Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เหตุผลต่อความเชื่อที่ว่าในหลวงทรงเป็นพระโพธิสัตว์  

เห็นมีหลายฝ่าย มีการล่วงเกินพระองค์ท่าน ก็เลยนำมาเน้นย้ำให้เข้าใจ...จะได้ไม่ทำบาปทำกรรมกับพระองค์ท่าน และบรมวงศานุวงศ์  เพราะเป็นบาปหนักติดตัว...

ที่มา: http://larndham.org

คำเตือนก่อนอ่าน ท่านที่จะอ่านกระทู้นี้ ต้องใช้วิริยะบารมีพอสมควรครับ เนื่องจากเป็นกระทู้ขนาดยาวพอสมควร และผมจำเป็นต้องลิงค์ข้อมูลกับเว็ปอื่นด้วย เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบรายละเอียดแต่ละเรื่องให้มากที่สุด ซึ่งถ้าท่านเข้าไปอ่านจะได้สัมผัสกับเนื้อหา อรรถรสของเรื่องได้โดยตรง ขอให้ใช้ “วิริยะ” แบบพระมหาชนกในการอ่านกระทู้นี้ครับ

ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านเป็นพระโพธิสัตว์" ที่ปรารถนาพุทธภูมิ จริงหรือไม่จริง ด้วยภูมิจิต ภูมิธรรมของผมยังไม่อาจทราบได้ แต่เมื่อผมพิจารณาพระราชจริยวัตรของพระองค์ท่านแล้ว ทำให้ผมเชื่อว่า คำกล่าวของครูบาอาจารย์นั้นน่าจะเป็นความจริง เพราะพระราชจริยวัตรทั้งหลายดำเนินไปตามทศบารมี ดังนี้

1. ทานบารมี* ด้วยการพระราชทานกำเนิด มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ เพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ สงเคราะห์ด้านการศึกษา และป้องกันสาธารณภัยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ รวมทั้งให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือเป็นส่วนรวมแก่ประชาชนที่ได้รับความทุกข์ ยากเดือดร้อนประการอื่นอีกด้วย http://www.geocities...pracha/main.htm

2. ศีลบารมี คือ การที่พระองค์ท่านมีพระราชจริยาวัตรที่พิเศษอีกประการหนึ่งซึ่งคนทั่วไปทำ ได้ยาก คือ ในคืนวันอุโบสถนั้น พระองค์จะทรงรักษาอุโบสถศีลอย่างเคร่งครัด

3. เนกขัมบารมี ซึ่งหมายถึง การออกบวช, ความปลีกตัวปลีกใจจากกาม ในข้อนี้พระองค์ท่านไม่ได้ออกบวชทางกาย (เพียงเคยทรงผนวชระยะสั้น) แต่สำหรับการบวชทางใจ ที่เป็นการปลีกตัวปลีกใจทางกามในช่วงอุโบสถศีล ย่อมถือเป็นบารมีข้อนี้เช่นกัน ครูบาอาจารย์องค์หนึ่งของผม คือ ท่านหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านได้กล่าวเกี่ยวกับการบวชใจไว้อย่างนี้

“การบวชจิต-บวชใน”

หลวงพ่อเคยปรารภไว้ว่า...จะเป็นชายหรือหญิงก็ดี ถ้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติมีศีล รักในการปฏิบัติจิตมุ่งหวังเอาการพ้นทุกข์เป็นที่สุด ย่อมมีโอกาสเป็นพระกันได้ทุกๆ คนมีโอกาสที่จะบรรลุมรรค ผล นิพพาน ได้เท่าเทียมกันทุกคนไม่เลือกเพศ เลือกวัย หรือฐานะ แต่อย่างใดไม่มีอะไรจะมาเป็นอุปสรรคในความสำเร็จได้ นอกจากในของผู้ปฏิบัติเอง ท่านได้แนะเคล็ดในการบวชจิตว่า..... " ในขณะที่เรานั่งสมาธิเจริญภาวนานั้น คำกล่าวว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ...ให้นึกถึงว่าเรามีพระพุทธเจ้า เป็นพระอุปัฌาย์ ของเรา ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ...ให้นึกว่าเรามีพระธรรม\ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ...ให้นึกว่าเรามีพระอริยสงฆ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ แล้วอย่าสนใจขันธ์ 5 หรือร่างกายเรานี้ ให้สำรวมจิตให้ดี มีความยินดีในการบวช ชายก็เป็นพระภิกษุ หญิงก็เป็นพระภิกษุณี อย่างนี้จะมีอานิสงส์สูงมาก จัดเป็นเนกขัมบารมีขั้นอุกฤษฎ์ทีเดียว "

4. ปัญญาบารมี พระบารมีข้อนี้เห็นได้ชัดเจนมาก จากพระราชดำริในเรื่องต่าง ๆ เช่น

โครงการพระราชดำริ http://www.thaisnews...troduction.html

มูลนิธิชัยพัฒนา http://www.chaipat.o...thai/index.html รวมทั้งพระอัจฉริยภาพในเกือบทุกด้าน ไม่ว่า จะเป็นด้านการสื่อสาร ด้านกีฬา ด้านดนตรี ด้านจิตรกรรม หรือแม้แต่ด้านโหราศาสตร์ก็ตาม ยังรวมไปถึงพระราชปฏิภาณไหวพริบที่น่าอัศจรรย์ เข้าไปอ่านตัวอย่างที่นี่ครับ ในเรื่อง “เราจับได้แล้ว” http://www.thaimonar..._order=id%20DES

5. วิริยะบารมี บารมีนี้เห็นได้เด่นชัดจากพระราชจริยวัตรของการช่วยเหลือออกไปแก้ไขทุกข์ ร้อนของพสกนิกร ที่ทรงทำอย่างต่อเนื่องยาวนาน และยังมิทรงหยุดหย่อนจนถึงทุกวันนี้ ดังเช่น พระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” หรือแม้ในด้านพระศาสนา พระองค์ทรงทำสมาธิ เจริญสติทุกวันและทรงอุโบสถศีลทุกวันอุโบสถ เหล่านี้ล้วนเป็นพระวิริยะบารมี

6. ขันติบารมี คือ ความอดทน ข่มกายและใจต่อความลำบากทั้งพระวรกายและพระทัย ในการช่วยเหลือประชาชนของพระองค์ท่าน แม้จะเป็นที่ทุรกันดารห่างไกล ข้ามน้ำ ข้ามภูเขา ก็มิได้เป็นอุปสรรคต่อพระองค์ ในฐานะของความเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง สามารถปฏิบัติภารกิจที่ยิ่งใหญ่ ยาวนานได้ขนาดนี้ ถ้าขาดซึ่ง “ขันติบารมี” แล้ว ยากที่จะทรงงานมาได้จนตราบเท่าทุกวันนี้ คำว่า “ป่วยไข้” แบบธรรมดาอาจจะเป็นคำต้องห้ามสำหรับพระองค์ท่าน ถ้าไม่หนักหนาสาหัสถึงขนาดต้องทรงเข้าโรงพยาบาลแล้ว พระองค์์ท่านยังทรงปฏิบัติพระราชภารกิจทั้งหลายทั้งปวงมิว่างเว้น แม้แต่งานที่ดูไม่น่าจะสำคัญ แต่สำคัญสำหรับกำลังใจของผู้รับ อย่างเช่น การพระราชทานกระบี่ หรือปริญญาบัตร พระองค์ท่านก็ยังทรงปฏิบัติอย่างสงบ ไม่ทรงแสดงถึงความเบื่อหน่ายหรือเมื่อยล้าให้เห็นเลย นับเป็นตัวอย่างของขันติบารมีที่น่าบูชายิ่ง

.............ทรงพระราชทานกระบี่ให้กับนายตำรวจใหม่ที่ สำเร็จการศึกษาไปแล้ว แค่ถึงวันครบรอบศตวรรษของโรงเรียน นั้น มีจำนวนรวมกันถึง ๙,๐๐๔ เล่ม น้ำหนักกระบี่ที่ทรงพระราชทานให้นายตำรวจใหม่ทุกๆปี มีน้ำหนักรวมกันถึง ๘,๙๑๓ กิโลกรัมเศษ หรือเกือบ ๙ ตัน มาถึง พ.ศ.นี้ก็เกิน ๙ ตันไปเรียบร้อยแล้ว หากรวมนายทหารบก เรือ อากาศ ที่สำเร็จการศึกษาอีกทั้งสามเหล่าทัพ ตลอดเวลาที่ทรงครองราชย์มา มาเป็นจะครบ ๖๐ ปี ในวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๙ ซึ่งจะเวียนมาถึงอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ คงจะมีน้ำหนักรวมกัน...หลายสิบตัน! นี่ยังไม่นับปริญญาบัตร ซึ่งในหลวงได้เสด็จพระราชทานให้กับบรรดาบัณฑิต จำนวนนับหมื่นๆแผ่น ที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันต่างๆของรัฐ ซึ่งภาพถ่ายที่ทรงพระราชทานปริญญาบัตร กลายเป็นเครื่องประดับชิ้นสำคัญสำหรับบ้านชาวไทย ที่มีลูกหลานสำเร็จการศึกษาจากสถาบันของชาติเหล่านั้น..........

 
 

จากคุณ : big_ong2000
เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 53 08:25:30




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com