 |
ความคิดเห็นที่ 3 |
ยิ่งควานหาจุดจับผิดเขา ความเท็จทุจริตก็ยิ่งเข้ามาหาตัว
ในจดหมายของ พ.อ.บรรจง ไชยลังกา ผู้แอบอ้างตนเป็นประธานชมรมชาวพุทธสามเหล่าทัพ ซึ่งมีไปนมัสการพระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ิตาโณ, ปัจจุบัน พระเทพดิลก) ตอนท้ายๆ ได้ยกเอาข้อเขียนของ ดร.เบญจ์ บาระกุล ที่เขานับถือ ขึ้นมาพูดอีก ๒-๓ เรื่อง เช่น เรื่องถ้อยคำว่า การทำกิจ นักทำกิจ กับหลักความไม่ประมาท เป็นต้น ซึ่งหนังสือ แฉ กลวิธีทำลายพระพุทธศาสนา ของ กลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล ได้ชี้กลวิธีปั้นแต่งความเท็จของคนกลุ่มนี้ไว้ชัดแจ้งแล้ว ณ ที่นี้ จะพูดถึงอีกเรื่องหนึ่งเป็นตัวอย่าง ให้เห็นความเขลาและความทุจริตของคนกลุ่มนี้อีกแบบหนึ่ง เพื่อประโยชน์ทางปัญญาของชาวพุทธ ที่จะรู้เท่าทัน ประธานชมรมชาวพุทธสามเหล่าทัพ นำความคิดของ ดร.เบญจ์ บาระกุล มาเขียนโจมตีหนังสือ พุทธธรรม ว่า
“ในพระพุทธวจนะอันปรากฏในพระไตรปิฎกบาลีเถรวาทนั้น ย่อมเป็นที่ทราบดีว่าผู้ปฏิบัติเท่านั้นที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ด้วยตนเอง จะปฏิบัติหรือบรรลุแทนกันมิได้ นี่คือหลักพระพุทธศาสนา แต่ปรากฏว่าหนังสือพุทธธรรม หน้า ๒๕๙ ได้เปลี่ยนแปลงหลักธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียใหม่ว่า “กรุณา ที่แผ่เป็นพลังปรีชาญาณออกไปทำให้ผู้อื่นพลอยได้วิชา และถึงวิมุติได้ด้วย” การเผยแพร่ข้อความดังกล่าวจึงขัดต่อพระพุทธพจน์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยแท้…” (จดหมายนมัสการ พระราชธรรมนิเทศ หน้า ๗; พระพุทธศาสนา ชะตาของชาติ โดย ดร.เบญจ์ บาระกุล, ๒๕๔๒, หน้า ๘๗)
เพื่อไม่ให้เปลืองหน้ากระดาษ ขออธิบายสั้นๆ ว่า ข้อความที่ประธานชมรมชาวพุทธสามเหล่าทัพเขียนตาม ดร.เบญจ์ บาระกุลนี้ บ่งบอกถึงความหย่อนด้อยทางภูมิธรรมภูมิปัญญาของคนกลุ่มนี้ ๒ ประการ คือ ๑. ขาดความรู้ความเข้าใจในภาษาบรรยายธรรม ขอให้ดูข้อความในหนังสือ พุทธธรรม ตอนนี้ต่อไปอีกหน่อยว่า “…และกรุณาที่เป็นพลังแผ่ปรีชาญาณออกไป ทำให้ผู้อื่นพลอยได้วิชชา และถึงวิมุตติด้วย ถ้าเปรียบปุถุชนเหมือนคนถูกมัด วิชชาก็เป็นมีดตัดเครื่องผูกขาดออกไป วิมุตติก็คือการหลุดพ้นออกไปจากเครื่องผูกมัดเป็นอิสระเสรี กรุณาก็คือ เมื่อหายเดือดร้อนวุ่นวายกับเรื่องของตัวเองแล้ว ก็มองกว้างออกไป เห็นคนอื่นๆ ถูกมัดอยู่ ตัวเองไม่มีอะไรต้องวุ่นพะวงอีกแล้ว ก็เอาแต่เที่ยวแก้มัดคนอื่นต่อไป” (พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ, พ.ศ. ๒๕๒๙, หน้า ๒๕๙) สำนวนอธิบายแบบนี้ เป็นภาษาอลังการ ซึ่งเป็นการพูดเชิงอุปมา จะพบเห็นมากในบางคัมภีร์ของพระไตรปิฎก โดยเฉพาะอปทาน (พระไตรปิฎก เล่ม ๓๒–๓๓) ซึ่งเต็มไปด้วยภาษาอลังการ ที่มุ่งความไพเราะงดงามให้เกิดศรัทธาซาบซึ้ง (คำว่า “ธรรมกาย” แทบทั้งหมดที่มีในพระไตรปิฎก ก็มาจากภาษาอลังการในคัมภีร์อปทานนี้) ขอยกตัวอย่าง เช่น “พระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น (พระวิปัสสี) ผู้ทรงประกอบด้วยพระกรุณา ทรงปลดปล่อยสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากพันธนาการ” (ขุ.อป.๓๓/๒๐๗/๕๔๗) “โอ ! พระชินะเจ้า ทรงฉุดยกเหล่าสัตว์ที่จมอยู่ในมหาสมุทรแห่งภพขึ้นมาแล้ว” “พระสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสุเมธะ ผู้ทรงมีพระกรุณา เป็นมุนีผู้ยิ่งใหญ่ ครั้นทรงช่วยขนหมู่สัตว์จำนวนมากข้าม (สังสารสาคร) แล้ว พระผู้ทรงยศยิ่งใหญ่ ได้ปรินิพพานแล้ว (ขุ.อป.๓๓/๓๘/๖๒)
คนจำพวก ดร.เบญจ์ บาระกุล หรือ ประธานชมรมชาวพุทธสามเหล่าทัพ มาอ่านข้อความนี้แล้ว ก็จะต้องเอะอะว่า ทำไมพระไตรปิฎกคัดค้านหลักธรรมของพระพุทธเจ้า มนุษย์ทั้งหลายจะต้องปฏิบัติให้หลุดพ้นเอง ทำไมคัมภีร์อปทานจึงว่าพระพุทธเจ้าช่วยทำให้เขาหลุดพ้นได้ แต่ท่านผู้รู้อ่านแล้วก็เข้าใจว่า เป็นภาษาอลังการ ที่พูดรวบรัดอมนัยความหมายว่า พระพุทธเจ้าทรงอาศัยพระกรุณาคุณ เสด็จไปสั่งสอนธรรม ให้เขาเกิดปัญญารู้ความจริงแล้วหลุดพ้นจากกิเลสและความทุกข์ ไม่ได้มีปัญหาที่จะมาตั้งแง่ให้มากเรื่อง
๒. ส่อแสดงเจตนาร้าย เพราะหนังสือ พุทธธรรม ส่วนอื่นๆ พันกว่าหน้า ย้ำไว้มากมายถึงหลักพระพุทธศาสนาที่สอนให้ทุกคนต้องเพียรพยายามฝึกฝนพัฒนาศึกษาให้ตนเองเจริญในศีล สมาธิ ปัญญา จนหลุดพ้นเป็นอิสระ และนำวิธีปฏิบัติมากมายมาสาธยายไว้ทั่วไปหมด เมื่อถึงตอนที่ใช้ภาษาอลังการนั้นก็คือบรรยายคุณความดีของท่านผู้บรรลุธรรม ด้วยวิธีพูดอมนัยความหมายอย่างที่กล่าวแล้ว ถ้าพุทธธรรม ถือว่าพระพุทธเจ้าทำแทนเราได้ ก็ไม่ต้องเสียเวลาเขียนวิธีปฏิบัติมากมายเป็นพันหน้า พูดตามจริง คนกลุ่มนี้ ก็ไม่ใช่จะไม่มีสติปัญญาบ้างเสียเลย เขาก็พอจะอ่านรู้เรื่องเข้าใจได้อยู่ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ด้วยเจตนาที่มุ่งร้าย จึงมาควานหาจุดที่จะยกขึ้นปั้นแต่งเรื่องเท็จใส่ร้ายให้ได้เท่านั้นเอง แต่ก็หนีความจริงไม่พ้น ดังนั้น เมื่อความจริงปรากฏ คนกลุ่มนี้ก็กลายเป็นคนเท็จทุจริตไปเท่านั้นเอง พิเคราะห์ดูรู้เบื้องหลังคนกลุ่มนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรมาก ชาวพุทธพิจารณาไม่นานก็รู้เท่าทัน ปมของเรื่องก็คือ คนกลุ่มนี้ เมื่อตนเชื่อถือผิดหลักพระธรรมวินัยแล้ว พอได้รู้เห็นว่าหลักพระธรรมวินัยที่แท้จริงเป็นอย่างไรตามที่มีผู้ชี้ให้ดูและอธิบายให้ฟัง ถึงรู้ว่าตัวผิดแต่ใจไม่อาจจะยอมรับได้ ครั้นจะออกมาประจันหน้าก็ไม่หาญกล้าที่จะเผชิญความจริง เมื่อความอาฆาตแค้นพลุ่งประดังขึ้นมา ก็เห็นทางออกที่จะระบายได้เพียง ๒ อย่าง คือ ลอบทำร้าย หรือไม่ก็ปั้นแต่งเรื่องใส่ความ ดังที่เขาได้เพียรพยายามเป็นมิจฉาวายามะมาตลอดเวลายาวนานแล้วนี้ ถ้าเขาคิดให้ดี เห็นแก่พระพุทธศาสนา และความถูกต้องแท้จริง เรื่องก็ง่าย เพียงหันมาถือตามพระธรรมวินัย และปรับปรุงแก้ไขตนเองตามพระธรรมวินัยนั้น สรุปว่า หนังสือของกลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล ทั้งหมด เต็มไปด้วยความเท็จ และการบิดเบือนต่างๆ ทั้งที่เกิดจากการขาดความรู้ความเข้าใจ รู้ไม่เท่าถึงการณ์ และเจตนาปั้นแต่งเรื่องเท็จเพื่อใส่ความ เป็นอย่างนี้ตลอดทั้งหมด ไม่ควรต้องเสียเวลาวิเคราะห์ต่อไป เพราะแม้แต่ชื่อก็เป็นของเท็จ ปริญญาและวิชาเรียนที่อ้างว่าจบมา ตลอดจนชื่อเมืองที่มหาวิทยาลัยตั้งอยู่ ก็ล้วนเป็นเท็จ แม้แต่เขียนชื่อเหล่านั้น ก็เขียนไม่ถูก จนกระทั่งหนังสือขององค์กรเครือข่ายชาวพุทธฯ (แฉ กลวิธีทำลายพระพุทธศาสนา ของกลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล) ออกมาชี้ความเท็จแล้ว ต่อมาเมื่อถึงคราวจะพิมพ์หนังสือ ไวรัสศาสนาฯ กลุ่ม ดร.เบญจ์ บาระกุล จึงแก้ชื่อปริญญา – วิชาเรียน – เมืองที่เรียน เสียใหม่ แต่ก็อีกนั่นแหละ ขนาดตั้งใจแก้ไขแล้ว ก็ยังเขียนไม่ถูกต้องจริง รวมทั้งการใช้เครื่องหมายจุลภาค มหัพภาค กับชื่อเหล่านั้น ก็ใช้ไม่ถูก ส่อถึงสิ่งที่เป็นเท็จและหลอกลวงทั้งสิ้น ไม่มีอะไรจะเชื่อถือได้เลย*
--------------------------- * ในข้อเขียนบทความนี้ เรียก “ชมรมชาวพุทธสามเหล่าทัพ” บ้าง “ชมรมพุทธสามเหล่าทัพ” บ้าง ตามเอกสารของคนกลุ่มนี้เองที่เรียกไว้ไม่สม่ำเสมอ
จากคุณ |
:
ระนาดเอก
|
เขียนเมื่อ |
:
21 พ.ค. 53 04:37:19
|
|
|
|
 |