ความคิดเห็นที่ 1 ข้อปรารภ                    หลังจากการโฆษณาเรื่องอัศจรรย์ตะวันแก้วเป็นเหตุการณ์ใหญ่แล้ว ปัญหาต่างๆ ของวัดพระธรรมกายได้ทยอยปรากฏออกมาจนโด่งดัง ทั้งปัญหาด้านพระธรรมวินัยและด้านกฎหมายบ้านเมือง สื่อมวลชนได้เสนอข่าวออกไป ทำให้ประชาชนรู้เรื่องราวอย่างกว้างขวาง ผู้รู้หลายท่านได้ออกมาติติงแนะนำ แต่ทางวัดพระธรรมกายไม่ได้รับฟังคำ กลับมีปฏิกิริยาในทางร้าย แทนที่จะชี้แจงในทางความจริงและเหตุผล ก็แข็งขืนอยู่ในทิฏฐิของตน และมีกลุ่มใส่ร้ายป้ายสีผู้ที่ว่ากล่าว          เรื่องเป็นมาถึงขั้นที่ทางวัดพระธรรมกายเผยแพร่เอกสารและหนังสือที่จะชักจูงให้ประชาชนไขว้เขวสับสนต่อหลักพระพุทธศาสนา และไม่เชื่อถือหรือเห็นความสำคัญของพระไตรปิฎก ที่เป็นแหล่งประมวลพระธรรมวินัย และเป็นมาตรฐานของพระพุทธศาสนา จึงได้มีพระสงฆ์และอุบาสกบางท่านเขียนหนังสือและบทความชี้แจงตักเตือน เช่น พระธรรมปิฎกได้เขียนหนังสือ กรณีธรรมกาย ขึ้นมา เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมวินัยแก่ประชาชน  โดยเฉพาะในประเด็นที่เป็นปัญหา ปรากฏว่าความจริงแห่งพระธรรมวินัยได้ส่งผลสยบยั้งความพยายามที่จะสร้างความไขว้เขวสับสนนั้น เท่ากับเปิดโอกาสแก่การที่จะแก้ไขปัญหาและปรับปรุงกิจการให้เข้าสู่หลักแห่งพระธรรมวินัย          อย่างไรก็ดี แทนที่จะแก้ไขปรับปรุงหรือชี้แจงตามหลักโดยเหตุผล ก็ได้เกิดมีบุคคลและกลุ่มคนทำใบปลิวบ้าง พิมพ์หนังสือบ้าง โจมตีว่าร้ายป้ายสีใส่ความพระธรรมปิฎกและทุกคนที่ติติงพฤติกรรมของวัดพระธรรมกาย โดยจับรวมบุคคลที่ออกมาว่ากล่าวนั้นเข้าด้วยกัน ตั้งให้เป็นขบวนการที่จะทำลายวัดพระธรรมกาย ดังปรากฏใน นสพ. พิมพ์ไทย และหนังสือต่างๆ ของ ดร.เบญจ์ บาระกุล ซึ่งปั้นแต่งความเท็จและใช้เล่ห์กลใส่ร้ายป้ายสีบุคคลเหล่านั้น และพยายามสร้างภาพพลิกกลับตรงข้าม ให้บุคคลเหล่านั้นเป็นผู้ทำการชั่วร้ายต่างๆ ที่ตนเองกำลังกระทำอยู่          นอกจากปัญหาเกี่ยวกับการสอนและการปฏิบัติที่ผิดพระธรรมวินัยแล้ว อีกด้านหนึ่ง ก็ปรากฏเรื่องผุดโผล่มากขึ้นๆ ตามลำดับว่า ทางวัดพระธรรมกายมีปัญหาการกระทำทุจริตผิดกฎหมายบ้านเมือง ที่เป็นอาญาแผ่นดิน  ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการสืบสาวราวเรื่อง ปรากฏหลักฐานชัดเจนจนในที่สุด เมื่อค่ำวันที่ ๒๓ ส.ค. ๒๕๔๒ ทางการได้ออกหมายจับเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย แต่ครั้งแรกทางวัดพระธรรมกายได้มีปฏิกิริยาค่อนข้างรุนแรง มีการชุมนุมศิษย์มากมายในวัด เพื่อแสดงอาการดื้อดึงคัดค้านการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ          ในคราวนี้ ดร.เบญจ์ บาระกุล ก็ได้แสดงบทบาทที่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายออกมาอย่างชัดเจน ดังที่สื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวกันทั่วไป ในฉบับวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๔๒ เช่น นสพ.มติชน ลงข่าวว่า (ชื่อ ดร.เบญจ์ บาระกุล ในข้อความที่ยกมาอ้างที่นี้ ขอพิมพ์ตัวหนา)          “หลังจากทางตำรวจขออนุมัติกระทรวงมหาดไทย ออกหมายจับ นายไชยบูลย์ สุทธิผล หรือธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย โดยมีแผนจู่โจมเข้าจับกุมตัวนายไชยบูลย์ ในช่วงเช้าวันที่ ๒๔ สิงหาคม พร้อมกันนั้นได้มีการจัดเตรียมกำลังรับสถานการณ์ ในกรณีที่กลุ่มลูกศิษย์และญาติธรรม ขัดขวางไม่ยอมให้มีการจับกุม แต่ในที่สุดจำต้องยกเลิกแผนดังกล่าว…          “ผู้สื่อข่าวรายงานจากวัดพระธรรมกาย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ว่า ตลอดคืนที่ผ่านมาจนถึงเช้า วันที่ ๒๔ สิงหาคม ยังคงมีศิษย์และญาติธรรมจำนวนมาก นั่งรถยนต์ทยอยเข้าไปในวัดพระธรรมกายตลอดเวลา ล่าสุดเวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น. จากการประเมินของเจ้าหน้าที่ตำรวจ คาดว่ามีบรรดาญาติธรรม ชุมนุมกันอยู่ภายในบริเวณวัด ประมาณกว่า ๑๐,๐๐๐ คน          “…ก่อนหน้านี้ เวลา ๐๖.๐๐ น. นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ ที่ปรึกษากฎหมายวัดพระธรรมกาย ออกมาประกาศต่อหน้าสื่อมวลชนจำนวนนับร้อย ที่มาทำข่าวด้านหน้าวัดว่า นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี อยากทำให้บ้านเมืองวุ่นวายนักหรือ หากญาติธรรมชาวธรรมกายนับล้านคนทั่วประเทศลุกฮือขึ้นมาอะไรจะเกิดขึ้น พรรคประชาธิปัตย์อาจสาปสูญไปจากวงการการเมืองก็ได้…          “ต่อมาเจ้าหน้าที่วัดพระธรรมกาย นำแถลงการณ์แจกจ่ายให้สื่อมวลชนหนึ่งฉบับ มีสองหน้ากระดาษ เนื้อหาเป็นคำให้สัมภาษณ์ของ นายเบ็ญจ์ บาระกุล ศิษย์อีกคนของนายไชยบูลย์ ระบุว่าหนังสือขอจับ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (นายไชยบูลย์) โดยเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยลงนามอนุมัติไม่มีผลทางกฎหมาย…”     นสพ.เดลินิวส์ ลงข่าวว่า          “เวลา ๑๖.๑๕ น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศิษย์วัดพระธรรมกายได้เชิญผู้สื่อข่าวให้ไปรวมกันที่ศูนย์รปภ. ด้านหน้าทางเข้า-ออกวัด เพื่อฟังการให้สัมภาษณ์ของผู้ที่อ้างว่าเป็น ดร.เบ็ญจ์ บาระกุล ผ่านทางอินเตอร์เนตจากลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา และมีการถ่ายทอดเสียงผ่านทางรายการ “ถึงเวลาแล้ว” ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ทอ. ๐๖ เอเอ็ม ๑๒๕๑ กิโลเฮิรตซ์ ระหว่างเวลา ๑๖.๐๐ - ๑๘.๐๐ น. ด้วย โดย ดร.เบ็ญจ์ ระบุว่า … หมายจับนายไชยบูลย์ จึงเป็นโมฆะ ไม่มีผลตามกฎหมาย”     นสพ.สยามรัฐ วันเดียวกัน เสนอข่าวว่า          “จากนั้นเวลา ๑๖.๑๕ น. ทางวัดพระธรรมกายได้เชิญผู้สื่อข่าวมาที่ศูนย์รักษาความปลอดภัยหน้าทางเข้าวัดพระธรรมกายเพื่อสัมภาษณ์ผู้ที่อ้างตัวเองว่าชื่อ ดร.เบญจ์ บาระกุล ผ่านทางอินเตอร์เน็ตจากลอสแองเจลิสประเทศสหรัฐอเมริกา โดย ดร.เบญจ์ ได้ยืนยันว่าการตั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติขัดต่อรัฐธรรมนูญ…          “ฉะนั้นหมายจับเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต้องถือเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย…และการที่ พล.ต.ท.วาสนาออกมายืนยันว่าหมายจับถูกต้องนั้น ถือว่าเป็นการอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ”     โดยเฉพาะ พิมพ์ไทย ที่เป็น นสพ.ดุจปากเสียงของวัดพระธรรมกายเอง ลงข่าวว่า          “หลังจากที่มีหมายจับออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จัดตั้งทีมงานเฉพาะกิจ เพื่อสลายมวลชนของวัดพระธรรมกาย…          “เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจเช็คกำลังที่แท้จริงของวัดพระธรรมกายได้แล้วเมื่อเล็งเห็นว่าวัดพระธรรมกายมีมวลชนเข้มแข็งเกินกว่าที่ประมาณการไว้มาก ถ้าคิดจะหักหาญกันด้วยกำลังอาจจะเกิดจราจลครั้งใหญ่ไม่แพ้คดีพฤษภาทมิฬก็เป็นได้ จึงได้มีคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาระดับสูง ให้สลายกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเป็นทางการ เมื่อเวลา ๐๓.๐๐ น. ของวันที่ ๒๔ ส.ค. เนื่องจากกลัวได้ไม่คุ้มเสียนั่นเอง          “อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามเกลี้ยกล่อมให้เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย มอบตัวสู้คดี แต่ดูเหมือนว่าพระธัมมชโย จะรู้ถึงเลศนัยที่มีมากกว่านั้น ไม่ยอมเดินเข้าสู่กับดักที่เจ้าหน้าที่ตำรวจวางไว้ ทั้งนี้ ดร.เบญจ์ บาระกุล มือกฎหมายวัดพระธรรมกายได้แถลงการณ์ถึง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผบ.ตร. ขอให้พิจารณาสืบสวนความผิดเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ใต้บังคับบัญชาในการนำหนังสือขออนุญาตออกหมายจับให้เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยลงนามออกหมายจับเป็นการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมาย…”          (ต่อมาภายหลัง นสพ.ได้ลงข่าวว่าศิษย์วัดพระธรรมกายบอกว่า ในวันที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปในวัดพระธรรมกายนั้น ดร.เบญจ์ บาระกุล ก็เดินปะปนอยู่ในหมู่ศิษย์ที่นั่นเอง) แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 53 01:46:36 จากคุณ : ระนาดเอก เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 07:05:52

ความคิดเห็นที่ 2          กลุ่มวัดพระธรรมกาย โดยทาง ดร.เบญจ์ บาระกุล ได้พยายามปั้นแต่งโยงเรื่องราวให้บุคคลทั้งหลาย ทั้งพระสงฆ์และคฤหัสถ์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ที่ออกมาชี้แจงบอกทางแห่งความถูกต้อง และดำเนินการแก้ปัญหา โดยกลุ่มวัดพระธรรมกายได้จับรวมเอาบุคคลเหล่านั้นเข้ามาตั้งข้อกล่าวหารวมกันว่าเป็นขบวนการที่ได้รับเงินจากต่างชาติต่างศาสนา มาทำลายวัดพระธรรมกาย และทำลายพระพุทธศาสนา          ต่อมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามวัตถุประสงค์ที่จะทำความจริงให้ประจักษ์แก่ประชาชน จนได้ความว่า หนังสือต่างๆ ของ ดร.เบญจ์ บาระกุล นั้น จัดทำขึ้นโดยบริษัทสยามบิสซิเนส แอนด์ พรินติ้ง จำกัด หรือโรงพิมพ์ พิมพ์ไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกระบอกเสียงปกป้องวัดพระธรรมกาย เป็นเอกสาร หนังสือ สิ่งพิมพ์ที่เข้าข่ายผิดพระราชบัญญัติการพิมพ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ และได้มีคำสั่งห้ามขายหรือจำหน่ายแจกจ่าย และให้ยึดสิ่งพิมพ์ทั้ง ๔ ฉบับ มีเรื่อง เปิดโปงขบวนการล้มพุทธ เป็นต้น ดังประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๖ ตอนพิเศษ ๘๕ง ๒๒ ตุลาคม ๒๕๔๒          สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกพื้นที่ทำการสืบสวนหาตัวนายเบญจ์ หรือนายบัณฑูรย์ บาระกุล มาเพื่อดำเนินคดีดังกล่าว         เมื่อถึงระยะนี้ ทางวัดพระธรรมกายกลับปฏิเสธ โดยบอกว่า ไม่รู้จัก ดร.เบญจ์ บาระกุล เช่น ที่ นสพ. มติชน ฉบับ ๙ ธ.ค. ๒๕๔๒ ลงข่าวว่า          “นายแพทย์พรชัยกล่าวว่า … ส่วนกรณีของ ดร.เบญจ์ บาระกุล อยากให้เจ้าหน้าที่กองปราบปรามมาสืบดูให้ดีว่าอยู่ในวัดหรือไม่ หากจริงก็ขอให้นำหมายค้นมาค้นวัดได้ ตนขอชี้แจงว่า ดร.เบญจ์เป็นผู้ที่มีความรักในพุทธศาสนาคนหนึ่งจึงออกมาปกป้อง ทางวัดไม่เคยเห็นหน้าหรือรู้จักมาก่อน รวมทั้งในวัดก็ไม่มีบุคคลดังกล่าว”          ต่อมา มติชน ฉบับ ๑๑ ธ.ค. ๒๕๔๒ ก็ลงข่าวอีกว่า          “ผู้สื่อข่าวถามถึง ดร.เบญจ์ หรือนายบัณฑูรย์ บาระกุล ซึ่งมีข่าวว่าหลบซ่อนอยู่ในวัดพระธรรมกาย พระสมชายกล่าวว่า ในวัดไม่มี และทางวัดไม่เคยรู้จักบุคคลดังกล่าว”          การที่กลุ่มวัดพระธรรมกายจับรวมบุคคลต่างๆ ที่ให้ความรู้และแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ ที่กระจายกันอยู่ ให้เกิดภาพเป็นขบวนการนั้น ขบวนการที่แท้ก็คือกลุ่มวัดพระธรรมกายนี่เอง ดังที่มีนายชาญชัย บุษปวนิช มารับเรื่องที่ ดร.เบญจ์ บาระกุล เขียนแล้วไปทำเป็นข้อกล่าวหาฟ้องนิคหกรรมพระธรรมปิฎก ซึ่งทำไปอย่างนั้นเอง เพื่อให้เกิดมีข่าวที่จะสร้างภาพป้ายสี ทั้งที่รู้ว่าจะไม่มีผล ไม่ว่าในทางสงฆ์หรือในทางบ้านเมือง เพราะเป็นเรื่องของเล่ห์กลเท่านั้น และโดยเฉพาะระยะนี้ บุคคลที่เคลื่อนไหวโดดเด่นที่สุด คือ พ.อ.บรรจง ไชยลังกา ที่อ้างตนว่าเป็นประธานชมรมชาวพุทธสามเหล่าทัพ          พ.อ.บรรจง ไชยลังกา ผู้อ้างตนเป็นประธานชมรมชาวพุทธสามเหล่าทัพ ได้ออกมาสนับสนุนการกระทำของกลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล โดยเป็นผู้เผยแพร่หนังสือของ ดร.เบญจ์ บาระกุล และนำข้อกล่าวหาในหนังสือของกลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล ไปดำเนินการเคลื่อนไหวต่างๆ ดังที่ได้ทำหนังสือที่เสมือนเป็นทางการ ถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งมีสาระสำคัญที่กล่าวหามหาวิทยาลัยมหิดล ว่าร่วมกับพระธรรมปิฎก ทำการบิดเบือนปลอมปนพระไตรปิฎก          การกระทำของ พ.อ.บรรจง ไชยลังกา นี้ เป็นกรณีพิเศษในแง่ที่อ้างว่าเป็นประธานชมรมชาวพุทธสามเหล่าทัพ และอ้างตนว่าเป็นอาจารย์ ร.ร.เสนาธิการทหารบก ซึ่งเมื่อทำการบาปเท็จจึงชื่อว่า นอกจากย่ำยีพระพุทธศาสนาแล้ว ยังนำเอาศักดิ์ศรีของวงการทหารลงมาทำให้แปดเปื้อนด้วย          ชาวพุทธเคารพบูชาพระรัตนตรัย มั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า และร่วมดำรงรักษาพระพุทธศาสนาด้วยการดำเนินชีวิตให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย          พร้อมกันนั้น ชาวพุทธที่เป็นคนไทยก็ภูมิใจในองค์บูรพมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นจอมทัพที่แกล้วกล้า ซึ่งได้ทรงกอบกู้เอกราชและปกป้องรักษาประเทศชาติให้มั่นคงรอดพ้นภัยพิบัติทั้งหลาย ดังที่เราได้กำหนดวันที่ ๒๕ มกราคม ทุกปี เป็นวันกองทัพไทย โดยจัดพิธีที่อนุสรณ์ดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี ด้วยรำลึกถึงมหาวีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่แม้ทรงตกอยู่ท่ามกลางการรุมล้อมของเหล่าปัจจามิตร ก็ไม่ทรงสะทกสะท้าน แต่คงประทับงามสง่าอยู่เหนือพระคชาธาร และมีพระราชดำรัสตรัสเชิญชวนพระมหาอุปราชากระทำยุทธหัตถี ด้วยพระวาจาอันห้าวหาญที่ตรัสอย่างประจันหน้า          วิสัยชายชาติทหารต้องแกล้วกล้า สามารถสู้หน้าความจริง และทำการอย่างตรงไปตรงมา การที่ผู้อ้างตนเป็นประธานชมรมชาวพุทธสามเหล่าทัพ จะโดยไม่รู้เท่าทันหรือร่วมเจตนาร้ายก็ตาม ได้ออกมารับรองสนับสนุนสนองงานของ ดร.เบญจ์ บาระกุล ผู้เป็นปาปชน ที่มีแต่ความเท็จ ขลาด เขลา และเจ้าเล่ห์เช่นนี้ ย่อมเป็นการเหยียดศักดิ์ศรีแห่งความเป็นชายชาติทหารของตน ยิ่งอ้างตัวว่าเป็นอาจารย์ ร.ร.เสนาธิการทหารบกด้วย ก็ยิ่งเป็นการทำลายเกียรติภูมิของสถาบันกองทัพไทยส่วนรวมเลยทีเดียว          หนังสือและเอกสารต่างๆ ของกลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล ที่กล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีพระธรรมปิฎก เป็นต้นนั้น เป็นความเท็จบิดเบือนที่พิสูจน์ได้ไม่ยาก ยิ่งกรณีกล่าวหาในเรื่องบิดเบือนพระไตรปิฎกด้วยแล้ว เรียกได้ว่าเป็นการประจานตัวเองในความเท็จเขลาเจ้าเล่ห์ของกลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล และประธานชมรมชาวพุทธสามเหล่าทัพ ให้เห็นชัดเจน เพราะพระไตรปิฎกเป็นหลักฐานที่มีอยู่เป็นรูปธรรม ยืนตัวให้พิสูจน์ความจริงโดยง่าย แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 53 20:13:53 จากคุณ : ระนาดเอก เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 07:06:39

ความคิดเห็นที่ 3 ชมรมพุทธสามเหล่าทัพ แสดงความด้อยภูมิธรรมภูมิปัญญา เมื่อกล่าวหาเรื่องพระไตรปิฎก                    การกระทำของ พ.อ.บรรจง ไชยลังกา ที่อ้างว่าเป็นประธานชมรมชาวพุทธสามเหล่าทัพ และเป็นอาจารย์โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ในกรณียื่นหนังสือต่ออธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมทั้งหน่วยราชการและองค์กรอื่นๆ มีสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติฯ เป็นต้น ตลอดจนแจกจ่ายไปตามวัดและหมู่ชนต่างๆ เกี่ยวด้วยเรื่องที่กล่าวหาว่าพระธรรมปิฎก ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล บิดเบือนปลอมปนพระไตรปิฎกนั้น นอกจากไม่เป็นความจริงและส่อเจตนาร้ายแล้ว ยังมีลักษณะที่แสดงถึงความหย่อนด้อยทางภูมิธรรมภูมิปัญญา ที่อาจจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติภูมิแก่กองทัพไทย และสถาบันโรงเรียนเสนาธิการทหารบก ๓ ประการ คือ ๑. ข้อกล่าวหาของ พ.อ.บรรจง ไชยลังกา ตั้งอยู่บนฐานของความเท็จ คืออ้างหนังสือและเอกสารของ ดร.เบญจ์ บาระกุล ซึ่งเป็นเอกสารที่ผู้อ่านที่มีวิจารณญาณมองเห็นได้ไม่ยากว่าเป็นความเท็จ ทำด้วยวิธีการทุจริต และได้มีเอกสารขององค์กรเครือข่ายชาวพุทธฯออกมาพิสูจน์ความเท็จนั้นแล้ว (ดู หนังสือ แฉ กลวิธีทำลายพระพุทธศาสนา ของ กลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล, พ.ศ. ๒๕๔๒)          ดร.เบญจ์ บาระกุล นั้น ถ้าพูดโดยสรุปก็คือ เป็นบุคคลเท็จ ขลาด เขลา เจ้าเล่ห์ ทุจริต โดยเฉพาะเท็จตั้งแต่ชื่อที่แอบแฝง ไม่กล้าแสดงตัวจริง มีปริญญาเท็จ อ้างวิชาการเท็จ และปั้นแต่งความเท็จ หนังสือที่ ดร.เบญจ์ บาระกุล เขียน มีลักษณะอย่างที่ว่านั้น ตอนแรกก็จะบิดเบือนประวัติของบุคคลที่ตนจะใส่ร้ายป้ายสีให้ผู้อ่านเข้าใจภูมิหลังผิดพลาด          ตัวอย่างเช่น พระธรรมปิฎก ครั้งเป็นพระศรีวิสุทธิโมลี ผู้ช่วยเลขาธิการมหาจุฬาลงกรณราช-วิทยาลัย เดินทางไปในคณะของสมเด็จพระพุฒาจารย์ ครั้งเป็นพระเทพคุณาภรณ์ เลขาธิการมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยการนิมนต์ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยที่สอนพระพุทธศาสนา และอาเชียอาคเนย์ศึกษา ใน พ.ศ. ๒๕๑๕ ดร.เบญจ์ บาระกุล ก็เขียนบิดเบือนในทำนองว่า พระศรีวิสุทธิโมลี ได้รับทุนจากคอมมูนิสต์ไปร่วมประชุมสัมมนาในต่างประเทศ          ใน พ.ศ. ๒๕๒๓ ทั้งๆ ที่ พระธรรมปิฎก จำวัดอยู่ที่วัดพระพิเรนทร์ตามปกติ แต่ ดร.เบญจ์ บาระกุล ก็เขียนใส่ความเป็นว่า พระธรรมปิฎก ได้หนีภัยไปอยู่ต่างประเทศ เนื่องจากการก่อการร้าย และได้เดินทางกลับมาต่อเมื่อพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้ออกประกาศนิรโทษกรรม ทำให้เดินทางกลับมาได้ ในปี ๒๕๒๓          เรื่องเหตุการณ์ในอดีตอย่างนั้น ถ้าไม่มีใครมาชี้แจง ผู้อ่านก็จะพิสูจน์ได้ยาก แต่ที่พิสูจน์ได้ง่ายทันทีก็คือหนังสือและเอกสารต่างๆ ที่มีแพร่หลายอยู่ ซึ่งเป็นหลักฐานต่อหน้าต่อตาที่ชัดเจน ดร.เบญจ์ บาระกุล ก็ยังแต่งเติมบิดเบือนให้ได้ความหมายตามชอบใจของตน เช่น หนังสือของพระธรรมปิฎก ถึงนายกรัฐมนตรี ที่ปวารณาเปิดเผยตัวให้สอบสวนพิสูจน์ความจริง ซึ่งเป็นเอกสารที่ชัดเจน องค์กรบางแห่งและสื่อมวลชนบางฉบับก็ได้พิมพ์ภาพถ่ายเอกสารนั้นเผยแพร่ไปทั่ว ดร.เบญจ์ บาระกุล นอกจากแกล้งเรียกให้ผิดเป็นจดหมายร้องเรียนแล้ว เมื่อตัดตอนจดหมายนั้นมาอ้างในหนังสือของตน ก็ยังต่อเติมใส่เพิ่มข้อความลงไป ดังเช่นเขาเขียนว่า          “จากข้อความในจดหมายร้องเรียนของพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ถึงนายชวน หลีกภัย ซึ่งพยายามสร้างความสับสนให้แก่สังคมและพุทธบริษัทไทย มีความว่า                    “…มหาวิทยาลัยมหิดลได้ริเริ่มโครงการพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ขึ้นเอง … แล้วจึงนิมนต์อาตมาภาพเป็นที่ปรึกษา ซึ่งได้ตกลงใช้พระไตรปิฎกบาลีฉบับสยามรัฐที่เป็นฉบับหลวงเดิม การแก้ไขแม้จุดหรือนิคหิต อาตมาก็ระวังมิให้ผิดพลาด พร้อมกับใส่หมายเหตุไว้ด้วย”                                                                                          (หนังสือ ไวรัสศาสนา มหันตภัยของชาวพุทธ (ฉบับคัดย่อ), พิมพ์ครั้งที่ ๑ - ๒๓ ต.ค. ๒๕๔๒, หน้า ๔๗)          ที่ขีดเส้นใต้ คือข้อความที่กลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล ต่อเติมลงไปเอง          บางครั้งก็ปั้นแต่งเรื่องขึ้นมาเองทั้งหมด เช่น อีกแห่งหนึ่งใกล้ๆ กันนั้น เขียนว่า                    “…ตรงกันกับการแถลงของพระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) ที่ว่า “เป็นผู้เดียวที่ได้ทำการตรวจพิสูจน์อักษรและความถูกต้อง ของพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ ที่จัดสร้างโดยมหาวิทยาลัยมหิดล และข้อความตัวอักษรทั้งภาษาไทย อังกฤษ และบาลี ตรงกันกับพระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ ฉบับหลวงที่ใช้เป็นแม่แบบ”                                                                                          (หนังสือเล่มเดียวกัน, หน้า ๔๘)          ข้อความนี้ หรืออย่างนี้ พระธรรมปิฎกไม่เคยพูดหรือเขียนเลย เพราะพระธรรมปิฎกเป็นที่ปรึกษา ซึ่งไม่มีหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะทำงานตรวจปรู๊พ แต่ข้อความทั้งหมดนั้นเป็นการปั้นแต่งขึ้นเองของ ดร.เบญจ์ บาระกุล โดยสิ้นเชิง (ซ้ำร้ายคำพูดที่ปั้นแต่งขึ้นนี้ ก็ผิดเรื่องผิดราว แสดงถึงการขาดความรู้ความเข้าใจของผู้กล่าวหา และไม่อาจจะเป็นคำพูดของพระธรรมปิฎกได้เลย เพราะพระธรรมปิฎกรู้อยู่ว่า มหาวิทยาลัยมหิดลยังไม่ได้ทำพระไตรปิฎกถึง ๓ ภาษาอย่างนั้น)          ที่สำคัญคือการนำข้อความในหนังสือพุทธธรรม มาตัดแต่งต่อเติมด้วยประการต่างๆ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดมากมาย ดังที่องค์กรเครือข่ายชาวพุทธได้พิมพ์หนังสือ แฉ กลวิธีทำลายพระพุทธศาสนา ของกลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล ออกมาแล้ว ซึ่งชี้ให้เห็นวิธีการหลอกลวงในการบิดเบือนใส่ร้ายป้ายสีด้วยความเท็จประการต่างๆ          บุคคลที่ใช้ชื่อว่า ประธานชมรมชาวพุทธสามเหล่าทัพ อ้างว่าตนเป็นครูอาจารย์สถาบันการศึกษาชั้นสูง แต่ยอมรับรองและสนับสนุนความเท็จเหล่านี้ของ ดร.เบญจ์ บาระกุล ถึงกับเป็นตัวตั้งตัวตี ออกมาเผยแพร่หนังสือและเอกสารของ ดร.เบญจ์ บาระกุล นั้น เป็นการฟ้องตัวเองว่ามีภูมิธรรมภูมิปัญญาอ่อนด้อยเพียงใด          พ.อ.บรรจง ไชยลังกาได้อ้างในเอกสารของตนว่า ตนในฐานะอาจารย์ ร.ร.เสนาธิการทหารบก                    “มีหน้าที่จะต้องให้ความรู้ อันเป็นความจริง แก่ผู้เข้ารับการศึกษาซึ่งเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร ที่จะนำความรู้ที่ได้รับไปปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติต่อไป”          ดังข้อความในหนังสือของเขานั้น แต่ พ.อ.บรรจง ไชยลังกา กลับนำเอาความเท็จมาเผยแพร่ เป็นการกระทำที่ตรงข้ามกับที่เขากล่าว แทนที่จะส่งเสริมสนับสนุนเรื่องที่ถูกต้องเป็นจริง หรือพยายามพิสูจน์ความจริง หรือหาความจริง แต่กลับมาสนับสนุนสิ่งที่เป็นเท็จ และร่วมกระทำการทุจริต เป็นการก่อความอัปยศแก่สถาบันของตน และทำลายความมั่นคงของชาติเสียเอง          อนึ่ง เอกสารของ ดร.เบญจ์ บาระกุลนั้น ผู้บังคับการกองตำรวจสันติบาล ๒ แห่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ได้มีคำสั่งห้ามการขายหรือจ่ายแจก และให้ยึดเสีย ซึ่งทางสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ตีพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา แล้วว่า เป็นเอกสารต้องห้าม ที่ขัดต่อศีลธรรม ตามราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๖ ตอนพิเศษ ๘๕ ง วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๔๒ แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 53 22:40:39 จากคุณ : ระนาดเอก เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 07:07:25

ความคิดเห็นที่ 4 ๒. การกระทำของ พ.อ.บรรจง ไชยลังกา แสดงว่าขาดความรู้เข้าใจ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และส่อเจตนาบิดเบือนด้วยมุ่งร้ายหมายปลุกปั่นให้เข้าใจผิด          ในเรื่องที่กล่าวหาว่ามหาวิทยาลัยมหิดลร่วมกับพระธรรมปิฎก หรือพระธรรมปิฎกร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล จัดทำพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ ที่บิดเบือนปลอมปนนั้น หนังสือของ พ.อ.บรรจง ไชยลังกา ถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นต้น ก็ดี คำกล่าวหาของนายชาญชัย บุษปวนิช ก็ดี ใบปลิวเผยแพร่ข่าวใน นสพ.พิมพ์ไทย ว่าด้วยข้อกล่าวหาของ พ.อ.บรรจง ไชยลังกา กับพวก ซึ่งแจกที่พุทธมณฑล ในช่วงงานปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ วันที่ ๓–๗ ธันวาคม ๒๕๔๒ ก็ดี ล้วนอ้างอิงและอยู่ในขบวนการเดียวกับ ดร.เบญจ์ บาระกุล ทั้งสิ้น          เอกสารทั้งหมดนั้น มีเนื้อหาซ้ำๆ หรือคล้ายๆ กัน ใช้เล่ห์กลอย่างเดียวกัน ควรนำมาบอกเล่าให้ชาวพุทธรู้เท่าทันกลวิธีเจ้าเล่ห์ของคนเหล่านี้ พร้อมๆ ไปด้วยกัน          พอเริ่มต้นเรื่อง คนเหล่านี้ก็บิดเบือนความจริงทันที โดยพูดว่า พระธรรมปิฎก ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล (หรือมหาวิทยาลัยมหิดลร่วมกับพระธรรมปิฎก) จัดทำพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ ซึ่งถ้าจะพูดให้ถูกต้องตามความจริง ก็ต้องกล่าวว่า มหาวิทยาลัยมหิดลริเริ่มจัดทำพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ขึ้น และได้นิมนต์พระธรรมปิฎกเป็นที่ปรึกษา          ส่วนข้อกล่าวหาต่างๆ นั้น จะยกมาให้ดู เพื่อพิจารณาเล่ห์กลของคนเหล่านี้ ดังต่อไปนี้ จากคุณ : ระนาดเอก เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 07:08:16

ความคิดเห็นที่ 5 ก) พวกตนค้นไม่เป็น จึงหาไม่พบ ทั้งที่พุทธพจน์คงอยู่ครบ ก็พาโลโมเมว่า ถูกทำลายให้วิบัติ          หนังสือของ พ.อ.บรรจง ไชยลังกา เริ่มด้วยยกหลักฐานจากพระไตรปิฎกเล่ม ๔๐ (คัมภีร์ปัฏฐานเล่มแรก ในพระอภิธรรมปิฎก) มา ๖ ตัวอย่าง (ส่วนนี้น่าสังเกตว่า เขายกมาเฉพาะคำบาลีอักษรโรมัน ไม่ยกอักษรไทยมาด้วย คงเพราะกลัวผู้อ่านจะจับได้ และจะให้ดูโก้) โดยกล่าวหาว่า                    “ทำให้ศัพท์วิบัติ (Terminate) ไม่สามารถค้นหาศัพท์ที่ต้องการ”          ใบปลิวซึ่งแจกที่พุทธมณฑลกล่าวหาแรงขึ้นไปอีกว่า                    “ตัวอย่างทำลายพระพุทธวจนะ เรื่อง “มรรค” หัวใจพุทธศาสนา เล่มที่ ๔๐ ข้อ ๑๒๑๖ หน้า ๔๐๓ ถูกทำลายทิ้งหมดทั้งหน้า (โดยวิธีศัพท์วิบัติ)”          จะยกตัวอย่างในคำกล่าวหามาให้ดูตามบาลีในพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์สัก ๒-๓ บรรทัด (ยกมาให้ดูเป็นอักษรไทย จะได้เข้าใจง่าย และจับเอาที่หน้า ๔๐๓)                    “[๑๒๑๖] มคฺคสหชาตอฺมฺนิสฺสยสมฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตนฺติ ตีณิ.                    มคฺคสหชาตอฺมฺนิสฺสยวิปากสมฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตนฺติ เทฺว.”          (ทั้ง ๖ ตัวอย่างที่เขายกมากล่าวหา ก็ทำนองเดียวกันนี้)          จะเห็นว่าทั้ง ๒ บรรทัดนี้ มีคำบาลีที่ยาวมาก คำเดียวก็เต็มหรือแทบเต็มบรรทัด          คำบาลีอย่างนี้ คือ การนำเอาคำย่อยหลายๆ ศัพท์มาต่อกันรวมเป็นคำเดียว เรียกว่า คำสมาส          คำสมาสอย่างนี้มีมากมายทั่วไปในพระไตรปิฎก ซึ่งโดยมากไม่ยาวนัก (อาจจะมี ๒-๓-๔ ศัพท์มาต่อรวมกัน) แต่ในพระอภิธรรมปิฎกบางเล่ม มีคำยาวมาก ซึ่งประกอบด้วยคำย่อยหลายศัพท์ ดังตัวอย่างข้างบนนี้ (บรรทัดแรกมีคำย่อย ๘ ศัพท์ รวมทั้งอิติ)          เมื่อเอาหลายศัพท์มารวมกันเป็นคำเดียว (สมาส) แล้ว ก็เขียนติดกันหมดทั้งคำอย่างนี้เป็นธรรมดา          พระไตรปิฎกบาลีฉบับสยามรัฐ (ฉบับอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน) ส่วนมากก็พิมพ์คำสมาสเอาศัพท์ย่อยๆ ต่อติดกันเป็นพืดตามปกติอย่างนี้ แต่สำหรับในพระอภิธรรมปิฎกบางเล่ม อย่างเล่ม ๔๐ นี้ มีคำสมาสยาวมากดังตัวอย่าง ท่านผู้ดำเนินการจัดพิมพ์เห็นว่าศัพท์ติดกันเป็นพืด ลานตา ดูยาก ผู้ศึกษาใหม่ๆ จะแยกไม่ถูก แม้แต่คนเก่าก็อาจจะงงได้ ก็จึงหาทางช่วยผู้ศึกษา โดยพิมพ์แยกช่องระหว่างแต่ละคำหน่อยหนึ่ง ให้เห็นแต่ละคำชัดออกไป แต่ก็ต้องไม่ให้ห่างกันมาก จนจะทำให้เข้าใจผิดว่าไม่อยู่ในคำสมาส เพราะฉะนั้นในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ตรงตัวอย่างนี้ ก็จึงพิมพ์แยกนิดๆ ให้กำหนดศัพท์แต่ละศัพท์ได้ชัดขึ้น เป็น                    [๑๒๑๖] มคฺค สหชาต อฺมฺ นิสฺสย สมฺปยุตฺต อตฺถิ อวิคตนฺติ …          นี้เป็นการช่วยให้ดูง่าย และช่วยผู้ศึกษาเท่านั้น แต่โดยทั่วไปก็จะเขียนหรือพิมพ์คำสมาสให้เห็นติดกันเป็นคำเดียว ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้เป็นความผิดพลาดเสียหายอะไร แต่อาจจะต่อว่าได้ว่า ไม่ช่วยผู้อ่านให้สะดวกขึ้นบ้าง จากคุณ : ระนาดเอก เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 07:09:08

ความคิดเห็นที่ 6           ในพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ ทำโปรแกรมเป็นเครื่องมือค้น ในขั้นนี้ยังวางเป็นแบบเดียวกันสำหรับพระไตรปิฎกทั้งชุด คือ ทั้ง ๔๕ เล่ม (ตลอดจนคัมภีร์อื่นๆ ทั้งหมด รวมเป็น ๑๑๐ เล่ม) จึงพิมพ์คำสมาสทุกแห่งทุกเล่ม ไม่ว่าคำยาวคำสั้น มีศัพท์ย่อยมากก็ตามน้อยก็ตาม ติดกันเป็นคำเดียวอย่างปกติ (ต้องยอมให้ผู้อ่านลำบากหน่อย ต้องค่อยๆ แยกศัพท์เอาเอง แต่ผู้รู้บาลีดีก็ไม่มีอะไรยาก)          ส่วนในการค้นหาศัพท์ที่ต้องการ ถึงแม้จะต้องการค้นศัพท์ย่อยๆ ที่แทรกอยู่ในคำสมาสยาวๆ อย่างข้างบนนั้น ผู้จัดทำพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ก็ได้วางวิธีค้นไว้ให้แล้ว เช่น จะค้นศัพท์ นิสฺสย หรือ อตฺถิ ที่อยู่กลางหรืออยู่ปลายคำ ก็ค้นได้ทั้งนั้น แต่ต้องทำตามวิธีค้นที่แนะนำไว้แล้ว          แต่ พ.อ.บรรจง ไชยลังกา กับพวก ค้นไม่ได้ เจอแต่ Terminate คือ สิ้นสุด การค้นไม่สำเร็จ (ไม่ใช่แปลว่า “ทำศัพท์ให้วิบัติ” อย่างที่เขาเข้าใจและเขียนไว้) ก็เพราะเขาไม่รู้จักวิธีค้น จึงค้นไม่ถูกต้อง หรือไม่ถูกวิธี เรียกง่ายๆ ว่า “ค้นไม่เป็น” คือเป็นความผิดของพวกเขาเอง มิใช่เป็นความผิดของพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ แต่อย่างใด          พ.อ.บรรจง ไชยลังกา เมื่อไม่รู้วิธีค้นที่ถูกต้อง แทนที่จะไปสอบถามเจ้าหน้าที่เพื่อเรียนรู้วิธีค้นที่ถูกต้อง เพื่อจะได้ค้นให้เป็น ก็มัวแต่มาคิดหาทางแต่งเป็นเรื่องเป็นราวที่จะกล่าวหาว่า คำนั่นไม่มี คำนี้ไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตนเอง และมัวแต่จ้องเจตนาร้าย          ฉะนั้น พ.อ.บรรจง ไชยลังกา กับพวก จะต้องไปเรียนหรือสอบถามวิธีค้นให้ถูกต้อง แล้วก็จะค้นได้สำเร็จ ไม่ต้องพบกับ “Terminate” อีก          สรุปว่า การกระทำของ พ.อ.บรรจง ไชยลังกา กับพวก ในข้อที่พวกเขายกขึ้นมากล่าวหาทั้ง ๖ ตัวอย่างนี้ เป็นความผิดพลาดบกพร่อง และก่อการร้ายของพวกเขาเอง ซึ่งเกิดจาก          ๑) ขาดความรู้ความเข้าใจในหลักภาษาบาลี คือ ไม่รู้ว่า ในภาษาบาลี มีการนำศัพท์ย่อยๆ หลายคำมาต่อรวมกันเป็นคำสมาสคำเดียวได้ ซึ่งจะเขียนศัพท์ย่อยๆ เหล่านั้นติดกัน ตามที่เขียนกันทั่วไป ก็ได้ จะพิมพ์แยกนิด ๆ ให้กำหนดง่าย ก็ได้          ๒) ไม่รู้จักวิธีใช้โปรแกรมพระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์ คือ ไม่ได้เรียนรู้วิธีค้นหาศัพท์ให้เพียงพอ ที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์นั้น จึงค้นไม่เป็น          ๓) ใช้เล่ห์กล พูดบิดเบือนหรือปลุกปั่นให้เกิดความเข้าใจผิด คือ อาจจะรู้เข้าใจอยู่บ้าง ว่าความจริงเป็นอย่างไร แต่แกล้งพูดกล่าวร้ายใส่ความตามความประสงค์ของตน เช่น แปลคำ “Terminate” (คือสิ้นสุดการค้น/ค้นไม่สำเร็จ) ให้กลายเป็น “ทำศัพท์ให้วิบัติ” บ้าง ว่า “ถูกทำลายทิ้งหมดทั้งหน้า (โดยวิธีศัพท์วิบัติ)” บ้าง ทั้งที่เนื้อความพระบาลีในพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์นั้นก็มีอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์และถูกต้อง          (พร้อมกันนั้น คนกลุ่มนี้ก็แสดงความเขลาออกมาในคำกล่าวหาของตน โดยบอกว่า ข้อความบาลีตอนนั้นเป็นเรื่อง “มรรค” ซึ่งตามความเป็นจริง คัมภีร์นั้นกำลังกล่าวถึงปัจจัยต่างๆ ในปัจจัย ๒๔ คือเป็นเรื่องปัจจัย ๒๔ ซึ่งมีมรรคเป็นเพียงปัจจัยอย่างหนึ่ง ข้อนี้แสดงว่า พวกเขายิ่งกล่าวหาก็ยิ่งแสดงความไม่รู้ ทำความผิดพลาด และเปิดเผยเจตนาร้ายออกมามากและชัดเจนยิ่งขึ้น) จากคุณ : ระนาดเอก เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 07:10:15

ความคิดเห็นที่ 7 ข) ตัวอักษรผิดตกหล่นที่ได้แก้ไขให้ถูกต้องดี คนกลุ่มนี้กล่าวหาว่าเป็นคำผิดบิดเบือน          เป็นที่ยอมรับกันว่า ในการพิมพ์หนังสือขนาดใหญ่ มีเนื้อหามาก แม้จะพยายามตรวจกันอย่างละเอียด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมีการพิมพ์ผิดพลาดตกหล่นหลงตาไปบ้าง ดังจะเห็นว่าหนังสือตำราบางเล่มเพียง ๕๐๐–๖๐๐ หน้า ที่ว่าตรวจกันดีจนว่าแน่ใจแล้ว พอพิมพ์เสร็จ ยังไม่ทันนำออกเผยแพร่ ก็พบคำผิดเข้าอีก ผู้ที่เอาใจใส่ก็ทำ”ใบแก้คำผิด” สอดไปในเล่มหนังสือ เป็นแผ่นๆ          ที่พูดเช่นนี้มิใช่จะเป็นการสนับสนุนให้ย่อหย่อนหรือประมาท แต่เป็นความจริงที่พบกันมาอย่างนั้น และก็ควรต้องย้ำกันให้หนักแน่นเรื่อยไปว่าควรตรวจกันให้ดีที่สุด แต่ความผิดพลาดอย่างนี้ก็รู้กันว่าไม่ได้เกิดจากเจตนา ไม่มีใครถือว่าการพิมพ์ผิดพลาดตกหล่นนั้น เป็นการตั้งใจปลอมปนบิดเบือน ถ้าจะว่ากล่าวก็ควรพูดด้วยหวังดีว่า หนังสือนี้ๆ สำคัญมาก ควรทำให้ละเอียดลออกว่านี้          พระไตรปิฎกบาลีฉบับสยามรัฐ เป็นคัมภีร์ใหญ่ ๔๕ เล่ม รวม ๒๒,๐๐๐ กว่าหน้า เริ่มพิมพ์ครั้งแรกในรัชกาลที่ ๗ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ ถึงปัจจุบันเป็นเวลา ๗๔ ปี พิมพ์มาหลายครั้ง ก็ยังพบคำที่พิมพ์ผิดตกหล่นมาเรื่อยๆ ดังที่มีใบแก้คำผิด เรียกเป็นคำบาลีว่า “โสธนปตฺตํ” สอดแนบไปกับพระไตรปิฎกเล่มนั้นๆ แต่ก็ยังมีคำผิดตกหล่นหลุดรอดหลงตามาจนบัดนี้          เมื่อสำนักคอมพิวเตอร์มหาวิทยาลัยมหิดล พิมพ์ข้อมูลพระไตรปิฎกบาลีฉบับสยามรัฐลงในคอมพิวเตอร์ ได้ถือหลักทั่วไปว่า พิมพ์ไปตามต้นฉบับเดิมที่เป็นเล่มหนังสือของฉบับสยามรัฐนั้น จะถูกหรือผิดแค่ไหน ก็เป็นไปตามต้นฉบับนั้น คือ แม้ในที่ที่ต้นฉบับพิมพ์ผิดก็จะผิดตามนั้นด้วย          แต่มีข้อยกเว้นว่า ถ้าพบคำที่มีตัวอักษรผิดหรือตกหล่นไปบ้าง เมื่อนำมาปรึกษากันแน่ใจแล้ว ก็แก้ไขให้ถูกต้องได้          ในกรณีเช่นนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจต่อจากผู้พิมพ์ พบเข้า แม้จะแน่ใจก็ยังไม่แก้ไข แต่จะทำหลักฐานส่งไปให้ที่ปรึกษาพิจารณาวินิจฉัย          ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นคำว่า ภิกฺขุ เจ้าหน้าที่หรือพนักงานที่พิมพ์ก็ดี ผู้ตรวจก็ดี ได้เห็นจนชินตา ต่อมาพบว่ามีแห่งหนึ่งต่างไปจากที่เคยพบ คือเป็น ภิกขุ ไม่มีจุด ( ฺ ) ใต้ ก อย่างนี้ก็เกิดเป็นข้อสงสัย ไม่แน่ใจ เพราะตนเองไม่รู้จริง ไม่กล้าตัดสินใจ หรือแม้จะแน่ใจว่าผิด ก็นำไปถามพระธรรมปิฎกก่อน          ยิ่งกว่านั้น บางครั้งจะมีตัวที่ผิดถึงกับว่าใน ภิกฺขุ ตัว กฺ หายไป กลายเป็น ภิขุ ในกรณีอย่างนี้ เรื่องราวข้อความแวดล้อมก็ตาม หลักภาษาก็ตาม ย่อมบ่งชัดว่า เป็น  ภิกฺขุ นั่นเอง          ในกรณีอย่างนี้ เราเห็นได้ชัดว่า เป็นเรื่องของการพิมพ์ตกหล่นของต้นฉบับเดิม ก็ให้เติมได้ เหมือนอย่างเราพบข้อความในภาษาไทยว่า ครูรักนักเรยนที่ดี, ยิ้มแย้มแจมใส, ค้นหาคำในพจนุกรม เราย่อมแน่ใจว่ามีคำผิด และจะต้องแก้เป็น ครูรักนักเรียนที่ดี, ยิ้มแย้มแจ่มใส, ค้นหาคำในพจนานุกรม การทำอย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นปัญหา จะเรียกว่าเป็นการตัดแต่งปลอมปนพระไตรปิฎกนั้นเป็นไปไม่ได้          แม้แต่ในกรณีแก้คำผิดตกหล่นเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องบันทึกไว้ แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังทำเป็นเอกสารพิมพ์ออกมาจากเครื่อง และเมื่อได้ตรวจตราแก้คำผิดแล้วก็เก็บไว้เป็นหลักฐาน (ถ้า พ.อ.บรรจง มีความกล้าหาญและจริงใจ ก็ควรมาสอบถาม) ซึ่งพระธรรมปิฎกได้แนะนำแก่ทางโครงการฯว่า ถ้ามีโอกาสรวบรวมหลักฐานแสดงคำพิมพ์ผิดพลาดตกหล่นเหล่านี้มอบให้ทางมหามกุฏราชวิทยาลัย ที่ท่านดูแลพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐอยู่ ก็จะเป็นประโยชน์มากขึ้น เพราะทางมหามกุฏฯ เอง เมื่อพบที่พิมพ์ผิดพิมพ์หล่นอีก ท่านยังแก้ไขมาเรื่อยๆ ในการพิมพ์ครั้งใหม่ๆ          จะเห็นว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ในสายตาของคนทั่วไปเรียกว่าไม่มีความสำคัญ ผู้ทำงานนี้ยังเห็นเป็นความสำคัญอย่างยิ่ง และเก็บหลักฐานไว้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะบิดเบือนแก้ไข แต่ถึงอย่างไรก็ตาม พระธรรมปิฎก ในฐานะที่ปรึกษา ก็ไม่ได้มีความรับผิดชอบในเรื่องการพิมพ์เป็นต้นเหล่านี้ จากคุณ : ระนาดเอก เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 07:11:55

ความคิดเห็นที่ 8           นอกจากส่วนที่ต้นฉบับเดิมซึ่งเป็นเล่มหนังสือของพระไตรปิฎกบาลีฉบับสยามรัฐจะพิมพ์ผิดตกหล่นรอดตากันมา ๗๔ ปี ซึ่งฉบับคอมพิวเตอร์ได้แก้ไขบ้าง ไม่ได้แก้ไขบ้างแล้ว แน่นอนว่าก็จะมีส่วนที่ฉบับคอมพิวเตอร์พิมพ์ผิดตกหล่นเอง ซึ่งทางโครงการฯ ก็ได้ขอให้ผู้ใช้ช่วยสังเกตดูและบอกแจ้งให้ด้วย และก็ปรากฏว่า ระหว่างเวลาที่ผ่านมา ได้มีผู้ใช้หลายท่าน ให้ความร่วมมือแจ้งมา ซึ่งทางโครงการฯ ก็ได้รวบรวมทั้งส่วนที่ได้รับแจ้งมานั้น และส่วนที่โครงการฯได้พบเพิ่มขึ้นเองแล้ว ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง          กลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล รวมทั้ง พ.อ.บรรจง ไชยลังกา กับพวก ได้ระดมกำลังใช้ความพยายามตรวจสอบจับผิดพระไตรปิฎกบาลีฉบับคอมพิวเตอร์นี้ โดยเทียบกับฉบับสยามรัฐที่เป็นเล่มหนังสือเดิม เมื่อพบคำที่ฉบับสยามรัฐเดิมมีตัวอักษรผิดพลาดตกหล่นไป และฉบับคอมพิวเตอร์ได้แก้ไขแล้ว ไม่เหมือนกัน พอพบเข้าก็ยกมากล่าวหาว่าฉบับคอมพิวเตอร์บิดเบือนปลอมปน          ดังที่เขายกมาอ้าง ในพระไตรปิฎกบาลี เล่ม ๖ ข้อ ๘๕ หน้า ๓๖ ฉบับสยามรัฐเดิม มีคำว่า “เอกตถรณปาวุรณาปิ” ซึ่งเป็นที่ชัดเจนแน่นอนว่า พิมพ์ตกจุด ( ฺ ) ใต้ ต          ฉบับคอมพิวเตอร์ได้เติมจุด ( ฺ ) ใต้ ต ให้ถูกต้องเป็น “เอกตฺถรณปาวุรณาปิ”          ในพระไตรปิฎกบาลี เล่ม ๙ ข้อ ๓๓ หน้า ๒๗ ฉบับสยามรัฐเดิมมีคำว่า “อฺมฺญํ”๑ ซึ่งชัดเจนแน่นอนว่า พิมพ์ตก  ตัวซ้อนไป ๑ ตัว          ฉบับคอมพิวเตอร์ก็ได้เติม  ตัวซ้อนเข้ามาให้ถูกต้อง เป็น “อฺมฺญํ”          กรณีที่ต้นฉบับเดิมพิมพ์ผิดตกหล่นอย่างชัดเจนแน่นอนอย่างนี้ เมื่อพบแล้วต้องแก้ไขให้ถูกต้อง จึงจะเป็นการสมควร ถ้าปล่อยไว้กลับต้องถือว่าไม่สมควร แต่กลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล กลับกล่าวหาว่าอย่างนี้เป็นการบิดเบือนปลอมปนพระไตรปิฎก ซึ่งแท้จริง กลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล นี่แหละที่เป็นผู้บิดเบือนความจริง          คนกลุ่มนี้ถึงกับอ้างว่า พวกตนที่ตรวจสอบมีผู้เชี่ยวชาญภาษาบาลี เป็นเปรียญธรรม ๘ และ ๙ ประโยค รวมถึง ๓๐ คนบ้าง ๔๒ คนบ้าง ซึ่งไม่น่าจะเป็นความจริง หรือไม่ก็มีความรู้หย่อนจากภูมิชั้นห่างไกล หรือไม่ก็เสแสร้งพูดเป็นเล่ห์กลด้วยเจตนาร้าย เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ผู้มีภูมิรู้ถึงขั้นนั้นถ้าเป็นบุคคลปกติ จะไม่เข้าใจเรื่องนี้ ------------------------ ๑ หมายเหตุจาก จขกท : ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ เขียนคำ อฺมฺํ แต่ในหนังสือต้นฉบับ ("แฉ ลัทธิเจ้าเล่ห์ฯ") เขียนเป็น “อฺมฺญํ” คือผิดที่ ญํ ที่ถูกคือ ํ (พระไตรปิฎกภาษาบาลีใช้  ไม่ใช่ ญ) ในกระทู้นี้จึงเขียนตามหนังสือต้นฉบับ - สันนิษฐานว่าผู้จัดเตรียมต้นฉบับหนังสือ พิมพ์ ญํ ผิดเอง แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 53 03:28:19 จากคุณ : ระนาดเอก เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 07:12:54

ความคิดเห็นที่ 9 ค) แทนที่จะช่วยบอกแจ้งคำความที่พิมพ์ผิดตกหล่น กลับใช้เล่ห์กลพูดหลอกให้เข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องทำการร้าย          ส่วนที่โครงการจัดทำพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ จะได้ประโยชน์บ้าง จากการตรวจสอบของกลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล ก็คือ อักษรและถ้อยคำที่พิมพ์พลั้งเผลอตกหล่นขาดเกินไปจริงๆ ซึ่งทางโครงการฯยินดีรับการบอกแจ้งอยู่แล้ว และได้รับความร่วมมือแจ้งมาจากผู้ใช้บางท่าน ซึ่งอาจจะพบโดยบังเอิญ          ข้อที่น่าเสียดายก็คือ กลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล รวมทั้งชมรมชาวพุทธสามเหล่าทัพ เป็นคนกลุ่มใหญ่ บอกว่าเป็นนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญภาษาบาลีมากถึง ๓๐–๔๒ คน และตั้งใจมุ่งมั่นจับผิดเต็มที่ แต่กลับได้ข้อผิดพลาดตกหล่นมาไม่มากเท่าที่ควร          ข้อที่น่าเสียดายกว่านั้นอีก ก็คือ การตรวจสอบของคนกลุ่มนี้ ทำด้วยเจตนาร้าย มุ่งหาเรื่องใส่ความ และใช้กลวิธีพูดบิดเบือนหลอกให้เข้าใจผิดว่า เป็นเรื่องทำการร้าย          ถ้าคนกลุ่มที่ว่าเชี่ยวชาญภาษาบาลี ๓๐–๔๐ คน นี้ ซึ่งระดมกำลังกันมาแล้ว จะได้ตั้งใจตรวจสอบให้แก่โครงการฯจัดทำพระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์ด้วยความจริงใจ ก็จะช่วยให้พระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์สมบูรณ์ได้โดยเร็ว และเท่ากับเป็นงานอาสาสมัครทุ่นทุนทรัพย์อย่างมากมาย จะเป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก          ขอให้ดูวิธีใช้เล่ห์กลพูดให้หลอกให้เข้าใจผิดเลยเถิด จากคุณ : ระนาดเอก เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 07:13:26

ความคิดเห็นที่ 10           • ของเดิมก็มีคำนั้น แต่หลอกว่าเติมเข้าไป          กลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล ยกตัวอย่างมา ๓ แห่ง และกล่าวหาว่า “ตัวอย่างการปลอมปน (เติมเข้าไปใหม่ในพระไตรปิฎก)” คือ          เล่มที่ ๔   ข้อ    ๙๙    หน้า    ๑๓๙    “วิมุตฺติาณทสฺสนกฺขนฺเธ”            ”     ๙     ”   ๑๐๓      ”         ๘๔     “ปฏิคฺคหณา”            ”     ๙     ”   ๑๔๙      ”       ๑๒๑    “วนสณฺโฑ”          ทั้ง ๓ แห่ง และ ๓ คำนี้ กลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล กล่าวหาว่า ในพระไตรปิฎกสยามรัฐฉบับหลวงเดิมไม่มี แต่ถูกเติมเข้ามาในพระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์ CD-ROM ของมหาวิทยาลัยมหิดล          แต่ความจริงก็คือ ในพระไตรปิฎกสยามรัฐฉบับหลวงเดิมก็มีทั้ง ๓ คำใน ๓ แห่งที่อ้างนั้น แต่          ในตัวอย่างที่ ๑ (วิมุตฺติาณทสฺสนกฺขนฺเธ) ฉบับคอมพิวเตอร์พิมพ์สลับที่เสีย เปลี่ยนจากท้ายบรรทัดมาอยู่ต้นบรรทัด ทำให้แปลไม่ได้ ผู้รู้บาลีอ่านดูก็รู้ความผิดพลาดนั้น ทั้งโดยหลักภาษา และโดยเทียบกับคำและข้อความอื่นที่คล้ายๆ กันในหน้าเดียวกัน          ในตัวอย่างที่ ๒ (ปฏิคฺคหณา) และ ๓ (วนสณฺโฑ) คำทั้งสองนี้มีอยู่ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐเดิมที่เป็นต้นฉบับ ตรงที่นั้นเอง เพียงแต่ว่า ฉบับคอมพิวเตอร์พิมพ์คำทั้งสองนี้ ซ้ำเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง กลายเป็นคำซ้ำซ้อนไป (ไม่ใช่ว่าของเดิมไม่มีคำนั้น แล้วเติมเข้ามา) แต่ไม่ทำให้เกิดความเสียหาย นอกจากซ้ำซ้อนเกินไปเปล่าๆ ไม่มีความหมาย          โดยเฉพาะในตัวอย่างที่ ๑ (วิมุตฺติาณทสฺสนกฺขนฺเธ) ที่ว่าพิมพ์สลับที่นั้น เมื่อตรวจสอบแล้วปรากฏว่า ในฉบับคอมพิวเตอร์เดิม เมื่อสำเร็จและเผยแพร่นำไปใช้กันแล้วในระยะแรก (เมื่อยังเป็น Version I และ Version II) ซึ่งบรรจุใน Hard Disk ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๓๗ ตรงกับต้นฉบับเดิม คำทุกคำอยู่ในลำดับของมัน ไม่ได้สลับที่กัน แต่มาสลับผิดที่ไปเมื่อถ่ายข้อมูลลงใน CD-ROM ต้องพูดว่าเป็นความผิดพลาดทางเทคนิค ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่รู้ตัว จึงว่าได้ประโยชน์จากการแกล้งตรวจสอบของกลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล โดยที่พวกเขาไม่ตั้งใจ จากคุณ : ระนาดเอก เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 07:14:39

ความคิดเห็นที่ 11           • ตัวอักษรผิดตก หลอกว่าเปลี่ยนความหมาย          ยังมีอีกบางแห่ง กลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล กล่าวหาว่าเป็น “ตัวอย่างประเภทเปลี่ยนความหมาย” คือ          เล่มที่     ๔    ข้อ     ๔๕    หน้า    ๕๕  ฉบับคอมพิวเตอร์เป็น  “นิสีติ”             (ฉบับเดิม = นิสีทิ)              ”     ๘๑      ”      ๘๗      ”                                     ”     “ปปฺโปฏตฺวา”   ( ”   = ปปฺโปเฏตฺวา)              ”   ๑๔๒      ”    ๑๙๐      ”                                     ”     “อุลฺลุมฺปตุมํ”    ( ”  = อุลฺลุมฺปตุ มํ)          ทั้งหมดนี้เห็นอยู่ชัดๆ ว่า เป็นการพิมพ์ผิด ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนความหมายอะไรเลย แต่ทำให้แปลไม่ออก ผู้รู้บาลีอ่านก็ทราบทันทีว่าพิมพ์ผิด และรู้ว่าคำที่ถูกเป็นอย่างไร หรือถ้ายังรู้บาลีไม่พอ ก็จะค้นหาหรือสอบถามผู้รู้ได้ไม่ยากเลย          คำที่พิมพ์ผิดเหล่านี้ เมื่อไปเปิดเทียบในเล่มหนังสือที่เป็นต้นฉบับเดิม ก็รู้เหตุซึ่งอธิบายได้ไม่ยาก          สองแห่งแรก เนื่องจากว่า พระไตรปิฎกบาลีฉบับสยามรัฐเดิม ที่เป็นเล่มหนังสือนั้น เริ่มพิมพ์มาแต่สมัยก่อนที่เรียงพิมพ์ด้วยตัวตะกั่ว ซึ่งไม่คมชัด และยิ่งกว่านั้น เมื่อใช้บ่อย ตัวเรียงตะกั่วนั้นก็สึกหรอบ้าง บิ่นบ้าง หักบ้าง คนพิมพ์ไม่รู้ภาษาบาลี เห็นตัวอักษรที่หักหรือบิ่น (ตัวอย่างแรก นิสีทิ ตัว ท บิ่นไปไม่ชัด) หรือลางเลือนไป (ตัวอย่างที่ ๒ ปปฺโปเฏตฺวา ตัว “เ” สึกไป เห็นลางๆ ไม่ชัด) จึงอ่านผิดไปบ้าง เข้าใจผิดว่าเป็นรอยเปื้อนไม่ใช่เป็นตัวอักษรบ้าง ผู้ตรวจอีกชั้นหนึ่งก็ไม่ได้เฉลียวใจ จึงไม่ได้นำไปถามที่ปรึกษา          ส่วนตัวอย่างที่ ๓ คือ อุลฺลุมฺปตุมํ นั้น เห็นชัดๆ ว่าพิมพ์ผิด ซึ่งไม่ได้ทำให้ความหมายเปลี่ยนไป แต่ทำให้แปลไม่ได้ และรู้ว่าพิมพ์ผิด          สำหรับกรณีนี้ ก็คือ คำจริงเป็น อุลฺลุมฺปตุ ส่วน มํ ข้างท้ายเกินเข้ามา (คำนี้อยู่สุดบรรทัด และบรรทัดต่อไปมี “มํ” เป็นคำแรก) ซึ่งแม้แต่คนไม่รู้บาลี ก็ทราบได้ว่าผิด เพราะในหน้าเดียวกัน ก่อนนั้นมี อุลฺลุมฺปตุ มํ แล้ว ๒ ครั้ง          ตรงนี้ โครงการฯของมหาวิทยาลัยมหิดลก็ได้ประโยชน์ คือได้รู้และเก็บบันทึกรวมไว้เพื่อแก้ไขต่อไป ส่วนกลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล ซึ่งควรจะได้บุญที่ช่วยทำประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา แต่กลับได้บาปเพราะมีเจตนาร้ายพูดหลอกให้คนเข้าใจผิด          นอกจากนี้ ยังมีการใช้คำพูดเป็นเล่ห์กลอย่างอื่นๆ อีก ซึ่งเป็นการกล่าวหาผิดๆ ถูกๆ เช่นว่า “ตัวอย่างการปรับแต่งพุทธวจนะ ขึ้นเองใหม่” (ว่าเล่ม ๑๕ หน้า ๘๑ และหน้า ๑๒๙ เขียนเป็นรูปฉันท์/คาถา ขึ้นเอง ซึ่งก็ชัดเจนว่าเป็นเรื่องของการเว้นวรรคผิดไป ๑ บรรทัด เท่านั้นแห่งหนึ่ง และอีกแห่งหนึ่งไม่ได้ผิดอะไรเลย)          อีกตัวอย่างหนึ่งว่า “ตัวอย่างการให้ความหมายตรงข้ามของเดิม” (เล่มที่ ๕ แต่ไม่ระบุข้อและหน้าว่า ในฉบับคอมพิวเตอร์ เป็น น มฺเชฏิกวทฺธิกา ส่วนฉบับเดิมเป็น มฺชิิกวทฺธิกา กลุ่ม ดร.เบญจ์ จึงกล่าวหาว่าฉบับคอมพิวเตอร์บิดเบือน แต่ที่จริงนั้นเขาหารู้ไม่ว่าฉบับคอมพิวเตอร์ถูกต้องแล้ว ส่วนฉบับเดิมว่า มฺชิิกวทฺธิกา เมื่อไม่ระบุข้อและหน้า ก็ยังไม่อาจค้นได้ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็วินิจฉัยได้เลยว่า ในต้นฉบับสยามรัฐเดิมนั้นเป็นคำผิด) แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 53 16:37:39 จากคุณ : ระนาดเอก เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 07:16:27

ความคิดเห็นที่ 12           • ต้นฉบับก็มีอยู่ หลอกว่าตัดพุทธพจน์ทิ้งไป          ตัวอย่างที่ทางโครงการฯ จะได้ประโยชน์มาก คือ ข้อความที่หลุดหายไปในบรรทัดสุดท้ายของเล่ม ๒๕ และเล่ม ๓๖ หน้า ๔๐ เหมือนกัน (กลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล พูดให้น่ากลัวว่า “ตัวอย่างการตัดพระพุทธวจนะทิ้งทั้งหมด”) ซึ่งปรากฏว่า เมื่อฉบับคอมพิวเตอร์สำเร็จและเผยแพร่ออกใช้ระยะแรก (บรรจุใน Hard Disk ใน Version I และ Version II) ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๑ ถึง ๒๕๓๗ ข้อความครบถ้วนบริบูรณ์ แต่มาหลุดหายไปครั้งถ่ายข้อมูลลงใน ฉบับ CD-ROM เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๗ นับว่าเป็นอุบัติเหตุทางเทคนิค ไม่เกี่ยวกับเจตนาที่จะบิดเบือนหรือตัดต่อแต่ประการใด (ผู้ที่ยังใช้ฉบับคอมพิวเตอร์รุ่นแรกๆ ก็มีข้อความนี้อยู่ครบถ้วน)          นอกจากนั้น แม้ว่าในพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ภาษาบาลี ที่นำมาลงใน CD-ROM เป็น version 4 และ 5 จะเกิดความผิดพลาดทางเทคนิค ทำให้ข้อความตกหล่นไปจากของเดิมในเล่มที่ ๒๕ และ ๓๖ หน้า ๔๐ ก็ดี มีคำสลับที่กันในเล่มที่ ๔ หน้า ๑๓๙ ก็ดี ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น แต่จะเห็นได้ชัดว่า ในฉบับแปลภาษาไทย ข้อความที่แปลก็สมบูรณ์ตามภาษาบาลีเดิม ซึ่งถ้าต้องการบิดเบือนด้วยเจตนาจริง ก็จะต้องตามไปแก้ไขลบข้อความนั้นที่เป็นคำแปลภาษาไทยทิ้งไปด้วย แต่นี่คำแปลของข้อความที่ตกหล่นสลับที่นั้นก็อยู่บริบูรณ์ จึงเป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องของความผิดพลาดทางเทคนิคในระบบงานของคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่เรื่องเจตนาของคน          ทั้งหมดนี้ ไม่จำเป็นต้องชี้แจงอธิบายเลยก็ได้ เพียงแต่บอกว่า ข้อผิดพลาดเหล่านั้น เป็นเรื่องของการพิมพ์หรือถ่ายข้อมูลพลั้งพลาดตกหล่น ซึ่งทางโครงการฯ ของมหาวิทยาลัยมหิดลยังรอรับผู้ใช้ที่ร่วมมือบอกแจ้ง แต่กลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล ใช้เล่ห์กลพูดบิดเบือนให้เข้าใจผิดว่าเป็นการปลอมปนบิดเบือน          การที่อธิบายชี้แจง ก็เพราะเห็นว่า เมื่อมีเรื่องราวเกิดขึ้น ก็เป็นโอกาสที่จะได้ให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน ช่วยให้ชาวพุทธเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามากขึ้น พร้อมทั้งจะมีผลพลอยได้ให้รู้เท่าทันเล่ห์กลของคนกลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล รวมทั้งชมรมชาวพุทธ ๓ เหล่าทัพ (ที่ไม่มีจริง) นี้ด้วย (ไม่ใช่เป็นการชี้แจงหรือตอบคนกลุ่มนี้)          ถ้าประธานชมรมชาวพุทธสามเหล่าทัพเป็นคนมีสัจจะในการบิดเบือน คือ เป็นคนจริงและสม่ำเสมอในการบิดเบือนนั้น เขาก็จะต้องพูดว่า พระไตรปิฎกทุกฉบับเท่าที่พิมพ์ใช้กันอยู่นี้ ไม่ว่าจะเป็นฉบับสยามรัฐ ฉบับมหาจุฬาฯ ฉบับอักษรโรมันของสมาคมบาลีปกรณ์ ประเทศอังกฤษ ฯลฯ ล้วนเป็นพระไตรปิฎกปลอมทั้งนั้น เพราะทุกฉบับมีการพิมพ์ผิดตกหล่นทั้งสิ้น มากบ้าง น้อยบ้าง          ย้ำอีกครั้งว่า การที่ พ.อ.บรรจง ไชยลังกา กับพวก มาช่วยตรวจสอบนี้เป็นการดีแล้ว แม้จะเจตนาร้าย แต่กลับเป็นผลดี ในแง่ที่ทำให้ได้รู้ว่ายังมีอะไรผิดพลาด ที่จะได้แก้ไขอีก ดังที่ทางมหาวิทยาลัยก็ได้แจ้งแก่ผู้ใช้ทั่วๆ ไปไว้แล้วว่าขอให้ช่วยกันดูด้วย มีอะไรที่ผิดพลาดตกหล่นก็ขอให้แจ้งแก่สำนักคอมพิวเตอร์ และระหว่างนั้นก็ได้รวบรวมคำบอกแจ้งของผู้ใช้แล้วนำมาแก้ไขให้ถูกต้องเมื่อถึงโอกาส เพื่อให้สมบูรณ์ตามต้นฉบับเดิมในพระไตรปิฎกบาลีฉบับสยามรัฐ เพราะฉบับคอมพิวเตอร์นี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือค้นคว้าข้อมูลในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐเดิม และพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐเดิมที่เป็นเล่มหนังสือนั้น ก็ยังคงอยู่อย่างเดิมให้เราตรวจสอบได้          ถ้า พ.อ.บรรจง ไชยลังกา กับพวก มีเจตนาสุจริต ก็จะให้ความร่วมมือในทำนองนี้ เพราะพวกตนก็ได้ใช้ประโยชน์จากพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์นี้ค้นคว้าอยู่ จึงได้มาเจอข้อผิดพลาด แต่แทนที่จะสำนึกคุณ กลับมายกเป็นข้อกล่าวหาด้วยเจตนาร้าย ทำการที่มิใช่วิสัยของสาธุชน จากคุณ : ระนาดเอก เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 07:17:30

ความคิดเห็นที่ 13 ง) ในที่สุดกลายเป็นเปิดโปงตัวเองว่า ทั้งขาดความรู้ และมีเจตนาร้าย          • กล่าวหาเขา แต่ตัวเองบิดเบือนปลอมปนแม้แต่งานของตนเอง          หันกลับไปดูที่ตัว พ.อ.บรรจง ไชยลังกา เองบ้าง ในขณะที่ทางมหาวิทยาลัยมหิดล พิมพ์พระไตรปิฎก ซึ่งมีจำนวนถึงสองหมื่นกว่าหน้า มีตกหล่นผิดพลาดบ้างเล็กน้อย แต่ พ.อ.บรรจง ไชยลังกา ส่งหนังสือถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นเอกสารที่ส่งอย่างเป็นทางการ เพียงแค่ ๔ หน้า ปรากฏว่ามีข้อผิดพลาดเป็นอันมาก เกินกว่า ๑๕ แห่ง (แม้แต่จำนวนเอกสารที่ส่งมาด้วย ก็บอกจำนวนไม่ถูกต้อง มี ๑๐ แผ่น ก็นับเป็น ๙ แผ่น)          พ.อ.บรรจง ไชยลังกา เพียงแค่ทำเอกสารไม่กี่หน้า ยังทำความผิดพลาดตกหล่นถึงขนาดนี้ ถ้าไปทำพระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์จะผิดพลาดขนาดไหน ถ้า ๔ หน้า ผิด ๑๕ แห่ง ๒๒,๐๐๐ หน้าก็จะผิด ๘ หมื่น ๒ พัน ๕ ร้อยแห่ง          เริ่มต้นด้วยชื่อของชมรมชาวพุทธสามเหล่าทัพ ที่ตนเองอ้างว่าเป็นประธาน และพยายามเขียนชื่อเป็นภาษาอังกฤษให้โก้สักหน่อย ก็เขียนไม่ถูกต้อง โดยบนหัวกระดาษเขียนชื่อชมรมชาวพุทธสามเหล่าทัพ เป็นภาษาอังกฤษว่า Three Militaries Buddism Association ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษที่ผิด          กล่าวคือคำว่า พระพุทธศาสนา เขียนเป็น Buddism ซึ่งผิด          ๑. ทั้งในรูปศัพท์พื้นฐานที่ต้องมี h เป็น Buddhism และ          ๒. ถ้าใช้เป็นคุณศัพท์ คือเป็น adj. ต้องเปลี่ยน m เป็น t เป็น Buddhist          ที่ผิดพลาดอย่างนี้ อาจเกิดจากเหตุ ๒ อย่าง คือ          ๑. ตนเองมีความรู้ทางพระพุทธศาสนาไม่เพียงพอ จึงไม่รู้ว่าคำภาษาอังกฤษเรียกพระพุทธศาสนาว่าอย่างไร หรือมิฉะนั้น          ๒. อาจจะรู้พระพุทธศาสนาอยู่บ้าง แต่มีความรู้ภาษาอังกฤษไม่เพียงพอ          ความบกพร่องนี้แสดงถึงการขาดความรู้ทางวิชาการทั่วไปเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา และขาดความรู้ทางหลักภาษาอังกฤษ ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ที่บุคคลระดับประธานชมรมชาวพุทธสามเหล่าทัพ และเป็นอาจารย์ ร.ร.เสนาธิการทหารบก จะอ่อนความรู้ทางวิชาการถึงขนาดนี้          หนังสือที่ส่งถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดลนั้น นอกจากแสดงถึงการขาดความรู้ความเข้าใจ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ดังกล่าวแล้ว เอกสารซึ่งมีข้อความเพียงไม่กี่หน้านั้น ผู้เขียนก็ไม่รู้หรือไม่ใช้วิธีการทางวิชาการที่ถูกต้อง ในการกล่าวอ้างข้อเขียนคำกล่าวของผู้อื่น เช่นเมื่อยกข้อความจากหนังสือ กรณีธรรมกาย มาอ้าง ก็ทำให้ผิดพลาดขาดตกหล่นไปเป็นอันมาก พร้อมทั้งอ้างข้ามไป โดยไม่มีเครื่องหมายอะไรบอกให้รู้ เอาแค่หน้าที่ ๓ ซึ่งมีข้อความที่อ้างจากหนังสือดังกล่าวเพียง ๕ บรรทัด ปรากฏว่ามีผิดพลาดตัดทิ้งและตกไปถึง ๕ แห่ง ทั้งนี้เพราะผิดพลาดขาดความรู้ความเข้าใจในทางพระพุทธศาสนาบ้าง ไม่รู้จักใช้วิธีปฏิบัติทางวิชาการให้ถูกต้องบ้าง แต่ถ้าพูดตามสำนวนภาษาของ พ.อ.บรรจง ไชยลังกา ก็เรียกว่า บิดเบือนปลอมปน          (ในภาษาของ พ.อ.บรรจง ไชยลังกา นั้น การพิมพ์ผิดพลาดตกหล่น พ.อ.บรรจง เรียกว่าเป็นการบิดเบือนปลอมปน ส่วนการบิดเบือนปลอมแปลง เขาเรียกว่าเป็นการเสนอความจริง) จากคุณ : ระนาดเอก เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 07:18:39

ความคิดเห็นที่ 14          • จะกล่าวหาผู้อื่น แต่ตัวเองไม่ประสีประสาในทางวิชาการ          ด้วยความที่อ่อนความรู้ทางวิชาการทั้งทางพระพุทธศาสนาและภาษาอังกฤษอย่างที่กล่าวแล้ว เมื่อหาเอกสารภาษาอังกฤษที่จะยกมาสนับสนุนข้อกล่าวหาของตน ก็จึงนำเอาเอกสารที่ไม่เป็นวิชาการเพียงพอมาอ้าง คือนำเอาคำแนะนำของผู้เขียนคนนอกที่ไม่มีความรู้เข้าใจข้อมูลความจริงเพียงพอ ไม่ได้เข้ามาสัมผัส ไม่ได้เข้ามาขอข้อมูลที่แท้จริงจากสำนักคอมพิวเตอร์ กล่าวคือยกเอาข้อความในเอกสารของมหาวิทยาลัย Hanazono มาอ้าง แต่มหาวิทยาลัย Hanazono นั้น ไม่ได้เขียนคำแนะนำนั้นเอง เพียงแต่ไปนำเอาข้อเขียนของฝรั่งชาวสวิสคนหนึ่งที่เพียงแต่เป็นผู้มีความสนใจ (เรียกแบบชาวบ้านว่า สมัครเล่น)คนหนึ่งมา          ข้อเขียนของฝรั่งชาวสวิสคนนั้น คือ คุณ Urs App เห็นได้ชัดว่าผู้เขียนไม่ได้รู้ข้อมูลที่แท้จริง จึงได้เขียนไปผิดๆ พลาดๆ เช่นเขียนว่า พระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ ของมหาวิทยาลัยมหิดล สร้างขึ้นในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๖๐ พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน แต่ที่จริงนั้น พระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์นี้ จัดทำขึ้นโดยปรารภโอกาสแห่งการเฉลิมฉลองรัชมังคลาภิเษก          อีกตอนหนึ่ง พูดถึงพระธรรมปิฎก ฝรั่งคนนี้ซึ่ง Hanazono University ได้นำมาอ้าง เขียนไว้ว่า “A Thai monk appointed for this task by the King…” ซึ่งแปลว่า “พระภิกษุไทยรูปหนึ่ง ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตั้งขึ้นเพื่อการนี้” ที่จริงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิได้ทรงมีพระราชภารกิจในเรื่องนี้เลย มหาวิทยาลัยมหิดลจะจัดทำพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ขึ้น จึงได้ไปนิมนต์พระธรรมปิฎกมาเป็นที่ปรึกษา ซึ่งไม่ได้มาทำงานนี้ แต่เพียงเป็นที่ปรึกษาของงานนี้เท่านั้น          ในเมื่อฝรั่งผู้นั้นไม่รู้ข้อมูลที่ถูกต้อง การคิดคาดคะเนต่างๆ ที่เขาเขียนขึ้นจึงผิดพลาดไป   พ.อ.บรรจง ไชยลังกา ไปนำเอาเอกสารของผู้เขียน ที่เขียนขึ้นจากการรู้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง มาอ้างเป็นหลักฐาน นอกจากจะพลอยผิดพลาดไปด้วยแล้ว ก็แสดงถึงความเขลาของตนเองด้วย เพราะว่า พ.อ.บรรจง ไชยลังกานั้น ทั้งที่ตนอยู่ในประเทศไทย อยู่ใกล้สำนักคอมพิวเตอร์มหาวิทยาลัยมหิดล มีโอกาสมากและสะดวกกว่าฝรั่ง รวมทั้งมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นนั้น          พ.อ.บรรจง ไชยลังกา อยู่ใกล้แหล่งข้อมูลชั้นต้น สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนสมบูรณ์ได้โดยตรง ก็ไม่ทำ กลับต้องไปอ้างเอกสารของต่างประเทศ ที่เป็นชั้นห่างไกล จึงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ไม่สมกับความเป็นนักวิชาการที่ควรจะรู้จักวิธีแสวงหาข้อมูลความจริง          ยิ่งกว่านั้น เมื่อจะอ้างเอกสารของต่างประเทศ แทนที่จะอ้างเอกสารข้อเขียนของคนที่รู้เข้าใจเรื่องใกล้ชิด กลับไปเอาข้อมูลผิวเผินจากคนที่เพียงแต่สนใจแล้วเอาเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาบ้าง ไปเขียนถูกบ้าง ผิดบ้าง ให้คนทั่วไปพอได้รู้เรื่อง พอได้รู้ ได้เห็น ได้ยินเท่านั้น          เรื่องพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยมหิดลนี้ ใน Internet เองก็มีข้อเขียนของ Prof. Lancaster แห่งมหาวิทยาลัย California, Berkeley ผู้เชี่ยวชาญทางพระพุทธศาสนาคนหนึ่งในต่างประเทศ ที่ได้มาดูงานพระไตรปิฎก ของมหาวิทยาลัยมหิดล อีกทั้งได้เคยร่วมในการนำพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์นี้ไปแสดงที่ประเทศญี่ปุ่นด้วย ทั้งๆ ที่ข้อเขียนของ Prof. Lancaster  ก็มีอยู่ใน Internet แต่พ.อ.บรรจง ไชยลังกา กลับไม่นำมาอ้าง หรือไม่รู้จัก แต่กลับนำเอาเอกสารของคนที่ขาดความรู้มา เพื่อจะให้ข้อผิดพลาดของคนที่ไม่รู้นั้นมาสนองเจตนาทุจริตของตน จากคุณ : ระนาดเอก เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 07:19:41

ความคิดเห็นที่ 15          • บิดเบือนแม้แต่ข้อมูลเอกสารที่ชัดเจน          การกระทำของกลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล ตลอดถึง พ.อ.บรรจง ไชยลังกา นี้ ยิ่งดูลึกลงไป ก็ยิ่งชัดเจนว่า มิใช่เพียงขาดความรู้ความเข้าใจหรือรู้ไม่เท่าถึงการณ์เท่านั้น แต่เกิดจากเจตนาที่ไม่สุจริตแน่นอน เพราะเมื่อไปดูในหนังสือที่เขาพิมพ์เผยแพร่ จะพบการปั้นแต่งเรื่องที่เป็นเท็จขึ้นมารองรับหรือสนับสนุนการกระทำของตนด้วย ดังที่เขาเขียนว่า                    “…ซึ่งมหาวิทยาลัย Hanazono ของประเทศญี่ปุ่น ได้นำเอาพระไตรปิฎก ซึ่งมหาวิทยาลัยมหิดลจัดสร้างขึ้นนี้ไปทำการวิจัย ซึ่งใช้เวลาเกือบ ๕ ปี โดยเทียบเคียงทั้งด้านภาษาไทย ภาษาบาลี และภาษาอังกฤษ โดยนักวิชาการพุทธศาสนา และภาษาศาสตร์ จากนั้นจึงได้ประกาศรายงานสากล เพื่อส่งสัญญาณเตือนพุทธศาสนิกชน … ซึ่งสามารถใช้อ้างอิงความถูกต้องทางวิชาการได้โดยสากล (International Research)…”                                                                                (หนังสือ ไวรัสศาสนา มหันตภัยของชาวพุทธ (ฉบับคัดย่อ) พิมพ์ครั้งที่ ๑ — ๒๓ ตุลาคม ๒๕๔๒)          ข้อความที่เขาเขียนขึ้นนี้ไม่มีความจริงหรือสาระอะไรเลย เป็นเพียงการเอาต่างประเทศ และภาษาอังกฤษมาอ้างให้ดูหนักแน่น และเรื่องที่อ้างก็ไม่เป็นความจริงด้วย ทั้งแสดงความเท็จและขาดความภูมิใจมั่นใจในชาติของตนเอง อีกทั้งแปลภาษาอังกฤษผิดๆ พลาด (โดยไม่รู้ หรือโดยแกล้งแปลให้ผิด) เช่น          ที่ว่า มหาวิทยาลัย Hanazono นำพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ ไปทำการวิจัย ๕ ปี แล้วประกาศรายงานสากลออกมา ก็เป็นการปั้นแต่งเรื่องขึ้นมาอย่างน่าขำขัน เรื่องจริงมีแค่ว่า วารสารของมหาวิทยาลัย Hanazono ฉบับหนึ่ง ลงพิมพ์ข้อเขียนของฝรั่งชาวสวิสชื่อ Urs App ที่เขียนแนะนำให้รู้จักพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ ของมหาวิทยาลัยมหิดล แต่ผู้เขียนรู้ข้อมูลไม่ชัดเจนและไม่เพียงพอ จึงเขียนผิดๆ ถูกๆ พอให้รู้จัก ไม่ใช่เป็นการวิจัยอะไรเลย          คำว่า International Research ที่ยกมาอ้างนั้น ที่จริงเป็นเพียงส่วนต้นของชื่อส่วนงาน ในมหาวิทยาลัย Hanazono ซึ่งมีชื่อเต็มว่า International Research Institute for Zen Buddhism (สถาบันวิจัยระหว่างชาติสำหรับพุทธศาสนานิกายเซน) ที่รับเอาข้อเขียนของฝรั่งคนนั้นมาเป็นข้อมูลเก็บไว้และช่วยเผยแพร่ออกไป มิใช่ว่าจะมีการทำงานวิจัยอะไรในเรื่องนี้ แต่ประการใด          ข่าวสารที่นาย Urs App เขียน ซึ่งวารสารของมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นนำมาพิมพ์นั้น ไม่ใช่เรื่องประเภทวิจัย ถ้าจะทำงานเกี่ยวกับพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยมหิดลในเรื่องนี้ มีงานที่จะทำ ๒ อย่าง คือ          ๑) การตรวจสอบเทียบกับต้นฉบับเดิมที่เป็นเล่มหนังสือ คือ ฉบับสยามรัฐ งานนี้ไม่ต้องใช้เวลามากมายถึง ๕ ปี เพียงแค่ไม่กี่เดือนก็เสร็จ คณะผู้เชี่ยวชาญภาษาบาลี ๓๐–๔๐ คนของ พ.อ.บรรจง ไชยลังกา เองนั่นแหละ ถ้ามีความรู้ชำนาญจริง จะทำงานนี้ได้เร็วกว่าและดีกว่ามหาวิทยาลัย Hanazono มากมาย          (คนญี่ปุ่นถึงเป็นชาวพุทธ ก็เป็นมหายาน คนที่จะมีพื้นฐานบาลีดีหาได้ยาก คนญี่ปุ่นอ่านพระไตรปิฎกบาลีกว่าจะได้สัก ๑ หน้า พระไทยอ่านไป ๓-๔-๕ หน้าแล้ว จริงอยู่ คนญี่ปุ่นที่ศึกษาภาษาบาลีดีก็มีอยู่บ้าง แต่ทั้งประเทศมีไม่กี่คน นับตัวได้ พ.อ.บรรจง ไชยลังกา กับพวก ตัวเองเป็นคนไทย อยู่ในแดนเถรวาทที่ใช้คัมภีร์บาลี หาความรู้เรื่องนี้ได้ดีกว่า แต่กลับไปอ้างญี่ปุ่น เลยลดคุณค่าของตน ยิ่งทำให้ตัวเองไม่น่าเชื่อหนักลงไปอีก)          ๒) อีกงานหนึ่งที่จะทำกับพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ คือมาเรียนวิธีทำโปรแกรมค้นที่มหาวิทยาลัยมหิดล หรือจะพัฒนาโปรแกรมของตัวเองขึ้นก็แล้วแต่ แต่ข้อเขียนของนาย Urs App ที่วารสารมหาวิทยาลัย Hanazono ในญี่ปุ่นนำมาลงนั้น ไม่ใช่งานวิจัย ไม่ใช่รายงานผลการวิจัย เป็นเพียงการแนะนำให้รู้จักพระไตรปิฎกบาลีฉบับคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยมหิดล          (ข้อน่าขำแทรกเข้ามาอีกอย่างหนึ่ง คือ ดร.เบญจ์ บาระกุล เขียนไว้แห่งหนึ่งว่า มหาวิทยาลัย Hanazono วิจัยพระไตรปิฎกบาลีฉบับคอมพิวเตอร์ของมหิดล ใช้เวลาเกือบ ๕ ปีจึงทำรายงานออกมา (หน้า ๔๘) แต่อีกแห่งหนึ่งเขียนว่า รายงานวิจัยนี้ได้เผยแพร่ไปทั่วโลกเป็นเวลาเกือบ ๑๐ ปี (หน้า ๔๙) ถ้านับตามนี้ พระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ของมหิดลก็ต้องเสร็จแล้วอย่างน้อย ๑๕ ปี แต่ความจริงพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ของมหิดล เพิ่งเสร็จในปี ๒๕๓๑ ถึงบัดนี้ ๑๑ ปีเท่านั้น จะเห็นว่า การเขียนความเท็จนั้น ยิ่งเขียนไป ความเท็จก็ยิ่งต้องโผล่มากขึ้นๆ)          แม้แต่นำข้อความที่นาย Urs App มาอ้าง แล้วแปลเป็นไทย กลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล ก็ยังแปลผิดอีก ข้อมูลของนาย Urs App ก็ผิดขั้นหนึ่งแล้ว ยังเอามาแปลผิด ซ้ำเข้าไปอีก เช่นตอนท้ายข้อเขียนแนะนำของนาย Urs App นั้นว่า (พระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยมหิดลนี้)                    “… as a new edition whose differences from the printed version are unknown”          กลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล แปลว่า                    “… เป็นพระไตรปิฎกที่แต่งขึ้นเองใหม่ ซึ่งมีความแตกต่างจากพระไตรปิฎกฉบับหนังสือ (สยามรัฐฉบับหลวง) และไม่ทราบว่านำมาจากที่ใด”                                                                                          (หนังสือ ไวรัสศาสนาฯ หน้า ๔๙)          ถ้าใครมองไม่เห็นความผิดหรือการบิดเบือนในคำแปลของกลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล ก็ไม่อาจรู้เท่าทันคนกลุ่มนี้ และแน่นอนว่าจะถูกหลอกลวงได้          คำแปลที่ตรงไปตรงมา คือ                    “…เป็นฉบับจัดพิมพ์(ชำระ)ใหม่ ซึ่งไม่ทราบว่ามีข้อแตกต่างอะไรบ้างจากฉบับพิมพ์เป็นเล่มหนังสือ(เดิม)”          จุดสังเกตที่แสดงการแปลบิดเบือน คือที่ ดร.เบญจ์ บาระกุล ว่า “แต่งขึ้นเองใหม่” และ “ไม่ทราบว่านำมาจากที่ใด” ซึ่งไม่มีในข้อเขียนของนาย Urs App          ความจริงก็คือ เป็นฉบับเดิมนั่นแหละ การแก้ไขและข้อแตกต่างก็มีเพียงการแก้คำผิดในฉบับเดิมเล็กๆ น้อยๆ (เช่น ภิกขุ และ ภิขุ แก้เป็น ภิกฺขุ) และส่วนที่พระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์เองพิมพ์ผิดตกหล่นไปบ้าง ซึ่งเป็นธรรมดาที่จะไม่เป็นที่รู้แก่นาย Urs App และคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มาสอบถามโดยตรง เพราะไม่ใช่เรื่องที่จะต้องถึงกับบันทึกไว้ในคัมภีร์ (พระไตรปิฎกบาลีฉบับสยามรัฐเอง ที่พิมพ์ครั้งใหม่ ก็มีการแก้ตัวอักษรผิดตกหล่น ซึ่งผู้อ่านไม่สามารถทราบได้ว่าแปลกจากฉบับพิมพ์ครั้งก่อนที่ไหนบ้าง) จากคุณ : ระนาดเอก เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 07:21:33

ความคิดเห็นที่ 16 • กล่าวหาเขา คือพิสูจน์ความเบาปัญญาของตนเอง          หนังสือของ ดร.เบญจ์ บาระกุล นอกจากบิดเบือนแล้ว ก็เต็มไปด้วยความผิดพลาดเนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจ เช่น เขาเขียนว่า (หนังสือ ไวรัสศาสนาฯ หน้า ๕๐–๕๑)          - พระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐฉบับหลวง มี ๗๐ เล่ม (ความจริง มี ๔๕ เล่ม)          - ถูกทำเป็น ๓ ภาษา คือ ภาษาบาลี ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ (ความจริงมีเพียงฉบับภาษาบาลีอย่างหนึ่ง และฉบับแปลเป็นภาษาไทยอย่างหนึ่ง; ที่เป็น ๓ ก็เพราะฉบับบาลีนั้น มี ๒ ชุด คือ ชุดอักษรไทย กับอักษรโรมัน สองชุดนี้ไม่ต้องพิมพ์ ๒ ครั้ง แต่พิมพ์ครั้งเดียว เป็นชุดเดียว เพียงแต่ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ แปลงตัวอักษรจากอักษรไทยเป็นอักษรโรมัน ได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์ใหม่)          - เฉพาะพระสูตรอย่างเดียวมี ๓๐ ล้านตัวอักษร จะต้องใช้เวลาพิมพ์ ๕ ปีเศษ รวมทั้งหมด ๑๐๔ ล้านตัวอักษร จะต้องใช้เวลามากขนาดไหน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำเสร็จในปีเดียว (เรื่องนี้เขาไม่รู้ไม่เข้าใจว่า ทางสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ใช้คนพิมพ์หลายสิบคน และเครื่องคอมพิวเตอร์หลายสิบเครื่อง หลักฐานก็คือ การพิมพ์ป้อนข้อมูลเสร็จภายในปีเดียว ซึ่งเป็นเหตุการณ์จริง ที่ได้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อเขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้ แต่มหาวิทยาลัยมหิดลทำได้จริงแล้ว เขาก็ควรมาหาเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ช่วยอธิบายว่าทำได้อย่างไร ไม่ใช่คิดฟุ้งซ่านสรุปเอาเองว่าเป็นไปไม่ได้)          ส่วนที่เขาเขียนว่า                    “พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) กล่าวว่าเป็นเพียงผู้เดียวที่ตรวจสอบเทียบเคียงความถูกต้องทั้ง ๓ ภาษา”          ข้อความนี้ ได้เคยบอกแล้วว่าเป็นคำที่กลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล เขียนขึ้นเอง พระธรรมปิฎกไม่เคยพูดอย่างนั้นในที่ไหนๆ เพราะไม่มีเวลา และไม่มีหน้าที่อะไรที่จะต้องทำงานนั้น          อนึ่ง แม้ถ้าพระธรรมปิฎกจะพูดก็จะไม่พูดอย่างนั้น เพราะเป็นข้อความที่ไม่ถูกต้อง กล่าวคือพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยมหิดลจัดทำ มิใช่มี ๓ ภาษา แต่มีเพียง ๒ ภาษา เท่านั้น คือฉบับภาษาบาลีเดิม กับฉบับแปลเป็นภาษาไทย เพียงแต่ว่าฉบับภาษาบาลีมี ๒ ชุด คือ ฉบับภาษาบาลีอักษรไทย กับฉบับภาษาบาลีอักษรโรมัน (ภาษาบาลีภาษาเดียวแต่อักษร ๒ แบบ แต่กลุ่ม พ.อ.บรรจง เข้าใจผิดว่ามี ๓ ภาษา คือ ภาษาบาลี ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ เพราะความไม่รู้และเข้าใจผิดนี้ เมื่อจะพูดเท็จบิดเบือน ความเท็จของตนก็โผล่ขึ้นมาเอง คือจะปลอมคำพูด แต่ก็ปลอมไม่ถูก)          นอกจากนั้น ยังเขียนให้เข้าใจว่า พระไตรปิฎกฉบับแปลภาษาไทยของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ยังใช้เวลาถึง ๕ ปี พระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์ ของมหาวิทยาลัยมหิดล จะเสร็จใน ๑ ปี ได้อย่างไร ซึ่งที่จริงไม่มีอะไรน่าสงสัยแปลกใจ พระไตรปิฎกแปลไทยของมหาจุฬาฯ เป็นงานแปลจากบาลีเป็นไทย ก็เป็นธรรมดาที่การแปลย่อมใช้เวลามาก ส่วนพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ไม่ได้ทำอะไรใหม่ เพียงแค่พิมพ์ข้อมูลที่มีอยู่แล้วจากพระไตรปิฎกบาลีฉบับสยามรัฐลงไปในคอมพิวเตอร์เท่านั้น โดยพิมพ์ไปตามต้นฉบับเดิม ก็ย่อมเป็นธรรมดาจะใช้เวลาน้อยกว่าเป็นอันมาก (ความยากอยู่ที่ทำโปรแกรมค้น)          การปั้นแต่งเรื่องเท็จใส่ความ ที่กลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล ตลอดถึงชมรมชาวพุทธสามเหล่าทัพ ได้ทำขึ้นทั้งหมดนั้น หมดความหมายไร้น้ำหนักไป ก็เพราะการขาดความรู้ความเข้าใจพระพุทธศาสนา ในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้อง เช่น เมื่อกล่าวหาผู้อื่นว่าบิดเบือนพระไตรปิฎก แต่ตนเองก็ไม่รู้จักพระไตรปิฎกจริง ทำให้คำกล่าวหาเกิดข้อผิดพลาดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และการปั้นแต่งเรื่องเท็จไม่สนิทแนบเนียน จนกลายเป็นการฟ้องถึงความขลาดเขลาและทุจริตของตนเอง          นอกจากไม่รู้เรื่องพระพุทธศาสนาเพียงพอแล้ว ก็ขาดความรู้ด้านภาษา ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาบาลี ซึ่งยิ่งกล่าวหาและปั้นแต่งเรื่องมาก ก็ยิ่งกลายเป็นการเปิดโปงความเท็จความเขลาและเจตนาทุจริตของตนเองมาก จากคุณ : ระนาดเอก เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 07:22:46

ความคิดเห็นที่ 17 ๓. ความไม่รู้ไม่เข้าใจ หรือแสร้งไม่รู้ไม่เข้าใจความรับผิดชอบในระบบงาน          ในเรื่องการทำพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์นั้น เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่ามีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร กล่าวคือมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นผู้ริเริ่มและจัดทำ โดยมติของสภามหาวิทยาลัย แล้วมอบให้สำนักคอมพิวเตอร์เป็นผู้ดำเนินการ และได้นิมนต์พระธรรมปิฎก เป็นที่ปรึกษา          พระธรรมปิฎก ในฐานะเป็นที่ปรึกษา ย่อมไม่มีความรับผิดชอบในด้านการจัดทำ และในเมื่อการทำพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์นั้นมุ่งที่ความสะดวกรวดเร็วในการค้นคว้าพระไตรปิฎกเดิมที่มีอยู่แล้ว ดังนั้น หน้าที่ของที่ปรึกษา ก็คือให้ความรู้ความเข้าใจและข้อแนะนำต่างๆ เช่น          • คัมภีร์พุทธศาสนาเป็นอย่างไร จัดแบ่งเป็นกี่ประเภท มีคัมภีร์อะไรบ้าง พระไตรปิฎกเป็นอย่างไร มีลักษณะอย่างไร ในประเทศไทยมีกี่ฉบับ เราควรใช้ฉบับไหน ด้วยเหตุผลอย่างไร และจะหาได้ที่ใด          • ในการที่จะจัดทำเป็นพระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์นั้น เมื่อต้องการจะให้ได้ประโยชน์แก่ผู้ใช้ จะให้ความสะดวกแก่ผู้ศึกษาค้นคว้า ควรจะค้นศัพท์ในทำนองใด ลักษณะการค้นศัพท์ควรจะเป็นอย่างไรบ้าง เช่นค้นเป็นคำ ค้นเป็นวลี ค้นศัพท์ย่อยที่รวมอยู่ในคำยาวๆ ที่เรียกว่า คำสมาส ผู้ใช้จะต้องการอย่างไร ภาษาบาลีมีลักษณะพิเศษอย่างไรที่ควรจะต้องรู้เข้าใจ เพื่อทำให้การค้นศัพท์นั้นได้ผลดี          • ชาวต่างประเทศอ่านภาษาบาลีอักษรไทยไม่ค่อยได้ มีอักษรอะไรอีกบ้างที่นิยมใช้เขียนภาษาบาลี โดยเฉพาะอักษรที่ใช้กันมากระหว่างประเทศคืออักษรโรมัน เราจะช่วยเขาโดยทำเป็นอักษรโรมันเป็นต้นด้วยได้ไหม          • พระไตรปิฎกที่พิมพ์กันในประเทศต่างๆ แม้จะมีเนื้อหาอันเดียวกัน แต่มีการจัดแบ่งข้อหน้าเป็นต้น ไม่เหมือนกัน เมื่อมีการอ้างอิงพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกต่างฉบับกัน จึงค้นหาได้ยาก ทำอย่างไรจะใช้พระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์ฉบับเดียวนี้ค้นหาพุทธพจน์ที่อ้างอิงตามระบบของพระไตรปิฎกฉบับอื่นๆ ได้ทุกฉบับ (วิธีการนี้พระธรรมปิฎกได้เสนอนำมาใช้ในการจัดทำพระไตรปิฎกฉบับเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ ด้วย)          • เมื่อมีข้อสงสัยหรือติดขัดระหว่างดำเนินการ ก็ไปปรึกษาสอบถาม เช่นที่ยกตัวอย่างให้ดูข้างต้นว่า คณะผู้ทำงานเคยเห็น ภิกฺขุ บ่อยมากจนชินตา ต่อมาบางแห่งพบ ภิขุ บ้าง ภิกขุ บ้าง สงสัยว่าต้นฉบับเดิมจะพิมพ์ผิด ก็พิมพ์ออกมาและส่งไปถามพระธรรมปิฎก เพื่อให้ช่วยวินิจฉัย ในฐานะผู้รู้ภาษาบาลี และรู้จักพระไตรปิฎก ท่านก็จะตรวจสอบจนแน่ใจไม่ให้ผิดพลาดในกรณีที่ปรึกษานั้นๆ          พ.อ.บรรจง ไชยลังกา ถ้าเป็นครูอาจารย์ มีการศึกษาพอสมควร ก็น่าจะรู้ว่าหน้าที่และความรับผิดชอบของที่ปรึกษาเป็นอย่างไร และมีแค่ไหนเพียงใด การกล่าวหาว่าพระธรรมปิฎกร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดลทำพระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์ นอกจากผิดจากความเป็นจริงอย่างชัดเจนแล้ว ก็แสดงถึงเจตนาร้ายที่จะบิดเบือนเรื่องราวให้เข้ากับความเท็จที่พวกตนปั้นแต่งขึ้นมา          คนกลุ่มที่ใช้ชื่อว่า ดร.เบญจ์ บาระกุล และที่อ้างตัวเป็นชมรมชาวพุทธสามเหล่าทัพนี้ ทำทีว่ารักพระพุทธศาสนา จะรักษาพระไตรปิฎก แต่การกระทำของเขาพิสูจน์ตัวเองว่า ความประสงค์ที่แท้จริงของเขามุ่งจะสร้างเรื่องใส่ร้ายป้ายสีบุคคลในเป้าหมาย โดยเฉพาะพระธรรมปิฎก การที่เขายกเรื่องพระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์ขึ้นมา ก็เพียงเพื่อหาแง่หามุมมาบิดเบือนปั้นแต่งเรื่องใส่ร้ายเท่านั้น          ทั้งที่เขารู้อยู่ว่าพระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์สำคัญสูงสุดของพระพุทธศาสนา เป็นที่สถิตของพระธรรมวินัยที่เป็นพระบรมศาสดาของชาวพุทธ แต่เขาไม่ได้มีความเคารพหรือความจริงใจต่อพระไตรปิฎกนั้นเลย เขาทำกับพระไตรปิฎกเหมือนเป็นเครื่องเล่น โดยเอาพระไตรปิฎกมาใช้เพียงเป็นเครื่องมือประทุษร้ายผู้อื่นสนองเจตนาร้ายของตน แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 53 03:45:28 จากคุณ : ระนาดเอก เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 07:23:57

ความคิดเห็นที่ 18 บางทีคนรู้มากก็เป็นพวกรู้จำ หรือไม่ได้รู้จริง ส่วนตัวผมเป็นพวกไม่รู้อะไรเลยแต่ใจไม่ทุกข์ จากคุณ : phisak เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 07:39:16

ความคิดเห็นที่ 19 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 08:07:05

ความคิดเห็นที่ 20 ^ ^ ^ #18 พูดงี้แสดงว่าไม่รู้อะไรจริงๆ รวมถึงไม่รู้จักตัวเอง ด้วย แล้วรู้ได้ไงว่าคนอื่นเขารู้จริง หรือไม่จริง อยู่ท่ามกลางผู้รู้  กลางเหตุการณ์ แต่ปิดประตูใจอยู่ แล้วจะได้ประโยชน์อะไรจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไหมเนี่ย....เฮ้อ.... ____________________________ โหวต ค่ะ กิฟหมดแล้ววว ขอเพิ่มจะได้ไหมเนี่ย จากคุณ : เอิงเอย เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 08:15:57

ความคิดเห็นที่ 21 อืม ยังไงล่ะทีนี้ จากคุณ : wattakasopon เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 08:18:50

ความคิดเห็นที่ 22 เมาบุญ บ้าบุญ นี่หรือคือ กุศลอันแท้จริง มีสิ่งใดบ้างที่เรียกได้ว่าเป็นกุศลอันแท้จริง ของสำนักอลัชชีแห่งนี้ กุศลชนิดที่ต้องการตัด หรือต้องการข้ามพ้นจากวัฏฏะ มีตรงไหน ได้แต่คอยบอกคอยสอนให้สะสม สะสม ทำให้พะรุง พะรังเข้าไว้ น่าสมเพชในความ โง่ เหลือกำลัง โง่ เหลือกำลังคนเดียวยังไม่พอ ยังจะชวนคนอื่นๆ ผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวให้ โง่ แบบชนิดไม่ลืมหูลืมตาด้วย น่าสมเพช น่าสมเพช จากคุณ : abhirakk เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 08:24:29

ความคิดเห็นที่ 23 BUDSIR  บักเบญจ์ ไปเติมว่า BUDS(h)IR(t) จ๊ะ ง่ะพี่ Mr. Fusion  อย่างนี้มันต้องเข้ามารุมตื้บแล้วจ้ะ ไม่ใช่แค่มามุง โต๊ะศาสนา หนักกว่าเฉลิมไทยนะจ๊ะ แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 53 08:56:25 จากคุณ : Winter Tear เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 08:49:52

ความคิดเห็นที่ 24 เมาบุญ อยากได้บุญ แต่ได้สร้างบาปเข้าไปเท่าไหร่แล้ว คติที่ไปของคนเหล่านี้หลังจากกายแตกจะได้ไปดุสิตจริงหรือ เฮอะ หลงกันเข้าไป โหวต !!!!! จากคุณ : ชาล้นถ้วย เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 09:14:19

ความคิดเห็นที่ 25 คุณ phisak  คคห. 18  ใจไม่เป็นทุกข์จริงหรือคะ อย่าผิดศีลข้อ 4 โดยไม่จำเป็นนะคะ กล่าวส่อเสียดก็ทำให้ศีลข้อ 4 ด่างพร้อยแล้วค่ะคุ๊ณณณ จากคุณ : Squires เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 10:29:42

ความคิดเห็นที่ 26 สนุนให้ตีแผ่ข้อเท็จจริง พระศาสดาท่านสอนให้ทำกุศล ละอกุศล แต่มิเคยสอนให้ยึดติดในกามคุณ มิจฉาทิฏฐิทำให้ไม่พึงงอกงามในธรรมที่พระศาสดาประกาศได้ เป็นเช่นนั้นแล้วก็เป้นลัทธิ1ที่ทำบุญเพื่อขึ้นสวรรค์แต่ไมได้ยังให้บุคคลพ้นทุกข์เลย จากคุณ : มอสคุงอะครับ เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 10:33:22

ความคิดเห็นที่ 27 นิพพานให้เปล่า ไม่ต้องเสียสักบาท พุทธทาสเคยกล่าวไว้ จากคุณ : F:A:B:R:E เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 10:43:22

ความคิดเห็นที่ 28 แหล่มมากมายค่ะ ท่าน ร ด น ถือเป็นกระทู้ประวัติศาสตร์ทีเดียว ที่เหล่าสาวกจานบินจอมแถกจำต้องยอมหดหัว ด้วยความจริงที่นำมาเสนอนี้เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ทุกเมื่อ มันผู้ใดที่พูดไม่จริง ... จึงจำต้อง "ม้าน" บ่ายหน้าหลบไป ชาบู  ชาบู  ชาบู จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 10:59:10

ความคิดเห็นที่ 30 อยากให้เปรียบเทียบ โบสถ์ของพระพุทธทาส และโบสถ์ของธรรมกาย ก็พอจะเข้าใจ คนที่เต็มใจให้หลอกก็ให้เขาหลอกต่อไป จากคุณ : ckp (cliffkapa) เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 11:31:51

ความคิดเห็นที่ 31 พระพุทธองค์เป็นนักสอนเอกของโลก ก็ไม่เคยว่าร้ายใครในลักษณะ ที่เจ้าของกระทู้กระทำอยู่ เพราะท่านเข้าถึงหลักธรรม เป็นพระสุมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติบัติได้จนมาสอนผู้อื่น แต่มีบางคนปฏิบัติไม่ได้ แต่อยากจะสอนคนอื่น ยกตัวว่าเป็นผู้มีปัญญามากกว่าใคร คนพวกนี้ เข้าไม่ถึงธรรมะหรอกครับ แท้จริงแล้วเป็นผู้มีปัญญาจริงหรือไม่? ยังมีกิเลสเกาะใจอยู่มากมายหรือไม่? กิเลสเหล่านั้นแหละครับ ที่ทำให้ จขกท.เป็นแบบที่เป็นอยู่ คิดแบบที่เป็นอยู่ ทำแบบที่เป็นอยู่ พระพุทธองค์แม้ได้เจอกับปริพาชก หรือผู้ไม่รู้อื่น ที่มีความเห็นไม่ถูกต้อง พระพุทธองค์ท่านแสดงธรรมในลักษณะใด ประกอบด้วยเมตตา กรุณา อย่างไร? ต่อผู้ไม่รู้เหล่านั้นอย่างไร? มีลักษณะเหมือน จขกท.หรือไม่? ลองพิจารณาดู เราแสดงธรรมที่มากจากการปฏิบัติได้มาก ก็จะมีลักษณะ ที่ผู้ฟัง ผู้อ่าน อยากทำความดี สามารถยกใจผู้คนได้ มากน้อยก็อยู่ที่ธรรมะของเรา มาจากหลักธรรมที่ถูกต้อง และตัวผู้พูดสามารถปฏิบัติตามหลักนั้น ได้มากน้อยเพียงใดครับ เรายังยึดดี ยึดถูก แต่เรายังคิดไม่ดี ทำไม่ดีอยู่ เราไม่ได้ธรรมะอะไรหรอกครับ คนอื่นเขาปฏิบัติได้แค่ไหน? เราไปรู้อะไร เพราะตัวเราเอง ยังไม่รุ้ จักตัวเองเลยครับ ที่ว่ามีสติ สติอะไรหรือครับ? ถึงได้คิด พูดแบบนี้ ทำแบบนี้ ให้ดูพระพุทธองค์เป็นตัวอย่าง ท่านแสดงธรรมะ ท่านสอนผู้อื่นอย่างไร? พระพุทธองค์ท่านสอนธรรมะ มีลักษณะเด่นคือ เติมความดี มีดีอย่างไร? ถูกอย่างไรก็ว่าไป เคยเห็นพระองค์ดูถูกผู้ไม่รู้ ดุด่าผู้ไม่รู้ แล้วค่อยสอน หรือไม่? เรายังไม่ได้ธรรมะ เรายังไม่เข้าถึงธรรมะ เราเอาอะไรมาสอน มาบอกผู้อื่น ครับ ให้สอนตนเอง สอนให้ได้ก่อนนะครับ คนอื่นไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก ชีวิตสั้นนัก อย่าประมาทเลยครับ แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 53 12:49:16 จากคุณ : ในความฝันของใครสักคน เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 12:46:44

ความคิดเห็นที่ 34 ท่าน...ในความฝันของใครสักคน          ท่านต้องแยกแยะระหว่าง "หลักธรรมคำสอน" กับ "ข้อเท็จจริงในทางโลก" นะ ว่าอะไรมันเป็นอะไร แล้วก็...ผิดก็ต้องว่าตามผิด แก้ไขได้ก็ต้องแก้ไข ไม่ใช่ว่าผิดแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จนสุดท้ายมันจะกลายเป็นว่าความเสียหายลุกลามไปไกลจนสายเกินแก้ จากคุณ : นักศึกษาธรรมมะฝึกหัด...ครับ (Arltenis) เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 13:23:15

ความคิดเห็นที่ 35 #31  ถ้าคุณไม่ยึด ก็เงียบปากไปซะนะจ๊ะ   เลิกยึดอะไรกับเว็บพันทิปนี้  จะไปไหน ก็"ไสหัว" ไปได้นะจ๊ะั จากคุณ : Winter Tear เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 13:28:28

ความคิดเห็นที่ 37 #31 คนที่นี่ ไม่ได้มีหน้าที่สนอง "กิเลส" ของอลัชชีและบรรดาสาวกนะจ๊ะ ทนกับบอร์ดนี้ไม่ได้ ก็ไม่ได้มีใครเขาผูกคอล่ามขาคุณไว้นะจ๊ะ ถ้าดีแต่สะบัดสำนวน แสร้งด่าคนอื่นแบบสุภาพ นั่นคือคุณเองแสดงความ...ด้าน...ยิ่งกว่าใครๆ เขาอีก จากคุณ : Winter Tear เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 13:39:58

ความคิดเห็นที่ 42 มาโหวตกระทู้ครับ ปล.ระวังการเบี่ยงเบนประเด็นหลักของกระทู้ด้วยครับ จากคุณ : ปล่อย เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 14:20:17

ความคิดเห็นที่ 43 ^ ^ ^ ๑๐ คะแนน!!! จากคุณ : นักศึกษาธรรมมะฝึกหัด...ครับ (Arltenis) เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 14:22:53

ความคิดเห็นที่ 44 คคห.ที่ 33 จะให้ด่าแบบสาดเสียเทเสียหรือครับ ใครจะทำไม่ดีอย่างไร? ก็เรื่องของเขา จะไปด่าให้ใครเลวไม่มีหรอกครับ เพราะความไม่ดี ความเลวมันก็อยู่ของมันไม่หายไปไหน ไม่มีใครจะมาลบล้างได้ ใครคิดไม่ดี ก็จะทำไม่ดี พูดไม่ดี ความดีความชั่วมันไม่หายไปไหน เพราะคำพูดของบุคคลอื่น เราทำดี เขาว่าชั่วก็ไม่ชั่วตามปากของเขา เราทำไม่ดี เขาว่าดีก็ไม่ดีตามปากของเขา มงคลที่ 1 อย่าคบคนพาล เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เป็นมงคลแห่งชีวิต มนุษย์ เมื่อคบคนพาลเสียแล้ว โอกาสที่จะทำความดี ก็ยากขึ้นไปอีก เราจะรักษาความดีของเราได้ จะต้องมีความละอายเกรงกลัวต่อบาป เมื่อรู้ว่าสิ่งใดบาป ก็ต้องต่อสู้กับกิเลสของเราอีก จึงจะเอาชนะสามารถ รักษาความดีได้ เพราะกิเลสของเราจะชักนำให้ทำความไม่ดีอยู่ตลอดเวลา จะมีความละอายเกรงกลัวต่อบาป ก็ต่อเมื่อรู้ผลของการทำบาป ว่าจะรับผลอย่างไร? ถ้าไม่รู้ตรงนี้ หรือรู้แต่ไม่เชื่อ รู้แต่ไม่แน่ใจ ก็จะเป็นผู้แพ้ตลอด มันจะแพ้ใจตัวเองนั่นแหละ เมื่อคิดไม่ดีกับผู้อื่น ปากก็อยากจะว่าเขา อยากจะด่าเขา จนสุดท้ายก็อยากจะทำร้ายเขา ไม่อยากจะเห็นหน้า เพราะเกลียดเขา มันถึงได้เป็นผู้แพ้ตลอด เพราะไม่สามารถรักษาความดีของเราได้ บางครั้งทำไม่ดี เพราะมีความคิดว่าเราจะต้องทำดี มารูปรอยแห่งความดี เช่น เพื่อชาติ เพื่อปกป้องคนที่เรารัก ปกป้องความเชื่อของเรา ก็สามารถ ชักนำให้เราทำความไม่ดีได้ สามารถให้เราฆ่าผู้อื่นได้ ด่าผู้อื่นได้ เยียดหยามผู้อื่นได้   เมื่อถึงจุดนี้ เราจะรู้ธรรมะไปเพื่ออะไรเล่าครับ แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 53 15:12:17 จากคุณ : ในความฝันของใครสักคน เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 15:06:24

ความคิดเห็นที่ 46 คห. ๔๔ ของท่าน...ในความฝันของใครสักคน น่าคิดนะ...ในหลายๆความหมาย และในหลายๆบุคคล (โดยเฉพาะย่อหน้าสุดท้าย) ปล. จริงๆแล้วมันก็แค่...หลักคำสอนของวัดธรรมกายไม่ใช่หลักคำสอนของพระพุทธศาสนา...แค่นี้แหละ จากคุณ : นักศึกษาธรรมมะฝึกหัด...ครับ (Arltenis) เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 15:32:14

ความคิดเห็นที่ 48 อ่านกะ โหวต ไม่ทะเลาะ เชื่อไม่เชื่อ คิดเอาเอง จากคุณ : สระนาฬิเกร์ เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 17:04:55

ความคิดเห็นที่ 49 เรื่องบิดเบือนพระไตรปิฏกนี่ลูกศิษย์วัดธรรมกายมีหลักฐานอะไรมาแย้งหรือไม่ครับ หรือยอมรับว่าทางวัดมีการบิดเบือนพระไตรปิฏกจริง - ถ้าไม่ยอมรับว่าทางวัดมีการบิดเบือนพระไตรปิฏก ก็อยากทราบด้วยว่าทำไมถึงไม่ยอมรับ มีหลักฐานสนับสนุนหรือไม่? - และถ้ายอมรับว่าทางวัดมีการบิดเบือนพระไตรปิฏก ก็อยากทราบว่า การที่สนับสนุนวัดที่ทำลายพระพุทธศาสนาเป็นการกระทำที่สมควรหรือ? ----------------------------------------------------------------------------------- ปล.รู้สึกว่ากระทู้เริ่มออกทะเล แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 53 18:23:37 แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 53 18:22:46 จากคุณ : ขยันและอดทน เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 17:59:13

ความคิดเห็นที่ 50 สงสัยอุเบกขากำลังเดือด..... คงต้องไปฝึกวิชา"ฮูฬัณร่า" มารับมือซะแล้วมั้งเนี่ยจ๊ะ จากคุณ : Winter Tear เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 18:40:46

ความคิดเห็นที่ 51 ขนาด Mr. Fusion ยังเข้ามาดูถึงห้องศาสนา กระทู้ชุดนี้ทำเอาผมเสียกิฟไปมากมาย ให้กำลังใจ จขกท เขียนต่อไปครับ โดยส่วนตัวนั้น วัดพระธรรมกายไม่ใช่พุทธศาสนาอยู่แล้ว แถมไอ้ที่สอนเพ่งลูกแก้ว ก็คลาดเคลื่อนจากของจริงๆ ที่วัดปากน้ำสอนกันมากนัก ฟังที่เจ้าสำนักนำนั่งสมาธิแล้ว ตอนแรกก็ดูเหมือนใช่ แต่ตอนหลังๆ มันไม่ใช่ ขนาดหยิบเอาของวัดปากน้ำมาสอน ก็เอามาไม่หมด แล้วปะติดปะต่อจนมั่ว คนที่เขารู้ตรงนี้ดี ฟังเดี๋ยวเดียวก็รู้ อะไรผิด อะไรถูก จากคุณ : ABP@BDZ เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 19:17:23

ความคิดเห็นที่ 52 อย่างที่รู้กันว่า ธรรมกาย เป็น แค่แหล่งขายฝันลมๆแล้งๆ  หิวเงินหิวเงินหิวเงินหิวเงิน -------- ผมรู้ว่าคนที่เข้ามาแถๆๆๆ เนี่ยก็รู้ ---------------- ผลกรรมของธรรมกายที่ ทำลายพุทธศาสนา   มันจะร้ายแรงเพียงใดหนอ จากคุณ : tanakeme เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 19:25:41

ความคิดเห็นที่ 54 คุณในความฝันของใครสักคน ...ละเม้ออะไรอยู่เหรอคะ ที่พล่ามมาทั้งหมดนั้นไม่ใช่ประเด็นเลย เจ้ากระทู้แค่บอกข้อเท็จจริงแยกไม่ออกเหรอคะ เอาความเห็นไว้สอนตัวเองกับ AYXC ดีกว่า พูดส่อเสียดชาวบ้านเป็นเด็กนะนู๋ หรือเป็นอีกโกหัญวิธี ของสาวกอลัชชี คือเบี่ยงเบนประเด็น ลากกระทู้ออกทะเล จากคุณ : Yogi Playgirl เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 20:15:13

ความคิดเห็นที่ 56 ถึงเจ้าของความคิดเห็นที่ 44 หลายๆคนที่ไม่เห็นด้วยกับวัดธรรมกายต่างแสดงหลักฐาน ข้อคิดเห็นมาอย่างมากมายและช้านาน แต่มิเคยได้รับคำตอบอันจะอ้างถึงหลักฐานอันจริง เหตุผลอันหนักแน่น หนำซ้ำยังได้รับรู้การข่มขู่ ผู้ที่ไม่เห็นด้วยถึงชีวิตในภพหน้า, การกระทำที่เรียกว่าฟลัดกระทู้, การเบี่ยงเบนประเด็น(แถ) อยู่เนืองๆ อันเป็นที่มาของความรังเกียจนอกเหนือจากการสอนที่ผิดหลักพุทธ และ/หรือ กรณีไม่ควรต่างๆของ วัดธรรมกาย  ดังนั้น  สมาชิกที่คุณคิดว่าหยาบคาย ส่อเสียด เกิดจากการกระทำของชนเหล่าของคุณ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นนั่นเอง จะแก้ไขอย่างไร? 1. ชาวธรรมกายต้องเลิกพฤติกรรมดังกล่าวข้างต้น 2. ชาวธรรมกายต้องถกเถียงด้วยเหตุ และ ผล ตามหลักฐาน นำมาคัดง้างเหตุผลของผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับ วัดของท่าน เมื่อประเด็นต่างๆถึงข้อยุติและเป็นจริงตามที่ท่านเสนอสมาชิกอื่นๆก็จะยอมรับโดยปริยาย สุดท้าย คำถามทิ้งไว้ข้ามสัปดาห์แล้ว ...ทำไมคุณกรรไกรรัตนและชาวธรรมกายถึงเชื่อหนังสือที่ให้ร้ายพระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ. ปยุตโต) ตามที่คุณกรรไกรรัตนนำเสนอไว้ในกระทู้ก่อนๆอย่างมากมาย(ภายหลังมาลบออก)... ขอทราบเหตุผลที่ท่านเชื่อนะครับ ในขณะนี้มีสมาชิกที่แสดงความเห็นแย้งกับข้อมูลที่คุณยกมาแล้วครับ จากคุณ : wattakasopon เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 20:40:30

ความคิดเห็นที่ 58 ในความฝันของใครสักคน...ใครซักคนที่ว่านี่ใช่อลัชชีปากแดงแปลงร่างได้หรือเปล่าจ๊ะ นี่ขนาดไม่สาธยายนะคะ เป็นคนดีจัง ถ้าข้างหลังมีปีกแล้ว..บินกลับยานแม่ไปดีมั้ย หรือไม่ก็เอาข้อเท็จจริงมาคุยกัน ไม่ใช่ดีแต่เอาคำสวยหรูดูดีแต่ไม่ใช่ประเด็น ถามใจตัวเองเถอะ ถ้าเริ่มจากโกหกตัวเองซะแล้ว มันคิดว่าตัวเองเป็นเทวดาอะไรก็ได้ทั้งนั้น แม้ทําลายศาสนาอยู่ก็ยังอุสาห์คิดไปได้ ว่าเขียนสิ่งที่ดี ออกมาจากใจที่ใสบริสุทธิ์ ถ้าอารมย์ดีไม่ด่าใครคงไม่ทุลนทุลาย จุกอกมาต่อความเห็นที่ 55 และ 57 หรอกจริงมั้ยคะ ต่อจากความเห็นนี้จะไม่ ถ้าเบี่ยงเบนประเด็นอีก จะขอลบความเห็นนะคะ สมาชิกท่านใดเห็นว่า ความเห็นคุณในความฝันของใครสักคน...ลากออกทะเลก็ลบตามได้เลย เอาเนื้อๆค่ะนํ้าไม่เอา แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 53 21:37:26 แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 53 21:33:05 จากคุณ : Yogi Playgirl เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 21:31:17

ความคิดเห็นที่ 59 ท่าน...ในความฝันฯ ท่านต้องแยกแยะประเด็นระหว่าง "หลักธรรม" กับ "ข่าวสาร" นะครับ สำหรับในส่วนของหลักธรรม ผมได้ชี้แจงข้อบกพร่องและนำเสนอวิธีการแก้ไขไปแล้วเรียบร้อยใน (เกือบๆ) ทุก คห. ที่ได้โพสต์ไป สำหรับในส่วนของข่าวสาร โดยเฉพาะในประเด็นหนังสือที่เจตนาใส่ร้ายท่านพระพรหมคุณาภรณ์ ที่กำลังเป็นที่กล่าวขานกันในตอนนี้ มันมีแต่ว่า "จริง" หรือ "เท็จ" ครับ...มันไม่เกี่ยวว่ามองคนละมุมหรือว่าต่างมุมมอง และถ้าหากว่าเราปล่อยให้ยืดเยื้อเรื่อรังต่อไป ความเข้าใจผิดก็จะแผ่ขยายออกไปในวงกว้าง ความเสียหายก็สุดประมาณ ปล. เพราะท่านพระพรหมคุณาภรณ์ท่านเป็น "ทองแท้...ที่แท้จริง" ท่านจึง "ไม่แพ้ไฟ" จากคุณ : นักศึกษาธรรมมะฝึกหัด...ครับ (Arltenis) เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 21:35:22

ความคิดเห็นที่ 60 ดูก่อน คุณในความฝันของใครสักคน ประโยชน์ที่จะยังให้เกิดขึ้นมีแน่นอน อย่างไร การสั่งสอนคน 1. สั่งสอนสิ่งดี, การกระทำอันดี, การคิดอันดีให้พึงปฏิบัติตาม เรียกว่าสอนให้รู้ดี 2. สั่งสอนสิ่งไม่ดี, การกระทำไม่ดี, การคิดไม่ดีให้พึงละการปฏิบัติตาม เรียกว่าสอนให้รู้ชั่ว เทียบเคียงกรณีที่คุณว่าถกเถียงกันมานาน เป็นเพราะสมาชิกที่ไม่เห็นด้วยกับวัดธรรมกาย คิดว่า สิ่งที่วัดธรรมกายสอน, กิจกรรมเรี่ยไร, อดีตของผู้นำวัด เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องน่าเคลือบแคลง สงสัย และจะนำไปสู่ความเสื่อมของพุทธศาสนา สมาชิกที่ไม่เห็นด้วยจึงนำข้อมูล แสดงความเห็นต่างๆ เพื่อเสนอให้ผู้คนอื่นๆ ได้เห็นตาม ส่วนชาวธรรมกายควรทำเช่นไร กรุณากลับไปดูความคิดเห็นที่ 56 ของผมในกระทู้นี้นะครับ จากคุณ : wattakasopon เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 21:41:12

ความคิดเห็นที่ 61 คคห. 31   ในความฝัน(ร้าย/เฟื่อง)ของใครสักคน ไร้ปัญญาที่จะหาหลักฐานมาหักล้าง จึงหันมาโจมตี ท่าน จขกท. เลยงั้นหรือ (แถกดื้อๆ แบบนี้เลย กิ๋วๆ) จขกท. ว่าร้ายใครหรือ  อ่านที่เขาเขียนจบหรือยังคะเนี่ย เข้ามาละเมอเพ้อพกในกระทู้โดยหาสาระที่ตรงประเด็นกระทู้มิได้ ตรวจสอบตัวเองหน่อยเป็นไรคะ จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 22:30:49

ความคิดเห็นที่ 62 Y9277433 โกหัญวิธี ของ สำนักธรรมกาย (ภาค ๔) - อนันตริยกรรม ! http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9277433/Y9277433.html จากคุณ : หอมทวนลม เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 04:45:49

ความคิดเห็นที่ 63 เห็นทะเลาะโต้เถียงกันมานานหลายปีแล้ว ตัวหนังสือที่เขียนก็ร้อนรุ่ม มาจากดวงจิตที่ร้อน คนอ่านก็ร้อน แม้มันจะจริงจะถูก มันจะมีค่าอะไรกับสิ่งเหล่านี้ เราคิดว่าเราเอาสิ่งเหล่านี้มาทำลายสิ่งไม่ดี ตามความคิดของเรา แต่ในความ เป็นจริง มันทำลายจิตของเราเองต่างหาก  ลองหยุดสำรวจดูตนเองบ้าง? เราเอาสิ่งที่ดี เอาหลักธรรมมานำเสนอ ยกใจผู้คนให้ทำความดี ไม่ดีกว่า เหรอครับ เรายกใจคนอื่นด้วยวิธีนี้ ใจเราเองก็ยกไปด้วย  เพราะตัวหนังสือ ที่เขียนออกมา ผู้อ่านสัมผัสได้ว่าเป็นอย่างไร? เมตตาธรรมค้ำจุนโลก ก็ค้ำทุกคน ค้ำทั้งผู้ให้และผู้รับ สิ่งที่เราคิดว่าดี สิ่งที่เราคิดว่าถูก เราอยากให้ผู้อื่น ถ้ามีเมตตาก็จะให้ด้วยความอ่อนโยน แต่ถ้าเกลียดก็จะให้ อย่างยัดเยียด โยนให้ หรือขว้างให้ ของเราดี ของเรา ถูกมันจะมีประโยชน์อะไรเล่าครับ? จากคุณ : ในความฝันของใครสักคน เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 06:23:29

ความคิดเห็นที่ 64 "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก" จ๊ะ แต่ทั่นไชยบูลย์นี่ไม่ได้มีเมตตาธรรม ค้ำจุนโลกจ๊ะ แต่เอาโลกนี้ มาค้ำจุนขี้กลากที่กำลังขึ้นกบาลนะจ๊ะ จากคุณ : Winter Tear เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 08:34:03

ความคิดเห็นที่ 65 คุณในความฝันของใครสักคน  อย่าเพิ่งยกข้ออรรถข้อธรรมมาเลย ธรรมะที่ท่านเขียนถึง พูดถึง กล่าวอย่างไรก็ควร เพียงแต่หัวข้อที่ถกเถียงกันเป็นเรื่องวัดธรรมกายที่ส่งผลร้ายต่อพระพุทธศาสนาในประเทศไทย เช่น สอนผิด กิจกรรมไม่เหมาะสม ให้ร้ายพระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ. ปยุตโต) รวมทั้งให้ร้ายองค์กรต่างๆในเมืองไทยอีกด้วย เหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญของพระพุทธศาสนาสมาชิกที่ไม่เห็นด้วยจึงเห็นเป็นเรื่องที่ต้องออกมาปกป้องศาสนาโดยรวม ดังนั้น หากคุณมีเหตุผล หลักฐานอื่นใดที่จะทำให้ข้อมูลที่ว่าวัดธรรมกายบิดเบือนคำสอน, ให้ร้ายพระ หรือ ให้ร้าย องค์กรต่างๆ ตกไปกรุณานำมาเสนอ มิใช่ยกประเด็นอื่นมาสนทนาเช่นนี้ มิฉะนั้นก็จะนำไปสู่กรณี คคห.ที่56 ที่ผมได้ กล่าวไว้ จากคุณ : wattakasopon เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 09:22:24

ความคิดเห็นที่ 66 ท่าน...ในความฝันฯ คห. ๖๓          ท่าน...กำลังคิดเองเออเองมาไปหน่อยหรือเปล่า? ท่านกำลังพิจารณาสิ่งต่างๆโดยเอาตัวท่านเองเป็นบรรทัดฐานอยู่ใช่ไหม? จริงๆนะ...ขอให้ท่านลองไปสำรวจตนเองดู จากคุณ : นักศึกษาธรรมมะฝึกหัด...ครับ (Arltenis) เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 09:28:55

ความคิดเห็นที่ 67 ถึงคห.ที่63 ถ้าอยากถกปัญหาเรื่องดวงจิตที่ร้อนนี้ แนะนำให้แตกประเด็นออกไปเขียนเป็นกระทู้ใหม่ครับ เพราะเนื้อหาหลักของกระทู้นี้คือการที่วัดธรรมกายบิดเบือนพระไตรปิฏก มิใช่เรื่องที่คุณพิมพ์มา มิเช่นนั้นผมว่ามันเป็นการฟลัดกระทู้นะครับ จากคุณ : ขยันและอดทน เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 10:14:55

ความคิดเห็นที่ 68 มาขอแจมด้วยเนืองเพราะเนื้อหาของเรื่องเกียวข้องกัน ต้องขออภัยหลายๆท่านว่าจำปีที่เกิดเรื่องไม่ได้ เป็นว่าฟังๆเอาไว้ไปถามคนในวงการดูแน่ใจว่ามีผู้ยืนยันข้อเท็จจริงได้แน่นอนครับ ในปีหนึ่งมีการจัดทำพระไตรปิฎกหินอ่อนเพื่อนำไปรักษาไว้เป็นหลักฐานและเป็นการแสดงถึงความเคารพเชิดชูพระศาสนา  โดยจะนำไปไว้ที่พุทธมณฑลได้มีหมาขี้เรื้อนที่ไหนไม่รู้พยายามเข้าไปแทรกแซงคณะทำงานเพื่อให้ดัดแปลงข้อความที่แกะสลักให้มีวาทะบิดเบือนยกหางตัวเอง  เปลี่ยนขาวเป็นดำทั้งคิดจะสร้างรูปหล่อไว้ใจกลางหอประดิษฐานเพื่อแสดงว่านี่ของข้าทั้งที่ไม่ใช่ โชคดีที่คณะทำงานสมัยนั้นเห็นแก่พระพุทธศาสนาและมีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหลายท่านออกมาปกป้องไม่ให้เกิดขึ้น  ไม่เช่นนั้นคนในอีกร้อยหรือสองร้อยปีข้างหน้าคงจะเล่าสู่กันฟังในเรื่องประวัติพระพุทธศาสนาผิดแผกจากปัจจุบัน ขอกราบอนุโมทนาคณะทำงานหอพระไตรปิฎกในยุคนั้นตลอดจนวีรชนทุกท่านทีได้ปกป้องพระศาสนาครับ ช่วยกันครับอย่าให้หมาขึ้เรื้อน(ท่าทางจะหางด้วนด้วย)มาทำร้ายลูกหลานไทย จากคุณ : shamaan เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 16:05:23

ความคิดเห็นที่ 69 เผยแพร่ความจริง ให้เหยื่อในอนาคตของลัทธินี้ น้อยลงแค่คนเดียว ก็เป็นกุศลอันใหญ่หลวง ส่วนพวกซึมซ่านเข้ากระดูกเป็นสาวกเต็มตัวแล้ว ก็ปล่อยไปตามเวรตามกรรม จากคุณ : น้องต๋าว เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 20:12:09

ความคิดเห็นที่ 70 ตามมาช่วยโหวต...เพื่อรักษาพระดี จากคุณ : ลุง Tom เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 19:28:21

ความคิดเห็นที่ 71 ทำไม ทำไม ทำไม มีกระทู้ แฉธรรมกายทีไร จะต้องมีสาวกมาเบี่ยงเบนประเด็นทุกครั้งเลย แถมชอบพิมพ์แต่ข้อความที่ดูดีแต่นอกประเด็นทุกทีเลยด้วย พิมพ์ซะยาวแต่ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่คุยกันอยู่ พูดตรงๆ รำคาญ ถูกผิดก็ควรจะว่าไปตามความ ถ้ามีข้อเท็จจริงที่จะหักล้างข้อกล่าวหา ก็บอกมาสิครับ จะมาแฉไฉถลากไถลไปเรื่องอื่นทำไม ถ้าอยากคุยเรื่องอื่นนักก็แนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ครับ ถ้ามาโพสอีกแต่แฉไฉไปเรื่่องอะไรก็ไม่รู้ แนะนำให้สมาชิกช่วยกันโวตลบข้อหาฟลัดกระทู้ครับ แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 53 11:47:15 จากคุณ : Lambert K. เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 11:42:40

ความคิดเห็นที่ 72 เหล่าสาวกสงสัยแกล้งตายหมู่ แล้ว มุดลงใต้ดินหมดแล้วมั้งครับ หายหมดเลย หุหุ จากคุณ : NotUndo เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 13:44:46

ความคิดเห็นที่ 73 โหวต ตอนเช้าอากาศกำลังดี จากคุณ : samr เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 53 08:10:17

ความคิดเห็นที่ 74 เอ้า โหวตๆๆ จัดไป จากคุณ : ชาล้นถ้วย เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 53 08:41:31

ความคิดเห็นที่ 75 ลัทธิ จานบิน ดูดเงิน จากคุณ : puylogin เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 53 10:50:08

ความคิดเห็นที่ 76 จะเป็นอย่างไร โลกก็ยังหมุนไปด้วยกิเลส เห้ออ จากคุณ : หัดศึกษาธรรมเหมือนกันค่ะ (wapainunoon) เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 53 12:32:00

ความคิดเห็นที่ 77 ชีวิตคนเรานั้นสั้น จงรีบทำดีทำบุญ คิดถึงบุญอยู่ทุกลมหายใจ ขอให้ทุกคนเจริญในธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแท้จริงครับ คิดดี ทำดี จิตใจก็จะดีตามด้วยนะครับ ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดนะครับ บุณรักษาทุก ๆ ท่านครับ สาธุ จากคุณ : nay_nay เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 53 11:58:09

ความคิดเห็นที่ 78 ปล่อยผ่าน จากคุณ : ปล่อย เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 53 23:42:42

ความคิดเห็นที่ 79 มีคนมากดลบ มะกี๊ ปล่อยผ่านแล้วจ้ะ แม๊ มันน่านัก!!! จากคุณ : เอิงเอย เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 53 23:43:27

ความคิดเห็นที่ 80 ความจริงนี้ ช่างยอกใจยิ่งนัก ! จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 53 23:44:42

ความคิดเห็นที่ 81 โหวตอีก จากคุณ : ลุง Tom เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 19:43:23

ความคิดเห็นที่ 82 http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=7520&Z=7533&pagebreak=0 จากคุณ : PredatorNeverdie เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 53 21:42:29

ความคิดเห็นที่ 83 ตามลุงทอมมาโหวตแบบติดๆ จากคุณ : samr เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 53 15:57:06

ความคิดเห็นที่ 84 โหวตค่ะ จากคุณ : loveBi เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 53 16:55:58

ความคิดเห็นที่ 85 โหวตครับ จากคุณ : ลุง Tom เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 53 09:04:58

ความคิดเห็นที่ 86 บิดเบือนไม่เอาธรรมกาย จากคุณ : winnarat เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 53 14:17:34

ความคิดเห็นที่ 87 Vote จากคุณ : ลุง Tom เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 53 17:05:38