจะถูกทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับความเข้าใจจาก กุรอ่าน และฮะดีษด้วย จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 52 12:16:38

ความคิดเห็นที่ 12 ความคิดเห็นที่ 8     ท่านผู้รู้ทั้งสองมาแล้ว !...ติดตามอ่านครับ จากคุณ : เต๋านีโอ   -------------------------------------------------------------------------------------- ข้อความจริง เรียน คุณเต๋านีโอ   - หนึ่งนั้นเป็นผู้รู้ - อีก หนึ่งนั้นเป็นผู้บิดเบือนครับ จากคุณ : คนแปลกหน้าในโลกดุนยา เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 52 12:35:50

ความคิดเห็นที่ 13 อินชาอัลลอฮฺ ค่ำๆ ค่อยว่ากัน เรื่องผ่าดวงจันทร์ น่าสนใจ .............. ตรงที่มันบ่งบอกได้อย่างดีว่า login แมทท์ไม่ได้อ่านกุรอ่านด้วยสติปัญญา แต่พยายามบิดเบือนด้วยความคิดฝ่ายต่ำ หรือถ้าว่างอาจจะมาเร็วกว่านั้น จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 52 14:11:18

ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อเราได้พิจารณาให้ดี ก็จะพบว่าการที่ login แมทท์พยายาม discredit กุรอ่านที่ผมนำมาอ้างอิงนั้น ก็เพื่อเอาตัวรอดจากการซักฟอกเท่านั้น เพราะกุรอ่าน ถ้าเป็นตัฟซีรแล้วล่ะก็ จะตัฟซีรในแนวนี้ครับ อาจจะมีต่างกันบ้างในบางเรื่อง นั่นก็ขึ้นอยู่กับหลักฐาน และการทำความเข้าใจบริบทแวดล้อมของกุรอาน นั่นเอง ไม่ใช่การโจมตีว่าผิด ด้วยคิดของตัวเอง ด้วยความไม่รู้ของตัวเอง ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างกับ เด็กที่ไม่ยอมเรียน เรียนตกแล้วตกอีก มาบอกว่า การทำโจทย์ของคนระดับปริญญาเอกนั้นผิด นั่นแหละครับ มันเป็นการกระทำที่ไร้สาระ และการแยกดวงจันทร์ไม่ใช่ ปฏิหารย์ หรือการอัศจรรย์ อย่างเดียว หรืออย่างที่สอง ที่อัลลอฮฺให้เกิดกับนบี การอิสรอที่ท่านนบีเดินทางไปยัง เยรูซาเล็ม หรือการที่ท่านนบี พบกับญิบรออีล นี่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่กุรอ่าน บอกแก่เราเอง ดังนี้ ------------------------------------------------------------------------------- 53:12. แล้วพวกเจ้าจะโต้เถียงกับเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้เห็นอีกหรือ (*1*) (1)  คือพวกเจ้ามุชรีกีน จะเอาชนะและโต้เถียงกับมุฮัมมัด ในสิ่งที่เขาได้เห็น กับตาของเขาในคืนอัลอิสรออ.และอัลเมียะรอจกระนั้นหรือ? 53:13. และโดยแน่นอน เขาได้เห็นญิบรีลในการลงมาอีกครั้งหนึ่ง (*1*) (1)  มุฮัมมัดได้เห็นญิบรีลอีกครั้งหนึ่งในรูปแบบของมะลาอิกะฮ. ณ ที่ต้นพุทราอันไกลสุดโพ้นชั้นฟ้าชั้น7 ใกล้กับบัลลังก์ ณ ที่นั้นคือสวนสวรรค์อันเป็นที่พำนักของบรรดามะลาอิกะฮ. วิญญาณของพวกชะฮีดและบรรดาผู้ยำเกรงอัลมุตตะกีน 53:14. ณ ที่ต้นพุทธาอันไกลโพ้น 53:15. ณ ที่นั้น คือสวนสวรรค์อันเป็นที่พำนัก 53:16. (ขณะนั้น) สิ่งที่ปกคลุม (แสงประกาย) ได้ปกคลุมต้นพุทรา (*1*) (1)  คือมุฮัมมัดได้เห็นขณะที่มีสิ่งปกคลุมอันน่าประหลาดปกคลุมต้นพุทรา อัลหะซันกล่าวว่ารัศมีของพระองค์แห่งสากลโลกได้ปกคลุมต้นพุทรา แล้วมีแสงประกายออกมา 53:17. สายตา (ของมุฮัมมัด) มิได้เหลือบแลไปทางอื่น และมิได้ล่วงเกินไป 53:18. โดยแน่นอนเขาได้เห็นสัญญาณอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าของเขา (*1*) (1)  สายตาของมุฮัมมัดมิได้เบี่ยงเบนในขณะนั้น และ ณ สถานที่นั้นมองซ้ายมองขวา และมิได้มองเลยไปจากขอบเขตที่เขาได้มอง แท้จริงมุฮัมมัดได้มองเห็นสิ่งประหลาด ๆ ในคืนอัลเมียะอ.รอจ ในอาณาจักรของอัลลอฮ. ได้เห็นต้นพุทราได้เห็นบัลลังก์ (อัลบัยตุลมะอ.มูร) ได้เห็นสวรรค์และนรกได้เห็นญิบรีลในรูปแบบของเขาอยู่บนชั้นฟ้าอย่างสมบูรณ์ แบบและได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์อื่น ๆ อีกมากมาย 17. ซูเราะฮฺ อัลอิสรออฺ (Al-Israa) 1. มหาบริสุทธิ์ผู้ทรงนำบ่าวของพระองค์เดินทางในเวลากลางคืน จากมัสยิดอัลหะรอมไปยังมัสยิดอัลอักซอ(*1*) ซึ่งบริเวณรอบมันเราได้ให้ความจำเริญ เพื่อเราจะให้เขาเห็นบางอย่างจากสัญญาณต่างๆของเรา แท้จริง พระองค์คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น (1)  ท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮ อะลัยฮิวะซัลลัม เดินทางจากมัสญิดอัลหะรอมในนครมักกะฮ ถึงมัสญิดอัลอักซอในนครเยรูซาเล็ม เพียงช่วงหนึ่งของกลางคืน ทั้งๆที่ระยะเวลาเดินทางโดยกองคาราวานจะใช้เวลาถึง 40 วัน การเดินทางในเวลากลางคืน(อัลอิสรออ)ของท่านนะบี ศ็อลลัลอฮอะลัยฮิวะซัลลัมได้เกิดขึ้นทั้งวิญญาณและเรือนร่างของท่าน ขณะที่ท่านตื่นนอนมีสติสัมปชัญญะ มิใช่เป็นความฝันตามความคิดเห็นของคนบางคน พวกปฏิเสธซุนนะฮที่ไม่ยอมเชื่อหะดีษเกี่ยวกับเหตุการณ์อิสรออและเมียะรอจญ์ มีสภาพเช่นเดียวกับพวกปฏิเสธศรัทธา(กุฟฟาร) ที่กล่าวหาท่านนะบีว่าพูดเท็จ ทั้งๆที่ท่านร่อซูลได้ยืนยันให้พวกเขาทราบว่า อัลลอฮทรงให้ท่านเดินทางไปในเวลากลางคืนจากมัสยิดอัลหะรอมไปยังมัสยิดอัลอัก ซอ จากนั้นทรงท่านขึ้นสู่เบื้องบนคือเมียะรอจญ์ กุรอ่านบอกชัดเจนนะครับว่าท่านนบีเห็นญิบรออีล ที่ไหน ------------------------------------------------------------------------------- ดังนั้นใครที่บอกว่า สิ่งที่เป็น Miracle ในศาสนาอิสลามมีอยู่เพียงอย่างเดียวที่เกิดกับท่านศาสนทูตมูฮัมมัด คือ "อัลกุรอาน" นั้น ก็ให้ทราบไว้เลยครับว่าคนคนนั้นโกหก และนั่นคือ login แมทท์นั่นเองครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 52 17:24:42

ความคิดเห็นที่ 15 ที่สำคัญ ไม่มีใครบอกนะครับว่า ท่านนบีสามารถทำนายสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง สามารถประทานสวรรค์หรือนรก ให้ใครได้ด้วยตัวท่านเอง แต่สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่อัลลอฮฺประทานให้ครับ นี่คือสิ่งในอนาคตที่อัลลอฮฺบอกให้นบีรู้ 30. ซูเราะฮฺ อัรฺรูม 1. อะลิฟ ลาม มีม 2. พวกโรมันถูกพิชิตแล้ว(*1*) (1)  คือกองทัพของพวกโรมันถูกพิชิตในดินแดนที่ใกล้เคียงกับพวกเขาโดยพวกเปอร์เชีย 3. ในดินแดนอันใกล้นี้ แต่หลังจากการปราชัยของพวกเขาแล้วพวกเขาจะได้รับชัยชนะ (*1*) (1)  คือหลังจากปราชัยต่อพวกเปอร์เชียแล้ว พวกโรมันก็จะได้รับชัยชนะ 4. ในเวลาไม่กี่ปีต่อมา(*1*) พระบัญชาเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ(*2*) ทั้งก่อนและหลัง (ชัยชนะ) และวันนั้นบรรดาผู้ศรัทธาจะดีใจ (*3*) (1)  คือในระยะเวลา 3-9 ปี นักตัฟซีรกล่าวว่า เมื่อพวกเปอร์เชียมีชัยชนะเหนือพวกโรมัน ข่าวนี้รู้ไปถึงท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และบรรดาสาวก ทำให้เกิดความเศร้าโศกเสียใจ ส่วนพวกมุชริกีน มีความดีใจเพราะพวกเปอร์เชียบูชาไฟและได้กล่าวเย้ยหยันพวกมุสลีมีนว่า พี่น้องของเรามีฝีมือเหนือพวกโรมันพี่น้องของท่าน และว่าเราจะแสดงฝีมือให้เหนือพวกท่านต่อไป อะบูบักรได้กล่าวตอบไปว่า อัลลอฮฺจะไม่ทรงทำให้พวกท่านมีความพอใจอีกต่อไป หลังจากนั้น อัลลอฮฺ ตะอาลา จึงได้ประทานอายะฮฺนี้ลงมา “แต่หลังจากการปราชัยของพวกเขาแล้ว พวกเขาจะได้รับชัยชนะในเวลาไม่กี่ปีต่อมา..”กองทัพของทั้งสองฝ่ายได้ประจัน หน้ากันในปีที่ 7 ของการทำสงคราม แล้วพวกโรมันก็จะมีชัยชนะเหนือพวกเปอร์เชีย พวกมุสลิมจึงดีใจต่อชัยชนะครั้งนี้ชัยชนะของพวกโรมันจึงเป็นหลักฐานยืนยัน การเป็นนะบีจริง และการที่อัลกุรอานถูกประทานมาจากอัลลอฮฺตะอาลา โดยบอกเล่าถึงสิ่งเร้นลับที่ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ นอกจากพระผู้ทรงรอบรู้ในเรื่องทั้งปวง และเหตุการณ์ก็ได้เกิดขึ้นตามที่ได้บอกเล่าไว้ (2)  และเป็นลิขิตของพระองค์ (3)  ในวันที่พวกโรมันมีชัยชนะเหนือพวกเปอร์เชียนั้น ตรงกับวันที่พวกมุสลิมีนมีชัยชนะเหนือพวกมุชริกีนในสงครามบัดรฺ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่อัลลอฮฺประทานให้ครับไม่ใช่สิ่งที่ท่านนบีทำด้วยอำนาจเอกสิทธิ์ของตัวมนุษย์เอง หรือการให้อภัยให้นั้น ท่านนบีมีสิทธิขอครับ 24:62. แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธา (ที่แท้จริง) นั้น(*1*) คือบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์และเมื่อพวกเขามารวมกันอยู่ กับเขา (มุฮัมมัด) ในกิจการที่สำคัญ(*2*) พวกเขาจะไม่ผละออกไป จนกว่าพวกเขาจะขออนุญาตจากเขา(มุฮัมมัด) เสียก่อน แท้จริงบรรดาผู้ที่ขออนุญาตต่อเจ้านั้น เขาเหล่านั้นคือบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์ ดังนั้น เมื่อพวกเขาขออนุญาตต่อเจ้าเพื่อกิจการบางอย่างของพวกเขาแล้ว ก็จงอนุญาตแก่ผู้ที่เจ้าพึงประสงค์ในหมู่พวกเขาเถิด(*3*) และจงขออภัยต่ออัลลอฮ์ให้แก่พวกเขา(*4*) แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงเป็นผู้อภัย ผู้เมตตาเสมอ 4:64. และเรามิได้ส่งร่อซูลคนใดมานอกจากเพื่อให้เขาได้รับการเชื่อฟัง(*1*)ด้วย อนุมัติของอัลลอฮฺเท่านั้น และแม้ว่าพวกเขานั้นขณะที่พวกเขาอธรรมแก่ตัวเอง (*2*)ได้มาหาเจ้า แล้วขออภัยโทษต่ออัลออฮ์และร่อซูลก็ได้ขออภัยโทษให้แก่พวกเขาด้วยแล้วแน่นอน พวกเขาก็ย่อมพบว่าอัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ ดังนั้น ท่านนบีเองมีสิทธิขอครับ และการอัศจรรย์ต่างๆ นั้นอัลลอฮฺก็ประทานให้ท่าน จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 52 17:42:04

ความคิดเห็นที่ 16 ส่วน โองการที่ 53:12-18 นั้น ผมก็ไม่ทราบนะครับว่าแมทท์เคยกล่าวถึงเมื่อไหร่กระทู้ไหน แล้วจะบอกทำไมว่า นี่เป็น ปฏิหารย์ของอัลลอฮฺ ที่อัลลอฮฺให้ปรากฎกับท่านนบี เพราะไม่ว่าจะปาฏิหารย์แบบไหนก็ของอัลลอฮฺทั้งนั้นแหละครับ จะผ่าดวงจันทร์ หรืออัลกุรอ่าน หรือทำคนตายให้ฟื้น แยกทะเลแดง สิ่งเหล่านี้ ก็ปาฏิหารย์ของอัลลอฮฺที่พระองค์ทรงให้กับบุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ ทั้งสิ้น มีเหรอครับ สิ่งที่พระองค์ไม่ได้ทรงอนุมัติแล้วมันจะ เกิดขึ้นมาได้? แล้วมันช่วยแก้ต่างอะไรให้กับ คำพูดนี้เหรอครับ สิ่งที่เป็น Miracle ในศาสนาอิสลามมีอยู่เพียงอย่างเดียวที่เกิดกับท่านศาสนทูตมูฮัมมัด คือ "อัลกุรอาน" เพราะ สิ่งที่เกิดในโองการที่ 53:12-18 นั้นน่ะ ก็คือปาฏิหารย์ หรือ Miracle หรือ การอัศจรรย์ ที่เกิดกับท่านนบีเช่นกันครับ ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน เมื่อไหร่ ยังไง ดังนั้น ใครที่บอกว่า สิ่งที่เป็น Miracle ในศาสนาอิสลามมีอยู่เพียงอย่างเดียวที่เกิดกับท่านศาสนทูตมูฮัมมัด คือ "อัลกุรอาน" ก็เป็นคำพูดที่ผิดจากกุรอ่านเต็มๆ ครับ และนี่ก็อีกเช่นกัน จะให้ผมไปศึกษา ประโยค "มุตะชาบิฮาต"เนี่ยตัวคุณเองน่ะมีความเข้าใจประโยคนี้แค่ไหน เพราะจากที่คุยมาเป็นหลายปี คุณก็ไม่ได้แสดงความรู้อะไรนี่ครับ นอกจากเดาเอาเอง เอาแค่โองการที่ 53:12-18 อยู่ๆ ก็จัดเป็นรูปแบบโองการ "มุตะชาบิฮาต" ซะยังงั้น ไม่ทราบว่ามีหลักการยังไงล่ะครับ นี่ผมถามตั้งแต่กระทู้ที่แล้วนะเนี่ย ว่ามีหลักการแยกยังไง เพราะที่เห็นอยู่ก็คือ login แมทท์ เจอโองการไหนผิดจากที่ตัวเองมั่วไป โองการไหนเปิดโปงความมั่วตัวเอง ก็พยายามยัดเยียดให้เป็น โองการประเภท "มุตะชาบิฮาต" ดื้อๆ ซะงั้น โดยไม่ได้มีความรู้ ทั้งภาษา ประวัติศาสตร์ ศาสนา วัฒนธรรม หรือไวยากรณ์อะไรเลย และที่แน่ๆ ไม่ว่าปาฏิหารย์ใด ก็มาจากอัลลอฮฺครับ กุรอ่านก็เช่นกัน อัลลอฮฺก็ประทานให้ท่านนบี แล้วจะบอกทำไมว่า ปาฏิหารย์ในโองการ ที่ 53:12-18 นั้น ไม่ใช่ปาฏิหารย์ในตัวเองท่านนบีเอง ใครๆ เขาก็รู้ทังนั้นล่ะครับ ผมว่า ก่อนที่คุณจะทำตัวเป็นผู้รู้บอกให้ใครไปศึกษาอะไรเนี่ย ผมว่าคุณพิจารณาตัวเองก่อนดีกว่า ว่าสับสนอะไรหรือเปล่า มึนงงอะไรไหม หรือพูดมาเพื่อให้ตัวเองดูดีเหมือนมีความรู้ (แต่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรจริงๆ จังๆ) เท่านั้นเอง เอ้าสรุปจะ รับผิดชอบคำพูดตัวเองยังไงครับ? ปล.ถ้าคิดว่าสิ่งที่ผมไปเอามาลงจากบทความของผู้รู้ทั้งหลายผิดล่ะก็บอกมาสิครับผิดตรงไหน จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 52 18:42:39

ความคิดเห็นที่ 17 และกุรอ่านที่ login แมทท์เอามาลงเพื่อยืนยันว่า "...พระองค์จะไม่ให้ปาฏิหารย์ หรือ ความอัศจรรย์  ใดๆแก่ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด..." นั้นลองอ่านดู นะครับว่าใช่แบบที่แมทท์ว่าหรือเปล่า 17:59. ไม่มีสิ่งใดยับยั้งเราโดยที่เราจะส่งสัญญาณต่าง ๆ เว้นแต่ว่าพวกสมัยก่อน ๆ ได้ปฏิเสธมัน(*1*) และเราได้ให้อูฐตัวเมียเป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่พวกษะมูด(*2*) แต่พวกเขาได้ทารุณมัน และเรามิได้ส่งสัญญาณต่างๆ เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเป็นการเตือนสำทับเท่านั้น อ่านยังไงครับ ถึงบอกว่า อัลลอฮฺจะไม่ให้การอัศจรรย์ใดกับท่านรอซูล? พระองค์บอกหรือครับว่า จะไม่ส่งการอัศจรรย์ใดๆ มาอีก? เหตุการณ์ของการประทานโองการนี้เกิดจากอะไรรู้เปล่า? 28:48. ครั้นเมื่อสัจธรรมจากเราได้มายังพวกเขา(*1*)พวกเขากล่าวว่า “ทำไมเขา (มุฮัมมัด) จึงมิได้รับเยี่ยงกับที่มูซาได้รับเล่า ?” ก็พวกเขามิได้ปฏิเสธสิ่งที่ถูกประทานให้แก่มูซามาก่อนดอกหรือ ? (*2*)พวกเขากล่าวว่า “ทั้งสองคือเวทมนตร์ที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน” (*3*)และว่า “เราเป็นผู้ปฏิเสธทั้งสิ้น” (*4*) นี่ก็ไม่ได้มีตรงไหนบอกว่าจะไม่ให้การอัศจรรย์ใดกับท่านรอซูล เหมือนที่ login แมทท์ บิดเบือนแต่อย่างใด สรุปแล้วเอาโองการที่ 17:59 และ 28:48 มาเพื่อจะบอกอะไรครับ? เพราะไม่ตรงไหนบอกเลยว่า อัลลอฮฺจะไม่ประทานการอัศจรรย์ใดๆ ให้กับท่านนบีอีกต่อไป หรือถ้าจะบอกว่า สมัยท่านรอซูลไม่ใกล้กิยามะห์ก็อ่านนี่ครับ ว่า นี่เป็นการบอกว่า กิยามะห์ใกล้เข้ามา เหมือนที่เคยเตือนมาแล้วในอายะห์อื่นซึ่ง กุรอ่านก็บอกว่าใกล้เข้ามาแล้วเหมือนกัน 40:18. และจงเตือนพวกเขาให้ทราบถึงวันที่ใกล้เข้ามา (วันกิยามะฮฺ) เมื่อหัวใจเข้ามาติดอยู่ที่ลำคอด้วยความอดกลั้น (*1*) ไม่มีมิตรที่สนิทสนมสำหรับบรรดาผู้อธรรม และไม่มีผู้ช่วยเหลือคนใดที่จะถูกเชื่อฟัง (*2*) กิยามะฮ์ได้ใกล้เข้ามาแล้ว ใช้คำนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นการกล่าวถึงว่ากิยามะฮฺใกล้เข้ามาแล้วตั้งแต่สมัยท่านนบีนั่นแหละครับไม่ใช่ว่า ห่างกัน 1,400 แล้วจะใช้คำว่า "ใกล้เข้ามา"ไม่ ได้ ผมจึงไม่ทราบว่ามันเกี่ยวอะไรกับการที่ว่า การผ่าดวงจันทร์ต้องเกิดเมื่อใกล้กิยามะฮฺชนิดวันนี้พรุ่งนี้ ตามที่ login แมทท์ พยายามอ้างอย่างไม่สมเหตุสมผล และจริงๆแล้ว โองการ ที่ 40:18 ก็ยังให้เตือนถึงวันที่ใกล้เข้า นั่นคือวันกิยามะฮฺด้วยซ้ำ ผมจึงแปลกใจว่าทำ login แมทท์ถึงพยายามบอกว่า ดวงจันทร์จะแยกออกเมื่อถึงวันกิยามะฮฺ ชนิดวันนี้พรุ่งนี้ เท่านั้น ทั้งๆที่ โองการด้านบนก็ใช้คำว่า วันที่ใกล้เข้ามา กับวันกิยามะฮฺทั้งๆ ที่ประทานมาเมื่อ 1,400 ปีมาแล้ว นอกจากเหตุผลเดียวครับ คือ login แมทท์พยายามบิดเบือนว่า การผ่าดวงจันทร์ ถึงไม่ได้เกิดในสมัยนบี (ทั้งๆที่โองการถัดมาก็บอกถึงการกระทำของผู้ปฏิเสธเมื่อเห็นการอัศจรรย์ ครั้งนี้โดยพวกเขากล่าวว่านี่เป็นมายกล) เนื่องจาก login แมทท์ดันหลุดปาก บอกไปแล้วว่า กุรอ่านคือ การอัศจรรย์เดียวที่เกิดกับท่านนบี ซึ่งไม่ใช่เลย จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 52 18:57:29

ความคิดเห็นที่ 18 อ่ะเรามาดูกันทำไมผมถึงบอกว่า เรื่องผ่าดวงจันทร์ น่าสนใจ .............. ตรงที่มันบ่งบอกได้อย่างดีว่า login แมทท์ไม่ได้อ่านกุรอ่านด้วยสติปัญญา แต่พยายามบิดเบือนด้วยความคิดฝ่ายต่ำ นั่นเพราะ แมทท์พยายาม โชว์พลังดังนี้ครับ ถ้าเหตุการณ์นี้ เกิด ก่อนที่ อายะ 54:1 จะถูกส่งลง มาแล้ว    ยิ่งเป็นไปไม่ได้   เนื่องจากว่า  เมื่อดวงจันทร์ แตกแยกออก แม้แต่เพียง เสี้ยววินาฑีเดียว  ระบบการหมุนเวียนของดวงจันทร์จะสะดุดและจะพุ่งเข้าชนโลกมนุษย์โดยแรงดึงดูด ของโลก หรือไม่ก็อาจจะกระทบกระเทือนทั้ง ระบบสุริยจักวาล ซึ่งถูกขัดจังหวะและอาจจะเกิดการเสียดุลย์ ในความโน้มถ่วงของ ดวงดาวต่างๆในระบบ,  ดวงดาวทั้งหลายจะ พุงเข้าชนกัน ชุลมุนวุ่นวาย   ระบบสุริยะจักวาลจะ ย่อยยับ พังพินาจไปในพริบตาเดียว ซึ่งเป็นวันสิ้นโลก, ด้วยอำนาจของท่านรอซูลมูฮัมมัด หรือศาสนทูตมูฮัมมัด กระนั้นหรือ? อ่านให้ดีนะครับที่ผมทำตัวหนา และขีดเส้นใต้ไว้ ในหัวแมทท์คงคิดว่า ดวงจันทร์แยกเมื่อไหร่ กิยามะฮฺเมื่อนั้น ดวงจันทร์จะพุ่งชนโลกมั่ง หรือ ระบบสุริยะจักรสาลจะย่อยยับ ไปในพริบตาเดียว ลองคิดดูให้ดีนะครับ ผู้คนในเวลานั้นถ้าเห็นดวงจันทร์แตกแล้วพุ่งมาชนโลก หรือสุริยจักรวาลจะพังพินาศร่อมร่อแล้วเนี่ย ผู้คนที่พบจะเป็นยังไงครับ แน่นอน ยิ่งกว่า หนังฮอลลีวู้ดอีก อย่าว่าแต่เวลาหนี เวลาทำใจคงยังแทบไม่มี ผู้คนจะแตกตื่นขนาดไหน ล่ะครับ ข่าวจะลงกันอึกทึกครึกโครมแค่ไหน นักวิทยาศาสตร์จะยืนยันไม่ได้เลยรึว่า แยกจริงไม่จริง กิยามะห์นั้น มีบรรยายในกุรอ่านนะครับว่าผู้คนเป็นเช่นใด 40:18. และจงเตือนพวกเขาให้ทราบถึงวันที่ใกล้เข้ามา (วันกิยามะฮฺ) เมื่อหัวใจเข้ามาติดอยู่ที่ลำคอด้วยความอดกลั้น (*1*) ไม่มีมิตรที่สนิทสนมสำหรับบรรดาผู้อธรรม และไม่มีผู้ช่วยเหลือคนใดที่จะถูกเชื่อฟัง (*2*) (1)  เป็นการเปรียบเทียบเมื่อเกิดความกลัวจนสุดขีด ว่าหัวใจขึ้นมาติดอยู่ที่ลูกกระเดือก (2)  คือมิตรที่สนิทก็ไม่สามารถจะให้ความช่วยเหลือได้ และผู้ช่วยเหลือคนใดก็ไม่อาจจะช่วยเหลือเขาให้พ้นจากการลงโทษอันหนักหน่วงได้ 75. ซูเราะฮฺ อัลกิยามะฮฺ (Al-Qiyamat) 8. และเมื่อดวงจันทร์ถูกบดบังอยู่ในความมืด 9. และเมื่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ถูกนำมารวมกัน 10. วันนั้นมนุษย์จะกล่าวขึ้นว่าไหนเล่าทางหนี ? (*1*) (1)  เมื่อวันกิยามะฮฺได้เกิดขึ้นสายตาก็จะมืดมัวและหลอนเพราะความกลัว ดวงจันทร์ก็จะมืดลงไม่มีแสง และเมื่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ถูกนำมารวมกันแสงของมันทั้งสองจะดับวูบลงและ นั่นหมายถึงการเปลี่ยนแปลงของจักรวาลซึ่งจะทำให้การมีชีวิตสิ้นสุดลง แล้วมนุษย์ผู้ปฏิเสธศรัทธาจะกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเราจะหนีไปทางไหนดี อ่านดูซะนะครับว่า สุดแสนจะโกลาหลวุ่นวายขนาดไหน แล้วมาดูกันว่า การแยกดวงจันทร์นั้น ผู้คนต่างๆ มีท่าทางเช่นใด? แก้ไขเมื่อ 15 ธ.ค. 52 20:11:00 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 52 20:10:09

ความคิดเห็นที่ 19 54:1. วันกิยามะฮฺ ได้ใกล้เข้ามาแล้ว และดวงจันทร์ได้แยกออก 54:2. และหากพวกเขาเห็นสัญญาณ (ปาฏิหาริย์) พวกเขาก็ผินหลังให้และกล่าวว่า นี่คือมายากลที่มีมาก่อนแล้ว(*1*) 54:3. และพวกเขาได้ปฏิเสธและปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขา และกิจการทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกำหนด (*1*) ไม่มีการตื่นตกใจ พวกเขาเห็นสัญญาณ แต่เขาก็ปฏิเสธ แถมยังหาว่าเป็นมายากลที่มีมาก่อนแล้วซะอีก เหมือนครับ เหมือนกับที่ พวกผู้ปฏิเสธได้กล่าวกับการแสดง การอัศจรรย์ของนบีท่านก่อนๆ เช่น 28:48. ครั้นเมื่อสัจธรรมจากเราได้มายังพวกเขา(*1*)พวกเขากล่าวว่า “ทำไมเขา (มุฮัมมัด) จึงมิได้รับเยี่ยงกับที่มูซาได้รับเล่า ?” ก็พวกเขามิได้ปฏิเสธสิ่งที่ถูกประทานให้แก่มูซามาก่อนดอกหรือ ? (*2*)พวกเขากล่าวว่า “ทั้งสองคือเวทมนตร์ที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน” (*3*)และว่า “เราเป็นผู้ปฏิเสธทั้งสิ้น” (*4*) (1)  คือมุฮัมมัดพร้อมด้วยอัลกุรอานที่เป็นปาฏิหาริย์จากเรา (2)  คืออัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ตรัสตอบพวกเขาว่า ก็มนุษย์ได้ปฏิเสธในสิ่งที่ถูกประทานให้มูซาในโองการที่ชัดแจ้งดอกหรือ ? (3)  บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธากล่าวว่า ทั้งคัมภีร์อัตเตารอฮ์และคัมภีร์อัลกุรอานเป็นเวทมนตร์ทั้งคู่ ที่ให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน (4)  คือเราเป็นผู้ปฏิเสธไม่เชื่อถือคัมภีร์ทั้งสอง สรุปว่า แมทท์ อ่านกุรอ่าน ดีแล้วหรือยังครับ ถึงบอกว่า การแยกดวงจันทร์ เป็นสิ่งที่เกิดตอนกิยามะฮฺ? อ่านดูดีดีสิครับ อ่านให้หมดให้ถึง อายะห์ที่ 3 ก่อน เห็นชัดๆนะครับว่านี่เป็น เหตุการณ์ การผ่าดวงจันทร์ และพวกผู้ปฏิเสธได้ปฏิเสธ และหาว่าเป็นมายากล เหมือนที่เคยกล่าวแบบนี้กับบรรดานบีท่านก่อนๆ ซึ่งคนละเรื่องกับ เหตุการณ์ในวันกิยามะห์ที่ผู้คน จะเกิดโกลาหล ไม่ใช่กล่าวว่าเป็นมายากลแบบนี้ แล้วอีกอย่างในโองการที่ 54:3 พวกนี้ปฏิเสธกับใคร ทั้งผินหลังทั้งปฏิเสธ กับใครถ้าเขาเป็นผู้ปฏิเสธอยู่แล้ว เขาก็ปฏิเสธกับตัวเองอีกเหรอ? แก้ไขเมื่อ 15 ธ.ค. 52 20:17:59 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 52 20:17:37

ความคิดเห็นที่ 20 หวังว่าจะมีสาระ มาเคลียร์ตัวเองได้ซะทีนะครับแมทท์ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 52 20:19:22

ความคิดเห็นที่ 21 ้อ้อแล้ว ทีหลังหัดพิมพ์ให้มันถูกหน่อยนะครับ เพราะไม่มีใครบอกว่า ท่านศาสนทูตมีอำนาจในการแสดงปาฏิหารย์ กระดิกนิ้ว แยกดวงจันทร์ ออกจากกันได้ อย่างที่คุณว่าเลย ตัฟซีรก็บอกไว้ชัดๆ ว่า 54:2. และหากพวกเขาเห็นสัญญาณ (ปาฏิหาริย์) พวกเขาก็ผินหลังให้และกล่าวว่า นี่คือมายากลที่มีมาก่อนแล้ว(*1*) (1)  อัลลอฮ. ตะอาลา ทรงแจ้งให้ทราบว่า วาระแห่งการสิ้นสุดของดุนยา และความพินาศของมันอีกทั้งวันกิยามะฮ.นั้นได้ใกล้เข้ามาแล้ว ดวงจันทร์ได้แยกออกเป็นสองซีก ในคืนวันเพ็ญมีจันทร์เต็มดวงซีกหนึ่งมองเห็นทางด้านภูเขาศ่อฟาอีกซีกหนึ่ง มองเห็นได้ทางด้านภูเขาก็อยก็อาน ซึ่งอยู่ตรงข้าม นักตัฟซีรกล่าวว่าพวกกุฟฟารมักกะฮ.ได้กล่าวแก่ท่านร่อซูล ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่าหากพวกท่านเป็นคนจริงตามคำพูดก็จงทำให้ดวงจันทร์แยกออกเป็นสองซีก และพวกเขาสัญญาว่าจะศรัทธา ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้ขอต่อพระเจ้าตามที่พวกเขาขอร้อง เมื่อดวงจันทร์ได้แยกออกเป็นสองซีกแล้ว และพวกเขาได้เห็นอย่างชัดแจ้งแล้ว ก็กล่าวว่า มุฮัมมัดได้แสดงมายากลแก่เรา ท่านนบีไม่ได้ทำด้วยตัวเอง แต่ท่านนบีขอต่ออัลลอฮฺครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 52 20:34:20

ความคิดเห็นที่ 22 ผมคนรู้น้อยแวะมาอ่าน(ผ่าน ๆ เยอะจัด) สรุปสั้น ๆ ได้ก็น่าจะดีครับ จากคุณ : Esma Man Armin เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 52 21:48:50

ความคิดเห็นที่ 23 คำอธิบายของผมในที่นี้ สำหรับ ผู้ที่นับถือ ศาสนาอิสลาม เช่นเดียวกับผม และ สมาชิกทั่วๆไปซึ่งไม่จำกัดอยู่ เฉพาะ  ผู้ที่ยึดถือใน “ลัทธิมูฮัมมัด” เท่านั้น ตามที่ผู้ไม่เข้าใจอัลกุรอาน ใน “ลัทธิมูฮัมมัด”  ถามผมว่า “นี่ก็ไม่ได้มีตรงไหนบอกว่าจะไม่ให้การอัศจรรย์ใดกับท่านรอซูล เหมือนที่ login แมทท์ บิดเบือนแต่อย่างใด”       สรุปแล้วเอาโองการที่ 17:59 และ 28:48 มาเพื่อจะบอกอะไรครับ? เพราะไม่ตรงไหนบอกเลยว่า อัลลอฮฺจะไม่ประทานการอัศจรรย์ใดๆ ให้กับท่านนบีอีกต่อไป ..................................... ผมจะอธิบายให้ฟัง...      อัลกุรอานทั้งสองบัญญัตินี้ นำมาเพื่อแสดง ชี้แสดงให้เห็นชัดว่า, สิ่งที่เป็น Miracle ในศาสนาอิสลามมีอยู่เพียงอย่างเดียวที่พระเจ้าประสงค์ที่จะให้กับท่านศาสนทูตมูฮัมมัด คือ "อัลกุรอาน"        ทั้งนี้เพราะว่า, “ ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน เป็นสิ่งถาวร และตลอด กาล”,  ไม่เหมือนกับ ปาฏิหารย์ที่เปลี่ยน ไม้เท้าให้กลายเป็นงูและลำแขนเปลี่ยนเป็นสีขาวของโมเสส(มูซา)  ซึ่งทำให้ผู้ ที่เห็นเข้าใจ ว่า เป็น มายากล       ผมหวังว่าคุณคงเข้าใจ  ถ้าคุณยึดอยู่กับเอกสารเล่มเดียว ที่คุณใช้อยู่ในขณะนี้  คุณจะไม่ฉลาดขึ้น  และจะถูกไซตอนหลอกล่อให้เชื่อในสิ่งเหลวไหล และยังทำให้คุณเข้าใจว่า “พระเจ้าทรงกล่าวเตือนตัวอสุจิ” อยู่ตลอดชีวิตของคุณ         ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงไม่ให้สิ่งมหัศจรรย์ในการยืนยันความเป็นศาสนทูต ต่อท่านศาสนทูตมูฮัมมัด,  ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ศรัทธาใน ลัทธิมูฮัมมัด เช่น คุณ จึง กรุเรื่อง การแยกดวงจันทร์ขึ้นมา เป็นเรื่องเล่าที่เกิดมาก่อน บัญญัติ ในอัลกุรอานจะถูกส่งลงมา, แต่มาเล่าหลังจาก ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดสิ้นชีวิตไปแล้ว 200-300ปี จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 52 20:20:45

ความคิดเห็นที่ 24 ตามที่กล่าวแล้วว่า เป็นเรื่องราวติดต่อจาก ซูเราะฮฺ อันนัจมฺ ในอายะ 53:57 คำเตือนคล้ายๆกันนี้ ที่ให้ความ หมายว่า วันตัดสินได้ใกล้เข้ามา ซึ่งยิ่งใกล้เข้ามากกว่า ความหมายใน อายะ 54:1     ซึ่งใช้การเน้นเหตุการณ์ในอนาคต ด้วยข้อความซึ่งเป็นอดีตกาล   การใช้ไวยกรณ์ ทางภาษาเช่นนี้จะพบเสมอ ในคัมภีร์ เช่นใน  Old Testament 1.The Hour (of Judgment) is nigh, and the moon is cleft asunder.   2.But if they see a Sign, they turn away, and say, "This is (but) transient magic."   3.They reject (the warning) and follow their (own) lusts but every matter has its appointed time.   4.There have already come to them Recitals wherein there is (enough) to check (them), (Yusufali 54:1-2-3-4) ซึ่งลำดับความที่ต่อเนื่องกันได้ดังนี้   เมื่อ ชั่วโมงของวันตัดสิน(วันกิยามะฮฺ), ใกล้เข้ามา , ดวงจันทร์จะได้แยกออกจากกันเป็นสองซีก, แต่ถ้าเมื่อพวกเขาเห็นสัญญาณ, เขาจะเบินหน้าหนีแล้วกล่าวว่า “นั้นไม่ใช่อะไรนอกจาก มายากลซึ่ง เคยเห็นมาแล้ว”, พวกเขาจะปฏิเสธคำตักเตือน และปฏิบัติตามอารมณ์ตัญหาของพวกเขา, แต่ว่าเหตุการณ์ (วันตัดสิน/วันกิยามะฮฺ) ก็จะเป็นไปตามกำหนด (ของพระเจ้า), ซึ่ง คำเตือนเช่นนี้ได้ ถูกส่งมาก่อนแล้วมีเนื้อหาเพียงพอต่อการตรวจสอบ.. ฯลฯ       ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า ตั้งแต่บัญญัติ 54:1-4 นั้น เป็นการ แจ้งถึง สัญญาณ ในวันตัดสินที่จะใกล้เข้ามา  แต่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ  เรื่องบอกเล่า การแยกดวงจันทร์ ที่ กรุขึ้นมา ในภายหลัง ให้ คล้องจองกับ บัญญัติอัลกุรอาน  ซึ่งหลอกลวงได้สำหรับ ผุ้มีจิตใจใฝ่ต่ำ และโง่เขลา บางท่าน ที่เชื่อในเรื่องนี้ อย่าง งมงาย พยายามจะ ยกท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ให้เป็นผู้วิเศษ โดยที่ท่านไม่พึงปรารถนาจะให้ ผู้ศรัทธาที่แท้จริงกระทำเช่นนี้ต่อท่าน คำเตือนของบทที่ 54 ตั้งแต่ บัญญัติที่ 1-55 พอสรุปย่อๆได้ง่ายๆดังนี้       ทุกๆลมหายใจในชั่วชีวิตมนุษย์นี้ วันแห่งการตัดสินกำลังคืบคลานใกล้เข้ามาทุกๆชั่ว โมง ความหยิ่งยะโสจะลดลงและความง่ายต่อชีวิตจะยากลำเค็ญ , มนุษย์ควรจะฟังคำตักเตือน, จะมีผู้ใดบ้างไหมที่จะเป็นผู้ที่ ที่จะ รับคำตักเตือนอย่างจริงใจ?  ดังเช่น คำเตือนของ ศาสนทูตโนอาห์(นูหฺ) ซึ่งประชาชนของเขาไม่เชื่อฟังคำเตือนและในที่สุดก็ต้องล่มจมล้มตายไป, พระเจ้าได้ส่งบัญญัติของพระองค์ (อัลกุรอาน) ที่ทำให้ง่ายต่อความเข้าใจและ ปฏิบัติตาม       มีผู้ใดบ้างหรือที่จะรับคำเตือนนี้อย่างจริงใจ?  เช่นเดียวกันกับคำกล่าวของ ศาสนทูตท่านก่อนๆ ที่ถูกพระเจ้าแต่งตั้งมา  เมื่อผู้คนไม่เชื่อฟังก็จะต้องจบสิ้นชีวิตลง พร้อมด้วยความชั่วช้า ใฝ่ต่ำที่ ยึดถือสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากแนวทางของพระเจ้า ,  แล้วมนุษย์ในยุคนี้ จะฉลาดพอที่จะเข้าใจการเตือนนี้จากการเรียนรู้ในอดีตหรือไม่?  จะมีใครบ้างไหมที่จะรับการตักเตือน ด้วยใจจริง?  บรรดาผุ้ที่พร้อมด้วยคุณธรรมเท่านั้นที่จะได้เข้าสู่สวรรค์ ใกล้ กับพระเจ้า จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 52 20:23:24

ความคิดเห็นที่ 25 ความคิดเห็นของผม สำหรับสมาชิกทุกๆท่านในพันทิป  ไม่จำกัดอยู่ เฉพาะ  ผู้ที่ยึดถือใน “อิสลาม” (ซึ่งต่างจาก“ลัทธิมูฮัมมัด”) และ “ลัทธิมูฮัมมัด” เท่านั้น ผมยินดีจะ อธิบายข้อสงสัยในความคิดเห็นของผมให้เข้าใจ ในตอนต่อไปผมจะแสดงความเห็นในเรื่อง “ศาสนาอิสลามไม่มีการไถ่บาป” โดยที่ไม่มีผู้ใดสามารถจะเป็นตัวแทนได้ แม้แต่ ท่าน ศาสนทูตมูฮัมมัดก็ไม่อาจจะ ถ่ายบาปหรือเป็นตัวแทนผู้ใดได้ ในวันตัดสิน จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 52 20:28:16

ความคิดเห็นที่ 26 login แมทท์บอกว่า "...อัลกุรอานทั้งสองบัญญัตินี้ นำมาเพื่อแสดง ชี้แสดงให้เห็นชัดว่า, สิ่งที่เป็น Miracle ในศาสนาอิสลามมีอยู่เพียงอย่างเดียวที่พระเจ้าประสงค์ที่จะให้กับท่านศาสน ทูตมูฮัมมัด คือ "อัลกุรอาน"..." ก็ผมถามอยู่นี่ไงล่ะครับว่า นี่ก็ไม่ได้มีตรงไหนบอกว่าจะไม่ให้การอัศจรรย์ใดกับท่านรอซูล เหมือนที่ login แมทท์ บิดเบือนแต่อย่างใด”      สรุปแล้วเอาโองการที่ 17:59 และ 28:48 มาเพื่อจะบอกอะไรครับ? เพราะไม่ตรงไหนบอกเลยว่า อัลลอฮฺจะไม่ประทานการอัศจรรย์ใดๆ ให้กับท่านนบีอีกต่อไป แล้วคุณตอบอะไรผมมา? มีหลักการตีความอะไรไหม มีความหมายอะไรที่บอกในโองการเหล่านั้นหรือ? ว่าพระองค์จะไม่ประทานการอัศจรรย์ใดๆ มาให้ท่านนบีอีก คุณพูดมาเอง แล้วทำไมไม่รู้จักรับผิดชอบ คิดจะพูดอะไรพล่อยๆ ก็พูดก็พิมพ์ตามใจงั้นหรือ? หรือคุณจะบอกว่า การแยกทะเลแดง การทำให้คนตายแล้วฟื้น หรือการอัศจรรย์ต่างๆ นั้นไม่ใช่การอัศจรรย์ หรือปาฏิหารย์? เพราะมันไม่ถาวร? หรือยังไง ผมก็ไม่ทราบนะครับว่า ที่ตอบมาเนี่ยตอบไปเพื่ออะไร? เพราะไม่ได้มีหลักการอะไรเลย หรือแม้แต่ตอบให้ตรงประเด็นก็ไม่ยอมทำ คุณไม่ต้องมาเบี่ยงประเด็น พยายามบอกว่า ใครไม่ฉลาด หรือใครยึดเอกสารเล่มเดียว สองเล่มสามเล่มหรอกครับ เพราะถึงแม้ผมจะยึดตำราแค่ครึ่งเล่ม คุณก็ไม่ได้ตอบคำถาม หรือรับผิดชอบคำพูดของตัวคุณเองได้อยู่ดี และจนบัดนี้ login แมทท์ก็ยังไม่หยุดปากพล่อย บิดเบือน โกหกอีกนะครับ หลุดปากบอกว่า กุรอ่านคือ miracle เดียวที่เกิดกับท่านนบี แต่กุรอ่านเองบันทึกเรื่องการแยกดวงจันทร์ การที่ท่านนบีเดินทางไปยังเยรูซาเล็มในคืนเดียว การที่ท่านนบีพบกับญิบรออีล สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งอัศจรรย์ทั้งสิ้น login นี้ก็ไม่รับผิดชอบคำพูดตัวเอง แล้วยังจะบอกอีกว่า พระเจ้าไม่ให้การอัศจรรย์ใดๆ กับท่านนบี ทั้งๆที่ไม่มีคำพูดนั้นหรือทำนองนั้นในกุรอ่าน พอถามจี้ไปก็ไม่ยอมตอบ ได้แต่บอกว่า คนนั้นไม่ฉลาดคนนี้ไม่ฉลาด ตำรานั้นผิด ตำรานี้บิดเบือนๆ ทั้งๆที่ตัว login แมทท์ก็มั่วมาเองโดยตลอด หึหึ ไม่มีปัญญาจะรับผิดชอบคำพูดพล่อยๆ ของตัวเองก็บอกมาสิครับ จะมาพาออกทะเลทำไม แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 52 20:55:07 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 52 20:54:22

ความคิดเห็นที่ 27 เพื่อไม่ให้สับสน ขอเปลี่ยนสีพื้นก่อน แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 52 21:29:04 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 52 21:28:23

ความคิดเห็นที่ 28 อย่างที่ผมเคยนำเสนอไปแล้วนะครับ ว่า ลักษณะของวันกิยามะฮฺ หรือวันสิ้นโลกนั้นโกลาหลเพียงไหน? ดังนี้ครับ 40:18. และจงเตือนพวกเขาให้ทราบถึงวันที่ใกล้เข้ามา (วันกิยามะฮฺ) เมื่อหัวใจเข้ามาติดอยู่ที่ลำคอด้วยความอดกลั้น (*1*) ไม่มีมิตรที่สนิทสนมสำหรับบรรดาผู้อธรรม และไม่มีผู้ช่วยเหลือคนใดที่จะถูกเชื่อฟัง (*2*) (1)  เป็นการเปรียบเทียบเมื่อเกิดความกลัวจนสุดขีด ว่าหัวใจขึ้นมาติดอยู่ที่ลูกกระเดือก (2)  คือมิตรที่สนิทก็ไม่สามารถจะให้ความช่วยเหลือได้ และผู้ช่วยเหลือคนใดก็ไม่อาจจะช่วยเหลือเขาให้พ้นจากการลงโทษอันหนักหน่วงได้ 75. ซูเราะฮฺ อัลกิยามะฮฺ (Al-Qiyamat) 8. และเมื่อดวงจันทร์ถูกบดบังอยู่ในความมืด 9. และเมื่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ถูกนำมารวมกัน 10. วันนั้นมนุษย์จะกล่าวขึ้นว่าไหนเล่าทางหนี ? (*1*) (1)  เมื่อวันกิยามะฮฺได้เกิดขึ้นสายตาก็จะมืดมัวและหลอนเพราะความกลัว ดวงจันทร์ก็จะมืดลงไม่มีแสง และเมื่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ถูกนำมารวมกันแสงของมันทั้งสองจะดับวูบลงและ นั่นหมายถึงการเปลี่ยนแปลงของจักรวาลซึ่งจะทำให้การมีชีวิตสิ้นสุดลง แล้วมนุษย์ผู้ปฏิเสธศรัทธาจะกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเราจะหนีไปทางไหนดี อ่านดูซะนะครับว่า สุดแสนจะโกลาหลวุ่นวายขนาดไหน ดังนั้น ไม่ว่าจะเอา มาเรียงลำดับอย่างไร หรือพยายามตีความมั่วนิ่มเอาตามอารมณ์ฝ่ายต่ำของตัวเองแค่ไหน ก็จะพบว่า เมื่อมีคนเห็น เหตุการณ์ ผ่าดวงจันทร์แล้ว ผู้คนไม่ได้มีสภาพของความโกลาหลเลยแต่กลับบอกว่า 54:1. วันกิยามะฮฺ ได้ใกล้เข้ามาแล้ว และดวงจันทร์ได้แยกออก 54:2. และหากพวกเขาเห็นสัญญาณ (ปาฏิหาริย์) พวกเขาก็ผินหลังให้และกล่าวว่า นี่คือมายากลที่มีมาก่อนแล้ว(*1*) 54:3. และพวกเขาได้ปฏิเสธและปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขา และกิจการทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกำหนด (*1*) ไม่มีการตื่นตกใจ พวกเขาเห็นสัญญาณ แต่เขาก็ปฏิเสธ แถมยังหาว่าเป็นมายากลที่มีมาก่อนแล้วซะอีก และ ในโองการที่ 54:3 แปลแบบนี้ครับ 54:3. และพวกเขาได้ปฏิเสธและปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขา และกิจการทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกำหนด (*1*) (1)  คือพวกเขาได้ปฏิเสธท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และสิ่งที่พวกเขาได้เห็นด้วยตาของพวกเขาเองถึงเดชานุภาพของอัลลอฮ. ในการแยกของดวงจันทร์แล้ว พวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่ชัยฎอนได้ยั่วยวนที่เกี่ยวกับความเท็จ และกิจการทุกสิ่งทุกอย่างย่อมสิ้นสุดจบลงตามกำหนดของมัน หากเป็นความดีก็จะได้รับความดี หากเป็นความชั่วก็จะได้รับความชั่ว ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่า login แมทท์ ไปลอกคำแปลจากเว็บไหนมา หรือตัดแต่งเอาเอง และถ้ามั่วเอาเองก็ทำใจได้เลยครับ กับความผิดพลาด เพราะ login นี้มั่วกุรอ่านมาไม่รู้กี่รอบแล้ว ขนาด กุรอ่านบันทึก การอัศจรรย์ที่เกิดกับท่านนบี ไว้หลายเหตุการณ์ login แมทท์ยังบอกว่า กุรอ่านเป็น miracle เดียวที่เกิดกับท่านนบี มันก็แสดงให้เห็นถึงความไม่รู้เรื่องของ login นี้แล้วล่ะครับ จริงๆ ถ้า login แมทท์ อ่านที่ตัวเองพิมพ์มา ก็คงไม่หน้าด้านบอกว่าโองการ 54:1-3 เป็นเหตุการณ์ช่วงกิยามะฮฺ ที่ทุกสิ่งพังพินาศหรอกครับ เพราะตัวเอง บอกเองว่า ถ้าเหตุการณ์นี้ เกิด ก่อนที่ อายะ 54:1 จะถูกส่งลง มาแล้ว    ยิ่งเป็นไปไม่ได้   เนื่องจากว่า  เมื่อ ดวงจันทร์ แตกแยกออก แม้แต่เพียง เสี้ยววินาฑีเดียว  ระบบการหมุนเวียนของดวงจันทร์จะสะดุดและจะพุ่งเข้าชนโลกมนุษย์โดยแรงดึงดูด ของโลก หรือไม่ก็อาจจะกระทบกระเทือนทั้ง ระบบสุริยจักวาล ซึ่งถูกขัดจังหวะและอาจจะเกิดการเสียดุลย์ ในความโน้มถ่วงของ ดวงดาวต่างๆในระบบ,  ดวงดาวทั้งหลายจะ พุงเข้าชนกัน ชุลมุนวุ่นวาย   ระบบสุริยะจักวาลจะ ย่อยยับ พังพินาจไปในพริบตาเดียว ซึ่งเป็นวันสิ้นโลก, ด้วยอำนาจของท่านรอซูลมูฮัมมัด หรือศาสนทูตมูฮัมมัด กระนั้นหรือ? แล้วการโกลาหลแบบนี้เนี่ย ใช่แบบนี้ไหม? 54:2. และหากพวกเขาเห็นสัญญาณ (ปาฏิหาริย์) พวกเขาก็ผินหลังให้และกล่าวว่า นี่คือมายากลที่มีมาก่อนแล้ว(*1*) 54:3. และพวกเขาได้ปฏิเสธและปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขา และกิจการทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกำหนด (*1*) พิมพ์มาเองแต่ไม่ยอมอ่าน บิดเบือนแม้กระทั่งคำพูดตัวเอง นี่เหรอครับคนที่จะมาตักเตือนคนอื่นเรื่องศรัทธาที่ถูกต้อง เพราะขนาดตัวเองยังสบสนกับสิ่งที่ตัวเองพิมพ์มาเลย อ่อ ส่วน การสรุปซูเราะห์ที่ 54 นั้นน่ะ ไม่ต้องรีบโชว์พลัง ไปเอาความรู้ใครมาตอบหรอกนะครับ เพราะว่า จะสรุปอย่างไร เหตุการณ์ผ่าดวงจันทร์ในตอนต้น ซูเราะห์นั้น ก็สอดรับกันเป็นอย่างดีครับ รับผิดชอบคำพูดตัวเองดีกว่านะ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 52 21:29:24

ความคิดเห็นที่ 29 จะไปประเด็นไหนอีก ก็แล้วแต่นะครับ แต่รับผิดชอบคำพูดตัวเองหน่อยนะ คำพูดตัวเองยังไม่มีปัญญารับผิดชอบ กุรอ่านก็ยังอ่านไม่เข้าใจ แล้วจะไปอธิบายเืรื่องอิสลามให้ใครฟังครับ? ส่วนท่านอื่นๆ ที่ผ่านมา ผมจะสรุปให้สั้นก็แล้วกันว่า login แมทท์ ได้พยายามทำตนบิดเบือนอิสลาม ด้วยการบอกว่าตัวเองเข้าใจกุรอ่านด้วยตัวเอง พยายามเปลี่ยนแปลงคำสอนของอิสลาม และครั้งนี้ login แมทท์ได้บอกว่า มี miracle หรือปาฏิหารย์ หรือการอัศจรรย์ อย่างเดียวที่เกิดกับท่านนบีมุฮัมมัด คือ กุรอ่าน เท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มีปาฏิหารย์อื่นที่เกิดกับท่านอีก เช่น การผ่าดวงจันทร์ การที่ท่านเดินทางไปยังเยรูซาเล็ม หรือเรียกว่าอิสรอ หรือการที่ท่านได้พบกับญิบรอดีล ได้เห็นท่านญิบรออีล ซึ่งเป็น เทวฑูต เหล่านี้ ได้ปรากฎในกุรอ่าน การนี้ทำให้เราได้ทราบว่า login แมทท์ ไม่ได้รู้เรื่องกุรอ่านอย่างที่ตัว login แมทท์เองโกหก และยังอ้างอะไรที่ขัดกับกุรอ่านอยู่เนืองๆ แล้วก็ยังไ่ม่ยอมรับ ยังพยายามบอกว่า การผ่าดวงจันทร์นั้นเป็นเหตุการณ์วันสิ้นโลกที่โลกมนุษย์จะสูญสิ้น และตัว login แมทท์ ก็พิมพ์มาเองว่า ถ้าดวงจันทร์แยกออก แล้วโลกจะพินาศแบบนั้น สุริยจักรวาลจะย่อยยับแบบนี้ แต่กุรอ่านได้บอกว่า เมื่อผู้คนเห็นการผ่าดวงจันทร์ผู้คนก็บอกว่านั่นเป็นมายากล ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของคนที่พบกับการที่ลูกกำลังดับสูญ กำลังโกลาหลวุ่นวาย จึงเป็นการจับโกหก login แมทท์ได้อีกครั้ง ดังนั้นเมื่อ login แมทท์ ไม่ได้เข้าใจกุรอ่าน และยังพิมพ์อะไรที่ขัดกับกุรอ่านอยู่เรื่อยๆ การที่ login แมทท์จะสู่รู้ อธิบายอิสลามให้ผู้อื่นฟังจึงเป็นเรื่องไร้สาระ เหมือนกับพวกไร้การศึกษา ไม่ตั้งใจเรียน จะมาสอนเรื่องที่ตัวเองนั้นไม่รู้เรื่อง ให้คนอื่นฟังนั่นแหละครับ ผมจึงแนะนำใครก็ตามที่สนใจอิสลาม ให้ถามมุสลิมครับ ไม่ใช่ login แมทท์ เพราะ login นี้ก็แค่จอมบิดเบือนที่ถูกจับได้ครั้งแล้วครั้งเล่านั่นเอง จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 52 21:41:55

ความคิดเห็นที่ 30 คุณแมทท์...ครับ... ช่วยตอบหน่อยได้หรือไม่ครับว่า...ลัทธิมุฮัมมัด...ของคุณคืออะไร...???...ครับ... จากคุณ : Crescent ) เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 52 21:44:37

ความคิดเห็นที่ 31 1.ก่อนอื่นคุณเข้าใจคำตอบของคำถามคุณในเรื่องนี้หรือไม่ ว่า ผมนำมาเปรียบเทียบทำไม? ................................................. "สรุปแล้วเอาโองการที่ 17:59 และ 28:48 มาเพื่อจะบอกอะไรครับ? เพราะ ไม่ตรงไหนบอกเลยว่า อัลลอฮฺจะไม่ประทานการอัศจรรย์ใดๆ ให้กับท่านนบีอีกต่อไป?" ผมจะอธิบายให้ฟัง...     อัลกุรอานทั้งสองบัญญัตินี้ นำมาเพื่อแสดง ชี้แสดงให้เห็นชัดว่า, สิ่งที่เป็น Miracle ในศาสนาอิสลามมีอยู่เพียงอย่างเดียวที่พระเจ้าประสงค์ที่จะให้กับท่านศาสนทูตมูฮัมมัด คือ "อัลกุรอาน"       ทั้งนี้เพราะว่า, “ ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน เป็นสิ่งถาวร และตลอด กาล”,  ไม่เหมือนกับ ปาฏิหารย์ที่เปลี่ยน ไม้เท้าให้กลายเป็นงูและลำแขนเปลี่ยนเป็นสีขาวของโมเสส(มูซา)  ซึ่งทำให้ผู้ ที่เห็นเข้าใจ ว่า เป็น มายากล   ................ 2.  คุณเข้าใจหรือไม่ ทั้งซูเราะห์ (บทที่ 54 ตั้งแต่ บัญญัติที่ 1-55)  เป็นการเน้นให้มีความเชื่อของความเป็นรอซูลของท่านศาสนทูตมูฮัมมัดและข่าวสารที่ท่านนำมา โดยอ้างถึงเหตุหารณ์ในอดีตที่เกิดจากการไม่เชื่อฟังคำเตือนของศาสนทูตท่านก่อนๆ 3. คุณทราบหรือไม่ว่า ฮาดีษในเรื่อง การแยกของดวงจันทร์นี้รวบรวมหลัง จาก จากท่านรอซูล เสียชีวิตไปแล้ว แต่เหตการณ์ เกิดก่อน ที่ อายะ54:1 จะถูกส่งมา 4.  คุณทราบหรือไม่ว่า ความสมดุลย์ ระหว่าง การโคจรของดวงดาวต่างๆ รอบดวงดาวต่างๆ จะถูกขัดจังหวะไม่ได้ จะทำให้วงจรสะดุด เสียดุลย์ เศษของดวงจันทร์จะพุงเข้าชนโลก ซึ่ง พระเจ้าได้สร้างและรักษาทุกๆสิ่งทุกๆอย่างให้อยู่ในสภาพที่สมดุลย์กัน  ทำความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้เสียก่อนแล้วจะกลับมาคุยด้วยใหม่ OK? จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 00:59:17

ความคิดเห็นที่ 32 ความคิดเห็นที่ 30 ลัทธิมุฮัมมัด...ของคุณคืออะไร...???... "ลัทธิมุฮัมมัด" ไม่ใช่ของผมครับ....ผมนับถืออิสลาม ที่มี พระเจ้าสูงสุด...อัลกุรอานเป็นแนวทางของพระเจ้าแต่เพียงอย่างเดียว ...ที่มีศาสนทูตมูฮัมมัดเป็นผู้รับมาจากพระเจ้า และสอนให้มนุษย์ปฏิบัติตามอัลกุรอานเท่านั้น จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 01:03:14

ความคิดเห็นที่ 33 ขอโทษสำหรับคำถามที่ไม่ชัดเจนนะครับ...ขอถามใหม่ครับว่า..."ลัทธิมุฮัมมัด"...ที่คุณกล่าวถึง...หมายถึงอะไร??? จากคุณ : Crescent ) เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 04:45:07

ความคิดเห็นที่ 34 ตอบความคิดเห็นที่ 33   ตามหลักการของอิสลาม มุสลิมทุกๆคนทราบดีว่า "ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดเป็นศาสนทูตที่แท้จริง ซึ่ถถูกแต่งตั้ง ประทับตราโดยพระเจ้า"     มุสลิม คือผู้ที่ศรัทธาต่อศาสนาอิสลาม จะต้อง รัก และ เชื่อฟัง ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ในทุกๆกรณีที่เกี่ยวข้อง กับหลักการปฏืบัติตามแนวทางที่พระเจ้ามอบให้ "อัลกุรอาน"      สิ่งใดที่เป็นเรื่องนอกเหนือจากหลักศรัทธา(เรื่องส่วนตัว และหรือ ประเพณีอรับที่ท่านใช้ชีวิตมาตั้งแต่เกิด)  เป็นคนละเรื่องกับการแสดงความรักความเชื่อฟังต่อท่านรอซุล ด้วยเหตุนี้ ศาสนาอิสลามจึง มีองค์ประกอบที่สำคัญ อยู่ 3 องค์ประกอบ  1. ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่สมควรต่อการ ศรัทธาและเคารพบูชา  2. อัลกุรอาน ซึ่งเป็นบัญญัติจากพระเจ้า ที่มุสลิมใช้เป้นแนวทางในการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน  3. ท่านศานทูตมูฮัมมัดผู้ที่มีหน้าที่ในการรับอัลกุรอานจากพระเจ้า และได้แสดงตัวอย่างต่อมุสลิม (ซุนนะห์) ให้ปฏิบัติตามท่าน โดย ยึดมั่นอยู่ในสายเชือกเช่นเดียว กับท่าน นั้นคือ "อัลกุรอาน"   ท่านรอซูลสอนให้มุสลิมกล่าว คำปฏิญาณ ต่อพระเจ้า ในการเข้ารับอิสลามว่า: "ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่สมควรต่อการ ศรัทธาและเคารพบูชา" """"""""""""""""""""""   เมื่อตอนเด็กๆพอได้ยิน ใครเรียกว่า "อิสลาม" ว่า "Muhammadanism" หรือ "ลัทธิมูฮัมมัด" ผมจะโกรธมาก ด้วยความไม่เข้าใจ, ภายหลังเมื่อ ศึกษาศาสนาอิสลาม อย่างลึกซึ้งแล้วจึง มองเห็นความแตกต่าง ระหว่าง  อิสลาม กับลัทธิมูฮัมมัด ได้อย่างชัดเจน   ลัทธิมูฮัมมัดถูกตั้งขึ้น  ภายหลังจากที่ท่าน ศาสนทูตมูฮัมมัด ได้สิ้นชีวิตไปแล้ว 200-300 ปี โดยที่ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ไม่มี ส่วนรับรู้ได้เลยว่า ศาสนาของพระเจ้าได้ถูกต่อเติม โดย มุสลิมหลังจากที่ท่านเสียชีวิตไปแล้ว, โดยการประดิษฐ์ แนวทางการสอนขึ้นมาใหม่ ที่เรียกว่า "เรื่องบอกเล่าที่เกี่ยวกับคำกล่าว (ฮาดีษ)และการปฏิบ้ติ(ซุนนะห์) ของ ท่านรอซูลมูฮัมมัด"   หลักการในการเชื่อถือเรื่องบอกเล่าเหล่านี้ มีรายละเอียดที่หาศึกษาได้โดยไม่ยาก  ทั้งนี้ เพราะว่า ทั้งขบวนการ คัดเลือกและจัด ระดับความแน่นอนของเรื่องบอกเล่า ต่อๆกันมา  เหล่านี้ เป็นหลักการง่ายๆ ไม่ใช่หลักการที่  อาศัยวิชาการอะไร นอกจาก คุณภาพของผู้บอกเล่า, สายสืบ และเนื้อหาของ เรื่อง เหล่านั้นเท่านั้น  "ลัทธิมูฮัมมัด" ก็คือ ลัทธิที่สมาชิกของลัทธิ ยึดถือ เรื่องบอกเล่าดังกล่าว เป็นหลักปฏิบัติ ควบคู่ไปกับ หลักการของอิสลาม ที่กล่าวมาแล้ว, โดย ที่เขาเหล่านั้น มีความเชื่อว่า การปฏิบัติ ตามเรื่องบอกเล่านั้น เป็นการปฏิบัติตาม "การปฏิบัติของท่านรอซูล"  และมากไปกว่านั้น  เขายังเชื่อว่า  การใช้ เรื่องบอกเล่า เหล่านั้น มาอธิบายอัลกุรอาน  ก็เท่ากับ  ท่านรอซูลซึ่งสิ้นชีพไปแล้ว มาอธิบายอัลกุรอานให้เขาฟังอย่างถูกต้อง  รายละเอียด ในลัทธิมูฮัมมัด นี้ ยังมีอีกมาก   หวังว่าคุณคงเห็นความแตกต่าง ระหว่าง "อิสลาม" กับ "ลัทธิมูฮัมมัด" ได้อย่างชัดเจน จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 10:29:17

ความคิดเห็นที่ 35 นี่เหรอครับคำอธิบาย คำถามที่ไม่ได้ใช้ปัญญาในการตั้งแบบนี้น่ะเหรอครับที่เรียกว่าคำอธิบาย? งั้นผมจะบอกให้ก็ได้นะครับว่าที่คุณบอกว่า อัลกุรอานทั้งสองบัญญัตินี้ นำมาเพื่อแสดง ชี้แสดงให้เห็นชัดว่า, สิ่งที่เป็น Miracle ในศาสนาอิสลามมีอยู่เพียงอย่างเดียวที่พระเจ้าประสงค์ที่จะให้กับท่านศาสน ทูตมูฮัมมัด คือ "อัลกุรอาน" น่ะมั่ว เพราะโองการ ทั้งสองโองการนั้นมีเนื้อหาดังนี้ครับ 17:59. ไม่มีสิ่งใดยับยั้งเราโดยที่เราจะส่งสัญญาณต่าง ๆ เว้นแต่ว่าพวกสมัยก่อน ๆ ได้ปฏิเสธมัน(*1*) และเราได้ให้อูฐตัวเมียเป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่พวกษะมูด(*2*) แต่พวกเขาได้ทารุณมัน และเรามิได้ส่งสัญญาณต่างๆ เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเป็นการเตือนสำทับเท่านั้น ไม่มีตรงไหนของโองการนี้ที่บอกว่า จะไม่มีการส่ง miracle หรือการอัศจรรย์ใดๆ มาให้ท่านนบีอีก และไม่มีตรงไหนของโองการที่บอกว่า กุรอ่านคือการอัศจรรย์เดียวที่เกิดขึ้นกับท่านนบี ถ้าบอกว่ามี ชี้มาเลยครับว่าตรงไหน อย่ามั่วนิ่ม!!!!!!!!!!!!! โองการต่อมา 28:48. ครั้นเมื่อสัจธรรมจากเราได้มายังพวกเขา(*1*)พวกเขากล่าวว่า “ทำไมเขา (มุฮัมมัด) จึงมิได้รับเยี่ยงกับที่มูซาได้รับเล่า ?” ก็พวกเขามิได้ปฏิเสธสิ่งที่ถูกประทานให้แก่มูซามาก่อนดอกหรือ ? (*2*)พวกเขากล่าวว่า “ทั้งสองคือเวทมนตร์ที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน” (*3*)และว่า “เราเป็นผู้ปฏิเสธทั้งสิ้น” (*4*) นี่ก็เช่นกัน ไม่มีตรงไหนเลยของโองการที่บอกว่า จะไม่มีการประทานการอัศจรรย์ใดนอกจาก กุรอาน ให้กับท่านนบี อีก ถ้ามีลองชีมาซิ ประโยคไหนวลีใด login แมทท์ได้แต่บอกว่า สองโองการคือ 17:59 และ 28:4 ชี้แสดงให้เห็นชัดว่า, สิ่งที่เป็น Miracle ในศาสนาอิสลามมีอยู่เพียงอย่างเดียวที่พระเจ้าประสงค์ที่จะให้กับท่านศาสน ทูตมูฮัมมัด คือ "อัลกุรอาน" แต่ไม่สามารถบอกได้ว่า ตรงไหนของโองการ วลีใดของโองการ ที่อัลลอฮฺบอกแบบนั้น แม้แต่ครั้งเดียว สรุปว่า ไม่มีปัญญาอธิบายเหรอครับ ไหนว่ารู้กุรอ่านดี เข้าใจกุรอ่าน แล้วทำไมมักง่าย และหน้าด้านแบบนี้? คิดจะอ้างอะไรก็อ้าง ถึงแม้จะไม่เกี่ยวกันเลย ก็ยังยกมาอ้าง ผมเองก็เอาทั้งสองโองการมาให้อ่านแล้ว ทำตัวหนาก็แล้ว ให้อ่าน ก็ยังไม่มีปัญญาจะบอกว่าตรงไหนของโองการที่อัลลอฮฺบอกว่าจะไม่ส่งการอัศจรรย์ใดมาให้ท่านนบีอีกนอกจากอัลกุรอ่าน จะหน้าด้านไปถึงไหนครับ? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 17:04:39

ความคิดเห็นที่ 36 และการอ้างว่า ซูเราะห์ที่ 54 นั้น เป็นการเน้นให้มีความเชื่อของความเป็นรอซูลของท่าน ศาสนทูตมูฮัมมัดและข่าวสารที่ท่านนำมา โดยอ้างถึงเหตุหารณ์ในอดีตที่เกิดจากการไม่เชื่อฟังคำเตือนของศาสนทูตท่าน ก่อนๆ เกี่ยวอะไรกับ 3 โองการแรกของ ซูเราะห์นี้ครับ? ซูเราะห์ที่ 54 นั้น จะเล่าถึงเรื่องชนรุ่นก่อนที่ได้รับภัยพิบัติอย่างไร ก็ไม่เกี่ยวกับประเด็นนี้ เพราะ สามโองการแรกต่อเนื่องกัน และบอกว่า 54:1. วันกิยามะฮฺ ได้ใกล้เข้ามาแล้ว และดวงจันทร์ได้แยกออก 54:2. และหากพวกเขาเห็นสัญญาณ (ปาฏิหาริย์) พวกเขาก็ผินหลังให้และกล่าวว่า นี่คือมายากลที่มีมาก่อนแล้ว(*1*) 54:3. และพวกเขาได้ปฏิเสธและปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขา และกิจการทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกำหนด (*1*) การใกล้เข้ามาของกิยามะฮฺนั้น ในสมัยของท่านนบีมุฮัมมัดก็ใช้คำนี้ได้ครับ เพราะท่านคือ นบี และรอซูล ท่านสุดท้าย การมาของท่าน หมายถึง ใกล้วันกิยามะฮฺแล้ว และโองการอื่น ก็ได้มีการเตือนว่า กิยามะฮฺใกล้เข้ามาแล้วเช่นกัน และต่อมาก็บอกถึงดวงจันทร์ได้แยกออก แล้วจึงตามด้วย โองการว่า ละหากพวกเขาเห็นสัญญาณ (ปาฏิหาริย์) พวกเขาก็ผินหลังให้และกล่าวว่า นี่คือมายากลที่มีมาก่อนแล้ว จะมาบอกว่านี่ เป็นการอ้างเหตุการณ์ในอดีตได้อย่างไร เพราะถ้าเป็นเหตุการณ์ในสมัยนบีท่านก่อนๆ นั้น กุรอ่านก็แยกให้เราทราบเลยว่าเป็นเรื่องในสมัยก่อน เช่น ซูเราะห์เดียวกันเลยครับ 54:9. ก่อนหน้าพวกเขานั้น หมู่ชนของนูหฺได้ปฏิเสธ พวกเขาได้ปฏิเสธบ่าวของเราโดยกล่าวว่าเขา (นูหฺ) เป็นคนบ้า และถูกขู่บังคับ 54:10. เขาจึงวิงวอนขอต่อพระเจ้าของเขาว่า แท้จริงข้าพระองค์ถูกพิชิตเสียแล้ว ได้โปรดช่วยเหลือ(ข้าพระองค์)ด้วย (*1*) อ่านซะนะครับ ก่อนหน้าพวกเขานั้น จะเอาภาษาอังกฤษมั๊ย? 054.009 YUSUFALI: Before them the People of Noah rejected (their messenger): they rejected Our servant, and said, "Here is one possessed!", and he was driven out. PICKTHAL: The folk of Noah denied before them, yea, they denied Our slave and said: A madman; and he was repulsed. SHAKIR: Before them the people of Nuh rejected, so they rejected Our servant and called (him) mad, and he was driven away. ก่อนหน้าพวกเขา กุรอ่านบ่งบอกชัดเจนนะครับว่า เรื่องในโองการที่ 54:1-3 นั้น ไม่ใช่กลุ่มชนสมัยก่อนครับ และสัญญาณที่คนกลุ่มนั้นเห็นและปฏิเสธคือย่อมเป็น การผ่าดวงจันทร์ของท่านนบีแน่นอน เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกัน login แมทท์ ปล่อยเป็ดยกเล้าอีกแล้วนะครับ พยายามจะทำตัวสู่รู้เข้าใจกุรอ่าน แต่คำอธิบายแต่ละอย่าง ไม่ได้ใกล้เคียงกับความจริงเลย จะรับผิดชอบคำพูดตัวเองได้หรือยังครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 17:20:33

ความคิดเห็นที่ 37 ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดการผ่าดวงจันทร์นั้นจะเกิดเมื่อไหร่ไม่ใช่ประเด็นครับ เพราะเหตุการณ์ในกุรอ่านบ่งบอกชัดเจนถึงลักษณะอาการ ของผู้ที่พบสัญญาณนี้และปฏิเสธซึ่งไม่ใช่เหตุการณ์ในวันกิยามะฮฺแน่ๆ หรือถ้าจะบอกว่า โองการที่ 54:2-3 เป็นเรื่องของชนรุ่นก่อน ก็ไม่่ใช่อีกเพราะกุรอ่านได้ บ่งบอกเวลาว่าก่อนหรือหลังแล้วครับ ดังนั้น ไม่ว่าเหตุการณ์การผ่าดวงจันทร์จะเกิดก่อนหรือหลัง การลงซูเราะห์ที่ 54 ก็ไม่เกี่ยวครับ เนื่องจากประเด็นในกุรอ่าน ชัดเจนอยู่แล้ว และที่สำคัญ คุณไปเอามาจากไหนครับว่า ซูเราะห์นี้เกิดหลังการผ่าดวงจันทร์ มีบอกไว้ตรงไหนของกุรอ่านครับ? ถ้าไม่ใช่ฮะดีษ!!!!!!!!!!!!!!!!! จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 17:26:27

ความคิดเห็นที่ 38 ส่วนเรื่อง ความสมดุลย์ของการโคจรต่างๆ เนี่ย มันเป็นการอ้างที่บ่งบอกถึงสติปัญญาอันต่ำต้อยและน้อยนิดของ login แมทท์ เท่านั้นยังไม่พอยังแสดงให้เห็นถึง ทัศนคติของ login แมทท์ที่มีต่ออัลลอฮฺด้วย ประหนึ่งว่า พระองค์ไม่สามารถแยกดวงจันทร์ได้ โดยไม่เสียสมดุลย์ (อัสตัฆฟิรุลลอฮฺ ชั่วช้าจริงๆ ความคิด ทรามๆ เยี่ยงนี้) 2:117. พระองค์ผู้ทรงประดิษฐ์ชั้นฟ้า และแผ่นดิน(*1*) และเมื่อพระองค์ทรงกำหนดสิ่งใดแล้วพระองค์ก็เพียงแต่ประกาศิตแก่สิ่งนั้นว่า จงเป็นแล้วสิ่งนั้นก็จะเป็นขึ้น นี่คืออำนาจของพระองค์ ซึ่งอย่าว่าแต่ ผ่าดวงจันทร์ ให้ผ่าโลก โดยไม่เกิดกิยามะฮฺ ถ้าพระองค์ประสงค์ ก็ไม่มีอะไรจะมาขัดขวางพระประสงค์ของอัลลอฮฺได้ มาดูกันว่า จำเป็นด้วยหรือที่เมื่อพระองค์ประสงค์แล้ว จะเกิดไม่ได้ ถ้านั่นไม่ตรงกับความน่าจะเป็นของธรรมชาติ (ที่พระองค์สร้างขึ้นอีกนั่นแหละ) มาอ่านดูนะครับว่า เรื่องแยกดวงจันทร์ ไม่ใช่เรื่องเดียวที่ ไม่ตรงกับความน่าจะเป็นของธรรมชาติ 2:72. และจงรำลึกถึงขณะที่พวกเจ้าฆ่าคนคนหนึ่ง แล้วพวกเจ้าต่สงปกป้องตัวเองในเรื่องนั้น(*1*) และอัลลอฮ์นั้น จะเป็นผู้ทรงเปิดเผยสิ่งที่พวกเจ้าปกปิดไว้ 2:73. แล้วเราได้กล่าวว่า พวกเจ้าจงตีเขาด้วยบางส่วนของวัวตัวนั้น(*1*) ในทำนองนั้นแหละ อัลลอฮ์จะทรงให้ผู้ตาย(*2*) มีชีวิตขึ้นมา และจะทรงให้พวกเจ้าเห็นสัญญาณต่าง ๆ (*3*) เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้เข้าใจ (1)  ตีผู้ที่ถูกฆ่าด้วยบางส่วนของวัวที่ถูกใช้ให้เชือด (2)  ให้ผู้ที่ถูกฆ่าตายฟื้นคืนชีพ เพื่อบอกว่าใครเป็นคนฆ่า (3)  สัญญาณแห่งเดชานุภาพของพระองค์ที่ได้ทรงให้ผู้ที่ตายมีชีวิตขึ้นมาได้ ซึ่งเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับพระองค์ ทำให้คนตาย ฟื้นขึ้นด้วยการตีด้วยบางส่วนของวัว แล้ว จะมาถามอะไรถึงการโคจรของดวงดาวครับ แทนที่จะให้ผมทำความเข้าใจเรื่องปกติแบบการโคจรของดวงดาว ผมว่า login แมทท์ ไปอ่านกุรอ่านให้ดีดีกว่า ก่อนจะมาทำตัวเป็น ผู้รู้จอมปลอม นักวิชาการจอมมั่วแบบนี้ จะรับผิดชอบคำพูดตัวเองได้หรือยัง จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 17:38:48

ความคิดเห็นที่ 39 จะเห็นได้ว่า พวกที่คิดว่าตัวเองเข้าใจกุรอ่านนั้น กลับมั่วนิ่มแทบบจะทุกขั้นตอน พยายามบอกว่า มุสลิมอื่นๆ เป็น ลัทธิมุฮัมมัด แต่กลับไม่มีปัญญาจะตอบแม้แต่เรื่องละหมาด คนแบบนี้แหละครับ ลัทธิแมทท์ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 17:41:20

ความคิดเห็นที่ 40 ผมตามอ่านคุณสองคนมานานแล้ว ผมเป็นมุสลิมที่ไม่ค่อยได้เรื่องนัก แต่ก็พยายามตั้งใจจะเป็นมุสลิมที่ดี แต่เห็นคุณสองคนเถียงแล้วหน่ายใจ ผมว่าคุณสองคนเถียงกันชาตินี้ก็ไม่จบ เพราะ ใช้จุดอ้างอิงที่เป็นคู่ขนานกัน เถียงกันไปเถียงกันมา ผมไม่เข้าใจว่า การจับประเด็นมาเถียงมันยากมากมั้ย คุณแมทต์  จุดยึดคือ อัลกรุอานไม่เอา บันทึกเกี่ยวกับท่านนบีมาเป็นหลักยึด เพราุเชื่อว่า บันทึกนั้นไม่ถูกต้อง และไม่จำเป็น อีกทั้ง การแปลนั้นไม่ได้ใช้คำแปลตามที่มาภาษาไทย คุณ Carroth จุดยึดคือ อัลกรุอานฉบับแปล ภาษาไทย และบันทึกเกี่ยวกับท่านนบี เป็นหลักยึด ถอยหลังกลับไปเริ่มที่จุดเริ่มต้นดีไหม ผมจะได้ตามอ่านด้วย ว่าอะไรน่าเชื่อถือกว่ากัน ให้คนอื่นๆที่ตามมาอ่าน จะได้ไม่งงด้วย เพราะคุณเล่น เถียงโดยใช้จุดยืนต่างกัน แล้วมาพ่นใส่กัน ต่่างคนต่างเอามาแปะ ทั้งที่ ต่างคนต่างไม่ได้เชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายเอามาแปะตั้งแต่แรก เถียง แบบคู่ขนานแบบนี้ ประเด็นก็เลยไม่เคยปิด จากคุณ : ผิดพลาดขออภัย (Yaoharee) เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 19:33:46

ความคิดเห็นที่ 41 แล้ว ขอได้ไหม เรื่อง การซัดโคลนใส่กันว่าบิดเบือนไม่บิดเบือน ให้ คนอ่านตัดสินเถอะครับ ใครเชื่อไม่เชืออะไร คุณ Carroth เองผมรุ้ว่าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญสายนี้ แต่คำพูดของคุณ แต่ละบรรทัด มีแต่คำด่า ประชดประชัน ขอเนื้อๆ ตีเป็นข้อๆ   เด่วผมไปตั้งเประเด็นให้ เอง จากคุณ : ผิดพลาดขออภัย (Yaoharee) เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 19:38:54

ความคิดเห็นที่ 42 เรื่องแรก การแปล อัลกุรอาน ข้ามภาษา จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 19:42:54

ความคิดเห็นที่ 43 คุณ Carroth      ผมอ่านหมดแล้วนะครับ "อัลกุรอานแปลไทยฉบับนี้" คุณ ก็พยายามอย่างยิ่ง ที่จะลอก เอา ข้อความและคำแปลเหล่านี้ มาอธิบาย ให่ผมอ่าน อยู่เสมอ ผมต้องการฟัง ความคิดเห็นของคุณ ว่าคุณเข้าใจอย่าง ไร?  ครับ      ผมไม่ต้องการเห็นแบบพิมพ์ ที่จำกัดสติปัญญาของคุณ ผมต้องการฟังความคิดเห็นของคุณด้วยเหตุผลตาม ที่พระเจ้าให้สติปัญญาในการ แสดงความคิด เห็น ของมนุษย์อย่างอิสระ  เพื่อที่จะได้ได้เห็น ความเข้าใจ อิสลาม ที่แท้จริงของคุณ      ความศรัทธาทางจิตวิญญาณ เป็นการเชื่อว่า ร่างกายมนุษย์เป็นเพียงเปลือกภายนอกที่ "จิตวิญญาณ" เข้ามาอาศัยอยู่ เพื่อปฏิบัติภาระกิจสนองพระประสงค์ของพระเจ้า,  "ตัวอสุจิ" เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกายภาพที่ยังไม่สมบูรณ์ ไม่อาจจะติต่อกับ พระเจ้าและหรือ เทวทูตของพระเจ้าได้     ซึ่งในการทำคำมั่นสัญญาต่อพระเจ้าก่อนที่มนุษย์จะมาเกิดในครรภ์มารดา, การติดต่อจึงจะต้องอยู่ในสภาพจิตวิญญาณ ก่อนที่จะมาจุติในมนุษย์ เมือ่เริ่มต้น ขบวนการ "Fusion" ของอสุจิกับไข่, ในมดลูก ของมารดา... ฯลฯ     นี่คือเหตุผลของผม  เพื่อตอบคำถาม ที่ว่า ทราบได้อย่างไรว่า เป็นจิตวิญญาณไม่ ใช่"ตัวอสุจิ", ซึ่งความรู้ในเรื่องนี้ผมมีมากกว่าคุณทั้งทางวิชาการและความชำนาญ อย่างแน่นอน    แต่ผมอาจจะด้อยปัญญา ตามแนวความคิดเห็นของคุณ ซึ่งเกิดจากผมศึกษามาต่างจากคุณมาก, แต่อย่างไรก็ตามผมก็ยัง นับถือในความขยันและความยึดมั่นกับคำสอนที่คุณถูกอบรมสั่งสอนมา ทั้งทาง ศาสนาและมรรยาท จากภายในครอบครัวของคุณ      ในการรับบัญญัติจากพระเจ้า เทวทูตติดต่อกับศาสนทูตทางจิตวิญญาณ ในขณะที  อยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์ ทั้ง ร่างกายและ สมอง(สติปัญญา) สิ่งต่างๆ ที่บรรยายออกมาใน อัลกุรอาน พระเจ้าต้องการยืนยันให้ มนุษย์ได้เข้าใจในประสบการณ์ของ จิตวิญญาณ ของท่านศาสนทูตมูฮัมมัดตามพระประสงค์ของพระองค์    คุณขาดความเข้าใจเกี่ยวกับ กระดาน เสวนา ไปอย่างหนึ่งคือ วัตถุประสงค์ ในการเปิดกระดานเสวนา ก็เพื่อให้ ผู้คนที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน หรือ เหมือนกัน มาแลกเปลี่ยน ความคิดเห็น ซึ่งอาจจะนอกเหนือไปจากหลักวิชาการ หรือ ทฤษฏีใดๆก็ได้ อาจจะเป็นการคัดค้านหรือ เห็นด้วย ก็ตาม จะต้อง อยู่ในกรอบของ วัฒนธรรมในสังคมของไทยเรา ทั้งทางมรรยาทและสำนวน ซึ่งตามธรรมชาติของมนุษย์ อาจจะมีบ้างที่ ออกจากรอบดังกล่าวไป    แต่ถ้าผู้ร่วมเสวนา ใช้เหตุผลและ ความเข้าใจ ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเห็นด้วยตามกัน แล้วจะทำให้เกิดความสามัคคีกัน และมีความคิดเห็นใหม่ๆ เกิดขึ้น ซึ่งอาจจะตอบคำถาม ของ ผู้ที่ข้องใจแต้ไม่กล้าจะถามเนื่องจาก ความกลัว หรือ ไม่ต้องการมีข้อ พิพาท กับผู้ที่ไม่เห็นด้วย และผุ้ที่แสดงความเป็น อันธพาล เจ้าถิ่น ไม่ยอมให้ผู้ใด เข้ามาแสดงความคิดเห็นที่ขัดกับความคิดเห็นของเขาหรือกลุ่มของเขา   ไม่มีใครในที่นี้ต้องการตั้งตัวเป็นนักวิชาการ แต่กระทู้ในการเสวนาทำให้เกิดการศึกษาเพิ่มเติมใหม่ๆ ขึ้นมา ซึ่งเราอาจจะไม่ทราบมาก่อน เช่น ในเรื่อง การแยกดวงจันทร์ นี้ ผมไม่ทราบความจริงมาก่อนว่า มีการอ้างอิงถึง ราชาชาวฮินดู ในประเทศอินเดีย ผู้ซึ่งได้รู้เห็นประสบการณ์ ปรากฎการณ์นี้ด้วย และเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม, และมาสิ้นชีวิตลงที่ ตะวันออกกลาง แต่พอสืบสาวค้นความถึง ผู้ขำนาญในเรื่องนี้ ปรากฏว่าไม่มี ความจริง ผมว่าคุณคงทราบเรื่องนี้ดี     พระเจ้าให้เราศึกษาธรรมชาติและวิชาการต่างๆ ในขณะที่เราศึกษาอัลกุรอาน เพื่อที่เราจะได้เข้าใจข่าวสารของพระองค์(อัลกุรอาน) ได้ถูกต้อง ดังเช่น เรื่อง แรงโน้มถ่วง และแรงดึงดูดของดวงดาวต่างๆ (วิชาฟิสิกส์) ในระบบสุริยจักรวาล จะต้องสมดุลย์กัน     ผมอยากแนะนำให้คุณทำความเข้าใจใน 4 บัญญัติ จากอัลกุรอาน ต่อไปนี้ คุณจะได้เข้าใจว่าผมเอาความรู้เกี่ยวกับความสมดุลย์ในระบบสุริยจักวาลมาจากที่ใด? Allah is He Who raised the heavens without any pillars that ye can see; is firmly established on the throne (of authority); He has subjected the sun and the moon (to his Law)! Each one runs (its course) for a term appointed. He doth regulate all affairs, explaining the signs in detail, that ye may believe with certainty in the meeting with your Lord. (Yusufali 13:2) He created the heavens and the earth in true (proportions): He makes the Night overlap the Day, and the Day overlap the Night: He has subjected the sun and the moon (to His law): Each one follows a course for a time appointed. Is not He the Exalted in Power - He Who forgives again and again? (Yusufali 39:5) The sun and the moon follow courses (exactly) computed(Yusufali 55:5) It is not permitted to the Sun to catch up the Moon, nor can the Night outstrip the Day: Each (just) swims along in (its own) orbit (according to Law). (Yusufali 36:40) จากบัญญัติทั้ง 4 ก็เพียงพอจะ กล่าาว่า  “ดวงจันทร์ไม่เคยถูกแยกออกจากกันมาก่อนเลย” แต่พระเจ้า ได้ให้คำตักเตือนถึงการทำความดีโดยเชื่อฟังข่าวสารที่พระองค์ (อัลกุรอาน) ซึ่งส่งผ่านศาสนทูตของพระองค์ คือ ท่าน ศาสนทูตมูฮัมมัด และจะมีปราฏการณ์ อะไรเกิดขึ้น ในอนาคต  เอกสารอ้างอิง.... 1.The Qur'an (Quran, Koran, Al-Qur'an). Translated by Abdullah Yusuf Ali. Published by MobileReference (mobi). (Kindle Edition) by Abdullah Yusuf Ali (Author) 2.Al-Qur'an: A Contemporary Translation.(Paperback) by Ahmed Ali 3.Holy Qu'ran: Al-Kahf, Maryam, Ta Ha, Al Anbiya by Sheikh Abdul Rahman Al Sodais การแปลอัลกุรอานทุกๆภาษา แปลคล้ายๆกัน แต่ที่สำคัญ อยู่ที การ อธิบาย ตัฟซีร และความเข้าใจคำอธิบายเหล่านั้น และจะต้องเข้าใจว่า ผู้อธิบาย ใช้บรรทัดฐานอะไรมาอธิบาย  รวมทั้งความรู้ อย่างกว้างขวางและ ความมีใจกว้างพอที่จะ ยอมรับคำอธิบายที่ แตกต่างจากที่ เราเคยเรียนรุ้มาแต่เด็ก     ถ้าทำความเข้าใจ อายะ3:7  ได้อย่างดีแล้ว  จะไม่มีความยากลำบากใน การเข้าใจ การอธิบายของผู้แปลว่ามีความรู้พื้นฐานมากน้อยเพียงใด                      ******************************         ความสงสัยข้างล่างนี้แสดงว่า คุณแครอธ แกไม่เข้าใจ เรื่องนี้เลย "ดังนั้นแล้ว การจะมาทำเป็นสู่รู้ว่า โองการที่ 2:27 นั้นแปลว่าอะไร แล้วใครแปลผิดใครแปลถูกสำหรับ login แมทท์จึงเป็นเรื่องที่ไร้สาระมากๆ นั่นเพราะแมทท์ไม่ได้มีความรู้อะไรในเรื่องศาสนามากมาย แล้วที่บอกว่า คำสัญญานั้นเป็นสมัยเป็นวิญญาณ ไม่ใช่อสุจินั้นไปเอามาจากไหนถ้าไม่ใช่ไปเอามาจากคนอื่น? อีกตามเคย แล้วถ้าบอกว่าไม่ใช่ อสุจิ แล้วทำไมถึงไม่ใช่ ผิดตรงไหนผิดอย่างไร ไม่ต้องมาอ้างผมหรอกนะครับ เพราะผมเองไม่ได้มีความรู้ขนาดจะไปสู่รู้ตีความกุรอ่านเอง และสำหรับผมก็ไม่ใช่ประเด็นด้วยเพราะจะเป็นวิญญาณหรือจะเป็นอสุจิก็แล้วแต่ถ้าหลักฐานยืนยันว่าแบบใด ก็แบบนั้น เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่จะตรัสกับสิ่งใดก็ได้ ไม่ใช่เฉพาะกับอสุจิ แต่กับทั้งฟ้า และดิน ด้วย ..................                   **************************** จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 52 02:19:58

ความคิดเห็นที่ 44 .        ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ คุณจะอ่าน กุรอ่านแปลไทยหมดหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้มันไม่สามารถยืนยันด้วย เนื่องจากลักษณะคนสับปลับของคุณเอง แต่ที่สำคัญคือ ที่ผมเอามาลงแล้วเอามาลงอีกเนี่ย อ่านบ้างหรือเปล่า อ่านแล้วทำไมไม่ยอมตอบให้ตรงประเด็น จะเลี่ยงประเด็นไปถึงไหนต่างหาก          และผมไม่ใช่พวกที่ โง่แล้วอวดฉลาด โดยพยายามที่จะอธิบายกุรอ่านด้วยตัวเอง ทั้งๆที่ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ          ที่สำคัญก่อนที่ผมจะนำกุรอ่านหรือคำอธิบายทั้งหลายแหล่มาลง ผมอ่านก่อนครับ แล้วถึงนำมาลง นั่นแปลว่าผมเห็นด้วย และคิดแบบที่บทความอธิบายไว้ ผมถึงได้คัดลอกมา ดังนั้นกรุณาอย่างมาอ้างนั่นอ้างนี่เพื่อหลีกเลี่ยงการสนทนาในประเด็นเนื้อหาหลักครับ          ในกรณีของตัวอสุจิก็เช่นกัน ผมบอกแล้วครับว่า อัลลอฮฺจะทรงตรัสกับอสุจิ หรือจิตวิญญาณก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญ แต่หลักการอ้างอิงต่างหากล่ะครับ ที่ผมถาม ผมถามว่าคุณไปเอาหลักการมาจากไหนว่า ต้องเป็นวิญญาณเท่านั้นไม่ใช่อสุจิ          และคุณก็ได้ตอบมาด้วยความไม่เข้าใจว่า อสุจิเป็นส่วนหนึ่งทางกายภาพที่ไม่สมบูรณ์ จึงไม่อาจติดต่อกับอัลลอฮฺได้ ซึ่งผิดเต็มๆ          นี่คือ กุรอ่านนะครับ แล้วอ่านซะว่า ส่วนหนึ่งของกายภาพนั้น พูดได้หรือไม่?          36:65. วันนี้เราจะปิดผนึกปากของพวกเขาและมือของพวกเขาจะพูดแก่เรา และเท้าของพวกเขาจะเป็นพยานตามที่พวกเขาได้ปฏิบัติไว้ (*4*)          (1)  ในวันนี้คือวันกิยามะฮฺ เราจะปิดผนึกปากของพวกกุฟฟารเพื่อมิให้พวกเขาพูด และอวัยวะของพวกเขาจะพูดเป็นพยานต่อการกระทำของพวกเขา          นี่เป็นการแสดงให้เราทราบว่า ถ้าพระองค์ประสงค์สิ่งใดแล้ว การใดๆ ก็ย่อมเป็นไปตามที่พระองค์ประสงค์ คุณอ้างตัวว่าเป็นมุสลิมแต่กลับแสดงออกหลายครั้งว่า สิ่งต่างๆ ต้องเป็นไปตามที่คุณคิด โดยไม่คำนึงถึงอำนาจของอัลลอฮฺ ว่าพระองค์จะทำสิ่งใด ประสงค์สิ่งใดก็ย่อมได้ ไม่มีอะไรมาห้ามพระองค์ นอกจากพระองค์เองจะไม่ประสงค์การต่างๆ จึงจะไม่เกิดได้          จึงไม่ความจำเป็นอะไรเลยที่เรื่องนี้จะต้องเป็นไปตามที่คุณคิดว่า "... การติดต่อจึงจะต้องอยู่ในสภาพจิตวิญญาณ ก่อนที่จะมาจุติในมนุษย์ เมือ่เริ่มต้น ขบวนการ "Fusion" ของอสุจิกับไข่, ในมดลูก ของมารดา... ฯลฯ..."          ตรรกะของคุณไม่ได้สมเหตุสมผลอะไรเลยนะครับ แถมยังแสดงให้เห็นว่า คุณไม่เชื่อในอำนาจของอัลลอฮฺอีกด้วยซ้ำ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 52 19:07:10

ความคิดเห็นที่ 45 ผมจะบอกให้นะครับความเขลา ความด้อยปัญญาของคุณที่คุณแสดงออกมา ไม่ว่ามันจะเกิดจากการที่คุณเป็นคนโง่เขลาจริงๆ หรืออารมณ์ฝ่ายต่ำ และความคิดที่ชั่วช้าทำให้คุณเป็นคนโง่เขลา ก็ตาม แต่สิ่งที่คุณแสดงออก มันไม่เกี่ยวกับการศึกษาที่แตกต่าง แต่มันเกิดจากการแสดงความเห็นของคุณเองที่มักผิดพลาด และไม่สามารถรับผิดชอบคำพูดตัวเองได้ อีกทั้งยังขัดกับกุรอ่าน ที่คุณอ้างว่ายึดถือเต็มที่อยู่ตลอด          ผมจึงไม่ได้ขาดความเข้าใจเกี่ยวกับกระดานสนทนาเรื่องความคิดที่แตกต่าง การแลกเปลี่ยน และการทำความเข้าใจซึ่งกันและกันหรอกนะครับ แต่คุณเองนั่นล่ะ เข้าใจหรือไม่ว่า การคิดต่างนั้น ต้องไม่ใช่การบิดเบือน และโกหกปลิ้นปล้อน พูดจากสิ่งที่ ถูกเป็นผิด ผิดเป็นถูก          หรือแม้แต่การจาบจ้วงล่วงเกินตั้งแต่ศาสดา คัมภีร์ในศาสนา จนถึงผู้รู้ต่างๆ ในศาสนา แบบนี้เรียกได้หรือครับว่าเป็นจรรยามารยาทที่ดี ที่เหมาะสมกับกระดานสนทนาแห่งนี้ หรือแห่งไหนก็แล้วแต่          และคุณควรพิจารณาตัวเองให้ดีนะครับว่าการสนทนาต่างๆ แต่ละครั้งของคุณน่ะ มันเป็นคำถามที่ถามด้วยความสุภาพ หรือเป็นคำพูดที่ดูหมิ่น ดูแคลน และจาบจ้วงล่วงละเมิดศาสนาของผู้อื่น และการอ้างตัวว่าเป็นมุสลิม โดยที่ไม่ได้มีความเป็นมุสลิมอยู่นั้นน่ะ มันเป็นเรื่องที่สมควรเกิดในกระดานสนทนางั้นหรือครับ?          ดังนั้นการพูดคุยทางวิชาการนั้น เกิดขึ้นได้ และน่าสนับสนุนถึงแม้ว่า จะมีความคิดเห็นต่างกันอย่างสุดขั้ว แต่นั่นต้องไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการโกหก กลับกลอก ตลบแตลง และการกล่าวตู่โดยไม่เป็นความจริง อย่างที่คุณทำนะครับ login แมทท์          ถ้าคุณจะปฏิเสธว่าคุณไม่เคย โกหก กลับกลอก ตลบแตลง และกล่าวตู่โดยไม่เป็นความจริงล่ะก็ ผมจะเอามาให้อ่านอีกรอบก็ได้นะครับ จะปฏิเสธไหมล่ะ? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 52 19:09:09

ความคิดเห็นที่ 46 เรื่องการโคจรในระบบสุริยะนั้น ผมจะเอามาให้อ่านแบบชัดๆ เองครับ          13:2. อัลลอฮฺคือผู้ทรงยกชั้นฟ้าทั้งหลายไว้โดยปราศจากเสาค้ำจุน ซึ่งพวกเจ้ามองเห็นมัน แล้วทรงสถิตย์อยู่บนบัลลังก์(*1*) และทรงให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นประโยชน์ (แก่มนุษย์) ทุกสิ่งโคจรไปตามวาระที่ได้กำหนดไว้ ทรงบริหารกิจการทรงจำแนกโองการทั้งหลายให้ชัดแจ้ง เพื่อพวกเจ้าจะได้เชื่อมั่นในการพบพระเจ้าของพวกเจ้า          (1)  การสถิตย์ที่คู่ควรเหมาะสมกับพระเกียรติของพระองค์โดยไม่ต้องเปรียบ เทียบ ไม่ต้องยกตัวอย่าง และไม่บิดเบือน นี่คือแนวทางการศรัทธาในเรื่องนี้ของบรรดาสลัฟ (บรรพชนรุ่นแรก) ท่ามอิมามมาลิก ร่อฮิมะฮุลลอฮฺกล่าวไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “การสถิตย์เป็นที่รู้จักกันดี การสถิตย์อย่างไรเราไม่รู้ การอิมานต่อเรื่องนี้เป็นวาญิบ (จำเป็น) การถามซักไซ้เป็นบิดอะฮฺ”          55:5. ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน (*1*)          (1)  คือโคจรไปตามวิถีของมันที่แน่นอนเพื่อประโยชน์ของปวงบ่าว เช่น การรู้จักเวลาทำอิบาดะฮ.และ ฯลฯ ซึ่งนับได้ว่าเป็นปรากฏการณ์แห่งความเมตตา          55:6. และผักหญ้า และต้นไม้จะกราบสุญูด (*1*)          (1)  อิบนฺ อับบาส และอิบนฺ ญะรีร กล่าวว่า คำว่า "อันนัจมฺ" นั่นคือไม้ลำต้นอ่อน เช่น ผักหญ้าซึ่งเป็นอาหารของปศุสัตว์ มุญาฮิด และอิบนฺกะซีร กล่าวว่า อันนัจมฺ หมายถึงดวงดาวในท้องฟ้า ความหมายก็คือ ต้นไม้และผักหญ้าหรือดวงดาว จะยอมจำนนแด่อัลลอฮฺตามที่พระองค์ทรงประสงค์อย่างศิโรราบ มันทั้งสองจะไม่ฝ่าฝืนเสมือนกับมนุษย์และญินได้ฝ่าฝืน          55:7. และชั้นฟ้านั้นพระองค์ทรงยกมันไว้สูง และทรงวางความสมดุลไว้ (*1*)          [b]36:39. และดวงจันทร์นั้น เราได้กำหนดให้มันโคจรตามตำแหน่ง จนกระทั่งมันได้กลายมาเป็นเช่นกิ่งอินทผลัมแห้ง (*1*)          36:40. ดวงอาทิตย์ก็ไม่สมควร (อนุมัติ) แก่มันที่จะไล่ตามใกล้ดวงจันทร์ และกลางคืนก็จะไม่ล้ำหน้ากลางวัน และทั้งหมดนั้นจะเวียนว่ายอยู่ในจักรราศี (*1*)            ไม่ต้องกลัวว่าผมจะไม่อ่านครับ ผมเอาโองการแวดล้อมมาให้อ่านด้วยเลย ถึงการวางสมดุลไว้ แล้วช่วยบอกผมหน่อยนะครับว่า ตรงไหน ที่บอกว่า อัลลอฮฺสัญญาว่าพระองค์จะไม่ผ่าดวงจันทร์ หรือจะไม่ทำให้มันแยกออกจากกัน หรือบอกว่า ถ้ามีการผ่าดวงจันทร์แล้ว สมดุลดังกล่าวจะเสียช่วยบอกผมหน่อยนะครับ หรือแม้แต่ตรงไหนที่บอกว่าดวงจันทร์จะไม่มีวันแยกออกจากกัน แล้วรวมกันอีกไม่ได้ก็ไม่มี          ผมก็ไม่รู้ว่า login แมทท์จะเอาโองการเหล่านี้มาทำไม เพราะไม่ได้บ่งบอกเลยว่า การผ่าดวงจันทร์จะทำให้วงโคจรเสียตรงไหน หรือคุณจะบอกว่า อัลลอฮฺไม่สามารถทำให้ดวงจันทร์แยกออกโดยสมดุลย์ไม่เสียล่ะครับ? (อัสตัฆฟิรุลลอฮฺ) ทั้งๆที่โองการที่คุณยกมา ก็บอกชัดๆอยู่แล้วว่า การโคจรต่างๆ นั้น อัลลอฮฺกำหนดเอง          แล้วไปเอามาจากไหนไม่ทราบครับว่า 4 โองการนี้ บ่งบอกว่า ดวงจันทร์ไม่เคยถูกแยกออกจากกันเลย? บอกมาซิ ประโยคไหน? บอกได้ไหมล่ะ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 52 19:09:35

ความคิดเห็นที่ 47 แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าผมไม่เข้าใจอะไรทั้งๆ ที่ตัวเองยังไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าหลักการแปลภาษานั้นคืออะไร แล้วจำเป็นต้องมีอะไรบ้าง และทำไมต้องมีตัฟซีร หรืออรรถาธิบาย แค่เรื่อง การอัศจรรย์ ยังสับสนแล้วเผลอบอกว่า กุรอ่าน คือ miracle เดียวที่เกิดกับ ท่านนบีมุฮัมมัด ทั้งๆ ที่กุรอ่าน บอกถึงการอัศจรรย์ที่เกิดกับท่านอีกมากมาย          ผมถึงถามไงล่ะครับว่า login แมทท์ ไปเอาหลักการ และบรรทัดฐานอะไรมาแปลกุรอ่าน ตัวเองก็แทบไม่มีความรู้ด้านภาษาอาหรับ เรื่องประวัติศาสตร์ก็แทบจะไม่รู้ เรื่องวัฒนธรรม ประเพณีในยุคนั้น ก็ต้องพึ่งพาบรรดาผู้ใช้ฮะดีษถึงจะรู้ว่าสมัยนั้นเป็นอย่างไร          เรื่องเบื้องต้นแค่หลักการแปลภาษายังไม่เข้าใจ แล้วจะมาทำเป็นอธิบายกุรอ่านเหรอครับ คนอย่าง login แมทท์มีคุณสมบัติอะไร มีความรู้อะไรเหรอครับ          และถ้ามีความรู้จริงจะหลุดคำพูดแบบนี้มาไหม?          คำตอบอยู่ใน อายะ 3:7 ครับ “...และไม่มีใครรู้ในการตีความโองการนั้นได้นอกจากอัลลอฮ์ และบรรดาผู้ที่มั่นคงในความรู้เท่านั้น(*6*)” และคำอธิบายที่ว่า.. “..(6)  มีพื้นฐานแห่งความรู้อย่างมั่นคงเกี่ยวกับคุณลักษณะต่าง ๆ ของพระองค์ (ศิฟาต) และความมุ่งหมายในบทบัญญัติของพระองค์ ตลอดจนมีความรู้เกี่ยวกับหลักภาษาที่เป็นโองการของพระองค์อย่างกว้างขวาง ด้วย” ................................... คำอธิบาย  “(6)” นี้คือวิธีการ ปก ป้องการเข้าใจอัลกุรอานของผู้ที่เห็นแก่ตัวไม่ต้องการให้ผู้ใดได้รับความรู้ จากการเข้าใจอัลกุรอานตามสติปัญญาของตนเอง, จะต้อง เข้าใจอยู่ในกรอบ ควาวมคิดความเข้าใจ ของ กลุ่มคนที่ยังไม่เข้าใจว่า “อินเทอเนท” คืออะไร?  กล้องถ่ายภาพคืออะไร?  และมนุษย์สามารถจะไป สกัดหินจากดวงจันทร์ ลงมายังโลกมนุษย์ได้ อย่างไร? ไม่เข้าใจความสมดุลย์ของแรงโน้มถ่วงในระบบสุริยจักวาล,  ไม่เข้าใจว่า พระเจ้าไม่ต้องการให้ศาสนาของท่าน ยุ่งยาก ต่อการเข้าใจและปฏิบัติ          แมทท์กำลังจะบอกว่า การเข้าใจกุรอ่าน ไม่ต้องเข้าใจหลักภาษาก็ได้งั้นหรือ? สามารถเดาเอาตามมีตามเกิดก็ได้งั้นหรือไง? เอาหลักการที่ไหนคิด? ถ้างั้นก็ไม่ต้องรู้แล้วมังครับภาษาอาหรับ ก็เปิดอ่านแล้วเดาเอาเองตามใจชอบไปเลยหมดเรื่อง ไม่ต้องรู้ความหมายเลยสักนิดก็ได้สิครับ ถ้าบอกว่า ความเข้าใจเกี่ยวกับภาษานั้น ไม่สำคัญ และเป็นตัวขัดความการเข้าใจกุรอ่านด้วยตนเอง          ดังนั้น ถ้าคิดจะศึกษาเอาเอง และไม่สนหลักภาษา วัฒนธรรม หรือจุดมุ่งหมายของโองการแล้วล่ะก็ นั่นไม่ใช่การใช้สติปัญญาในการทำความเจ้าใจครับ แต่นั่นคือการ มั่วนิ่ม ตามความใคร่ และอารมณ์ฝ่ายต่ำของตัวเอง ซึ่ง login แมทท์ กำลังพยายามทำอยู่ และยังจะให้คนอื่นทำผิดตามไปด้วย จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 52 19:10:04

ความคิดเห็นที่ 48 เอาล่ะครับ อบรมกันมาพอสมควรแล้ว สรุปจะรับผิดชอบคำพูดตัวเองได้หรือยังครับ กับคำพูดพล่อยๆ แบบนี้ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 52 19:11:22

ความคิดเห็นที่ 49 สรุปจะตอบมั๊ยครับ login แมทท์ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 52 19:11:49

ความคิดเห็นที่ 50 กระทู้แตกประเด็นเรื่อง...ลัทธิมุฮัมมัด... เพื่อไม่ให้กระทู้เบี่ยงเบนประเด็น... จากคุณ : Crescent ) เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 52 01:15:10