ความคิดเห็นที่ 1 อีกครั้งหนึ่งที่ผม จะอธิบายให้เข้าใจว่า เหตุใดมุสลิมจึงทำการละหมาดได้ โดยไม่ใช้ ฮาดีษ ของ อีมามชาวเปอร์เชีย(อิหร่าน) ได้แก่.... มูฮัมมัด อิบนฺ อิสมาอีล อัล บุคอรี,  มุสลิม อิบนฺ  อัล-ฮัจจอัจ  อัล-ฆุชัยริ,  มูฮัมมัด อิบนฺ อิซา อัต-ตริมิซิ ,  อะบูดาวูด อัส-ซิญิสตอนิ,  มูฮัมมัด อิบนฺ มาญะฮ์,   อะหะมัด อิบนฺ ชูอัยบฺ อัน-นาซาอิ,  อีมามชาวเปอร์เชีย(อิหร่าน)  เหล่านี้ รวบรวม เรื่องบอกเล่าต่างๆ จากชาวอรับ ชาวบ้าน และอ้างว่า เขาสามารถที่จะติดตามสายรายงานไปถึงท่านศาสนทูตมูฮัมมัด  หลังจากที่ท่านศาสนทูต มูฮัมมัด สิ้นชีวิตไปนานกว่า 250-300 ปี แล้ว,  ซึ่งมุสลิมอรับได้ยอมรับการรวบรวมเรื่องเล่าเหล่านั้น ไว้ใช้ เป็น บัญญัติเล่มที่ 2  ในการประกอบศาสนกิจ ในศาสนาอิสลาม มาจนทุกวันนี้     ตามที่ผมกล่าวแต่ต้นแล้วว่า  ผู้ใดก็ตามที่เข้าใจและศรัทธา ในเรื่อง การละหมาด 5 เวลา ของมุสลิมที่ มีคำสั้ง บัญญัติไว้ในอัลกุรอาน  ไม่ว่า จะ อ้างอิงหลักฐานในอัลกุร อานอย่างไร ผู้ซึ่งไม่มีความศรัทธาต่อ อัลลออ์ (พระเจ้าองค์เดียวนั้น) เขาก็ พยายามที่จะขยั้นขยอให้หลงไปในทางของ ไซตอน คือ ทำการท้าทายต่อ  อัลลอฮ์ และเยาะเย้ยในบัญญัติของพระองค์ ว่าไม่มีความละเอียดพอ  ราวกับว่า พวกเขา ปฏิบัติตนเยี่ยง คน, หูหนวก,ตาบอด ไม่ยอมพิจารณา เหตุผลในอัลกุรอาน,     เขาจะพยายาม ถามต่อไปว่า  แล้วรายละเอียด ของการละหมาดอยู่ที่ไหนในอัลกุรอาน มีแต่ คำสั่งให้ บอกว่าทำการละหมาด แต่ไม่มีรายละเอียด ไว้ให้  แล้ว ตู จะละหมาดได่อย่างไร?      บุคคลประเภทนี้ จะไม่มี ทางที่จะเชื่อในเรื่องนี้ได้ และจะไม่มีการ ศรัทธาและเชื่อว่า อัลกุรอานเป็น สัจจธรรมของพระเจ้า อย่างแท้จริง  ทั้งๆ ที่พระเจ้าได้กล่าวย้ำแล้วย้ำอีกว่า  ฮาดีษของพระองค์เป็นความจริง และไม่มีผู้ใดที่จะประดิษฐื์  สิ่งใดที่จะมาเทียบ เคียง สัจจธรรมของพระองค์ ได้     พระเจ้ากล่าวว่า สิ่งใดที่มาจากพระองค์“อัลกุรอาน” แล้วจะไม่มีความบกพร่อง แต่ฮาดีษที่ไม่ ได้ มาจากพระองค์นั้น จะมีความบกพร่อง อยู่อย่างมากมาย    พระองค์ย้ำว่า อัลกุรอาน สมบูรณ์และมีรายละเอียดอย่างเพรียบพร้อม แต่พวกที่หลงไปแนวทางของ ไซตอน ไม่อาจจะเห็นความจริงของอัลกุรอานได้   การยืนยันนี้ อยู่ใน ซูเราะห์ 18 บัญัตติที่ 57 ซึ่งอธิบายได้ดังนี้ “ผุ้ใดเล่าจะชั่วช้ากว่าบุคคลที่เมื่อถูกตักเตือน (ให้ศรัทธา) ในบัญญัติของพระเจ้าของเขา, แต่ไม่สนใจที่จะเข้าใจ (หรือ เชื่อฟัง, ซึ่งในขณะนั้นเขาไม่เฉลียวใจเลยว่า เป็นบาปหรือไม่?   ผลก็คือ พระองค์ได้ปิดหัวใจเขาจากการเข้าใจอัลกุรอานและทำให้เขากลายเป็นคนหูหนวก ซึ่งในที่นี้หมายถึง เมื่อผูใดไม่ศรัทธาและศึกษา หาความเข้าใจ ในบัญญัติของ พระองค์ แล้ว จะกลายเป็นผู้โง่เขลา ไม่อาจจะเข้าใจสิ่งใด  ที่เขาได้เห็นหรือได้ยินได้   และด้วยเหตุผลนี้  ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม ที่พยายามที่จะ ชักชวนเขา ให้ปฏิบัติตาม แนวทางของ พระเจ้า  บรรดาผู้ที่ยึดแนวทางชอง ไซตอน  จะไม่มีทางที่ จะ ปฏิบัติตามหรือเชื่อฟัง บัญญัติของพระเจ้าเลย”  (จาก  18:57) จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 53 09:31:42

ความคิดเห็นที่ 2 ก่อนอื่นมุสลิมจะต้องถามตัวเอง ก่อนว่า เรา ผู้เป็นมุสลิม จะเลือกศรัทธาอย่างไร? 1.เราจะศรัทธาใน “อัลลอฮ์” พระเจ้าองค์เดียว  และจะไม่สร้างภาคีในรูปแบบใดๆต่อ “อัลลอฮ์ ตะอาลา” พระเจ้าองเดียวที่สมควรต่อการเคารพบูขา 2.หรือว่าเรา จะศรัทธาใน “อัลลอฮ์” พระเจ้าองค์เดียว  แต่ในขณะเดียวกันก็ถือ บัญญัติอื่นๆที่มนุษย์ประดิษฐ์มาในนามของพระองค์และในนามของศาสนทูตของพระองค์ ควบคู่ไปกับบัญญัติของพระองค์ ซึ่งเป็นการสร้างภาคีต่อพระองค์ อัลลออ์ตะอาลา 3.หรือว่า ศรัทธาใน “อัลลอฮ์” พระเจ้าองค์เดียว  แต่ไม่เชื่อในบัญญัติของพระเจ้าว่ามีรายละเอียดสมบูรณ์ อย่างครบครัน ที่จะปฏิบัติ ศาสนกิจตามได้ ตามคำบัญญัติสั่งของพระองค์       แน่นอนที่สุดมุสลิมทุกๆท่านจะต้องเลือกข้อ 1    สำหรับข้อ 2 และ ข้อ 3 นั้นสำหรับผู้ที่ไม่มั่นใจในแนวทางของพระเจ้าเท่านั้นที่ จะเลือกปฏิบัติ  ซึ่ง เมื่อปฏิบัติตามแล้ว ย่อม  ทำให้สังคม มุสลิมเกิดการ แบ่งแยก ออกเป็น กลุ่ม และนิกายต่างๆ  เนื่องจากการปฏิบัติตามแนวทาง ของ มนุษย์  ซึ่ง ติดตาม เรื่องราวบอกเล่า ที่ ไม่มีข้อความต่อเนื่อง ขาดๆหล่นๆ  และถ้าไม่สามารถที่จะจับข้อความได้  ก็ปฏิบัติไปตามความเห็นชอบของพวกพ้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นจริงแล้ว   ตัวอย่างในสังคมมุสลิมไทยเรา  ตามเวบมุสลิมต่างๆ มีการ ถกเถียงกันเรื่อง การตีความหมาย  และการอ้างอิงเรื่อง เล่า ต่างๆ  อย่างมากมาย  ไม่ค่อยเห็นการอวดปัญญากันในเรื่องอื่นของศาสนา มากกว่าการถกเถียงกันเรื่อง การตีความหมายของ “อะฮาาดีษ”       เมือเราเชื่อว่าพระองค์อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงรอบรู้ทุกๆสิ่ง, ทรงได้ยินทุกๆสิ่ง, ทรงมองเห็นทุกๆสิ่ง, ทรงเป็น ผู้สร้างมนุษย์ ฯลฯ แล้ว เราจะต้องเชื่อว่า พระองค์ย่อมทรงทราบว่า, “ขีดจำกัดของ สมองและสคิปัญญาของมนุษย์นั้นๆว่า แต่ละคนมีความสามารถมากน้อยเท่าใด”,  ด้วยเหตุนี้ เมื่อพระองค์ ทรงออกบัญญัติ ใดๆในอัลกุรอาน พระองค์จะต้องทราบดีว่า มนุษย์ จะต้องปฏิบัติได้ พระเจ้าจะไม่ออกคำสั่งที่พระองค์ทรงทราบดีว่า “มนุษย์ไม่อาจจะปฏิบัติได้” ทั้งนี้ เมื่อถึงวันตัดสิน พระองค์จะทรงไว้ด้วยความยุติธรรม ตัวอย่างเช่น . 1.การออกบัญญัติในการเดินทางไปประกอบ พิธี ฮัจจฺ  พระองค์ทรงตั้งเงื่อนไข ที่มีข้อผ่อนผัน ตามสถานะเศรษฐกิจ ของ แต่ละบุคคล 2.การถือศีลอดพระองค์ให้เหตุผลและวางเงื่อนไขต่างๆ พร้อมด้วยข้อผ่อนผัน ซึ่งทำให้มนุษย์ปฏิบัติได้อย่างง่ายดาย 3.การจ่ายซะกาต พระองค์ ทรงสนับสนุนและบังคับ สำหรับผุ้ที่ มีสถานภาพทางเศรษกิจดีกว่าผู้อื่น ให้บริจาก ปัจจัย ให้กับผู้ขัดสน โดยไม่จำกัดหรือบังคับว่าจะต้องมากน้อยเท่าใด, ไม่เป็นกฏตายตัว ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพาะปลูกความมีคุณธรรมทางจิตใจ ให้มีความกรุณาเอื้อ เพื้อ เผื่อแผ่ ต่อ เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  ซึ่งทำให้ เกิดเป็นนิสัย และเมื่อมีมากร่ำรวยมากขึ้น  น้ำใจที่มีคุณธรรม ก็จะทำกุศลเพิ่มขึ้น 4.บัญญัติบังคับในการทำการละหมาดประจำวันๆละ 5  เวลา สำหรับมุสลิมนั้น พระองค์ ทรงเน้นอย่างหนักหน่วง “เจ้าจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาดโดยเคร่งครัด” ผู้ที่มีความเชื่อมั่นใน “ฮาดีษ” มักจะตั้งคำถามท้าทายความสมบูรณ์ ของ “กีตาบุลลอฮ์” (คัมภีร์อัลกุรอาน) ด้วยคำถาม ดังนี้ คือ 1.“ถ้าไม่มีฮาดีษแล้วมุสลิมจะละหมาดอย่างไร? 2. ถ้าอัลกุรอานมีความสมบูรณ์และรายละเอียดจริงแล้ว จงหารายละเอียดในวิธีการละหมาดมาแสดงให้เขาเห็นแล้วจึงจะเชื่อในความ  สมบูรณ์ ของอัลกุรอาน             คำถามเช่นนี้  ควรเป็นคำถามของบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อพระเจ้า และผู้ที่ ไม่มีความแน่ใจและศรัทธาต่อ สัจจธรรมของบัญญัติ ต่างๆในอัลกุรอาน,  ไม่ว่าจะนำเหตุผลต่างๆขึ้นมาแก้ตัวอย่างไรก็ตาม จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 53 09:38:35

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าพระเจ้าไม่ทรงทราบว่า มนุษย์รู้ว่าการละหมาดคืออะไร แล้ว พระองค์คงจะไม่ออกคำสั่ง ให้มุสลิมทำละหมาด    คำถามในเรื่องการทำละหมาดนี้  คือ คำถามที่ผู้ที่ศรัทธาที่เป็นสมาชิก  ของบางลัทธิในศาสนาอิสลาม, ซึ่งเป็นการ แสดงออกถึง การขาดความเข้าใจ อัลกุรอาน และพิสูจน์ให้เห็นว่า ความศรัทธาในศาสนาของเขาเหล่านั้นมีบรรทัดฐานอยู่บน มิจฉาทิฐิ, การ เดา; ทาย; คาดเดา ของ ปราชญ์ทางศาสนาและท่านผู้รู้ต่างๆ ตลอดทั้งบรรพบุรุษของตนเอง  มุสลิมเรียนรู้ความจริงจากอัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัลญาซียะอฺ(45)   บัญญัติที่6-10 ว่า อัลกุรอานเป็นสัญญานของอัลลอฮ์ซึ่งพระองค์ทรง ประทานสัทจธรรมมาโดยละเอียด,สมควรหรือที่มุสลิมยังขวนขวาย เพื่อที่จะนำเรื่องบอกเล่าอื่นๆ มาศรัทธานอกเหนือไปจากอัลกุรอาน ซึ่งเป็นคัมภีร์ของพระเจ้า , ในการทำเช่นนี้ จะนำความหายนะให้บังเกิดแก่ผู้เล่าเรื่องโกหกและผู้ที่ทำบาปอย่างมาก,  ถึงแม้ว่าเขาได้ยินและได้ฟังเรื่องราวต่างๆจากบัญญัติของพระเจ้า เขาเหล่านั้นก็ยังดื้อรั้นอย่างหยิ่งยะโสและท้าทาย สัจจธรรมของพระเจ้าและเอาอายะเหล่านั้นมาล้อเลียน ราวกับว่าไม่เคยได้ยินหรือเข้าใจคำสอนในบัญญัติต่างๆเหล่านั้นมาก่อน        บรรดาบุคคลเหล่านี้จะได้รับการลงโทษอันอัปยศ  เบื้องหน้าพวกเขาคือนรกและสิ่งที่พวกเขาขวนขวายไว้จะไม่อำนวยประโยชน์อันใดแก่พวกเขาได้ และสิ่งที่พวกเขายึดถือเอาเป็นผู้คุ้มครองนอกเหนือไปจากอัลลอฮฺ ก็จะไม่อำนวยประโยชน์เช่นกัน และสำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างใหญ่หลวง, อัลกุรอานเป็นแนวทางที่ถูกต้อง  ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออายาต (อัลกุรอาน) แห่งพระเจ้าของพวกเขา สำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันมหันต์อย่างเจ็บปวดอยู่ในไฟนรก จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 53 09:42:53

ความคิดเห็นที่ 4 พระองค์อัลอฮ์ตะอาลา สอน ท่านรอซูล มูฮัมมัดและมุสลิมผู้ศรัทธาไว้ในอัลกุรอานเกี่ยวกับ ศาสนกิจในอิสลามไว้ว่าดังนี้ (สำหรับผู้ที่มีความศรัทธาต่อ อัลกุรอานอย่างไม่มีข้อสงสัยในสัจจธรรมของ อัลลอฮ์ตะอาลา จะต้องแน่ใจว่า อัลลอ์(พระเจ้า)  ได้บัญญัติไว้อย่างแน่นอนว่า)   นบีอิบรอฮิมคือผู้ที่วางรากฐานของศาสนาอิสลาม ซึ่งได้รับมอบหมายจากพระเจ้า, ด้วยเหตุนี้ ท่านนบีอิบรอฮิม จึงมีส่วนในการ วางพิธีการ ปฏิบัติศาสนกิจ และพิธีกรรมของศาสนาอิสลามให้ ตกทอด มาถึง การใช้ ชีวิตประจำวัน ของมุสลิมใน ปัจจุบันนี้   อัลกุรอานได้ สอนให้เรารู้ว่า  การปฏิบัติศาสนกิจ ทั้งหมด ในศาสนาอิสลาม ซึ่ง รวมทั้ง  การทำละหมาด , การจ่ายกุศล(ซะกัต), การถือศีลอด, และ การประกอบพิธีฮัจจฺ นั้น มุสลิมได้รับมาจาก ท่านนบีอิบรอฮิม, ตกทอดจากชนรุ่นหนึ่ง มาถึงชนอีกรุ่นหนึ่ง มาเรื่อยๆ จน ถึง ปัจจุบัน  มุสลิมส่านใหญ่ผู้ที่ไม่ให้ความสนใจ ใน อัลกุรอาน ในเรื่องนี้ มัก จะถาม เสมอว่า   ทำไมการปฏิบัติศาสนกิจ ในศาสนาอิสลามจึงไม่ ได้มาจาก ท่าน รอซูล มูฮัมมัด  ทั้งนี้เนื่องจากเขาเหล่านั้น ไม่ แน่ใจ และ ไม่รู้ว่า  อัลลออ์ตะอาลา ทรงปกป้องรักษาพิธีกรรมทางศาสนา ที่พระองค์ ประทานให้กับ มุสลิมเรา ให้มีความบริสุทธิและชัดเจนตลอดกัลป์ หรือเราจะกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า พิธีกรรมทางศาสนาและการประกอบศาสนกิจในศาสนาอิสลาม นั้นมีมาก่อน ท่านศาสนทูตมูฮัใมมัด จากคำถามทั้งสองข้อที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เป็นการแสดงออกให้เห็นว่า 1. ผู้ถามท้าทาย “การยืนยันของอัลลอฮ์” และมีความรู้สึกใต้สำนึกในจิตใจของเขา พยายามที่จะพิสูจน์ ว่า อัลลอฮ์ นั้นผิดในการที่ยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “อัลกุรอาน” สมบูรณ์, เพียบพร้อมไปด้วยรายละเอียด สมกับที่มุสลิมจะต้อง ใช้ เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของมุสลิม 2. ผู้ถามยืนยันให้เห็นว่า “ฮาดิษ” มีรายละเอียดของการทำละหมาด อย่างสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ มีความจำเป็นที่จะต้อง ใช้ “ฮาดีษ” นอกเหนือ หรือควบคู่ไปกับ อัลกุรอาน เพื่อ “เป็นบัญญํติอีกฉบับหนึ่ง” ขยายความเพิ่ม รายละเอียด ให้กับ บัญญัติของพระเจ้า 3. ผู้ถามท้าทายความสัจจริงของอัลกุรอาน ที่สอนมุสลิมว่า การปฏิบัติ ศาสนกิจใน ศาสนาอิสลาม  รวมทั้งการทำละหมาด นั้น  ท่านศาสนทูตได้รับการ ปฏิบัติที่ตกทอดมา จาก ท่าน นบีอิบรอฮีมล มุสลิมส่วนมากที่เข้าใจอัลกุรอาน จะเข้าใจได้ดีว่า ศานาอิสลามมีแหล่งที่มาอยู่สองแห่งคือ 1.คัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งมีความ สมบูรณ์, เพียบพร้อมไปด้วยรายละเอียด ของข้อปฏิบัติ ค่างๆในศาสนาอิสลาม ซึ่งถูกประทานผ่านท่าน ศาสนทูตมูฮัมมัด 2.การปฏิบัติศาสนกิจ ต่างๆ ถูกประทานให้กับท่านนบีอิบรอฮิม  คือ การทำละหมาด,การจ่ายซะกัต(บริจาคต่อผู้ขัดสน), การถือศีลอด,   และ การทำฮัจจฺ นั้น ถูกถ่ายทอดมาจากสมัยท่านนบีอิบรอฮิม สืบต่อช่วงอายุ คน เรื่อยๆมาจนถึงปัจจุบัน จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 53 09:48:52

ความคิดเห็นที่ 5 อาจจะมีมุสลิมบางท่านสงสัยว่า ทำไม การปฏิบัติศาสนกิจไม่ได้มาจากท่านรอซูลมูฮัมมัด,  ทั้งนี้เนื่องมาจากเขาอาจจะไม่เข้าใจ ว่าพระองค์อัลลอฮ์ ทรงรักษาปกป้องการปฏิบัติ ศาสนากิจของพระองค์ ให้อย่าง บริสุทธ์ สะอาดปราศจากมลฑิน และมีความสมบูณ์คงอยู่,   ถ้าเราจะกล่าวว่า  ศาสนาอิสลาม นั้นมีมาก่อน ท่านรอซูลมูฮัมมัด ก็เป็นการถูกต้อง ทั้งนี้เพราะว่า  หน้าที่ของท่าน รอซูลมูฮัมมัด นั้นมีเพียงอย่างเดียวก็คือ  เป็นผู้นำข่าวสารจากพระเจ้า (อัลกุรอาน)มาเผยแพร่ต่อปวงชน เท่านั้น  ซึ่งจะเห็นได้จากคำอธิบายดังนี้  ในซูเราะฮฺ อัรเราะอฺดฺ อายะที่ 40 อัลลอฮ์ตะอาลา กล่าวแก่ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดว่า,ไม่ว่าพระองค์จะแสดงให้ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดเห็น ชีวิต ของปวงชน ในปรโลก ตามคำสัญญาของพระองค์ ในเรื่องของการ ลงโทษหรือให้รางวัล หรือเราจะเอาดวงวิญญาณ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ไปสู่พระองค์  ก่อนที่ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด จะปฏิบัติหน้าที่ของท่านอย่างสมบูรณ์ก็ตาม,  อัลลอฮ์ตะอาลาทรงกำชับต่อท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ว่า  หน้าที่ของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ที่พระองค์ทรงมอบหมายนั้น คือ การนำข่าวสารของพระองค์ (อัลกุรอาน) ไปเผยแพร่แก่ปวงชนเท่านั้น , แต่เรื่องการตัดสินความดีความชั่วของปวงชน, ซึ่งเขาเหล่านั้นจะต้องรับผิดชอบนั้น เป็นหน้าที่ของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น (13:40)  จากบัญญัติข้อนี้ เราจะทราบได้อย่างชัดเจนคือ การปฎิบัติศาสนกิจในศาสนาอิสลามนั้นได้ มีมาอยู่แล้วก่อนหน้าที่ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดจะได้รับแต่งตั้งเป็นศาสนทูต และหน้าที่ของ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด มีอย่างเดียวคือการนำอัลกุรอานมาเผยแพร่ให้กับมวลมนุษย์เท่านั้น   ซึ่ง คำสั่งในเรื่องนี้ มีบัญญัติที่ยืนยัน อีก 2 บัญญัติคือ  42:48 และ 5:99 แลมีข้อความย่างย่อๆดังนี้ “เจ้า (โอ, มูฮัมมัด) ไม่มีหน้าที่อื่นใดเว้นแต่เผยแพร่ (อัลกุรอาน) 42:48 “รอซูลไม่มีหน้าที่อื่นใด เว้นแต่ เผยแพร่ (อัลกุรอาน) 5:99คำ ข้อสังเกตุ     ในซูเราะฮฺ อัลฮัจยฺ, อายะที่77   อัลลอฮ์ตะอาลา ได้ตักเตือนผู้ศรัทธาในอิสลาม ให้ทำการละหมาดต่อพระองค์ ด้วยการ รูกั๊วะ และ การ สุญูด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระองค์ ทรงล่วงรู้ว่า “มุสลิมได้รู้จักการทำละหมาดมาตั้งแต่ก่อน จะมีอัลกุรอานแล้ว มิเช่นนั้น พระองค์ จะไม่มีคำสั่ง ให้กระทำ" จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 53 09:54:44

ความคิดเห็นที่ 6 ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ดำเนินงานสืบต่อจากท่านนบีอิบรอฮีมทั้งนี้เพราะว่า อัลลอฮ์ตะอาลาได้บัญญัติไว้ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัลฮัจยฺ, อายะที่78 อย่างชัดเจน โดยมีคำสั่งให้ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด เดินตามวิถีทางที่พระองค์ได้มอบหมายให้กับท่านศาสนทูต อิบรอฮิม นั้นคือ ศาสนาอิสลาม  ซึ่งรวมทั้ง การปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ รวมทั้งการทำละหมาด, การจ่ายซะกัต (บริจาคต่อผู้ขัดสน), การถือศีลอด,และ การทำฮัจจฺ ฯลฯ    พระองค์อัลลอฮ์ตะอาลา ทรงมีคำสั่งต่อ ผู้ศรัทธาให้พยายามกระทำความดีในทางของพระเจ้า(ต่อสู้กับความชั่ว) ตามหน้าที่ของผู้ศรัทธา, พระเจ้าได้ทรงกรุณาเมตตาและไม่ได้สร้างความยากลำบาก แก่ผู้ที่ศรัทธาในศาสนาอิสลาม,  ซึ่งเป็นศาสนาของท่านนบีอบรอฮิม ซึ่งเปรียบเสมิอนศาสนาของบิดาของ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด และของบรรดาผู้ศรัทธา, ท่านนบีอิบรอฮิม เป็นผู้ซึ่ง ขนานนามผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามว่า “มุสลิม” ตั้งแต่เริ่มแรก,   ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ได้ถูกแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อ เป็น สักขีพยาน ต่อผู้ศรัทธา, เช่นเดียวกันกับ บรรดาผู้ศรัทธาซึ่งจะเป็นสักขีพยานต่อบรรดามวลชนทั่วๆไป, ดังนั้นบรรดาผู้ศรัทธาจะต้อง ดำรงค์การละหมาดประจำวัน, การทำกุศลต่อผู้ขัดสน (ซะกัต), และยึดมั่นต่อพระองอัลลอฮ์ตะอาลา, ซึ่งเป็นพระเจ้าของผู้ศรัทธา, และทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ ที่ดีเลิศ 22:78 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 53 09:56:28

ความคิดเห็นที่ 7 มุสลิมผู้ศรัทธาเท่านั้นที่จะเชื่อว่า 1. ในบัญญัติของพระเจ้าว่า   ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด มีหน้าที่ในการ รับอัลกุรอานจากพระเจ้า และนำมาเผยแพร่  ข่าวสารของพระเจ้า ต่อมวลชนตามบัญญัติ 13:40, 42:48 และ 5:99, และผุ้ศรัทธาจะต้องรักและเชื่อฟังคำสอน ของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ตามบัญญัติในอัลกุรอานเท่านั้น 2. ท่านนบีอิรอฮิม เป็นผู้ วางรากฐานในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ รวมทั้งการละหมาด, การถือศีลอด, และการทำฮัจจฺ ไม่มีข้อสงสัยเลยว่ามุสลิมรู้เรียนรู้การละหมาดมาก่อน ที่ท่านศาสนทูตจะเกิด และการละหมาดได้ตกทอดลงมา เป็นรุ่นๆ จนถึงมุสลิมในปัจจุบัน ด้วยการปกป้องของ อัลลอฮ์ตะอาลา เฃ่นเดียวกับที่พระองค์ปกป้อง คัมภีร์อัลกุรอาน (โปรดติดตาม ตอนที่ 3 ในอาทิตย์หน้า) จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 53 09:58:42

ความคิดเห็นที่ 8 เผื่อเป็นประโยชน์ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8813504/Y8813504.html แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 53 11:25:41 จากคุณ : kheedes เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 53 11:23:09

ความคิดเห็นที่ 9 ด้วยความสงสัยครับ เห้นถกกันเรื่องละหมาดเนี่ยมานาน ว่าตามหะดิษ รึตามแต่กรุอ่าน แต่หากผมจะถามไม่ทราบเป็นการละลาบละล้วงรึไม่ ว่ามุสลิมซุนนะฯ ทั้งสี่มัสฮับนั้น ละหมาดไม่เหมือนกัน ตกลง มัสฮับไหนถูกกันแน่ และที่ว่าถูกนั้น ละหมาดตามอะไรหรือครับ? ขออภัยล่วงหน้าที่ถามเช่นนี้ครับ จากคุณ : itoursab (itoursab) เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 53 13:03:14

ความคิดเห็นที่ 10 2 กระทู้แล้ว  ยังไม่เห็นจะอธิบายเลยว่า  ละหมาดอย่างไร เห็นแต่โจมตีเรื่องหะดิษ .... จากคุณ : kheedes เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 53 17:45:28

ความคิดเห็นที่ 11 จริงๆ แล้วผมกะว่าจะตั้งกระทู้ใหม่แต่เมื่ออ่านแล้ว ผมก็ไม่รู้จะตั้งใหม่เพื่ออะไร เพราะกระทู้นี้ ก็ไม่ต่างกับกระทู้ตอนที่ 1 เลย ไม่มีการตอบใดๆ ทั้งสิ้นว่า ละหมาดอย่างไรโดยไม่อาศัยฮะดีษ และการโจมตีฮะดีษในกระทู้ตอนที่ 2 นี้ ก็ยังคงเป็นการกล่าวอ้างเอาเองโดยปราศจากความจริงเหมือนเดิม และดูเหมือนว่า login แมทท์จะไม่สนใจข้อเท็จอะไร เพียงแต่ขอให้ได้พิมพ์ยาวๆ แล้วสอดแทรก การโจมตีฮะดีษ ไว้เยอะๆ เพื่อเอาสะใจ เท่านั้นเอง เอาล่ะ ผมจะ เอามาให้พิจารณากันสักสองสามตัวอย่างพอ เพราะในกระทู้นี้เนื้อหา ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่กกว่ากระทู้แรก จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 53 20:34:50

ความคิดเห็นที่ 12 เราจะพบคำอ้างแบบนี้อยู่เนืองๆ ทั้งกระทู้ตอนที่ 1 และตอนที่ 2 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 53 20:43:41

ความคิดเห็นที่ 13 ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เพราะว่า ท่านนบีเองเป็นผู้อนุญาตให้มีการบันทึกฮะดีษ ในยุคสมัยของท่านเองดังนี้        ด้วยเหตุต่างๆข้างต้นทำให้ซุนนะห์ของท่านรอซูลแพร่กระจายไปในหมู่ชน ทุกระดับ อย่างรวดเร็ว ควบคู่กับการอัลกุรอาน แต่น่าเสียดายว่าในยุคที่ท่านนบียังมีชีวิตอยู่นั้น มิได้มีการบันทึกซุนนะห์ไว้อย่างเป็นสัดส่วน เพราะเกรงว่าจะไปปะปนกับอัลกุรอานที่ได้มีการบันทึกไว้ก่อนแล้ว ท่านอะบูสะอี๊ด อัลคุดรีย์ได้รายงานว่า ท่านรอซูลลุลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวไว้ดังนี้ لاَ تَكْتُبُوا عَنِى مَنْ كَتَبَ عَنى غَيْرَ القُرْآنِ فَلْيَمْحُهُ “พวก เจ้าอย่าได้บันทึกเรื่องใดๆจากฉัน ผู้ใดที่บันทึกเรื่องใดจากฉันที่ไม่ใช่อัลกุรอาน ก็จงลบมันทิ้งก่อน” ศอเฮียะห์มุสลิม ฮะดีษเลขที่ 5326        แต่คำสั่งห้ามของท่านรอซูลข้างต้นนี้ เป็นคำห้ามโดยรวม เพราะท่านรอซูลได้อนุญาตให้ศอฮาบะห์บางท่านที่มีความแม่นยำในการบันทึก และสามารถจำแนกระหว่างอัลกุรอานและซุนนะห์ไว้อย่างเป็นสัดส่วน ทำการบันทึกได้ หรืออย่างเหตุการณ์ที่ อะบีชาฮ์ ซึ่งเป็นชาวยะมันได้ เดินทางมาศึกษาเรื่องราวอิสลามกับท่านนบี ขณะที่เขาได้ฟังคุตบะห์ของท่านนบีจบลง ก็ร้องขอต่อท่านนบีว่า يَا رَسُوْلَ اللهِ اكْتُبُوا لِى فَقالَ اكْتُبُوا لَهُ “โอ้ ท่านรอซูลของอัลลอฮ์ ได้โปรดให้พวกเขาบันทึกให้ฉันด้วยเถิด ท่านกล่าวว่า พวกเจ้าจงบันทึกให้เขาด้วย” มุสนัดอิหม่ามอะห์หมัด ฮะดีษเลขที่ 6944        ฉะนั้นจากหน้าประวัติศาสตร์ฮะดีษจึงระบุว่า บันทึกของอะบีชาฮ์ เป็นบันทึกแรกที่เกี่ยวกับซุนนะห์ของท่านนบี แต่ทว่าบันทึกซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในขณะนั้นกลับมิใช่บันทึกของอะบีชาฮ์ หากแต่เป็นบันทึกของท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อุมัร เพราะท่านเป็นผู้ที่มีความแม่นยำในการบันทึก        แม้ว่าในยุคต้นจะมิได้มีการบันทึกซุนนะห์เป็นล่ำเป็นสัน แต่ก็มิได้หมายความว่าซุนนะห์ของท่านรอซูลจะถูกลืมเลือนไป เพราะยังคงมีบรรดาศอฮาบะห์อีกมากมายที่จำเรื่องราวที่เกิดขึ้นหรือจำคำของ ท่านรอซูลได้อย่างแม่นยำ แล้วถ่ายทอดต่อให้แก่คนในยุคถัดมา จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 53 20:45:05

ความคิดเห็นที่ 14 การบันทึกฮะดีษ จึงไม่ใช่การรวบรวมกันใหม่หรือคิดขึ้นเอง หลังจากท่านนบีจากไปเป็นร้อยๆ ปีอย่างที่ login แมทท์อ้างแต่อย่างใด เพราะในความเป็นจริงแล้วเราจะพบว่า มีการเรียนการสอนเรื่องฮะดีษมาเป็นเวลานานแล้ว ------------------------------------------------------------------------------------- ตอนที่ 11 อิหม่ามซุฟยาน อัสเซารีย์       ท่านอิหม่ามซุฟยาน อัสเซารีย์ บุตรของสอี๊ด บุตรของมัซรูก อัสเซารีย์ เป็นนักวิชาการในระดับตาบีอีน เกิดในปีที่ 77 ฮิจเราะห์ศักราช และเสียชีวิตที่เมืองบัศเราะห์ในปีที่ 161 ฮิจเราะห์ศักราช       ท่านอิหม่ามซุฟยาน ได้เริ่มศึกษาวิชาฮะดีษตั้งแต่ ยังเยาว์วัย ขณะอายุได้ 18 ปี โดยเริ่มต้นศึกษาที่เมืองคอรอซาน จากความมุมานะของท่านทำให้สามารถท่องจำฮะดีษของท่านนบีไว้เป็นจำนวนมาก ฉะนั้นจึงถือว่าท่านเป็นปราชญ์คนหนึ่งในวิชาฮะดีษ       ท่าน อิหม่ามซุฟยาน เป็นผู้มีความละเอียดอ่อนในการจำและในการบันทึกฮะดีษ ซึ่งท่านจะเน้นในด้านตัวผู้รายงานและสายรายงานเป็นหลัก โดยท่านวางกฎเกณฑ์สำหรับตัวผู้รายงานว่า ต้องเป็นผู้ที่มีความน่าเชื่อถือ, ต้องมีความเที่ยงธรรม มีความแม่นยำในคำรายงาน       ท่านอิหม่ามซุฟยาน ได้เรียบเรียงตำราด้านฮะดีษไว้หลายชุดด้วยกัน เช่น อัลญาเมียะอ์ อัลกะบีร และได้ถูกนำมาเป็นบทสรุปมีชื่อว่า อัลญาเมียะอ์ อัสศ่อฆีร นอกจากนั้นแล้วยังมี อัลฟะรอเอ็ด และ ตำราในด้านอื่นๆอีก ซึ่งตำราที่ท่านเรียบเรียงไว้นี้เป็นที่ยอมรับในหมู่นักวิชาการทั่วไป สมควรแล้วที่ท่านได้รับการขนานนามว่า เป็นหนึ่งในปราชญ์แห่งวิชาการฮะดีษ --------------------------------------------------------------------------------- เราจะพบว่า ในยุคที่ ผู้คนได้ทันพบกับสหายของท่านศาสดานั้นก็มีการเรียนการสอนการบันทึก และกรั่นกรองฮะดีษกันแล้ว คำอ้างของ login แมทท์จึงเป็นการโกหก ทั้งสิ้นครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 53 20:50:42

ความคิดเห็นที่ 15 แล้วการบันทึกฮะดีษนั้น บรรดาอิหม่ามเที่ยวไปไต่ถามเอาจากชาวบ้าน แล้วมาอ้างสายรายงานกันเองได้อย่างที่ login แมทท์ ใส่ร้าย และโกหกใส่ความ นักปราชญ์เหล่านั้นจริงหรือ?             คำตอบคือเป็นไปไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงครับ             เพราะ การเรียนการสอนฮะดีษนั้นมีมาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาบันทึก และสร้างวิธีการคัดกรอง หรือเรียงสายรายงานกันเองภายหลัง ดังนั้นถ้าจะรวบรวมฮะดีษจะทำอย่างไร             ก็ต้องไปศึกษาจากนักวิชาการต่างๆ ศูนย์การเรียนรู้ด้านศาสนาต่างๆ ที่ยังคงสืบทอด และมีนักวิชาการพิจารณาสายรายงาน และบันทึกฮะดีษต่างๆ อยู่ก่อนแล้ว จากนั้นจึงค่อยมารวบรวมไว้ในตำราครับ             ตัวอย่างก็ ในความคิดเห็น ที่ 14 เรื่องของอิหม่าม อัสเซารีย์นั่นแหละครับ ที่ท่านไม่ได้อยู่ห่างจากสมัยท่านรอซูลเป็นร้อยปี และสมัยท่านก็มีการสอนฮะดีษแล้วด้วย การจะไปรวบรวมจากชาวบ้านแล้วมาอ้างสายรายงานเอง จึงเป็นเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ ที่แมทท์จินตนาการขึ้นเอง ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริงแม้แต่นิดเดียว             นั่นเพราะถ้าอ้างถึงนักวิชาการท่านใดโดยพละการ ลูกศิษย์ลูกหา รวมทั้งลูกหลาน อีกทั้งชีวประวัติของท่านเหล่านั้นที่ถูกอ้าง จะยืนยันเองว่า จริงหรือไม่จริง             ตัวอย่างการพิจารณาฮะดีษ ที่ผมจะนำมาลงต่อไปนี้ จะทำให้เราทราบว่าฮะดีษนึงนั้น มีวิธีการรวบรวมอย่างไร ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------             ประเภทที่หนึ่ง  : การเพิ่มที่ขัดแย้งกับรายงานต่างๆของผู้รายงานที่เชื่อถือได้ (อัซซิก็อต الثقات ) การเพิ่มประเภทนี้ไม่เป็นที่ยอมรับ ตัวอย่าง : ฮะดีษที่รายงานโดยอิมามบุคอรีย์ ด้วยสายสืบดังนี้ :            จากอับดุลเลาะห์กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามท่านนบี  ว่า : การกระทำอย่างไหนเป็นที่รักยิ่งสำหรับอัลเลาะห์ ? ท่านนบีตอบว่า : “การละหมาดในเวลาของมัน” *(อัลบุอคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมานเลข 527)             ท่านอัลฮาฟิซอิบนุหะญัร กล่าวว่า : ลูกศิษย์ทั้งหมดของ ชุอฺบะห์  (شعبة) รายงานฮะดีษบทนี้ตรงกันด้วยสำนวน “الصلاةعلى وقتها” ยกเว้นอะลี อิบนุ ฮัฟซฺ (على بن حفص) เพียงคนเดียวที่รายงานด้วยสำนวน “الصلاةفى أول وقتها” ซึ่งมีความหมายว่า “การละหมาดในตอนเริ่มของเข้าเวลา” *(อัล ฮากิม : อัลมุสตัดร็อก เล่ม 1 หน้า 188-189 อัลฮากิมถือว่าฮะดีษนี้ซอฮีฮฺ และอัซซะฮะบีย์ เห็นด้วย และอัดดารุกุฏนีย์ได้รายงานไว้ในหนังสืออัสสุนัน เล่ม 1 หน้า 246 )            อัดดารุกุฏนีย์ได้วิจารณ์ว่า : ข้าพเจ้าไม่คิดว่าท่านอาลี จะจดจำฮะดีษนี้ดีพอ เนื่องจากเขาอายุมาก และความจำของเขาเปลี่ยนแปลง *(อิบนุฮะญัร : ฟัตฮุ้ลบารีย์ เล่ม 2 หน้า 10 )             ในที่นี้จะสังเกตได้อย่างชัดเจนว่า การเพิ่มในตัวบทที่สองที่รายงานโดยอาลีนั้น ขัดแย้งกับตัวบทที่หนึ่งที่รายงานโดยผู้รายงานส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้ท่านอิมาม อันนะวะวีย์ (สิ้นชีวิตในปั ฮ.ศ.676) และนักฮะดีษท่านอื่นๆจึงได้ตัดสิน (ฮุก่ม) ตัวบทที่สองว่าเป็นรายงานฏ่ออี๊ฟ (อ่อน) *(ดูอันนะวะวีย์ : อัลมุจญ์มู๊อฺ เล่ม 3 หน้า 51) ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เราเห็นอะไรจากวิธีการตรวจสอบนี้             1.เลยนะครับ นักวิชาการเขาไม่บันทึกฮะดีษมาจากคนโนเนมที่ไหน แต่เขาบันทึกจากนักวิชาการ แล้วยังมีผู้รายงานอื่นเป็นจำนวนมากด้วยในฮะดีษเดียวกัน แล้วจึงนำมาเทียบ             2.เมื่อพบความขัดแย้งก็พิจารณาและบันทึกสาเหตุด้วย และสาเหตุก็อย่างที่อ่านนั่นคืออายุหรือความจำ นี่คือความละเอียดของฮะดีษ คำอ้างของแมทท์เรื่องการไปบันทึกจากชาวบ้านแล้วมาอ้างเป็นสายรายงานจึงเป็นเรื่องที่ไร้สาระมากๆ ครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 53 21:01:36

ความคิดเห็นที่ 16 ก็ในเมื่อ เหตุผลที่ออกมาจาก login แมทท์ มันทั้งเหลวไหล ไร้สาระ และไม่ตรงกับข้อเท็จจริงแล้ว ยังมีหน้ามาบอกว่า      มีมุสลิมจำนวนน้อยมากที่ เข้าใจเรื่องนี้ ได้อย่างถูกต้อง และพยายามตักเตือนเขา เหล่านี้ แต่เขาเหล่านี้ ได้หลงทางไปไกลเกินกว่าที่จะดึงกลับมาได้  ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีใครก็ตามพยายามที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้ จะถูกทำลาย  ด้วยวิธีการต่างๆ แม้แต่การ สังหารชีวิต ซึ่งผมเองได้เคยถูก มุสลิมประเภทขลาดเขลาขู่มา ครั้งหนึ่งแล้ว   เช่นเดียวกันในห้องศาสนานี้ เขาจะรังควาญทุกๆกระทู้ที่ผมตั้งขึ้น และพยายามจะ ทำลายเครดิตในความรู้ของผมในทุกๆทาง, โดยให้เหตุผลว่าเพื่อปกป้องอิสลามซึ่งความจริงแล้ว เป็นการพยายามปกปิด ความศรัทธาที่ หลงอยู่ในประเพณีอรับและต่อเคิมหลักบัญญัติของพระเจ้า แต่เมื่อผม และ ผู้ใดก็ตาม ตั้งคำถามกลับไปเขาจะทำเฉยเมยหรือพาลไม่ตอบไปเสียเลย อีกหรือครับ ผมจะบอกให้นะครับ ถ้า login แมทท์ เป็นผู้เข้าใจกุรอ่านอย่างถ่องแท้ มีหลักการอิสลามที่ถูกต้องโต้แย้งไม่ได้แล้วล่ะก็ ไม่มีใครมาดินเครดิต ได้หรอกครับ คำว่าเข้าใจได้อย่างถูกต้องนั้นมันเป็นคำพูดที่ไม่มีความจริงมารองรับ เพราะสิ่งที่คุณเข้าใจนั้น ขัดกับหลักอิสลาม ตั้งแต่ขัดกับกุรอ่าน ไปจนถึงขัดกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ด้วย ดังนั้น เมื่อคุณคิดว่าคุณถูกดิสเครดิตนั้น ความจริงมันไม่ใช่การดิสเครดิต หรอก แต่เป็นเพียงการถามหามาตรฐาน และความจริงในหลักการที่คุณอ้างเท่านั้น ว่าเป็นสัจธรรมแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วคุณก็ทำได้แค่หนี และโกหกไปเพื่อกลบเกลื่อนก็เท่านั้น เพราะสิ่งที่มุสลิมนำมาถาม นำมาแสดงให้ทุกคนดูนั้น ไม่ได้ดัดแปลงเลย ตั้งแต่คุณบอกว่า กุรอ่านถูกต่อเติม ไปจนถึงการ ว่ากล่าวดูถูกท่านนบีมุฮัมมัด สิ่งเหล่านี้ ผมเอามาจากการโพสต์ของคุณเอง ไม่ได้ต่อเติมคำพูดให้กับคุณเลยนะครับ คุณมองว่านี่เป็นการดิสเครดิต เพราะคุณไม่สามารถปกปิดความจริงเรื่องความตลบแตลงได้ต่างหาก จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 53 21:13:28

ความคิดเห็นที่ 17 สุดท้ายเมื่อ login แมทท์ อับจนหนทางจะอธิบายว่า จะละหมาดอย่างไรโดยไม่อาศัยฮะดีษแล้ว login แมทท์ ก็จะพยายามอ้างทันทีว่า อธิบายแล้ว แต่บรรดาผู้ถามพยายามชักชวนให้ไปสู่หนทางแห่งชัยฏอน ซึ่งนี่เป็นการอ้างที่หน้าด้านมากๆ เพราะ login แมทท์ ไม่เคยเลยสักครั้งที่ จะหามาได้ว่า ละหมาด 5 เวลาอยู่ตรงไหน เอาแค่เบื้องต้นนะครับ ไม่ต้องลงลึกไปถึงท่าทางต่างๆ ในการละหมาด ดังนั้น จึงไม่ใช่ผู้ถามหรอกครับที่ชักชวนไปสู่ทางแห่งซาตาน หรือชัยฏอน แต่มันเป็นการอับจนหนทาง และจนด้วยเหตุผลของ login แมทท์เอง ที่ไม่สามารถ จะหารายละเอียดเรื่องนี้มาจากกุรอ่านได้ และไม่สามารถรับผิดชอบคำพูดตัวเองที่เคยบอกว่า การปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ นั้น ต้องใช้กุรอ่านเท่านั้น สุดท้ายก็ต้องกลืนน้ำลายตัวเอง บอกว่าตามบรรพบุรุษด้วย (ซึ่งนั่นก็เป็นฮะดีษอยู่ดีแหละครับ แต่เป็นฮะดีษที่เชื่อถือไม่ได้) จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 53 21:19:42

ความคิดเห็นที่ 18 แล้ว login แมทท์ ก็จะนำไม้ตายของตัวเอง ออกมานั่นคือ การอ้างกุรอ่านแบบมั่วๆ อ้างแบบไม่มีความรู้ สักแต่ว่าอ้างแต่ไม่ดูเลยว่า กุรอ่านสั่งอะไรไว้บ้าง แมทท์จะอ้างทันทีว่ากุรอ่านสมบูรณ์แล้ว แต่ผมจะบอกให้เลยครับว่ากุรอ่านสมบูรณ์แล้วครับ และรายละเอียดนั้น มีคำสั่งแบบนี้ครับ 2 : 32. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า พวกท่านจงเชื่อฟังอัลลอฮ์และร่อซูลเถิด แต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงชอบผู้ปฏิเสธ 3 : 53. ข้าแต่พระเจ้าของพวกข้าพระองค์พวก ข้าพระองค์ศรัทธาแล้วต่อสิ่งที่พระองค์ได้ประทานลงมา และพวกข้าพระองค์ก็ได้ปฏิบัติตาม ร่อซูลแล้ว โปรดทรงบันทึกพวกข้าพระองค์ร่วมกับบรรดาผู้ที่กล่าวปฏิญาณยืนยันทั้งหลาย ด้วยเถิด 3 : 132. และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา 4 : 13. เหล่านั้นแหละคือขอบเขตของอัลลอฮฺ และผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์แล้ว พระองค์ก็จะทรงให้เขาเข้าบรรดาสวนสวรรค์ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่เบื้อง ล่างของมัน โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวนสวรรค์เหล่านั้นตลอดกาลและนั่นคือชัยชนะอัน ยิ่งใหญ่ 4 : 14. และผู้ใดฝ่าฝืนอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์ และละเมิดขอบเขตของพระองค์แล้วไซร้ พระองค์ก็จะทรงให้เขาเข้านรก โดยที่เขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล และเขาจะได้รับการลงโทษที่ยังความอัปยศให้(แก่เขา) 4 : 59. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย  แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล  หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป  ที่สวยยิ่ง 4 : 61. และเมื่อถูกล่าวแก่พวกเขาว่า ท่านทั้งหลายจงมายังสิ่งที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมา  และยังร่อซูลเถิด  เจ้าก็ได้เห็นพวกมุนาฟิก เหล่านั้นผินหลังให้แก่เจ้าจริง ๆ 4 : 64. และเรามิได้ส่งร่อซูลคนใดมานอกจากเพื่อให้เขาได้รับการเชื่อฟังด้วยอนุมัติ ของอัลลอฮฺเท่านั้น และแม้ว่าพวกเขานั้นขณะที่พวกเขาอธรรมแก่ตัวเอง ได้มาหาเจ้า แล้วขออภัยโทษต่ออัลออฮ์และร่อซูลก็ได้ขออภัยโทษให้แก่พวกเขาด้วยแล้วแน่นอน พวกเขาก็ย่อมพบว่าอัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ 4 : 80. ผู้ใดเชื่อฟังร่อซูล แน่นอนเขาก็เชื่อฟังอัลลอฮฺแล้ว และผู้ใดผินหลังให้ เราก็หาได้ส่งเจ้าไปในฐานะเป็นผุ้ควบคุมพวกเขาไม่ 5 : 92. และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และจงเชื่อฟังร่อซูลเถิด และพึงระมัดระวังไว้ด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าผินหลังได้ ก็พึงรู้เถิดว่าที่จริงหน้าที่ของร่อซูลของเรานั้น คือ การประกาศอันชัดเจนเท่านั้น 5 : 104. และเมื่อได้ถูกกล่าวแก่พวกเขาว่า ท่านทั้งหลายจงมาสู้สิ่งที่อัลลอฮ์ ได้ทรงประทานลงมาเถิด และมาสู่ร่อซูลด้วย พวกเขาก็กล่าวว่า เป็นการพอเพียงแก่เราแล้ว สิ่งที่เราได้พบบรรพบุรุษของเราเคยกระทำมันมาถึงแม้ได้ปรากฏว่าบรรพบุรุษของ พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งใด และทั้งไม่ได้รับคำแนะนำอีกด้วยกระนั้นหรือ? 8 : 20. “บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์เถิด และจงอย่าได้ผินหลังให้แก่เขา ขณะที่พวกเจ้าฟังกันอยู่” 8 : 46. “และจงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์เถิด และจงอย่าขัดแย้งกัน จำทำให้พวกเจ้าย่อท้อ และทำให้ความเข้มแข็งของพวกเจ้าหมดไป และจงอดทนเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงอยู่กับผู้ที่อดทนทั้งหลาย” 24 : 52. และผู้ใดเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์ และเกรงกลัวอัลลอฮ์และยำเกรงพระองค์แล้ว ดังนั้น ชนเหล่านั้นพวกเขาเป็นผู้ได้รับชัยชนะ 24 : 54. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “พวกเจ้าจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลร่อซูล  หากพวกเขาผินหลังให้  แท้จริงหน้าที่ของเขา (ร่อซูล) คือสิ่งที่ได้ถูกมอบหมาย  และหน้าที่ของพวกเจ้าคือสิ่งที่ได้ถูกมอบหมายเช่นกัน  และหากพวกเจ้าเชื่อฟังปฏิบัติตามเขาแล้ว พวกเจ้าก็จะอยู่ในทางที่ถูกต้อง (ฮิดายะฮฺ) และหน้าที่ของอัลร่อซูลไม่มีอื่นใด นอกจากการเผยแพร่อันชัดแจ้ง 24 : 56. และพวกเจ้าจงดำรงละหมาด และจงบริจาคอัซซะกาฮ์ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลร่อซูล เพื่อพวกเจ้าจะได้รับควาเมตตา 33 : 36. ไม่บังควรแก่ผู้ศรัทธาชายและผู้ศรัทธาหญิง เมื่ออัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ได้กำหนดกิจการใดแล้ว สำหรับพวกเขาไม่มีทางเลือกในเรื่องของพวกเขา  และผู้ใดไม่เชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์แล้ว แน่นอนเขาได้หลงผิดอย่างชัดแจ้ง 47 : 33. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮ.และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามร่อซูลคนนี้เถิดและอย่า ทำให้การงานของพวกเจ้าไร้ประโยชน์ 49 : 14. อาหรับชาวชนบทกล่าวว่า เราศรัทธาแล้ว จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่า พวกท่านยังมิได้ศรัทธา แต่จงกล่าวเถิดว่า เราเข้ารับอิสลามแล้ว เพราะการศรัทธายังมิได้เข้าสู่หัวใจของพวกท่าน  และถ้าหากพวกท่านเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์แล้ว พระองค์จะไม่ทำให้การงานของพวกท่านด้อยลงแต่ประการใด  แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ 64 : 12. และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัรร่อซูล หากพวกเจ้าผินหลังกลับ (ไม่เชื่อฟัง) ดังนั้นหน้าที่ของร่อซูลของเราก็คือการเผยแผ่อันชัดแจ้ง รายละเอียดต่างๆ ตั้งแต่ละหมาดไปจนถึงทำฮัจญ์ เราสามารถหาได้โดยการตามคำสั่งในกุรอ่านนั่นคือ ทำตามซุนนะห์แบบอย่างของท่านนบีครับ  และจากที่ login แมทท์ถูกจับโกหก และเปิดโปงการกล่าวเท็จ ในการโจมตีฮะดีษแล้วนั้น เราก็พบว่า ฮะดีษนั้นเป็นแหล่งเดียวที่เราสามารถจะทำตามนบีได้อย่างถูกต้องที่สุด เมื่อเราปฏิเสธฮะดีษ แบบที่ login แมทท์ปฏิเสธฮะดีษ จึงทำให้เกิดปัญหาครับ คือหารายละเอียดการปฏิบัติศาสนกิจไม่ได้เลย ต้องคาดเดาเอาเอง ว่าทำแบบนั้นมั๊งแบบนี้มั๊ง ถามมา 5-6 ปี ก็หนีไปตลอด 5-6 ปี อยู่เช่นเดิม เพราะ login แมทท์ ปฏิเสธกุรอ่านโองการที่ให้ตามนบีนี่แหละครับ โดยหันไปทำตามบรรพบุรุษแทน มุสลิมจึงไม่ปฏิเสธครับว่ากุรอ่านนั้นครบสมบูรณ์แล้ว และมุสลิมก็ทำตามอย่างเคร่งครัดด้วย กล่าวคือมุสลิมได้ให้ความสำคัญกับฮะดีษเพื่อที่จะหาวิธีปฏิบัติตามนบีอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งจากกุรอ่าน แต่ login แมทท์นี่แหละครับ ที่เวลาบอกก็บอกว่าตามกุรอ่าน แต่ดันปฏิเสธกุรอ่านเสียเอง โดยหันหลังให้กับซุนนะห์ของท่านนบี แล้วหันไปทำตามบรรพบุรุษที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 53 21:29:20

ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อ login แมทท์ตอบคำถาม ว่า “ถ้าไม่มีฮาดีษแล้วมุสลิมจะละหมาดอย่างไร?" ไม่ได้ login แมทท์ ทำอย่างไร login แมทท์ ก็ทำสิ่งคนกลับกลอกถนัดนั่นคือ ไม่ยอมตอม ไม่ยอมรับว่าตอบไม่ได้ ไม่ยอมรับว่าแนวคิดตัวเองนั้น ไม่มีสาระ แต่จะด่ากลับทันทีว่า คำถามเช่นนี้  ควรเป็นคำถามของบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อพระเจ้า และผู้ที่ ไม่มีความแน่ใจและศรัทธาต่อ สัจจธรรมของบัญญัติ ต่างๆในอัลกุรอาน,  ไม่ว่าจะนำเหตุผลต่างๆขึ้นมาแก้ตัวอย่างไรก็ตาม ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว มุสลิมละหมาดได้จากกุรอ่านครับ โดยทำตามโองการที่สั่งให้ทำตามท่านนบี และแบบอย่างของท่านนบีนั้นเราหาได้จากฮะดีษ ถ้าไม่เอาฮะดีษ ยังไงก็ละหมาดไม่ได้ครับ แต่เมื่อ login แมทท์ ปฏิเสธที่จะตามฮะดีษ login แมทท์ ย่อมไม่สามารถหารายละเอียดการละหมาดมาตอบได้ เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ด่ากลับเท่านั้น นี่คือลักษณะที่ login แมทท์ ทำมาตลอด 5-6 ปี ทั้งๆ ที่คำถามก็ถามเรื่องเดียว แค่ ละหมาดอย่างไรโดยไม่อาศัยฮะดีษ อีกทั้งระยะหลังๆ มุสลิมก็ยังใจดี บีบลงมาแค่หาเวลาละหมาด login แมทท์ก็ยังตอบไม่ได้ ซึ่งถ้าแนวคิดของแมทท์ เป็นสัจธรรม เป็นสิ่งที่จริงแล้วล่ะก็ ตอบมาก็จบครับ ว่าละหมาดอย่างไรโดยไม่อาศัยฮะดีษ ไปหารายละเอียดในกุรอ่านมาเรื่องการละหมาด ถ้าหามาได้ ก็จบเลย คนถามก็หมดเรื่องถามแล้ว แต่นี่นอกจากไม่ตอบแล้ว ยังจะหนีไปก่อปัญหาตามกระทู้ต่างๆ อีก สรุปแล้ว หลักการของ login แมทท์เรื่องที่ปฏิเสธฮะดีษ จึงเป็นหลักการที่ไร้สาระ ไม่มีเหตุผลใดเพียงพอ ไม่สามารถตอบปัญหาพื้นฐานได้เลย login แมทท์ ก็แค่ถ่วงเวลา เพื่อเลี่ยงคำตอบไปวันๆ เพื่อหาทางบิดเบือนอิสลามต่อไป ก็แค่นั้น ถ้าการสรุปของผมไม่จริงแย้งมาได้เลยครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 53 21:40:03

ความคิดเห็นที่ 20 ประการต่อมา login แมทท์ มักอ้างแบบนี้ครับว่า หลักการปฏิบัติศาสนานั้น วางรากฐานโดยท่านนบีอิบรอฮีม แถมยังอ้างว่าอัลลอฮฺปกป้อง ตั้งแต่สมัยนบีอิบรอฮีมด้วย (ถ้าผมเข้าใจผิดก็บอกนะครับ) ดังนี้ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 53 21:57:30

ความคิดเห็นที่ 21 เอาล่ะ ถ้าอ่านเผินๆ หรืออ่านโดยคนที่ไม่ใช่มุสลิมอาจจะดูดี ถึงดูดีมากๆ แต่ถ้าเราอ่านดีดีแล้วจะพบว่า นี่คือมหกรรมจับแพะชนแกะ อีกครั้งหนึ่งของ login แมทท์ นั่นคือแมทท์พยายามจะอ้างว่าการปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ นั้นมาจากสมัยนบีอิบรอฮีม (หรืออับราฮัมในไบเบิ้ล) โดยการตกทอดจากชนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง มาถึงปัจจุบัน แล้วก็เอาอีกส่วนนึงมาบอกว่า อัลลอฮฺทรงปกป้องศาสนกิจต่างๆ ของมุสลิมให้บริสุทธิ์ตลอดไป เอาสองส่วนมาเรียงต่อกัน เพื่อให้เข้าใจไปว่า การละหมาดหรือการปฏิบัติศาสนกิจ ของมุสลิมนั้น ทำกันมาตั้งแต่สมัยนบีอิบรอฮีมแล้ว และได้รับการปกป้องมาโดยตลอด ซึ่งความจริงคนละเรื่องเลยครับ ที่อัลลอฮฺทรงรักษาไว้นั่นคือกุรอ่าน ครับ ซึ่งสั่งให้เราทำตามนบี ไม่ใช่ทำตามบรรพบุรุษ และที่การปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ ยังคงรูปแบบที่ถูกต้องไว้ได้มาจนถึงปัจจุบันนั้นก็มาจากฮะดีษ ไม่ใช่ตกทอดจากบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่นเลย ส่วนการปฏิบัติศาสนกิจในรูปแบบของท่านนบีอิบรอฮีมนั้น ไม่มีใครทราบครับว่าเค้าเดิมนั้นเป็นอย่างไร อาจจะมีการละหมาดอยู่ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าละหมาดสมัยนบีอิบรอฮีมนั้นทำอย่างไร ฮัจญ์สมัยนั้นทำอย่างไร ซะกาต หรือทานภาคบังคับนั้น คิดสัดส่วนจากทรัพย์สินอย่างไร การปฏิบัติศาสนกิจของมุสลิมปัจจุบันจึงมาจากแบบอย่างท่านนบีมุฮัมมัดครับ ไม่ใช่ท่านนบีอิบรอฮีม และถึงจะอ้างว่าทำตามท่านนบีอิบรอฮีม นั่นก็ถือเป็นฮะดีษอยู่ดีเพราะนั่นไม่ใช่ กุรอ่านครับ แต่เป็นการบอกเล่าที่อ้างถึงท่านนบีอิบรอฮีม และเป็นการทำต่อกันมาโดยไม่ได้เอามาจากการแจงรายละเอียดของกุรอ่าน เอาล่ะ เรามาดูกันดีกว่าว่าที่ login แมทท์อ้างนั้นน่ะ จริงหรือไม่ มาดูกันว่า ยิวที่ก็อ้างถึงท่านนบีอิบรอฮีมละหมาดอย่างไร จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 53 22:08:54

ความคิดเห็นที่ 22 แล้วช่วยบอกหน่อยว่า มุสลิมละหมาดแบบนี้ เวลาไหน ใน 5 เวลา แล้วมุสลิมประเทศใดละหมาดแบบนี้? ในคลิปนั้น ละหมาดกี่รอกาอัต ? อ่านฟาติฮะห์ไหม? แต่มุสลิมละหมาด แต่ละรอกาอัต และในแต่ละ เวลา เท่ากันนะครับ แล้วที่บอกว่า ศาสนกิจต่างๆ ที่มาจากสมัยนบีอิบรอฮีมนั้นคงความบริสุทธิ์ไว้มาจนถึงปัจจุบันน่ะ ทำไมต่างกันล่ะครับ นี่ไม่ใช่ต่างกันแค่วางมือนะครับ นี่เรียกได้ว่า คนละทิศเลย ตั้งแต่เริ่มจนจบ แถมมีนอนด้วย มุสลิมประเทศไหนเขานอนคว่ำในละหมาดเหรอครับถ้าไม่ป่วย (ถึงป่วยก็คงไม่มีใครนอนคว่ำกระมัง?) เห็นหรือยังครับผลของการตกทอดรุ่นสู่รุ่นโดยไม่เอาฮะดีษ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 53 22:13:15

ความคิดเห็นที่ 23 อันนี้คือมุสลิมละหมาด ดูหน่อยซิว่า จำนวนรอกาอัตเท่ากันหรือไม่ อ่ะไม่ต้องนับรอกาอัต เอาแค่ เริ่มต้น ตักบีร ที่มุสลิมทั่วโลกก่อนละหมาดก็ต้องตักบีรก่อน แล้วยิวล่ะทำหรือไม่? ไหนว่ามุสลิมปัจจุบัน ละหมาดแบบที่นบีอิบรอฮีมละหมาดไงล่ะครับ แล้วตกทอดรุ่นสู่รุ่นมาถึงปัจจุบัน หรือว่าผมเข้าใจผิด? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 53 22:15:56

ความคิดเห็นที่ 24 สรุปแล้ว 2 ตอนที่ผ่านมา จะไม่ตอบเหรอครับว่า ละหมาด อย่างไรถ้าไม่ใช้ฮะดีษ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 53 22:16:49

ความคิดเห็นที่ 25 คุณitoursab (itoursab)   ผมไม่ใช่จะเฉยเมยต่อคำถามของคุณเลยครับ ผมเองก็มีความสงสัยเช่นเดียว กัน กับคุณ ผมว่าในความคิดเห็น ของผมนั้น มันน่าจะมีเหตุผลมากกว่า คือละหมาด ตาม เหตุผลที่ อธิบายไว้ในอัลกุรอาน ซึ่งเหตุผลและ คำอธิบายของ "พระเจ้า หรือ อัลลออ์ตะอาลานั้น เป็นความจริง ซึ่ง มุสลิมจำเป็น จะต้องยึดถือ คุณถามเรื่อง มัสหับ หรือนิกาย ย่อยๆ ในนิกายซุนนีย์นั้น  ก็เปรียบเสมือน  นักวิชาการทาง ธรรีวิทยา  สี่คณะ ที่ขุดค้น โครงกระดูก ของสัตว์ หรือ ของอะไรก้ตาม ที่ตายมานานเป็น พันๆ ปี   ต่างคณะต่างก็นำโครง กระดูกเหล่านั้นมา ประติด ประต่อ กัน เกิดมาเป็น โครงสัตว์ สี่ชนิด  ต่างคณะก็ ถกเถียงกันว่า  โครงกระดูกที่ นำมาต่อกันนั้น ของเขา เหมือน โครงกระดุก "ไดโนโซรัส"  ที่สุด  เถียงกัน จนตายก็ไม่มีทาง เข้าใจได้ เพราะ ไม่เคย เห็น  เจ้าตัว"ไดโนโซรัส"  มาก่อน ทั้ง สี่คณะ ด้วยเหตุนี้ เนื่องจากผมศรัทธาในพระเจ้า ผมจึงต้อง ยึดอัลกุรอาน ตามที่ผมเข้าใจและอธิบายไว้ข้างต้น    คือว่า "ผมไม่อาจจะเถียงกับอัลลอฮ์ตะอาลาได้ ครับ" ว่า บัญญัติของท่านไม่ถูกต้อง เชื่อถือไม่ได้ มีอะไรก็แย้งมาได้นะครับ จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 53 04:06:18

ความคิดเห็นที่ 26 ผมอยากทราบว่ามีมุสลิมผู้ใดในที่นี้ กล้าที่จะคัดค้านว่า บัญญัติของพระเจ้าต่อไปนี้ไม่มีความ จริง และไม่เชื่อ ในการบอกเล่าของพระเจ้า อัลลอฮ์ตะอาลา ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ดำเนินงานสืบต่อจากท่านนบีอิบรอฮีมทั้งนี้เพราะว่า อัลลอฮ์ตะอาลาได้บัญญัติไว้ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัลฮัจยฺ, อายะที่78 อย่างชัดเจน โดยมีคำสั่งให้ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด เดินตามวิถีทางที่พระองค์ได้มอบหมายให้กับท่านศาสนทูต อิบรอฮิม นั้นคือ ศาสนาอิสลาม  ซึ่งรวมทั้ง การปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ รวมทั้งการทำละหมาด, การจ่ายซะกัต (บริจาคต่อผู้ขัดสน), การถือศีลอด,และ การทำฮัจจฺ ฯลฯ   พระองค์อัลลอฮ์ตะอาลา ทรงมีคำสั่งต่อ ผู้ศรัทธาให้พยายามกระทำความดีในทางของพระเจ้า(ต่อสู้กับความชั่ว) ตามหน้าที่ของผู้ศรัทธา, พระเจ้าได้ทรงกรุณาเมตตาและไม่ได้สร้างความยากลำบาก แก่ผู้ที่ศรัทธาในศาสนาอิสลาม,  ซึ่งเป็นศาสนาของท่านนบีอบรอฮิม ซึ่งเปรียบเสมิอนศาสนาของบิดาของ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด และของบรรดาผู้ศรัทธา, ท่านนบีอิบรอฮิม เป็นผู้ซึ่ง ขนานนามผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามว่า “มุสลิม” ตั้งแต่เริ่มแรก,  ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ได้ถูกแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อ เป็น สักขีพยาน ต่อผู้ศรัทธา, เช่นเดียวกันกับ บรรดาผู้ศรัทธาซึ่งจะเป็นสักขีพยานต่อบรรดามวลชนทั่วๆไป, ดังนั้นบรรดาผู้ศรัทธาจะต้อง ดำรงค์การละหมาดประจำวัน, การทำกุศลต่อผู้ขัดสน (ซะกัต), และยึดมั่นต่อพระองอัลลอฮ์ตะอาลา, ซึ่งเป็นพระเจ้าของผู้ศรัทธา, และทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ ที่ดีเลิศ 22:78 ในความคิดเห็นที่ 18 นั้น เป็นรายละเอียดที่  อัลลออ์ตะอาลา วางบัญญัติให้มุสลิมเชื่อฟังท่าน รอซูล ถ้ามุสลิมไม่มีความรักและศรัทธาว่า ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดเป็นศาสนทูตของพระเจ้าที่แท้จริงแล้ว  มนุษย์ก็จะไม่ได้ รับ ข่าวสารจากพระเจ้า   เมื่อเขาหันหลังให้กับท่านรอซูลมูฮัมมัด ก็เท่ากับ หันหลังให้กับพระเจ้า  พระเจ้าก็จะปิดกั้นความเข้าใจและความรู้ที่เขาจะได้รับจากอัลกุรอาน, เขาเปรียบเสมือน คนหูหนวกและจะเป็นผู้โง่เขลาไปตลอดชีวิต ของเขา และจะหลงอยู่ในทางของ ไซตอน ตลอดไป  ด้วยเหตุนี้ มุสลิมผู้ศรัทธาจึงจำเป็นจะต้องเชื่อฟังท่านรอซูล และปฏิบัติตามแนวทางของรอซูล เช่นเมื่อท่านมีชีวิตอยู่   มุสลิมส่วนใหญ่ ยังมีความหลงผิดอยู่ ที่ เข้าใจว่า "ฮาดีษ" คือ ตัวแทนของท่านรอซูล ในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่     แต่ความจริงแล้ว "ฮาดีษ" ที่ชาวเปอร์เชียน รวบรวมมานั้น เปรียบเสมือน "รูปเจว็ด" ที่ ที่ชาวเปอร์เชียน  กลุ่มนั้น ปั้นขึ้นมา เพื่อให้ มุสลิมยึด เป็นหลักศรัทธา เทียบเท่าอัลกุรอาน โดยถือว่าเป็นเสมือน ว่า มุสลิมกำลัง นั่งฟังคำสั่งสอนของท่านมูฮัมมัดอยู่, หรือกำลังเชื่อฟังเจว็ดที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีอำนาจใดๆทั้งสิ้น  และเป็นแนวทางที่ทำให้มุสลิมแตกแยกเป็นนิกาย และเป็นที่เกลียดกลัวของชาวโลกอยู่ในปัจจุบันนี้  ซึ่งเป็นชัยชนะของ ไซตอน ที่ผมกล้าแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ได้ก็เพราะผมเห็นว่า เจว็ด ในรูปแบบใดๆก็ตาม ไม่มีอำนาจใดๆที่จะทำร้ายหรือ ให้คุณต่อผู้ใดได้ นอกจากทำให้บุคคลที่ยืดถือหลงงมงาย เกรงกลัว เจว็ด มากกว่าอำนาจของ อัลลอฮ์ตะอาลา จาก  อัลกุรอาน   เมื่อมุสลิมผู้ศรัทธาอ่านด้วยความเข้าใจแล้ว  เขามีทางเลือก อยู่ 2 ทางคือ 1. จะเชื่อในบัญญัติของอัลลออ์ตะอาลา หรือ 2. จะเชื่อ เจว็ดที่  ที่ชาวเปอร์เชียน กลุ่ม นั้น ประดิษฐ์ ขึ้นมาให้มุสลิมหลงไหลศรัทธาว่า เป็น "ตัวแทนของท่านนบีมูฮัมมัด"  ถ้ามุสลิมเชื่อในข้อ 2  ก็เท่ากับการสร้างภาคีเป็น "ชิริก"  และถ้าเชื่อ ทั้ง 1 และ 2  ก็เป็นการนับถือสิ่งอื่น พร้อมๆกับ พระเจ้า ก็เป็น ชิริก เช่นเดียว กัน   เราทราบแล้วว่า มุสลิมจะ ต้องรักและปฏิบัติตามท่านรอซูลตามบัญญัติต่างๆที่ ระบุไว้ในอัลกุรอาน ที่ถูกนำมา เสนอ ในความคิดเห็นที่ 18, คือ ยึดถือและเชื่อฟัง คำสอนในอัลกุรอานซึ่งเป็น ฮาดีษที่กล่าวมาจากปากของท่านเอง และตามซุนนะห์ที่แท้จริง ของท่านรอซูล คือ ยึดอัลกุรอานเท่านั้น เป้นแนวทางชีวิตตาม ที่อัลลออ์ตะอาลาบัญญัติไว้ ซึ่งเป็น ซุนนะห์ที่ แท้จริงของ ท่านรอซูล   การยึดถือ "เจว็ด" ที่ ชาวเปอร์เซียน กลุ่มนั้นประดิษฐ์ขึ้น มาเป็นตัวแทนนบีมูฮัมมัด ที่ยิ่งใหญ่ของศาสนาอิสลามนั้น เป็นการกระทำที่เป็น "ชิริก" หรือการ สร้าง ภาคีต่อพระเจ้าอย่างไม่มีข้อสงสัย ในใจมุสลิมผู้ใดเลย   การถือเจว็ดที่เป็นสิ่งแทนตัวท่านนบีมูฮัมมัดดังกล่าวแล้ว เป็นการฝ่าฝึนและ เป็นการกระทำที่หน้าไหว้หลังหลอก "มูนาฟิก" ต่อ บัญญัติต่างๆที่ ระบุไว้ใน ความคิดเห็นที่ 18 อย่างสิ้นเชืง     ถ้าท่านนบีมูฮัมมัด มีโอกาสได้เห็น "เจว็ด" ในนามของท่าน ที่ชาวเปอร์เวียนกลุ่มนั้น สร้างขึ้น มาและเห็นมุสลิมหันไปยึดถือ "เจว็ด"นั้น  ท่านจะรู้สึกผิดหวังในเป็นอย่างยิ่ง ที่มุสลิมไม่ได้เชื่อฟัง คำสอนของท่าน และ รักท่าน เลยแม้แต่น้อยแต่น้อย  มุสลิมจะศรัทธาต่อเจว็ดหรือจะเชื่อสัทจธรรมของอัลกุรอาน ในซูเราะฮฺ อัลฮัจยฺ, อายะที่78 และ จากอายะ 22:78  เป้นสิ่งที่ควรจะต้อง ไตร่ตรองให้ถูกต้อง แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 53 10:44:31 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 53 10:42:23

ความคิดเห็นที่ 27 -25 นั่นซิครับ อิม่มทั้งสี่นั่นน่ะ ท่านไม่เถียงกันหรอก แต่มะมูมทั้งหลายที่ตามๆเนี่ยแหละ บางรายแทบจะฆ่ากันตาย แต่อย่างสุเหร่าบ้านเพื่อนผมก็ดีนะครับ มัสซฮับใดก็มาละหมาดรวมกันได้ อะไรไม่ตรงก็เว้นกันไป ถอยออกมา แต่เท่าที่รุ่นพี่ผมเคยเจอ ยิ่งแถวบางที่ใต้ๆเนี่ย แกบอกว่าเป็นเรื่องเป็นราวก็มี แง่บๆ เห็นถกๆกันเรื่อง ละหมาดตามอะไรกันแน่ เลยนึกๆว่า เอ๊ แม้แต่สี่มัสฮับก็ยังไม่ตรงกัน ตกลงอันไหนใช่กันแน่เนี่ย ชักสับโสน แง่บๆ จากคุณ : itoursab (itoursab) เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 53 12:29:12

ความคิดเห็นที่ 28 ผมว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่า ละหมาดแบบไหน ถูกหรอกครับ ่แต่ปัญหามันอยู่ที่ คิดว่าของตัวเองถูกแล้ว ยัดเหยียดให้คนอื่นทำตาม เรื่องนี้ ก็คงเป็นกันทุกศาสนาละมัง หนีกันไม่พ้น ยึดติดว่าตัวเองถูก ตัวเองดี ถ้ามากไปบางคนก็ถึงกับลงไม้ลงมือ หรือไม่ก็ คิลกันได้ง่ายๆ ศาสนา ดีๆก็พลอยกลายเป็นลัทธิหมด อยากเป็นชาวสวรรค์ จนไล่เหยียบ เพื่อนมนุษย์ ทั้งด้วย กายวาจาใจ แทนที่จะช่วย สังคมให้เรียนรู้อิสลามร่วมกัน  อะไรก็ถอยหลังไปเรื่อยแบบนี้ ผมกลับมาสนใจ และเริ่มเรียนรู้อิสลาม เพราะ คุณ แมทต์กับ คุณ Carroth คิดว่าหลายๆคนก็คงเป็นเหมือนผม ถ้า สองฝั่งนี้รุ้จักคุยกันดีๆ คุยกันด้วยข้อมูล ไม่ใช่แค่บอกว่า  ที่พ่อทำที่ปุ่ทำ ถูกต้องที่สุด ใคร ไม่เหมือนผิด  แล้วเอา อิสลาม เอา อัลกุรอานเป็นจุดยึด ปัญหาก็คงไม่วุ่นวาย แบบนี้      แค่เรื่องอัลฮะดิษ ก็ตอบอะไรได้หลายอย่างแล้วสำหรับ มุสลิมห้องศาสนา ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลา ว่างๆจริงๆจะกลับมาสิงห้องนี้อีกนะครับ ^^ จากคุณ : เยาฮารี (Yaoharee) เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 53 13:15:42

ความคิดเห็นที่ 29 ไม่มีมุสลิมคนไหน ปฏิเสธกุรอ่าน เหมือนที่ login แมทท์ปฏิเสธหรอกนะครับ สำหรับโองการที่ว่า 22:78. และจงต่อสู้เพื่ออัลลอฮ์ ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่แท้จริงเพื่อพระองค์(*1*) พระองค์ทรงคัดเลือกพวกเจ้า และพระองค์มิได้ทรงทำให้เป็นการลำบากแก่พวกเจ้าในเรื่องของศาสนา(*2*) ศาสนา (ที่ไม่ลำบาก) คือศาสนาของอิบรอฮีม บรรพบุรุษของพวกเจ้า(*3*) พระองค์ทรงเรียกชื่อพวกเจ้าว่ามุสลิมีน ในคัมภีร์ก่อน ๆ และในอัลกุรอานเพื่อร่อซูลจะได้เป็นพยานต่อพวกเจ้า และพวกเจ้าจะได้เป็นพยานต่อมนุษย์ทั่วไป(*4*) ดังนั้นพวกเจ้าจงดำรงการละหมาด และบริจาคซะกาต และจงยึดมั่นต่ออัลลอฮ์ พระองค์เป็นผู้คุ้มครองพวกเจ้า เพราะพระองค์คือผู้คุ้มครองที่ดีเลิศ และผู้ทรงช่วยเหลือที่ดีเยี่ยม แต่อย่างที่ผมบอกนะครับว่า ศาสนาของท่านนบีอิบรอฮีมก็คือ อิสลาม ศาสนาของบรรดาศาสดาทุกศาสดาก็คืออิสลาม ดังนั้นการที่จะนับถือศาสนาอิสลาม ก็คือศาสนาของบรรดาศาสดาท่านก่อนๆ ด้วย แต่ ไม่มีใครรู้นะครับว่า ท่านนบีอิบรอฮีมละหมาดอย่างไร จ่ายซะกาตอย่างไร หรือทำฮัจญ์อย่างไร และ มีตรงไหนในกุรอ่านครับที่บอกว่า รูปแบบศาสนกิจอิสลามต่างๆ นั้น ตกทอดจากนบีอิบรอฮีม มายังท่านนบีมุฮัมมัดโดยยังบริสุทธิ์ชัดเจนมาจนถึงปัจจุบัน ผมเจอแต่พระองค์จะรักษากุรอ่าน ที่บอกให้เราทำตามท่านนบีมุฮัมมัดนะครับ ถ้ามีก็บอกด้วย ซึ่งการที่มุสลิมสามารถละหมาดกันอย่างถูกต้อง มีรูปแบบเดียวกัน มี 5 เวลาเหมือนกัน มีจำนวนรอกาอัตในแต่ละเวลาเท่ากันนั้น ล้วนเพราะมุสลิม ยึดแบบอย่างของท่านนบีที่บันทึกในฮะดีษครับ ไม่ใช่มาจากบรรพบุรุษ ดังนั้นแล้ว การละหมาดของมุสลิมนั้น จึงเป็นการละหมาดตามแบบอย่างของท่านนบีมุฮัมมัดซึ่งอัลลอฮฺสั่งใช้ให้ทำครับ แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 53 17:21:19 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 53 17:20:48

ความคิดเห็นที่ 30 การอ้างของ login แมทท์นั้น จริงๆ แล้วขัดกับกุรอ่าน โดยตรงเลยล่ะครับเรื่องการอ้างว่า การปฏิบัติศาสนกิจนั้นตกทอดมาตั้งแต่สมัยนบีอิบรอฮีม โดยยังบริสุทธิ์ชัดเจนอยู่ เอาล่ะ ละหมาด ของมุสลิม มี 5 เวลานะครับ แสดงว่าละหมาด 5 เวลา มีมาตั้งแต่สมัยนบีอิบรอฮีม มาจนถึงท่านนบีมุฮัมมัดโดยไม่เปลี่ยนแปลงเลยหรือ? ซึ่ง login แมทท์ ผู้ปฏิเสธฮะดีษ พยายามบอกแบบนั้น เพื่อที่จะอ้างว่าการละหมาดนั้นตกทอดมาตั้งแต่สมัยนบีอิบรอฮีมแล้ว โดยไม่ต้องใช้ฮะดีษ แล้วตกทอดมายังมุสลิมยุคปัจจุบันแบบรุ่นสูุ่รุ่น ลองดูซิว่า คำสั่งนี้ เป็นละหมาด ใดใน 5 เวลา นี่เป็นโองการกุรอ่านครับ ที่ยืนยันชัดเจนว่า การละหมาด 5 เวลานั้น มีมาหลังจากการประทานกุรอ่านมาแล้วระยะเวลานึง มาอ่านดู อัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ระบุไว้ในซูเราะฮ์ อัลมุซซัมมิล และการวายิบละหมาดครั้งแรกนั้น  ก็ได้ระบุไว้ในช่วงแรกของซูเราะฮ์ดังกล่าว  ซึ่งพระองค์ได้ทรงตรัสว่า  "โอ้ผู้ห่มผ้า (หมายถึงนบีมุฮัมมัดซึ่งกำลังห่มผ้า) - 1 - เจ้าจงตื่นกลางคืน(เพื่อทำละหมาด)เถิด  ยกเว้นเพียง(เวลา)เล็กน้อย (เพื่อใช้ในการพักผ่อน) - 2 - (นั่นคือ) ครึ่งคืน  หรือจงลดลงจากนั้นลงมาสักเล็กน้อย - 3 - หรือจงเพิ่งขึ้นกว่านั้นอีก  และเจ้าจงอ่านอัลกุรอานให้ถูกต้องชัดเจน - 4 - " นี่เป็นหลักฐานจากกุรอ่านชัดเจนครับว่า จงตื่นขึ้น เพื่อละหมาด ครับ ในเวลาละหมาด ของมุสลิม ที่มี 5 เวลานั้น มีเวลา 1.ซุบฮิ เช้ามืดก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นครับ 2.ดุฮริ เวลาที่ดวงอาทิตย์คล้อยไปจากเวลาเที่ยงตรงแล้ว ซึ่งบางพื้นที่ คือเวลา เที่ยงกว่าๆ หรือบ่ายโมง 3.ฮัศริ คือเวลา บ่ายคล้อย ซึ่งจะเป็นเวลา 3-4 โมงเย็น แล้วแต่พื้นที่ และฤดูกาล 4.มัฆริบ คือเวลา พลบค่ำครับ 5.อิชา คือเวลากลางคืน แต่หลังจาก พลบค่ำเล็กน้อย ไม่ใช่กลางดึก หรือเวลาที่ตื่นขึ้นหลังจากนอนไปได้ระยะนึงแล้ว ดังนั้นคำว่าจงตื่นขึ้นเพื่อละหมาดนั้น จึงไม่ใช่ทั้ง 5 เวลา ที่มุสลิมละหมาดเป็นภาคบังคับ แต่อย่างใด แล้ว login แมทท์กลับบอกว่า ละหมาด 5 เวลา เป็นที่คุ้นเคยกันมานานแล้ว จึงเป็นการโกหกทั้งสิ้นครับ การอ้างเกี่ยวกับนบีอิบรอฮีมของแมทท์จึงเป็นคำอ้าง ที่ไม่ถูกต้องเลย เพราะที่เราตามศาสนาของท่านนบีอิบรอฮีมคือ เรารับอิสลามครับ เพราะอิสลามเป็นศาสนาเดียวที่อัลลอฮฺรับรอง แต่ไม่ได้หมายความว่า มุสลิมไม่ต้องทำตามนบีมุฮัมมัด เพราะแต่ละยุคสมัยก็มีนบีของแต่ละยุคสมัยครับ ดังนั้นยุคนี้ สมัยนี้ จึงต้องทำตามท่านนบีมุฮัมมัดเท่านั้น เพราะไม่มีหลักฐานอะไรเลยว่า ท่านนบีอิบรอฮีมละหมาดอย่างไร นอกจากมีในกุรอ่าน และฮะดีษ แล้วแมทท์ที่อ้างว่า ทำตามนบีอิบรอฮีม ดันมาปฏิเสธฮะดีษซะเอง ผมก็อยากรู้ครับว่าแมทท์จะละหมาดอย่างไร จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 53 17:29:08

ความคิดเห็นที่ 31 แล้วลองเทียบดูอีกรอบนะครับว่า ถ้าอ้างว่า ศาสนกิจต่างๆ นั้น ชัดเจนมาตั้งแต่สมัยนบีอิบรอฮีม แล้วจะมาปฏิเสธฮะดีษเนี่ย แล้วละหมาดแบบนี้ มีในอิสลามด้วยเหรอครับ? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 53 17:30:57

ความคิดเห็นที่ 32 ก็ในเมื่อ ศาสนกิจต่างๆ นั้น ชัดเจนมาตั้งแต่ นบีอิบรอฮีมแล้ว คุณอธิบายมาซิว่า ทำไม คำว่าชัดเจนของคุณ ถึงได้มีความแตกต่างกัน สุดกู่ ระหว่างมุสลิมกับยิว? มุสลิมละหมาด กี่รอกาัอัต แล้วยิวทำกี่รอกาอัต ทำจบหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แถมมีนอนราบด้วยนะ คำตอบมีได้ง่ายๆ เลยครับว่า เพราะคำว่าตามบรรพบุรุษอย่างที่ login แมทท์ชอบอ้างไงล่ะครับ ถึงได้แตกต่างกันแบบนี้ สิ่งนี้แหละครับ สิ่งที่ชั่วช้า โดยการปฏิเสธแบบอย่างของท่านนบี ซึ่งเราสามารถหาแบบอย่างของท่านได้อย่างถูกต้องที่สุดทางฮะดีษ แล้วดันไปปฏิบัติตามบรรพบุรุษ ที่ไม่รู้เลยว่าเป็นใครมาจากไหน ไปได้ยินเรื่องราวต่างๆ มาจากใคร น่าเชื่อถือได้หรือไม่ นี่สิครับ จึงจะเรียกว่าเป็นเจว็ด ที่คนอย่าง login แมทท์ พยายามชักจูงให้คนมาบูชา เจว็ดที่เีรียกว่าบรรพบุรุษ กุรอ่านบอกครั้งแล้วครั้งเล่าให้ตามนบี มีสักครั้งหรือไม่ บอกว่าให้ตามบรรพบุรุษ แล้ว login แมทท์กลับอ้างว่า ถ้าจะละหมาดก็ให้ละหมาดตามบรรพบุรุษ แบบนี้จะมาเรียกตัวเองว่าเป็นมุสลิมได้อย่างไร? ดังนั้น ผมจึงยังไม่พบว่า login แมทท์จะละหมาดได้อย่างไีรนะครับ นอกจากละหมาดตามฮะดีษ และสำหรับ login แมทท์ฮะดีษของเขาจะอ้างถึงบรรพบุรุษ ซึ่งสืบไม่ได้ว่า ไปได้ิยินมาจากไหน มีความน่าเชื่อถือเพียงใด โกหกหรือไม่ก็ไม่รู้เป็นฮะดีษที่ไม่มีความน่าเชื่อถืออะไรเลย และผลของฮะดีษประเภทนี้ก็อย่างคลิปด้านบนนั่นแหละครับ คนละเรื่องกับการละหมาดของมุสลิม สรุปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรถ้าไม่เอาฮะดีษก็ปฏิบัติศาสนกิจอย่างถูกต้องไม่ได้หรอกครับ ไม่ว่าจะอย่างไร และเมื่อปฏิเสธที่จะปฏิบัติศาสนกิจอย่างถูกต้องแล้ว จะเรียกว่ามุสลิมได้อย่างไร? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 53 17:47:01

ความคิดเห็นที่ 33 และ login แมทท์ก็ยังโกหกใส่ ฮะดีษว่า  มุสลิมส่วนใหญ่ ยังมีความหลงผิดอยู่ ที่ เข้าใจว่า "ฮาดีษ" คือ ตัวแทนของท่านรอซูล ในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่    แต่ ความจริงแล้ว "ฮาดีษ" ที่ชาวเปอร์เชียน รวบรวมมานั้น เปรียบ เสมือน "รูปเจว็ด" ที่ ที่ชาวเปอร์เชียน  กลุ่มนั้น ปั้นขึ้นมา เพื่อให้ มุสลิม ยึด เป็นหลักศรัทธา เทียบเท่าอัลกุรอาน โดยถือว่าเป็นเสมือน ว่า มุสลิมกำลัง นั่งฟังคำสั่งสอนของท่านมูฮัมมัดอยู่, หรือกำลังเชื่อฟังเจว็ด ที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีอำนาจใดๆทั้งสิ้น  และเป็นแนวทางที่ทำให้มุสลิม แตกแยกเป็นนิกาย และเป็นที่เกลียดกลัวของชาวโลกอยู่ในปัจจุบันนี้   ซึ่งเป็นชัยชนะของ ไซตอน ที่ ผมกล้าแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ได้ก็เพราะผมเห็นว่า เจว็ด ในรูปแบบ ใดๆก็ตาม ไม่มีอำนาจใดๆที่จะทำร้ายหรือ ให้คุณต่อผู้ใดได้ นอกจากทำ ให้บุคคลที่ยืดถือหลงงมงาย เกรงกลัว เจว็ด มากกว่าอำนาจของ อัล ลอฮ์ตะอาลา นี่ก็เป็นคำพูด อันเลื่อนลอยไม่มีหลักการอีกเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่ผมก็เอาเรื่องจริงมาลงแล้วว่า ฮะดีษไม่ได้เพิ่งบันทึกหรือรวบรวมมาหลังจากท่านนบีจากไป เป็นร้อยปี อย่างที่ login แมทท์โกหก แต่ฮะดีษนั้นมีบันทึกมาตั้งแต่สมัยท่านนบีแล้ว และก็มีการรายงานเรื่อยมา ในรุ่นซอฮาบะห์ จนมาถึงรุ่นหลังๆ การอ้างของ login แมทท์ จึง ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความจริงนะครับ อ่านอีกรอบนะครับโดยคร่าวๆ ------------------------------------------------------------------------------ เพราะท่านรอซูลได้อนุญาตให้ศอฮาบะห์บางท่านที่มี ความแม่นยำในการบันทึก และสามารถจำแนกระหว่างอัลกุรอานและซุนนะห์ไว้อย่างเป็นสัดส่วน ทำการบันทึกได้ หรืออย่างเหตุการณ์ที่ อะบีชาฮ์ ซึ่งเป็นชาวยะมันได้ เดินทางมาศึกษาเรื่องราวอิสลามกับท่านนบี ขณะที่เขาได้ฟังคุตบะห์ของท่านนบีจบลง ก็ร้องขอต่อท่านนบีว่า يَا رَسُوْلَ اللهِ اكْتُبُوا لِى فَقالَ اكْتُبُوا لَهُ “โอ้ ท่านรอซูลของอัลลอฮ์ ได้โปรดให้พวกเขาบันทึกให้ฉันด้วยเถิด ท่านกล่าวว่า พวกเจ้าจงบันทึกให้เขาด้วย” มุสนัดอิหม่ามอะห์หมัด ฮะดีษเลขที่ 6944       ฉะนั้นจากหน้าประวัติศาสตร์ฮะดีษจึงระบุว่า บันทึกของอะบีชาฮ์ เป็นบันทึกแรกที่เกี่ยวกับซุนนะห์ของท่านนบี แต่ทว่าบันทึกซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในขณะนั้นกลับมิใช่บันทึกของอะบีชาฮ์ หากแต่เป็นบันทึกของท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อุมัร เพราะท่านเป็นผู้ที่มีความแม่นยำในการบันทึก       แม้ว่าในยุคต้นจะมิได้มีการบันทึกซุนนะห์เป็นล่ำเป็นสัน แต่ก็มิได้หมายความว่าซุนนะห์ของท่านรอซูลจะถูกลืมเลือนไป เพราะยังคงมีบรรดาศอฮาบะห์อีกมากมายที่จำเรื่องราวที่เกิดขึ้นหรือจำคำของ ท่านรอซูลได้อย่างแม่นยำ แล้วถ่ายทอดต่อให้แก่คนในยุคถัดมา ------------------------------------------------------------------------------ การอ้างว่า ชาวเปอร์เซียปั้นแต่งขึ้นมา จึงเป็นจิตนาการของแมทท์เองซึ่งขัดความจริงดังที่ผมอธิบายไปหลายรอบแล้ว จากเหตุผลที่ผมนำมาทำให้ทราบว่า การโจมตีฮะดีษของ login แมทท์ จึงเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น ฮะดีษนั้นจึงเป็นทางเดียว ที่น่าเชื่อถือที่สุด แม่นยำที่สุด รัดกุมที่สุดในการที่จะปฏิบัติตามแบบอย่างของท่านนบี และถ้าใครปฏิเสธฮะดีษแล้วก็เท่ากับปฏิเสธกุรอ่านโองการที่สั่งให้ตามนบีครับ เพราะถ้าจะทำตามบรรพบุรุษ ก็ไม่มีการบันทึกหรือสืบสายได้ว่า บรรพบุรุษของผู้อ้างเป็นใครมาจากไหน ได้รับทราบมาจากใคร โดนใครโกหกใส่มาหรือไม่ และได้ยินแบบนั้นมากี่คน ดังนั้น จึงสรุปได้เลยครับว่า ถ้าแมทท์ยังคงปฏิเสธฮะดีษ ต่อไปแบบนี้ ต่อให้มีตอน ที่ 300 ก็คงไม่ตอบหรอกครับ ว่า ละหมาดอย่างไรโดยไม่ใช้ฮะดีษ เหมือนที่ทำมาสองตอนแล้ว ตั้งหัวข้อถึงละหมาด แต่ไม่ได้ตอบคำถามเรื่องละหมาดเลย แล้วจะตั้งทำไมก็ไม่ทราบ? อ่อ แล้วอย่าลืมนะครับ คำว่าเจว็ด ที่ login แมทท์ พยายาม ยัดเยียดนั้น เป็นการกระทำที่ผ่านการคัดกรองมาแล้ว และมีการบันทึกมาตั้งแต่สมัยท่านนบี คำว่าเจว็ดของแมทท์ ที่ใส่ร้ายฮะดีษ จึงเป็นการกล่าวหาที่เลื่อนเลย ไม่มีสาระ แต่การละหมาดตามบรรพบุรุษของ login แมทท์ล่ะครับ กุรอ่านสั่งใช้หรือเปล่า? อ่อแล้ว ทำไมถึงไม่ใช้กุรอ่านอย่างเดียวเพื่อละหมาดล่ะครับ login แมทท์ กำลัง เอาบรรพบุรุษตัวเองมาเทียบเคียงกุรอ่านเหรอครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 53 18:04:22

ความคิดเห็นที่ 34 #27 ไม่เห็นต้องสับสน ทั้งสี่มัสหับ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของกุรอ่านและฮาดิษ ดังนั้นมัสหับทั้งสี่ใช้ได้ทั้งหมด คนที่ตามมัสหับทั้งสี่แล้วทะเลาะกันมันห่วยแตกครับ คือ ไม่เข้าใจศาสนา แต่ใช้เคสนี้กับตาแมทท์ไม่ได้ เพราะตานี่ ไม่เอาฮาดิษ แถมโป้ปดต่อกุรอ่าน และท่านศาสดา และบรรดาซอฮาบะฮ์ คังนั้น จะให้ยอมรับตานี่ ทำไม่ได้ เพราะ พื้นฐานของหลักการ มันไม่ใช่ครับ จากคุณ : ghanee.s เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 53 19:33:13

ความคิดเห็นที่ 35 ผมในถานะมุสลิมคนหนึ่ง ขอเรียกร้องให้คุณแมทท์ตอบคำถามเรื่อง "ถ้าไม่ใช้ฮาดีษแล้วเราจะทำการละหมาด 5 เวลาได้อย่างไร?" เพราะว่าคำถามนี้  มีคนหลายคนที่รอฟังคำตอบของคุณอยู่ ว่าคุณละหมาดอย่างไร  เมื่อคุณตอบแล้ว  คุณจะโต้เถียงวิชาการเรื่องใด ก็ขอให้เปิดกระดานใหม่ดีกว่า ไม่งั้นสิบปี  เรื่องนี้ก็ไม่จบสักที จากคุณ : chafiee (chafiee) เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 01:17:15

ความคิดเห็นที่ 36 chafiee (chafiee) ผมตอบไปเรียบร้อยแล้วครับแต่คุณๆไม่ศรัทธาต่อบัญญัติิของอัลลอฮ์ตะอาลา  แต่ศรัทธา "เจว็ด" ของ ชาวเปอร์เชีย" คุณไม่มีทางมองเห็นหรือเข้าใจได้, ผมตอบไป ตั้งแต่ ปีแรก ของ 4-5 ปี แล้ว    คราวนี้ ก็กำลังใช้อัลกุร อานอธิบาย  คุณๆก็  คัดค้าน บัญญัติของพระเจ้า ตลอดมา แล้วจะรู้เรื่องกันได้อย่างไร? ถ้าคุณไม่ศรัทธาในพระเจ้าคุณก็ไม่เชื่อเรื่องที่ผมอธิบาย จริงไหม? คุณอ่าน ความคิดเห็นที่ 26 อีกครั้งซิครับ แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 53 03:47:54 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 03:44:36

ความคิดเห็นที่ 37 คำใส่ร้ายของ login แมทท์ ว่าฮะดีษเป็นเจว็ดที่ชาวเปอร์เซียปั้นแต่งขึ้น ก็เป็นคำโกหกทั้งสิ้น ตั้งแต่ login แมทท์ กล่าวหาว่าเพิ่งมาบันทึกหลังจากนบีจากไป 200-300 ปี ทั้งๆที่ ฮะดีษมีมาตั้งแต่สมัยท่านนบีแล้ว การกล่าวหาว่ามุสลิมคัดค้านบัญญัติของพระเจ้า login แมทท์ ก็โกหกอีก เพราะไม่มีมุสลิมคนไหนที่ตามฮะดีษ จะปฏิเสธบัญญัติของอัลลอฮฺเลย กลับกันมุสลิมเรายังคงให้ความสำคัญกับทุกคำสั่งของกุรอ่าน แต่ login แมทท์เองเสียอีก ที่ไม่ยอมทำตามกุรอ่านที่ใช้ให้ตามนบี แถมยังหาว่ากุรอ่านถูกปลอมแปลงด้วย (ใครอยากดูหลักฐานบอกมาได้ ผมจะเอาลงให้นะครับ) สรุปทั้งหมด lgoin แมทท์ไม่สามารถตอบคำถามที่ว่า ละหมาดอย่างไรโดยไม่ใช้ฮะดีษ ได้หรอกครับ เพราะ 1. จะอ้างกุรอ่านจนบัดนี้แมทท์ก็บอกไม่ได้ว่า กุรอ่านบอกให้เราต้องละหมาด ครบ 5 เวลาตรงไหนบ้าง 2. จะบอกว่าตามบรรพบุรุษ นั่นก็เป็นฮะดีษประเภทหนึ่ง ที่ไม่สามารถยืนยันความถูกต้องได้ 3. จะบอกว่าตามนบีอิบรอฮีม นั่นก็ฮะดีษอีกเหมือนกัน แต่ลองดูการละหมาดของยิวในคลิป คคหที่ 31 ได้เลย ว่ามันต่างกับมุสลิมแค่ไหน ละหมาดนั้นกี่รอกาอัต แล้วในอิสลาม มีการนอนคว่ำแบบนั้นด้วยหรือ? ดังนั้น5-6 ปีมาแล้ว แมทท์ก็ตอบเรื่องละหมาดไม่ไ้ด้เหมือนเดิม นี่แหละผลของการปฏิเสธฮะดีษ ดังนั้นแล้ว ใครอ้างตัวว่าเป็นมุสลิมเขาไม่สามารถปฏิเสธแบบอย่างของท่านนบีได้หรอกครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 14:36:26

ความคิดเห็นที่ 38 ถึงคุณแมทท์ ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าคุณละหมาดด้วยอิริยาบทอย่างไรบ้าง  แล้วที่บอกว่าการละหมาดนั้น เลียนแบบท่านนบีอิบรอฮีม  แล้วตกลงนบีอิบรอฮีมละหมาดยังไง แล้วสิ่งที่ท่านนบีปฏิบัติ  แล้วสืบทอดต่อๆกันมา  สิ่งนั้นไม่ได้เรียกว่าหะดิษหรอกหรือ ? แล้วผู้ที่ยึดตามอัลกุรอ่านและหะดิษนั้น  พวกเขาปฏิเสธอัลกุรอ่านตรงไหน พวกเขาก็ปฏิบัติตามสิ่งที่อัลลอฮฺได้บอกไว้ในอัลกุรอ่าน อัลลอฮฺสั่งให้เขาละหมาด 5 เวลา  ถือศีลอด จ่ายซะกาต  ทำฮัจย์ พวกเขาก็ปฏิบัติตาม  แล้วพวกเขาปฏิเสธตรงไหน แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 53 15:06:05 แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 53 15:02:35 จากคุณ : chafiee (chafiee) เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 14:51:18

ความคิดเห็นที่ 39 ถามว่าละหมาดยังไงไม่ใช้ฮาดิษ ไม่ได้ถามว่าละหมาดตามฮาดิษเชื่อถือได้อย่างไร ยกฮาดิษมาทำไมงงอะ คงไปไหนมา สามวาสองศอก ต่อไปละครับ จากคุณ : ghanee.s เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 16:12:47

ความคิดเห็นที่ 40 chafiee (chafiee) คุณถามผมโดยตรงว่า, "แล้วผู้ที่ยึดตามอัลกุรอ่านและหะดิษนั้น  พวกเขาปฏิเสธอัลกุรอ่านตรงไหน?" ลองอ่านนี้แล้วไตร่ตรองดูให้ดี "มุสลิมเรียนรู้ความจริงจากอัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัลญาซียะอฺ(45)   บัญญัติที่6-10 ว่า อัลกุรอานเป็นสัญญานของอัลลอฮ์ซึ่งพระองค์ทรง ประทานสัทจธรรมมาโดยละเอียด,สมควรหรือที่มุสลิมยังขวนขวาย เพื่อที่จะนำเรื่องบอกเล่าอื่นๆ มาศรัทธานอกเหนือไปจากอัลกุรอาน ซึ่งเป็นคัมภีร์ของพระเจ้า , These are the communications of Allah which We recite to you with truth; then in what announcement would they believe after Allah and His communications?(Shakir 45:6) ในการทำเช่นนี้ จะนำความหายนะให้บังเกิดแก่ผู้เล่าเรื่องโกหกและผู้ที่ทำบาปอย่างมาก,  ถึงแม้ว่าเขาได้ยินและได้ฟังเรื่องราวต่างๆจากบัญญัติของพระเจ้า เขาเหล่านั้นก็ยังดื้อรั้นอย่างหยิ่งยะโสและท้าทาย สัจจธรรมของพระเจ้าและเอาอายะเหล่านั้นมาล้อเลียน ราวกับว่าไม่เคยได้ยินหรือเข้าใจคำสอนในบัญญัติต่างๆเหล่านั้นมาก่อน       บรรดาบุคคลเหล่านี้จะได้รับการลงโทษอันอัปยศ  เบื้องหน้าพวกเขาคือนรกและสิ่งที่พวกเขาขวนขวายไว้จะไม่อำนวยประโยชน์อันใดแก่พวกเขาได้ และสิ่งที่พวกเขายึดถือเอาเป็นผู้คุ้มครองนอกเหนือไปจากอัลลอฮฺ ก็จะไม่อำนวยประโยชน์เช่นกัน และสำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างใหญ่หลวง, อัลกุรอานเป็นแนวทางที่ถูกต้อง  ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออายาต (อัลกุรอาน) แห่งพระเจ้าของพวกเขา สำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันมหันต์อย่างเจ็บปวดอยู่ในไฟนรก" อ่านให้เข้าใจครับ อัลกุรอานคือ حَدِيثٍ ของพระเจ้า อัลลอฮ์ตะอาลา, เรื่องบอกเล่าเป็น حَدِيثٍ ของ ผู้เล่าเรืองนิทานจาก เปอร์เซีย   คุณจะเชื่อ อัลลอฮ์ตะอาลา  หรือ เชื่อชาวเปอร์เซียน นักรวบรวมเรื่องเล่า เหล่านั้น      หรือจะเชื่อ เรื่องบอกเล่าเหล่านั้น ที่ ขัดต่อบัญญัติของพระเจ้าเป็นจำนวนมากมาย คำตอบนี้ตอบคำถามชองทุกๆท่านด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 30 ม.ค. 53 01:59:58 แก้ไขเมื่อ 30 ม.ค. 53 01:55:55 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 01:47:17

ความคิดเห็นที่ 41 อีกครั้งหนึ่งขอย้ำว่า    تِلْكَ آيَاتُ اللَّهِ نَتْلُوهَا عَلَيْكَ بِالْحَقِّ فَبِأَيِّ حَدِيثٍ بَعْدَ اللَّهِ وَآيَاتِهِ يُؤْمِنُونَ These are the communications of Allah which We recite to you with truth; then in what announcement would they believe after Allah and His communications?(Shakir 45:6) อ.ฟารีด เพนดี (เวบมรดกฯ) เคยโต้ผมกลับมาครั้งหนึ่งแล้วว่า มันเป็นความเขลา ถ้า อัลลอฮ์ตะอาลา สอนให้เชื่อฟัง   รอซุล แล้ว กลับปฏิเสธ ฮาดีษ  ผมอธิบายว่า มันเป็นความเขลาของผู้ที่เข้าใจเช่นนั้น เนื่องจากว่า ผู้นั้น ไม่เข้าใจว่า อัลลอฮ์ตะอาลาบัญญัติให้เชื่อฟังท่านนบีทุกประการ ในข่าวสารของพระองค์(อัลกุรอาน) และการสอนอัลกุรอานของท่านรอซูล,  แต่อัลลอฮ์ ตะอาลา และ รอซูลมูฮัมมัด ของพระองค์ ไม่เคยบัญญัติหรือสอนให้มุสลิมเชื่อฟัง "นิทาน" ของ ชาวเปอร์เซียนเหล่านั้น เลย  ยิ่งกว่านั้น อัลลอฮ์ตะอาลา ยังกำชับไม่ให้เชื่อเรื่องนิทานเหลวไหลที่ไม่ก่อให้เกิดปัญญานอกจากจะก่อให้เกิด ความโง่เขลา และความหายนะต่อผู้ที่เชื่อเรื่องเหล่านั้น (ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ในภาคตะวันออกกลาง และ ใน อาฟริกา)   ถึงแม้ว่าท่านรอซูลจะห้ามปราม ก็ยังมีผู้แปลกปลอมคำสั่งของท่านรอซูลมาคัดค้าน  แถมยังเยาะเย้ยท้าทาย บัญญัติในอัลกุรอาน ดังที่ เห็นอยู่ในกระทู้นี้ จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 02:20:17

ความคิดเห็นที่ 42 เราจะเห็นได้นะครับว่า ถ้าเราถามว่า ละหมาดอย่างไรโดยไม่อาศัย login แมทท์จะหมาดทางตอบทันที แล้วก็จะพยายามหาทางเบี่ยงประเด็นไปเรื่อยๆ เช่นเดิม       ครั้งนี้ก็เหมือนกัน พยายามจะบอกว่า ฮะดีษนั้นเป็นสิ่งแปลกปลอมบ้าง มุสลิมนำฮะดีษมาเทียบเท่ากุรอ่านบ้าง ซึ่งนั่นเป็นการโกหกของ login แมทท์โดยสิ้นเชิง       อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้วว่า รายละเอียดต่างๆ นั้นกุรอ่านใช้ให้เราตามนนบีครับ และก็อีกครั้งที่ login แมทท์พยายามบอกว่า การทำตามนบีคือการตามกุรอ่านอย่างเดียว ซึ่งนั่นเป็นการโกหกทั้งสิ้น และเป็นคำพูดที่ขัดกับกุรอ่านด้วย นั่นเพราะถ้าอัลลอฮฺใช้ให้ตามแต่กุรอ่านเท่านั้น ก็ไม่จำเป็นที่พระองค์ต้องสั่งให้ตามนบีอีก เพราะกุรอ่านนั้นอัลลอฮฺสัญญาแล้วว่าจะรักษาไว้ด้วยพระองค์เอง       และนี่คือหน้าที่ของนบี ที่ไม่ใช่เพียงผู้นำสาส์นมาบอกครับ จากคำอธิบายของท่าน Kheedes ------------------------------------------------------------------------------       ประการที่ 4 - กุรอาน กล่าวว่า บรรดารอซู้ลนั้น ถูกส่งมาพร้อมกับบางสิ่งนอกเหนือไปจากกุรอาน       "ดัง ที่เราได้ส่งร่อ ซูลผู้หนึ่ง  จากพวกเจ้าเองมาในหมู่พวกเจ้า ซึ่งเขาจะอ่านบรรดาโองการของเราให้พวกเจ้าฟัง และจะทำให้พวกเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ และจะสอนคัมภีร์ และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติให้แก่พวกเจ้า และจะสอนพวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าไม่เคยรู้มาก่อน" (กุรอาน 2:151)       "โดย ที่พระองค์ได้ทรง ส่งร่อซูลคนหนึ่งจากพวกเขาเองมาในหมู่พวกเขาโดยที่เขาจะได้อ่านบรรดาโองการ ของพระองค์ให้พวกเขาฟัง และจะทำให้พวกเขาสะอาดและจะสอนคัมภีร์ และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาแก่พวกเขาด้วย และแท้จริงเมื่อก่อนนั้นพวกเขาเคยอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง" (กุรอาน 3:164)       คำว่า คัมภีร์ ในภาษาใช้คำว่า กิตาบ  แน่นอน มันก็คือ กุรอาน       ส่วน คำว่า ข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนา ในภาษาอาหรับของโองการนี้ ใช้คำว่า "ฮิกมะตา" หรือ ฮิกมะห์  ซึ่งหมายถึง วิทยปัญญา หรือ กฎ ระเบียบ       โองการ นี้ จึงชัดเจนว่า  รอซู้ลนั้น ไม่ได้เป็นแค่ "คนส่งสาร" เท่านั้น  แต่เป็นแบบอย่าง และ แหล่งที่มาของความรู้ทางศาสนาด้วย   หรือ อีกโองการ       "โดยแน่นอน ในร่อซูลของอัลลอฮฺมีแบบฉบับอันดีงามสำหรับพวกเจ้าแล้ว.."(กุรอาน 33:21)       จึง เห็นได้ว่า   รอซู้ลนั้นไม่ใช่แค่คนบอกข่าว  แต่เป็น  ผู้นำสาส์น , เป็นผู้ตักเตือน , เป็นแหล่งความรู้  และ เป็น แบบฉบับ  ในการปฏิบัติตนของบรรดามุสลิมทั้งหลาย ------------------------------------------------------------------------------       นี่แหละครับ เมื่อกุรอ่านสั่งให้ทำตามนบี ดังนั้นฮะดีษจึงเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เราปฏิบัติตามนบีได้ตามคำสั่งนี้ นอกนั้นไม่มีทางอื่นครับ เราจะเห็นได้ว่า เมื่อ login แมทท์อ้างบรรพบุรุษ นั่นก็เป็น حَدِيثٍ ชนิดหนึ่งเหมือนกัน แถมเป็น حَدِيثٍ ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบด้วย ถ้า login แมทท์อ้างว่า حَدِيثٍ ที่มุสลิมใช้กัน เป็นการปฏิเสธกุรอ่าน (ซึ่งโกหกทั้งสิ้น โกหกอย่างน่ารังเกียจ และผิดหลักความจริงอีกด้วย) حَدِيثٍ จากบรรพบุรุษนั้น ก็ยิ่งเป็นการปฏิเสธกุรอ่านเข้าไปอีก       นี่คือความลักลั่นย้อนแย้งกันเองในตรรกะของ login แมทท์ ซึ่งทำให้เราทราบว่า จริงๆแล้ว login นี้อาจจะไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามมาเลย แต่พยายามยัดเยียด ทฤษฎี และหลักการจอมปลอมเพื่อทำให้มุสลิมเขว หรือทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด นั่นเอง จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 07:56:13

ความคิดเห็นที่ 43 ที่น่าขำที่สุดคือ คนที่ ชอบอ้างกุรอ่านแล้วอ้างผิด อ้างมั่ว โดนชาวบ้านธรรมดาทั่วไป จับโกหกได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ดันมายกหางตัวเองว่าโต้กับอาจารย์ฟารีด แถมยังมาพูดว่าตัวเองอธิบายไปยังอาจารย์ฟารีดอีก       เรามาดูกันดีกว่าว่าคนอย่าง login แมทท์น่ะเหรอ ที่มีสาระมากขนาดจะไปโต้กับอาจารย์สอนศาสนาได้       ผมอธิบายว่า มันเป็นความเขลาของผู้ที่เข้าใจเช่นนั้น เนื่องจากว่า ผู้นั้น ไม่เข้าใจว่า อัลลอฮ์ตะอาลาบัญญัติให้เชื่อฟังท่านนบีทุกประการ ในข่าวสารของพระองค์(อัลกุรอาน) และการสอนอัลกุรอานของท่านรอซูล,       แค่นี้ก็ผิดแล้ว เพราะไม่เคยมีนะครับ ที่ตรงไหนจะบอกว่า ตามนบีเฉพาะกุรอ่านเท่านั้น นอกนั้นไม่ต้องตามแล้ว ไม่ต้องเชื่อเพราะอะไร อ่านนี่อีกรอบครับ ------------------------------------------------------------------------------       ดังที่เราได้ส่งร่อ ซูลผู้หนึ่ง  จากพวกเจ้าเองมาในหมู่พวกเจ้า ซึ่งเขาจะอ่านบรรดาโองการของเราให้พวกเจ้าฟัง และจะทำให้พวกเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ และจะสอนคัมภีร์ และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติให้แก่พวกเจ้า และจะสอนพวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าไม่เคยรู้มาก่อน" (กุรอาน 2:151)       "โดย ที่พระองค์ได้ทรง ส่งร่อซูลคนหนึ่งจากพวกเขาเองมาในหมู่พวกเขาโดยที่เขาจะได้อ่านบรรดาโองการ ของพระองค์ให้พวกเขาฟัง และจะทำให้พวกเขาสะอาดและจะสอนคัมภีร์ และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาแก่พวกเขาด้วย และแท้จริงเมื่อก่อนนั้นพวกเขาเคยอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง" (กุรอาน 3:164)[/b]       คำว่า คัมภีร์ ในภาษาใช้คำว่า กิตาบ  แน่นอน มันก็คือ กุรอาน       ส่วน คำว่า ข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนา ในภาษาอาหรับของโองการนี้ ใช้คำว่า "ฮิกมะตา" หรือ ฮิกมะห์  ซึ่งหมายถึง วิทยปัญญา หรือ กฎ ระเบียบ       โองการ นี้ จึงชัดเจนว่า  รอซู้ลนั้น ไม่ได้เป็นแค่ "คนส่งสาร" เท่านั้น  แต่เป็นแบบอย่าง และ แหล่งที่มาของความรู้ทางศาสนาด้วย   หรือ อีกโองการ       "โดยแน่นอน ในร่อซูลของอัลลอฮฺมีแบบฉบับอันดีงามสำหรับพวกเจ้าแล้ว.."(กุรอาน 33:21)       จึง เห็นได้ว่า   รอซู้ลนั้นไม่ใช่แค่คนบอกข่าว  แต่เป็น  ผู้นำสาส์น , เป็นผู้ตักเตือน , เป็นแหล่งความรู้  และ เป็น แบบฉบับ  ในการปฏิบัติตนของบรรดามุสลิมทั้งหลาย ------------------------------------------------------------------------------       เผื่อไม่ยอมอ่าน ย้ำอีกที       "...จะสอนคัมภีร์ และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาแก่พวกเขาด้วย..."(กุรอาน 3:164)       "...จะสอนคัมภีร์ และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาแก่พวกเขาด้วย..."(กุรอาน 3:164)       "...จะสอนคัมภีร์ และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาแก่พวกเขาด้วย..."(กุรอาน 3:164)       "...จะสอนคัมภีร์ และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาแก่พวกเขาด้วย..."(กุรอาน 3:164)       "...จะสอนคัมภีร์ และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาแก่พวกเขาด้วย..."(กุรอาน 3:164)       ไม่ใช่แค่คัมภีร์เท่านั้นครับที่ เราต้องตามนบี ดังนั้นแล้วเราจะเห็นได้ว่า login แมทท์ พูดไม่ตรงความจริงอีกแล้ว จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 08:06:38

ความคิดเห็นที่ 44 และฮะดีษนั้นไม่ใช่เพิ่งมาบันทึกครับแต่มีมานานแล้ว คำอธิบายอยู่ในกระทู้นี้แล้ว http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8812437/Y8812437.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/12/Y8675502/Y8675502.html และกระทู้นี้ ใน คคหที่ 12-15 ดังนั้นการอ้างว่าฮะดีษคือนิทานของชาวเปอร์เซียนั้น จึงเป็นการโกหกครับ ที่เป็นนิทานนั้นควรเป็นการอ้างบรรพบุรุษต่างหาก ที่จนบัดนี้ login แมทท์ยังเอานิทานที่บรรพบุรุษเล่าให้ฟังมาตอบคำถามที่ว่า ละหมาดอย่างไรโดยไม่ใช้ฮะดีษไม่ได้เลย จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 08:13:10

ความคิดเห็นที่ 45 แล้วสุดท้ายก็ยังเคลียร์ตัวเองไม่ได้อยู่ดี จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 08:20:25

ความคิดเห็นที่ 46 ผมตอบไปเรียบร้อยแล้วครับแต่คุณๆไม่ศรัทธาต่อบัญญัติิของอัลลอฮ์ตะอาลา  แต่ศรัทธา "เจว็ด" ของ ชาวเปอร์เชีย" คุณไม่มีทางมองเห็นหรือเข้าใจได้, ผมตอบไป ตั้งแต่ ปีแรก ของ 4-5 ปี แล้ว   คราวนี้ ก็กำลังใช้อัลกุร อานอธิบาย  คุณๆก็  คัดค้าน บัญญัติของพระเจ้า ตลอดมา แล้วจะรู้เรื่องกันได้อย่างไร? ถ้าคุณไม่ศรัทธาในพระเจ้าคุณก็ไม่เชื่อเรื่องที่ผมอธิบาย จริงไหม? คุณอ่าน ความคิดเห็นที่ 26 อีกครั้งซิครับ จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 10:19:27

ความคิดเห็นที่ 47 อีกครั้งหนึ่งขอย้ำว่า   تِلْكَ آيَاتُ اللَّهِ نَتْلُوهَا عَلَيْكَ بِالْحَقِّ فَبِأَيِّ حَدِيثٍ بَعْدَ اللَّهِ وَآيَاتِهِ يُؤْمِنُونَ These are the communications of Allah which We recite to you with truth; then in what announcement would they believe after Allah and His communications?(Shakir 45:6) อ.ฟารีด เพนดี (เวบมรดกฯ) เคยโต้ผมกลับมาครั้งหนึ่งแล้วว่า มันเป็นความเขลา ถ้า อัลลอฮ์ตะอาลา สอนให้เชื่อฟัง   รอซุล แล้ว กลับปฏิเสธ ฮาดีษ ผมอธิบายว่า มันเป็นความเขลาของผู้ที่เข้าใจเช่นนั้น เนื่องจากว่า ผู้นั้น ไม่เข้าใจว่า อัลลอฮ์ตะอาลาบัญญัติให้เชื่อฟังท่านนบีทุกประการ ในข่าวสารของพระองค์(อัลกุรอาน) และการสอนอัลกุรอานของท่านรอซูล, แต่อัลลอฮ์ ตะอาลา และ รอซูลมูฮัมมัด ของพระองค์ ไม่เคยบัญญัติหรือสอนให้มุสลิมเชื่อฟัง "นิทาน" ของ ชาวเปอร์เซียนเหล่านั้น เลย ยิ่งกว่านั้น อัลลอฮ์ตะอาลา ยังกำชับไม่ให้เชื่อเรื่องนิทานเหลวไหลที่ไม่ก่อให้เกิดปัญญานอกจากจะก่อให้เกิด ความโง่เขลา และความหายนะต่อผู้ที่เชื่อเรื่องเหล่านั้น (ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ในภาคตะวันออกกลาง และ ใน อาฟริกา)  ถึงแม้ว่าท่านรอซูลจะห้ามปราม ก็ยังมีผู้แปลกปลอมคำสั่งของท่านรอซูลมาคัดค้าน  แถมยังเยาะเย้ยท้าทาย บัญญัติในอัลกุรอาน ดังที่ เห็นอยู่ในกระทู้นี้ (ความคิดเห็นที่ 45) จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 10:22:40

ความคิดเห็นที่ 48 อ้างง่ายนะครับ ว่าตอบไปแล้ว แต่ไหนล่ะครับคำตอบ เอาง่ายๆ แค่ปฏิเสธโองการกุรอ่านตรงไหนยังบอกไม่ได้เลย 1.กุรอ่านบอกเองว่านบีไม่ได้มาแค่นำสาสน์นครับ กุรอ่านยืนยันเองดังนั้น วิทยปัญญา ฮิกมะห์ และความรู้ต่างๆ เราย่อมหาได้จากแบบอย่างนบีซึ่งบันทึกไว้แห่งเดียวที่รัดกุมที่สุดคือ ฮะดีษ การตามฮะดีษ จึงเป็นการปฏิบัติตามกุรอ่านโองการ เหล่านี้ 2 : 32. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า พวกท่านจงเชื่อฟังอัลลอฮ์และร่อซูลเถิด แต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงชอบผู้ปฏิเสธ 3 : 53. ข้าแต่พระเจ้าของพวกข้าพระองค์พวก ข้าพระองค์ศรัทธาแล้วต่อสิ่งที่พระองค์ได้ประทานลงมา และพวกข้าพระองค์ก็ได้ปฏิบัติตาม ร่อซูลแล้ว โปรดทรงบันทึกพวกข้าพระองค์ร่วมกับบรรดาผู้ที่กล่าวปฏิญาณยืนยันทั้งหลาย ด้วยเถิด 3 : 132. และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา 4 : 13. เหล่านั้นแหละคือขอบเขตของอัลลอฮฺ และผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์แล้ว พระองค์ก็จะทรงให้เขาเข้าบรรดาสวนสวรรค์ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่เบื้อง ล่างของมัน โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวนสวรรค์เหล่านั้นตลอดกาลและนั่นคือชัยชนะอัน ยิ่งใหญ่ 4 : 14. และผู้ใดฝ่าฝืนอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์ และละเมิดขอบเขตของพระองค์แล้วไซร้ พระองค์ก็จะทรงให้เขาเข้านรก โดยที่เขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล และเขาจะได้รับการลงโทษที่ยังความอัปยศให้(แก่เขา) 4 : 59. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย  แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล  หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป  ที่สวยยิ่ง 4 : 61. และเมื่อถูกล่าวแก่พวกเขาว่า ท่านทั้งหลายจงมายังสิ่งที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมา  และยังร่อซูลเถิด  เจ้าก็ได้เห็นพวกมุนาฟิก เหล่านั้นผินหลังให้แก่เจ้าจริง ๆ 4 : 64. และเรามิได้ส่งร่อซูลคนใดมานอกจากเพื่อให้เขาได้รับการเชื่อฟังด้วยอนุมัติ ของอัลลอฮฺเท่านั้น และแม้ว่าพวกเขานั้นขณะที่พวกเขาอธรรมแก่ตัวเอง ได้มาหาเจ้า แล้วขออภัยโทษต่ออัลออฮ์และร่อซูลก็ได้ขออภัยโทษให้แก่พวกเขาด้วยแล้วแน่นอน พวกเขาก็ย่อมพบว่าอัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ 4 : 80. ผู้ใดเชื่อฟังร่อซูล แน่นอนเขาก็เชื่อฟังอัลลอฮฺแล้ว และผู้ใดผินหลังให้ เราก็หาได้ส่งเจ้าไปในฐานะเป็นผุ้ควบคุมพวกเขาไม่ 5 : 92. และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และจงเชื่อฟังร่อซูลเถิด และพึงระมัดระวังไว้ด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าผินหลังได้ ก็พึงรู้เถิดว่าที่จริงหน้าที่ของร่อซูลของเรานั้น คือ การประกาศอันชัดเจนเท่านั้น 5 : 104. และเมื่อได้ถูกกล่าวแก่พวกเขาว่า ท่านทั้งหลายจงมาสู้สิ่งที่อัลลอฮ์ ได้ทรงประทานลงมาเถิด และมาสู่ร่อซูลด้วย พวกเขาก็กล่าวว่า เป็นการพอเพียงแก่เราแล้ว สิ่งที่เราได้พบบรรพบุรุษของเราเคยกระทำมันมาถึงแม้ได้ปรากฏว่าบรรพบุรุษของ พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งใด และทั้งไม่ได้รับคำแนะนำอีกด้วยกระนั้นหรือ? 8 : 20. “บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์เถิด และจงอย่าได้ผินหลังให้แก่เขา ขณะที่พวกเจ้าฟังกันอยู่” 8 : 46. “และจงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์เถิด และจงอย่าขัดแย้งกัน จำทำให้พวกเจ้าย่อท้อ และทำให้ความเข้มแข็งของพวกเจ้าหมดไป และจงอดทนเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงอยู่กับผู้ที่อดทนทั้งหลาย” 24 : 52. และผู้ใดเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์ และเกรงกลัวอัลลอฮ์และยำเกรงพระองค์แล้ว ดังนั้น ชนเหล่านั้นพวกเขาเป็นผู้ได้รับชัยชนะ 24 : 54. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “พวกเจ้าจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลร่อซูล  หากพวกเขาผินหลังให้  แท้จริงหน้าที่ของเขา (ร่อซูล) คือสิ่งที่ได้ถูกมอบหมาย  และหน้าที่ของพวกเจ้าคือสิ่งที่ได้ถูกมอบหมายเช่นกัน  และหากพวกเจ้าเชื่อฟังปฏิบัติตามเขาแล้ว พวกเจ้าก็จะอยู่ในทางที่ถูกต้อง (ฮิดายะฮฺ) และหน้าที่ของอัลร่อซูลไม่มีอื่นใด นอกจากการเผยแพร่อันชัดแจ้ง 24 : 56. และพวกเจ้าจงดำรงละหมาด และจงบริจาคอัซซะกาฮ์ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลร่อซูล เพื่อพวกเจ้าจะได้รับควาเมตตา 33 : 36. ไม่บังควรแก่ผู้ศรัทธาชายและผู้ศรัทธาหญิง เมื่ออัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ได้กำหนดกิจการใดแล้ว สำหรับพวกเขาไม่มีทางเลือกในเรื่องของพวกเขา  และผู้ใดไม่เชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์แล้ว แน่นอนเขาได้หลงผิดอย่างชัดแจ้ง 47 : 33. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮ.และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามร่อซูลคนนี้เถิดและอย่า ทำให้การงานของพวกเจ้าไร้ประโยชน์ 49 : 14. อาหรับชาวชนบทกล่าวว่า เราศรัทธาแล้ว จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่า พวกท่านยังมิได้ศรัทธา แต่จงกล่าวเถิดว่า เราเข้ารับอิสลามแล้ว เพราะการศรัทธายังมิได้เข้าสู่หัวใจของพวกท่าน  และถ้าหากพวกท่านเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์แล้ว พระองค์จะไม่ทำให้การงานของพวกท่านด้อยลงแต่ประการใด  แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ 64 : 12. และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัรร่อซูล หากพวกเจ้าผินหลังกลับ (ไม่เชื่อฟัง) ดังนั้นหน้าที่ของร่อซูลของเราก็คือการเผยแผ่อันชัดแจ้ง จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 10:22:48

ความคิดเห็นที่ 49 2. ฮะดีษไม่ใช่นิทานที่เหล่าชาวเปอร์เซียแต่งขึ้นแต่ฮะดีษมีบันทึกตั้งแต่สมัยนบีแล้ว มีวิธีการตรวจสอบรัดกุมชัดเจน ดังนี้ที่ผมบอกไปแล้ว http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8812437/Y8812437.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/12/Y8675502/Y8675502.html และกระทู้นี้ ใน คคหที่ 12-15 ดัง นั้นการอ้างว่าฮะดีษคือนิทานของชาวเปอร์เซียนั้น จึงเป็นการโกหกครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 10:24:23

ความคิดเห็นที่ 50 3. login แมทท์ ก็ยังไม่สามารถตอบได้อยู่ดีกว่าละหมาด อย่างไรโดยไม่ใช้ฮะดีษ ลองเอากุรอ่านมาซิว่า 1. ละหมาด 5 เวลาอยู่ส่วนใหญ่ บอกให้ชัดเจน เป็นเวลาโดยตรง 2. ละหมาด แต่ละเวลา มีกี่รอกาอัต โดยใช้กุรอ่านเท่านั้น 3. ละหมาด แต่ละเวลา ต้องอ่านฟาติฮะห์ บอกไว้ตรงไหนว่าต้องอ่านฟาติฮะห์ทุกรอกาอัต ตอบมาโดยไม่ใช้ฮะดีษ และการอ้างบรรพบุรุษ นั่นก็คือฮะดีษครับ นี่คือการถาม และควรตอบด้วย แต่ login แมทท์ ไม่เคยตอบ แต่อ้างว่าตอบแล้ว นี่คือการตลบแตลงและเลี่ยงประเด็นด้วยความขลาด และเขลา จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 10:27:21

ความคิดเห็นที่ 51 4. กุรอ่าน ที่ login แมทท์อ้างมานั้น ไม่ได้เคยห้ามการใช้ฮะดีษแต่อย่างใด 45:6. นั่นคือสัญญาณต่าง ๆ ของอัลลอฮฺ ซึ่งเราได้สาธยายสัญญาณเหล่านั้นแก่เจ้าด้วยความจริง และสัญญาณต่าง ๆ ของพระองค์ที่พวกเขาจะศรัทธากัน (*1*) (1)  เหล่านี้คือ สัญญาณต่าง ๆ และหลักฐานต่าง ๆ ของอัลลอฮฺ ซึ่งเราได้สาธยายให้เจ้าฟังด้วยความจริงปราศจากการเคลือบแฝงใด ๆ ดังนั้นเมื่อพวกกุฟฟารมักกะฮฺไม่ยอมเชื่อคำกล่าวของอัลลอฮฺ และหลักฐานต่าง ๆ เหล่านี้แล้ว คำกล่าวอันใดเล่าที่พวกเขาจะเชื่อถือและศรัทธากัน คำตอบก็คือ พวกเขาจะไม่ศรัทธาอย่างแน่นอน ไม่มีตรงไหนห้่ามการตามฮะดีษเลย และก็อย่างที่อาจารย์ฟารีดบอกนั่นแหละว่า มันเป็นความเขลาที่บอกว่า ไม่เอาฮะดีษ ทั้งๆที่ กุรอ่านให้ตามนบี และ login แมทท์ ดันพยายามหลอกผู้คนว่า อัลลอฮฺให้ตามนบีเีฉพาะการสอนกุรอ่าน ทั้งๆที่ โองการในกุรอ่าน ก็บอกว่า นบีไม่ได้สอนเฉพาะกุรอ่าน แต่สอนความรู้อื่นด้วยดังนี้ "...จะสอนคัมภีร์ และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาแก่พวกเขาด้วย..."(กุรอาน 3:164) ดังนั้น lgoin แมทท์ นอกจากโกหกใส่ฮะดีษแล้ว ยังโกหกใส่กุรอ่านอีกด้วย จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 10:31:38

ความคิดเห็นที่ 52 นี่แหละครับ ลักษณะของ login แมทท์ บอกว่าตอบแต่ไม่มีคำตอบให้ ถ้ามีก็ลองไปหาดูได้ครับว่า login แมทท์ เคยตอบคำถามตรงประเด็นในเรื่องเหล่านี้ไหม 1. ละหมาด 5 เวลาอยู่ส่วนใหญ่ บอกให้ชัดเจน เป็นเวลาโดยตรง 2. ละหมาด แต่ละเวลา มีกี่รอกาอัต โดยใช้กุรอ่านเท่านั้น 3. ละหมาด แต่ละเวลา ต้องอ่านฟาติฮะห์ บอกไว้ตรงไหนว่าต้องอ่านฟาติฮะห์ทุกรอกาอัต ใครเคยอ่านเจอบอกมาหน่อยครับว่ากระทู้ไหน? login แมทท์ไม่ยอมตอบ แต่ login แมทท์บอกว่าตอบไปแล้ว คนแบบนี้มีสาระอะไรบ้่างนอกจากโกหกเพื่อเลี่ยงประเด็นไปวันๆ ขอเชิญทุกท่านมาเป็นสักขีพยานกันเลยว่า นี่แหละ คือ login แมทท์ จอมโกหก จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 10:34:11

ความคิดเห็นที่ 53 สุดท้ายก็โบ้ยไปหาบรรพบุรุษ ซึ่งนั่นก็คือฮะดีษชนิดหนึ่ง แต่เป็นฮะดีษที่ไม่มีหลักฐานและตรวจสอบไม่ได้ว่าถูกหรือไม่ และการตามบรรพบุรุษนี่แหละเป็นบ่อเกิดของ การไว้ศาลโต๊ตะเกี่ย สุดท้ายแล้ว login แมทท์ก็ต้องใช้ฮะดีษนั่นแหละ แล้วก็ขัดกับตรรกะตัวเองแบบนี้ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 10:37:59

ความคิดเห็นที่ 54 ถึงคุณแมทท์ คุณกล่าวหาว่า หะดิษ ที่ อิหม่ามบุคอรีย์ มุสลิม ได้บันทึกนั้น เป็นนิทาน  เป็นการโกหก แล้วสิ่งที่คุณทำตามบรรพบุรุษของคุณ(ที่ตามๆกันมา)นั้นถูกเรียกว่าอะไร(ไม่ใช่หะดิษหรอกหรือ?) แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่ามันถูกต้อง  ไม่ได้มีการบิดเบือน  ไม่ได้มีการต่อเติม  และไม่ได้มีการหลงลืม ??? จากคุณ : chafiee เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 13:07:22

ความคิดเห็นที่ 55 - 34 บังเอิญคิดแตกยอดนะครับ เอิ๊กๆ ตามนิสัยผมอ่ะ (แก้ยากด้วยซิความช่างสงสัย เนี่ย) แบบถ้าทั้งสี่ ตามหะดิษหมด แล้วหะดิษก็มาจากนบี ทำไมไม่เหมือนกันหว่า แง่บๆ จากคุณ : itoursab (itoursab) เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 53 20:29:00

ความคิดเห็นที่ 56 1.ทานนบีทำไว้หลาบแบบ 2.มัสฮับทั้งสี่นั้นเกิดก่อนการรวบรวมหะดิษเลยทำให้หะดิษบางบท  ไปไม่ถึงอิหม่ามคนนั้นๆ จากคุณ : chafiee (chafiee) เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 53 21:10:41

ความคิดเห็นที่ 57 555555555555555555555 ! จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 07:12:50

ความคิดเห็นที่ 58 ตกลงกระทู้นี้ มันชื่อ ละหมาดยังไงไม่ใช้ฮาดิษ หรือ ฮาดิษเชื่อถือได้หรือไม่กันแน่ ไม่เห็นคำตอบตามหัวข้อกระทู้เลยครับ จากคุณ : ghanee.s เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 08:00:01

ความคิดเห็นที่ 59 คุณchafiee   คุณถามผมว่า 1. "แล้วสิ่งที่คุณทำตามบรรพบุรุษของคุณ(ที่ตามๆกันมา)นั้นถูกเรียกว่าอะไร(ไม่ใช่หะดิษหรอกหรือ?) 2.แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่ามันถูกต้อง  ไม่ได้มีการบิดเบือน  ไม่ได้มีการต่อเติม  และไม่ได้มีการหลงลืม ???" คุณ chafiee   ก่อนอื่นคุณ เชื่อ  حَدِيثٍ ของอัลลอฮ์ ตะอาลาหรือไม่? ถ้าคุณเชื่อในความจริงของ  حَدِيثٍ จาก อัลลอฮ์ตะอาลาแล้ว,  คุณเชื่อว่า เรื่องราวที่ บัญญัติไว้ในอัลกุรอาน ว่า นบีอิบรอฮิมเป็นผู้วางรากฐานศาสนอิสลามในโลกมนุษย์ ที่พระองค์ประทานให้หรือไม่?  คุณ chafiee  เชื่อในบัญญัติที่อัลลอฮ์ตะอาลา มีคำสั่งให้ท่านรอซูลมูฮัมมัด ปฏิบัติตามแนวทางของศาสนาของท่านนบีอิบรอฮิมหรือไม่?  ผมคิดว่ามุสลิมที่ดีอย่างคุณต้องเชื่อในบัญญํติ ของ อัลลอฮ์ตะอาลาอย่างไม่มีข้อสงสัย,  และไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น  ซึ่งแต่ก่อน ผมก็มีความนึกคิดในศาสนาอิสลามไม่ต่างจากคุณในขณะนี้   แต่เมื่อได้ ศึกษารายละเอียดของหลักการใน ฮาดีษ และการ ประยุกต์ มาใช้แล้ว  เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เป็น สิ่งที่มีเรื่องที่ไม่น่าเชื่อถืออยู่มากทีเดียว ถ้าเราเข้าใจอัลกุรอานให้ถูกต้อง  ไม่มีหลักการใดๆในฮาดีษจะมาหักล้างหรือ อธิบายสิ่งใดที่ดีกว่า "อัลกุรอาน"   คุณเชื่อไหมในเรื่องนี้?  ลองคิดดู ................... ตอบคำถามของคุณ 1. "แล้วสิ่งที่คุณทำตามบรรพบุรุษของคุณ(ที่ตามๆกันมา)นั้นถูกเรียกว่าอะไร(ไม่ใช่หะดิษหรอกหรือ?) ตอบ..    สิ่งที่ผมทำตามบรรพบุรุษนั้ เป็นการทำตามحَدِيث ของอัลลอฮ์  เชื่อ ว่าศาสนากิจ ทุกๆ อย่าง มาจากการ สอน ของบรรพบุรุษ, (ซึ่งรวมทั้ง ครู, บาอาจารย์)  การสอนละหมาด จาก ทรวด มายังปู่, จากปู่มายัง พ่อ, และ จาก พ่อมายังลูก, จากลูกมายัง หลาน และ จากหลานมายัง เหลนฯลฯ เป็นการสอนตัวต่อ อยู่บนแนวทางเดียวกัน เหมือน ห่วงลูกโซ่ ที่ไม่มีการขาดตอน   ไม่มีการเดา และไม่มีการ คอยจับผิดในเรื่องท่าทางในการละหมาดเล็กๆน้อยๆ  และการสอนละหมาดเช่นนี้ ก็คือ การกระทำของมุสลิมในปัจจุบันนั้นเอง     حَدِيث ของอัลลอฮ์ บัญญัติว่า "ท่าทางในการละหมาดไม่สำคัญเท่ากับความตั้งใจในความศรัทธาต่อพระองค์ ในการทำละหมาด, และการทำละหมาดเพื่อ อวดผู้คนนั้นไม่เกิดผลอะไรเลย" ถาม.. 2.แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่ามันถูกต้อง  ไม่ได้มีการบิดเบือน  ไม่ได้มีการต่อเติม  และไม่ได้มีการหลงลืม ??? คำว่าถูกต้องนั้นเอาอะไรเป็นมารตฐาน ไม่ทราบครับ? สำหรับ "การละหมาดตามนิทานของชาวเปอร์เชียน" นั้น, แม้แค่การ "รุกัวะ" ก็ใช้ประมาณ9-12 เรื่องเล่า มาประติดประต่อแล้วลงความเห็น.ว่าควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ก็ยังคงทำได้ไม่เหมือนเช่นเคย (เหมือนอะไร?)   แม้กระนั้นก็ไม่ทราบว่าถูกต้องหรือไม่? ยังถกเถียงกันจนทุกๆวันนี้  การละหมาดตามบรรพบุรุษดังกล่าวแล้ว นั้นเป็นการละหมาด ที่กระทำด้วย ใจศรัทธาและด้วย การปกป้องของ อัลลออ์ตะอาลา  ให้การละหมาดดำรงมาถึงปัจจุบันนี้   คุณว่า  "ท่านนบีทำการละหมาดไว้ไว้หลาบแบบ" เอามาจากไหนครับ? จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 09:30:26

ความคิดเห็นที่ 60 ยิ่งตอบก็ยิ่งผิด ยิ่งตอบก็ยิ่งแสดงความเป็นมุนาฟิก อ่านดูก็รู้แล้ว เดี๋ยวถ้าว่างๆ จะมาช่วยขอดเกล็ด login แมทท์อีกรอบ ญาซากัลลอฮฺท่าน chafiee ที่ถามคำถามแบบนี้ อันแรกเลยนะครับ login แมทท์ เคยบอกว่า ศาสนกิจอิสลามใช้แต่กุรอ่านเท่านั้น ต่อมาบอกว่าใช้บรรพบุรุษด้วย นี่คือความสับปลับของ login นี้ที่ไม่สามารถรับผิดชอบคำพูดตัวเองได้ อันดับสอง กุรอ่านไม่เคยใช้ให้ตามบรรพบุรุษ แต่ใช้ให้ตามนบีมุฮัมมัดเท่านั้น อับดับสามไม่มีเคยมีตรงไหนในกุรอ่านบอกว่า รูปแบบการปฏิบัติศาสนกิจนั้น จะคงความถูกต้องมาตั้งแต่สมัยนบีอิบรอฮีมมาถึงท่านนบีมุฮัมมัด จะบอกก็แต่ว่าอิสลามคือศาสนของท่านนบีอิบรอฮีมนะครับ อันดับสองกับสามเนี่ย ถ้ามีตรงไหนในกุรอ่านก็บอกด้วยนะครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 10:47:34

ความคิดเห็นที่ 61 แล้วให้ทราบไว้เลยนะครับ ไม่มีหรอกมุสลิมที่ไหนจะปฏิเสธกุรอ่าน และไม่เคยบอกว่านบีอิบรอฮีมไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม และก็ไม่ได้สงสัยอะไรต่อแบบอย่างของท่านนบีอิบรอฮีม แต่มุสลิมเราสงสัยครับว่า บรรพบุรุษของ login แมทท์น่ะมันน่าเชื่อถือแค่ไหน รู้ได้ไงว่า สืบสายไปถึงนบีอิบรอฮีมได้จริง และมีกุรอ่านตรงไหนรองรับว่า การละหมาดของนบีอิบรอฮีมนั้นตกทอดมายังรุ่นหลัง โดยไม่ขาดตอน และไม่ผิดเพี้ยน login แมทท์ไม่เคยยืนยันได้เลย ดังนั้น อย่าเพิ่งมาเบี่ยงประเด็น และแกล้งเข้าใจผิดครับ ไม่มีมุสลิมคนไหนที่นี่ สงสัยในกุรอ่านครับ แต่เขากำลังซักถามความน่าเชื่อถือของบรรพบุรุษคุณ ที่อ้างว่าสืบทอดศาสนกิจมาได้โดยไม่ขาดตอนต่างหาก มาดูกันดีกว่า ว่านี่คือละหมาดของยิว ที่เป็นลูกหลานสายหนึ่งของนบีอิบรอฮีม เรามาดูกันดีกว่าว่า มีละหมาดของมุสลิมที่ไหนเหมือนแบบนี้บ้าง? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 10:51:59

ความคิดเห็นที่ 62 ไหนลองบอกมาซิว่ามีรับรองไหมในกุรอ่าน ว่าการละหมาดมีมาตั้งแต่นานมาแล้วรูปแบบนี้ 5 เวลาแบบนี้มาตั้งแต่นบีอิบรอฮีม ไม่ผิดเพี้ยนเลย เผื่อผมหาไม่เจอจะได้ถือเป็นความรู้ด้วยครับ รบกวนด้วยนะ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 11:00:17

ความคิดเห็นที่ 63 -  56 ผมชักสับสน แง่บๆ จากคุณ : itoursab เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 14:45:10

ความคิดเห็นที่ 64 จริงๆ แล้ว ไม่น่าสับสนนะครับ อันนี้เป็นตัวอย่างว่า ทำไม สอง มัซฮับตีความต่างกัน ----------------------------------------------------------------------------- การละหมาดฆอเอ็บ คือการละหมาดญะน่าซะฮฺให้กับศพ ที่ไม่ได้อยู่ในขณะละหมาดเหล่านักวิชาการฟิกฮฺมีทรรศนะ ขัดแย้งกันเกี่ยวกับความถูกต้องของการละหมาดฆอเอ็บ ท่านอีหม่ามซาฟีอี ท่านอะหมัด ท่าน อิบนีอัซมี่ กล่าวว่า “การละหมาดฆอเอ็บเป็นที่ชอบ ตามศาสนบัญญัติ “ ดังมีหลักฐานดังต่อไปนี้ 1- มีรายงานจากท่านอีหม่ามบุคคอรีและอีหม่ามมุสลิม ว่า แท้จริงท่านศาสดานบีมูฮำหมัด(ซ.ล) ได้ทำการละหมาดให้กับท่านน่าญาซีย์ ในขณะข่าวการถึงแก่กรรม(ของน่าญาซีย์)มาถึงท่าน และเหล่าอัครสาวกก็ร่วมละหมาดกับท่าน 2- แท้จริงการละหมาดญ่านาซะฮฺ หลักสำคัญของมันคือการวิงวอนขอดุอาอฺ และการวิงวอนขอดุอาอฺนั้นมิได้มีเงื่อนไขว่าผู้ที่ถูกขอดุอาอฺให้จะตอ้งอยู่ ณ ที่นั้นด้วย 3- สิ่งที่ท่านอิบนิอัซมี่ได้กล่าวไว้ว่า”ไม่เคยมีรายงานจากซอฮาบะฮฺว่าถูกห้ามจากการละหมาดฆอเอ็บ” ท่านอบูฮานีฟะฮฺ ท่านอีหม่ามมาลิก และท่านอื่น ๆ กล่าวว่า “การละหมาดฆอเอ็บไม่ถูกกำหนดเป็นศาสนบัญญัติ “เหตุผลของพวกเขาคือไม่มีหลักฐานระบุชี้ชัดเกี่ยวกับการละหมาดฆอเอ็บ แต่ทว่าบรรดานักวิชาการปฏิบัติ ตามรายงานของท่านอีหม่ามบุคอรีและมุสลิม เกี่ยวกับกรณี ”น่าญาซีย์” ได้อย่างไร... ? พวกเขาได้ตีความหมายว่าเป็นไปได้ที่ไม่มีผู้ใดละหมาดให้กับท่านน่าญาซีย์เลย ดังนั้น ท่านศาสดานบีมูฮำหมัด(ซ.ล) จึงละหมาดให้ หรือ ว่าการละหมาดให้กับศพที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้านั้นเป็นลักษณะพิเศษของท่านศาสดา หรือว่าท่าน ศาสดาไม่เคยละหมาดให้กับศพที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้ามาก่อน แต่เมื่อมีศพถูกแบกผ่านมาและท่านก็ได้เห็นศพนั้น ท่านจึงละหมาดให้เหมือนการละหมาดของผู้ที่มาอยู่ต่อหน้า โดยท่าน al-azhary ----------------------------------------------------------------------------- ท่านนบีปฏิบัติต่างกันไป ซึ่งอาจจะมีเหตุผลที่ต่างกันไป ดังนั้นนักวิชาการจึงทำความเข้าใจว่าสิ่งใดปฏิบัติเมื่อใดและเพราะอะไร เช่นด้านบน กลุ่มหนึ่งบอกว่าทำได้เพราะนบีเคยทำแล้ว แต่อีกกลุ่มก็บอกว่าท่านนบีทำจริงแต่นั่นเป็นสิทธิพิเศษของนบี หรือเป็นวาระพิเศษของผู้ตายที่ไม่มีใครละหมาดให้เขา ซึ่งสองทรรศนะนี้ต่างกัน เพราะมีบรรดาศอฮาบะห์เสียชีวิตที่ไกลๆ หลายท่าน ท่านศาสดาก็ไม่ได้ละหมาด ฆอเอ็บ (การละหมาดญะน่าซะฮฺให้กับศพ ที่ไม่ได้อยู่ในขณะละหมาด)ให้เขา ก็มีท่านน่าญาซีย์ที่เราทราบว่านบีละหมาด ฆอเอ็บให้ นี่คือการกระทำที่ต่างกัน และนักวิชาการก็ทำความเข้าใจต่างกัน แต่ทั้งหมดมีพื้นฐานบนกุรอ่าน และฮะดีษครับ และฮะดีษก็ไม่ได้ขัดกันเองด้วย น่าจะพอเข้าใจนะครับ คุณ itoursab จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 16:21:10

ความคิดเห็นที่ 65 ผมจะตอบคำถามของคุณ ทั้ง 3 ข้อ รวมกันไป เพราะ ใช้เหตุผลในการอธิบาย ร่วมกัน ซึ่งผมจะใช้คำแปลของ สมาคมเพื่อนๆหรืออาจารย์ของคุณ เพื่อคุณจะไม่มีข้อ อ้าง ในเรื่องการบิดเบือนของการแปล คำถามว่า 1.รู้ได้ไงว่า สืบสายไปถึงนบีอิบรอฮีมได้จริง และมีกุรอ่านตรงไหนรองรับว่า การละหมาดของนบีอิบรอฮีมนั้นตกทอดมายังรุ่นหลัง โดยไม่ขาดตอน และไม่ผิดเพี้ยน ข้อนี้ผู้ถาม อ่านอัลกุรอานแล้วไม่เข้าใจ  “ ซูเราะฮฺ อัลฮัจยฺ อายะ78” “และจงต่อสู้เพื่ออัลลอฮ์ ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่แท้จริงเพื่อพระองค์(*1*) พระองค์ทรงคัดเลือกพวกเจ้า และพระองค์มิได้ทรงทำให้เป็นการลำบากแก่พวกเจ้าในเรื่องของศาสนา(*2*) ศาสนา (ที่ไม่ลำบาก) คือศาสนาของอิบรอฮีม บรรพบุรุษของพวกเจ้า(*3*) พระองค์ทรงเรียกชื่อพวกเจ้าว่ามุสลิมีน ในคัมภีร์ก่อน ๆ และในอัลกุรอานเพื่อร่อซูลจะได้เป็นพยานต่อพวกเจ้า และพวกเจ้าจะได้เป็นพยานต่อมนุษย์ทั่วไป(*4*) ดังนั้นพวกเจ้าจงดำรงการละหมาด และบริจาคซะกาต และจงยึดมั่นต่ออัลลอฮ์ พระองค์เป็นผู้คุ้มครองพวกเจ้า เพราะพระองค์คือผู้คุ้มครองที่ดีเลิศ และผู้ทรงช่วยเหลือที่ดีเยี่ยม” 2.อันดับสอง กุรอ่านไม่เคยใช้ให้ตามบรรพบุรุษ แต่ใช้ให้ตามนบีมุฮัมมัดเท่านั้น ข้อนี้ ผู้ถามความรู้ทางประวัติศาสตร์ศาสนาอิสลมตื้นมาก, “ซูเราะฮฺ อันนะหฺลฺอายะห์ 123”  “แล้วเราได้วะฮีแก่เจ้าว่า “จงปฏิบัติตามศาสนาของอิบรอฮีมผู้เที่ยงธรรม และเขามิได้อยู่ในมหู่ผู้ตั้งภาคี”  (อัลกุรอาน 16:123) คำว่าปฏิบัติตามศาสนา หมายถึง ทุกๆอย่างในศาสนกิจของอิสลามที่มี..การละหมาด, การถือศีลอด, การจ่ายซากัต และการ ทำฮัจจฺ   3.อับดับสามไม่มีเคยมีตรงไหนในกุรอ่านบอกว่า รูปแบบการปฏิบัติศาสนกิจนั้น จะคงความถูกต้องมาตั้งแต่สมัยนบีอิบรอฮีมมาถึงท่านนบีมุฮัมมัด จะบอกก็แต่ว่าอิสลามคือศาสนของท่านนบีอิบรอฮีมนะครับ ข้อนี้ผู้ถามอ่านอัลกุรอานไม่ถี่ถ้วน  “ซูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะห์ที่ 33-35” “33. และพระองค์อัลลอฮฺจะไม่ทรงลงโทษพวกเขาขณะที่เจ้า(*1*)อยู่ในพวกเขาและอัลลอฮฺจะไม่เป็นผู้ทรงลงโทษพวกเขาทั้งๆที่พวกเขาขออภัยโทษกัน 34. และมีอะไร(*1*)แก่พวกเขากระนั้นหรือที่อัลลอฮฺจะไม่ทรงลงโทษพวกเขาทั้งๆที่พวกเขาขัดขวาง(*2*)มิให้เข้ามัศยิดิลฮะรอม(*3*)และพวกเขาก็มิใช่เป็นผู้ปกครองมัศยิดนั้นด้วยบรรดาผู้ปกครองมัศยิดนั้นใช่ใครอื่นไม่นอกจากบรรดาผู้ยำเกรงเท่านั้นแต่ทว่าส่วนมากของพวกเขาไม่รู้”คือมีสิ่งใด 35. “มิปรากฏว่า การละหมาดของพวกเขา ณ บ้านของอัลลอฮฺ(*1*)นั้นเป็นอย่างอื่น นอกจากการเป่าเสียงหวัด(*2*) และการตบมือเท่านั้น ดังนั้นการพวกเจ้า(*3*) จงลิ้มการลงโทษเถิด เนื่องด้วยการที่พวกเจ้าปฏิเสธศรัทธา” ทั้งสามอายะห์ นั้บอกให้เราเข้าใจว่า การละหมาดที่เคยมีมาอย่างสม่ำเสมอ นอกจากผู้ที่ยึดถือศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างมั่นคงเท่านั้น จึง คงรักษาแบบฉบับการละหมาดไว้ ,  ส่วนพวก ที่ละทิ้งพระเจ้านั้นการทำละหมาดของเขาไม่มีอะไรมากไปกว่า การส่งเสียงและตบไม่ตบมือ อย่างในรูป ข้างล่างที่คุณนำมาแสดง ซึ่งยังคงมีหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน ในบรรดาที่เชื่อใน นิทานจากเปอร์เซีย ......................................     ผมว่าจะไม่กล่าวอะไรให้มันยืดยาว  เพราะมัน วกไปเวียนมา(ไว้รอตอนที่ 3)     เนื่องจากความดื้อรั้นและหยิ่งยะโสของคุณในการ ท้าทายความละเอียดและความสัทจธรรมของ อัลกุรอาน,  ลักษณะอย่างที่คุณกำลังปฏิบัติอยู่นี้ คืออุทาหรณ์ ของผู้ที่ไม่ทำตามหลักการศาสนา ไม่ทำตามกุรอ่าน, ดันไปทำตาม นิทานจากเปอร์เซีย, และ ไปเชื่อคำวินิจฉัยของบรรดานักปราชญ์บางท่าน  ผู้ซึ่งคิดศาสนาเอาเอง,  มันก็ตกอยู่ในอารมณ์ใฝ่ต่ำ ปัดความรับผิดชอบต่อบัญญัติของ อัลลอฮ์ตะอาลา และหลงผิดโดยง่าย เช่นนี้     ก่อนที่ผมจะอธิบายในเรื่องนี้ ผมก็ได้แนะนำให้คุณไปอ่าน อัลกุรอานซูเราะฮฺ อัลฮัจยฺ อายะ ให้เข้าใจ แต่แทนที่คุณจะทำความเข้าใจกับ อายะที่ 22:78  ให้เข้าใจอย่างถี่ถ้วน,  คุณกลับ พยายามไปค้นหาข้อโต้แย้งต่อ บัญญัติของ อัลลอฮ์คะอาลา เพื่อจะพิสูจน์ ต่อ “มูนาฟิก” ด้วยกัน ว่า ผม ปฏิเสธ ท่านรอซูล มูฮัมมัด    ซึ่งความจริงแล้วผม ปฏิเสธ เรื่อง นิทานของชาว เปอร์เซียนเหล่านั้น,   แล้วคุณก็ท้าทายว่าถ้าไม่เอาฮาดีษแล้ว จะ ละหมาด 5 เวลา อย่างไร?    ผมก็อธิบายว่าตามคำสั่งและบัญญัติในอัลกุรอาน ซึ่งบัญญัติในอัลกุรอาน ก็บ่งชัดว่า “มุสลิมถือและปฏิบัติตาม แนวทางศาสนกิจของท่าน นบีอิบรอฮิม ซึ่งตาม สามัญสำนึกแล้ว ก็คือ บรรพบุรุษของมุสลิม ผู้สถาปนาอิสลามจากการมอบหมายของพระเจ้า”     แต่ด้วยความยะโสของ มูนาฟิกเช่นคุณ and the likes, หาได้ใส่ใจว่า คุณกำลังป้องกัน “ความมุสาของนิทานของชาวเปอร์เซีย และ ทำลายเครดิตรของ อัลกุรอาน” , ว่า ไม่มีความสมบูรณ์ และรายละเอียดเพียงพอ ในการ ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติศาสนกิจของศาสนาของพระองค์อัลลออ์ตะอาลา ............... ส่วนพวก ที่ละทิ้งพระเจ้านั้นการทำละหมาดของเขาไม่มีอะไรมากไปกว่า การส่งเสียงและตบไม่ตบมือ อย่างในรูป ข้างล่าง จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 17:09:36

ความคิดเห็นที่ 66 จากความคิดเห็นที่ 64  คุณจะเห็นว่าข้อสรุปดึงเอาอัลกุรอานมาเป็นข้ออ้างโดยไม่กล่าวว่า อายะใดในอัลกุรอาน ที่สนับสนุนการละหมาดดังกล่าว ....................... "ท่านอบูฮานีฟะฮฺ ท่านอีหม่ามมาลิก และท่านอื่น ๆ กล่าวว่า “การละหมาดฆอเอ็บไม่ถูกกำหนดเป็นศาสนบัญญัติ “เหตุผลของพวกเขาคือไม่มีหลักฐานระบุชี้ชัดเกี่ยวกับการละหมาดฆอเอ็บ"    แต่ทว่าบรรดานักวิชาการปฏิบัติ ตามรายงานของท่านอีหม่ามบุคอรีและมุสลิม เกี่ยวกับกรณี ”น่าญาซีย์” ได้อย่างไร... ? พวกเขาได้ตีความหมายว่าเป็นไปได้ที่ไม่มีผู้ใดละหมาดให้กับท่านน่าญาซีย์เลย ดังนั้น ท่านศาสดานบีมูฮำหมัด(ซ.ล) จึงละหมาดให้ หรือ ว่าการละหมาดให้กับศพที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้านั้นเป็นลักษณะพิเศษของท่านศาสดา หรือว่าท่าน ศาสดาไม่เคยละหมาดให้กับศพที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้ามาก่อน แต่เมื่อมีศพถูกแบกผ่านมาและท่านก็ได้เห็นศพนั้น ท่านจึงละหมาดให้เหมือนการละหมาดของผู้ที่มาอยู่ต่อหน้า ,,,,,,,,,,,,,,, ข้อนี้ผมเห็นด้วยกับ อีหม่ามมาลิก  “เหตุผลของท่านคือไม่มีหลักฐานระบุชี้ชัดเกี่ยวกับการละหมาดฆอเอ็บ" อยู่ในอัลกุรอาน และ ในนิทานของเปอร์เซีย"  ที่อ้างว่า พื้นฐานตามอัลกุรอานนั้นผมอยากทราบว่าอยู่ในซูเราะห์ใด? ............ ฮะดีษก็ไม่ได้ขัดกันเองด้วย  ถ้าไม่ขัดกัน ทำไม ความเห็นของ อิหม่ามมาลิกกับ บรรดานักวิชาการปฏิบัติ ตามรายงานของท่านอีหม่ามบุคอรีและมุสลิม, จึงไม่ตรงกัน? เท่านี้คิดไม่ออกหรือ? มันขัดกันในเนื่อเรื่องของนิทานเรื่องนี้ ถ้าเอานิทานมาอ้างอิงนิทาน มันก็คือเรื่องของ นิทาน ตามที่ผมเคยเขียนไว้? จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 18:26:05

ความคิดเห็นที่ 67 อธิบายยืดยาวแต่ไม่ได้มีสาระอะไรซักอย่างเรามาดูกันชัดๆนะครับ อ่านกันให้ดีนะครับเชิญทุกท่านมาอ่าน ข้อ 1 ผมถามว่า 1.รู้ได้ไงว่า สืบสายไปถึงนบีอิบรอฮีมได้จริง และมีกุรอ่านตรงไหนรองรับว่า การละหมาดของนบีอิบรอฮีมนั้นตกทอดมายังรุ่นหลัง โดยไม่ขาดตอน และไม่ผิดเพี้ยน แล้วกุรอ่านที่ login แมทท์ เอามาตอบนั่นคือ “และจงต่อสู้เพื่ออัลลอฮ์ ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่แท้จริงเพื่อพระองค์(*1*) พระองค์ทรงคัดเลือกพวกเจ้า และพระองค์มิได้ทรงทำให้เป็นการลำบากแก่พวกเจ้าในเรื่องของศาสนา(*2*) ศาสนา (ที่ไม่ลำบาก) คือศาสนาของอิบรอฮีม บรรพบุรุษของพวกเจ้า(*3*) พระองค์ทรงเรียกชื่อพวกเจ้าว่ามุสลิมีน ในคัมภีร์ก่อน ๆ และในอัลกุรอานเพื่อร่อซูลจะได้เป็นพยานต่อพวกเจ้า และพวกเจ้าจะได้เป็นพยานต่อมนุษย์ทั่วไป(*4*) ดังนั้นพวกเจ้าจงดำรงการละหมาด และบริจาคซะกาต และจงยึดมั่นต่ออัลลอฮ์ พระองค์เป็นผู้คุ้มครองพวกเจ้า เพราะพระองค์คือผู้คุ้มครองที่ดีเลิศ และผู้ทรงช่วยเหลือที่ดีเยี่ยม” ไม่เคยมีตรงไหน ในอายะห์นี้ ย้ำอีกทีว่า ไม่มีตรงไหนเลยครับในโองการนี้ ระบุว่า การละหมาดของนบีอิบรอฮีมนั้นตกทอดมายังคนรุ่นหลังโดยไม่ผิดเพี้ยน มีเพียงแต่บอกว่า ศาสนาที่ไม่ลำบากคือศาสนาของนบีอิบรอฮีม บรรพบุรุษของพวกเจ้า ผมไม่ทราบว่า login แมทท์จะเอา กุรอ่านอายะห์นี้มาลงทำไมนะครับ เอามาลง โดยไม่มีการอธิบาย และผมบอกได้เลยว่า ที่ไม่อธิบายเพราะ login แมทท์อธิบายไม่ได้ว่าโองการนี้นั้น มีตรงไหนที่บอกว่า การละหมาดนั้นจะไม่ผิดเพี้ยนเลยตั้งแต่สมัยนี้อิบรอฮีม นี่เป็นการกล่าวตู่กุรอ่านอย่างชัดเจนครับ กุรอ่านไม่ได้บอกแต่ login แมทท์ ดันเอามาลงเพื่อสนับสนุนการโกหกของตัวเอง โดยที่กุรอ่านอายะห์ที่นำมานั้น ไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่ login แมทท์กำลังโกหกเลยแม้แต่นิดเดียว เรามาดูกันอีกทีครับ ว่านี่หรือ คือการละหมาดที่ไม่ผิดเพี้ยนรุ่นสู่รุ่นของ login แมทท์ ช่างอ้างได้ไร้ยางอายจริงๆ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 19:16:32

ความคิดเห็นที่ 68 และแมทท์ก็โกหกอีกแล้วว่า 2.อันดับสอง กุรอ่านไม่เคยใช้ให้ตามบรรพบุรุษ แต่ใช้ให้ตามนบีมุฮัมมัดเท่านั้น ข้อนี้ ผู้ถามความรู้ทางประวัติศาสตร์ศาสนาอิสลมตื้นมาก, “ซูเราะฮฺ อันนะหฺลฺอายะห์ 123” “แล้วเราได้วะฮีแก่เจ้าว่า “จงปฏิบัติตามศาสนาของอิบรอฮีมผู้เที่ยงธรรม และเขามิได้อยู่ในมหู่ผู้ตั้งภาคี”  (อัลกุรอาน 16:123) คำว่าปฏิบัติตามศาสนา หมายถึง ทุกๆอย่างในศาสนกิจของอิสลามที่มี..การละหมาด, การถือศีลอด, การจ่ายซากัต และการ ทำฮัจจฺ อันนี้ยิ่งน่าขำ มันเกี่ยวอะไรกับความรู้ทางอิสลามตื้นเขินไม่ทราบ? เพราะผมบอกแล้วว่ากุรอ่าน ไม่เคยใช้ให้ตามบรรพบุรุษ แล้วโองการนี้บอกให้ตามบรรพบุรุษตรงไหนครับบอกมาซิ? และอย่างที่บอกว่า กุรอ่านไม่เคยมีตรงไหนบอกว่า แบบอย่างของท่านนบีอิบรอฮีมนั้น ยังคงบริสุทธิ์มาจนปัจจุบัน ดังนั้นแล้ว การปฏิบัติศาสนาแบบไหนที่ท่านนบีเคยทำ เราจะทราบได้จากกุรอ่าน และฮะดีษของท่านนบีมุฮัมมัดอยู่ดี ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องทำตาม แบบอย่างของท่านนบีมุฮัมมัดเท่านั้นครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 19:26:26

ความคิดเห็นที่ 69 3.อับดับสามไม่มีเคยมีตรงไหนในกุรอ่านบอกว่า รูปแบบการปฏิบัติศาสนกิจนั้น จะคงความถูกต้องมาตั้งแต่สมัยนบีอิบรอฮีมมาถึงท่านนบีมุฮัมมัด จะบอกก็แต่ว่าอิสลามคือศาสนของท่านนบีอิบรอฮีมนะครับ ข้อนี้ผู้ถามอ่านอัลกุรอานไม่ถี่ถ้วน  “ซูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะห์ที่ 33-35” “33. และพระองค์อัลลอฮฺจะไม่ทรงลงโทษพวกเขาขณะที่เจ้า(*1*)อยู่ในพวกเขาและอัล ลอฮฺจะไม่เป็นผู้ทรงลงโทษพวกเขาทั้งๆที่พวกเขาขออภัยโทษกัน 34. และมีอะไร(*1*)แก่พวกเขากระนั้นหรือที่อัลลอฮฺจะไม่ทรงลงโทษพวกเขาทั้งๆที่ พวกเขาขัดขวาง(*2*)มิให้เข้ามัศยิดิลฮะรอม(*3*)และพวกเขาก็มิใช่เป็นผู้ปก ครองมัศยิดนั้นด้วยบรรดาผู้ปกครองมัศยิดนั้นใช่ใครอื่นไม่นอกจากบรรดาผู้ยำ เกรงเท่านั้นแต่ทว่าส่วนมากของพวกเขาไม่รู้”คือมีสิ่งใด 35. “มิปรากฏว่า การละหมาดของพวกเขา ณ บ้านของอัลลอฮฺ(*1*)นั้นเป็นอย่างอื่น นอกจากการเป่าเสียงหวัด(*2*) และการตบมือเท่านั้น ดังนั้นการพวกเจ้า(*3*) จงลิ้มการลงโทษเถิด เนื่องด้วยการที่พวกเจ้าปฏิเสธศรัทธา” ทั้งสามอายะห์ นั้บอกให้เราเข้าใจว่า การละหมาดที่เคยมีมาอย่างสม่ำเสมอ นอกจากผู้ที่ยึดถือศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างมั่นคงเท่านั้น จึง คงรักษาแบบฉบับการละหมาดไว้ ,  ส่วนพวก ที่ละทิ้งพระเจ้านั้นการทำละหมาดของเขาไม่มีอะไรมากไปกว่า การส่งเสียงและตบไม่ตบมือ อย่างในรูป ข้างล่างที่คุณนำมาแสดง ซึ่งยังคงมีหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน ในบรรดาที่เชื่อใน นิทานจากเปอร์เซีย อันนี้ยิ่งต้องเซฟไว้ กับคำโกหกคำโต แล้วการกล่าวบิดเบือนกุรอ่านอย่างน่ารังเกียจอีกครั้งของ login แมทท์ แมทท์โกหกว่า ทั้งสามอายะห์ นั้บอกให้เราเข้าใจว่า การละหมาดที่เคยมีมาอย่างสม่ำเสมอ นอกจากผู้ที่ยึดถือศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างมั่นคงเท่านั้น จึง คงรักษาแบบฉบับการละหมาดไว้ แล้วเรามาดูอายะทั้งสาม ที่ละอายะห์ 8:33. และพระองค์อัลลอฮฺจะไม่ทรงลงโทษพวกเขาขณะที่เจ้า(*1*)อยู่ในพวกเขาและอัล ลอฮฺจะไม่เป็นผู้ทรงลงโทษพวกเขาทั้งๆที่พวกเขาขออภัยโทษกัน (1)  หมายถึงท่านนะบีมุฮัมมัดซ็อลฯ - อายะห์นี้ไม่เคยบอกเลยว่า มีการละหมาดอย่างถูกต้องมาตั้งแต่สมัยนบีอิบรอฮีม ไม่เคยมีเลยสักอักษรเดียว ใครมาลองอ่านดูได้ครับ 34. และมีอะไร(*1*)แก่พวกเขากระนั้นหรือที่อัลลอฮฺจะไม่ทรงลงโทษพวกเขาทั้งๆที่ พวกเขาขัดขวาง(*2*)มิให้เข้ามัศยิดิลฮะรอม(*3*)และพวกเขาก็มิใช่เป็นผู้ปก ครองมัศยิดนั้นด้วยบรรดาผู้ปกครองมัศยิดนั้นใช่ใครอื่นไม่นอกจากบรรดาผู้ยำ เกรงเท่านั้นแต่ทว่าส่วนมากของพวกเขาไม่รู้”คือมีสิ่งใด (1)  คือมีสิ่งใดที่สำคัญแก่พวกเขากระนั้นหรือ ที่อัลลอฮฺจะไม่ทรงลงโทษพวกเขา (2)  คือขัดขวางท่านนะบีมุฮัมมัด และบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อท่านมิเข้าไปประกอบอิบาดะฮ์ในมัศยิด (3)  คือมัสยิดที่ตั้งอยู่ ณ นครมักกะฮ์ ซึ่งมีอัล-กะอ์บะฮ์ อันเป็นบ้านของอัลลอฮฺ อยู่ภายในมัสยิดนั้น นี่ก็ไม่มีตรงไหนบอกเลยว่า การละหมาดตั้งแต่สมัยนบีอิบรอฮีมนั้นยังคงบริสุทธิ์มาจนกระทั่งสมัยท่านนบีมุฮัมมัด ไม่มีเลยสักตัวอักษรเดียว ถ้ามี บอกมาด้วยครับ ประโยคใดวรรคใด รับผิดชอบคำพูดตัวเองด้วย ไม่ใช่บอกว่ามี พอพิจารณาแล้วไม่มีเลยสักนิด 35. “มิปรากฏว่า การละหมาดของพวกเขา ณ บ้านของอัลลอฮฺ(*1*)นั้นเป็นอย่างอื่น นอกจากการเป่าเสียงหวัด(*2*) และการตบมือเท่านั้น ดังนั้นการพวกเจ้า(*3*) จงลิ้มการลงโทษเถิด เนื่องด้วยการที่พวกเจ้าปฏิเสธศรัทธา” (1)  ซึ่งเรียกอีกนามหนึ่งว่า อัล-กะฮ์บะฮ์ (2)  เอามือประกันแล้วเป่า (3)  หมายถึงพวกมุชริกมักกะฮ์ ที่การละหมาดของพวกเขา คือการเป่าเสียงหวีดและการตบมือ - นี่ก็ไม่มีบอกอีกเช่นกันว่า การละหมาดหรือการประกอบศาสนกิจใดๆ ในสมัยนบีอิบรอฮีมนั้นยังคงรูปแบบที่ถูกต้องมาจนถึงสมัยปัจจุบัน โองการนี้ บอกเพียงแต่ว่าการละหมาดของพวกนอกศาสนานั้น ไม่มีอะไรนอกจาก การเป่าเสียงหวีด และการตบมือ แต่ไม่มีตรงไหนบอกว่า การละหมาดที่ถูกต้องสมัยนบีอิบรอฮีมยังมีอยู่มาจนถึงปัจจุบันโดยไม่ขาดตอนจากบรรพบุรุษ มันเป็นการโกหก และกล่างลอยๆ ของ login แมทท์เอง ซึ่งพอผมเอามาพิจารณาที่ละอายะห์แล้ว ก็ไม่พบหลักฐานที่ยืนยันคำโกหกของ login แมทท์เลย ใครเชิญมาอ่านได้เลยครับ มีโองการหรืออายะห์ใด ใน 3 อายะห์นี้ บอกว่า หรือมีความหมายว่า ละหมาดสมัยนบีอิบรอฮีมยังคงความบริสุทธิ์มาจนถึงปัจจุบันโดยสืบทอดรุ่นต่อรุ่นหรือไม่ ขอแค่ประโยคเดียว หรือตัวอักษรเดียวก็ได้ ใน 3 อายะห์นี้ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 19:37:35

ความคิดเห็นที่ 70 - 64 ตอนแรกก็เข้าใจอย่างนั้นแหละครับ ว่าต่างมัซฮับก็ต่างทรรศนะและการให้น้ำหนัก ไมไ่ด้มีใครถูกผิด เรียกว่าต่างสำนักคิดนั่นแหละ แต่พอเจอ บางทรรศนะเลย งง เล็กน้อย นึกว่าผมเข้าใจอะไรผิดไป แง่บๆ จากคุณ : itoursab เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 20:38:11

ความคิดเห็นที่ 71 ใครๆ ก็รู้ครับว่า ศาสนาของนบีอิบรอฮีมคืออิสลาม และการปฏิบัติศาสนกิจอิสลามก็คือการปฏิบัติศาสนกิจในศาสนาเดียวกับนบีอิบรอฮีม แต่ ผมถามว่า รู้ได้ไงว่า สืบสายไปถึงนบีอิบรอฮีมได้จริง และมีกุรอ่านตรงไหนรองรับว่า การละหมาดของนบีอิบรอฮีมนั้นตกทอดมายังรุ่นหลัง โดยไม่ขาดตอน และไม่ผิดเพี้ยน แล้วโองการที่ยกมา เกี่ยวอะไรไม่ทราบ ยกมาให้มันยาวเล่นงั้นรึ? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 20:54:18

ความคิดเห็นที่ 72 ตรงไหนของกุรอ่านที่ใช้ให้ตามบรรพบุรุษ? คิดจะตอบบ้างไหม? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 21:01:58

ความคิดเห็นที่ 73 ไม่มีใครเขาปฏิเสธโองการกุรอ่าน หรือสงสัยในกุรอ่านหรอกครับ แต่เขาสงสัยกันว่า login แมทท์ ไปเอาโองการที่ไม่เกี่ยวกับที่ login แมทท์อ้าง มาทำไม???????? ถามอย่างหนึ่ง ยกอีกอย่างมาตอบ หมดหนทางจะตอบเหรอครับ คิดว่าคนอื่นเขาไม่อ่านหรือไง? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 21:15:02

ความคิดเห็นที่ 74 ถ้า login แมทท์ หาโองการมายืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองได้สักครั้งสองครั้ง ก็คงดีหรอกนะครับ แต่นี่ กำลังทำอะไร ถามอย่างตอบอย่าง คุณมาบอกว่าผมไม่ทำตามหลักศาสนา ไม่ทำตามกุรอ่าน นั้นน่ะ คุณอ้างโองการไหนล่ะครับ เพราะไม่เคยมีโองการไหนใช้ให้มุสลิมทำตาม บรรพบุรุษนะครับ แต่คุณกลับพยายามยัดเยียด แนวคิด นอกศาสนานี้มาให้กับมุสลิม กุรอ่านที่เอามาลง พอแยกมาให้อ่านกันชัดๆ ก็พบว่า กุรอ่านที่ login แมทท์อ้าง ไม่ได้เกี่ยวกับคำอ้างของแมทท์เลย โองการที่ login แมทท์ให้ผมอ่าน ผมก็ไม่ได้ใช่แค่อ่าน แต่เอามาลงให้ทุกคนอ่านด้วยไม่ใช่หรือ ว่าไม่ได้เกี่ยวกับคำอ้างของ login แมทท์แต่อย่างใด และจริงๆ พวกที่ปฏิเสธกุรอ่าน บอกว่ากุรอ่าน โดนปลอมแปลง ก็เป็น login แมทท์เองด้วย ยังมีหน้ามาใส่ร้ายคนอื่น login แมทท์ พยายามอ้างว่าเองว่า ทำละหมาดตามบรรพบุรุษ แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่า โองการไหนที่กุรอ่านสอนให้ตามบรรพบุรุษ เอาล่ะ ถ้าคุณหาคำว่าบรรพบุรุษในกุรอ่านไม่เจอ ผมจะสอนให้ก็แล้วกันว่า กุรอ่านบอกอะไรกับพวกที่ ทำตามบรรพบุรุษ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 21:26:24

ความคิดเห็นที่ 75 อ่านซะนะ พวกชอบตามบรรพบุรุษ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 21:28:35

ความคิดเห็นที่ 76 ส่วนรูปนี้นั้น ลองบอกหน่อยนะครับว่า กุรอ่าน บทไหนห้ามการละหมาดแบบนี้? บอกผมหน่อย เพราะรูปนี้ไม่มีทั้งปรบมือและผิวปาก ถ้า login แมทท์บอกว่า ละหมาดได้โดยไม่อาศัยฮะดีษ ก็บอกหน่อยครับว่า กุรอ่านห้ามละหมาดแบบนี้ไหม? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 21:32:02

ความคิดเห็นที่ 77 ส่วน คคหที่ 66 นี่ผมก็ไม่รู้ว่าจะตอบดีไหมนะครับ เพราะดูเหมือนว่า login แมทท์นั้น จะกำลังสับสนอะไรบางอย่าง แต่เอาล่ะ เพื่อไม่ให้คนอื่นสับสนไปด้วยผมจะตอบก็แล้วกัน ข้อนี้ผมเห็นด้วยกับ อีหม่ามมาลิก “เหตุผลของท่านคือไม่มีหลักฐานระบุชี้ชัดเกี่ยวกับการละหมาดฆอเอ็บ" อยู่ในอัลกุรอาน และ ในนิทานของเปอร์เซีย" ที่อ้างว่า พื้นฐานตามอัลกุรอานนั้นผมอยากทราบว่าอยู่ในซูเราะห์ใด? พื้นฐานเรื่องนี้นั้นมาจากกุรอ่านเหล่านี้ครับ "ดัง ที่เราได้ส่งร่อ ซูลผู้หนึ่ง  จากพวกเจ้าเองมาในหมู่พวกเจ้า ซึ่งเขาจะอ่านบรรดาโองการของเราให้พวกเจ้าฟัง และจะทำให้พวกเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ และจะสอนคัมภีร์ และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติให้แก่พวกเจ้า และจะสอนพวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าไม่เคยรู้มาก่อน" (กุรอาน 2:151) ท่านนบีไม่ได้สอนเพียงกุรอ่าน แต่สอนความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติให้กับมุสลิมด้วย การละหมาด ต่างๆ นั่นก็เป็นข้อปฏิบัติต่างๆ ครับ ตอบแล้วตอบอีกลงแล้วก็ลงอีกก็ยังพยายาม "งง" ต่อไปให้ได้สินะ ถ้าไม่ขัดกัน ทำไม ความเห็นของ อิหม่ามมาลิกกับ บรรดานักวิชาการปฏิบัติ ตามรายงานของท่านอีหม่ามบุคอรีและมุสลิม, จึงไม่ตรงกัน? เท่านี้คิดไม่ออกหรือ? มันขัดกันในเนื่อเรื่องของนิทานเรื่องนี้ ถ้าเอานิทานมาอ้างอิงนิทาน มันก็คือเรื่องของ นิทาน ตามที่ผมเคยเขียนไว้? อ่านซะนะครับ ว่าทำไมฮะดีษถึงไม่ขัดกัน แล้วทำไมอิหม่ามต่างๆ ปฏิบัติไม่ตรงกัน กลุ่มหนึ่งบอกว่าทำได้เพราะนบีเคยทำแล้ว แต่อีกกลุ่มก็บอกว่าท่านนบีทำจริงแต่นั่นเป็นสิทธิพิเศษของนบี หรือเป็นวาระพิเศษของผู้ตายที่ไม่มีใครละหมาดให้เขา ซึ่งสองทรรศนะ นี้ต่างกัน เพราะมีบรรดาศอฮาบะห์เสียชีวิตที่ไกลๆ หลายท่าน ท่านศาสดาก็ไม่ได้ละหมาด ฆอเอ็บ (การละหมาดญะน่าซะฮฺให้กับศพ ที่ไม่ได้อยู่ในขณะละหมาด)ให้เขา ก็มีท่านน่าญาซีย์ที่เราทราบว่านบีละหมาด ฆอเอ็บให้ นี่คือการกระทำที่ต่างกัน และนักวิชาการก็ทำความเข้าใจต่างกัน แล้วฮะดีษขัดกันได้อย่างไร? ในเมื่อผมอ้างถึงเรื่องเดียว คือการละหมาดฆอเอ็บ(การละหมาดให้กับศพที่ไม่ได้อยู่ตรงที่กำลังละหมาด) ไม่เคยอ้างถึงฮะดีษที่ห้ามการละหมาด ฆอเอ็บเลย อ่านให้ดีครับเหอๆๆๆๆๆ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 21:50:05

ความคิดเห็นที่ 78 เอาล่ะผมคงจะได้คำตอบถึง การอ้างบรรพบุรุษของคุณ และวิธีละหมาดแบบไม่ใช้ฮะดีษในอาทิตย์นี้นะ เพราะที่ผมเจอเกี่ยวกับบรรพบุรุษนั้นพบว่าการอ้างแบบนี้มันเป็นการกระทำของพวกนอกศาสนา ไม่ใช่การกระทำของมุสลิม อ่อแล้วมุสลิมก็ยอมรับครับ เราปฏิบัติตตามศาสนาของนบีอิบรอฮีมครับเพราะศาสนาของนบีอิบรอฮีมก็คือศาสนาอิสลาม แต่เราก็ต้องทำตามแบบอย่างของท่านนบีมุฮัมมัด เพราะเราไม่ทราบว่า ท่านนบีอิบรอฮีมละหมาดอย่างไร ไม่มีใครบอกได้ กุรอ่านก็ไม่ได้บอกว่า ท่านนบีอิบรอฮีมละหมาดอย่างไร กี่เวลา กี่รอกาอัต ดังนั้นเราจึงต้องปฏิบัติตามท่านนบีมุฮัมมัดเท่านั้น ทั้งคำพูดและการกระทำ แต่เมื่อ login แมทท์ ปฏิเสธฮะดีษแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบล่ะครับว่า จะไปเอาแบบอย่างท่านนบีอิบรอฮีมมาจากไหน (แต่อินชาอัลลอฮฺ ยังไง login แมทท์ ก็หาไม่ได้อยู่ดี เพราะถ้ามีใครอ้างถึงท่านนบีอิบรอฮีมว่าละหมาดแบบนั้นแบบนี้ นั่นก็เป็นฮะดีษแล้วครับ) แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 53 21:59:56 แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 53 21:58:58 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 21:56:12

ความคิดเห็นที่ 79 เอาแบบนี้ดีกว่า ถ้าอยากรู้ว่า login แมทท์ ละหมาดอย่างไรโดยไม่ใช้ฮะดีษ ก็ควรให้ตอบดังนี้ 1. ละหมาดครบ 5 เวลานั้น มีคำสั่งไว้ตรงไหนของกุรอ่าน ถ้ามีคนบอกว่าละหมาด มีวันละ 7 เวลา จะบอกอย่างไรว่าผิด? 2. ละหมาดแต่ละเวลานั้น มีละหมาด ฟัรดู กี่รอกาอัต และสุนัตกี่รอกาอัต มีตรงไหนบอกในกุรอ่าน? 3. แต่ละรอกาอัตนั้น ตรงไหนของกุรอ่านบอกว่า ต้องตักบีรฺก่อน แล้วยืนอ่านซูเราะห์ แล้วจึง รุกัว แล้วจึงสุญูด เป็นลำัดับแบบนี้? แล้วไม่ต้องมาบอกว่า มุสลิมกำลังท้่าทายกุรอ่านนะครับเพราะข้อปลีกย่อยเหล่านี้ เราทำตามท่านนบีมุฮัมมัดครับ ซึ่งกุรอ่านใช้ให้เราทำตามท่านนบีอยู่แล้ว และการกระทำ และคำพูดคำสอนของท่านนบีเราหาได้จากฮะดีษครับ แต่ login แมทท์เองนั้นปฏิเสธฮะดีษ ทั้งๆ ที่ ฮะดีษมีการจดบันทึกตั้งแต่สมัยนบี สืบทอดตรวจสอบคัดกรองเรื่อยมาจนปัจจุบัน แล้วจะละหมาดอย่างไร? ถ้าอ้างว่าทำตามบรรพบุรุษนั่นก็เป็นฮะดีษ ซึ่้งไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องเลย และกุรอ่านไม่รับรองด้วย อีกทั้งการทำแบบนั้นก็ยังเป็นการกระทำของพวกคนนอกศาสนาีอีกต่่างหาก ปล. ถึงจะบอกว่าทำตามนบีอิบรอฮีม ก็ต้องหาหลักฐานมาว่าบรรพบุรุษสายไหนที่ไปเรียนรู้การละหมาดจากนบีอิบรอฮีม  และน่าเชื่อถือแค่ไหน เพราะการกระทำของท่านนบีอิบรอฮีมนั้นมุสลิมเรา ก็หาได้จากฮะดีษครับ ซึ่งเป็นคำพูดของท่านนบีมุฮัมมัด และมีการคัดกรองอย่างดี แต่พวกที่อ้างว่าบรรพบุรุษนั้นไปฟังมาจากไหนไปรู้มาจากไหนว่าท่านนบีอิบรอฮีมละหมาดอย่างไร บรรพบุรุษคนนั้นโกหกขึ้นมาเองหรือเปล่า หรือไปฟังมาจากพวกยิวแล้วสับสนเอง สรุปแล้วถ้าอ้างบรรพบุรุษนั่นก็คือฮะดีษ และเป็นฮะดีษที่ไม่น่าเชื่อถือเพราะฮะดีษแบบนี้ใครจะอ้างเองก็ได้ เนื่องจากปราศจากการตรวจสอบ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 06:38:39