ความคิดเห็นที่ 1 เพราะพระนิพพานเป็นเรื่องละเอียดที่รู้ได้เฉพาะตนของผู้ที่ปฏิบัติตามแนวทางของมรรคมีองค์แปด  ที่ผ่านมาดิฉันก็ได้อ่านจากความเห็นของเพื่อน ๆ ในบอร์ดนี้อยู่บ้าง อย่างไรก็ดี ดิฉันก็ได้ค้นหาข้อมูลเพื่อนำมาศึกษาเปรียบเทียบไปด้วย ซึ่งวันนี้ก็ขอนำข้อมูลอีกด้านหนึ่งมาพิจารณา เป็นการค้นความหมาย “นิพพาน” จากพระไตรปิฏก ซี่งเป็นบทความ ที่ใช้ภาษาที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจ โดยท่านศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. แสง จันทร์งาม ความสามารถทางวิชาการด้านพระพุทธศาสนาของท่านอาจารย์แสงทำให้ท่านได้รับการยกย่องไปทั่วในหมู่พระสงฆ์และอุบาสกอุบาสิกาชาวพุทธว่าเป็น “เพชรน้ำเอกทางพระพุทธศาสนาแห่งเมืองเหนือ” ตามรอยอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ บ้างก็ยกย่องท่านเป็น นักวิชาการทางพระพุทธศาสนาหมายเลข 1 แห่งลานนาไทย นับเป็นนักบรรยายธรรมทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดท่านหนึ่งของประเทศไทยในปัจจุบัน ที่มาของบทความ : พุทธชยมังคลคาถาบรรยายใน "ธรรมจักษุ" ปีที่ 83 ฉบับที่ 5 กุมภาพันธ์ 2542 หน้า 17-18 พุทธชยมังคลคาถาบรรยาย ใน ธรรมจักษุ ปีที่ 83 ฉบับที่ 6 ประจำเดือนมีนาคม 2542 หน้า 18-19 ประวัติของศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. แสง จันทร์งาม http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87_%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%A1 จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 11:41:22

ความคิดเห็นที่ 2 นิพพานนั้น เป็นเช่นไร? คำว่า "นิพพาน" เป็นชื่อของเป้าหมายสูงสุดของชาวพุทธ ตามตำรา นิพพานมี 2 อย่าง คือ 1. นิพพานของพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ เรียกตามศัพท์เทคนิคทางพระพุทธศาสนาว่า สอุปาทิเสสนิพพาน นิพพานชนิดนี้ นักวิชาการสมัยใหม่ บางท่านเรียกว่า นิพพานทางจิตวิทยา เพราะเป็นประสบการณ์ทางจิตชั้นสูง ของพระอรหันต์ ผู้ดับกิเลสทุกชนิดได้ อย่างเด็ดขาดแล้ว จิตใจ ของท่าน มีแต่ความสว่าง ความสะอาด ความสงบสุขตลอดกาล นิพพานชนิดนี้ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเป็นประสบการณ์ในปัจจุบัน ถ้าอยากรู้ว่ามีจริงหรือไม่ ก็อาจพิสูจน์ดูได้ด้วยการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 ที่พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์สาวก ทั้งหลาย ปฏิบัติได้ผลมาแล้ว 2. นิพพานอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน หมายถึงนิพพานของพระอรหันต์ ที่สิ้นขีพดับขันธ์แล้ว นิพพานชนิดนี้ มีปัญหาถกเถียงกันมาก และถกเถียงกันมา ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน มีคนทูลถามพระพุทธเจ้า มาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วว่า พระอรหันต์สิ้นชีพแล้ว อะไรเกิดขึ้น ท่านยังมีอยู่หรือไม่มีอยู่ ความจริง พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก ก็ได้ประทาน คำตอบไว้แล้ว ในพระไตรปิฎก แต่ถึงกระนั้น คนก็ยังถกเถียงกันอยู่ เพราะเหตุไร ก็เพราะคำตอบเหล่านั้น ยังไม่ชัดเจนพอ บางทีก็ตอบเชิงปฏิเสธ (Negative) ว่า นั่นก็ไม่ใช่ นี้ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่อะไรสักอย่าง บางทีก็ตอบว่า นิพพานลึกซึ้งจนพูดถึงไม่ได้ อธิบายไม่ได้ ด้วยท่าทีแบบนี้ จึงมีชาวพุทธเถรวาทเป็นอันมาก เช่น ท่านพุทธทาส เป็นต้น ยอมรับเฉพาะนิพพานทางจิตวิทยาเท่านั้น ไม่ยอมรับนิพพานที่เป็น สภาวธรรมอันหนึ่ง ที่มีอยู่โดยตัวเอง ในเอกภพ หรือที่นักวิชาการสมัยใหม่ (ศาสตราจารย์ ดร.วิทย์ วิศทเวทย์) เรียกว่า นิพพานแบบอภิปรัชญา (Metaphysical Nirvana) ท่านเหล่านี้เชื่อว่า เมื่อพระอรหันต์สิ้นชีพ ดับขันธ์ลง ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็สิ้นสุดลงแค่นั้น ชีวิตของท่านดับไป เหมือนไฟหมดเชื้อ เหมือนตาลยอดด้วน ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ปัญหาที่ใคร่จะพยายามตอบในบทความนี้ ก็คือว่า นิพพานแบบอภิปรัชญา มีอยู่หรือไม่ คำตอบที่ได้พบในพระไตรปิฎกเป็นแบบ ยอมรับว่ามี จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 11:42:28

ความคิดเห็นที่ 3  นิพพานเป็นอายตนะอย่างหนึ่ง บางสำนักกำลังถูกโจมตีว่า บิดเบือนพระไตรปิฎก เพราะสอนว่า นิพพานเป็นอายตนะ อย่างหนึ่ง แล้วบัญญัติศัพท์ขึ้นใช้ว่า "อายตนนิพพาน" ความจริงพระพุทธพจน์ที่ว่า "นิพพาน มีอยู่จริง ในฐานะเป็นอายตนะอย่างหนึ่ง" ก็มีปรากฎอยู่ชัดเจนในพระไตรปิฎก กล่าวคือ ในคัมภีร์ อุทานแห่งขุททกนิกาย (25/158/206) มีข้อความว่า อตฺถิ ภิกฺขเว ตทาายตนํ ฯลฯ แปลว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ แต่ในนั้น ไม่มีดิน ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ ไม่มีลม ไม่ใช่อากาสานัญจายตนะ ไม่ใช่วิญญาณัญจายตนะ ไม่ใช่อากิญจัญญายตนะ ไม่ใช่เนวสัญญานา สัญญายตนะ ไม่ใช่โลกนี้ ไม่ใช่โลกอื่น ไม่ใช่โลกทั้งสอง ไม่ใช่พระอาทิตย์ และพระจันทร์ เราไม่กล่าวอายตนะนั้นเป็นการมา เป็นการไป เป็นสิ่งตั้งอยู่ เป็นการดับไป เป็นการเกิดขึ้น อายตนะนั้นไม่มีที่ตั้ง ไม่หมุนไป ไม่มีอารมณ์ใดๆ นี้แลคือที่สุดแห่งทุกข์" ในพระพุทธพจน์นี้ พระพุทธเจ้าทรงเรียกนิพพานว่า อายตนะ ซึ่งหมายถึงสิ่งรับรู้ก็ได้ สิ่งที่ถูกรับรู้ก็ได้ สิ่งรับรู้ท่านเรียกว่า อายตนะภายใน มี 6 อย่าง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ส่วนสิ่งที่ถูกรับรู้ท่านเรียกว่า อายตนะภายนอก เช่น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และ มโนภาพ จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 11:43:25

ความคิดเห็นที่ 4 เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อทรงยืนยันว่า อายตนะนั้นมีอยู่ แล้วก็ทรงปฏิเสธว่า อายตนะนั้น ไม่ใช่สิ่งนั้นๆ ไม่ปรากฏว่า พระองค์พูดถึง อายตนะภายในคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เลย คล้ายกับจะทรงบอกว่า อายตนะนั้นไม่ใช่อายตนะภายในใดๆ ไม่ใช่สิ่งที่รับรู้ แต่ทรงปฏิเสธว่า อายตนะนั้น ไม่ใช่ธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งเป็นอายตนะภายนอก ต่อจากนั้น ยังนำเอา สิ่งที่เป็นอายตนะภายนอกอื่นๆ มาปฏิเสธอีก เช่น โลกนี้โลกอื่นไม่ใช่ทั้งสอง ไม่ใช่พระอาทิตย์พระจันทร์ ตอนสุดท้ายทรงปฏิเสธกิริยาอาการทุกอย่างของอายตนะนั้น เช่น การมา การไป การตั้งอยู่ การดับ การเกิด แล้วทรงสรุปว่า อายตนะนั้นไม่มีที่ตั้ง ไม่ดำเนินไปและไม่มีอารมณ์ จากการที่พระพุทธองค์ทรงเอ่ยถึงสิ่งที่ถูกรับรู้ต่างๆ เหล่านี้ แสดงว่า อายตนะนั้น เป็น อายตนะภายนอก นิพพานเป็นอายตนะภายนอก เป็นสิ่งที่สามารถรับรู้ได้ ในพระพุทธพจน์นั้น มีการปฏิเสธว่า อายตนะนั้น ไม่ใช่อรูปฌาณ 4 ด้วย และอรูปฌาน 4 นั้น เป็นสมาธิขั้นสูง มีสิ่งไร้รูป เช่น ความว่าง(อากาศ) และวิญญาณ เป็นต้น เป็นอารมณ์ เป็น สภาพจิตที่จิตสามารถรับรู้ได้ แม้ว่าจะเป็นสิ่งละเอียดประณีตเพียงใดก็ตาม เมื่อเป็นสิ่งถูกรับรู้ จึงเป็นอายตนะภายนอก สรุปแล้ว ในพระพุทธพจน์นั้น พระพุทธองค์ทรงมีพระประสงค์จะยืนยันว่า นิพพานเป็นอายตนะภายนอกอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่อายตนะหยาบๆ เช่น ดิน น้ำ ไฟ ลม หรือแม้อายตนะ ที่ละเอียด เช่นรูปฌาณ 4 แต่แม้จะเป็นอายตนะที่ละเอียดยิ่ง บุคคลก็สามารถรับรู้ได้ด้วยจิตที่บริสุทธิ์ สะอาด ดังจะเห็นได้ว่า พระโยคาวจร ผู้เจริญวิปัสสนา จนถึงขั้นได้โคตรภูญาณ จิตจะยึด พระนิพพานเป็นอารมณ์ และก้าวจาก ขั้นปุถุชนไปสู่ภูมิของพระอริยบุคคล จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 11:44:25

ความคิดเห็นที่ 5 แม้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ก็ทรงนิพนธ์ไว้ว่า "เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนาจึงไม่ปฏิเสธสิ่งที่ตั้งอยู่ สิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่ดำรงอยู่ คือวิสังขาร หรือ อสังขตธรรม ว่า มีอยู่จริง ดำรงอยู่จริง และโดยเฉพาะภูมิธรรมที่บรรลุ ตลอดจนถึงนิพพานนี้ พระพุทธเจ้ายังตรัสเรียกชื่อว่า เป็นอายตนะ ดังที่ตรัสไว้ในที่แห่งหนึ่งว่า อตฺถิ ภิกฺเข อายตนํ ภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ที่เรียกว่า อายตนะ แปลว่า ที่ต่อ หมายความว่า บุคคลปฏิบัติให้บรรลุ ให้ถึงได้ ก็เป็นอันว่า จิตนี้ต่อเข้าไปได้ ดังที่มีตรัสไว้ในคาถาหนึ่งว่า "วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ" จิตถึงวิสังขาร คือ นิพพาน ปราศจากสังขารเครื่องปรุงแต่งแล้ว ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ถึงความสิ้นไปแห่งตัณหาทั้งหลายแล้ว" ดังนี้ ถ้าหากว่า ไม่เป็นอายตนะ ก็บรรลุไม่ได้ ถึงไม่ได้ เพราะฉะนั้น จึงเป็นอายตนะคือต่อได้ บรรลุได้ ถึงได้ ก็คือวิสังขารธรรม... แต่ว่า ไม่ให้ยึดถือว่า เป็นตัวเราของเรา เพราะถ้ามีความ ปรารถนาต้องการอยากได้อยากถึงอยู่ ก็ถึงไม่ได้ บรรลุไม่ได้ ต้องปล่อยวางทั้งหมด ปล่อยวางเมื่อใด ก็เป็นอันว่า บรรลุได้ถึงได้ จิตเชื่อมเข้ากับวิสังขาร คือ อสังขตธรรมได้ เพราะฉะนั้น อัตตาในพระพุทธศาสนา พึงเข้าใจว่า หมายถึงมีสิ่งที่ยึดถือว่า เป็นตัวเราของเรานี้แหละ แต่ว่าสิ่งที่มีอยู่ ดำรงอยู่ ตั้งอยู่ ก็มีอยู่ จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 11:45:33

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าไม่มีโลกุตตรภูมิ ก็ไม่มีทางหนีจากโลกิยภูมิ มีพระพุทธพจน์อีกตอนหนึ่ง ในคัมภีร์อุทาน แห่งขุททกนิกาย (25/160/207) ที่พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า นิพพานมีอยู่ในฐานะเป็น อายตนะ หรือ ภูมิ หรือแดนอีกอันหนึ่งต่างหาก ด้วยเหตุผลที่หนักแน่นยิ่ง พระพุทธองค์ตรัสว่า อตฺถิ ภิกฺขเว อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขตํ ฯ โน เจ ตํ ภิกฺขเว อภวิสฺส อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขตํ ฯ นยิธ ชาตสฺส ภูตสฺส กตสฺส สงฺขตสฺส นิสฺสรณํ ปญฺญาเยถฯ ยสฺมา จ โข ภิกฺขเว อตฺถิ อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขตํ ฯ ตสฺมา ชาตสฺส ภูตสฺส กตสฺส สงฺขตสฺส นิสฺสรณํ ปญฺญายตีติ แปลว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติที่ไม่มีเกิด ไม่มีกลับกลาย ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง มีอยู่ ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ถ้าธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่กลับกลาย ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีปัจจัย ปรุงแต่งนั้น จักไม่มีไซร้ การสลัดออกเสียซึ่งธรรมชาติที่มีเกิด มีกลับกลาย มีผู้สร้าง มีปัจจัยปรุงแต่งนั้นก็มีไม่ได้ แต่ภิกษุทั้งหลาย เพราะธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่กลับกลาย ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งมีอยู่ การสลัดออกเสียซึ่งธรรมชาติที่มีเกิด มีกลับกลาย มีผู้สร้างมีปัจจัยปรุงแต่งจึงมีได้" ความหมายของโลกุตตรธรรม โลกุตตรธรรม 9 ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาคือ มรรค 4 ได้แก่ โสดาปัตติมรรค  สกิทาคามิมรรค  อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค  ผล 4 คือ โสดาปัตติผล  สกิทาคามิผล อนาคามิผล และอรหัตตผล มรรค 4 ผล 4 รวมเป็น 8 ประการนี้ ก็ได้แก่ ดวงจิตที่มีคุณพิเศษ 4 ประการคือ สว่าง(ญาณ)  สะอาด(วิสุทธิ)  สงบ(สันติ)  สงสาร(กรุณา)  โลกกุตรธรรม 8 ประการนี้ ก็คือ สอุปทาทิเสสนิพพาน นั่นเอง ถ้าโลกุตตรธรรมมีเพียงเท่านี้ ท่านก็น่าจะหยุดเพียงแค่นั้น แต่ท่านหาได้หยุดไม่ ยังเพิ่มโลกุตตรธรรมที่ 9 คือนิพพานเข้ามาอีก แสดงว่า นิพพานเป็นอมตธาตุ อมตธรรม มีอยู่ต่างหากอย่างไม่มีทางปฏิเสธได้ จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 11:46:30

ความคิดเห็นที่ 7  นิพพานไม่รู้จักเต็มด้วยพระอรหันต์ มีพระพุทธพจน์อีกแห่งหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พระอรหันต์ดับขันธ์แล้ว มิได้สูญหายไปเลย เหมือนทัศนะของ พวกถือนิพพาน แบบจิตวิทยา แต่ได้บรรลุถึง หรือเข้าถึง นิพพานธาตุ ชนิดที่เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน ที่มีอยู่จริงในเอกภพ พระพุทธองค์ตรัสไว้ในคัมภีร์อุทานแห่งขุททกนิกาย (25/118(5)/157) ว่า เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว ยา จ โลเก สวนติโย มหาสมุทฺทํ อปฺเปนฺติ ฯ ยา จ อนฺตลิขา ธารา ปตนฺติ น เตน มหาสมุทฺทสฺส อูนตฺตํ วา ปูรตฺตํ วา ปญฺญายติ เอวเมว โข ภิกฺขเว พหูปิ ภิกฺขู อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพานยนฺติ น เตน นิพฺพานธาตุยา อูนตฺตํ วา ปูรตฺตํ วา ปญฺญายติ ฯ แปลว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม่น้ำทั้งหลาย ในโลกและสายน้ำจากห้วงเวหา ย่อมหลั่งไหลสู่มหาสมุทร แต่มหาสมุทร ก็ไม่ปรากฏว่า มีความพร่อง หรือความเต็มเพราะเหตุนั้น ฉันใด แม้ภิกษุทั้งหลายจะปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้พร่องหรือเต็มด้วยเหตุนั้นฉันนั้น" พระพุทธพจน์บทนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า นิพพานในฐานะเป็นแดนอายตนะอันหนึ่ง มีอยู่จริง เปรียบเหมือนมหาสมุทรมีอยู่จริง และแสดงให้เห็นต่อไปว่า พระอรหันต์ดับขันธ์แล้ว มิได้สูญหายไปเลย แต่ยังไปมีความสัมพันธ์ ความเกี่ยวพัน ความต่อเนื่อง หรือการต่อเชื่อม แบบใดแบบหนึ่งกับนิพพานนั้น แบบเดียว กับสายน้ำทั้งหลายในโลก มีความต่อเชื่อมกับมหาสมุทร ลักษณะของการต่อเชื่อม ชวนให้คิดว่า นิพพานอยู่นิ่งๆ พระอรหันต์ทั้งหลาย เคลื่อนไหวไปหา หรือ เข้าสู่ หรือบรรลุถึง แบบเดียวกับสายน้ำทั้งหลาย เป็นฝ่ายเคลื่อนไหว เข้าสู่มหาสมุทร ในพระพุทธพจน์บทนี้ มีการพูดถึงการที่พระนิพพาน ไม่รู้จักตื้นเต็ม หรือพร่อง แสดงให้เห็นว่า นิพพานนั้นยิ่งใหญ่เหมือนมหาสมุทร สามารถรับพระอรหันต์ได้ไม่จำกัด จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 11:49:03

ความคิดเห็นที่ 8 พระอรหันต์นิพพานแล้วไม่สูญ มติฝ่ายเถรวาท ยุคอรรถกถา คือยุคที่นักปราชญ์ต่างๆ เขียนคัมภีร์อรรถกถาขึ้นอธิบายความ หมายของพระไตรปิฎกบาลี (น่าจะอยู่ในยุค พ.ศ.700 ถึง 1000) เห็นว่า พระอรหันต์ ปรินิพพาน ไปแล้ว ดับสูญไปเลย ดุจเปลวไฟดับไปเพราะหมดเชื้อ แต่หลักฐานในพระไตรปิฎกบาลี ไม่สอดคล้องกับมตินี้ ในอัคคิวัจฉโคตตสูตร (13/248-51/245-8) ปริพพาชก ชื่ออัคคิวัจฉะ ทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระอรหันต์ดับขันธ์แล้วยังมีอยู่หรือไม่? พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า "ดูก่อนวัจฉะ บุคคลเมื่อบัญญัติว่า สัตว์ พึง บัญญัติ เพราะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณใด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้น ตถาคต ละได้แล้ว มีรากเหง้าที่ตัดขาดแล้ว ทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา" "ตถาคตพ้นจากการนับว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีคุณอันลึก อันใครๆ ประมาณไม่ได้ หยั่งถึงได้โดยยาก เปรียบเหมือนมหาสมุทร ฉะนั้น จึงไม่ควรจะกล่าวว่าเกิด ไม่ควร จะกล่าวว่า ไม่เกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิดก็มี ไม่เกิดก็มี ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิดก็ไม่ใช่ ไม่เกิดก็ไม่ใช่" พระพุทธพจน์นี้แสดงให้เห็นว่า เมื่อพระอรหันต์หรือแม้พระตถาคตสิ้นชีพดับขันธ์ลง ขันธ์ 5 ย่อมดับไปตามธรรมชาติของมัน แม้สมมุติบัญญัติทั้งหลาย ที่อาศัยอยู่กับขันธ์ 5 ก็พลอยดับ ไปด้วย แต่ยัง    มีอะไรบางอย่างเหลืออยู่ และมีคุณลักษณะที่พออธิบายได้ เช่น มีคุณอันลึก อันใครๆ ประมาณ ไม่ได้ หยั่งถึงได้โดยยาก (เข้าใจได้ยาก) เปรียบเหมือนมหาสมุทร ฉะนั้น ที่พระพุทธองค์ สรุปในตอนท้ายว่า จะว่าเกิดก็ไม่ใช่ ไม่เกิดก็ไม่ใช่นั้น แสดงว่า สิ่งนั้นไม่สามารถอธิบายได้ด้วยภาษาของมนุษย์ ไม่ว่าจะพูดถึง ในแง่ไหน มันไม่ถูกทั้งสิ้น จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 11:49:54

ความคิดเห็นที่ 9 แม้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกก็ทรงรับรองว่า เพราะฉะนั้น ที่ซึ่งไม่ตายนั้นก็ต้องเป็นที่ที่ไม่เกิด คือนิพพานในพระพุทธศาสนา เมื่อได้บรรลุถึง นิพพาน อันดับกิเลส และกองทุกข์ ทั้งสิ้น ไม่เกิดอีก จึงเป็นอันว่าได้บรรลุอมตธรรม ธรรมที่ไม่ตายก็คือ ไม่แก่ ไม่ตาย เพราะฉะนั้น ท่านจึงแสดงได้ว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งปวง เป็น อนัตตา คือไม่พึงยึดถือว่า เป็นตัวเราของเรา แม้ว่า จะบรรลุถึงนิพพาน ไม่เกิดอีก แต่ก็ไม่สูญ เป็นสิ่งที่มีอยู่ แต่ว่า เมื่อถอนธรรมทั้งปวงเสียได้หมด ก็เป็นอันว่า ถอนวาทะที่จะพูดเสียทุกทาง จึงไม่มีทางที่จะบัญญัติถ้อยคำขึ้น พูดถึงว่าอะไรต่อไป เป็นอันยุติ เพราะเมื่อยังไม่ยุติ ยังพูดถึงกันอยู่ว่า เป็นนั่นเป็นนี่ ก็แปลว่า ยังไม่จบยังไม่สิ้น เมื่อจบสิ้น ก็แปลว่า ยุติที่จะพูดถึงกันต่อไป ไม่มีที่จะยกขึ้นมา เป็นนั่นเป็นนี่อะไร อีกต่อไป ท่านจึงเปรียบเหมือนดังว่า ไฟสิ้นเชื้อดับไป ไม่ถึงความนับว่า ไฟไปทางไหน อย่างไร แต่ว่าไฟก็ไม่สูญ ฉันใดก็ดี ท่านผู้ที่บรรลุนิพพาน สิ้นกิเลส และกอง ทุกข์ทั้งหมดแล้ว ดับขันธ์ไม่เกิดอีก ก็เป็นผู้ที่ไม่สูญ แต่ก็พ้นจากทางถ้อยคำ ที่จะกล่าวถึงว่าอะไร เป็นอันยุติกันเสียทีหนึ่ง จะพูดว่าจิต ว่าวิญญาณ หรืออะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น จะพูดว่าตัวตนก็ไม่ได้ทั้งนั้น จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 11:50:51

ความคิดเห็นที่ 10 สิ่งนั้นมีมากดุจเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาและดุจน้ำในมหาสมุทร บางสำนักถูกกล่าวหาว่า สอนพระนิพพานที่เป็นอัตตา เพราะสอนว่า พระพุทธเจ้าที่ปรินิพพานไปแล้วในอดีต ยังอยู่ในแดนนิพพาน มีจำนวนมากกว่า เม็ดทรายในมหาสมุทร เป็นการ บิดเบือนพระไตรปิฎก เป็นการจ้วงจาบพระธรรมวินัย แต่ปรากฏว่า ในพระไตรปิฎก สฬายตนวรรค สังยุตตนิกาย (18/754-761/456-462)  มีพระพุทธพจน์ที่มีลักษณะ เปรียบเทียบ พระตถาคตที่ปรินิพพานไปแล้ว กับเม็ดทราย ในแม่น้ำ คงคา และกับปริมาตรของน้ำในมหาสมุทรดังนี้ วันหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลได้สนทนาธรรม กับนาง เขมาภิกษุณี และได้ตรัสถามปัญหาสำคัญที่คนมักจะถามกันอยู่ เสมอว่า โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา ฯ เป็นต้น แปลว่า เบื้องหน้าแต่ตาย พระตถาคตยังมีอยู่หรือ? ไม่มีอยู่หรือ? มีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วย หรือ? มีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่ หรือ? นางเขมาภิกษุณีทูลตอบว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบปัญหาเหล่านี้ พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสถามว่า เพราะเหตุใด นางเขมาภิกษุณียังไม่ตอบคำถามนั้นโดยตรง แต่ย้อนถาม พระเจ้า ปเสนทิโกศลก่อน เพื่อเป็นการปูทางเดินไปสู่คำตอบในขั้นสุดท้าย นางถามว่า อตฺถิ เต โกจิ คณโก วา มุทฺทิโก วา สงฺขายโก วา โย ปโหติ คงฺคาย วาลิกํ คเณตุ เอตฺตกา วาลิกา อิติ วา เอตฺตกานิ วาลิกสตานิ อิติ วา เอตฺตกานิ วาลิกสหสสานิ อิติ วา เอตฺตกานิ วาลิกสตสหสฺสานิ อิติ วา แปลว่า พระองค์มีนักคำนวณ หรือนักประเมิน หรือนักประมาณอยู่หรือไม่ ที่จะคำนวณเม็ดทรายแห่งแม่น้ำคงคาได้ว่า เม็ดทรายมีเท่านี้ หรือว่า เม็ดทรายมีเท่านี้ร้อย หรือว่า เม็ดทรายมีเท่านี้พัน หรือว่า เม็ดทรายมีเท่านี้แสน ? พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสตอบว่า ไม่มีนักคำนวณที่จะสามารถนับเม็ดทรายแห่งแม่คงคาได้ เท่านั้นยังไม่พอ นางเขมาภิกษุณียังถามย้ำต่อไปอีกว่า พระองค์มีนักคำนวณ หรือนักประเมิน หรือนักประมาณ ที่สามารถคำนวณน้ำในมหาสมุทรได้ ว่า มีเท่านี้ขัน (อาฬหกะ)? มีเท่านี้ร้อยขัน หรือว่า มีเท่านี้พันขัน หรือว่า มีเท่านี้แสนขัน? จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 11:51:45

ความคิดเห็นที่ 11 พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสตอบว่าไม่มีนักคำนวณคนใด ที่จะคำนวณน้ำ ในมหาสมุทร ออกมาเป็นขันๆ ได้ นางเขมาภิกษุณี ทูลถามว่า เพราะเหตุใดจึงคำนวณไม่ได้ พระเจ้า ปเสนทิโกศล ตรัสตอบว่า เพราะมหาสมุทร ล้ำลึกประมาณไม่ได้ หยั่งถึงได้ยากยิ่ง พระนางเขมาภิกษุณีได้ทูลตอบ ในลักษณะสรุปประเด็นสำคัญว่า เอวเมว โข มหาราช เยน รูเปน ตถาคตํ ปญฺาปยมาโน ปญฺเยถฯ ตํ รูปํ ตถาคตสฺส หินํ อุจฺฉินฺนมูลํ ตาลวตฺถุกตํ อนภาวงฺคตํ อายตึ อนุปฺปาทธมฺมํฯ รูปสงฺขยาวิมุตฺโต โข มหาราช ตถาคโต คมฺภีโร อปฺปเมยฺโย ทุปฺปริโยคาฬฺโหฯ เสยฺยถาปิ มหาราช มหาสมุทฺโทฯ แปลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า เช่นเดียวกันนั้น แล บุคคล เมื่อจะบัญญัติว่า ตถาคตพึงบัญญัติด้วยรูปใด รูปนั้น พระตถาคตละได้แล้ว มีมูลรากตัดขาดแล้ว ทำให้เป็นดุจตอต้นตาล ถึงความเป็นสภาพ ไม่มีอยู่ มีความไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา ข้าแต่มหาราชเจ้า ตถาคตพ้นแล้วจากการนับว่าเป็นรูป เป็น สภาพล้ำลึกประมาณไม่ได้ เข้าใจได้ยากเปรียบเหมือนมหาสมุทร นั้นแหละ มหาราชเจ้า ต่อจากนั้น นางเขมาภิกษุณีก็ได้กล่าวถึงการที่พระตถาคตละขันธ์ที่เหลืออีก 4 อย่างคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พ้นจากการนับว่าเป็น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็น สภาพล้ำลึก แบบเดียวกับ กรณีของการละรูป ต่อมาภายหลัง พระเจ้าปเสนทิโกศล คล้ายๆ กับจะยังไม่แน่พระทัยว่า คำตอบที่พระองค์ได้ฟังจาก เขมาภิกษุณีนั้น จะถูกต้องหรือไม่ เมื่อได้โอกาสจึง ได้ทูลถามปัญหาเดียวกันนั้น กับ พระพุทธเจ้า ปรากฏว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประทาน คำตอบแบบเดียว กับคำตอบของนางเขมาภิกษุณีแบบคำต่อคำทีเดียว จนกระทั่ง พระเจ้าปเสนทิโกศล ต้องทรงเปล่ง พระอุทาน ออกมาว่า อจฺฉริยํ ภนฺเต อพฺภูตํ ภนฺเต ยตฺรหิ นาม สตฺถุ เจว สาวิกาย จ อตฺเถน อตฺโถ พยญฺชเนน พยญฺชนํ สํสนฺทิสฺสติ สเมสฺสติ น วิหายิสฺสติ ฯ อัศจรรย์จริง พระเจ้าข้า ไม่น่าเป็นได้ พระเจ้าข้า คือข้อที่คำพูดของพระศาสดา(ครู) และของพระสาวิกา(ศิษย์) จะปรากฏสอดคล้องกัน เข้ากันได้ ไม่ขัดแย้งกันเลย แบบใจความ ต่อ ใจความ แบบตัวอักษรต่อตัวอักษรเช่นนี้ ในพระพุทธพจน์บทนี้ ก็เช่นเดียวกับบทอื่น ที่ยืนยันว่า เมื่อพระอรหันต์หรือพระตถาคตสิ้นชีพดับขันธ์ลง ขันธ์ 5 เท่านั้น ดับไปอย่างสิ้นเชิง แต่มิใช่ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง สิ้นสุดลงแค่นั้น ถ้าสิ้นสุดลงแค่นั้น พระองค์ก็น่าจะยืนยันแบบนั้น ให้ชัดเจนลงไปเลย แต่ พระองค์หาได้ทำเช่นนั้นไม่ ยังตรัสคล้ายกันว่า ยังมีอะไรบางอย่างเหลืออยู่ แต่สิ่งนั้นลึกซึ้ง ประมาณมิได้ ยากที่จะรู้ ยากที่จะเห็นสงบ ระงับ ประณีต เป็นต้น ยิ่งกว่านั้นยังทรงนำเอา ลักษณะที่ประมาณไม่ได้ของสิ่งนั้น ไปเปรียบเทียบกับ เม็ดทรายแห่งแม่คงคา และน้ำในมหาสมุทรอีกด้วย จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 11:52:33

ความคิดเห็นที่ 12  แต่ถึงจะเป็นสิ่งที่ประณีตล้ำลึกหยั่งถึงได้ยาก เพียงใด พระพุทธองค์ก็ตรัสยืนยันว่า คนบางพวกยังอาจรู้ได้ บางพวกก็ไม่สามารถรู้ได้ (มัชฌิมปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย 13/248-251/245-248) ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า ธรรมนี้ เป็นธรรมลุ่มลึก ยากที่จะเห็น ยากที่จะรู้ สงบ ระงับ ประณีต ไม่ใช่ธรรมที่จะหยั่งถึงได้ด้วยตรรกะ ผู้เป็นบัณฑิตเท่านั้น จึงจะรู้  ธรรมนั้น อันท่านผู้มีความเห็นเป็นอย่างอื่น มีความชอบใจเป็นอย่างอื่น มีความพอใจเป็นอย่างอื่น มีความเพียรในทางอื่น อยู่ในสำนักของอาจารย์อื่น รู้ได้โดยยาก ตอนสุดท้าย พระพุทธองค์ทรงเตือนไว้อย่างชัดเจนว่า เราไม่เห็น คนอื่นเขาอาจจะเห็น อย่าเพิ่ง ไปประณามเขาว่า งมงาย ชื่อต่างๆ ของนิพพานในฐานะเป็นอายตนะอันหนึ่งในพระไตรปิฎก (18/720-.../450-452) มีการ เรียกนิพพานด้วยชื่อต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 30 ชื่อ บางชื่อ ก็แสดงว่า นิพพานมีลักษณะเป็น อายตนะอันหนึ่ง เช่น ปารํ เป็นฝั่ง หมายความว่า เวลานี้สัตว์ทั้งหลายยังลอยคออยู่ในทะเลทุกข์ แต่เมื่อใดบรรลุถึงนิพพาน เมื่อนั้นก็พ้นทุกข์ถึงฝั่งอันปลอดภัย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ (18/123/450) ว่า ปารํ จ โว ภิกฺขเว เทเสสฺสามิ ปารคามิญฺจ มคฺคํ ตํ สุณาถฯ แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงฝั่ง (ข้างโน้น) และหนทางไปสู่ฝั่งแก่เธอทั้งหลาย ขอเธอทั้งหลายจงฟังข้อนั้น ทีปํ เป็นเกาะ ธรรมดาเกาะในทะเล เมื่อเรือ อัปปางคนว่ายน้ำเข้าถึงเกาะแล้วย่อมปลอดภัย ดุจ บรรลุถึงนิพพานแล้ว ย่อมปลอดภัยจากทุกข์ทั้งปวง เสณํ เป็นถ้ำ คือเป็นที่หลบภัยอันมั่นคง ตาณํ เป็นเครื่องป้องกัน เป็นเขื่อนป้องกันภัยคือ ทุกข์ อนฺตํ เป็นที่สุดแห่งทุกข์ทั้งปวง สรณํ เป็นที่พึ่ง เมื่อถึงนิพพานแล้ว ก็ถึงที่พึ่งอันปลอดภัยจากทุกข์ทั้งปวง ปรายนํ เป็นที่ไปในเบื้องหน้า นามนี้น่าสนใจมาก เพราะแสดงให้เห็นว่า อนุปาทิเสสนิพพานนั้น จะต้องสิ้นชีพดับขันธ์ก่อน จึงจะบรรลุ ถึงได้ เป็นธรรมชาติที่แยกอยู่ต่างหากจากชีวิตนี้ เพราะถ้ามีอยู่ในชีวิตนี้ ก็ต้องเป็นนิพพานแบบจิตวิทยา พระพุทธ องค์คงจะต้องใช้ศัพท์ว่า ทิฏฺธมฺมํ แต่กลับใช้คำว่า ปรายนํ เป็นที่ไปในเบื้องหน้า ซึ่งเป็นศัพท์ตรงกันข้ามกับ ทิฏฺธมฺมํ จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 11:53:00

ความคิดเห็นที่ 13 นิพพาน 2 นัย หรือ 2 ความหมาย เมื่อกล่าวโดยสรุป หลักฐานในพระไตรปิฎก แสดงให้เห็นว่า อนุปาทิเสสนิพพาน มีอยู่ 2 ลักษณะ คือลักษณะฝ่ายลบ (Negative) และลักษณะฝ่ายบวก (Positive) พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท เฉพาะอย่างยิ่ง ในยุค อรรถกถา(พ.ศ.700-1000) เน้นแง่ลบของพระนิพพานเป็นพิเศษ อธิบายนิพพานในฐานะเป็นความ ว่างอย่างยิ่ง (นิพพานํ ปรมํ สุญฺญํ) ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น เป็นอนัตตา เป็นความสูญอย่างสมบูรณ์ ไม่มีอะไรเลย แต่ก็มีชาวเถรวาทบางพวกอธิบายนิพพานใน แง่บวก บอกว่า นิพพานมีอยู่จริง ในฐานะเป็นแดน (อายตนะ sphere) อันหนึ่ง มีอยู่ในเอกภพนี้เอง แต่ ชี้ไม่ได้ว่ามีอยู่ ณ จุดไหน พระพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย สิ้นชีพดับขันธ์แล้ว บรรลุถึงนิพพานธาตุนั้น แต่ไม่ได้บอกว่า ยังอยู่ในฐานะเป็นบุคคล เป็นอัตตาหรือไม่ บอกแต่เพียงว่า เป็นธรรมชาติล้ำลึก (คมฺภีโร) หยั่งรู้ได้ยาก (ทุปฺปริโยคาฬฺโห) อันใครๆ นับประมาณไม่ได้ (อปฺปเมยฺโย) ดุจเม็ดทรายแห่งแม่คงคา (คงฺคาย วาลิกา) ดุจน้ำในมหาสมุทร เพราะเหตุที่หลักฐาน ในพระไตรปิฎก ไม่ระบุไว ้ชัดเจนนี้เอง ฝ่ายเถรวาทบางสำนัก จึงอธิบายให้ชัดเจนลงไปเลยว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต และพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย ยังมีอยู่ในรูปของธรรมกาย ที่พุทธศาสนิกชน สามารถเข้าสัมผัสได้ ในสมาธิชั้นสูง ถ้าเราดูหลักฐานในพระไตรปิฎก เราจะพบว่า มีการนำเสนอพระนิพพานในแง่บวก มากกว่าแง่ลบ แม้แต่ศัพท์ต่างๆ ที่เป็นไวพจน์ของนิพพาน ก็ล้วนแต่มีความหมายในทางบวกทั้งนั้น โปรดสังเกตศัพท์ที่เป็นไวพจน์ของนิพพานดังต่อไปนี้ อสงฺขตํ - ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง เป็นธาตุบริสุทธิ์ อมตํ - เป็นอมตะ ไม่รู้จักตาย (เพราะไม่มีการเกิด) อนาสวํ -ไม่มีอาสวะทั้ง 3 คือ กามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ อชฺชรํ - ไม่รู้จักแก่ ไม่มีความแก่ (เพราะไม่มีความเกิด) อปโลกินํ - ไม่รู้จักทรุดโทรม ไม่มีอะไรทำลายได้ อนิทสฺสนํ - ไม่มีลักษณะที่เห็นได้ด้วยจักขุ วิญญาณ นิปฺปปญฺจํ - ไม่มีกิเลสเครื่องทำให้เนิ่นช้า อพฺภูตํ - ไม่กลับกลาย อนีติกํ - ไม่มีความทุกข์ อนีติกธมฺมํ - เป็นธรรมอันหาทุกข์มิได้ อพฺยาปชฺฌํ -ไม่มีอันตราย ไม่มีการเบียดเบียน อนาลยํ - ไม่มีอาลัย ศัพท์เหล่านี้ แม้จะเป็นศัพท์ปฏิเสธ ก็มีความหมาย ในทางดี เช่นคำว่า อมตํ ไม่ตาย ก็หมาย ความว่า มีอยู่ตลอดกาล จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 11:54:36

ความคิดเห็นที่ 14 ส่วนศัพท์ที่เป็นไวพจน์ของนิพพานต่อไปนี้มี ความหมาย เป็นฝ่ายบวกโดยตรง เช่น สจฺจํ - เป็นความจริง นิปุณํ - เป็นธรรมชาติละเอียด สุทุทฺทสํ - เห็นได้ยากยิ่ง ธุวํ - เป็นสภาพยั่งยืน สนฺตํ - เป็นสภาพสงบ ปณีตํ - เป็นสภาพประณีต สิวํ - เป็นความสุข เยือกเย็น เขมํ - เกษม ปลอดภัย ตณฺหกฺขยํ - สิ้นความอยาก อจฺฉริยํ - เป็นธรรมชาติน่าอัศจรรย์ วิราคํ - ปราศจากราคะ สุทฺธิ - เป็นความบริสุทธิ์ มุตฺตํ - เป็นสภาพพ้น (จากทุกข์ทั้งปวง) มีบางศัพท์ที่ฟังดูมีความหมายในทางลบ แต่คำอธิบายที่ท่านให้ไว้ กลับเป็นบวก เช่น นิพฺพานํ - ความดับ ในที่มาแทบทุกแห่ง หมายถึง ความดับ โลภะ โทสะ โมหะ สุญฺ - ว่าง หมายถึง ว่างจากกามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ ผลทางจิตใจของการอธิบายนิพพาน 2 แบบ ทัศนะหรือมุมมองที่คนมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อม มีอิทธิพล อย่างมากต่อจิตใจและพฤติกรรมของคน เช่น คนที่เห็นว่าตายแล้วสูญ มักจะเห็นว่าชีวิตสั้น และมีแนวโน้ม ที่จะทำให้ชีวิต มีความสุขสำราญ มากที่สุด โดยไม่คำนึงถึงวิธีการว่า จะเป็นกุศลหรือ อกุศล ขอให้สุขสำราญก็แล้วกัน เพราะตายแล้วก็สูญ ไม่ต้องไปเกิด เสวยผลกรรมที่ไหนอีก ส่วนคนที่เชื่อเรื่อง ตายแล้ว เกิด มักจะมีทีท่ารับผิดชอบ ต่อการกระทำมากขึ้น จะคำนึงถึงความดีความชั่วมากขึ้น เพราะการกระทำใดๆ จะส่งผลถึง ชาติหน้าหรือชาติต่อๆ ไป จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 11:56:06

ความคิดเห็นที่ 15 การมองนิพพานในแง่บวกหรือแง่ลบ ก็มีอิทธิพลเหนือจิตใจของบุคคลเช่นเดียวกัน การมองนิพพานแบบลบ เห็นว่านิพพานเป็น ความสูญความว่าง ทำให้นิพพานขาดเสน่ห์ ไม่ดึงดูด ให้คนอยากบรรลุ ไม่กระตุ้นให้คนอยากปฏิบัติเพื่อบรรลุนิพพาน เพราะเกิด ความ รู้สึกว่า อุตส่าห์ปฏิบัติแทบล้มแทบตาย ในที่สุดกลับพบแต่ความว่างเปล่า มีนักปราชญ์บางคนกล่าวว่า พระพุทธศาสนา แบบเถรวาทเสื่อมความนิยมจากอินเดียอย่างรวดเร็ว ก็เพราะสอนว่านิพพานเป็นความว่างเปล่านี้เอง เมื่อหลวงจีนยานฉว่าง ไปสืบทอด พระพุทธศาสนาในอินเดียใน พุทธศตวรรษที่ 12 นั้นได้พบว่า พระพุทธศาสนา เถรวาทยังเหลืออยู่น้อยมาก แต่พระพุทธศาสนามหายาน กลับเจริญรุ่งเรือง จนกระทั่ง มีมหาวิทยาลัยนาลันทา วิกรมศิลา และโอทันตปุรี พระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งเป็นพระภิกษุเถรวาท ที่ยังหลงเหลืออยู่แถวพุทธคยา ต้องเดินทางไปถึงเกาะลังกา เพื่อศึกษาพระพุทธ ศาสนา แบบเถรวาท และได้แปล คัมภีร์ ต่างๆ จากภาษา สิงหลเป็นภาษามคธ พระพุทธศาสนาแบบมหายาน เพิ่งจะหายไปจากอินเดีย เมื่อถูกกองทัพมุสลิมเตอร์กทำลาย เมื่อพุทธศตวรรษที่ 18 นี้เอง บางท่านถึงกับกล่าวว่า พระพุทธศาสนาแบบเถรวาท เป็นศาสนากลวง ข้างในคือ เมื่อค้นเข้าไปถึงแก่นแล้ว กลับพบแต่ความว่างเปล่า เพราะฉะนั้น จึงไม่สามารถจะยืนหยัดต่อสู้กับศาสนา ที่แน่นข้างในอย่าง ศาสนาฮินดูได้ ส่วนการนำเสนอนิพพานแบบเป็นรูปธรรม เป็นอายตนะที่เป็นบรมสุขนั้น เข้าใจง่ายกว่า มีเสน่ห์ดึงดูดชวนให้ไปมากกว่า เพราะฉะนั้น ในเมืองไทยเอง จึงเคยเสนอนิพพานในรูปของ เมืองแก้ว กล่าวแล้วคือ พระนฤพาน คนสมัยก่อนจึงอยากบรรลุถึงนิพพานกัน เวลาทำบุญทำทานก็ตั้งความปรารถนาว่า นิพฺพานปจฺจโย โหตุ ขอกุศลผลบุญครั้งนี้ จงเป็นปัจจัยสู่ พระนิพพาน เถิด เวลานี้มีคนน้อยคนที่อยากไปนิพพานเพราะ นักปราชญ์ ฝ่ายเถรวาทเน้นด้านลบของนิพพานมากเกินไป อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะอธิบายในแง่ลบหรือแง่บวก นิพพานที่แท้จริงก็คงเป็นตัวของตัวเองอยู่อย่างนั้น หาได้เป็นลบหรือเป็นบวกไปตามคำอธิบายของคนไม่ แต่การอธิบายในแง่ บวกอาจจะเป็นอุบายวิธีที่ดีกว่าในการเชิญชวนให้คนอยากปฏิบัติเพื่อบรรลุนิพพาน และเมื่อบรรลุแล้ว เขาก็จะเห็นประ-จักษ์แจ้งด้วยตัวเอง การอธิบายในแง่บวกหรือแง่ลบ จะไม่มีความ หมายใดๆ ทั้งสิ้น จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 11:57:06

ความคิดเห็นที่ 16 สำหรับความเห็นส่วนตัวของดิฉันเอง หากจะแสวงหาความรู้แจ้งบนโลกไซเบอร์แล้วคงหาไม่ได้อย่างแน่นอน กระทู้นี้ดิฉันก็ได้แต่เพียงนำมาแบ่งปัน  ตามความรู้ที่มีเพียงน้อยนิดในเชิงปริยัติที่ยังต้องศึกษาอีกมากมาย แต่ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ยังคงมีความรู้เชิงปริยัติที่เพิ่งศึกษาเหมือนดิฉัน จะได้นำมาพิจารณาไตร่ตรอง ในการอ่านเพื่อแสวงหาความรู้ทางธรรมบนโลกไซเบอร์แห่งนี้ต่อไป ขอให้บุญรักษาและเจริญในธรรมทุกท่านนะคะ อนุโมทนาบุญค่ะ จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 11:59:01

ความคิดเห็นที่ 17 นิพพานัง ปรมัง สุขัง แปลว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง สวัสดี จากคุณ : kongsilp2000 เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 12:09:02

ความคิดเห็นที่ 18 ขอนำเสนอสั้นๆนะ...ก็เพราะว่าภาวะพระนิพพานในเชิงอภิปรัชญาเป็นใบไม้นอกกำมือ เป็นการตีความ และไม่ได้เป็นไปเพื่อความดับแห่งทุกข์...ครูบาอาจารย์หลายต่อหลายท่านจึงไม่ได้มุ่งเน้น จากคุณ : นักศึกษาธรรมมะฝึกหัด...ครับ (Arltenis) เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 12:11:06

ความคิดเห็นที่ 19 นิพพานเลยเป็นอัตตา เพราะนิพพานเป็นอายตนะ กลับไปตรวจสอบเรื่อง นิพพานธาตุ ใหม่จักดีกว่านะครับ คุณรัตนมาลี เฮอะๆๆๆๆ จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 12:11:32

ความคิดเห็นที่ 20 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม่น้ำทั้งหลาย ในโลกและสายน้ำจากห้วงเวหา ย่อมหลั่งไหลสู่มหาสมุทร แต่มหาสมุทร ก็ไม่ปรากฏว่า มีความพร่อง หรือความเต็มเพราะเหตุนั้น ฉันใด แม้ภิกษุทั้งหลายจะปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้พร่องหรือเต็มด้วยเหตุนั้นฉันนั้น "พระพุทธพจน์บทนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า นิพพานในฐานะเป็นแดนอายตนะอันหนึ่ง มีอยู่จริง เปรียบเหมือนมหาสมุทรมีอยู่จริง <<<อย่ามาโชว์ แบบสุมาอี้แบบนี้ครับอย่ามากล่าวตู่พุทธพจน์แบบไร้ปัญญาและยางอายอย่างนี้ มันเป็นอุปมาอุปมัย ไม่ใช่ว่านิพพานแล้วจะใหลไปรวมกันที่มหาสมุทร   บิดเบือนจนไม่เห็นเค้าโครงเดิม มันจะบิดกลับไม่ได้นะครับ  นิพพานก็คือนิพพาน อย่าพยายามอธิบายความเหมายให้คนอื่นเข้าใจผิดเลย อายเขา จากคุณ : NotUndo เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 12:33:07

ความคิดเห็นที่ 21 อนุโมนาด้วยจ้ะ เรื่อง "พระนิพพาน" นั้นเป็นอภิปรัชญา ซึ่งไม่คู่ควรกับการนำมาถกเถียงกัน แต่น่าจะเป็นเรื่องท้าทายให้แสวงหาความจริงด้วยการปฏิบัติให้บรรลุถึงในฐานะที่พระนิพพานนั้นเป็นเป้าหมายสูงสุดของชาวพุทธ หากปฏิบัติตามหลักอริยมรรคมีองค์ 8  และบำเพ็ญบารมีทั้ง 30 ทัศน์ให้ถึงพร้อม  ..."พระนิพพาน" นั้นก็คงไม่ไกลเกินไป... เปรียบเหมือนคนเรียนว่ายน้ำจากตำรา ทำอย่างไรก็คงว่ายไม่เป็น ถ้าไม่ลองหัดว่ายน้ำจริง   การมาโต้เถียงกันแบบนั่งเทียนว่าการว่ายน้ำที่ถูกต้อง ควรจะทำท่าอย่างไรตามตำรา จะมีประโยชน์อะไร จากคุณ : AYXC เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 12:39:25

ความคิดเห็นที่ 22 เหอะๆๆ เคยอ่านกรณีธรรมกายของพระธรรมปีฏก ตีความว่า นิพพานเป็นอนัตตาจากประโยคๆ เดียวคือ "....สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ..."  คนก็โง่กันเชื่อทั่วบ้านทั่วเมือง พอมาเจอของจริง ที่ยกมาทั้งกระบิแบบนี้ คงอยากเอาหน้าทิ่มตูดหมาตาย จริงๆ ลองมาแปลเล่นๆนะ "ทุกข์ หรือ ทุกขัง (บาลี: ทุกฺขํ) เป็นหลักธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนา แปลว่าทนอยู่ในสภาพเดิมได้ยาก" ส่วนคำว่า " อนัตตา หรือ อนัตตตา แปลว่า ไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตน มิใช่อัตตา มิใช่ตัวตน หรือ สภาพที่บังคับบัญชาไม่ได้" สรุปความ นิพพานเป็นอนัตตา = นิพพานทนให้อยู่ในสภาพที่บังคับบัญชาไม่ได้(เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ) =  นิพพานเป็นทุกข์ นิพานเป็นทุกข์ VS นิพพานัง ปรมัง สุขัง แปลว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง (มันคนละขั้ว ชัดๆ พระเจ้าช่วยกล้วยทอด) สรุปใครสร้างทฤษฎีใหม่กันแน่  เหอๆๆๆๆ แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 53 13:48:16 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 53 13:46:56 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 53 13:46:51 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 53 13:45:55 จากคุณ : เฒ่าพันปี (เฒ่า1000ปี) เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 13:45:00

ความคิดเห็นที่ 23 สาธุ... สาธุ... สาธุ... ขออนุญาตเอาไปเผยแพร่ในโอกาสต่อไปนะครับ สาธุ... จากคุณ : กรรไกรรัตนะ เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 13:45:39

ความคิดเห็นที่ 24 นิพพานัง ปรมัง สุขัง แปลว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง...สุขอย่างยิ่งในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงความสุขแบบโลกๆอย่างที่หลายท่านเข้าใจกันนะ แต่มันหมายความถึงภาวะที่เหนือความสุขเหนือความทุกข์ ว่างจากทั้งความสุขและทั้งความทุกข์ ว่างจากความยึดมั่นถือมั่นในธรรมใดๆ...นั้นแล จากคุณ : นักศึกษาธรรมมะฝึกหัด...ครับ (Arltenis) เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 13:58:30

ความคิดเห็นที่ 25 โหวตให้ลบโดยไวเลยครับ การตีความเข้าข้างความคิดตนเอง และเป็นภัยขนาดนี้ ลบด่วนครับ WM ผมไม่ได้พูดเล่น จากคุณ : TheAcT เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 14:05:31

ความคิดเห็นที่ 26 ธรรม = ทุกสิ่งทุกอย่าง...รวมถึงนิพพาน ดังนั้น...ธรรมทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นอนัตตา -----> นิพพานเป็นอนัตตา อนัตตา...ไม่ได้ก่อให้เกิดทุกข์ แต่ทุกข์...เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เป็นอนัตตา...ว่ามันเป็นอัตตา แล้วพอมันแสดงความเป็นอนัตตาออกมา ความทุกข์ก็บังเกิด สรุป...การที่นิพพานเป็นอนัตตา ไม่ได้หมายความว่านิพพานเป็นทุกข์ แต่หมายความว่านิพพานก็เป็นธรรมอันหนึ่งที่ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น ไม่เช่นนั้นจะก่อให้เกิดทุกข์ได้เช่นเดียวกันกับธรรมอื่นๆ...นั้นแล ธรรมมะนี่เข้าใจง่ายเนอะ? ปล. การถกประเด็นหลักคำสอนด้วยเหตุด้วยผลนี่ผมชอบนะ...ไม่เบื่อหรอก แต่ถ้าไร้เหตุผลสิเบื่อ จากคุณ : นักศึกษาธรรมมะฝึกหัด...ครับ (Arltenis) เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 14:06:44

ความคิดเห็นที่ 27 ท่านเฒ่าพันปี...น่าสงสารท่านนะ ท่านกรรไกรรัตนะ...ก่อนจะเอาอะไรไปเผยแพร่ต่อ ไตร่ตรองดูก่อนท่าน ปล. ยังมีแขนครบ ๒ ข้าง สมองยังคิดได้ ตายังมองเห็น มโนธรรมยังไม่ตายด้าน...เห็นผิดก็เลยต้องแก้ให้ถูก จากคุณ : นักศึกษาธรรมมะฝึกหัด...ครับ (Arltenis) เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 14:09:38

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบอกตามตรงนะว่าการโต้เถียงกับสาวกธรรมกายในรอบนี้ทำให้ผมจัดระเบียบความคิดตนเองได้ดีกว่าเดิมเยอะเลยล่ะ - - / จากคุณ : นักศึกษาธรรมมะฝึกหัด...ครับ (Arltenis) เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 14:10:32

ความคิดเห็นที่ 29 แล้ว...ถ้าต่อกันอีกหน่อยนี่ผมต้องได้อีก ๑ หัวข้อไปเขียนแน่ๆเลย จากคุณ : นักศึกษาธรรมมะฝึกหัด...ครับ (Arltenis) เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 14:13:06

ความคิดเห็นที่ 30 #21 ไม่ควรถกเถียง จะโพสท์หา ขี้ ก ล า ก กิ น ก บ า อะไร ฤ ร่วมด้วยช่วยกดลบ จากคุณ : Winter Tear เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 14:14:32

ความคิดเห็นที่ 31 #22, 26 อนัตตา คือ ความไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ฉะนั้นเกิดเป็นหญิง เป็นชาย หมู หมา กา ไก่ จึงไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงเพราะมันถูกบังคับด้วยกรรมหรือการกระทำ ให้เกิดเป็นนั่น โน่น นี่ เมื่อหลุดพ้นจากกรรมจึงเป็นตัวตนที่แท้จริง หมายถึงไม่มีอะไรมาทำให้เราเปลี่ยนสภาพเป็นอย่างอื่นได้ และสิ่งนั้นควรเรียกว่าอะไร ลองพิจารณาดู แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 53 14:32:33 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 53 14:19:36 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 53 14:16:52 จากคุณ : iamtum เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 14:15:19

ความคิดเห็นที่ 32 เฮ้อ ยังโชคดีที่ได้เกิดมาทันยุคนี้ ทันยุคที่มีพระอริยะเจ้าแท้ๆ มีครูบาอาจารย์ มีหลักคำสอนที่เป็นแก่นแท้ๆของศาสนาอยู่ เวทนาก็แต่สัตว์โลกรุ่นหลัง อีกห้าร้อยปี ไม่รู้ธรรมกายจะกลืนกินประเทศนี้ไปแล้วหรือยัง ฤา แก่นของพระศาสนาจะสูญสิ้นจากประเทศไทยก่อนห้าพันปี จากคุณ : ฮิมาวาริซซัง เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 14:16:03

ความคิดเห็นที่ 33 ความคิดเห็นที่ 25     โหวตให้ลบโดยไวเลยครับ การตีความเข้าข้างความคิดตนเอง และเป็นภัยขนาดนี้ ลบด่วนครับ WM ผมไม่ได้พูดเล่น จากคุณ : TheAcT     เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 14:05:31   จะรีบลบไปไหนท่าน TheAct ในเมื่อบทความนี้ มีที่มาเป็นของ ผู้ที่เป็นเพชรน้ำเอกแห่งล้านนา มีเครดิตการันตีให้สืบประวัติได้ตาม คห. 1 อย่าแกล้งไม่รู้เลย หรือว่า ท่านเป็นพวกอ่านผ่าน ๆ ไม่ตรงกับที่ท่านคิดก็ผิดหมด สงสัยต้องไปทำแบบที่ท่านเฒ่าพันปีว่าไว้ 555 ---------------------------------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 29     แล้ว...ถ้าต่อกันอีกหน่อยนี่ผมต้องได้อีก ๑ หัวข้อไปเขียนแน่ๆเลย จากคุณ : นักศึกษาธรรมมะฝึกหัด...ครับ (Arltenis ) ใครเถียงกับท่านเหรอ คิดไปเองป่าว จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 14:20:22

ความคิดเห็นที่ 34 นิพพาน หมายถึง ความว่างจากความยึดมั่นถือมั่นในธรรมใดๆ อันจะก่อให้เกิด กิเลส ตัณหา ทุกข์ ฯลฯ ปล. อย่าตีความออกทะเลกันสิ จากคุณ : นักศึกษาธรรมมะฝึกหัด...ครับ (Arltenis) เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 14:26:58

ความคิดเห็นที่ 35 ----- หลักการอภิปรายที่จะไม่นำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งแบบเด็กๆ (โดยเฉพาะในเรื่องของหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา) ----- ๑. อภิปรายด้วย "ความรู้และข้อเท็จจริง" อย่าได้อภิปรายด้วย "ความเห็นและศรัทธา" ๒. อภิปรายให้ตรงประเด็น อย่าได้เบี่ยงประเด็น อย่าได้ออกทะเล ๓. อย่าได้กล่าวหาหรือกล่าวพาดพิงโดยไม่มีมูลหรือไม่มีหลักฐาน ๔. รับผิดชอบในทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองหยิบยกขึ้นมาอภิปราย ๕. อย่าได้มีการด่าทอด้วยถ้อยที่คำหยาบคาย และอย่าได้ทำตัวไร้เหตุผล (พูดตรงๆก็คืออย่าเกรียน) จากคุณ : นักศึกษาธรรมมะฝึกหัด...ครับ (Arltenis) เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 14:28:32

ความคิดเห็นที่ 36 ซื้อมหามาทำเรื่องนี้ มาตีความพระบาลีใหม่ สร้างความเห็นผิดเพื่อให้นิพพานเป็นภพ ๆ หนึ่ง จ้าวสำนักรู้ดี จะอ้างว่ามีเจตนาดีนั้นไม่ถูกต้อง การบิดเบือนคำสอน ถือเป็นความผิดร้ายแรงที่สุด นิพพานเป็นสิ่งที่จิตอันปราศจากกิเลส ตัณหา อุปาทานเท่านั้นที่จะรู้ได้ ต้องจิตที่พ้นไปแล้ว (ผลจิต) จึงรู้ได้  นิพพานไม่ใช่ผลของอะไร ไม่ใช่เหตุของอะไร นิพพานไม่ใช่ขันธ์ไม่ใช่อายตนะ เป็นขันธ์วิมุติ คือพ้นจากขันธ์ จะต้องสามารถมีลักษณะได้เป็น ๑๑ กอง หรือ ๑๑ อย่าง คือ ขันธ์ เป็นได้ในกาลทั้ง ๓ คือ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ส่วนนิพพานนั้น พ้นจากกาลทั้ง ๓ จึงไม่เป็นขันธ์ การตีความว่านิพพานเป็นอายตนะ ดูเหมือนจะง่าย และใกล้เคียงที่จะให้นิพพานเป็นภพ เพราะติดข้องต้องการ สภาพสุข นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ท่านหมายเอาสอุปาทิเสสนิพพาน (ยังไม่ตาย) ้คือสภาพที่ปราศจากทุกข์ทั้งปวง สงบจากอกุศลทั้งปวงโดยสิ้นเชิง โทมนัส (ทุกข์ทางใจไม่มี) อนึ่ง เวทยิตสุข สุขอันเกิดจากเวทนานั้น เป็นสุขที่เกิดจากการเสวยอารมณ์ เป็นทุกขสัจจ หมายถึงสุขเวทนาที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่สุขในนิพพาน แต่สุขในนิพพานหมายถึง สันติสุข สุขอันเกิดโดยพ้นจากเวทนานั้น เป็นสุขที่ไม่ได้เกิดจากการเสวยอารมณ์ เป็นนิโรธสัจจ ไม่ได้หมายว่าคุณทั้งหลายจะไปนั่งแช่ในดินแดนอมตะที่มีแต่ความสุข นั่นมันกิเลสชัด ๆ นิพพานไม่มีเจ้าของบังคับบัญชาเอาตามใจชอบไม่ได้ ในธรรมนิยาม ๓ สัพเพสังขาราอนิจจา สัพเพสังขาราทุกขา สัพเพธัมมาอนัตตา คำว่าอนัตตานี้หมายเอาสภาพธรรมทั้งปวง นิพพาน เมื่อกล่าวโดยสามัญญลักษณะสภาพของนิพพานมีเพียง ๑ คือ อนัตตลักษณะ เพราะนิพพานเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า ปราศจากตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่มีการเกิดแก่ เจ็บ ตาย ใด ๆ ทั้งสิ้น แต่นิพพาน ไม่มีอนิจจลักษณะ เพราะนิพพานเป็นสิ่งที่เที่ยง มั่นคง ยั่งยืน ไม่แปรผัน และนิพพาน ไม่มีทุกขลักษณะ เพราะนิพพานเป็นสิ่งที่ทนอยู่ได้ ด้วยว่า ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ และด้วยเหตุที่นิพพานเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า จึงมีสภาพที่ทนอยู่ หรือดำรงคงอยู่ในสภาพที่ว่างเปล่านั้นตลอดไป ไม่มีอะไรที่จะมาปรุงแต่งให้ กลายเป็นไม่ว่างได้ เมื่อเราต้องการทำความเข้าใจสภาวะธรรมใด ๆ ก็พิจารณาลักขณาทิจตุกะ แต่นิพพานนั้น มีวิเสสลักษณะเพียง ๓ คือ ลักษณะ รสะ ปัจจุปัฏฐาน เท่านั้น ไม่มีปทัฏฐาน คือไม่ครบ ๔ จะยกแสดงดังนี้ สนฺติ ลกฺขณา                               มีความสุขสงบจากเพลิงทุกข์ เป็นลักษณะ         อจฺจุต รสา                                  มีความไม่แตกดับ เป็นกิจ (สัมปัตติรส)         อนิมิตฺต ปจฺจุปฏฺฐานา                      ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย เป็นอาการปรากฏ         (วา) นิสฺสรณ ปจฺจุปฏฺฐานา                (หรือ) มีความออกไปจากภพ เป็นผล         ปทฏฺฐานํ น ลพฺภติ                          ไม่มีเหตุใกล้ให้เกิด (เพราะนิพพานเป็นธรรม ที่พ้นจากเหตุ                                                          จากปัจจัยทั้งปวง) ท่านทั้งหลายควรเ้ข้าใจเสียใหม่ หากสำคัญผิดว่านิพพานจะได้เสวยสุขเวทนา นิพพานไม่มีการเสวยอารมณ์ใด ๆ  สุขที่เกิดคือสุขที่พ้นจากเวทนา นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ฯ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง สุข ( เวทนา ) จะมีได้อย่างไรในพระนิพพาน เพราะพระนิพพานไม่มีการเสวย ( อารมณ์ ) ใน สตุตันตปิฎก เล่ม ๓๓ หน้า ๒๒๕ แก้ไว้ว่า ความที่ไม่เสวยอารมณ์นั่นแหละ เป็นความสุขที่แท้จริง เป็นสุขอย่างยิ่ง เพราะสุขที่เสวยอารมณ์นั้น เป็นสุขที่ไม่เที่ยง ก็คือเป็นทุกข์นั่นเอง ดังนั้น จึงจัด สุขเวทนา ว่าเป็น วิปริณามทุกข์ คือ ความสุขนั้นจะต้องวิปริตผันแปรไปเป็นทุกข์อย่างแน่นอน ส่วน สุขในนิพพาน ไม่ใช่สุขเวทนา แต่เป็น สันติสุข จึงไม่ผันแปรไปเป็นอื่นได้ จากคุณ : TheAcT เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 14:47:45

ความคิดเห็นที่ 37 พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ...             ทรงรู้ยิ่งพระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นทรงรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระ นิพพานแล้ว ย่อมไม่ทรงสำคัญพระนิพพาน ย่อมไม่ทรงสำคัญในพระนิพพาน ย่อมไม่ทรงสำคัญ โดยความเป็นพระนิพพาน ย่อมไม่ทรงสำคัญพระนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ทรงยินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? เรากล่าวว่า เพราะทรงทราบว่า ความเพลิดเพลินเป็นมูลแห่งทุกข์ เพราะ ภพจึงมีชาติ สัตว์ผู้เกิดแล้ว ต้องแก่ ต้องตาย เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย เราจึงกล่าวว่า พระตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะสิ้นตัณหา สำรอกตัณหา ดับตัณหา สละตัณหา สละคืนตัณหาเสียได้ โดยประการทั้งปวง.             กำหนดภูมินัยที่ ๘ ด้วยสามารถพระศาสดา.             พระผู้มีพระภาคได้ตรัสมูลปริยายนี้จบแล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีความพอใจชื่นชมภาษิตของ พระผู้มีพระภาค ฉะนี้แล. จบ มูลปริยายสูตร ที่ ๑ -----------------------------------------------------             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒  บรรทัดที่ ๒๒๖ - ๒๓๗.  หน้าที่  ๙ - ๑๐. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=226&Z=237&pagebreak=0             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=1 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 53 15:12:30 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 53 14:55:08 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 53 14:53:55 จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 14:53:22

ความคิดเห็นที่ 38 ผมไม่ถนัดแนวท่านแอ็คฯกับท่านจิตฯแฮะ จากคุณ : นักศึกษาธรรมมะฝึกหัด...ครับ (Arltenis) เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 14:54:46

ความคิดเห็นที่ 39 ความคิดเห็นที่ 33     ความคิดเห็นที่ 25     โหวตให้ลบโดยไวเลยครับ การตีความเข้าข้างความคิดตนเอง และเป็นภัยขนาดนี้ ลบด่วนครับ WM ผมไม่ได้พูดเล่น จากคุณ : TheAcT     เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 14:05:31   จะรีบลบไปไหนท่าน TheAct ในเมื่อบทความนี้ มีที่มาเป็นของ ผู้ที่เป็นเพชรน้ำเอกแห่งล้านนา มีเครดิตการันตีให้สืบประวัติได้ตาม คห. 1 อย่าแกล้งไม่รู้เลย หรือว่า ท่านเป็นพวกอ่านผ่าน ๆ ไม่ตรงกับที่ท่านคิดก็ผิดหมด สงสัยต้องไปทำแบบที่ท่านเฒ่าพันปีว่าไว้ 555 ************ น่าน มั่วเนียนอีกต่างหาก คุณ จขกท เล่นแร่แปลธาตุ จับนั่นมาเสริมนี่ แล้วยังไม่อายที่จะกล่าวแบบนี้อีกหรือครับ? ส่วนตัว อ แสง จันทร์งาม ผมไม่ติดข้องอะไรกับท่าน ชอบลีลาวดีที่ท่านเขียน ท่านเป็นศิษย์ อ สุชีพ บทความนี้ใครเขียนกันแน่ ขอที่มาจริง ๆ เพื่อจะเทียบการสอดใ้ส้ด้วยครับ อ สุชีพท่านเก่ง เรียบเรียงพระไตรปิฏกฉบับประชาชน กลุ่มนี้มีคุณมาก สมัยนั้นทั้ง อ สเถียน ทั้ง อ วศินย์ ผมชอบทั้งนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าใครจะแอบมั่วใส่ความเห็นเข้ามาเองแบบนี้ ขอเป็นต้นฉบับจริง ๆ เลยครับ จะดูว่าคุณ จขกท เสริมความอย่างไรบ้าง เชิญหยิบยกเลยครับ เชิญครับ จากคุณ : TheAcT เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 14:57:22

ความคิดเห็นที่ 41 เป็นบรมธรรมจริง แต่ไม่ใช่อย่างที่คุณจขกท.กล่าว อ้างอิง แถกแถไปเรื่อย มีอีกหลายแห่งที่ผิด แต่ก็ทำผิดตลอด จะให้มาแก้ทุกครั้งคงไม่ไหวครับ ขอให้ดูกระทู้นี้เป็นตัวอย่าง ถึงความหน้าด้านของธมก. จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 15:03:47

ความคิดเห็นที่ 42 ผมยังไม่ยอมนะครับ ที่แอบอ้างครูบาอาจารย์ด้านปริยัติหลายท่าน แล้วตีความเข้าข้างทิฏฐิตนแบบนี้ รอต้นฉบับ เวอร์ชั่นไม่สอดใส่ธรรมเทียม ช่วยหามายืนยันครับ ขอเป็นรายข้อเลยครับ จะได้สากัจฉากันโดยให้พระพุธองค์วินิจฉัย จากคุณ : TheAcT เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 15:09:42

ความคิดเห็นที่ 43 ปล่อยไว้ให้เห็นความเฉไฉ แถกแถ กล่าวตู่พระพุทธองค์ของจขกท. รวมถึงผู้สนับสนุน นะครับคุณTheAcT หึหึ จากคุณ : จิตโหดมาก (JitZungkabuai) เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 15:17:21

ความคิดเห็นที่ 44 ความคิดเห็นที่ 6      ถ้าไม่มีโลกุตตรภูมิ ก็ไม่มีทางหนีจากโลกิยภูมิ มีพระพุทธพจน์อีกตอนหนึ่ง ในคัมภีร์อุทาน แห่งขุททกนิกาย (25/160/207) ที่พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า นิพพานมีอยู่ในฐานะเป็น อายตนะ หรือ ภูมิ หรือแดนอีกอันหนึ่งต่างหาก ด้วยเหตุผลที่หนักแน่นยิ่ง พระพุทธองค์ตรัสว่า อตฺถิ ภิกฺขเว อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขตํ ฯ โน เจ ตํ ภิกฺขเว อภวิสฺส อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขตํ ฯ นยิธ ชาตสฺส ภูตสฺส กตสฺส สงฺขตสฺส นิสฺสรณํ ปญฺญาเยถฯ ยสฺมา จ โข ภิกฺขเว อตฺถิ อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขตํ ฯ ตสฺมา ชาตสฺส ภูตสฺส กตสฺส สงฺขตสฺส นิสฺสรณํ ปญฺญายตีติ แปลว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติที่ไม่มีเกิด ไม่มีกลับกลาย ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง มีอยู่ ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ถ้าธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่กลับกลาย ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีปัจจัย ปรุงแต่งนั้น จักไม่มีไซร้ การสลัดออกเสียซึ่งธรรมชาติที่มีเกิด มีกลับกลาย มีผู้สร้าง มีปัจจัยปรุงแต่งนั้นก็มีไม่ได้ แต่ภิกษุทั้งหลาย เพราะธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่กลับกลาย ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งมีอยู่ การสลัดออกเสียซึ่งธรรมชาติที่มีเกิด มีกลับกลาย มีผู้สร้างมีปัจจัยปรุงแต่งจึงมีได้" *********** จากที่ จขกท ยกนั้น ไม่ทราบว่าส่วนไหนที่สื่อว่านิพพานคือภพ? ใน ๓๑ ภพ นิพพานอยู่หนใด? หรือดุสิตบุรี? จากคุณ : TheAcT เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 15:19:10

ความคิดเห็นที่ 45 พรุนไปหมดแล้ว ขออขมาพระรัตนตรัยเสีย จขกท. จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 15:28:05

ความคิดเห็นที่ 46 เพิ่มเติม กระผมไม่ได้แย้งเรื่องนิพพานว่าเป็นอายตนะภายนอก ที่จิตไปรู้ได้ เพราะนิพพานเป็นอารัมมนะที่จิตอันปราศจากกิเลสตัณหา อุปาทานจึงรู้ได้ ไม่ได้ปฏิเสธการไม่มีอยู่จริงของพระนิพพาน แต่ ผมปฏิเสธการเหมาเอาเองว่านิพพานเป็นสถานที่ เป็นภพ หรือเป็นผลของการปฏิบัติ นิพพานไม่ใช่ผลของอะไร ไม่ใช่เหตุของอะไร ผลจากการภาวนาและบรรลุคือผลจิต (ไม่ใช่นิพพาน) หากแต่เมื่อนิสสรณวิมุติ คือสลัดคืนกายใจไปแล้ว จึงรู้นิพพาน ฉะนั้น นิพพานเป็นอายตนะภายนอกไม่ผิด รู้ได้ด้วยจิต (คนละอันกับจิต) ไม่ได้หายไปไหน หมดกิเลสก็เจอ แต่ไม่ได้หมายว่านิพพานเป็นภพ ไม่ได้เป็นบ้านเป็นเมืองที่จะมีพระพุทธเจ้าอยุ่กันเต็มเพียบ ไม่ใช่แบบนั้น ผมพอเข้าใจนะครับ ว่าท่านที่เชื่อว่าเป็นภพนั้นอยากเสพสุข คุณไม่ได้เสพสุขหรอกครับ เพราะสุขดังกล่าวคือสุขจากการไม่ได้เสพอะไรเลย ปรับความเห็นให้ตรงนะครับ ไม่ใช่อยากไปนิพพาน แต่ให้มีกุศลเจตนาในการทำเหตุ เมื่อผลเกิด ค่อยเห็นนิพพานได้เอง  แม้พระพุทธองค์ท่านก็ไม่ให้สำคัญในพระนิพพาน การระลึกถึงคุณของพระนิพพาน ในการเจริญสมถะ อุปสมานุสสติกรรมฐาน นี้คือการน้อมให้จิตระลึกถึงความสิ้นไปแห่งกิเลสตัณหาทั้งปวง ยังกิจให้จิตเกิดกุศล(คุณของนิพพาน) มิได้หมายว่าจะให้โลภะในการอยากไปอยู่ดินแดนเมืองแก้วดุสิตบุรี เพราะแบบนั้นโลภะชัด ๆ จากคุณ : TheAcT เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 15:32:48

ความคิดเห็นที่ 47 ความคิดเห็นที่ 30     #21 ไม่ควรถกเถียง จะโพสท์หา ขี้ ก ล า ก กิ น ก บ า อะไร ฤ ร่วมด้วยช่วยกดลบ จากคุณ : Winter Tear   เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 14:14:32   ************************************ นี่เป็นตัวอย่างมาตรฐานภาษาที่สะท้อนความคิดของผู้ที่กำลังศึกษาเรื่องพระนิพพาน จากคุณ : AYXC เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 16:06:27

ความคิดเห็นที่ 48 นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่า นิพพานเป็นบรมธรรม   ************************************************ พระพุทธวจนะ ตรัสว่า "ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ อันใด อันนั้นแล ตถาคตเรียกว่า นิพพาน"                                              สรุป "ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ อันใด (คือนิพพานตามพระพุทธวจนะ) อันนั้นแล เป็น บรมธรรม" **************************************************                                     นิพพาน มี ๑ เดียว คือ นิพพาน ตามพระพุทธวจนะ ที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษามา ได้แก่ --- พระพุทธวจนะ ตรัสว่า "ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ อันใด อันนั้นแล ตถาคตเรียกว่า นิพพาน" นิพพาน ไม่มี ๒ ตาม ที่ คคห 2 เสนอว่า "คำว่า "นิพพาน" เป็นชื่อของเป้าหมายสูงสุดของชาวพุทธ ตามตำรา นิพพานมี 2 อย่าง คือ 1. นิพพานของพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ เรียกตามศัพท์เทคนิคทางพระพุทธศาสนาว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ฯ กับ 2. นิพพานอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน หมายถึงนิพพานของพระอรหันต์ ที่สิ้นขีพดับขันธ์แล้ว ฯ พระอรหันต์ ที่ ยังไม่ตาย ย่อม เนื่องกับ "พระพุทธวจนะ ตรัสว่า "ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ อันใด อันนั้นแล ตถาคตเรียกว่า นิพพาน"" ส่วน พระอรหันต์ที่ตายเข้าโลงแล้ว "ตามภาษาคน" จะเนื่องกับ ""พระพุทธวจนะ ตรัสว่า "ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ อันใด อันนั้นแล ตถาคตเรียกว่า นิพพาน""  ได้ อย่างไร? มีพระพุทธวจนะ ตรัส ๑ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ กับ ๒ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ มีคำว่า "ธาตุ แปลว่า ทรงอยู่ หรือทรงไว้" ต่อท้าย คคห 2 เสนอ ไม่มีคำว่าธาตุ ทำไมไม่แปลว่า ๑ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ได้แก่ พระอรหันต์ที่ ทรงไว้ซึ่ง "ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ อันใด อันนั้นแล ตถาคตเรียกว่า นิพพาน""  ---- เมื่อ บรรลุ นิพพาน ใหม่ๆ ดูพระสูตรที่ตรัสนะครับ ส่วน ๒ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ได้แก่ พระอรหันต์ ตาม ๑ นั้นทรงไว้ซึ่ง ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ อันใด อันนั้นแล ตถาคตเรียกว่า นิพพาน""  ---- เมื่อ บรรลุ นิพพาน หลังจากใหม่ๆ แล้ว (จะประมาณยังไง พระอรหันต์ ท่าน รู้ของท่านเอง ฯ) ********************************************** ประเด็น ที่ตรัสคำว่า "ตทายตนัง" อายตนะนั้นมีอยู่ ขอให้ สอบทานกับ จูฬสุญญตสูตร และ พิจารณาว่า ----  "ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ อันใด อันนั้นแล ตถาคตเรียกว่า นิพพาน"" นั้น = อายตนะนั้น มีอยู่ อย่างไร? ชนิด  ไม่เนื่องกับ "สัญญาวิปลาส" ********************************************** ประเด็น ตาม คคห 2 คือ ---- นิพพานทางจิตวิทยาเท่านั้น ไม่ยอมรับนิพพานที่เป็น สภาวธรรมอันหนึ่ง ที่มีอยู่โดยตัวเอง ในเอกภพ--- เมื่อ ""พระพุทธวจนะ ตรัสว่า "ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ อันใด อันนั้นแล ตถาคตเรียกว่า นิพพาน"" ตกลง (๑)  "ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ อันใด อันนั้นแล ตถาคตเรียกว่า นิพพาน"" จะ ปรากฎแก่ มรรคจิต ผลจิต จิตพระอนาคามี ที่บรรลุอรหัตตผล ----- ใช่หรือไม่ (๒) "ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ อันใด อันนั้นแล ตถาคตเรียกว่า นิพพาน"" --- จะ ปรากฎ ที่ ใจกลาง ดวงอาทิตย์ ได้หรือ? (๓) คำว่า จิตวิทยา น่าจะ เป็นเรื่องฝักฝ่าย อารยธรรมกรีกโรมัน หรือ ฝรั่ง มิใช่หรือ --- อารยธรรมฝ่ายนี้ เนื่องกับ เทวนิยม และหรือ นิยมวัตถุ หรือวัตถุนิยม มิใช่หรือ? --- เอามาเชื่อมกับ "พุทธปัญญา โดยเฉพาะ ที่ตรัสว่า ---- ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ เป็นตัวทุกข์อริยสัจ" ได้ อย่างไร? (ระวัง มั่ว = ผิดฝาผิดต้ว)                                        สรุป "ความสิ้นไปแห่งราคะ ซึ่งว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ เป็นตัวทุกข์อริยสัจ + ความสิ้นไปแห่งโทสะ ซึ่งว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ เป็นตัวทุกข์อริยสัจ + ความสิ้นไปแห่งโมหะ ซึ่งว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ เป็นตัวทุกข์อริยสัจ = นิพพาน ในพระพุทธศาสนา ที่เนื่องกับ พระพุทธวจนะ ฯ  มั๊งครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 17:24:20

ความคิดเห็นที่ 49 #47  ให้มันแน่กว่านี้หน่อยสิจ๊ะ อย่าทำเป็นแอ๊บๆ ขี้กลากกินกบาลแบบ ครึ่งๆ กลางๆ จากคุณ : Winter Tear เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 17:24:14

ความคิดเห็นที่ 50 ไม่หวั่นแม้วันมามาก นะจ๊ะ จากคุณ : Winter Tear เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 17:27:25

ความคิดเห็นที่ 51 หายไปประชุมแป๊ปเดียว...มีอาคันตุกะมาเยี่ยมเยียนเยอะเลย จะกล่าวหาอะไรกันล่ะท่าน ในเมื่อแจ้งไว้ใน คห. 1 แล้ว ว่าบทความนี้เป็นของใคร Google ก็มี ก็ Search หาเอาสิท่านทั้งหลาย ทดลองใช้ปัญญาตัวเองดู ข้าพเจ้าก็หาเอาจากในอินเตอร์เน็ทนี่แหละ ก็บอกแล้วว่าความรู้ด้านปริยัติยังน้อยนิด มิบังอาจเรียบเรียงเองหรอกท่านทั้งหลาย และก็มิบังอาจตีความเอาเองเหมือนที่ท่านทั้งหลายกำลังกระทำอยู่ ณ ขณะนี้ด้วย จะสงเคราะห์ให้สักลิงค์นึง http://www.thaiwebwizard.com/member/mummy/wizContent.asp?wizConID=166&txtmMenu_ID=7 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 53 17:31:33 จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 17:28:48

ความคิดเห็นที่ 52 มิบังอาจ...แล้วจะสะเออะโพสท์ หาขี้กลากกินกบาลทำไมละจ๊ะ จากคุณ : Winter Tear เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 17:30:05

ความคิดเห็นที่ 53 ท่านก็สระผมให้สะอาดสิท่าน Winter Tear แสดงว่ามันสกปรกมากแล้ว 555 จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 17:33:35

ความคิดเห็นที่ 54 นั่นน่ะสิ แต่คิดว่า น่าจะเปลี่ยนควายให้เป็นคนได้....อืมมมมม เหอๆๆๆๆๆ  คิดเอาเองนะครับ  ไม่ได้พาดพิงถึงใคร จากคุณ : เฒ่า1000ปี เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 17:35:43

ความคิดเห็นที่ 55 ติดต่อคุณสุลักษณ์ ศิวรักษ์ (ส. ศิวรักษ์) มูลนิธิเสฐียรโกเศศ - นาคะประทีป 666 ถนนเจริญนคร แขวง บางลำภูล่าง เขต คลองสาน ประเทศไทย 10600 โทร 02- 438- 9332 ที่มาจากสำนักนี้ ส่งให้มาด่าอย่างเดียว จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 17:35:37

ความคิดเห็นที่ 56 http://reocities.com/area51/keep/2913/book02/p30.html อ่านเล่นๆ นะพวก จากคุณ : เฒ่า1000ปี เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 17:39:23

ความคิดเห็นที่ 57 มันแปลกดีนะ จขกท  ท่านอื่นเขามาติชมออกความเห็นชี้แจงในทางที่ถูกแล้วท่านเริ่มออกอาการ อีกทั้งิ ดร. แสง จันทร์งาม ที่ กขกท อ้างถึงอ่ะมีลิ้งค์หรือเปล่าครับขอลิ้งค์หน่อยครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : คับแค้นเหลือคณา (คับแค้นเหลือคณา) เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 17:40:51

ความคิดเห็นที่ 58 Winter Tear ติดต่อคุณสุลักษณ์ ศิวรักษ์ (ส. ศิวรักษ์) มูลนิธิเสฐียรโกเศศ - นาคะประทีป 666 ถนนเจริญนคร แขวง บางลำภูล่าง เขต คลองสาน ประเทศไทย 10600 โทร 02- 438- 9332 คุณถูกสำนักนี้จ้างมาเท่าไหร่ จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 17:54:58

ความคิดเห็นที่ 59 มีบลั๊ฟด้วย ฮ่าๆๆ จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 18:50:11

ความคิดเห็นที่ 60 JitZungkabuai คุณไม่ใช่คนถูกคน ๆ นี้ด่านะครับ จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 18:53:54

ความคิดเห็นที่ 61 Winter Tear ติดต่อคุณสุลักษณ์ ศิวรักษ์ (ส. ศิวรักษ์) มูลนิธิเสฐียรโกเศศ - นาคะประทีป 666 ถนนเจริญนคร แขวง บางลำภูล่าง เขต คลองสาน ประเทศไทย 10600 โทร 02- 438- 9332 คุณถูกสำนักนี้จ้างมาเท่าไหร่ จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 18:55:13

ความคิดเห็นที่ 62 คุณ bigjinbook ครับ ผมว่าเราสนทนากันแบบผู้มีการศึกษาดีกว่าครับ การไปกล่าวหาว่าใครจ้างใครมาด่าใคร มันไม่ใช่ทางครับ กลับเข้าสู่ประเด็นดีกว่าครับ ยกแสดงแก้วาทะด้วยหลักฐานหรือจะเป็นชั้นความเห็นก็ให้เป็นไปด้วยเมตตาและเพื่อประโยชน์ดีกว่า เรื่องกวนตินกันเนี่ย มันก็เผลอกันได้ แต่เอาสาระบ้าง ผมว่าน่าจะดีกว่าครับ จากคุณ : TheAcT เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 19:07:08

ความคิดเห็นที่ 63 เหอๆ   คุณ  "นักศึกษาธรรมมะฝึกหัด...ครับ (Arltenis) " พูดอย่างกับเข้าถึงนิพพานแล้ว ถ้าลองกลับไปอ่านกระทู้ที่ตั้ง ขนาดพระพุทธเจ้ากับภิกษุณี ยังไม่สามารถบรรยายนิพพานได้ชัดเท่าคุณ  นักศึกษาธรรมมะฝึกหัด...ครับ (Arltenis)  เลย พระองค์ถึงกับเปรียบเทียบกับเม็ดทราย ในแม่น้ำ คงคา และกับปริมาตรของน้ำในมหาสมุทร  "เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว ยา จ โลเก สวนติโย มหาสมุทฺทํ อปฺเปนฺติ ฯ ยา จ อนฺตลิขา ธารา ปตนฺติ น เตน มหาสมุทฺทสฺส อูนตฺตํ วา ปูรตฺตํ วา ปญฺญายติ เอวเมว โข ภิกฺขเว พหูปิ ภิกฺขู อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพานยนฺติ น เตน นิพฺพานธาตุยา อูนตฺตํ วา ปูรตฺตํ วา ปญฺญายติ ฯ แปลว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม่น้ำทั้งหลาย ในโลกและสายน้ำจากห้วงเวหา ย่อมหลั่งไหลสู่มหาสมุทร แต่มหาสมุทร ก็ไม่ปรากฏว่า มีความพร่อง หรือความเต็มเพราะเหตุนั้น ฉันใด แม้ภิกษุทั้งหลายจะปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้พร่องหรือเต็มด้วยเหตุนั้นฉันนั้น" ............................................................................................ ขนาดพระพุทธเจ้ายังไม่พูด  ท่านแน่จริงๆ ขอคาราวะ 1 จอก แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 53 19:10:57 จากคุณ : เฒ่า1000ปี เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 19:09:41

ความคิดเห็นที่ 64 ความคิดเห็นที่ 57 มันแปลกดีนะ จขกท  ท่านอื่นเขามาติชมออกความเห็นชี้แจงในทางที่ถูกแล้วท่านเริ่มออกอาการ อีกทั้งิ ดร. แสง จันทร์งาม ที่ กขกท อ้างถึงอ่ะมีลิ้งค์หรือเปล่าครับขอลิ้งค์หน่อยครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : คับแค้นเหลือคณา (คับแค้นเหลือคณา)   เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 17:40:51     ใช่สิ ออกอาการแปลกใจ โดยเฉพาะกับท่านที่สักแต่ว่าขอให้ได้โพสท์อีกคน ข้างบนมีลิงค์ให้ไม่ได้อ่านหรอกรึ เข้าทำนองตาบอดคลำช้างซะจริง ๆ ลองย้อนกลับไปอ่านใหม่นะ จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 19:16:13

ความคิดเห็นที่ 65 คุณ TheAcT ครับ ไม่ได้กล่าวหาครับ พฤติกรรม มันฟ้อง ยังไม่ถึงกับโทรไปสอบถามครับ แต่ถ้าเหมือนเดิม ผมก็คงสอบถามเหมือนเดิมเหมือนกันครับ จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 19:18:54

ความคิดเห็นที่ 66 ความคิดเห็นที่ 65 ถ้ายังไม่ได้พิสูจน์ แต่ไปลงใจเชื่อ และกล่าวออกไปโดยไม่ได้พิสูจน์ ก็เรียกว่ากล่าวหานะครับ เอาเป็นว่าคุณจะโทรก็โทรเช็คก่อนก็ดีครับ แต่มันไม่สำคัญ เพราะอยากให้กลับเข้าประเด็นครับ *********** ต่อกรณี ความคิดเห็นที่ 6     ถ้าไม่มีโลกุตตรภูมิ ก็ไม่มีทางหนีจากโลกิยภูมิ มีพระพุทธพจน์อีกตอนหนึ่ง ในคัมภีร์อุทาน แห่งขุททกนิกาย (25/160/207) ที่พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า นิพพานมีอยู่ในฐานะเป็น อายตนะ หรือ ภูมิ หรือแดนอีกอันหนึ่งต่างหาก ด้วยเหตุผลที่หนักแน่นยิ่ง พระพุทธองค์ตรัสว่า อตฺถิ ภิกฺขเว อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขตํ ฯ โน เจ ตํ ภิกฺขเว อภวิสฺส อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขตํ ฯ นยิธ ชาตสฺส ภูตสฺส กตสฺส สงฺขตสฺส นิสฺสรณํ ปญฺญาเยถฯ ยสฺมา จ โข ภิกฺขเว อตฺถิ อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขตํ ฯ ตสฺมา ชาตสฺส ภูตสฺส กตสฺส สงฺขตสฺส นิสฺสรณํ ปญฺญายตีติ แปลว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติที่ไม่มีเกิด ไม่มีกลับกลาย ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง มีอยู่ ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ถ้าธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่กลับกลาย ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีปัจจัย ปรุงแต่งนั้น จักไม่มีไซร้ การสลัดออกเสียซึ่งธรรมชาติที่มีเกิด มีกลับกลาย มีผู้สร้าง มีปัจจัยปรุงแต่งนั้นก็มีไม่ได้ แต่ภิกษุทั้งหลาย เพราะธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่กลับกลาย ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งมีอยู่ การสลัดออกเสียซึ่งธรรมชาติที่มีเกิด มีกลับกลาย มีผู้สร้างมีปัจจัยปรุงแต่งจึงมีได้" *********** จากที่ จขกท ยกนั้น ไม่ทราบว่าส่วนไหนที่สื่อว่านิพพานคือภพ? ใน ๓๑ ภพ นิพพานอยู่หนใด? คุณ รัตนมาลีอาจไม่สามารถเข้าใจ หรืออาจตอบแทน อ แสง ได้ (เพราะเห็นกล่าวไว้ว่าปัญญาไม่มาก) แต่ใคร่ขอให้พิจารณากัน ว่าข้อความที่ยกแสดงนี้ ส่วนไหนเป็นการสื่อว่านิพพานเป็นภพ เอาเฉพาะที่พระพุทธองค์ตรัส ผมเสนอไว้ว่า นิพพานเป็นอายตนะ (สิ่งที่ไม่ใช่สฬายตน หรืออายตนภายใน) เสริมว่า เพราะนิพพาน ไม่ใช่จิต เจตสิก รูป นิพานจึงไ่ม่ใช่ขันธ์ ดังแสดงไว้แล้ว นิพพานไม่ใช่อายตนะ(ภายใน) นิพพานจึงเป็นสิ่งที่ถูกรู้ได้ แต่รู้สิ่งอื่นไม่ได้ (เพราะไม่ใช่จิต) จิตไม่มีกิเลสรู้นิพพานได้ จึงเป็นความหมายของอายตนะนอก แต่ !!!! ไม่ได้หมายความว่านิพพานคือภพ หรือคือสถานที่ เพราะนิพพานไม่มีการมาการไป เมื่อนิพพานตายของพระอรหันต์ จริมะจิต คือเป็นจิตดวงสุดท้ายในสังสารวัฏ http://84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=24 นั้นเกิดขึ้น (คือพระอรหันต์ตายนั่นหละ) จึงไม่ได้เคลื่อนออกจากภพ (จุติแปลว่าเคลื่อน) หรือเคลื่อนออกจากภพ พระอรหันต์ไม่มีจุติจิต เพราะไม่เกิดอีกแล้ว ไม่เคลื่อนไปภพไหน ๆ แล้ว นิพพาน จึงไม่ใช่ภพที่จะมาจะไป แต่ปรากฏให้จิตอันปราศจากกิเลสเห็นได้ตั้งแต่สอุปาทิเสสนิพพานแล้ว (นิพพานเป็น) ใครงงก็ถามมาครับ ไม่อยากอ่านก็ผ่านไป จะแย้งก็ยกแสดงครับ เชิญ จากคุณ : TheAcT เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 19:36:58

ความคิดเห็นที่ 67 "แม้ภิกษุทั้งหลายจะปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้พร่องหรือเต็มด้วยเหตุนั้นฉันนั้น" หมายความว่า แม้ภิกษุ (ผู้เห็นภัยใน ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ เป็นตัวทุกข์อริยสัจ) ทั้งหลายจะปรินิพพาน (ดับเย็นสนิทจาก ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ เป็นตัวทุกข์อริยสัจ ) ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ (ทรงไว้ (ความหมายของคำว่า ธาตุ) ซึ่งความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ คือ นิพพาน) นิพพานธาตุ (ทรงไว้ซึ่งความสิ้นไปแห่งราคะ โทสะ โมหะ) ก็มิได้พร่องหรือเต็มด้วยเหตุนั้นฉันนั้น" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 19:39:09

ความคิดเห็นที่ 68 ได้ครับ เข้าประเด็น จะตอบให้ครับ นิพพาน พระพุทธองค์ ทรงอธิบายไว้เป็น นัยยะ 1. นัยยะ รับ 2. นัยยะ ปฏิเสธ นัยยะ รับ ก็คือ นิพพาน ปรมัง สุขขัง นิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง นัยยะ ปฏิเสธ ก็คือ นิพพาน ไม่ใช่โน่น ไม่ใช่นี่ ไม่ใช่ดวงอาทิตย์ ไม่ใช่ดวงจันทร์ เพราะ สิ่งที่นิพพาน มี โลกนี้ ไม่มี สิ่งที่โลกนี้มี นิพพาน ไม่มี เสมือนหนึ่ง อธิบายถึงรสหวาน แก่ผู้ที่ไม่เคยลิ้มรสหวานมาก่อนเลย ก็ต้องอธิบายว่า รสหวาน ไม่ใช่รสเค็ม ไม่ใช่รสจืด ไม่ใช่รสเผ็ด ตราบใด ต่อเมื่อคนผู้นั้น ได้ลิ้ม รสหวาน ได้สัมผัสเอง ก็จะรู้ว่า อ่อ รสหวานเป็นแบบนี้เอง สรุป นิพพาน มีอยู่ ครับ จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 19:46:30

ความคิดเห็นที่ 69 ๑. ปฐมนิพพานสูตร ว่าด้วยอายตนะ คือ นิพพาน [๑๕๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์และ พระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้น ว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์. จบปฐมนิพพานสูตรที่ ๑ จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 19:51:16

ความคิดเห็นที่ 70 อายตนะ แปล ได้หลายนัยยะ ขึ้นอยู่กับว่าอะไร เชิญ....ครับ จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 19:53:33

ความคิดเห็นที่ 71 นั่นไง คุณตามไม่ทัน ตั้งประเด็นใหม่ดีกว่า หัวข้อนะครับ อายตนะดังกล่าวในเรื่องนิพพาน ใช่ภพภูมิหนึ่งหรือไม่ เป็นเมืองแก้วที่ประชุมพระอรหันต์หรือไม่? จากคุณ : TheAcT เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 19:55:19

ความคิดเห็นที่ 72 ผมไม่ได้แย้งเรื่องนิพพานเป็นอายตนะ ลองเลื่อนไปอ่านให้หมดครับ อ่าน คคห 71 ครับ จะเห็นประเด็น จากคุณ : TheAcT เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 19:59:44

ความคิดเห็นที่ 73 อเวไนยสัตว์... จากคุณ : นักศึกษาธรรมมะฝึกหัด...ครับ (Arltenis) เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 20:01:57

ความคิดเห็นที่ 74 แล้วคุณมาห้ามผมทำไมครับ คุณbigjinbook ? ผิดก็ต้องบอกว่าผิดครับ :) แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 53 20:09:31 จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 20:09:12

ความคิดเห็นที่ 75 เรียน จขกท ในลิ้งค์ที่เอามาให้มันก็เหมือนกับที่คุณเอามาแปะไว้นะครับ ผมหมายถึงมีข้อมูลหรีอมีอะไรไปมากกว่านั้นไหมครับคือตามหนังสือที่เขาแต่งนะครับมีลิ้งค์ไหมครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : คับแค้นเหลือคณา เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 20:12:20

ความคิดเห็นที่ 76 ว่าแต่คุณเชื่อตามจขกท.หรือไม่ bigjinbook ? เหนื่อยและลำบาก เข้าใจหรือไม่ขอรับ จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 20:14:09

ความคิดเห็นที่ 77 5555 JitZungkabuai ห้ามคุณมาล้อเลียนผม ก็ทำเหมือนคุณตอนที่ ตามล่ากระเทยบุกยุทธจักรครับ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 53 07:06:38 จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 20:17:44

ความคิดเห็นที่ 78 คุณจะกล่าวเรื่อง อายตนะ ผมก็มีที่จะกล่าวยกใส่เกล้ามาเช่นกัน เรื่องสภาพก็มี จงแสดงออกมา เฮอะๆๆๆๆ จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 20:20:49

ความคิดเห็นที่ 79 ผมเว้นไม่ใส่เกล้ายกมาเพราะเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณรู้จริงจงยกใส่เกล้ามาเถิดขอรับ จะได้รู้ว่า อะไรจริง อะไรปลอม ผมไม่ชอบพวกสักแต่พูดอวดอ้าง นะครับ จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 20:23:32

ความคิดเห็นที่ 80 ***อายตนะนั้นมีอยู่*** คคห.69 แปลว่า อะไรดีครับ เมื่อ พระอรหันต์เจ้า จบกิจ แต่ยังไม่นิพพาน พระอรหันต์เจ้านั้น มีอยู่ หรือเปล่า จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 20:26:30

ความคิดเห็นที่ 81 ... อุทานคาถา                          สิ่งที่ปิดไว้ ย่อมรั่วได้ สิ่งที่เปิด ย่อมไม่รั่ว เพราะฉะนั้น                          จงเปิดสิ่งที่ปิด เช่นนี้ สิ่งที่เปิดนั้นจักไม่รั่ว ฯ             [๔๖๖] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ตั้งแต่บัดนี้ไป เราจักไม่ทำอุโบสถ จักไม่แสดงปาติโมกข์ ตั้งแต่บัดนี้ไป พวกเธอพึงทำอุโบสถ พึงสวดปาติโมกข์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ตถาคตจะพึงทำ อุโบสถ แสดงปาติโมกข์ในบริษัทผู้ไม่บริสุทธิ์ นั้นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุมีอาบัติ ไม่พึงฟังปาติโมกข์ รูปใดฟัง ต้องอาบัติทุกกฏ เราอนุญาตให้งดปาติโมกข์ แก่ภิกษุผู้มีอาบัติติดตัวฟังปาติโมกข์             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๗  บรรทัดที่ ๕๔๖๐ - ๕๕๔๔.  หน้าที่  ๒๒๖ - ๒๒๙. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=7&A=5460&Z=5544&pagebreak=0 จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 20:31:46

ความคิดเห็นที่ 82 พระอรหันต์มีอยู่หรือไม่มีอยู่ก็ไม่ใช่ เพราะพระอรหันต์ไม่มีอัตตา คุณมาถามอย่างนี้ เพื่ออะไร เอ้าตอบมา จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 20:34:49

ความคิดเห็นที่ 83 ***อายตนะนั้นมีอยู่*** คคห.69 แปลว่า อะไรดีครับ ก็แปลตรงๆว่านิพพานธาตุมีอยู่ ดังนั้นการที่จะมีนิพพานเป็นอารมณ์ก็เป็นได้ ผมจึงยกใส่เกล้ามาในคห.ที่ 37 ขออภัยพิมพ์สะกดผิดครับ :) แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 53 20:50:43 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 53 20:38:03 จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 20:37:30

ความคิดเห็นที่ 84 พระปิณโฑลภารทวาชเถรา เคยกล่าวไว้ว่า.... พระโยคาวจรควรแสดงสิ่งที่น่ากลัว ในนรก และความสุขอันไพบูรณ์ ในนิพพาน ให้ผู้อื่นฟัง จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 20:38:14

ความคิดเห็นที่ 85 ขอเอาใหม่ อวิชชา เป็น กิริยา จิต เป็น ประธาน จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 20:41:40

ความคิดเห็นที่ 86 ออกนอกประเด็น ไม่ใช่ตอบไม่ได้ แต่คุณไม่ได้พูดถึงนิพพานตามประเด็น จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 20:48:28

ความคิดเห็นที่ 87 ไล่ย้อนกลับตามสายปฏิจจสมุปบาท จนดับอวิชชา เสร็จแล้วก็ดับ คนที่ดับ ถึงจะถึง บรมสุข สุขที่ไม่มีอะไรมาเจือปน จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 20:50:47

ความคิดเห็นที่ 88 คุณมีปัญหามากครับ ตรงนี้ที่คุณกล่าวคืออัตตา ถ้าจะถกกัน ทัศนาพระสูตรดีกว่าครับ จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 20:54:05

ความคิดเห็นที่ 89 จิต เกิดดับ พระอรหันต์ จิต ยังอยู่ แต่ไม่มีกิเลส อาสวะ เจือปน นิพพาน หน่วงมาเป็น อารมณ์ได้ ตามภูมิธรรม พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ สรุปตามความเข้าใจของผมนะครับ นิพพาน มีอยู่ จิต พระอรหันต์ มีอยู่ แล้วมารวมกับ อยาตนะนั้น มีอยู่ จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 20:57:08

ความคิดเห็นที่ 90 อ้าว... ทำไมถึงไม่ อ้าง " มหาบุรุษระดับโลก " อีกละท่าน เพราะท่านก็ยังฟันธง นิพพาน เป็น อนัตตา... ใครบอกว่า " อัตตา.. " ผิด บิดเบือน สัทธรรมปฏิรูป ลัทธิถืออัตตาไม่ใช่คำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าตีรวนพระไตรปิฎกได้ ก็ถอนรากพระสงฆ์ไทยสำเร็จ นิกายมหายาน จาบจ้วงพระวินัย ประพฤติวิปริตจากพระธรรมวินัย ก็ร้าย แต่ทำพระธรรมวินัยให้วิปริต ร้ายยิ่งกว่า แหมะ.. สำนวนไพเราะจิงๆ เรย... ไหนๆ กระทู้มาพระนิพพานแล้วขอถามเรื่องนึง นะจ้ะ... ปุจฉา... ใครกันล่ะ??? ที่ใช้คำว่า "อุดมธรรม (นิพพาน) " โดยเอาคำว่า นิพพาน ไปขยายคำว่า อุดมธรรม ทั้งๆที่ อุดมธรรม คือเป้าหมายสูงสุดของคริสต์... ใครกันเอ่ย ใครกันจ้ะ ??? ...... อนุโมทนาบุญกับพี่รัตนมาลี ด้วยนะครับ... มีกระทู้ดีดีแบบนี้เยอะๆ น่าจะดี ดีกว่ากระทู้ ด่าพระ ด่าวัดฯ SADHU to Dhamma... จากคุณ : นักเรียนอนุบาลฯ(8th) (รักษาบรรยากาศ) เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 21:00:03

ความคิดเห็นที่ 91 JitZungkabuai ใจเย็นซิครับ เปลี่ยนเรื่องกะทันหัน ลุยตานั่นอยู่ อยู่ ๆ จะให้ตอบทันทีไดไง ถ้าจะถกถึง อัตตา อนัตตา นัททิตา ต้องรอเปิดตำราก่อนครับผม จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 21:00:21

ความคิดเห็นที่ 92 ...             [๙๖๘] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ อินทรีย์ ๕ ประการนี้ มีอารมณ์ต่าง กัน มีโคจรต่างกัน ไม่เสวยอารมณ์อันเป็นโคจรของกันและกัน อินทรีย์ ๕ ประการเป็นไฉน? คือ จักขุนทรีย์ ๑ โสตินทรีย์ ๑ ฆานินทรีย์ ๑ ชิวหินทรีย์ ๑ กายินทรีย์ ๑ ใจเป็นที่ยึดเหนี่ยว ของอินทรีย์ ๕ ประการนี้ ซึ่งมีอารมณ์ต่างกัน มีโคจรต่างกัน ไม่เสวยอารมณ์อันเป็นโคจรของกัน และกัน และใจย่อมเสวยอารมณ์อันเป็นโคจรของอินทรีย์ ๕ ประการนี้.             [๙๖๙] อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็อะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวแห่งใจเล่า?             พ. ดูกรพราหมณ์ สติเป็นที่ยึดเหนี่ยวแห่งใจ.             [๙๗๐] อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็อะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวแห่งสติเล่า?             พ. ดูกรพราหมณ์ วิมุติเป็นที่ยึดเหนี่ยวแห่งสติ.             [๙๗๑] อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็อะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวแห่งวิมุติเล่า?             พ. ดูกรพราหมณ์ นิพพานเป็นที่ยึดเหนี่ยวแห่งวิมุติ.             อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็อะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวแห่งนิพพาน.             พ. ดูกรพราหมณ์ ท่านล่วงเลยปัญหาไปเสียแล้ว ไม่อาจถือเอาที่สุด แห่งปัญหาได้ ด้วยว่าพรหมจรรย์ที่บุคคลอยู่จบแล้ว มีนิพพานเป็นที่หยั่งลง มีนิพพานเป็นเบื้องหน้า มีนิพพาน เป็นที่สุด. ... จบ สูตรที่ ๒             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙  บรรทัดที่ ๕๖๙๓ - ๕๗๒๙.  หน้าที่  ๒๓๘ - ๒๓๙. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=19&A=5693&Z=5729&pagebreak=0             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=19&i=966 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 53 21:06:27 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 53 21:05:11 จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 21:00:46

ความคิดเห็นที่ 93 คุณนักเรียนอนุบาล "อุดมธรรม (นิพพาน) " ไร้สาระ เอามาจากไหน นิพพาน พระพุทธองค์ ก็ทรงยืมคำสมัยนั้นมาใช้ ศาสนาสมัยนั้น หลายศาสนาก็มีนิพพานของตัวเอง พระพุทธองค์ กล่าวถึง นิพพาน ถึงได้กล่าวไว้ถึง อยาตนะ ไว้ด้วยครับ จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 21:09:04

ความคิดเห็นที่ 94 พระอรหันต์ จิต ยังอยู่ แต่ไม่มีกิเลส อาสวะ เจือปน นิพพาน หน่วงมาเป็น อารมณ์ได้ ตามภูมิธรรม พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ สรุปตามความเข้าใจของผมนะครับ นิพพาน มีอยู่ จิต พระอรหันต์ มีอยู่ แล้วมารวมกับ อยาตนะนั้น มีอยู่ จากคุณ : bigjinbook     เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 20:57:08 ____________________________________________________ เออ รวมเป็น "ปรมาตมัน" ว่างั้นเถอะ จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 21:11:50

ความคิดเห็นที่ 95 ชักสนุกแล้วสิ ถ้าเราไม่เคยลิ้มรสหวาน  เราจะเข้าใจรสชาดนั้นได้อย่างไร สมมติว่าคุณกำลังอธิบายความเผ็ดของพริกขี้หนูให้ ฝรั่งคนหนึ่งที่ไม่เคยกินพริกมาก่อน..... คุณจะพูดอย่างไร ????   นี้อาจจะเป็นปัญหาที่พระพุทธองค์ทรงพบ จากการพูดถึง "นิพพาน"  แต่ทรงตรัสยืนยันว่า นิพพานเป็นสุข  ไม่ใช่ว่างเปล่า ไร้ทุกข์ ใช่จะแปลว่าสุข  ไร้สุข ใช่จะแปลว่าทุกข์.....กุศลาธัมมา อกุสลาธัมมา  อัพพยากัตตาธัมมา(ขออภัยถ้าพิมพ์ผิด)  ยังมีภาวะกลางๆ ระหว่างทุกข์ กับสุข  คืออารมณ์กลางๆ หรือเฉยๆ ผมชอบประโยคที่ว่า "ตอนสุดท้าย พระพุทธองค์ทรงเตือนไว้อย่างชัดเจนว่า เราไม่เห็น คนอื่นเขาอาจจะเห็น อย่าเพิ่ง ไปประณามเขาว่า งมงาย" เหอๆๆๆๆ คุณว่ายังไงล่ะ จากคุณ : เฒ่า1000ปี เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 21:12:45

ความคิดเห็นที่ 96 รู้จัก ความดับแห่ง วิญญาณ หรือเปล่า? จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 21:13:33

ความคิดเห็นที่ 97 ว่ากันไปครับ ผมรอเสียบ จากคุณ : TheAcT เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 21:15:04

ความคิดเห็นที่ 98 นิพพานมะเหงกสิ ว่างเปล่า แล้วจะมีนิพพานเป็นอารมณ์ได้ไฉน? จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 21:14:57

ความคิดเห็นที่ 99 5555 มาตู่แบบนั้นได้ไงครับท่าน อายตนะ มีอยู่ รองรับ จิต พระอรหันต์ จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 21:15:32

ความคิดเห็นที่ 100 เล่นเป็นเด็กไปได้ JitZungkabuai ดับรอบแห่งวิญญาณ จากเรื่อง อชิตมานพ นาม และ รูป ย่อมดับไปไม่มีส่วนเหลือ ณ ที่ใด สติ และ ปัญญา ย่อมดับไป ณ ที่นั้น เพราะ ความดับรอบแห่งวิญญาณ จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 21:19:04

ความคิดเห็นที่ 101 ผมพยายามอย่างยิ่ง ที่จะพูดว่า นิพพานธาตุมีสอง สอุป และอนุปาทิเสสนิพานธาตุ แต่พวกคุณมันไม่เปิดใจรับฟัง มาเถียงเรื่องจิต โถ ว่าเขาใครก็ไม่รู้ไม่ทราบ ว่าไม่ปฏิบัติ เขาบางท่านไปถึงปรมัตถ์บ้างก็คงมี ฮั่นแน่... ยังหมักหมมว่าเป็นเรื่องอาโลกกสิณ โถ เขาพิจารณาวิปัสสนูปกิเลสว่าด้วยโอภาสบ้าง ก็มี เด็กๆมาอ่านพวกธมก.กล่าว คนกล่าวไม่อายบ้างหรืออย่างไร หึหึ จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 21:22:23

ความคิดเห็นที่ 102 จิตนะ จะบอกให้ สอุปมันมีจิต จิตก็มีภวังคจิต รู้จักไหม? อนุปมันหาจิตได้ มันก็บ้าแล้ว ค้านท่านพระอนุรุธด้วย ถือว่ากล่าวตู่ เข้าใจไหมเด็กๆ จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 21:26:27

ความคิดเห็นที่ 103 JitZungkabuai เอกะภาวะ รู้จักหรือเปล่าครับ จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 21:29:12

ความคิดเห็นที่ 104 อย่ามาลองของ อนิจจังทุกขังอนัตตาถ้าไม่พิจารณาที่ตัวตนมันไม่ได้ไม่ถูก ไม่เป็นวิปัสสนาจ้ะ ทำอย่างนั้นเรียกว่าวิปัสสนึก เอ้าเคลื่อนไหวหรือเปล่า มีสตินะ จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 21:32:18