ความคิดเห็นที่ 1 พุทธที่ไ่ม่เห็นด้วยท่านอื่นอย่าพึ่งโต้แย้งนะครับ ผมอยากฟัง real ธรรมกาย ชี้แจงในหลักธรรมข้อนี้ก่อน แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 52 02:46:26 จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 02:45:59

ความคิดเห็นที่ 2 อยากใส่แหวนไก่ย่างบ้างมั้ยล่ะ??? จากคุณ : บุษกรจันทร์ เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 03:22:22

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่อยากซะหน่อย แค่อยากรุ้ว่า หลักธรรมหนะ ท่าน #2 ผมเชื่อว่าต้องมีของดีอยู่ในนั้น ให้โอกาสหน่อย ^^ จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 03:31:50

ความคิดเห็นที่ 4 โอเคๆๆ..จะรออ่านเฉยๆ ไม่วิจารณ์ ...แต่อยากรู้ว่า อะไรคือแหวนหมูย่าง  อะไรคือแหวนไก่ย่าง   อร่อยแค่ไหน ?  มีขายที่ไหน ? จากคุณ : ศิษย์พระป่า เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 03:50:47

ความคิดเห็นที่ 5 พวกเราอย่าตกหลุมพรางครับ   ตอนนี้ห้องศาสนากำลังแตกแยกเรื่องทัวบุญ  ตอนนี้มันมีตัวเสี้ยมให้คนพุทธทะเลอะกันโผล่มาแล้ว  อย่าให้คนต่างศาสนาหาประเด็นให้คนพุทธทะเลอะกันครับ   มันคงนั่งหัวเราอะเอิ๊กอ๊ากแน่   เรื่องธรรมกายเป็นเรื่องละเอียดที่ต้องคุยกันเฉพาะในคนพุทธเท่านั้น โปรดงดเว้นการแสดงความคิดเห็นในกระทู้นี้ครับ จากคุณ : SLK200 เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 04:29:45

ความคิดเห็นที่ 6 นั่นสิคะ คุณ SLK200 จกขท. ทำไมไม่ลอง search กระทู้เก่าๆ ดูล่ะคะ จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 04:32:54

ความคิดเห็นที่ 7 จินตนาการกันได้อีก - -" ที่ทะเลาะกันก็เพราะทิฐิของตัวเองทั้งนั้นไม่ใช่หรือครับ จะมาโยนมั่วซั่วแบบนี้มันตลก นะครับ จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 04:39:30

ความคิดเห็นที่ 8 ของขึ้นนะเนี่ยะ คนเราถามดีๆบอกเสี้ยม เพราะอัตตาศาสนาตู นิกายตูไม่ใช่หรือ จึงทำให้เกิดความขัดแย้ง ทำไมไม่คิดในแง่ดีละครับว่า อย่างน้อยก็ลองหัดเป็นผูู้ฟัง ฟังด้านดีของฝั่งตรงข้าม ให้โอกาสเค้าได้พูดข้อดีบ้าง โดยไม่ต้องรีบโต้แย้งไม่ได้หรือ หลักธรรมมันลึกซึ้งขนาดนัั้นเลยหรือ จากคุณ :   ความคิดเห็นที่ 90 น่าแปลกใจ ข้อเท็จจริง กลายเป็นเรื่องหยาบคาย ทำไมเราไม่พูดกันว่าจริงหรือไม่ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ??? กำลังพยายามนำเสนอภาพลักษณ์อะไร ??? ธรรมกายคือความดูดี โดยไม่ต้องสนใจข้อเท็จจริงหรืออย่างไร ??? เรามองที่ความดูดี หรือความจริง โอเค ผมยอมรับ ว่าผมใช้ภาษาที่อ่านแล้วดูหยาบกระด้าง ผมไม่ใช่คนที่ใช้ภาษาสวยๆ ที่อ่านแล้วดูดี แต่พูดเรืองจริง ความจริงที่มีอยู่แล้ว ................................................................................................ จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 13:29:54   ความคิดเห็นที่ 91 ผมเอง ก็น่าแปลกใจนะครับ... คุณ เจ้าของกระทู้ ยังมีความเป็น พุทธบริษัท มากกว่าคนพุทธซะเอง... ขอโทษทีนะครับ...ผมเพิ่งเปิด LINK ของ คุณ promp888 ที่ลงไว้ เรื่อง โลภะ #55 ในทัศนาคติของผม..ผมคิดว่าคุณต้องการทำลาย...........(สิ่งที่คุณก็รู้ว่าคืออะไร..) จริงๆ แน่นอน คุณ..นี่ ความรู้ ปัญญา ก็ไม่ใช่น้อย ไม่น่า ปล่อยให้โมหะ กำเริบ เลย... ผมเลยโดนอานิสงส์ไปด้วย... ผมและ ศิษย์คนอื่นๆ ของวัดพระธรรมกาย ไม่ใช่ศัตรูที่แท้จริงสำหรับคุณ นะครับ.. ศัตรูที่แท้จริง คือ กิเลส ครับ.. ไม่ใช่ผม  ถ้าคุณสามารถเอาชนะกิเลส ได้ ผมก็อนุโมทนา ครับ... ผมเป็นกัลยาณมิตร ที่ทำนุบำรุง พระพุทธศาสนาเสมอมา... และจนตาย ดูแล้วพินิจให้ละเอียดอีกรอบนะครับ คุณ promp888 ว่าผมไม่ใช่ศัตรู ที่ลากมานี้ แค่เตือนสติครับ... “ โลภะ  ละด้วยการให้ทาน การเสียสละ เกื้อกูลกันในทางที่ชอบ...“  ชัดเจนพอนะครับ "ละ" ครับ ไม่ใช่ "โลภ"... เข้าใจ นะครับ... ........... จากคุณ : เหนื่อยใจ... (เพราะเราคือ....) เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 15:27:44   ความคิดเห็นที่ 92 ขอชื่นชมเจ้าของกระทู้นะครับ แม้จะเป็นคนต่างศาสนิกแต่ก็มีใจเปิดกว้าง ในขณะที่เจ้าของศาสนาเอง แต่ละคนอัตตาตัวโตๆ ทั้งนั้น ทุ่มเถียง เสียดสี ประชด แดกดัน กลางที่สาธารณะกันอย่างไม่อายใคร เอาเป็นว่าไอ้ที่เถียงกันเอาเป็นเอาตายน่ะ แต่ละคนเอาตัวรอดได้ตามแนวที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ได้ผลแห่งการปฎิบัติตามที่พระองค์ได้กล่าวไว้มากน้อยแค่ไหนหรอครับ ฤาท่านจะเป็นเพียงแค่ผู้ทรงภูมิรู้ภูมิธรรมที่เอาธรรมะอันทรงคุณค่าที่ได้เรียนรู้มาไว้อวดเบ่ง กดขี่ คนที่ไม่เห็นด้วยกันตนเอง ใช้พื้นที่ในห้องศาสนาเพื่อการทำลายศีลข้อ 4 ของตนเองด้วยการใช้นิ้วพิมพ์วาจาเชือดเฉือน ถากถาง ให้คนที่ตนไม่ชอบเจ็บกระดองใจเล่น อัตตาทั้งนั้น เวรกรรมของพระศาสนาแท้ๆ จากคุณ : เกี๊ยวหมี่แห้ง เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 15:50:38   ความคิดเห็นที่ 93 ผมเป็นมนุษย์ ผมยังมีหัวเข็มขัด เป็น หัวจรเข้ หัวสิงห์โต มังกร เป็นเครื่องประดับ  ขึ้นชื่อว่าจิตเป็นได้ทุกอย่าง จากคุณ : ธรรมชาติไพศาล เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 18:17:51   ความคิดเห็นที่ 94 “...ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ จะดีใจเสียใจไปทำไม สักวันต้องไปสู่จุดสลาย.. สิ่งทั้งหลายก็คล้ายความฝัน ตื่นขึ้นมาก็พลันหายไป...” เอหิปัสสิโก ( ขอเชิญมาพิสูจน์เถิด.. )ครับ ..................       ---ได้แต่น้ำทั้งนั้นเลย ไม่ค่อยมีเนื้อสักเท่าไร-- .................. happy new year 2553 จากคุณ : HNY 2553 (เพราะเราคือ....) เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 18:57:28   ความคิดเห็นที่ 95 ล่อเป้าทะเลาะกันเปล่าๆน่ะครับ คนเก่าๆที่เคยประฝีปาก (พิมพ์)กันในเรื่องแบบนี้เขาหยุดกันแล้ว เห็นบอกว่าถือพุทธกัน แต่ที่มาแสดงความคิดเห็นโจมตีกันในนี้ดูไม่เหมือนคนศึกษาธรรมะเลยครับ จขกท.ลองหาคำตอบจากกระทู้เก่าๆเถอะครับ smartsearch ก็มี ค้นดูก็เจอครับ มาพูดจากันในเรื่องที่เห็นไม่ตรงกันก็กระทบกันแบบนี้ไม่ดีเลยครับ ยังไงผมขออนุญาตกดลบไว้ก่อนหนึ่งเสียง เพื่อสันติสุขในบอร์ดนะครับ จากคุณ : อย่าเอ่ยถึงสิ่งไม่ดีเลย (greenflash) เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 23:46:55   ความคิดเห็นที่ 96 เป็นคนพุทธ ควรจะโอบอ้อมอารีย์ ไม่ใช่ว่า คิดในเจตนา่ร้าย ยังงี้เหมือนบาปมิใช่หรอ ดังสำนวนสุภาษิต  ของหายสะพายบาป คือมันหายไปได้ยัง  ใครขโมยก็ไม่รู้ แต่โทษคนที่คิดว่าน่าจะขโมยที่สุด เค้าถามมาก็ตอบไปดีกว่ามั้งคะ จะปีใหม่แล้ว  รักกันไว้เถอะไม่ว่า จะมีความเชื่อ ศาสนาใด ถ้ารักกัน  ประเทศคงไม่แตกหรอก ก็แค่คนอยากรู้่เฉยๆ   ดิฉันเองก็อยากรุ้เหมือนกัน จากคุณ : The_LadyKillers เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 52 00:44:29   ความคิดเห็นที่ 97 ระวัง.. อย่าตกเป็นเหยื่อ.. การยุแหย่ชาวพุทธให้ระแวง สงสัยกันเอง.. ทะเลาะกันเอง.. ใช้สติก่อน.. ว่าเขาทำอะไรกับบ้านเมืองเราไว้บ้าง.. ระหว่างที่ท่านทั้งหลายมัวแต่ทะเลาะกัน.. เป็นเบื้ยเป็นหมากให้พวกเขาเดินบนกระดาน.. เตือนได้แค่นี้นะ.. คนเหล่านี้แทรกซึมอยู่ทั่ว.. และทำงานเป็นทีม.. ขอย้ำ.. เขาทำงานเป็นทีม.. !! ถ้าชาวพุทธมัวแต่จ้องจับผิดกันเอง.. จะไม่เหลือที่ให้ยืนอีกต่อไป.. เลิกทะเลาะกันได้แล้ว.. ถึงเวลาแล้วหรือยัง.. ก่อนที่พวกเราจะกลายเป็นประชากรชั้น 2 ของประเทศ.. จากคุณ : disappear.. เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 52 10:49:59   ความคิดเห็นที่ 98 รู้ไหม.. ชาวพุทธ.. ในประเทศอดีตเมืองพุทธทั้งหลาย.. เขาเผชิญชะตากรรมอย่างไร.. ? โดนกดไม่ให้ได้รับตำแหน่งสำคัญทางราชการ.. ตำแหน่งสำคัญมีไว้ให้ศาสนาXXXเท่านั้น.. พูดง่ายๆ.. ประเทศเป็นของพวกนั้นไปแล้ว.. กินข้าว.. ต้องนั่งกินกับพื้น.. คนที่นั่งกินบนเก้าอี้ได้.. คือศาสนาXXXเท่านั้น.. ดื่มน้ำ.. ดื่มได้เฉพาะน้ำก๊อกเท่านั้น.. เหมือนคนอนาถา.. อ่านต่อนะ.. จากคุณ : disappear.. เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 52 10:59:21   ความคิดเห็นที่ 99 ต่อนะ.. จากคุณ : disappear.. เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 52 11:06:37   ความคิดเห็นที่ 100 ไป Download มาฟังกันนะ.. จะได้รู้ว่าเขาทำอะไรกับพวกเรา.. http://www.sendspace.com/file/8wn92y เตือนเท่านี้แหละ.. ถ้ายังไม่เลิกทะเลาะกันเอง.. อะไรจะเกิด.. มันก็ต้องเกิด.. !! จากคุณ : disappear.. เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 52 11:17:03   ความคิดเห็นที่ 101 เราไม่เข้าใจแหวนไก่ย่างเปนคำสอนของพระพุทธเจ้าเหรอ งงคะ จากคุณ : Noo_PomPom เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 52 20:31:13   ความคิดเห็นที่ 102 V V V จากคุณ : talatoppy (talatoppy) เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 02:38:57   ความคิดเห็นที่ 103 v จากคุณ : ttt (talatoppy) เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 02:40:42   ความคิดเห็นที่ 104 ศาสนา คือ เรื่องของการหุบปาก จากคุณ : zenzen เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 15:05:25   ความคิดเห็นที่ 105 ศาสนาพุทธไม่เคยสอนให้ยึดมั่นสิ่งใดครับ   ให้รู้จักความเปลี่ยนแปลงและปล่อยวาง การทำบุญแล้วให้คาดหวังบุญ  มันเป็นเพียงกุศโลบาย ขั้นต้นสำหรับผู้มีความละอายและเกรงกลัวต่อโทษทัณฑ์ครับ  แต่โดยเนื้อแท้แล้วไม่ควรสอนให้ยึดมั่นและคาดหวังอยู่แล้ว  การทำบุญคือการฝึกปล่อยางและแบ่งปันครับ  ไม่ได้สอนด้วยหลักทุนนิยมว่าลงทุน ทำเท่าไหร่ ได้เท่าไหร่  แต่สอนเพื่อให้รู้ว่าสิ่งีท่ได้มาก็ต้องจากไป  รู้จักปล่อยวางและไม่ยึดติดมากกว่าครับ  การสอนให้คาดหวังนั้นก็ไม่ต่างจากทำเพื่อหวังผลหรอกครับแล้วมันจะปล่อยวางได้อย่างไร? จากคุณ : M2X (Xyphyrez_M2X) เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 53 01:12:05   ความคิดเห็นที่ 106 แหวนไก่ย่างกินไม่ได้ สร้อยส้มตำปู ส้มตำไทยกินไม่ได้ เน้นวัตถุกันเข้าไป ใครไม่ทำถือว่าเป็นบาป แล้วบาปนั้นคืออะไร ? จากคุณ : lizard8 เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 53 10:48:11   ความคิดเห็นที่ 107 งั้นชาติที่แล้วคงทำบุญด้วยนมครึ่งเดียว เกิดมาชาตินี้ถึงได้สร้างจานบินนมข้างเดียว..... เผ่นดีกว่าตรู จากคุณ : *+*ข น ม ผิ ง ข้ า ง เ ต า*+* เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 53 20:00:05   ความคิดเห็นที่ 108 เคยจำได้ว่าทำบุญเพื่อหวังบุญมันเป็นบาปนี่นา ช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสเพื่อเอาบุญกับช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสเพื่อให้เด็กๆได้รับโอกาส ถ้าช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสเพื่อเอาบุญ คุณได้อะไร? แต่ ผมช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสเพื่อให้เด็กๆได้รับโอกาส ผมคงได้เห็นรอยยิ้มของเด็กๆ ผมไม่เคยทำบุญเพื่อหวังบุญที่วัดซะเท่าใดหรอกหวังให้วัดซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชนเข้มแข็งขึ้นซะมากกว่า เคยอ่านบทความๆนึง บุญ=มีีความสุข บาป=มีความทุกข์ ทำอะไรเพื่อหวังผลตอบแทนมันก็ทุกข์อยู่แล้วถ้าหวังให้เขามีควมสุขจะสบายใจซะกว่า แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 53 04:32:51 จากคุณ : NJ_kung เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 04:29:45   ความคิดเห็นที่ 109 อู... ห้องศาสนานี่เหมือนนรกจำแลงเลยอ่ะ น้ำลายสาดใส่กันน่ากลัวมากๆ = =lll ธรรมกายนี่ ที่ออกทีวีว่าโดนจับรึเปล่าคะ อืม... อ่านของสาวกแต่ละคนแล้ว... ไม่น่านับถืออย่างแรงนะนิกายนี่ มันจะกลายเป็นโอมชินริเกียว2หรือเปล่าหว่า = =" ดีที่ทางการปรามๆไปเสียก่อน จากคุณ : blue_onix เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 13:38:10   ความคิดเห็นที่ 110 #98 รู้ไหม.. ชาวพุทธ.. ในประเทศอดีตเมืองพุทธทั้งหลาย.. เขาเผชิญชะตากรรมอย่างไร.. ? โดนกดไม่ให้ได้รับตำแหน่งสำคัญทางราชการ.. ตำแหน่งสำคัญมีไว้ให้ศาสนาXXXเท่านั้น.. พูดง่ายๆ.. ประเทศเป็นของพวกนั้นไปแล้ว.. กินข้าว.. ต้องนั่งกินกับพื้น.. คนที่นั่งกินบนเก้าอี้ได้.. คือศาสนาXXXเท่านั้น.. ดื่มน้ำ.. ดื่มได้เฉพาะน้ำก๊อกเท่านั้น.. เหมือนคนอนาถา.. ^ ที่ว่ามานี่ ประเทศอะไรหรือคะ เรานึกไม่ออก ? แล้วใบที่เอามาให้อ่านนี่ ตัวเองเกลียดอิสลามคนเดียวไม่พอ ต้องมาเสี้ยมด้วยหรือคะ แถมอ่านแล้วไม่เห็นมันจะมีอะไรแปลกเลย ? คนห้องนี้เค้าคิดดี มีใจเป็นธรรมเยอะ ค่ะ ที่นี่ไม่ใช่ห้องที่เอาไว้เสี้ยมให้ใครเกลียดใคร ตัวหนังสือสีน้ำเงินก็เขียนแต่เรื่องคิดเองไม่ได้เกี่ยวกับข้อความตรงไหน เขาพิมพ์ไว้ว่า 'ปัตตานี นราธิวาส ยะลา สตูล' ก็เติมปากกาเองว่าใช้ืัทั้งประเทศ มาตรา 5 เมื่อคนอิสลามเป็นทั้งโจทย์และจำเลย คุณบอกว่า 'เป็นการแยกออกมาเพื่อ ช่วยเหลือกันและกัน' ไม่ทราบว่าช่วยเหลือใครคะ ช่วยโจทก์หรือจำเลย เพราะเป็นอิสลามทั้งคู่ ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายก็ต้องการชนะทั้งคู่ 'ช่วยให้คนที่จบไม่ต้องสอบแข่งกับใคร' อันนี้มั่วได้อีก บอกตรงไหนคะว่าคนมาทำงาน ตรงนั้นไม่ต้องสอบแข่งกับใคร แล้วถ้าคนจบออกมาอยากทำตรงนี้เกินอัตราที่ีจะรับนี่ก็ ไม่ต้องสอบแข่งหรือไงคะ ? แล้วเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของครอบครัวและมรดก พูดง่ายๆ เรื่องของบ้านที่เค้าเป็นอิสลาม เป็นเรื่องภายในครอบครัวเค้า ไม่ใช่เรื่องที่เค้าจะไปก้าวก่ายคนศาสนาอื่นตรงไหน ทำไมต้องเอามาเป็นประเด็นเสี้ยมให้เกลียดกันด้วยคะ ps.1 อ่านแล้วรู้สึกไม่ดีเลยขอใช้พื้นที่กระทู้พูดเรื่องนอกเหนือจากหัวกระทู้นะคะ ps.2 จำไม่ได้ คห.ไหน ขอดูรูปแหวนไก่ย่าง คุณสามารถหาได้ในกูเกิ้ล เลือกดูรูปภาพค่ะ แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 53 18:33:58 จากคุณ : LuNaTicCaT เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 18:30:59   ความคิดเห็นที่ 111 คุณ disappear ครับ คนพุทธที่ดีเขาไม่ให้ร้ายคนอื่นกันหลอกครับ จากคุณ : Fatdiary เขียนเมื่อ : 5 ม.ค. 53 00:45:13   ความคิดเห็นที่ 112 ทำบุญด้วย ยาคูลท์ ก็จะได้แหวนยาคูลท์ และมีสาวยาคูลท์คอยให้คำปรึกษาเกี่ยวกับจุลินทรีย์แลกโตบาซิลักอะไรซักอย่างที่เกาะตามแหวนยาคูลท์ด้วย จากคุณ : Alien From Mars เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 14:31:21   ความคิดเห็นที่ 113 ทำเอาผมไม่อยากขึ้นสววรค์เลยครับ จากคุณ : everandever เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 53 20:28:20   ความคิดเห็นที่ 114 ขอแตกประเด็น เพื่อให้เข้าใจในเกร็ดความรู้ ว่าอันใหนจริง อันใหนเท็จ ในคำสอนจากพระไตรปิฏก และ ใครแย้งผิด ใครแย้งถูก จากคุณ : มิตรคู่บอร์ด เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 53 17:33:15   ความคิดเห็นที่ 115 เกี่ยวกับเรื่องแหวนไก่ย่าง มีวิธีมองในหลายแง่มุม เรามาดูแง่มุมแต่ละด้าน เพื่อเป็นกรณีศึกษา และให้ความเป็นธรรม กับผู้ถูกกล่าวร้ายเสียดสี และ ถูกดูหมิ่น ว่าสอนผิดแปลก แตกต่างจากพระไตรปิฏก ตรรกะ และ ความจริง ในศาสนาพุทธ เป็นเกร็ดความรู้ที่น่าจดจำนำไปเทียบเคียง เวลาอ่านความคิดเห็นของสมาชิกท่านอื่นๆ ก็จะได้นำความรู้นี้ไปประกอบการพิจารณา ลองดูเนื้อหาดังต่อไปนี้ 1.นรก สวรรค์ เป็นภพภูมิ ที่มีอยู่แล้วก่อนพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเกิดขึ้นในโลกของเรา และนรกสวรรค์นั้น เป็นของสากล ทุกชาติ ศาสนา และทุกเผ่าพันธ์ ล้วนมี นรก สวรรค์ เป้นแหล่งเดียวกัน  แต่รูปลักษณ์หน้าตาของชาวสวรรค์นั้น มีเค้าโครงหน้าเดิมเมื่อตอนเป็นมนุษย์เพียงส่วนน้อย แต่เค้าโครงหน้่าตา โดยรวม ย่อมงดงามยิ่ง 2.วิมานและเครื่องประดับ ที่มีลวดลายอันวิจิตรแบบลายกนกไทยนั้น เป็นเพียงจินตนาการของช่างศิลป์ไทย ที่ยังครองเรือน อยู่กินกับลูกเมีย จิตย่อมไม่บริสุทธิ์มากพอที่จะถ่ายทอดให้เหมือนจริงได้ดีเท่ากับการถ่ายทอดจากคำบอกกล่าวของผู้สละเรือนออกบวช เช่น พระสารีบุตร หรือ พระโมคคัลลานะ หรือ พระภิกษุผู้มีญาณทัศนะในด้านนี้ 3.พระพุทธเจ้า ไม่ได้สอนให้ปฎิบัติเพียงอย่างใดอย่างหนึง ในบรรดาข้อธรรมเรื่อง ทาน ศีล ภาวนา  แต่พระพุทธองค์ทรงย้ำว่า ต้องทำให้สมบูรณ์ คือให้ถึงพร้อม โดยยึด หลัก 3 ข้อ คือ *** ละชั่ว เพื่อเว้นจากบาป เพราะทรงมุ่งให้ชาวพุทธกลัวต่อผลของบาปอันเกิดจากการเบียดเบียนผู้อื่น ด้วย กาย วาจา และ เบียดเบียนดตน ด้วย อกุศลจิต *** ทำดี เพื่อ ให้ถึงพร้อมด้วย รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ อันมีมาฐานะควรแก่การบำเพ็บบารมีให้ยิ่งๆขึ้นไปอย่างไม่อัตคัต ขัดสน ในปัจจัย 4 *** ทำจิต ให้ผ่องแผ้ว เพื่อ ให้ได้นิพพานสมบัติ และดำรงตนอยู่ในวัฏฏสารโดยไม่หวั่นต่อกฏแห่งไตรลักษณ์ และปราศจากทุข์ทางใจ คือทำให้ครบทั้งสามอย่าง  แต่ถ้าทำเพียง อย่างสองอย่าง นั่นแหละ ยังไม่สมบูรณ์ จากคุณ : มิตรคู่บอร์ด เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 53 21:35:27   ความคิดเห็นที่ 116 หากท่านผู้อ่านได้ยินได้อ่าน เรื่องที่ใครมาอ้างว่า  พระพุทธเจ้า สอนว่า นั่งสมาธิอย่างเดียวก็ไปนิพพานได้ นั่นเท่ากับว่า ผู้อ้าง กำลังกล่าวตู่พระพุทธวจนะ อันเป็นเหตุให้ พระพุทธศาสนาจะขาดตอน เพราะไม่มีใครใส่บาตร ทำทาน สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร เพื่อเป็นศูนย์กลางชุมชน สืบทอดอายุพระพุทธศาสนา บางทีคำสอนนี้มาจากนักวิชาการสายพระป่าบางท่าน คิดว่า นั่งสมาธิอย่างเดียวไปนิพพานได้ แต่พระบางรูป หรือนักวิชาการสายพระป่าบางท่าน เหล่านั่นลืมคิดไปว่า เมื่อถึงวันที่ไม่มีป่าให้อยู่ วันนั้นพระป่าจะอยู่ที่ใหน 4- เกี่ยวกับเรื่อง แหวนไก่ย่าง ต้องแยกออกมาเป็นสองกรณี คือ ผู้สอนเรื่องนี้ สอนการปฎิบัติธรรม หรือ สอนปกิณกะธรรม ถ้าสอนปฎิบัติธรรม ท่านพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ก็จะไม่กล่าวถึง แหวนไก่ย่าง แต่ถ้าสอนปกิณกะธรรม ก็ย่อมกล่าวได้โดยชอบธรรม เนื่องจากกล่าวไปตามแนวการสอนพระสูตร แห่งสุตตันตปิฎก ที่พระพุทธเจ้า ตรัสเล่านิทานให้ มนุษย์และเทวดาฟัง เกี่ยวกับประวัติพระโพธิสัตย์ เล่าประวัติของของพระสาวก หรือ ประวัติของจอมเทพในสวรรค์บางชั้น เช่น ในสวรรค์ชั้นที่สอง ชื่อว่าดาวน์ดึงส์ ซึ่งไม่มีสัตว์เดรัจฉานอยู่อาศัย แต่ทำใมถึงมีช้าง เหตุแห่งที่มาก็คือ ช้างนี้มี 32 เศียร ชื่อว่า ช้างเอราวัณ นิรมิตกายเป็นช้างให้เจ้าแห่งสวรรค์ชั้นนี้ประทับ ชมวิมานและ อุทยานสวรรค์  ท่านเป็นเทพบุตร ซึ่งในอดีตเป็นสหายของ มฆมานพ ในพระไตรปิก ยังกล่าวถึง เทวดา ท่านหนึ่ง ชื่อ เทพธดาข้าวตอก ถ้าเอาความรู้นี้ไปถาม พระเถรานุเถระ ที่ท่านเคารพ ท่านก็จะได้คำตอบเองว่า เทพธดาตนนี้ทำบุญอะไรมา หรือ ถ้าจะให้เดา ก็เดาถูก ว่าทำบุญ ถวายข้าวตอก   "ถ้าการทำบุญถวายไก่ย่าง แล้วไม่ได้เครื่องประดับที่มีไก่ย่างมาเป็นองค์ประกอบ แล้ว ชาวพุทธทั้งหลาย จะพูดได้เต็มปากได้หรือ ว่า ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่อุดมไปด้วยหลัก เหตุ และ ผล อย่างชัดเจน" ถ้าพระจะสอนอย่างนี้ เราไปกล่าวหา ว่าท่านสอนผิด แสดงว่าเรา นั้นแหละ เป็นคนไร้เหตผล ขาดหลักการ และ เอาความคิดตนเองเป็นใหญ่ จากคุณ : มิตรคู่บอร์ด เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 53 21:36:11   ความคิดเห็นที่ 117 ดังนั้นประเด็นว่า วิมานจะประกอบด้วยเครื่องประดับใดๆก็ตาม ไม่ใช่ประเด็นหลัก สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่า ท่านที่มาแย้งเรื่องนี้นั้น จริงๆแล้ว เชื่อโดยสนิทใจหรือยัง ว่าสวรรค์ เป็นภพที่มีอยู่จริง ถ้าคิดแต่เพียงว่า สวรรค์ เป็นเพียง สิ่งที่อยู่ในอก และนรกอยู่ในใจเพี่ยงเท่านั้น ก็ถอนตัวจากการเป็นชาวพุทธได้เลย ในความเป็นจริง สมบัติอันเป็นทิพย์นั้น มีมากมายยากจะนับได้ เพราะประชากรชาวสวรรรค์นั้น มีมากกว่ามนุษย์ และในความเป็นจริงยิ่งกว่านั้น ประชากรชาวอบายภูมิ ก็ยิ่งมีมากกว่า ประชากรชาวสวรรรค์ เสียอีก นอกจากนี้ ยังมี เทพธิดาดอกอังกาบ เทพธิดาดอกปทุม และดอกอื่นๆอีกมากมาย และยังมีหลักคำสอนที่กล่าวถึง วิมาน ที่มีเสียงดนตรี วิมานที่มีกลิ่น และวิมาน ที่อุดมไปด้วยกามฉันทะ อื่นๆอีกมากมาย ลิ้งก์นี้ กดไปดูพระไตรปิฏกออนไลน์ http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%96%E0%B8%B8_-_%E0%B9%93.%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%89%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84_-_%E0%B9%97.%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%99 ถามว่า ผิดตรงใหน ที่สิ่งเหล่านี้จะมีสอนในหลักคำสอนของครูบาอาจารย์ ที่หลายท่าน เคารพนับถือ หากนักวิชาการไม่ศึกษาอย่างละเอียดถึงที่มาที่ไป ก็มักจะอ้างแค่ "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ" ซ้ำไป ซ้ำมาตามๆกันไป เพราะฟังดูไพเราะดี หนำซ้ำยังตัดสินด้วยตัวเองว่า เรื่องใดผิด เรื่องใดถูก จนกระทั่งไปตัดสินคนอื่น โดยไม่รู้จริง อย่างน่าเกลียด น่าละอาย เช่นคำว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ คำนี้ ไม่มีกล่าวในพระไตรปิฏก และไม่มีคำบาลีกำกับเช่นเดียวกัน คำว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ก็ยังเป็นคำสอนที่ไม่สมบูรณ์ แต่เป็นข้อคิดเตือนใจได้ดีทีเดียว เรื่องแหวนไก่ย่าง มีความเป็นไปได้ 100% เพราะแม้ไม่บังเกิดเองอัติโนมัติเมื่อเกิดเป็นชาวสวรรค์ แต่เมื่อมนุษย์ตนใด มีบุญมากพอ หากอธิษฐานไว้ แหวนไก่ย่างก็บังเกิดได้ เรื่องมนุษย์ ทำบุญแล้วอธิษฐานอยากได้โน่น อยากได้นี่ อันที่จริง เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องผิดจากคำสอนของพระพุทธองค์ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนแล้วว่า นั่นเป็น ปกติวิสัยของ ฆราวาส ผู้ยังครองเรื่อน  เป็นสมบัติของผู้มีบุญจะพีงมีพึงได้ เพราะถ้าขาดแคลนทรัพย์สมบัติ ก็ยังกิจของ ฆราวาสธรรม ไม่ครบถ้วน แม้แต่้พระโพธิสัตว์เมื่อครั้งยังดำรงอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดุสิต ก็อธิษฐานให้ตนมาจุติยังโลกมนุษย์เป็นเจ้าชาย ในตระกูลกษัติย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพื่อจะได้สละราชสมบัติอันปุถุชนทำได้ยาก ออกแสวงหาโมกขธรรม ดังนั้น หากท่านสิทธัตถะไม่ได้ทำทานมาอย่างยิ่งยวด ท่านก็จะไม่ได้สมบัติแห่งราชระกูล เฉกเช่น พระอรหันต์บางรูป บรรลุธรรม แต่อดอยาก เพราะไม่นิยมการทำทาน จนพระสารีบุตรต้องบิณฑบาตมาให้ฉัน แต่กระนั้น พระอรหันต์รูปนี้ ท่านก็นิพพานในสภาวะที่อดอยากอยู่นั่นเอง จึงไม่ต่างอะไรกับ นักแสวงบุญในปัจจุบันนี้ รักการปฏิบัติธรรม ในสภาวะที่ยากจนข้นแค้น แต่ก็เป็นสุขในสภาวะธรรม แต่จะด้อยในเรื่องการบำเพ็ญทานให้ยิ่งๆขึ้นไป เพราะขาดทรัพย์สมบัติ  ทุกข์ทางกายจากความอดอยากก็ยังเป็นอุปสรรค ต่อการบำเพ็ญกุศลในบางประการอยู่ร่ำไป แต่หากผู้ใดใคร่จะหลุดพ้น บรรลุนิพพาน แล้วไซร์ หากยังยึดติดในทรัพย์สมบัติไม่ยอมแจกจ่าย หวงแหนในทรัพย์ ตระหนี่ถี่เหนียว ก็ไม่เป็นกิจที่ควร แต่จะว่าผิด ไม่ดี เลวทราม ก็หาไม่ จึงสังเกตุได้ว่า คำสอนพระอาจารย์บางท่านอวยพรให้รวย แต่ถ้าเราไม่รู้จักคิด จะหลงผิดไปกล่าวร้ายท่านว่า พระสอนให้ยึดติด ในสมบัติ ถ้าเราไปถามท่าน ก็คงได้คำตอบว่า หากพุทธศาสนิกชนทำบุญ ให้ทานเพื่อทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรื่อง   ก็ขออวยพรให้ร่ำรวยเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี เพื่อให้สะดวกแก่การสร้างกุศลทุกรูปแบบ เช่นช่วยเหลือสังคม บำรุงพระศาสนา เป็นการตอกย้ำว่า ทำดี ต้องได้ดี ถึงพระไม่อวยพร บุญก็ย่อมส่งผล ชนทำกรรมใด ก็ย่อมได้รับสิ่งนี้ บุญย่อมส่งผลไปตามกำลังแห่งการกระทำโดยชอบ จากคุณ : มิตรคู่บอร์ด เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 53 21:36:38   ความคิดเห็นที่ 118 5-ความเชื่อเรื่อง เจ้าแม่กวนอิม ไม่ได้มีอยู่จริงในพระไตรปิฏก นิกายเถรวาท แต่ประกฏอยู่ในหลักฐานทางคัมภีร์ที่พระถังซัมจั๋ง นิกายมหายาน จารึกไว้เกี่ยวกับการ เดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฏกจากประเทศอินเดียสู่ประเทศจีน เหตุที่กล่าวอย่างนี้ก็เพราะว่า มีความจริง สองประการ ที่ระบุไว้ในพระไตรปิฎก ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้คือ สิ่งที่มีความ เที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีวันเปลี่ยน มี สองอย่างคือ 1 ความตายเป็นของเที่ยง ไม่มีสัตว์โลกตนในหลุดพ้นจากความตายได้ 2พระพุทธวจนะเป็นของเที่ยง  เช่น สิ่งใหนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นจริง และจะไม่เปลี่ยน ข้อที่ว่า ฐานะความเป็นพระโพธิสัตว์  ฐานะนี้จะมีได้ก็ต่อเมื่อเป็น สัตว์นั้นเกิดเป็นกายบุรุษ และ เทพบุตรเท่านั้น จึงไม่มีสตรีใดมีฐานะเป็นพระโพธิสัตย์ ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก การนำเรื่องเจ้าแม่กวนอิม มาอ้างอิง ปะปนกับหลักธรรม ก็ต้องแยกออกไป แต่การจะบำเพ็ญ ทาน นั้น ต้องเป็นมนุษย์โดยส่วนเดียว ส่วนเทวดา ทำกิจแห่งกุศลได้ สองอย่างคือ บำเพ็ญ ศีล และ ภาวนา หากเทวดา ตนใดใช้อิทธิฤทธิ์ เพื่อแย่งมนุษย์สั่งสมทาน ก็จะถูกพระอรหันต์ติเตียน เช่นท้าวสักกะเทพบุตร มาดักใส่บาตรพระมหากัสสปะใส่บารตจนเต็ม ทำให้ชาวบ้านไม่ได้ใส่บาตร เพราะบาตรเต็ม พระมหากัสสปะ จึงกล่าวติเตียนท้าวสักกะ ว่าทำในกิจที่ไม่ควรทำ แย่งบุญของช่างทอหูก จนหมดโอกาสทำบุญ แต่การอำนวยประโยชน์ให้มนุษย์สั่งสมทานโดยสะดวก จัดเป็นการอนุโมทนาบุญ เป็นกิจที่เทวดาทำได้ ในเทวสภา  ยกตัวอย่าง การที่เทวดา นิยม ประทับบนยาน อันมีชื่อว่า เทวรถ เพื่อเยี่ยมชมวิมานของเทวดาตนอื่นนั้น ก็เพื่อ ไปอนุโมทนา ในกุศลผลบุญ ที่สหายเทวดา ได้กระทำเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เพราะธรรมดาของชาวสวรรค์ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ จะมีปกติกระหายบุญ จึงแสวงบุญโดยการ เที่ยวอนุโมทนาบุญ กับมนุษย์ และสหายแห่งเทวดาทั้งหลาย เหตุที่เทวดาจะกระหายบุญ ก็เพราะได้เสวยสุขในความเป็นเทวดา และเห็นด้วยตาทิพย์ถึงการได้มาซึ้งทิพยสมบัติเหล่า จึงปรารถนาบุญเป็นที่ยิ่ง เนื้อหาในกระทู้นี้ แม้ไม่ได้อ้าง พุทธพจน์กำกับ และ ไม่ได้แปะลิ้งก์อ้างแหล่งที่มา  แต่ทั้งหมด เป็นสรุปใจความย่อ ความรู้ที่ได้ศึกษาจากพระไตรปิฏกทั้งสิ้น จากคุณ : มิตรคู่บอร์ด เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 53 21:37:07   ความคิดเห็นที่ 119 อนึ่ง หลักธรรมส่วนใหญ่ที่พระสัมสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสสอน ฆราวาส และ อริยบุคคลชั้นต้น ให้ฟังบ่อยที่สุด ซ้ำๆกันหลายครั้งคือ อนุบุพพีคาถา หรือ อนุปุพพิกถา มี 5 ข้อ หลักธรรมนี้กล่าวถึง รายละเอียดเรื่อง 1. การทำบุญ ให้ทาน 2.การรักษาศีล 3.สวรรค์ ชีวิตของชาวสวรรค์ ภพ ชาติ สมบัติ และ วิมาน และ เครื่องประดับ ของชาวสวรรค์ 4.โทษแห่งกาม หมายถึง โทษ และความเศร้าหมอง จากการครองเรือน 5อานิสงส์ของการออกจากกาม ออกจากเรือนบำเพ็ญเนกขัมมะ http://www.bp-smakom.org/BP_School/Social/BUDDA/A-nu-pu-pi-ka-ta5.htm ดังนั้น การที่พระอาจารย์รูปหนึ่งรูปใด ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านใด จะเน้นย้ำ เทศน์สอนเรื่องนี้ซ้ำๆกัน ก็ย่อมถือว่า สอนตามหลักของ ของพระพุทธองค์แล้ว เราเป็นคนครองเรือน นอนกอดลูก กอดเมีย ยังมีบ่วงคล้องคอ ธุลีในดวงตายังหนาอยู่ไม่ควรไปแย้ง หรือ ดูหมิ่นด้วยซ้ำ จึงขอสรุปอย่างชัดเจนว่า คำสอนเรื่อง แหวนไก่ย่าง เราต้องให้ความเป็นธรรมต่อพระราชภาวนาวิสุทธิ์ คือท่านสอนโดยชอบแล้ว กล่าวคือ เจตนาถูก หลักการถูก กาลเทศะถูก เป็นกิจที่ควรทำ หลุดพ้นจากข้อหา ว่าหลอกลวง เพราะคำกล่าวหาว่า หลอกลวง ไม่ได้บ่งชี้ว่า ลวงเอาอะไร หรือ หลอกเอาเงินไปทำอะไร และยังไม่ปรากฏหลักฐาน ว่าเรื่องนี้สอนผิดจากพระไตรปิฏก ข้อกล่าวหานี้จึงตกไป  เจ้าของกระทู้ก็หวังจะได้กุศลจากการช่วยเป็นทะนายแก้ต่างนี้ ถ้าใครจะแย้ง ขอให้แย้งอย่างมีหลักการ และ หลักการที่แย้ง ก็ไม่ควรตีกันเองกับหลักคำสอน เช่น เรื่อง เครื่องประดับชาวสวรรค์ หากจะกล่าวว่า เป็นเรื่องหลอกลวง ก็แล้วทำใมเรื่องนี้ จึงมีสอนเป็นปกิณกะธรรม ในพระไตรปิฎก ทีนี้ก็ต้องถามคนที่มาแย้งแล้วล่ะ ว่า แย้งโดยหลักคำสอน หรือแย้ง โดยทิฎฐิส่วนตัว ตามฆราวาสวิสัย จากคุณ : มิตรคู่บอร์ด เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 53 21:39:18 ont color="#c0d3f3">เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 05:04:26

ความคิดเห็นที่ 10 ละอัตตาที่เล็กอย่างตัวตูของตู มาจับอัตตาที่ใหญ่กว่าคือ ศาสนาตูของตู คนหนอคน ทำอารมภ์เสียแต่เช้า แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 52 05:05:59 จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 05:05:17

ความคิดเห็นที่ 11 จขกท  ก้อลองเสิร์ช ดูสิงับ.... มานเปนเรื่องเก่า แล้ว ก้อจะให้มาเล่าอีก บอกตรงๆว่า ขี้เกียจ!!~ เอ๋!!~ เ่อ่อ!!~ ม่ะแน่ใจว่ากาทู้โดนลบไปบ้างอ่ะหยั่ง จากคุณ : cattym เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 05:15:30

ความคิดเห็นที่ 12 หาไม่เจอครับมีแต่กระทู้ด่า ถ้าหาใน google ตอนนี้กระทู้นี้ก็อยู่หน้าแรกแล้วอยากฟังจาก ธรรมกายถึงหลักพื้นฐานจริงๆ ที่ไม่ซับซ้อน เอาแบบเข้าใจง่ายๆ  ส่วนคนเห็นต่างก็อย่าแทรกให้เค้าพูด ผมมีหน้าที่ฟัง ไม่ได้มีหน้าที่ตัดสิน จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 05:17:42

ความคิดเห็นที่ 13 ศึกษาเองเถิด เหนื่อยกันเปล่าๆ จะลัทธิใดๆ ก็ตาม ถ้ามันค้านกับพระไตรปิฎก ก็ย่อมจะถือเป็นเถรวาทไม่ได้ ก็เท่านั้น ประเด็นมีไม่กี่ประเด็นหรอก ผมเองก็เคยตั้งประเด็นถามมุสลิม เรื่องความถูกต้องของอัลกุรอาน สมัยมหาลัย จนเกลียดผมกันทั้งชมรม ผมอ่ะถามตรงๆ และจบด้วยการไม่ตอบ คำถามผมมีไม่กี่คำถามหรอก อยากตอบบ้างไหมครับ จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 05:18:03

ความคิดเห็นที่ 14 #13 อยากถามก็ไปตั้งคำถามครับ ถ้ามีความสามารถตอบได้ก็จะตอบผมก็มุสลิมมือใหม่ ผมไม่ได้มาหาว่า ค้านหรือไม่ค้านเถรวาท ผมกำลังหา หลักคำสอนของ ธรรมกาย ว่าคืออะไร  ต้องแยกแยะให้เข้าใจ ปล ผมไม่ได้มา โต้วาทีเอาชนะคะคาน มาอวดภูมิ เหมือนหลายคนที่มาตะแบงแข่งกันพูดแต่ไม่คิดจะฟัง  แต่มาหาความรู้ ถกข้อคิดเห็น ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย กรุณาเข้าใจด้วย แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 52 05:32:12 แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 52 05:31:00 จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 05:28:38

ความคิดเห็นที่ 15 ^ ^ จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 05:32:00

ความคิดเห็นที่ 16 ไปตั้งคำถามได้นะครับ เปิดกระทู้ใหม่เลย ตอบได้ผมจะตอบ ยิ้มมาผมตอบไม่ถูกหรอกครับผมได้แต่ยิ้มคืน ^^ จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 05:34:29

ความคิดเห็นที่ 17 ถามในนี้ไม่ได้เหรอครับ จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 05:36:37

ความคิดเห็นที่ 18 รู้จัก ปุ่มแตกประเด็นไหมครับว่ามีไว้ทำไม จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 05:39:55

ความคิดเห็นที่ 19 จะแตกทำไมล่ะครับ คนละเรื่องกัน ถามคุณคนเดียวเนี้ย ไม่ถามคนอื่น รก กระทู้เปล่าๆ คนเดียวตั้งทำไมตังสองกระทู้ จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 05:42:29

ความคิดเห็นที่ 20 ผมกำลังถามเรื่องแมว แต่คุณมาถามเรื่องปลา ก็พิจรณาได้นิครับว่ามันคนละเรื่องทำไมไม่ไปตั้งคำถามใหม่ รุ้ศาสนาดีไม่เข้าใจ เรื่องแค่นี้หรือครับ ถึงมาป่วนพื้นที่ที่ผม ถามคนธรรมกาย แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 52 05:45:42 จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 05:43:31

ความคิดเห็นที่ 21 หรือที่เข้ามาป่วนนี้เจตนา ไม่ให้ผมไดุ้คุยกับ คนธรรมกายเลยใช่ไหมครับ เจตนาแบบนั้นใช่ไหมครับ จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 05:45:16

ความคิดเห็นที่ 22 ใจเย็นๆ ของขึ้นป่าวๆ ครับ ด้วยความเคารพ ใครจะไปป่วนได้ ในคัมภีร์ระบุ ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการการศึกษาศาสนาอื่นไว้ยังไงครับ จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 05:47:39

ความคิดเห็นที่ 23 ผิดก็ว่าไปตามผิดครับ ผมถามธรรมกาย คุณเป็นธรรมกายหรือถึงมาตอบ และถ้าอยากถามผมทำไม ไม่ตั้งคำถามใหม่ เจตนาแบบนี้ ไม่เรียกว่าป่วนแล้วเรียกว่าอะไรครับ ปล. ถ้าวาจาคุณบอกด้วยความเคารพ การกระทำ กับเจตนาก็ควรจะสอดคล้องกัน แต่นี่ไม่ใช่ แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 52 06:02:04 จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 05:48:55

ความคิดเห็นที่ 24 ไม่ชอบเค้าก็อย่ามาป่วนเค้ารุ้จักมารยาทสังคมไหมครับ อยากถามผมก็ไปตั้งกระทู้ใหม่ ถามไรก็ถามมาเด่วผมไปตอบให้ภาษาไทยเข้าใจไหมครับ ตอนนี้ผมคงไม่ได้คุยกับคนธรรมกายแล้วพอใจแล้วใช่ไหมครับ จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 05:51:20

ความคิดเห็นที่ 25 จากคุณ : ทองทา เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 06:34:45

ความคิดเห็นที่ 26 น่าจะเป็นกุศโลบาย เพื่อที่จะบอกว่า ทำอะไรได้อย่างนั้น เช่น บอกว่าทำบุญด้วยไก่ย่าง เมื่อละโลกไป แล้วมีโอกาสได้เป็น เทพบุตร เทพธิดา บุญไก่ย่างก็จะส่งผล แต่ว่าท่านเหล่านั้นอยู่ใน สถาณะอันเป็น ทิพย์ ไม่ต้องการ อาหารหยาบ เพราะว่า อิ่มทิพย์ ด้วยกำลังบุญ จึงส่งผลออกมาเป็นเครื่องประดับ เพื่อแสดงให้เห็นว่า เครื่องประดับนั้นๆ ได้มาจากการทำบุญอะไรในขณะที่เป็นคน ทางวัดจึงต้องการสื่อ ให้เด็กๆ ( รูปแหวนไก่ย่างปรากฎอยู่ใน หนังสือ สำหรับให้เด็กเล็ก ที่ไปวัดดู โดยมี่พี่เลี้ยงเด็กของทางวัดอ่านให้ฟัง ) เห็นด้วยการเขียนเป็นภาพ แหวนไก่ย่างขึ้นมา นอกเหนือไปจากนี้ เป็น อคติ ที่ผู้ใหญ่ใส่เข้าไป เพื่อให้เข้ากับ อัตตา ของแต่ละคน คงจะตอบคำถามของ จขกท เรื่อง แหวนไก่ย่างได้นะครับ จากคุณ : wiswa เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 06:36:45

ความคิดเห็นที่ 27 มาให้ give คคห ที่ 26 เพราะตอบตรงคำถาม เดี๋ยวเป็นอะไรกันไม่รู้ แทนที่จะหาคนตอบได้ตรงคำถาม กลับกลายเป็นว่า ต้องหาคำถามมาให้ตรงคำตอบซะงั้น มาตอบคำถามบ้างนะครับ 1 ทำไมต้องเอาแหวนไก่ย่าง แหวนหมูอย่าง บลาๆ ตอบ มีความคิดเห็นคล้ายความเห็นที่ 26 ครับ 2 ผมจำได้เลาๆว่า การทำบุญหวังผลในวัตถุนั้นยิ่งบาป ยิ่งใช้วิธีนี้ทำการตลาดก็เหมือนล่อคนโลภในทรัพย์มารวมกัน ตามความเห็นผมนะ ชี้แจงหน่อยครับ ตอบ ทำบุญโดยหวังผลนั้นไม่บาปนะครับ(เพราะไม่ได้ผิดศีล 5 และกรรมบท 10) แต่ การทำแบบนี้เป็นการเพิ่มอัตตาและความโลภในผู้ทำบุญเองนะครับ(อันนี้เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้) จึงเป็นสาเหตุให้คนส่วนใหญ่ในบอร์ดนี้ไม่ชอบวัดธรรมกายเพราะสอนขัดหลักของพระพุทธที่ให้เราทาบุญเพื่อละกิเลสของเรานะครับ สรุป คือ ทำบุญนะไม่บาป แต่ การสอนให้โลภในบุญเป็นสิ่งไม่ควรครับ ปล. เป็นความคิดเห็นของคนเลวคนหนึ่งที่ยังถือศีลได้ครบบ้างไม่ครบบ้าง ดังนั้น อย่าคิดว่าเป็นคำตอบที่ถูกต้องทั้งหมดนะครับ ลองกลับไปพิจารณาด้วย จากคุณ : Nonfire เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 08:44:19

ความคิดเห็นที่ 28 ตามนี้ครับ ค้นเจอละ เหอะๆๆ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2007/08/Y5758325/Y5758325.html ในเมื่อท่านเป็นทิำพย์ไม่ต้องการอาหารหยาบ แล้วใส่แหวนซึ่งเป็นวัตถุของหยาบๆทำไมละครับ แล้วทีนี้ ถ้าบอกว่าใส่ได้เพราะมาจากการทำบุญในขณะเป็นคน ถ้าผมตายไปนะเหอะๆ 20นิ้ว ขาสอง แขนสอง หัวหนึ่ง ผมคงมีแต่แหวน แต่สร้อย เพราะทำบุญด้วยอาหารนี่เยอะมากอะ ไก่ย่าง ไก่ทอด ข้าวเหนียว ส้มตำ น้ำตก ซุปหน่อไม้ ลาบ แกงปลาดุก กระเพราะไก่ ผัดพริกปลาหมึก น้ำพริกปลาร้า บลาๆๆๆๆ ฯลฯ คิดภาพไปแล้ว ตัวเองคงจะหนักมากๆอะ เพราะเครื่องประดับเยอะเกิ๊น เต็มตัวแน่ๆ 5555 จากคุณ : [aon] เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 08:53:06

ความคิดเห็นที่ 29 เหมือนห้องราชดำเนินเข้าทุกทีแล้วนิ แตะอะไรไม่ได้เลย จากคุณ : ลุงแก่ เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 09:04:26

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณคุณ [aon] ครับ ดุเหมือนคุณจันทร์กลางใจ แกพยายามจะอธิบาย ถ้าแกยังเล่นอยู่อาจจะพอตอบคำถามผมได้สิ้นแบบฟันธงกระมัง ว่าที่ทำหนะใช่หรือไม่ใช่เจตนาหลักของธรรมกาย หรือเป็นการทำการตลาดที่ผิดพลาดจากฝ่ายลูกศิษย์ลูกหา แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 52 09:43:58 จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 09:35:36

ความคิดเห็นที่ 31 คุณ nameonics เป็นคนแรกที่เอากรณีหนังสือ "มนต์เสน่ห์แห่งสวรรค์  ทัณฑ์ทรมารแห่งนรก" มาเปิดประเด็นใน Panitp ครั้งแรกเมื่อเดือน พฤษภาคม 2550  ในกระทู้ Y5422821 ธรรมกาย สอนกันแบบนี้ ก็ทำได้หรือ ?? http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2007/05/Y5422821/Y5422821.html เริ่มตั้งแต่ความเห็นที่ 290 เป็นต้นไป จนถึง ความเห็นที่ 309 ที่เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับหนังสือ "มนต์เสน่ห์แห่งสวรรค์  ทัณฑ์ทรมารแห่งนรก" สำหรับความเห็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับคำสอนของวัดพระธรรมกาย  คุณ ๆ ทั้งหลายลองอ่านตั้งแต่ต้นกระทู้ดู ผมให้เครดิตคุณ nameonics ในฐานะที่ เป็นผู้นำเสนอกระทู้เกี่ยวกับแหวนพิเศษและผลบุญพิเศษตามหนังสือ "มนต์เสน่ห์แห่งสวรรค์  ทัณฑ์ทรมารแห่งนรก" ในเวบบอร์ด Pantip เป็นแรก สำหรับกรณีคำสอน  หรือกิจกรรมของวัดพระธรรมกายอื่น ๆ ที่มีการวิพากย์วิจารณ์นั้น  ลอง  search หาเอาได้ที่คลังกระทู้เก่าครับ จากคุณ : ไผ่บูรพา เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 10:26:30

ความคิดเห็นที่ 32 คุณ สายลมเหงาแห่งขุนเขา ความคิดเห็นที่ 13 "ผมเองก็เคยตั้งประเด็นถามมุสลิม เรื่องความถูกต้องของอัลกุรอาน" .................... คุณตั้งคำถามได้นะครับ ผมจะตอบให้ ด้วยความเคารพครับ^^ จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 10:27:02

ความคิดเห็นที่ 33 ในคลังกระทู้เก่าเยอะมาก คนมาตอบก็คนธรรมกายทั้งนั้น ถ้าอยากได้คำตอบเร็ว ไม่ต้องรอเชิญไปค้นดูนะคะ จากคุณ : น้องต๋าว เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 10:50:24

ความคิดเห็นที่ 34 #33 ขอบคุณครับ พยายามอ่านอยู่ ตัดคำว่า'รอเชิญ'ออกก็ดีนะครับรุ้สึก โดนแขวะหรือคิดไปเอง พยายามหาอยู่ แต่เจอส่วนมากกระทู้ด่ากัน นัวยังกับสงคราม ถ้ามี จะทยอยอ่านต่อไป ถ้ามีฝั่งธรรมกายเข้ามา แค่สรุปสั้นหน่อยนะครับว่า คนเข้าใจท่านผิดอย่างไร ที่จริงท่านเป็นอย่างไร สิ่งที่ท่านทำมีผลดีอย่างไรในปัจจุบัน และท่านสอนคนเพื่อเป้าหมายอะไร ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 52 11:20:23 จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 11:20:13

ความคิดเห็นที่ 35 มอบให้ จขกท. . . . คนที่ฆ่าฉัน จากคุณ : บุษกรจันทร์ เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 11:24:23

ความคิดเห็นที่ 36 ^ ใบมีดเลยหรอ ที่จริงประเด็นนี้ก็ถกกันมานานเรื่องข้อผิดพลาดไม่ต้องพูดถึง แต่อยากถามฝั่งแย้ง อันนี้ถามฝั่งแย้งนะ ลองเอาตัวเองเป็นธรรมกายดู ทำไมเค้าถึงเชื่ออย่างนั้น คนในธรรมกายเองก็ไม่ใช่จะไม่มีัปัญญาพิจารณา พูดเรื่องแหวนนี่ใครก็รุ้ว่าไม่ถูก แต่ทำไมคนยังเดินเส้นทางนี้กันมากมาย พวกท่านๆน่าจะตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุด  แต่ขอให้ตอบอย่างที่คิดว่า เค้าก็คนดีท่านก็คนดีนะครับ ลองตอบดู แค่ถามว่า ถ้าท่านเป็นเค้า ทำไมท่านถึงเดินเส้นทางธรรมกาย? แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 52 11:54:34 แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 52 11:54:25 แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 52 11:53:59 จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 11:53:38

ความคิดเห็นที่ 37 ขอให้ตอบแบบมองในแง่ดีนะครับ ผมไม่อยากได้ยินการด่าทอกันแบบไม่มีประโยชน์อะไรในนี้ีอย่างน้อยก็ขอสักกระทู้ที่จะคุยกันแต่แง่ดีทั้งสองฝั่ง โดยไม่ต้องมาด่าทอกัน สลับกันคิดบ้างว่าทำไมเค้าถึงคิดแบบนั้น จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 11:55:07

ความคิดเห็นที่ 38 ปล. ผมเองโดยส่วนตัว หลังจากพยายามคิดแ้ล้วคิดอีก ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีทำไมคนไปเป็นธรรมกาย ที่ได้ออกมามีแต่ออกแนวไม่ดีทั้งนั้น  บลาๆ ต้องทบทวนใหม่ ต้องมีอะไรที่สมเหตุสมผลในด้านดีซิหน่าา ช่วยกันตอบหน่อยนะครับ - -" จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 12:03:23

ความคิดเห็นที่ 39 ใจไม่ได้พิมค์ คำว่ารอเชิญติดๆกันหรอก แต่ตอนนี้ นึกไม่ออกแล้ว ว่าตอนพิมพ์ จะพิมพ์คำว่าอะไร เพราะจิ้มพิมทีละตัว แบบตามองแป้น มันก็มีหลุดไปบ้าง เราไม่มีเหตุผลใดๆ ต้องเข้ามาส่อเสียดคุณหรอก สบายใจได้ ระมัดระวังมากๆ คงไม่เหมาะกับการตอบพิมพ์ตกๆหล่นๆแบบเรา ไปทำงานต่อดีกว่า ^^ ขอให้ได้คำตอบดีๆสมปรารถนาแล้วกันคะ แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 52 12:13:25 จากคุณ : น้องต๋าว เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 12:10:07

ความคิดเห็นที่ 40 จขกท. ลองมองดูสังคมไทยในปัจจุบันนี้ดูสิครับ มีแต่การแก่งแย่งชิงดีกัน คนไทยแล้งนํ้าใจกันมากขึ้น ในขณะที่สังคมของธรรมกาย ไม่ใช่ มีผู้มีจิตศัทธราบริจากให้ทางวัดผลิต สือการสอนเด็กๆ และ เยาวชน เพื่อที่จะปลูกฝังคนรุ่นใหม่ ให้มีจิตใจที่ดีงาม ห่างไกล อบายต่างๆ อย่างน้อยมี ศีล 5. ในทุกๆวัน ตั่งแต่เด็ก ถ้าให้คุณเลือกสิ่งแวดล้อมให้กับ บุตรหลาน ของท่านๆ จะเลือกแบบไหน? ต้องแยกให้ออกระหวาง คำบอกเล่า กับ คำสอน แล้วก็ต้องแยกอีกด้วยว่า คำสอนของพระอาจารย์ หรือคำสอนในพระไตรปิฎก รายละเอียดปลีกย่อยมีมากมาย ตามแต่ปัญญาของผู้รับฟัง คนสองคน มีปัญหาแบบเดียวกัน ยังมีวิธีแก้ปัญหาไม่เหมือนกันเลย มีหลายท่านพยายามบอกว่า ธรรมกายไม่ไปนิพพาน แต่จะไปดุสิตบุรี ผมอยากจะให้ดูความเป็นจริง คนธรรมดาไปนิพพานกันได้ง่ายๆหรือไร? เปรียบการไปนิพพานกับการเดินทางไกลแล้ว เวลาเดินทางไกล มีใครไม่หยุดพักบ้าง การหยุดพักก็ต้องดูสถานที่พักด้วยว่า เหมาะสมหรือไม่ ของคนอื่นๆอาจจะไม่มีใครเคยบอกว่า ที่พักที่เหมาะสมอยู่ที่ใด แต่ธรรมกายบอกว่าดุสิตบุรีเหมาะสมที่สุด จากคุณ : wiswa เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 13:18:07

ความคิดเห็นที่ 41 ผมเป็นอิสลามแต่ศึกษาพุทธมาบ้าง ทำไมต้องเอาแหวนไก่ย่าง แหวนหมูอย่าง บลาๆ มายกเป็นประเด็นหลักเรื่องทำบุญครับ ผมจำได้เลาๆว่า การทำบุญหวังผลในวัตถุนั้นยิ่งบาป ยิ่งใช้วิธีน้ทำการตลาดก็เหมือนล่อคนโลภในทรัพย์มารวมกัน ตามความเห็นผมนะ ชี้แจงหน่อยครับ ผมคิดว่าต้องมีอะไรดีๆในหลักคำสอนแน่ๆทำให้ผมอาจมองเจตนาผิดพลาด ไม่ได้มาหาเรื่องนะอยากรุ้จริงๆ ช่วยเคลียร์ประเด็นนี้ในใจให้ผมหน่อย ..................... ผมมีคำถามที่อยากถามเจ้าของกระทู้เหมือนกัน... 1. ใครคือธรรมกาย ... ที่คุณต้องการให้ตอบ คำว่า " ธรรมกาย " ไม่ใช่ สักว่าพูด ๆ ได้นะครับ คุณมุสลิม... รับทราบด้วยนะครับ ถ้าในพระไตรปิฏก " (๑) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า พระองค์เป็นธรรมกาย   “ตถาคตสฺส เหตํ วาเสฏฺฐา อธิวจนํ   ธมฺมกาโย อิติปิ   พฺรหฺมกาโย อิติปิ   ธมฺมภูโต อิติปิ   พฺรหฺมภูโต อิติปิ” “วาเสฏฐะและภารทวาชะ   คำว่า ธรรมกาย ก็ดี   พรหมกาย ก็ดี   ธรรมภูต ก็ดี   พรหมภูต ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต”   ที.ปา.11/55/92  " ถ้าจะถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสบอกได้ แต่มันก็สายไปแล้ว... 2. มีแหวนหมูย่าง ด้วยหรอครับ... - ไม่เคยเห็น... ฉะนั้น อย่าอุทานเรื่อยเปื่อยครับ ......... แม้ว่าประเทศของผมจะถูกรุกรานจากศาสน์อื่น...แต่ผมไม่ยอมให้ประเทศไทยเป็น " อดีตเมืองพุทธ " แน่นอน... ฉะนั้น อย่าพยายาม ทำอะไรที่เป็นไปเพื่อความแตกแยกของชาวพุทธเลยครับ... งานบวช 100000 รูป บุญใหญ่กำลังจะเกิด... ไทยพุทธ จะเข้มแข็ง (ไม่ใช่คิดมาก แต่มันกำลังเกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ...โดยที่เราไม่ทันรู้ตัว) แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 52 14:59:12 จากคุณ : ไทยเมืองพุทธ (เพราะเราคือ....) เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 13:37:51

ความคิดเห็นที่ 42 ศาสนาพุทธน่าสนใจไม่น้อย ดีกว่ามาขอพระเจ้าขอโน้น ขอนี่... เราเกิดมาเราเป็นเรา เพราะบุญกรรมเรา ไม่ใช่ ใครมากำหนด ให้รับใช้โน้น รับใช้นี่... อย่าปิดกั้นตัวคุณเองลองมาศึกษาพระพุทธศาสนาแล้วคุณจะเข้าใจ ครับ... .... ต่อ #41 แต่ถ้าถาม ศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายอย่างผม... คงจะตอบได้เพียงว่า ... เพราะบุญครับ... ดังสมดุลโลก ของนิวตันซึ่งเป็นกฏ..ที่ว่า " แรงกระทำ (Action) = แรงถูกกระทำ (Reaction) " ทำอะไรได้อย่างนั้น.. และใน สมดุลธรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้หลักธรรมมาอ้างหรอกครับ.. ดูตัวอย่าง " ผลานิสงส์แห่งบุญ " จากพระไตรปิฏกก็จบ ถ้าคุณอยากศึกษาจริงเปิดใจสิครับ... ขอเชิญมาบวชพิสูจน์เองครับ... .... หลวงพ่อธัมมชโย (เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย) ท่านอยากแสดงให้ลูก ๆ เห็นว่า ทำดีได้ดีนะ ทำอะไรได้อย่างนั้น โดยไม่ขัดต่อหลักธรรมพระไตรปิฏก และ พระธรรมวินัยเลย.. .... ดังตัวอย่างที่นำมาให้ดูครับ จากคุณ : ไทยก็ยัง..เมืองพุทธ (เพราะเราคือ....) เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 14:33:49

ความคิดเห็นที่ 43 ต่อ #42 ข้อความในภาพด้านล่างคงจะกระจ่างดีแล้วนะครับ กรุณาใช้ปัญญา ใช้ประสบการณ์ชีวิต พินิจ พิเคราะห์ แล้วคุณจะพบว่า วัดพระธรรมกาย สอนตรงตามพระไตรปิฏก...จริง ๆ ถวาย มะม่วง ได้ มะม่วง( สวยกว่าเดิม...หลายเท่านัก ) แล้วถ้าถวาย ไก่ย่าง จะได้ ..... ( คนมีปัญญา ไม่หาเรื่อง..จะรู้ ) แล้วแต่ว่าบุญนั้นจะรังสรรค์เป็นสิ่งใด แหวนไก่ย่าง เป็นเพียงส่วนหนึ่ง... แต่สิ่งที่จะได้คือปลื้มในบุญ..ครับ จากคุณ : ไทยก็ยัง..เมืองพุทธ อยู่ดี (เพราะเราคือ....) เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 14:44:11

ความคิดเห็นที่ 44 ผมจำได้เลาๆว่า การทำบุญหวังผลในวัตถุนั้นยิ่งบาป ยิ่งใช้วิธีน้ทำการตลาดก็เหมือนล่อคนโลภในทรัพย์มารวมกัน .................. ต่อ #43 โห......รู้ได้ยังไง...อะ.. ใครบอกครับ.... " การทำบุญหวังผลในวัตถุนั้นยิ่งบาป  " พุทธไม่ใช่อิสลามนะ การทำบุญไม่ได้หวังผลในวัตถุ มันอยู่ที่ใจ มากกว่า สภาวะใจอะครับ การหลั่งไหลของบุญก็เกิดขึ้นเมื่อตอนเราทำบุญ... เรารู้สึกว่า เราโล่งใจ สบายใจ ที่สละทรัพย์ที่หามาได้โดยยาก มาฝากฝังไว้ในบวรพระพุทธศาสนา... ............. การตลาด หวังกำไร...เพื่อความสุขชั่วคราว เพื่อละความทุกข์สนองสุขตน การทำบุญ หวังบุญ...เพื่อก้าวไปสู่พระนิพพานบรมสุข เพื่อละกิเลส (โลภะ) ความตระหนี่ ... แล้ก็มาถามกันอีกว่า .... " อ้าว...เฮ้ย หวังบุญหรอฟะ... ทำบุญเขาหวังบุญหรอ... " ลองดูภาพข้างล่างนี้ .... แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 52 15:39:44 แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 52 15:36:39 จากคุณ : ไทยก็ยัง..เมืองพุทธ อยู่ดีนิ (เพราะเราคือ....) เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 15:29:31

ความคิดเห็นที่ 45 ต่อ #44 อีกสักภาพละกันนนน.... นะ แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 52 15:39:06 จากคุณ : ไทย..เมืองพุทธ (เพราะเราคือ....) เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 15:32:40

ความคิดเห็นที่ 46 ทำไม จขกท เขาถามอย่างนี้ เสียหายอะไร ในฐานะเป็นชาวพุทธ น่าจะมีปัญญา ตอบคำถาม ไขข้อข้องใจให้ดีกว่า ไปชวนคนอื่นงดออกความเห็น บ้าหรือเปล่าครับ ... ถาม จขกท ผมอยากทราบ แหวนไก่ย่าง คืออะไรครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 15:33:57

ความคิดเห็นที่ 47 รายชื่ออภิมหาเศรษฐี 20 อันดับแรกของโลก 1. วอร์เรน บัฟเฟตต์ (สหรัฐ) 62,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 2. คาร์ลอส สลิม (เม็กซิโก) 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 3. บิล เกตส์ (สหรัฐ ) 58,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 4. ลักษมี มิตตัล (อินเดีย) 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 5. มุเกช อัมบานี (อินเดีย) 43,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 6. เอนิล อัมบานี (อินเดีย) 42,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 7. อินกวาร์ คัมปราด (สวีเดน) 31,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 8. เคพี ซิงห์ (อินเดีย) 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 9. โอเลก เดรีปาสกา (รัสเซีย) 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 10. คาร์ล อัลเบรชต์ (เยอรมนี) 27,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 11. ลี คา ซิง (ฮ่องกง) 26,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 12. เชลดอน เอเดลสัน (สหรัฐฯ) 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 13. แบร์นาร์ด อาร์โนลต์ (ฝรั่งเศส) 25,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 14. ลอว์เรนซ์ เอลลิสัน (สหรัฐฯ) 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 15. โรมัน อับราโมวิช (รัสเซีย) 23,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 16. ธีโอ อัลเบรชต์ (เยอรมนี) 23,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 17. ลีลีอาน เบตงกูร์ (ฝรั่งเศส) 22,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 18. อเล็กซี โมร์ดาชอฟ (รัสเซีย) 21,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 19. เจ้าชาย เอ บิน ตาลาล อัลซาอุด (ซาอุดีอารเบีย) 21,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 20 มิคาอิล ฟริดแมน (รัสเซีย) 20,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ........................................................................... ไม่รู้ว่าคนพวกนี้ ทำบุญอะไรมา ในปัจจุบันและอดีต และนับถือศาสนาอะไรกัน มีใครพอรู้บ้างว่า คนเหล่านี้เคยมาทำบุญกับวัดธรรมกายบ้างมั๊ย หรือว่า การทำบุญ ทำที่ไหนก็ได้ ไม่เกี่ยวศาสนา วัดหรือโบสถ์ หรือ มัสยิด แต่ขอให้วางใจให้ถูก แค่นั้นก็พอ จากคุณ : ตะวันดับ เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 15:45:13

ความคิดเห็นที่ 48 ต่อ #45 ...งั้น ถ้า " ยิ่งใช้วิธีน้ทำการตลาดก็เหมือนล่อคนโลภในทรัพย์มารวมกัน " อย่างที่คุณ จขกท. บอก... ที่ผมโพส ๆ ทั้ง อนาถปิณฑิกเศรษฐี และ นางวิสาขา ก็เป็นคนโลภ..โดยพระพุทธเจ้าเป็น นายการตลาดนะสิครับ... .... ถ้าให้ผมสรุปตามหลักพุทธ นะครับ... การทำบุญ สร้างบารมี ดังที่มาร์คสีเหลืองไว้  อยากที่ว่า เพื่อละความตระหนี่...แต่ทำไม อนาถปิณฑิกเศรษฐี ทำบุญ สร้างมหาทานบารมีมากมาย ไม่สมถะเลย...แต่ทำไมจึงได้เป็นพระโสดา ซึ่งจะนิพพานในไม่กี่ชาตินี้แล้ว ดังสีแดงมาร์คไว้ หลักวัดพระธรรมกาย( ในความคิดส่ของผมส่วนตัว ) สรุปการทำบุญมาก ( สร้างบารมี) หลวงพ่อท่านบอกว่า " เรื่องส่วนตัวให้วางอุเบกขา เพื่องพระศาสนาให้เอาอุเบกขาวาง... " ความหมายคือ " เรื่องของเรา ส่วนตัว... ให้วางเฉย แต่ถ้าเรื่องพระพุทธศาสนา เอาความวางเฉยทิ้งไป เอาวางไว้... " คงเข้าใจนะครับ พระพุทธเจ้า ไม่ใช่ พระเจ้า แต่ พระพุทธเจ้า คือ บรมครูที่สอนเราให้บรรลุธรรมแบบที่ท่านบรรลุ เนื่องด้วยธรรมนี้ คือ สุขที่แท้จริง คือ ที่สุดของความต้องการของมนุษย์ แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ ไม่รู้... ดังนั้น ใครก็สามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้ รวมทั้งคุณ แต่ ต้องสร้างบารมีให้หนาแน่น อธิษฐานดีดี... พระพุทธศาสนา น่าสนใจกว่าที่คุณสงสัยอีกนะครับ... ลองเปิดใจ ลองบวช สักครั้ง น่าจะดี...ดีที่สุดเลยครับ แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 52 16:25:05 แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 52 16:22:39 จากคุณ : เมืองไทย เมืองพุทธ (เพราะเราคือ....) เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 16:21:46

ความคิดเห็นที่ 49 คคหท.47 ... จากนิตสาร Forbes India Volume1 Issue14 December4, 2009 อันดับ 1  มุเกช อัมบานี (อินเดีย) 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 2  ลักษมี มิตตัล (อินเดีย) 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 3  เอนิล อัมบานี (อินเดีย) 17,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 4  Azim  Premji (อินเดีย) 14,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 5  Shashi and Ravi Ruia (อินเดีย) 13,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ... เข้ามาแจ้งให้ทราบเฉยๆครับ ... จากคุณ : ltf06 เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 19:09:05

ความคิดเห็นที่ 50 เห็นหัวกระทู้นึกว่าห้องก้นครัวเสียอีก ของแบบนี้เราก็ไม่รู้จักด้วยสิ จากคุณ : lizard8 เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 20:15:06

ความคิดเห็นที่ 51 จากความคิดเห็นที่ 40 คุณ wiswa เขียนว่า "ต้องแยกให้ออกระหวาง คำบอกเล่า กับ คำสอน แล้วก็ต้องแยกอีกด้วยว่า คำสอนของพระอาจารย์, หรือคำสอนในพระไตรปิฎก รายละเอียดปลีกย่อยมีมากมาย ตามแต่ปัญญาของผู้รับฟัง คนสองคน, มีปัญหาแบบเดียวกัน ยังมีวิธีแก้ปัญหาไม่เหมือนกันเลย" ความเห็นของผม..เห็นว่า  ปัญหาเรื่องนี้มีอยู่ในทุกๆศาสนาครับ ปัญหาที่แตกแยกในศาสนาต่างๆ เกิดจากการให้ความสนใจในการใช้ชีวิตประจำวัน อยู่ที่เรื่อง บอกเล่า ที่ต่อเติมจาก หลักธรรม ที่แท้จริงของศาสนา    ปัญหาที่จะต้องแยกให้ออกระหวาง คำบอกเล่า กับ คำสอน นั้น ในศาสนาอิสลาม มีมาก ขนาด ยกหลักบัญญัติของพระเจ้าให้สูงขึ้นเพื่อเปิดทางให้ เรื่องบอกเล่าได้กลายมาเป็น หลักปฏิบัติ และวิถีทางชีวิตในประจำวัน, ยกขึ้นเป็นบัญญัติเล่มที่สอง รองจาก คัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งขัดต่อหลักการของอิสลามโดยตรง,  ซึ่งเป็นที่ยอมรับของมุสลิมส่วนใหญ่ในสังคม ทำให้ผู้ที่ยึดหลักปฏิบัติที่แท้จริงของศาสนาอิสลาม "คัมภีร์อัลกุรอาน" แต่เพียงอย่างเดียว กลายเป็น ผู้ที่ ไม่ใช่ "มุสลิมไป"  ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่สอนถึง คุณธรรม,จริยาธรรม, หลักจิตวิทยาในการปกครองและการอยู่ร่วมกันอย่างสงบ ความสันติ(อิสลาม), ความถ่อมตัว, ความจริงของชีวิต เกิด,แก่,เจ็บ, ตายและความไม่หลงตัว, ความกตัญญูรู้คุณ และจริยาธรรมที่ดีอื่นๆ อีกหลายประการ  ซึ่งเป็นรากฐาน และ ประเพณี ของสังคมไทยเรา  เป็นรากฐานแห่งคุณธรรมทางจิตใจ ของชาวไทยทุกๆคนที่เกิดในประเทศไทย อยู่บนพื้นฐานของของความดีที่กล่าวมาแล้ว     ไม่ว่าคนไทยเราจะนับถือศาสนาใดๆก็ตาม จะได้รับอิทธิพลของประเพณีไทย, คนไทยจะมีลักษณะ เอื้ออารีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน, รู้บุญคุณและมีการตอบแทนบุญคุณของกันและกัน เคารพผู้อาวุโส รักและเคารพในสถาบันพระมหากษัติย์  องค์พระประมุขของชาติ .............. ความคิดเห็นที่ 48 คุณ เมืองไทย เมืองพุทธ  เขียนว่า:    "คงเข้าใจนะครับพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ พระเจ้า พระพุทธเจ้า คือ บรมครูที่สอนเราให้บรรลุธรรมแบบที่ท่านบรรลุ เนื่องด้วยธรรมนี้ คือ สุขที่แท้จริง คือ ที่สุดของความต้องการของมนุษย์ แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ ไม่รู้..."    ผมเห็นด้วยในเรื่องนี้อย่างแท้จริง ทั้งนี้เพราะว่าประเทศไทยเรา มีพื้นฐานประเพณีที่มั่นคงจากหลักธรรมการสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นบรมครูของ มนุษย ชาติ ทั้งมวล ซึ่งจากคำสอนของพระองค์นี้ เป็นส่วนหนึงของพื้นฐาน ในการปฏิบัติ ตัวในการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในสังคม  จะเห็นอย่างง่ายๆว่า  หลักปฏิบัติ 5 ประการหรือ ศีล 5 นั้น เป็นข้อบังคับปฏิบัติ ที่มีอยู่ใน คัมภีร์ ของทุกๆศาสนา   ส่วนตัวผม,  เรื่องที่น่าสนใจ ในพุทธศาสนา คือเรื่องขบวนการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มากกว่าเรื่อง การปฏิบัติที่แตกต่างกัน ของผู้ศรัทธาในศาสนาพุทธ เพราะถึงอย่างไร ชาวพุทธก็ไม่มีการขับใสผู้ใดที่ปฏิบัติต่างกันออกจากความเป็นพุทธศาสนิกชน หรือ ตัดขาดจากการศรัทธาต่อ พุทธศาสนา   ซึ่งต่างกับ ในสังคมมุสลิมไทยถ้าผู้ใดทำถูกต้องตามหลักคำสอนโดยไม่ยึดเรื่องบอกเล่ามาปฏิบัติ เช่นการกระทำของมุสลิมส่วนใหญ่แล้ว,  มุสลิมส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับว่าเขาผู้นั้นเป็นมุสลิม โดยไม่คำนึงถึง บัญญัติของพระเจ้าเลยที่มุสลิมทุกๆคนจะต้องยึดมั่น และศรัทธาในสิทธิที่สูงสุดของพระเจ้าใน การตัดสินเช่นนั้น        ผมจึงขอแสดงความเห็นว่าเรื่องนี้ ควรสรุปลง ตามความคิดเห็น ที่ 40 และ ความคิดเห็น ที่ 48 แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 52 00:36:30 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 52 00:35:03

ความคิดเห็นที่ 52 ได้ฟังการโพสที่หนักแน่นของทางธรรมกายแล้ว ผมก็ยังเชื่อว่า คนดีคงมีทุกฝั่งละมัง ใยต้องแบ่งแยกศาสนาเป็นการเมือง ผมหาข้อมูลธรรมกายได้น้อย ที่เจอก็เจอแต่ด้านไม่ดีเรื่องนี้ต้องยอมรับถึงมาถาม ก็อย่ามาคุ่นเขืองแบ่งเค้าแบ่งเราอยู่เลย เราต่างก็อยู่เป็นเส้นทางค้นหาสัจธรรมให้ตัวเองทังนั้น ไมได้ต้องการมวลชนอะไร ที่ต้องการก็แค่ สัจธรรมในชีวิต เอาศาสนามาพัฒนาตัวเอง ไม่ใช่หรือ  อย่าเอาศาสนามาเป็นยาพิษแบ่งเค้าแบ่งเราให้เกลียดให้ชังกันทำไม ขอบคุณที่วันนี้ทำให้ผมได้เห็นอีกด้านของธรรมกาย   แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 52 03:19:30 แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 52 03:16:06 แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 52 03:14:51 แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 52 03:14:22 จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 52 03:13:54

ความคิดเห็นที่ 53 พิมพ์ไม่ค่อยติด อย่างไรก็ขอบคุณมากๆนะครับ สำหรับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับธรรมกายที่ไมไ้ด้ออกมาโต้แย้งอะไร ถ้ามีโอกาสคงได้คุยกับคนของธรรมกาย กับ สายอื่นๆในพุทธ ขอบคุณสำหรับข้อมูลและความรู้ครับ จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 52 03:17:45

ความคิดเห็นที่ 54 พิมพ์ไม่ค่อยติด อย่างไรก็ขอบคุณมากๆนะครับ สำหรับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับธรรมกายที่ไมไ้ด้ออกมาโต้แย้งอะไร ถ้ามีโอกาสคงได้คุยกับคนของธรรมกาย กับ สายอื่นๆในพุทธ ขอบคุณสำหรับข้อมูลและความรู้ครับ แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 52 03:18:16 จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 52 03:17:59

ความคิดเห็นที่ 55 ขอแก้ความเข้าใจผิด เกี่ยว คคห ที่ 41 ถึง 45 หน่อย เพ้อเจ้อ 1. “ตถาคตสฺส เหตํ วาเสฏฺฐา อธิวจนํ   ธมฺมกาโย อิติปิ   พฺรหฺมกาโย อิติปิ   ธมฺมภูโต อิติปิ   พฺรหฺมภูโต อิติปิ” คำว่า ธรรมกาย ก็ดี   พรหมกาย ก็ดี   ธรรมภูต ก็ดี   พรหมภูต ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต”   เป็นเพียงแค่ชื่อครับ ไม่ได้มีความหมายที่วิเศษ ซับซ้อนแต่อย่างใด เป็นเพียงแค่ชื่อที่เรียกขานของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ธรรมกายคือองค์พระภายใน กายในกาย หรือวิชาธรรมกาย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ไม่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏกแต่อย่างใด ................................................................................................. 2. ในคคห.ที่ 42 นี่ชัดเจน ว่าขาดความเข้าใจในพระพุทธศาสนาอย่างร้ายแรง กฏ action = reaction นำมาใช้กับบุญไม่ได้ เป็นคำตอบเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ที่เล็กมาก ผลของการกระทำ คือ กรรม กรรมมีทั้ง กรรมดี กรรมชั่ว ผลของการกระทำ ไม่ได้เป็น action = reaction เสมอไป มันซับซ้อนเป็นอจินไตย สิ่งที่เป็นอจินไตยนั้นมี ๔ อย่าง คือ ๑. พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้า ๒. ฌานวิสัย วิสัยของผู้ได้ฌาน ๓. กัมมวิบาก ผลจากกรรม ๔. โลกจินดา ความคิดเรื่องโลก  ทั้ง ๔ อย่างนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ไม่ควรคิด ผู้ที่คิดจะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากโดยเปล่าประโยชน์ ข้อ 3 กัมมวิบาก ผลจากกรรม กรรม คือ ผลการกระทำ บุญก็เกิดจากการกระทำเช่นกัน แต่เป็นการกระทำดี ทำแล้วจิตใจเบิกบาน ผ่องใส http://www.84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=25 ความคิดนี้ ขัดกับคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยตรง .................................................................................................. 3. ที่บอกว่า ชาวธรรมกาย ทำบุญ เพื่อละความตระหนี่ ละกิเลสโลภะ นี่ยิ่งเพ้อเจ้อ จนน่าสังเวชใจ ความคิดนี้ไม่ตรงกับพระพุทธศาสนา แต่อย่างใด เรามาดูความหมายของ โลภะกัน โลภะ แปลว่า ความโลภ ความอยากได้ เป็นเป็นกิเลสอย่างหนึ่งในบรรดากิเลสใหญ่ 3 อย่างคือ โลภะ โทสะ โมหะ โลภะ เกิดจากตัณหาคือความทะยานอยากได้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้จิตหิวโหยอยากได้ เกิดความดิ้นรน อยู่ไม่เป็นสุข หากหยุดยั้งไม่ได้ก็จะเป็นต้นเหตุให้ดิ้นรนแสวงหาสิ่งที่อยากได้มาสนองความต้องการ หรือเมื่อไม่ได้โดยวิธีชอบธรรมก็นำให้ไปทำความชั่วความไม่ดีงามต่างๆ เช่น ลักขโมย ทุจริต คอรัปชั่น โกง ปล้น จนถึงฆ่าคนตาย โลภะ เป็นอันตรายแก่ธรรมทั้งปวง คือเป็นตัวทำลายศีลธรรม มโนธรรม สันติธรรม วัฒนธรรม สามัคคีธรรม ยุติธรรมและธรรมชาติ โลภะ ละได้ด้วยการให้ทาน การเสียสละ เกื้อเฟื้อเกื้อกูลกันในทางที่ชอบ[1] http://th.wikipedia.org/wiki/โลภะ เห็นมั๊ยครับ โลภะ คือความทะยานอยากได้โดยไม่สิ้นสุด เมือ่คุณสละเงินทอง แล้วรูปแบบของโลภะมันเปลี่ยน เป็นบุญ ในเมื่อคุณยังอยากบุญได้แบบมากขึ้นๆ จะหนีโลภะไปได้อย่างไร จะว่าอย่างไร มัน ก็ โลภะอยู่ดี แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 52 09:40:55 จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 52 09:38:12

ความคิดเห็นที่ 56 เข้ามา vote ... จากคุณ : ktapr เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 52 10:19:42

ความคิดเห็นที่ 57 ไม่ใช่เรื่องแปลก นี่ครับ เป็นอานิสงค์ของผลบุญที่จัดสรรให้ เช่น เทพธิดาข้าวตอก  ที่มากล่าวไว้ในพระไตรปิฎก ที่นางถวายข้าวตอก แล้ว มีวิมานเป็นข้าวตอกที่สวยงาม จากคุณ : มณีรัตนะ เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 52 13:34:26

ความคิดเห็นที่ 58 ผมถาม นาย Yaoharee เรื่องแหวนไก่ย่าง ทำไมไม่ตอบผมครับ หรือจะต้องให้ผมด่าเสียก่อน ถึงค่อยตอบ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 52 21:55:42

ความคิดเห็นที่ 59 อยากฟังคำด่าครับ ด่ามาเลย จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 52 21:58:39

ความคิดเห็นที่ 60 .... # 55  ของคุณ promp888 ผมก็ไม่เข้าใจคุณเหมือนกัน ครับ... ถึงแม้ว่าวัดพระธรรมกายจะดูใหญ่โต อลังการ สง่างาม แต่ยังเทียบไม่ได้กับ เชตวัน  ปุพพาราม ในสมัยพุทธกาลเลยครับ ........ ขอแก้ความผิดที่ผิดกว่า ของ คคห.55 หน่อยครับ.. ..... 1. “ตถาคตสฺส เหตํ วาเสฏฺฐา อธิวจนํ   ธมฺมกาโย อิติปิ   พฺรหฺมกาโย อิติปิ   ธมฺมภูโต อิติปิ   พฺรหฺมภูโต อิติปิ” คำว่า ธรรมกาย ก็ดี   พรหมกาย ก็ดี   ธรรมภูต ก็ดี   พรหมภูต ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต”   เป็นเพียงแค่ชื่อครับ ไม่ได้มีความหมายที่วิเศษ ซับซ้อนแต่อย่างใด เป็นเพียงแค่ชื่อที่เรียกขานของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ธรรมกายคือองค์พระภายใน กายในกาย หรือวิชาธรรมกาย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ไม่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏกแต่อย่างใด ....... ไม่เพ้อเจ้อ ครับ... คุณต่างหากที่เพ้อเจ้อ... คุณ promp888   อย่างที่คุณบอกครับ ไม่ซับซ้อน นี่ ยิ่งผิดใหญ่... “ ธรรมกายคือองค์พระภายใน กายในกาย หรือวิชาธรรมกาย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ไม่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏกแต่อย่างใด ”   ข้อความดังกล่าวนี้ ไม่ปรากฏอยู่ในคคห.ของผม เพราะผมไม่ได้กล่าวไว้เลย... คุณเพิ่มมาเอง...ตามทัศนาคติ ( ทัศนะ + อคติ ) ไหน ๆ ก็พูดถึงเรื่อง “ ธรรมกาย ” แล้ว ผมขออธิบายให้เข้าใจในระดับที่พอเข้าใจได้ เลยนะครับ... ผมเป็ฯคนชอบไม่ชอบยกตัวอย่างนะครับ แต่เห็นพวกคุณชอบถกพระไตรปิฏกกัน... ผมก็ขออธิบายตามประไตรปิฏกละกัน.. สัก 2 แห่ง... จากคุณ : ไทย...เมืองพุทธ (เพราะเราคือ....) เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 52 23:25:18

ความคิดเห็นที่ 61 ต่อ # 60 ........ ไหนล่ะที่...คุณบอกว่าไม่ซับซ้อน... สรุป... คำว่า “ ธรรมกาย “ มีหลายนัยยะ... แล้วแต่ว่าจะนำไปใช้กับอะไร... บางครั้ง ธรรมกาย ที่เป็น ชื่อหนึ่งของพระพุทธเจ้า อาจมีนัยยะว่า “ผู้ทรงมีกายล้วนด้วยพระธรรมกายอันนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน”( ความคิดส่วนตัว ) ดังพระปัจเจกพุทธเจ้า ข้างต้น... ที่ว่ามีพระธรรมกายมาก... “  ธรรมกายคือองค์พระภายใน กายในกาย หรือวิชาธรรมกาย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ไม่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏกแต่อย่างใด ” ดังที่คุณ promp888 กล่าวไว้ ครับ พระภายใน และวิชชาธรรมกาย ของพระมงคลเทพมุนี หลวงปู่วัดปากน้ำ ฯ จะไม่ปรากฏในพระไตรปิฎก ... จริง.. แต่ กายในกาย.. คำนี้... ไม่มี จริง ๆ หรอครับ คุณ เน้น ‘ทั้งหมดทั้งมวล ’ นี่ไม่มีจริงๆ หรอครับ แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 52 23:31:45 จากคุณ : ไทย...พุทธศาสนารุ่งเรือง (เพราะเราคือ....) เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 52 23:27:36

ความคิดเห็นที่ 62 ต่อ #61 ....... คุณ promp888 นายมั่วมาก... ............... 2. ในคคห.ที่ 42 นี่ชัดเจน ว่าขาดความเข้าใจในพระพุทธศาสนาอย่างร้ายแรง กฏ action = reaction นำมาใช้กับบุญไม่ได้ เป็นคำตอบเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ที่เล็กมาก ผลของการกระทำ คือ กรรม กรรมมีทั้ง กรรมดี กรรมชั่ว ผลของการกระทำ ไม่ได้เป็น action = reaction เสมอไป มันซับซ้อนเป็นอจินไตย ......... “กฏ action = reaction นำมาใช้กับบุญไม่ได้” ของ คุณ promp888 ---) นอกจากไม่อ่านพระไตรปิฎก แล้วยัง...อ่านหนังสือจับใจความไม่เก่งอีก ผมขาดความเข้าใจในพระพุทธศาสนาอย่างร้ายแรงจริงๆ หรอครับ... โอ้...กรรมของเรา “...ดังสมดุลโลก ของนิวตันซึ่งเป็นกฏ..ที่ว่า "แรงกระทำ (Action) = แรงถูกกระทำ (Reaction) "  ทำอะไรได้อย่างนั้น.. และใน สมดุลธรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้หลักธรรมมาอ้างหรอกครับ.. ดูตัวอย่าง " ผลานิสงส์แห่งบุญ " จากพระไตรปิฏกก็จบ... “  ของผมเอง.. ---) คุณเข้าใจ คำว่า “ สมดุลโลก “ กับ “ สมดุลธรรม ” มั้ยครับ... ผมไม่ได้นำทั้ง 2 มารวมกันเลย คุณอย่ามั่ว... อย่านำ---ทัศนาคติ---ของตนมาตัดสิน ผมเพียงนำมาแสดงว่า สมดุลโลก กับ สมดุลธรรม มีจริง...ในลักษณะที่แยกกัน แต่มันคือ.. ประเด็นเดียวกัน “ ผลของการกระทำ ไม่ได้เป็น action = reaction เสมอไป มันซับซ้อนเป็นอจินไตย ” ของคุณ  promp888 อ้าว...งั้น ทำดี ได้ ชั่ว หรอ... ทำชั่ว ได้ดี งั้น สิ....ถ้าเป็นอย่างที่คุณบอก ว่า “ ไม่...เสมอไป “ น่ะ ยังไงผมก็ยืนยัน “ ใน สมดุลธรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว “ ของผม ทราบแล้วละครับ.. ว่าเป็น “อจินไตย” น่ะ... แต่มีคนถาม ก็ต้องตอบ จะมาอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ.. ผมก็เป็นเพียงปุถุชนธรรมดา การปล่อยวาง บางครั้งอาจต้องละเว้น... ............. 3. ที่บอกว่า ชาวธรรมกาย ทำบุญ เพื่อละความตระหนี่ ละกิเลสโลภะ นี่ยิ่งเพ้อเจ้อ จนน่าสังเวชใจ ความคิดนี้ไม่ตรงกับพระพุทธศาสนา แต่อย่างใด เรามาดูความหมายของ โลภะกัน ..... เห็นมั๊ยครับ โลภะ คือความทะยานอยากได้โดยไม่สิ้นสุด เมือ่คุณสละเงินทอง แล้วรูปแบบของโลภะมันเปลี่ยน เป็นบุญ ในเมื่อคุณยังอยากบุญได้แบบมากขึ้นๆ จะหนีโลภะไปได้อย่างไร จะว่าอย่างไร มัน ก็ โลภะอยู่ดี ............. งะ งะ... ตัวอย่าง “ ผลานิสงส์แห่งบุญ ” ยังไม่ get หรอครับ.... คุณต้องเข้าใจนะครับว่า การทำทานหวังอานิสงส์ ไม่ใช่ โลภบุญ แต่เป็นการสร้างบุญ สร้างบารมี โดยใช้ปัญญา.. ผมมีคำถามที่อยากถามคุณ promp888...  ตอบด้วยนะครับ 1.อนาถปิณฑิกกะเศรษฐี... สร้างมหาทานบารมี ทุ่มปัจจัยมหาศาล ไปสร้างวัดเชตวันมหาวิหาร เพื่อเป็นศรีสง่าแก่พุทธศาสนา จนบางครั้งตกต่ำก็มี แต่ท่านก็ยังทำต่อไปเรื่อยๆ  ท่านทำาไปเพราะอะไร.. ท่านต้องการอะไร... แล้วถ้าท่านไม่โลภะในการทำทานจริง เป็นพระโสดาบันได้ไงครับ...? ( และนางวิสาขา  สร้างวัดปุพพารามด้วย... ) 2.เหตุใด...พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงสรรเสริญบุคคลที่สร้างมหาทานบารมีมากเป็นพิเศษ...? 3.และในพระเวสสันดรชาดก.. พระเวสสันดรจะยอมสละทั้งสละทั้งทรัพย์ ทั้งหลาย ทั้งมวล เพื่ออะไร  ทำไปทำไม... ? ( เอาตามปัญญาพินิจได้เลยนะครับ...ผมอยากรู้ภูมิรู้ ภูมิธรรม ของคุณ... ) ............ ผมคิดว่า เราต่างก็พระพุทธศาสนาเหมือนกัน มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน แม้ว่าจะมีวิธีการบรรลุธรรมต่างกัน เนื่องด้วยพระอาจารย์ที่สั่งสอนนั้น คนละองค์กัน วิธีการสอนจึงต่างกัน แต่ผมเชื่อว่า ท่านทั้งหลายก็ก็คงอยากให้ศิษย์ทุก ๆ คนบรรลุธรรมเหมือนกัน...เหมือนกับท่าน อยากทำให้ความแตกต่างนี้มาเป็นความแตกแยกของพุทธศาสนิกชนครับ อาย..ศาสนิกอื่นเขา... เมืองไทย เมืองพุทธ... นี่ครับ... รักกัน รักกัน สวัสดีปีใหม่ครับ.. คุณ promp888 ............ “ ผมพยายามไม่ตกหลุมใครบางคนแล้ว...แต่มันทนไม่ได้.. และอย่าให้รู้นะครับว่าคุณกำลังคิดจะทำอะไรอยู่...” ถึง คุณ Yaoharee – เมื่อคุณรู้ดังนี้แล้ว คำว่า” ธรรมกาย ” ไม่ใช่คำธรรมดาทั่วไป... ดังนั้นถ้าจะเรียก ควรเรียกบุคคลที่คุณเรียกว่า “ ธรรมกาย ” ณ ตอนนี้ เป็น”  ศิษย์วัดพระธรรมกาย ”  ก็ได้นี่ครับ... ขอบคุณครับ... .......... แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 52 23:47:19 แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 52 23:43:27 จากคุณ : สวัสดีปีใหม่ ชวนพ่อบวชกัน... (เพราะเราคือ....) เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 52 23:38:06

ความคิดเห็นที่ 63 โอ้แม่เจ้า !!?? อุตส่าห์ ทำรูป โชว์... เลยหรอ เรื่องอย่างนี้งมงายอย่างเดียวไม่พอ ต้อง....ด้วย เริ่มทำความเข้าใจจากนี่ก่อน ธรรมกายเดิมแท้ในพุทธกาล คำว่า " ธรรมกาย " นั้น มีมาในพระไตรปิฎก รวมทั้งหมดที่มาเป็นคำโดดๆ 3 ครั้ง และมาในคำสมาสคือ คำว่า " พหุธมฺมกายา " 1 ครั้ง รวมเป็น 4 ครั้ง ที่มาเป็นคำโดด 3 ครั้งนั้น มาในรูปเป็น " ธมฺมกาโย " 2 ครั้ง " ธมฺมกายํ " 1 ครั้ง แต่ในทั้งหมด 4 ครั้งนั้น ครั้งที่สำคัญที่สุด คือที่มาในตัวพระสูตรแท้ๆ ซึ่งเป็นข้อความร้อยแก้ว มีครั้ง เดียว นอกนั้นมาในคัมภีร์อปทาน (พระไตรปิฎกเล่ม 32-33) เป็นคำร้อยกรองประเภทเล่าประวัติเชิงสรรเสริญคุณ ของพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้า " ธรรมกาย " ที่มาครั้งแรก และครั้งเดียวอย่างเป็นเรื่องเป็นราวในพระสูตรนั้น พระพุทธเจ้าทรงใช้เป็น พระนามเรียกพระองค์เอง และที่เรียกเป็นพระนามอย่างนี้ ก็เกิดจากการที่ทรงเทียบ ระหว่างหลักการของพระ พุทธศาสนา กับหลักการของศาสนาพราหมณ์ มีอีกอย่างที่จะบอก คิดว่าคุณคงไม่ทราบ พระไตรปิฎก จัดแบ่งหมวดหมู่ โดยย่อดังนี้ ๑. พระวินัยปิฎก ประมวลพุทธพจน์ หมวดพระวินัย คือพุทธบัญญัติเกี่ยวกับความประพฤติ ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมและการดำเนินกิจการต่างๆ ของภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์   แบ่งเป็น ๕ คัมภีร์ (เรียกย่อหรือหัวใจว่า อา ปา ม จุ ป) ๒. พระสุตตันตปิฎก ประมวลพุทธพจน์หมวดพระสูตร คือ พระธรรมเทศนา คำบรรยายธรรมต่างๆ ที่ตรัสยักเยื้องให้เหมาะกับบุคคลและโอกาส ตลอดจนบทประพันธ์ เรื่องเล่า และเรื่องราวทั้งหลายที่เป็นชั้นเดิมในพระพุทธศาสนา,  แบ่งเป็น ๕ นิกาย (เรียกย่อหรือหัวใจว่า ที ม สํ อํ ขุ) ๓. อภิธรรมปิฎก ประมวลพุทธพจน์หมวดพระอภิธรรม คือ หลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่เกี่ยวด้วยบุคคลหรือเหตุการณ์ แบ่งเป็น ๗ คัมภีร์ (เรียกย่อหรือหัวใจว่า สํ วิ ธา ปุ ก ย ป) "กาย" แปลว่า กอง ที่รวม ที่ชุมนุมหรือประมวลไว้ เมื่อเป็นที่รวมหรือเป็นที่ชุมนุมประมวลไว้แห่งธรรมก็ จึงเรียกว่า " ธรรมกาย " เพราะฉะนั้น คำว่า" ธรรมกาย" ก็คือคำที่กล่าวขึ้นมาเพื่อใช้เรียกพระพุทธเจ้า ในฐานะที่ทรงเป็นแหล่งที่ รวมและเป็นที่หลั่งไหลออกมาแห่งธรรม คือพระพุทธเจ้าทรงค้นพบธรรมและทรงคิดพิจารณาจัดลำดับระบบคำ สอนของพระองค์ แล้วก็ตรัสออกมา             เพราะฉะนั้นพระองค์ก็เป็นธรรมกาย ดังที่ท่านอธิบายไว้ว่า ตถาคโต หิ เตปิฏกํ พุทฺธวจนํ หทเยน จินฺเตตฺวา วาจาย อภินีหริ. เตนสฺส กาโย ธมฺมมยตฺตา ธมฺโมว. อิติ ธมฺโม กาโย อสฺสาติ ธมฺมกาโย.                                (ที.อ.3/50) แปลว่า: " แท้จริง พระตถาคต ทรงคิดพุทธพจน์ทั้งไตรปิฎก ด้วยพระหทัยแล้ว ทรงนำออกแสดงด้วย พระวาจา ด้วยเหตุนั้น พระกายของพระองค์ ก็เท่ากับเป็นธรรม เพราะแล้ว  ด้วยธรรม ธรรมเป็นพระ กายของพระตถาคตโดยนัยดังนี้ ฉะนั้น พระองค์จึงเป็นธรรมกาย " นี้คือความหมายที่แท้จริงของคำว่าธรรมกาย ที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น มาจาก กรณีธรรมกาย โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)ุ เอาไปอ่านเต็มๆ http://dhammakaya.exteen.com/20050418/entry-20 นี่คือธรรมกายในความหมายในพระไตรปิฏก ................................................................................................ *** แก้ไขข้อความ มีเพื่อนสมาชิก (ท่านจขกท) นี่เอง ทักท้วง เรื่องใช่คำไม่สุภาพ  คำที่ใช้ คือ คำว่า โง่ ต้องขออภัยมา ณ.ที่นี้ ดังนั้น จึงแก้ไขข้อความ ให้เป็น ... ไปเติมคำในช่องว่างกันเอาเอง แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 52 00:37:14 จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 00:05:20

ความคิดเห็นที่ 64 #63 ผมว่าจะถกธรรมไม่ต้องด่า โง่ก็ได้ครับ หรือไม่เห็นเป็น พุทธะเหมือนกัน คุยกันดีๆครับ เพื่อประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ถกในข้อธรรม ไม่จำเป็นต้องด่า กระชากสอบอารมภ์กัน เพื่อจะได้ยิงตรงเนื้อหา แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 52 00:21:47 จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 00:19:34

ความคิดเห็นที่ 67 รัตนตรัย คือแก้ว ๓ ดวง พระรัตนตรัย คือสิ่งที่พุทธศาสนิกชนบูชาสูงสุด พระรัตนตรัยตามนัยของพระปริยัติธรรมนั้น ประกอบด้วยพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ พระพุทธ หมายถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมหมาย ถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสงฆ์ หมายถึงพระอรหันตสาวกของพระพุทธองค์ แต่พระรัตนตรัย ตามนัยของธรรมปฏิบัตินั้น พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ อธิบายว่า พระรัตนตรัยประกอบด้วยพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ พุทธรัตนะ คือ ธรรมกาย ธรรมรัตนะ คือ ธรรมทั้งหลายที่กลั่นจากหัวใจธรรมกาย สังฆรัตนะ คือ ดวงจิตของธรรมกาย รัตนะทั้ง ๓ ประการนี้เกี่ยวเนื่องเป็นอันเดียวกัน จะพรากจากกันไม่ได้ ผู้ใดเข้าถึงพุทธรัตนะ ก็ได้ชื่อว่าเข้าถึงธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะด้วย กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้เข้าถึงธรรมกาย ย่อมได้ชื่อว่าเข้าถึงพระรัตนตรัย ขอ้ความหลังจากนี้ก็ บลา บลา บลา พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ นี่แหละ เป็นแก่น ของพระพุทธศาสนา เมื่อเรารู้จักพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ อย่างนี้แล้วเราจะไม่ทำความชั่วด้วยกาย ด้วยวาจาและด้วยใจ เราเป็นคนบริสุทธิ์ด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ อย่างเที่ยงแท้โดยไม่ต้องสงสัย อันนี้ชอบมาก พระธรรมกาย คือพระรัตนตรัยที่มีชีวิต เป็นรัตนะที่ประเสริฐกว่ารัตนะทั้งปวงในภพ ๓ พระธรรมคำสั่งสอนทั้งมวลในพระพุทธศาสนา ล้วนหลั่งไหลออกมาจากธรรมกายทั้งสิ้น หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า "ธรรมกาย คือตัวพระพุทธศาสนา" นั่นเอง ไปอ่านกันเต็มๆ ที่ http://ดับบลิว 3ตัว.ดีhammakaya.net/meditation/dhammakaya_th_4.php ................................................................................................ มีอีกอัน อันนี้ ยิ่งละเมอเพ้อพก ไปกันใหญ่ คุณหา อะไรอย่างนี้ อ่านไม่ได้ในพระไตรปิฏกนะจ๊ะ พระพุทธลักษณะของธรรมกาย ผู้ที่ได้ปฏิบัติภาวนาธรรมจนได้เข้าถึง ได้รู้ ได้เห็นและได้เป็น   ทุกท่าน ต่างเห็นพระธรรมกายมีพระพุทธลักษณะดังต่อไปนี้ -ลักษณะเหมือนพระพุทธปฏิมา เกตุดอกบัวตูม -ขาวใส บริสุทธิ์ และมีรัศมีสว่างยิ่งนัก -ครองจีวรม้วนลูกบวบเข้าใน คือม้วนขวาเท่านั้น  ไม่ม้วนซ้าย -ประทับนั่งขัดสมาธิ    เท้าขวาทับเท้าซ้าย นิ้วชี้พระหัตถ์ขวาแตะนิ้วหัวแม่มือพระหัตถ์ซ้าย -ประทับอยู่บนองค์ฌาน    มีลักษณะเป็นแผ่นกลม ขาว ใส  หนาประมาณ ๑ ฝ่ามือของธรรมกาย -ดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเท่าหน้าตักและความสูงของธรรมกาย อยู่โดยรอบ  จึงเห็นเหมือนพระธรรมกายประทับนั่งอยู่ในดวงแก้วดวงใหญ่   ซึ่งต่างจากดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายโลกิยะ (กายของมนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหม) (สำหรับผู้ที่กำลังของสมาธิยังไม่มั่นคงพอ หรือความบริสุทธิ์ของใจในขณะนั้นยังไม่ละเอียดดีพอ อาจเห็นมีลักษณะที่คลาดเคลื่อนไปได้ เช่น เห็นพระธรรมกายห่มดองมีผ้ารัดอกด้วย เป็นต้น) ธรรมกายแบบนี้หาตรงไหนจากพระไตรปิฏก ไหนคนเคยอ่านมาบอกผมหน่อยสิ เอาไปอ่านกันเต็มๆ ที่ http://ดับบลิว 3ตัว.ดีhammakayเอ.org/dhmk/dhmk_pradhammakaya.php แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 52 01:00:04 แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 52 00:50:27 จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 00:41:16

ความคิดเห็นที่ 68 คราวนี้ เรามาคุยเรื่องกายในกาย จากทั้งหมดทั้งมวล ที่กล่าวมา ถ้าท่านอ่านลิงค์ทั้งหมดที่ผมอ้างอิงถึง กายในกาย ปริบทของความหมาย ของพวกธรรมกาย คืออะไร คราวนี้เรามาดู กายในกาย ในพระไตรปิฏกกัน ว่าหมายถึงอะไร http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/tipitaka_seek.php อุ๊ย!!!!! โทษที ลิงค์ผิด เอาใหม่ๆ อันนี้ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/tipitaka_seek.php ว้า.........แย่จังเรา ค้นหาผิดอีกแล้ว ที่ถูกคืออันนี้ ชัวร์ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/tipitaka_seek.php ***  ต้องขอภัยที่ไม่ copy ข้อความาได้ เพราะยาวเกิน *** แก้ไขข้อความเพราะข้อความตกหล่น ไม่ครบถ้วน แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 52 00:55:20 แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 52 00:51:14 จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 00:44:17

ความคิดเห็นที่ 69 โทษทีเพื่อนๆสมาชิกทุกท่าน เนื่องจาก แป๊ะ ลิงค์ต้องห้าม ระบบเลยลบอัตโนมัติ ลืมไปเสียสนิท ว่าที่นี่ ไม่อนุญาต ให้ link เวป ของธรรมกาย หรือที่ นี่ไม่มีพื้นที่ให้เนื้อหา จากเวปธรรมกายนั่นเอง ดังนั้นจึงขออภัยที่ต้องแก้ไขข้อความ เพื่อเรียงลำดับกระู้ทู้ เพื่อให้อ่านได้เข้าใจมากขึ้น จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 00:53:57

ความคิดเห็นที่ 70 เนื่องจาก คคหที่62 กระผมจะตอบท่านคร่าวๆเป็นข้อๆ ***คำว่า เมิง กับ กู เป็นคำหยาบ ไม่เป็นสุภาพชน (ไม่รู้ใครมันบัญญัติว่าไม่สุภาพ บรรพบุรุษเราใช้คำนี้ เรียกแทน ตัวเอง แทน บุรุษที่2 กันมาตั้งแต่สุโขทัย ) ทั้งๆที่อยากใช้ใจจะขาด ดังนั้นขอใช้คำว่า ท่าน และ กระผม แทน เพื่อภาพลักษณ์ที่ดี *** 1. กระผม อธิบายไปแล้วตามข้างต้น 2. เราคุยกันเรื่องพุทธศาสนา เวลาที่  กระผม พูดถึงเรื่องอะไร กระผม ใช้การอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลใด ข้อมูลหนึ่งเสมอ แล้วแหล่งข้อมูลที่ กระผม อ้างถึง คือ พระไตรปิฏก ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่อ้างอิงถึงเรื่องต่างๆในพระพุทธศาสนาได้อย่างดีเยียม เป็นตำราและแนว ทาง ที่เชาวพุทธยึดถือ มากว่า 2500 ปี ที่ท่าน เอ่ยมาเสียยืดยาว พูดพล่ามไปเรื่อย ท่าน เอาอะไรมาอ้างอิง 3. ท่าน พูดซะหรูเชียว จะไปสมัคร สส. หรือไง กระผมขอยืนยัน ว่า ถ้าคำสอนของท่านเป็นอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ศาสดาของท่านคือใคร กระผมไม่รู้จัก ใช่้ โล้นแว่นชา หรือป่าว??? ศาสดาของกระผม คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมของพระพุทธองค์ ดำรงอยู่ในพระไตรปิฏก คำสอนของท่าน ที่ ท่านยึดถือ ที่ไม่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏก (วิชาธรรมกาย) งั้นเราคงมีศาสดาคนละองค์  ท่านอย่ามามั่วนิ่มกับกระผม ว่าเป็นเป็นองค์เดียวกัน ในเมื่อ ทั้ง กระผมและท่าน ต่างยึด ถือคำสอนที่แตกต่างกัน คำสอนของศาสนาของกระผม คือพระไตรปิฏก คำสอนที่ท่านยึดถือ คือวิชาธรรมกาย ในศาสนาพุทธมีคำกล่าวว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต" แปลความอย่างง่ายๆ ได้ว่า  ธรรม คือตัวแทนของพระพุทธเจ้า ในเมื่อ ธรรม ของกระผม และ ธรรมของท่านต่างกัน ดังนั้น เรากับท่าน ไม่ได้นับถือศาสนา หรือ ศาสดา องค์เดียวกัน จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 01:42:54

ความคิดเห็นที่ 71 ้อ้อๆๆๆ คำถามของท่าน ตามที่ ท่านพล่ามมา บลา บลา บลา มาเป็น 1.2.3. คำตอบ มีคำตอบเดียว ให้ท่านกลับไปอ่านพระไตรปิฏกซะ แล้วค่อยมาถามใหม่ ท่านอ่านหลายๆรอบ พร้อมทั้งใช้สติ และ ปัญญา พิจารณาตาม ว่าทำไม แล้วลองถามตัวท่านเอง ว่าที่ท่านทำอยู่นั่นใช่หรือไม่ กระผมหวัง ว่า พระไตรปิฏก คงจะช่วยอะไรท่านได้บ้าง อย่าจำเอาขี้ปากคนอื่น มาถามกระผม กระผมละเบื่อ ......................................................................................................... ย้ำว่าคำว่าธรรมกาย เป็นนามเรียกขาน พระพุทธเจ้า หรือใช้เรียกขาน ธรรมของพระองค์ หาได้มีความหมายพลึกพิลั่นแต่อย่างใด แล้วคำว่า ธรรมกาย เป็นเพียงแค่คำ จะใช้อย่างไรก็ใช้ไปเถิด ขอให้ตั้งอยู่ในความเคารพ ศาสนาพุทธ ไม่ได้ ให้ความสำคัญ  ที่ คำหรือภาษา แต่ให้ความสำคัญที่ธรรม แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 52 02:04:27 จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 01:58:57

ความคิดเห็นที่ 72 น่าเบื่อจังเลยค่ะ นี่หรือคือผู้ที่เรียกว่าเจริญแล้วทางด้านจิตใจ ทะเลาะกันยังกับผู้ที่ไม่มีสาระในชีวิต เหมือนเรียนมาแต่ตำราแต่หาได้ใช้ในทางปฏิบัติจริงไม่ เราเองเห็นคนที่เค้าเข้าวัดนับถือธรรมไม่เห็นมาต่อล้อต่อเถียงกันเรื่องศาสนาขนาดนี้เลย เอาตัวเองให้ดีก็พอแล้ว ส่วนคนอื่นหนะ ถ้าเค้าไม่ได้ไปทำชั่วทำเลวและยังทำในสิ่งที่ดีอยู่แม้ว่าหนทางจะไม่เหมือนตัวเองยังไง แต่ปลายทางก้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ ทุกศาสนา ทุกวัดสอนให้คนเป็นคนดี ถ้าเห็นว่าวัดธรรมกายสอนให้คนเป็นคนเลวก็ลองแจงมาดู แล้วอย่างนี้แล้ว วัดแต่ละวัดที่เราเคยเข้ามาก็ไม่ได้สอนเหมือนกันหมดหรอก แล้วคุณรู้จริงๆเหรอว่า ที่ถูกต้องแล้วมันคืออะไรยังไง คุณแปลความหมายของพระไตรปิฏกได้อย่างถูกต้องแท้จริงหรือไม่ ที่ควรทำมากที่สุดในการจะพิสูจน์ว่าอะไรจริงเท็จก็ต้องไปรู้ไปเห็นเอง แต่การมามองตำหนิคนอื่นทุกวันเวลาแบบนี้มันไม่ได้อะไรเลย นั่งไปก็ไม่เห็นอะไรหรอก เพราะจิตใจมันขุ่นแค้นหมองมัว ปัญญาคงไม่เกิด ปล่อยวางบ้างจะทำให้สดใสขึ้น หากคุณยังไม่เห็นว่าจริงๆแล้วสิ่งที่ถูกคืออะไร ก็ไม่มีสิทธิ์มาพูดแบบนี้หรอก ตัวเราเองก็ไม่เห็น เพราะยังละกิเลศไม่ได้ ฉะนั้นเราจะไม่พูดเรื่องนี้ เพราะศึกษามาแต่ปฏิบัติไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นเราเลยมองที่เป้าหมายมากกว่าว่า เค้าต้องการให้คนเป็นคนดี มีศีลธรรม ยกจิตใจคน หากแต่เนื้อหาความนั้้นเป็นยังไง เราเองยังไม่ไปรู้เห็นก็ไม่สามารถแจงได้ แต่หากถ้าทำแล้วมันไม่ได้เดือดร้อนใครทั้งตัวเองและผู้อื่นก็ทำไปเถอะ ทำไมศาสนาพุทธด้วยกันถึงอยู่ร่วมกันไม่ได้เล่า ใช่ว่าศิษย์วัดธรรมกายจะไม่เข้าวัดอื่นเสียหน่อย เพราะ วัดทุกวัดสอนให้คนเป็นคนดี ฉะนั้นจะเข้าวัดไหนหรือที่ไหนก็ไม่มีมีโทษมีแต่คุณทั้งนั้น แต่ละวัดอาจจะสอนแตกต่างกันแต่ทุกวัดสอนให้คนดำเนินรอยตามพระพุทธเจ้่าเหมือนกันทั้งสิ้น หากวัดนั้นไม่ได้นับถือพระพุทธเจ้านั่นแหละที่เรียกว่าไม่ได้นับถือพุทธ ขนาดพุทธยังมีหลายนิกายเลย แล้วต่างคนก็ต่างบอกว่าตัวเองถูก ตัวเองดี แล้วใครที่ถูกจริงๆหละ ไม่มีใครยอมลงให้ใคร ทำไมไม่เปิดใจกว้างๆ แล้วมองว่า คนเราสามารถอยู่ร่วมกันได้ ไม่ว่าที่ไหนก็สอนให้คนเป็นคนดี ตัวเราเองก็ไม่เห็นว่า วัดอื่นที่สอนต่างจากธรรมกายแล้วเราต้องไปตำหนิว่าเค้าสอนผิด เพราะเรายังไม่รู้จริงๆเลยว่าที่ไหนสอนถูก แต่ มองที่เป้าหมายเท่านั้นเอง เราเองทุกคนในที่นี้ก็ยังไม่มีใครบรรลุเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า ฉะนั้นก็ดูไม่น่าเชื่อถือกันทุกคนนั่นแหละ เพราะก็อิงมาจากตำราทั้งสิ้น ก้เช่นเดียวกันในโลกนี้มาหลายศาสนาและต่างคนต่างก๋บอกว่าคำสอนของผู้นั้นผิด อย่างนู้นอย่างนี้ แต่ทำไมไม่ลองมองดูว่า การปฏิบิติอาจจะต่างกันแต่เป้าหมายคือให้คนเป็นคนดีเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคนที่นับถือต่างกันจะอยู่ร่วมโลกกันได้อย่างไร จากคุณ : dfh เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 11:09:14

ความคิดเห็นที่ 73 ศาสนิกชนศาสนาอื่น  มาศึกษาหาความรู้ในศาสนาที่ตนนับถือ  น่าที่จะชื่นชม และเต็มใจที่จะให้ความรู้  เหมือนพระพุทธเจ้าที่ประกาศศาสนาแก่ชนหมู่มาก  ทั้งที่เชื่อ  และไม่เชื่อ  ก็ไม่เห็นพระองค์จะท้ออะไรเลย. สอนไป  พูดไป  ในหนทางที่ถูก...  จะมัวคิดมาก  กลัวมากไปทำไม. จากคุณ : คนบ้านสามขา101ฯ. เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 11:57:24

ความคิดเห็นที่ 74 เรื่องธรรมะและเรื่องการเมือง เป็นเรื่องที่เถียงกันจบยากจริงๆ ขอยกคำกล่าว หลวงปู่ทวดสักหน่อย ท่านกล่าวว่า -พูดมากเสียมาก พูดน้อยเสียน้อย ไม่พูดไม่เสีย นิ่งเสียโพธิสัตว์ แต่ผมก็ดันพูดอีกว่า หมั่นปฏิบัติให้อยู่ในกรอบของ ทาน ศีล ภาวนา ไปเรื่อยๆดีกว่าแล้วจะพบคำตอบเอง หากพูดถึงอานิสงค์ของบุญ(ทาน ศีล ภาวนา) ทานย่อมน้อยกว่าศึล ศีลย่อมน้อยกว่าภาวนา บุญมากบุญน้อยไม่ได้อยู่ที่จำนวนเงิน หากแต่ขึ้นอยู่กำลังใจตัดความโลภขณะนั้นได้มากน้อยกว่ากัน ไม่งั้นคนจนก็ทำบุญไม่ได้สิครับ ข้อสังเกต เรารักษาศึลและภาวนา ไม่เสียของ เสียเงินเลย แต่ควรทำทั้ง ทาน ศีล ภาวนา นั่นแหละครบถ้วนดีแล้ว จากคุณ : soundtrack เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 12:13:30

ความคิดเห็นที่ 75 ผมขอแก้ คคห. ที่68 ทั้งข้อความ เนื่องจาก ไม่ได้แสดงผลอย่างที่ต้องการ แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 52 14:08:11 จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 13:20:26

ความคิดเห็นที่ 76 คคห. ๗๒   สภาพน่าเบื่อของห้องนี้ก็สามารถสอนสภาวะธรรมให้คุณได้เช่นกันนะคะ เบื่อก็ให้รู้ว่าเบื่อ ตามดูจิตของตนเองค่ะ จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 13:35:01